|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
FaT Film 3 ไม่ใช่แค่ หนังขำขำ
โดย merveillesxx
เช้ามืด วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2548 โมงยามผ่านไป ฟ้ายังคงสีดำสนิท แต่เวลาตามเข็มนาฬิกากลับเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ชายคนหนึ่งกำลังนั่งจดจ่อกับหนังสือ เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ตรงหน้า เขากำลังต่อสู้ดิ้นรนฟาดฟันกับกราฟดีมานด์-ซัพพลายที่ตัดผ่านกันยุ่งเหยิง แต่เส้นเหล่านี้นั่นเองที่เปรียบเป็นทั้ง เส้นชีวิต และ เส้นเชือก ที่พันธนาการเขามาตลอดสามปีเต็ม
อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วที่เขาจะต้องไปเผชิญกับมันในห้องสอบ
ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนหลับตาสักวินาทีเดียว
เวลาห้านาฬิกา, วิทยุผู้ซื่อสัตย์ทำงานประจำของมันอีกครั้ง ระบบตั้งปลุกที่เขาจัดการไว้แต่ค่ำคืนก่อน แต่วันนี้มันไม่ได้บรรลุประสิทธิผลแห่งหน้าที่ของมันนัก เพราะเจ้านายของมันยังไม่ได้ละตัวจากโต๊ะไปที่เตียงเลยครั้งคราว
ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัดระบุไว้ที่ 104.5 คลื่นวิทยุชื่ออ้วนท้วนอย่าง FaT Radio ที่บอกถึงความใหญ่โตของตัวมันเอง แต่แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้ครองกรรมสิทธิในกระแสสัญญาณมากกว่าคลื่นอื่นแต่อย่างใด
ฉับพลันที่ชายหนุ่มร่ายสายตาถึงตัวอักษรสุดท้าย เสียงจากลำโพงก็เล็ดลอดเข้ามาถึงโสตสดับของเขาว่า แฟตตตตตต ฟิล์มมมมม สามมมมมมม เมื่อเพลงฮิต ใกล้ชิดหนังสั้นนนน
..!!! บัดนั้นเองที่เขาพาตัวเองกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง สมองก่อความคิดว่าวันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ ใบผ่านทางเข้าสู่งานประกวดหนังสั้นที่เขามุ่งหมายจะเอาตัวเองเข้าไปร่วมด้วย ว่าแล้วก้อนหยักในหัวจึงสั่งการให้มือคว้าโทรศัพท์มือถือมากดรหัส 7 ตัวโดยสัญชาตญาณ 0
2
6
4
1
5
3
9
4
สัญญารอคอยดังขึ้นและเว้นช่วงห่างผ่านไปหลายครา จนที่สุดจึงมีเสียงปลายสายตอบรับ ปลายสาย สวัสดีครับ แฟตเรดิโอ ครับ ชายหนุ่ม เอ่อ
ขอบัตรแฟตฟิล์มครับ ปลายสาย ครับ ขอทราบชื่อ-นามสกุลครับ ชายหนุ่ม
. เขาเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ดั่งว่าสมองหยุดการทำงานกะทันหัน ในหัวของเขายังคงมีภาพของกราฟดีมานด์-ซัพพลายตีกันยุ่งเหยิง จนบดบังความรู้คิดขั้นพื้นฐานกระทั่งชื่อประจำของตัวเอง เชี่ยเอ๊ย กูชื่ออะไรวะ ชายหนุ่มสบถในใจ
ใช้เวลาอยู่ห้วงอึดใจหนึ่งกว่าที่ชายหนุ่มจะกระชากลากชื่อของตัวเองออกจากระบบกลไกสมอง และไล่ให้มันพรั่งพรูออกจากปาก เพื่อตอบสนองเสียงปลายสายได้ หลังระบุจำนวนบัตรและเวลานัดหมาย อีกฝ่ายก็จากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มอยู่กับความมึนงงจากการอดหลับอดนอน
. เออ
กูต้องรีบออกจากบ้านไปสอบสินะ คิดได้เช่นนั้น เขาจึงผลักตัวเองเข้าสู่กิจวัตรประจำวันตอนเช้า พร้อมกับมุ่งหน้าสู่แดนประหาร ที่มีชื่อสามัญว่า ห้องสอบ
FaT Film เอาเพลงมาทำเป็นหนัง เกือบสามปีแล้วครับ ที่สโลแกนนี้ติดตราตรึงอยู่ในหูของผม
อย่างสั้นๆ FaT Film ก็คืองานประกวดหนังสั้นที่จัดขึ้นโดย 104.5 FaT Radio โดยโจทย์ของมันก็คือ ต้องเอา เพลง ที่เคยเปิดในคลื่นนี้มาทำเป็นหนังสั้น โดยกฏเหล็กสามข้อก็คือ หนึ่ง-ชื่อหนังต้องเป็นชื่อเดียวกับชื่อเพลง สอง-ตัวละครต้องพูดชื่อเพลงหรือมีชื่อเพลงปรากฏในหนัง และสาม-ต้องมีเพลงนั้นๆ ในหนังด้วย ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม
