The Scarlet Letter มนุษยอัปลักษณ์
โดย merveillesxx
(บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของหนังอย่างรุนแรง / หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ และคู่แต่งงานใหม่)
หากพูดถึงหนังเกาหลีเรื่อง The Scarlet Letter (2004) แล้ว หลายคนคงคุ้นชื่อมันในฐานะ หนังเรื่องสุดท้าย ในชีวิตของดาราสาว ลีอึนจู (นางเอกที่หลายคนประทับใจจาก Lovers Concerto) ผู้ซึ่งกระทำการอัตวินิบาตกรรมไปเมื่อต้นปี (เรื่องนี้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ในบ้านเราด้วย) สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ข่าวบางแห่งระบุว่าความเครียดจากการเล่นฉากวาบหวิวในหนังเรื่องนี้มีส่วนผลักดันให้เธอฆ่าตัวตายด้วย
ในขณะที่หลายคนที่เห็นชื่อหนัง อาจะจะโยงใยมันไปถึงหนัง The Scarlet Letter ฉบับปี 1995 ที่นำแสดงโดย เดมี่ มัวร์ และแกรี่ โอลด์แมน (ซึ่งสร้างมาจากนิยายอีกทีหนึ่ง) อย่างไรก็ตาม หนังฉบับเกาหลีนั้นไม่ใช่การรีเมคจากหนังฉบับฝรั่งโดยตรง หากมันก็ยังมีสิ่งเกี่ยวพันกันอยู่บางๆ
ผมเข้าใจเอาเองว่า ผู้กำกับ Daniel H. Byun (หนังเรื่องที่แล้วของเขาคือ Interview (2000) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น หนังด็อกม่าลำดับที่ 7 ของโลก) คงได้แรงบันดาลใจมาจาก The Scarlet Letter ฉบับนิยายหรือหนังบ้างเหมือนกัน หากยังจำกันได้หนังฉบับเดมี่ มัวร์นั้น มีตอนหนึ่งที่นางเอกถูกประทับตัวอักษร A บนหน้าอกของเธอเพื่อเป็นการประจานต่อธารกำนัล โดยตัว A นี้ก็เป็นอักษรย่อ (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ Academy Fantasia) มาจากคำว่า adultery อันถือเป็นการคบชู้ขั้นที่รุนแรงที่สุด เพราะมันคือความผิดบาปต่อศีลธรรมจรรยาและบรรทัดฐานทางสังคม
และถ้าลองสังเกตดูก็จะเห็นว่ามีตัวอักษร A อยู่ในโปสเตอร์หนังฉบับเกาหลี รวมไปถึงไตเติ้ลของหนังเรื่องนี้ก็เป็นลวดลายของไม้เลื้อยแบบเดียวกับหน้าปกนิยายด้วย
ดังนั้นแล้ว The Scarlet Letter สไตล์กิมจิ ก็ยังคงเหมือนฉบับก่อนๆ นั่นคือ มันเป็น หนังชู้ แต่ยุคสมัยในหนังก็ถูกปรับเปลี่ยนปัจจุบันแทนที่จะเป็นหนังย้อนยุค และความสัมพันธ์ของตัวละครก็ถูกทำให้ซับซ้อนชวนสับสนมากขึ้นไปอีก เพราะมันไม่ใช่แค่รักสามเส้า แต่มันเป็นความสัมพันธ์แบบ ชายหนึ่ง หญิงสาม (เพราะฉะนั้น บทความต่อจากนี้ไปจะมีชื่อตัวละครประหลาดๆ มากมาย หวังว่าคงจะไม่งงกันนะครับ)
เรื่องราวในหนังว่าถึง คีฮุน (ฮานซุกคิว พระเอก Christmas in August) ตำรวจนิสัยแข็งกร้าว มุทะลุ แต่เมื่ออยู่บ้านเขากลับทำตัวเป็นแฟมิลี่แมนแสนดีต่อหน้า ซูฮุน-เมียรักที่กำลังท้องอยู่ ถึงกระนั้น คีฮุน ก็ยังมิวายไปคบชู้กับ คาฮี (ลีอึนจู) นักร้องสาวประจำคาเฟ่สุดหรู ที่นอกจากจะสวยรวยเสน่ห์แล้ว เธอยังแต่งเพลงได้ด้วย
พล็อตอีกส่วนหนึ่งที่ควบคู่ไปกับความสัมพันธ์ฉันท์ชู้ ก็คือ การเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ว่าด้วยการที่ คีฮุน ต้องไปพัวพันกับคดีที่ สามีของคุงฮี ถูกทุบหัวจนตายอย่างทารุณ คุงฮีถูกสงสัยว่าคบชู้กับมวงซิก และเขานั่นเองที่เป็นคนฆ่าสามีของเธอ แต่เรื่องราวกับวุ่นวายเข้าไปอีกเมื่อฝ่าย คุงฮี บอกกับ คีฮุน ว่ามวงซิกเป็นฝ่ายตามตื๊อเธอข้างเดียว ส่วนด้านมวงซิกก็กลับบอกว่า คุงฮี นั่นแหละที่ยั่วเขาก่อน หนังส่วนนี้นอกจากจะทำให้เราคาดเดาว่า ใครเป็นฆาตกร หรือ ใครกันแน่ที่พูดถึงความจริง อีกสิ่งที่หนังล่อหลวกเราก็คือ การคาดเดาถึงความสัมพันธ์ของคีฮุนกับคังฮี ตามจริงแล้ว ผมคิดว่า The Scarlet Letter เป็นหนังที่ค่อนข้างล้มเหลวในฐานะหนังสืบสวน อันด้วยการผูกเรื่องที่สับสน และการคลี่คลายที่ไม่ชัดเจนพอ ส่วนในฐานะหนังอีโรติกชนิดรักสามเส้าก็เช่นกัน ตัวละครมีแรงจูงใจที่น่าเหลื่อเชื่อจนเกินไป โดยหนังเปิดเผยทีหลังว่าแท้จริงแล้ว คาฮี กับ ซูฮุน เป็นเลสเบี้ยนกัน (?!) และซูฮุนก็ยอมลงทุนแต่งงานกับคีฮุน เพื่อไม่ให้เขาไปได้กับคาฮี (โอย ตายแล้ว แม่คนใจเด็ด!)
แต่ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการเป็น หนังปอกเปลือกมนุษย์ และอาจจะเรียกว่าสำเร็จ จนเกินไป ก็ได้
แต่ก่อนที่จะพูดถึงตรงนั้น เราลองมาดู สัญลักษณ์ ที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้กันดีกว่า
Only When I Sleep ลีอึนจู (หรือ คาฮี ในหนัง) ปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่องนี้ ด้วยฉากที่เธอร้องเพลง เพลงที่เธอร้องคือ Only When I Sleep ของวง The Corrs เนื้อเพลงมีอยู่ว่า
But it's only when I sleep See you in my dreams You got me spinning round and round Turning upside-down But I only hear you breathe Somewhere in my sleep Got me spinning round and round Turning upside-down But its only when I sleep
ทันใดนั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็น คีฮุน มายืนรอเธออยู่ เธอร้องเพลงต่อไป แล้วไม่กี่วินาทีต่อภาพก็ตัดมาเป็นสองคนนี้กระโจนเข้าหากันอย่างเร่าร้อน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณคงเดาได้
แต่ทว่าฉากนี้มันบอกใบ้อะไรกับเราไว้ล่วงหน้าแล้ว เพลงที่คาฮีร้องก็บอกถึงความสัมพันธ์ของเธอกับคีฮุน มันไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน และจะดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเธอจะได้เจอเขาแค่ในยามที่เธอหลับตา