FaT Film ในสองครั้งที่แล้ว ผมไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ไม่ได้ส่งหนังเข้าประกวด และไม่ได้ไปร่วมงานประกาศผลรางวัล จะมีส่วนก็ในฐานะผู้ชมทางบ้านเสียมากกว่า เพราะได้ดูหนังก็ตอนทาง FaT Radio รวมหนังที่เข้ารอบสุดท้ายมาทำเป็น VCD ขาย (โดย VCD FaT Film 1 ขายในงาน FaT Festival 2 ส่วน FaT Film 2 ขายใน FaT Festival 3) ดังนั้นใน FaT Film 3 จึงเป็นครั้งแรกที่ผมไปร่วมงานประกาศรางวัล และมีส่วนร่วมลงคะแนนเสียงใน Popular Vote
จากที่ผมสังเกตการณ์ FaT Film ในทั้งสองปีที่ผ่านมา โดยสรุปแล้วหนังของ FaT Film มักจะเป็นหนังที่ออกไปทางสนุกสนาน เฮฮา บ้าบอ จนบางอันอาจไปถึงขั้นไร้สาระ (แต่สนองเราในด้านเสียงหัวเราะ) จนได้รับฉายาว่าเป็น หนังขำขำ ในที่สุด (หลักฐานชัดเจนก็คงเป็นซีรี่ย์หนังสั้น ขุนกระบี่ โด่งดังจนได้เป็นหนังใหญ่ในที่สุด) อย่างไรก็ตาม หนังสั้นที่มีเนื้อหาซีเรียส เข้มข้น จริงจัง เศร้า ซึ้ง ไปจนถึงประหลาดสุดขั้ว ก็มีให้เห็นเช่นกัน
ในมุมมองของผมแล้ว ผมคิดว่าหนังของ FaT Film อาจไม่ได้เน้นที่ความลึกซึ้งของเนื้อหามากนัก แต่เป็นหนังประเภทที่เน้นด้าน ไอเดีย-ความคิด เสียมากกว่า ทั้งนี้คงด้วยเพราะโจทย์ของงานที่ว่า เอาเพลงมาทำเป็นหนัง ซึ่งก็ขึ้นกับไอเดียของผู้กำกับแต่ละคนแล้วว่า จะตีโจทย์นั้นๆ ออกมาอย่างไร และถ้าคิดจะ แถ โจทย์นั้น จะแถอย่างไรให้น่าสนใจ
เพื่อนผมคนหนึ่งให้ความเห็นว่าโดยส่วนใหญ่ทุกคนมีไอเดียที่ดีอยู่แล้ว แต่การจะผ่านเข้าไปรอบสุดท้ายได้นั้นก็คงขึ้นอยู่กับ การถ่ายทอด-การนำเสนอ ด้วย
ข้อเสียที่ผมพบในหนังของ FaT Film อยู่บ้าง ก็เช่น 1. คนดูหลายคนที่มักสับสนว่า FaT Film คือการทำมิวสิกวิดีโอ ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ แต่หนังบางเรื่องก็ทำให้ตัวเองเข้าข่ายเป็นมิวสิกวิดีโอจนเกินไป ซึ่งโดยมากมักเกิดจากการใช้เพลงประกอบ (ที่ใช้เป็น โจทย์) เกินความจำเป็น หรือใช้ในชนิดไม่มี ที่มา จนชัดเจนเกินไป 2. ขยายความต่อจากข้อ 1 ก็คือ การใช้เพลงประกอบในแบบอุดมคติหรือให้มีความน่าเชื่อถือในหนังนั้น เพลงควรจะมาจาก แหล่งกำเนิดเสียง จริงๆ เช่น วิทยุ ลำโพง เครื่องเสียง ทีวี ฯลฯ ส่วนในการใช้แบบ จู่ๆ เพลงก็ขึ้นมา หรือ ไร้แหล่งที่มาที่ชัดเจน อันเป็นการใช้เพลงเพื่อการ ประกอบ จริงๆ นั้น มักเป็นการใช้ในหนังแบบดราม่า ในความหมายที่ว่า หนังที่เน้น อารมณ์ร่วม จากคนดู ซึ่งต้องคำนึงถึง จังหวะ และ กราฟอารมณ์ ในหนังช่วงนั้นเป็นสำคัญ
หนังหลายเรื่องที่เกิดความไม่แม่นยำในจุดนี้ จนทำให้เพลงประกอบ โดด ออกมาจากตัวหนัง จนทำให้คนดูไม่เกิดอารมณ์ร่วม และตีตัวออกห่างจากหนังด้วย 3. หลายครั้ง ชื่อหนัง ที่เป็น ชื่อเพลง ที่เอามาเป็นโจทย์ ไม่สอดคล้องกับ ธีม ที่หนังต้องการสื่อ หรือบางทีธีมนั้นก็อ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง ชื่อหนัง (ชื่อเพลง) อาจจะไม่สอดรับกับธีมของหนังมากก็ได้ หากเจ้าของเรื่องต้องการใช้เพลงที่เป็นโจทย์ในรูปของ มุกตลก การหักมุม หรือการแถไปเลย ฯลฯ
นี่จึงเป็นเหตุให้ผมตัดสินใจไปงานประกาศรางวัล FaT Film 3 ในปีนี้ โดยหลักก็เพื่อไปดูว่า เดี๋ยวนี้ หนัง FaT Film เขาไปถึงไหนกันแล้ว
บ่ายเกือบเย็น วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2548 เวลาเลยบ่ายสามมานิดๆ ผมก็มาถึงเมเจอร์รัชโยธินจนได้ เมเจอร์สาขาที่ผมเข็ดขยาดและไม่คิดจะเฉียดกรายหากไม่จำเป็น เพราะคนเยอะจิ๊บเป๋ง แถมชอบจัดงานอีเวนต์บ้าบอมากมาย ล่าสุดก็เพิ่งทำโรงแตกเพราะงาน INITIAL D และปิด 11 โรง (พี่เหลืออีก 3 โรงไว้ทำไมล่ะคะ?) เพื่อฉายหนัง
เอ้อ หนังไทยที่ชื่อเหมือนมาม่ารสดังนั่นแหละ
งานนี้เขาบอกว่าให้ไปรับบัตรตอน 15.00 หนังฉายตั้ง 17.00 นู่นเลย
ตอนแรกกะว่าหลังจากเอาบัตรเสร็จ ก็จะไปหามุมสงบ (ที่ไม่ค่อยมี) อ่านนิยายฆ่าเวลาไป ปรากฏว่าดันไปเจอรุ่นน้องนักวิจารณ์ชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ ณ ตอนนี้ (ชั้นแซวเล่นนะแก
อิอิ) แถวๆนั้นพอดี ว่าแล้วก็เลยลากกันไปนั่งเม้าท์อยู่ใน KFC ตอนนั่งนี่เลือกโลเคชั่นผิดไปหน่อย ไปนั่งแถวๆ เครื่องเล่นของเด็กพอดี นั่งๆอยู่มันก็เลยมีเด็กเล็กๆ (ที่เห็นแล้วคิดถึงผีน้องพลับตกถังแป้งในหนัง Ju-On ทุกที) มาป้วนเปี้ยนๆ ต้องคอยๆ ยั้งขาไว้ไม่ให้เผลอไปถีบเด็กมันเข้าให้ เดี๋ยวจะถูกพ่อแม่เด็กพาดกบาลเอา (เผื่อผู้อ่านจะยังไม่ทราบ ผู้เขียนเป็นโรคเกลียดเด็กเล็กอย่างรุนแรงค่ะ)
เม้าท์น้ำลายท่วมร้านไปเกือบชั่วโมง ก็เกิดความละอายใจ เดินไปสั่งไก่ทอด (ที่กินแล้วไม่ค่อยจะอิ่ม) มานั่งแทะกันไปพลางๆ พอใกล้ๆ ห้าโมงเย็นก็เดินออกมาแถวหน้าที่รับบัตรก็เจอกับเพื่อนที่นัดไว้พอดี รุ่นน้องนักวิจารณ์ชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศก็เลยรู้ตัวว่ามันหมดประโยชน์สำหรับเราแล้ว มันก็เลยเดินจากไปโดยดี ฮ่าฮ่าฮ่า บอกแล้วว่าชั้นน่ะฮ็อต ต้องจองล่วงหน้าย่ะ!
ขึ้นไปรอหน้าโรงที่ชั้น 3 คนเยอะทีเดียว สักพักเขาก็เรียกให้เข้าไปในโรง ได้ที่นั่งไม่ค่อยดีเท่าไร อยู่ข้างหน้าๆ แถมเอียงซ้ายด้วย แต่ก็พอได้ไม่เดือดร้อนอะไรมาก (ตอนดูเทศกาลหนังยุโรปยังเจอนั่งแถวที่สี่จากข้างหน้า มาแล้วตั้ง 2-3 รอบ) นั่งรอคนเข้าโรงพักใหญ่ๆ ป๋าเต้ดก็ปรากฏตัวขึ้น กล่าวเปิดงานแบบสบายๆ เป็นกันเอง โดยบอกว่าปีนี้งานไฮโซขึ้นเยอะ อย่างน้อยก็มีป้ายงานและแสตนด์เป็นของตัวเอง (ฮา) ต่อจากนั้นก็มีฉายไฮไลท์ของหนังที่ส่งเข้ามาทั้ง 182 เรื่อง ยาว 5 นาที
และในที่สุดก็ถึงส่วนสำคัญของงาน นั่นก็คือ การฉายหนังรอบสุดท้ายทั้ง 11 เรื่อง ต่อไปนี้คือความเห็นของผมต่อหนังนะครับ (เรียงลำดับความชอบจากมากไปน้อย)
1. เจ้าหญิงนิทรา / 8.30 นาที / มานุสส วรสิงห์ (A++++++++++++++) หนังสารคดีกึ่งทดลองเรื่องนี้เล่าถึงงานศพของคุณป้าคนหนึ่งด้วยนิทานเรื่องเจ้าหญิงนินทรา
!!!
การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นไปในชนิดที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่ภาพในหนังเป็นภาพคุณป้าคนหนึ่งที่เข้าโรงพยาบาล นอนอยู่บนเตียง จนกระทั่งอาการย่ำแย่ลง และเสียชีวิตในที่สุด เสียงบรรยายของเรื่องกลับเล่าถึงนิทานคลาสสิกเรื่องเจ้าหญิงนิทราที่มีฉากจบที่สวยงามตามแบบการ์ตูนดิสนี่ย์
ถึงกระนั้น ภาพและเสียงบรรยายก็ยังมีความคาบเกี่ยวกันด้วย เช่น ในตอนที่เสียงบรรยายเล่าถึงหมู่นางฟ้าทั้งสามที่มาชุมนุมกัน ภาพในหนังก็เป็นบรรดาญาติๆ ของคุณป้าที่มาเฝ้าหน้าห้องคนไข้ หรือตอนที่เจ้าชายมาหาเจ้าหญิงที่นอนหลับไหลอยู่ ภาพในหนังก็จะเป็นคุณลุงคนหนึ่ง (คาดว่าเป็นสามีของคุณป้า) มาเช็ดตัวให้คุณป้า
จุดขัดแย้งอย่างรุนแรงในหนังเกิดขึ้นในตอนท้าย เมื่อบทบรรยายพูดถึงตอนจบอันสวยงามของเจ้าชายและเจ้าหญิง แต่ภาพที่เกิดขึ้นจริงคือ งานศพของคุณป้าท่านนั้น ซึ่งด้วยกลวิธีนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าความตายของเธอไม่ใช่เรื่องที่น่าโศกเศร้าฟูมฟาย แต่เธอจะเป็นความทรงจำที่สวยงามดั่งตอนจบในนิยาย
สิ่งที่ช่วยเกื้อหนุนให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมอย่างมากก็คงเป็น เสียงบรรยายภาษาอังกฤษสุดคลาสสิก และดนตรีประกอบที่เป็นวงออเครสตร้า ทั้งหลายทั้งปวงนี้ยังผลให้คนในโรงน้ำตาซึมกันเป็นแถบ ซึ่งนั่นก็รวมถึงผมด้วย
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้เกิดจาก ญาติของผู้กำกับคนหนึ่งได้ถ่ายวิดีโอคุณป้าไว้ในกล้องมือถือ ผกก. ให้สัมภาษณ์ว่าเขาคิดว่าภาพเหล่านี้ควรจะถูกสานต่อให้เป็นอะไรสักอย่างที่มีคุณค่า