แหวนแต่งงาน หลายครั้งหลายคราที่กล้องจับภาพไปที่แหวนแต่งงาน แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ แหวนมักจะปรากฏอยู่บนนิ้วของฝ่ายชายเท่านั้น ฉากที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ตอนที่คีฮุนสอบสวนมวงซิก (ชายชู้ของคุงฮี) ทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกันคือ หนึ่ง-มีครอบครัวแล้ว และสอง-มีชู้ (คีฮุนเป็นชู้กับคาฮี ส่วนมวงซิกก็คิดจะคบเล่นๆ กับคุงฮี) และสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงในฉากนี้คือ ความเร้าใจในการคบชู้ ซึ่งชวนให้คิดเหลือเกินว่าฉากนี้เป็นประเด็นทางเฟมินิสต์ และกำลังตบหน้าผู้ชายไปพร้อมๆกัน (หนัง ชู้ เกาหลีที่ใช้ แหวนแต่งงาน เป็นสัญลักษณ์เหมือนกันก็คือ Happy End)
การทำแท้ง หนังเรื่องนี้มีผู้หญิงถึงสองคนที่ทำแท้ง คนแรกก็คือ คุงฮี ที่ร่ำลือกันว่าเธอทำมาหลายครั้งแล้ว ส่วนอีกคนก็คือ ซูฮุน (เมียของคีฮุน)
คงเคยได้ยินกันใช่ไหมครับว่า ลูกนั้นถือเป็น พยานรัก ของสามี-ภรรยา แต่ในเมื่อภรรยาสองคนนี้ไม่ได้ รัก สามีของเธอจริง พยานรักที่ว่าจึงต้องถูกทำลายไป
ในกรณีของ คุงฮี ผมเชื่อว่าเธออาจจะเคยรักสามีของเธอ แต่คนที่เธอรักจริงๆ น่าจะเป็นมวงซิกมากกว่า ส่วนกรณีของซูฮุนไม่ต้องสงสัย คนที่เธอรักและต้องการจริงๆ คือ คาฮี
แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบที่ซูฮุนกลับตัดสินใจเก็บลูกเอาไว้ (อาจจะเพราะสัญชาตญาณของความเป็นแม่) เมื่อท้องครั้งที่สอง ทว่าในขณะเดียวกันคาฮีก็ดันท้องลูกของคีฮุนด้วย และเธอก็ต้องการจะเก็บลูกของเธอไว้เช่นเดียวกับซูฮุน
นี่คือ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม
สีแดง องค์ประกอบด้านสีที่โดดเด่นที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นสีแดง ตามชื่อของหนัง (scarlet แปลว่า สีแดงสด) สิ่งที่ผมชอบก็คือ สีแดงในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีตั้งแต่ต้นเรื่อง มันจะค่อยๆ ทวีความเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนังดำเนินไป และสีแดงก็จะทะลักทลายท่วมจอจนถึงขั้นขีดสุดในฉากตอนท้าย
สีแดงที่ปรากฏอย่างเห็นชัดเจนลำดับแรกก็คือ ห้องของคาฮี ทั้งเฟอร์นิเจอร์ และโคมไฟ ที่สำคัญก็คือ ห้องนี้นี่เอง ที่คาฮีกับคีฮุนใช้ประกอบกามกิจกันเป็นประจำจนมีสถานะไม่ต่างจากโรงแรมม่านรูดสักเท่าไร ดังนั้นในขั้นแรกสีแดงคงจะหมายถึง ไฟราคะ ของสองคนนี้
หนังดำเนินมาถึงจุดสูงสุดในตอนท้าย เมื่อคีฮุนกับคาฮี ดันเล่นพิเรนมีเซ็กส์กันท้ายรถ แต่เจ้าฝากระโปรงเจ้ากรรมดันล็อกให้ทั้งคู่ติดอยู่ในนั้น!