ซึ่งผมคิดว่าเขาสามารถต่อยอดวัตถุดิบที่มีอยู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบของหนัง (หนังเรื่องนี้มีเอนด์เครดิตที่น่าประทับใจมากๆ)
และอะไรสักอย่างที่มีคุณค่านั้นก็ปรากฏขึ้นแล้ว มันก็คือ ความทรงจำ, ความพยายาม, รางวัลที่ได้รับ และหนังสั้นเรื่องหนึ่ง เพราะว่ามาตรฐานของหนัง FaT Film จะทะยานสูงขึ้นและหลุดพ้นจากคำว่า หนังขำขำ ก็เพราะหนังเรื่องนี้นั่นเอง
* หนังได้รับรางวัล Popular Award และรางวัลหนังยอดเยี่ยม * หนังเรื่องนี้จะฉายอีกครั้งในเทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย วันพุธที่ 10 ส.ค. * มานุสส วรสิงห์ เคยชนะการประกวดหนังสั้นในโครงการ Drink Dont Drive มาแล้วจากเรื่อง INTERSECTION (กำกับร่วมกับ ภาราดร เวศอุรัย) อ่านบทสัมภาษณ์ของเขาได้ที่ //www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9480000072932
2. ยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก / 10 นาที / สราวุธ อินทรพรหม (A+) อนิเมชั่นจากนักวาดการ์ตูนชื่อดัง แมลงปิศาจ เล่าถึงสงครามเสียงเพลงของค่ายยักษ์ใหญ่ G และ R
หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยมุกจิกกัด และล้อเลียนสองค่ายศิลปินดังฝั่ง อา และฝั่ง เฮีย ซึ่งแต่ละมุกนั้นเด็ดดวงมาก วัดได้จากเสียงฮาสนั่นของคนดูเกือบทั้งโรง ส่วนตัวผมก็ฮามาก หัวเราะจนน้ำตาไหลเลยล่ะ
ส่วนคนที่จะซวยหน่อยก็คือ คนที่ไม่ค่อยได้ติดตามวงการเพลงกระแสหลักมากนัก ซึ่งอาจจะไม่เก็ทมุกในหนังเลย (เช่นเพื่อนที่นั่งข้างๆ ผมนี่แหละ)
มุกในหนังที่ชอบมากๆ 1. สอง Paradox แปลงกายเป็นเซลเลอร์มูน ปะทะ นายครรชิต-ทิดแหลม (เป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีอย่างมาก) 2. การปรากฏตัวของ ลอร์ดโมเดิร์นป๊อด
.แกสองคนเป็นพี่น้องกัน (แหม
ทำไปได้) 3. นิโคล-พี่แมว ในแบบ บุปผาราตรี 2 4. การปรากฏตัวของ เจ้าหญิง Dhoom Dhoom และอื่นๆ อีกมากมาย
รู้สึกว่างานของคุณ แมลงปิศาจ จะเข้ารอบชิง FaT Film ทุกปี (แต่ไม่ยักกะได้รางวัลสักที
อิอิอิ) จำไม่ค่อยได้แล้วว่างานชิ้นก่อนๆ เป็นอย่างไรบ้าง (เพราะดูเมื่อนานมาแล้ว) แต่คิดว่าตัวเองชอบงานของเขาใน FaT Film 3ครั้งนี้มากที่สุด
ชื่อและผลงานของคุณ แมลงปิศาจ นั้นผ่านตาผมอยู่บ่อยครั้งมากในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนใน PANTIP.COM หรือการ์ตูนในนิตยสาร HAMBURGER (ซึ่งฮามากๆ) ก็ตาม เขาเติบโตและก้าวไปไกลมากขึ้นทุกวัน ก็หวังว่าปีหน้าจะมีหนังฮาๆ แบบนี้ให้เราดูกันอีก (และก็ขอให้ได้รางวัลอะไรติดมือกลับไปซะที)
3. แอบเหงา / 6 นาที / ธนสรณ์ เจนการกิจ (A) ระเบิด เด็กหนุ่มอีโก้จัดไม่พอใจในทีมงานหนังสั้นของตัวเอง จนประกาศว่าจะทำหนังเรื่องใหม่ คนเดียว
ว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้เหมือนกับการเล่าเรื่องเดิมสองครั้ง ในบริบทที่ต่างกัน โดยครั้งแรกตัวเอกของเรื่องลุยทำหนังคนเดียว ส่วนครั้งที่สองคือการที่เขาทำร่วมกับเพื่อนๆ
ชอบที่หนังใช้เทคนิคตรง end credit มาเน้นย้ำในจุดนี้
********SPOILER******** โดยครั้งแรก ระเบิดบอกประมาณว่า กูจะทำหนังคนเดียว แล้วก็ใส่ชื่อของตัวเองให้มันใหญ่ๆ ไปเลย ว่าแล้ว end credit ก็ขึ้นมาโดยชื่อของ ระเบิด ใหญ่มากๆ
แต่ถึงจะได้รางวัล เขาก็รู้สึกว่ามันเหงาเหลือเกินกับการทำหนังคนเดียว ว่าแล้วหนังจึงเล่าใหม่อีกครั้งในสถานการณ์ที่ ระเบิด ทำหนังกับเพื่อนๆ โดยเขาบอกว่า ชื่อของผมไม่ต้องใหญ่มากมายหรอก แต่ผมอยากให้มีชื่อเพื่อนๆ หลายๆ คนมากกว่า ว่าแล้ว end credit (ของจริง) ก็ขึ้นมา พร้อมกับชื่อของ ระเบิด ที่คราวนี้เล็กกะจิ๊ดริด แล้วชื่อทีมงานของหนังเรื่องนี้ก็ตามมา
อืม ดูจบแล้วรู้สึกว่ามันซึ้งจัง ********จบ********
อ้อ! อีกอย่างที่ชอบก็คือฉากที่มีหนังสือ มาทำหนังกันเถอะ ของ อ.ประวิทย์ แต่งอักษร (ยังอ่านไม่จบเลย ฮือๆ)
4. Guessing game / 8 นาที / เพนกวินทร์ แก้วกนกวิจิตร (A) หนังเรื่องนี้เล่าถึงกระบวนการส่งหนังเข้าประกวดของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง โดยช่วงแรกๆ รู้สึกว่าหนังมันน่าเบื่อมาก เพราะหนังเรื่องนี้แทบจะถ่ายเหตุการณ์ตามเวลาจริง นั่นคือ เริ่มจากเด็กคนนี้นอนอ่านหนังสือ
เขาเปิดเจอโฆษณาประกวด FaT Film 3 (แถมเจอในหนังสือ BIOSCOPE ซะด้วย อิอิ)
ว่าแล้วเขาก็เลยโทรหาเพื่อนคนที่หนึ่ง
แล้วเขาก็โทรหาเพื่อนอีกคนเพื่อถามชื่อเพลงที่เคยเปิดใน FaT
แล้วเขาก็นั่งจดชื่อเพลงที่เพื่อนบอก
จนเพื่อนบอกชื่อเพลง Guessing Game
แล้วเขาบอกว่า เพลงอะไรวะ กูไม่เห็นรู้จัก (ฮา)
เพื่อนก็เลยบอกว่าตอนนี้ FaT เปิดเพลงนี้อยู่
ว่าแล้วเขาก็เดินไปเปิดวิทยุ
********SPOILER******** ฉากจบของหนังก็คือ เด็กคนนี้นั่งเล่นจ้ำจี้เลือกเพลงจากรายชื่อ เขาก็ใช้วิธีประมาณพูดว่า ถ้า
ผม
เลือก
เพลง
นี้
ประ
กวด
ผม
จะ
ชนะ ว่าแล้วมือของเขาก็ไปชี้ที่ชื่อเพลง Guessing Game พอดี แล้วหนังก็จบ (กรี๊ด!) ********จบ********
ชอบหนังเรื่องนี้ตรงที่มีความกล้าหาญมากๆ ในการเขียนบทและนำเสนอเรื่องราว เพราะโดยเนื้อหามันดูไม่มีอะไรเลยและน่าเบื่อ แต่พอดูจบแล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย! เจ๋งว่ะ
คิดได้ไง!
อะไรก็ว่าไป
นอกจากนั้นหนังเรื่องนี้ยังหลุดพ้นจากข้อเสียที่ผมกล่าวไว้ในข้างต้นด้วย คือ 1. เพลงประกอบในหนังมาจากแหล่งกำเนิดเสียงจริงๆ นั่นก็คือ วิทยุในห้องของตัวเอก 2. ชื่อเรื่อง Guessing Game สอดคล้องกับธีมของหนัง เพราะเด็กคนนี้ก็กำลังคาดเดาว่าจะใช้เพลงอะไร หรือเพลงไหนจะโดนใจกรรมการ
5. ยักไหล่ / 10 นาที / ศรัณย์ ภิญญรัตน์ (A-) เห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสั้นตระกูล ขุนกระบี่ (ซึ่งผู้กำกับก็ให้สัมภาษณ์เองด้วย) หนังเรื่องนี้จึงเล่าถึง นักดาบ (ที่ชื่อเท่สุดๆ ว่า นฤเบลด
คิดได้ไงเนี่ย) กับหญิงสาว (ที่ใส่ชุดนักเรียน) ที่วิ่งหนีการไล่ล่าจากฝูงซอมบี้
ฉากที่ชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้ 1. ฉากท่อนแขน wristband ปริศนา เป็นการจิกกัดในประเด็นที่ถูกใจผมมากๆ 2. ฉากฉากดาบผสุธาผ่าโฟม
ฉากนี้คัลต์สุดๆ !! 3. ฉากเอฟเฟกต์แบบ OTOP โดยใช้การไล่เปิดปิดไฟเพดานเอานี่แหละ (แถมมันออกมาดูดีด้วย) 4. ฉากท่าไม้ตายลับของนฤเบลด (คิดว่าฉากนี้ล้อหนังเรื่อง Constantine)
จุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำเพื่องานรับน้อง (ของคณะถาปัด มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
อิอิอิ) แต่เพื่อนๆ เชียร์ให้ ผกก.ส่งเข้าประกวด ว่าแล้วในที่สุดผกก.ก็ถ่ายเพิ่ม แถ เพลงใส่ลงไป จนเข้าประกวดได้ (แถยังไงต้องดูกันเองนะจ๊ะ)
คิดว่า ผกก. หนังเรื่องนี้น่าจะเข้าทางกับหนังคัลต์ๆ แบบนี้แหละ แล้วได้ข่าวว่าเจ้าตัวก็จะทำต่อไปด้วย
* ตอนฉายหนังเรื่องนี้เกิดความผิดพลาดบางประการ หนังเลยกลายเป็นสีขาว-ดำ ซะนี่ * หนังเรื่องนี้ได้รางวัลโดดเด้งสาขา ขุนกระบี่ ซึ่งให้กับหนังประมาณ แอ็คชั่น คอเมดี้ เซ็กซี่ ร็อคแอนด์โรล โดยรางวัลพิเศษที่แถมไปคือ ชุดนักเรียนในที่บอลลูนใส่ในหนังเรื่อง ขุนกระบี่ผีระบาด (กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!! เค้าอยากด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยง่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!)