และแล้วเพลงโหมโรงของกระบวนการ ปอกเปลือกมนุษย์ ก็เริ่มต้นบรรเลง
ไม่รู้ว่าด้วยเพราะการติดอยู่ในที่แคบและขาดอ็อกซิเจนหรืออย่างไร คาฮีเลยเอาแต่พูดพร่ำเพ้อพรรณนาแต่ถึงความตายอันแสนสุขของเธอกับคีฮุน เธอบอกว่าการที่เธอกับคีฮุนจะตายไปพร้อมกันในนี้ ภาพของเธอและเขาจะต้องลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ มันช่างเป็นการตายที่สุดแสนจะโรแมนติกเหลือเกิน (?!)
หนึ่งในประโยคมากมายที่เธอพรั่งพรูออกมาก็คือ ลูกของเราเป็นลูกนอกสมรส (ลูกชู้) เหมือนในหนังเรื่อง The Scarlet Letter เลยนะ และถ้าโยงไปถึงฉบับหนังฝรั่งแล้ว ก็เพราะลูกคนนี้นี่เองที่ทำให้หญิงสาวต้องถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นนางบาป เพราะเธอไม่ยอมบอกว่าใครคือพ่อของเด็ก
ด้านคีฮุนที่ก่อนหน้าทำทีเป็นเทิดทูนบูชาคาฮีมาตลอด ก็เริ่มปล่อยนิสัยชั่วๆ ออกมา เขาตะโกนใส่เธอว่า นังบ้า! หุบปากเสียที เลิกพูดถึงเรื่องความตายได้แล้วโว้ย! และเขาก็ตะกุยตะกายไปทั่ว พร้อมพูดพร่ำกับตัวเองว่า ฉันต้องรอด ฉันต้องรอด
แต่แล้วความตายอันแสนสุขของคาฮีก็ต้องพังพินาศ เมื่อจู่ๆ เธอก็มีเลือดไหลออกมาจากตรงนั้น คาฮีตกใจและกรีดร้องแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าตัวเองกำลังจะแท้งลูก เธอร้องตะโกนบอกคีฮุนว่า ช่วยฉันด้วย! พาฉันออกไปที ลูกของฉันต้องรอด! แต่สิ่งที่คีฮุนทำก็คือ หัวเราะอย่างเสียสติ และฮัมเพลงซิมโฟนี่ออเครสตร้า (!)
หนังยังคงกดดันคนดูต่อไป เมื่อคาฮีคว้าปืนมาจากคีฮุนหวังจะปลิดชีพตนเองให้พ้นจากสภาพอันน่าสมเพชนี้เสียที แต่สิ่งที่คีฮุนทำคือ แย่งปืนมาจากเธอ พร้อมกับร่ำไห้ว่า อย่าทิ้งฉันไป! อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว! แล้วเขาก็ร้องไห้โหยหวนออกมาชนิดที่ไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีกต่อไปแล้ว
และหลังจากนั้นไม่นาน เสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด
อ่านฉากที่ผมบรรยายไว้ข้างบนแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับผมแล้วฉากในท้ายรถ (ซึ่งยาวเอาการ) เป็นฉากที่กดดันผมให้อึดอัดจนแทบบ้า ถ้าจำไม่ผิดผมรู้สึกวิงเวียนศีรษะ แล้วก็อยากจะอาเจียนด้วย!
อย่างไรก็ตาม ฉากที่ว่าก็ส่งผลรุนแรงมาก ในการบอกเล่าถึง สันดานดิบ และ ธาตุแท้ ของมนุษย์ คีฮุนและคาฮีในฉากนี้ไม่หลงเหลือหน้ากากของความเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว พฤติกรรมของทั้งคู่ในฉากนี้ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉาน (ทั้งนี้คงต้องยกความดีให้กับการแสดงขั้นเทพของ ฮานซุกคิว และลีอึนจูด้วย ฉากหนึ่งที่เธอเล่นได้สุดยอดมากคือ การมีเซ็กส์พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย!)