6. หนังสือรุ่น / 10 นาที / เบญจพรรณ รุ่งศุภตานนท์ (A-) หนังเรื่องนี้มีการนำเสนอคล้ายๆ กับหนังเรื่อง เจ้าหญิงนิทราก็คือ เล่าเรื่อง 2 ส่วน คือ 1. ภาพ ภาพในหนังเรื่องนี้จะเป็นวิดีโอที่ถ่ายบรรยากาศในห้องเรียนสมัย ม.ปลาย เก็บไว้เล่นๆ 2. คำบรรยาย เป็นบทสนทนาโต้ตอบของเพื่อนสองคน
เช่นเดียวกับ เจ้าหญิงนิทราที่สองส่วนนี้จะมีการเชื่อมโยงกัน เช่น เมื่อเพื่อนคนหนึ่งพูดถึงพฤติกรรมฮาๆ ของเพื่อนอย่างการล้อเลียนโฆษณา ภาพในหนังก็จะเป็นเหตุการณ์ตอนนั้น
ชอบที่หนังนำวัตถุดิบมาใช้ได้ถูกทาง กล่าวคือ วิดีโอที่ถ่ายไว้มีคุณภาพที่ไม่สู้ดีนัก ภาพที่เห็นก็จะมัวๆ และเสียงที่นักเรียนพูดคุยกันก็เซ็งแซ่จนฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ภาพตรงนี้ต้องการนำเสนอน่าจะเป็น บรรยากาศ ของช่วงเวลานั้นๆ เสียมากกว่า และมันก็ก่ออารมณ์-ความรู้สึกที่ได้ผลกับคนดู เพราะทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงนั้น และห้องเรียนตอนพักกลางวัน หรือตอนหลังเลิกเรียนก็ล้วนเซ็งแซ่แบบนี้ทั้งนั้น จึงไม่แปลกเลยที่หนังเรื่องนี้สร้างความซาบซึ้งให้กับใครหลายๆคน
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยจะอินกับหนังเรื่องนี้เท่าใดนัก เพราะ 1. ห้องเรียนสมัย ม.ปลาย ของผมไม่ค่อยจะเป็นเหมือนในหนังนัก เวลาพักกลางวัน นักเรียนในห้องผมจะนั่งฟังซาวด์เบาต์, ดิสก์แมนของตัวเอง และนั่งทำการบ้านเลขอันมากมายมหาศาล มีบางส่วนเท่านั้นที่นั่งจับกลุ่มคุยกัน ส่วนตอนเลิกเรียนห้องเรียนของผมก็จะว่างเปล่าภายในเวลา 15 นาที คงเหลือไว้แต่เวรทำความสะอาดประจำวัน ไม่ค่อยมีเด็กนักเรียนคนไหนนั่งเล่นต่ออยู่ในห้องเรียนสักเท่าไร 2. บทบรรยาย (หรือบทสนทนา) ของเพื่อนสองคนในเรื่อง ทำให้ผมรู้สึก หยึ๋ยๆ มากกว่าจะรู้สึก ซาบซึ้ง (แต่ผู้หญิงเขาคงคุยกันแบบนี้ล่ะมั้ง) อย่างไรก็ตาม ตอนท้ายหนังบอกไว้ว่าบทสนทนานี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง 3. รู้สึกว่าตอนท้ายๆ หนังที่เป็นตัวอักษรขึ้นมาสรุปความเป็นไปของเพื่อนๆ กลุ่มนี้ดูจะยืดยาวไปหน่อย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้น (โดยเฉพาะข้อ 1 และ 2) ไม่ได้เกิดจากตัวหนังเอง แต่มาจากตัวผมเสียมากกว่า และภาพ ผกก. กับกลุ่มเพื่อนที่ขึ้นไปรับรางวัลด้วยกันก็เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก * หนังได้รางวัลรองอันดับ 1 * หนังเรื่องนี้จะฉายอีกครั้งในเทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย วันพฤหัสที่ 11 ส.ค.
7. อย่า อยู่ อย่าง อยาก / 10 นาที / โอ๋ P2 Warship (A-) หนังเรื่องนี้ที่เกิดจากการร้อยเรียงเพลง 222 เพลง (พระเจ้าช่วย!) ที่เคยเปิดใน FaT 104.5 รู้สึกทึ่งในความพยายามของ ผกก. และคิดว่ามันยากลำบากมากทีเดียวที่จะผูกให้เรื่องราวให้คนดู เข้าใจ และ รู้สึกสนุก ดังนั้นโจทย์ของหนังเรื่องนี้ก็เป็น ข้อจำกัด ของตัวหนังเองด้วย เพราะหลังจากตื่นตาตื่นใจกับตัวหนังได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ลดความน่าสนใจลงไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม หนังก็สมควรแล้วกับรางวัลโดดเด้งที่ได้รับไป
8. กอด / 10 นาที / ศนิพงศ์ สุทธิพันธุ์ (A-) หนังเรื่องนี้ว่าด้วยชีวิตหนุ่มบ้านนา ที่เข้ากรุงมาเป็น ลูกกระจ๊อก (หรือพวกตัว กิ๊กกิ้ว ในการ์ตูนจำพวกมนุษย์ห้าสี ที่มักโผล่ออกมาให้พวกยอดมนุษย์ฆ่าตายภายใน 3 วินาที) ชอบที่หนังเรื่องนี้เลือกนำเสนอชีวิตของคนชนชั้นล่างในรูปแบบที่ขบขัน (ด้วยการใช้ตัว กิ๊กกิ้ว เนี่ยแหละ) สิ่งที่น่าคิดก็คือ ตอนท้ายที่พวกยอดมนุษย์ห้าสีรุมอัดหนุ่มกระจ๊อกเสียหมอบกระแต (ซึ่งคล้ายจะเป็นกลวิธีแบบ irony) แสดงถึงสภาพสังคมของบ้านเราในแง่มุมใดหรือเปล่า?