ส่วนเรื่องสัญลักษณ์สีแดงที่ใช้ในฉากนี้ก็คงทราบกันแล้วใช่ไหมครับว่ามันคืออะไร
ใช่แล้วครับ! มันคือ เลือดมนุษย์
เลือด ถูกใช้อย่างสุดโต่งที่สุดตอนบทสรุปของฉากนี้ เมื่อตำรวจไปพบรถของคีฮุนในที่สุด เมื่อเปิดท้ายรถออกมา พวกเขาก็ต้องตะลึงกับสภาพที่เห็น คีฮุนในสภาพที่ท่วมไปด้วยเลือดสีแดงฉานกับร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่อยู่ข้างเขา
ฉับพลันนั้นเองคีฮุนก็ฟื้นขึ้น สิ่งที่เขาทำก็คือ วิ่งลงไปในแม่น้ำอย่างเสียสติ กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ดั่งกับว่าต้องการ ล้างเลือด ออกให้หมด
แต่เขาก็รู้ดีว่าแม้คราบเลือดจะหลุดลอยไปตามสายน้ำ แต่ ฝันร้าย นั้นจะตามหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต
ต้องสารภาพกันตรงนี้เลยว่าฉากที่ว่ามาทั้งหมดนั้นทำให้ผม กลัว เข้าไปถึงสุดขั้วหัวใจ
แล้ว สีแดง ในฉากนี้สื่อถึงอะไร
สำหรับผม ผมคิดว่ามันหมายถึง ความชั่วร้ายของมนุษย์ และถ้าเราโยงไปถึงประโยคในตอนต้นที่เล่าถึง ภรรยาที่ค้นพบผลแอปเปิ้ล และเธอก็ชักชวนให้สามีกิน ซึ่งเหมือนเรื่องเล่าของอดัมกับอีฟที่แอบเข้าไปกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนไม่มีผิด ทั้งสองถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์ และมีตราบาปที่ติดตัวไป ก็คือ อดัม (ผู้ชาย) มี ลูกกระเดือก และอีฟ (ผู้หญิง) มี ประจำเดือน
และการลักลอบกินแอปเปิ้ลสีแดงก็อาจเหตุที่มนุษย์มีเลือดเป็น สีแดง ก็เป็นได้ นั่นก็หมายความว่า ความชั่วของมนุษย์ ก่อกำเนิดขึ้นและติดตัวมนุษย์มานับตั้งแต่วันนั้น
แอปเปิ้ลนั้นได้ชื่อว่าเป็น ผลแห่งภูมิปัญญา และตัวละครในหนังก็ดูเหมือนจะมีสิ่งนั้นดี พวกเขาและเธอต่างถูกจัดเป็นชนชั้นสูงในสังคม ซูฮุนเป็นนักเชลโล่ คาฮีเป็นนักร้องและนักเปียโน ส่วนคีฮุนก็เป็นตำรวจยศสูง (ยิ่งไปกว่านั้นวันที่เกิดเหตุ ท้ายรถนรกแตก เขาก็เพิ่งไปรับ เหรียญเกียรติยศ มา) แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจของพวกเขาได้เลย เพราะว่า ภูมิปัญญา ของพวกเขากลับถูกกลบมิดไปด้วยอำนาจแห่ง กามารมณ์
นั่นทำให้ มนุษย์ ไม่ต่างไปจาก สัตว์ แม้แต่นิดเดียว หลังจากดู The Scarlet Letter จบแล้ว ผมนอนไม่หลับ และรู้สึกขยะแขยงมนุษย์อย่างบอกไม่ถูก ความอัปลักษณ์ของมนุษย์ยังคงถูกขับเน้นอยู่ในสมองของผมไปตลอดทั้งคืนนั้น
และมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อผมคิดได้ว่า เลือดสีแดงฉาน นั้น ไหลเวียนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกผู้ทุกคน รวมถึงตัวผมเอง
ข้อมูลอ่านประกอบ 1. อ่านเรื่องของหนัง ด็อกม่า ได้ใน PULP ฉบับที่ 23 (หน้าปก Sin City) 2. อ่านเรื่องของ ชู้ 4 ประเภท (relationship, infidelity, affair และ adultery) ได้ในส่วน บทนำ ของหนังสือ คนรักของคนรัก โดย นันทขว้าง สิรสุนทร 3. อ่านบทวิจารณ์หนังเรื่อง Interview ได้ในหนังสือ วันคืนที่เราใช้จ่ายไปด้วยกัน โดย นันทขว้าง สิรสุนทร 4. ข้อมูลหนัง The Scarlet Letter //www.imdb.com/title/tt0427411/
REST IN PEACE ~ Lee Eun-Ju (1979-2005)
ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งหลังจากผมดูหนังเรื่องนี้จบก็คือ รู้สึกเสียดายเหลือเกินที่เธอจากเราไปเร็วเกินควร การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก และมันก็ควรถูกจดจำไว้ตลอดไป
ภาพนี้มาจากหนังเรื่อง The Scarlet Letter เป็นฉากที่เธอร้องเพลง Only When I Sleep
Lee Eun-Jus Filmography 01. If It Snows On Christmas (1998) 02. Virgin Stripped Bare by Her Bachelors (2000) 03. Bloody Beach (2000) 04. Bungee Jumping of Their Own (2001) 05. Lover's Concerto (2002) 06. Unborn But Forgotten (2002) 07. Garden of Heaven (2003) 08. Au Revoir, UFO (2004) 09. Taegukgi (2004) 10. Bulsae (2004) TV Series 11. The Scarlet Letter (2004)
Create Date : 11 กันยายน 2548 |
|
45 comments |
Last Update : 11 กันยายน 2548 4:50:56 น. |
Counter : 18896 Pageviews. |
|
|
|
-- แม้จะผ่านมาถึง 4 ปีแล้ว แต่โลกภาพยนตร์ / ดนตรี / วรรณกรรม ก็ยังมีผลงานที่สะท้อนความเห็นต่อเหตุการณ์ 9/11 ออกมาอยู่เรื่อยๆ อย่างที่เพิ่งผ่านไปก็เช่น Land of the Dead (ซึ่งผมไม่ได้ดู)
-- ส่วนหนังที่จะเข้าเร็วๆ นี้แล้วเกี่ยวกับ 9/11 ก็เช่น
Red Eye (2005, เวส คราเวน)
YES (2004, แซลลี่ พ็อตเตอร์)
(อ่านเกี่ยวกับหนังสองเรื่องนี้ได้ใน BIOSCOPE เล่มใหม่)
-- หนังที่เกี่ยวกับ 9/11 ที่ผมชอบที่สุดน่าจะเป็น Land of Plenty (2004, วิม แวนเดอร์ส, A+) ครับ
---------------------------------------
หนังโรงที่ได้ดูช่วงนี้
1. แหยมยโสธร (2005, เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา, B+)
หนังดูสนุก และสีสวยดี ชอบตัวละคร "คุณนายดอกท้อ" ฮามาก
2. Dark Water (2005, Walter Salles, A-)
วอลเตอร์ ซาลเลส (เขาคือ ผกก. Central Station และ The Motorcycle Diaries) ไม่ได้ทำหนังเรื่องนี้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด เพียงแต่ผมอาจจะเบื่อๆ กับหนังแบบนี้แล้วก็ได้
สิ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือ ไม่มีมุกผีตกใจจนเกินงาม และไม่มีอีผีผมยาว-ใส่ชุดขาว-คลื่นกระดึบๆ ด้วย (สูญพันธ์ไปซะที)
อีกอย่างก็คือ หนังพยายามใส่แง่มุมทางจิตวิทยาด้วย นั่นคือ ปมวัยเด็กของนางเอก และสภาพสังคมเมืองใหญ่กับหญิงสาวคนหนึ่ง