ฉากที่ชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้คือ ตอนที่ตัว กิ๊กกิ้ว วิ่งโลดแล่นในทุ่งนาสีเขียว ซึ่ง ผกก. ก็ให้สัมภาษณ์ว่าแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้ก็เกิดจากการที่เขาหลับตาแล้วเห็น ตัวกิ๊กกิ้ววิ่งในทุ่งนา นั่นแหละ (!?)
* หนังได้รางวัลรองอันดับ 1
9. ภาพลวงตา / 5 นาที / หิรัญ สุวรรณเทศ (B+) นี่น่าจะเป็นหนังที่สร้างความมึนงงให้กับคนดูมากที่สุด
********SPOILER******** เกือบตลอดทั้งเรื่องของหนังก็จะเป็นบทสนทนาประหลาดๆ ที่เหมือนคนเมาคุยกัน แต่คำพูดเล่านั้นดูจะไม่เกี่ยวกับภาพที่เราเห็นอยู่เลย (แต่บางทีมันก็เกือบจะเกี่ยว) และในที่สุดหนังเคลื่อนกล้องออกมาให้เราเห็นว่า ไอ้ภาพที่เราเห็นเนี่ย มันเป็นภาพในโทรทัศน์ที่เปิดหนังสั้นทิ้งไว้ ส่วนเสียงที่เราได้ยินก็เป็นไอ้ขี้เมาสองตัวที่นั่งก๊งเหล้าอยู่ข้างๆทีวี
โอ๊ย! บ้าบอดดีแท้! ********จบ********
ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงเหมาะสมสุดๆ กับรางวัลโดดเด้ง เล่นกันแบบนี้เลยเหรอเนี่ย
10. ความจริงในใจ / 9.03 นาที / สมชาย ลีลารักษ์สกุล (B) รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยังได้ไม่ค่อยดีในหลายๆ ส่วน ทั้งที่หนังมีพล็อตที่น่าสนใจมาก แต่ชอบการ ตีโจทย์ ของหนังข้อที่ว่า ตัวละครในหนังต้องพูดชื่อเพลง ว่าแล้วนายสมชายในเรื่องก็เลยร้องเพลงให้เราฟังซะเลย
11. ภาพหลอน / 8.30 นาที / พรเทพ เบญจสิริมงคล (B-) จริงๆ แล้วค่อนข้างชอบตัวหนังในช่วงแรกๆ ที่นำเสนอการที่ชายคนนี้เห็นภาพหลอนบนเตียง ที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกผู้ชายปล้ำ แถมผู้หญิงคนนี้นอกจากจะเรียกให้เขาช่วย ก็ยังมาคว้าจับมือเขาไว้ด้วย (!) รู้สึกว่ามันน่ากลัวดี
แต่พอหนังดำเนินไปถึงช่วงหักมุมตอนท้าย ความชอบต่อหนังก็ลดฮวบลงทันที เพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรกับตัวหนังสักเท่าไร อีกสิ่งที่ไม่ค่อยชอบในหนังคือ การใช้เพลงประกอบ ภาพหลอน คลอไปตลอดช่วงที่ตัวเอกมองเห็นภาพหลอน รู้สึกว่ามันไม่เข้ากันอย่างรุนแรง แต่ก็น่าคิดเหมือนกันว่าผู้กำกับอาจจะต้องการใช้เพลงนี้แทน เสียง หรือ เพลง ที่ชายคนนี้ได้ยินตอนเกิดอาการ ภาพหลอน-ประสาทหลอน
หนังจากที่ดูหนังทั้ง 11 เรื่องจบลง ก็มีการลงคะแนนเสียง Popular Vote กัน และก็เข้าสู่การประกาศรางวัล ซึ่งเป็นไปตามคาดหมาย เจ้าหญิงนิทรา คว้าไปทั้งรางวัลหนังยอดเยี่ยม และ Popular Vote ซึ่งเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าหนังเรื่องนี้นำหน้าหนังเรื่องอื่นมากๆ
โดยสรุปแล้วผมคิดว่ามาตรฐานของหนัง FaT Film ปีนี้สูงขึ้นมาก และมีความหลากหลายมากขึ้นด้วย (รู้สึกว่าจำนวนส่งประกวดจะมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว) ก็อย่างที่บอกไปแล้ว มันไม่ใช่แค่ หนังขำขำ อีกต่อไปแล้วล่ะ
ก็หวังว่างานดีๆ แบบนี้จะมีต่อไป เพื่อเป็นช่องทางแสดงผลงานและความสามารถของเหล่าผู้คนที่มีความฝัน ความหวัง และความพยายาม
แล้วเจอกันใหม่ปีหน้าครับ
ผลรางวัล FaT Film 3
หนังยอดเยี่ยม เจ้าหญิงนิทรา หนังรองอันดับ 1 หนังสือรุ่น / กอด Popular Vote เจ้าหญิงนิทรา
รางวัลโดดเด้ง สาขาหนังจอแก้ว สิ่งสำคัญ (หนังเรื่องนี้ใช้เทคนิค stop motion และมีตัวละครเป็น แก้ว) สาขาโคลสอัพยิ้มของเธอทำฉันเพ้อละเมอฯ เพื่อนสนิท (ได้ไปเพราะนางเอกสองคนในเรื่องยิ้มสวยมาก) สาขาเพลงเพียบ อย่า อยู่ อย่าง อยาก สาขาขุนกระบี่ ยักไหล่ สาขาเล่นอย่างนี้เลยเหรอ ภาพลวงตา
Create Date : 07 สิงหาคม 2548 |
|
35 comments |
Last Update : 7 สิงหาคม 2548 4:39:03 น. |
Counter : 4666 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: grappa 7 สิงหาคม 2548 7:40:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: Thom Yorke IP: 161.200.255.162 7 สิงหาคม 2548 10:09:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: เก้าอี้มีพนัก IP: 61.91.132.244 8 สิงหาคม 2548 1:58:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 8 สิงหาคม 2548 13:20:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: รุ่นน้องนักวิจารณ์ชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ ณ ตอนนี้...อิอิ IP: 61.91.88.229 8 สิงหาคม 2548 23:17:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: merveillesxx IP: 210.246.165.140 8 สิงหาคม 2548 23:53:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: merveillesxx IP: 210.246.165.140 8 สิงหาคม 2548 23:54:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 9 สิงหาคม 2548 8:49:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: เก้าอี้มีพนัก IP: 61.91.185.32 9 สิงหาคม 2548 19:37:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 13 สิงหาคม 2548 8:44:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฉลอง(หล่อ)เทียนลิตร IP: 203.209.111.4 13 สิงหาคม 2548 14:46:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบญจพรรณ รุ่งศุภตานนท์ IP: 202.176.91.35 18 สิงหาคม 2548 14:21:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: เก้าอี้(เนี่ยวันนี้ที่พี่ให้เทปเพลงแคลชโต้งไป พี่ลืมให้หัวใจไปด้วย วันนี้เอาไปเลยนะ) IP: 61.90.108.134 18 สิงหาคม 2548 23:27:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลูกบ้าเที่ยวสุดท้าย IP: 58.10.28.178 20 สิงหาคม 2548 23:03:23 น. |
|
|
|
|
|
|
|
COPY มาจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=19753
-- ได้ซื้อ VCD รวมหนังสั้นของ FAT FILM 1 และ 2 มาด้วย (แต่ปัจจุบันไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว) หนังสั้นที่ชอบมากๆ ก็คือ
1. เวตาล (A+++++)
(ขออภัย จำชื่อผกก.ไม่ได้ รู้สึกว่าหนังจะได้รางวัลชนะเลิศจาก Fat Film 1 นะครับ)
หนังเรื่องนี้ว่าถึงความ 'ไร้ตรรกะ' ของอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง โดยชายคนหนึ่งพยายามจะขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของเขา แต่ลิฟท์ก็เปิดมาที่ชั้น 13 ทุกครั้งไป และเมื่อเขาออกจากลิฟต์มาใช้บันไดแทน ไม่ว่าจะวิ่งขึ้นหรือวิ่งลง มันก็ไม่โผล่ที่ชั้น 13 ทุกครั้งไป
ดูหนังเรื่องนี้นานแล้ว จำตอนจบไม่ค่อยได้นัก แต่จำได้ว่าเพลงปิดท้ายของหนังสั้นเรื่องนี้จะเป้นเพลง เวตาล ของวงโมเดิร์นด็อก (ซึ่งเป็นเพลงที่หลอนและสติแตกมากๆ) จึงทำให้หนังเรื่องนี้ทวีความลึกลับ น่ากลัว และหลอกหลอน อย่างรุนแรง
จำได้อีกอย่างว่า ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ รู้สึก 'กลัว' มากๆ
2. ขุนกระบี่ (A-) (Fat Film 1)
3. ขุนกระบี่ ภาค 4 (A+) (Fat Film 2)
ชอบหนังสั้นของหนังชุดนี้มากๆ แต่ไม่ค่อยประทับใจเวอร์ชันหนังใหญ่ของหนังเรื่องนี้นัก (ขุนกระบี่ ผีระบาด (C+))
4. Happy New Year (A+) (Fat Film 2)
หนังเรื่องนี้เล่าถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่รอให้คุณพ่อกลับบ้านในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่วนแม่ของเด็กน้อยก็ดูจะไม่ค่อยใส่ใจเธอนัก
จำเรื่องราวของหนังไม่ได้แล้ว แต่ชอบภาพของหนังเรื่องนี้ โดยภาพในหนังเรื่องนี้จะมีสองแบบใหญ่ๆ ก็คือ ฉากในคอนโดที่เด็กน้อยคนนี้นั่งๆ นอนๆ รอคุณพ่ออยู่ และฉากข้างนอกที่เป็นกรุงเทพกับผู้คนในวันส่งท้ายปีเก่า
รู้สึกว่าอารมณ์ของหนังเรื่องนี้คล้ายๆหนังของหว่องกาไว เหมือนกัน
ฉากของหนังสั้นเรื่องนี้ที่ชอบมากๆ ก็คือ ตอนที่เด็กน้อยมองไปที่ทีวี ซึ่งฉายภาพบรรดาคนที่ไปชุมนุมกันเพื่อรอเค้าท์ดาวน์ปีใหม่
จริงๆ มีหนังสั้นอีกหลายเรื่องที่ผมชอบจาก VCD Fat Film ทั้ง 2 แผ่นนี้ แต่เนื่องจากจำชื่อเรื่องและเรื่องราวของมันไม่ได้แล้ว แถมตัวแผ่นก็หายไปไหนแล้วไม่รู้