|
|
|
Dear Frankie: ถึงแฟรงกี้ที่รัก...จากแม่

(คำชี้แจง: เรื่องย่อข้างล่างอาจดูเหมือนสปอยล์เยอะ แต่หนังตัวอย่างมันเล่าแบบนี้จริงๆค้าบ และยังมีรายละเอียดอีกหลายส่วนที่ลึกซึ้งกว่านี้ รอให้ไปติดตามกันต่อเองจะดีกว่า)
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนจนเดาใจไม่ออก ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา โรงหนัง อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อคุณไปติดแหงกกับฝนอยู่นอกบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมประสบมาในวันนี้ และเลือกที่จะใช้เวลากับหนังอังกฤษเรื่อง Dear Frankie ที่ฉายเฉพาะโรงภาพยนตร์ house RCA
ก่อนหน้าที่จะมาไปชม ก็พอที่จะผ่านตาหนังตัวอย่างเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ที่แม้ว่าพล็อตจะไม่ใหม่ แต่ก็ดูน่าสนใจใช้ได้ หนังเล่าเรื่องราวของลิซซี่ (เอมิลี่ มอร์ติเมอร์) คุณแม่ผู้มีลูกติดเป็นเด็กชายที่มีปัญหาด้านการรับฟังที่ชื่อว่า แฟรงกี้ (แจ๊ค แม็คเอลออน) ถึงแม้จะขาดพ่อมาดูแล แต่แฟรงกี้ก็หมั่นเพียรเขียนจดหมายถึงพ่อของเขาที่กำลังล่องเรืออยู่ ทว่าหนังก็เฉลยให้เรารู้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า แท้จริงแล้วพ่อของแฟรงกี้ไม่ได้ออกเดินเรือตามที่เขาเข้าใจ แต่จดหมายทั้งหมดกลับตกไปอยู่ในมือของลิซซี่ผู้เป็นแม่ ที่ปลอมตัวเขียนจดหมายในคราบพ่อ เพื่อไม่ให้แฟรงกี้เสียใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่วันหนึ่งก็เกิดเรื่องยุ่งเข้าจนได้ เมื่อแฟรงกี้ดันไปพนันกับเพื่อนที่โรงเรียนว่าพ่อจะแวะมาหาจริงๆ จากการติดตามข่าวสารของเรือเดินสมุทร (ลิซซี่รู้ได้จากจดหมายที่แฟรงกี้เขียนถึง "พ่อ") ดังนั้นปฏิบัติการพ่อกำมะลอจึงจำต้องเกิดขึ้น โดยมีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนเธออีกที (เจอราด บัตเลอร์) มาช่วยเป็นคุณพ่อให้ 1 วันในงานนี้ แต่พอเอาเข้าจริง แฟรงกี้กลับทำให้ชายหนุ่มผู้แข็งกระด้างผูกพันธ์และสนิทใจได้ในเวลาไม่นาน (และที่สำคัญคือแฟรงกี้เชื่อว่าเขาคือพ่อจริงๆ) นั่นทำให้เขาเสียดายที่จะจากไป และทำให้เขาได้ใช้เวลากับลิซซี่มากขึ้น ซึ่งทางด้านลิซซี่เอง ก็ดูเหมือนจะตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว...หรือเปล่า??
จากเรื่องย่อ นี่ดูเหมือนจะเป็นหนังที่เอื้อให้บิลด์อารมณ์บีบน้ำตาได้อย่างง่ายดายมาก แต่ Dear Frankie เหนือชั้นกว่านั้นด้วยการค่อยๆดำเนินไปอย่างราบเรียบ ทว่าลึกซึ้งในรายละเอียด และไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย รวมไปถึงตัวบทที่ไม่พยายามยัดเยียดความจอมปลอมตามสูตรสำเร็จให้กับตัวละคร แต่กลับปล่อยทุกคนให้เป็นไปตามธรรมชาติและสมจริง
ทีมนักแสดงหลักทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะมอร์ติเมอร์ที่ถือเป็นศูนย์กลางหลักของเรื่อง และบัตเลอร์ที่ได้ฤกษ์กระชากหน้ากาก The Phantom of the Opera เสียที สำหรับในเรื่องนี้บัตเลอร์อาจดูแข็งๆไปบ้างในช่วงแรก แต่เมื่อหนังดำเนินไป ผู้ชมก็จะเข้าใจไปเองว่านี่คือบุคลิกของตัวละคร และเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนบุคลิกกลายเป็นคนอบอุ่นตามบทได้อย่างแนบเนียนและน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ ตัวบทยังมีรายละเอียดเล็กๆอีกมากที่ชี้ให้เห็นว่าผู้กำกับ Shona Aeurbach (ขอโทษทีเถอะ ไม่กล้าสะกดชื่อเป็นไทยจริงๆ กลัวผิด - ชอร์น่า เอือร์บาช...เหรอ? ) ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆทั้งหมดของหนัง อาทิเช่นการวางองค์ประกอบภาพในฉากที่ลิซซี่กับพระเอกเริ่ม "กิ๊กกัน" หน้าห้องพัก (สปอยล์: มันเป็นฉากที่ประตูนึงเปิด ประตูนึงปิดอยู่ หระเอกยืนอยู่ฝั่งประตูด้านที่ปิด ส่วนนางเอกยืนอยู่ในฝั่งด้านที่ประตูเปิด เหมือนจะบอกเรากลายๆว่า นางเอกกำลังจะ "เปิดรับ" ตัวพระเอกได้แล้วนะ) จนไปถึงการขึ้น end credit ในตอนท้าย ที่ถ้าผมไม่คิดมากเกินไป ก็แสดงว่าผู้กำกับคนนี้ละเอียดละออในการวางรายละเอียดมากจริงๆ อีกทั้งยังควบคุมจังหวะหนังได้อย่างลงตัว ผ่อนหนักเบาได้ไม่ขาดไม่เกิน และบิลด์อารมณ์แบบพอเหมาะพอดี ทั้งหมดที่ว่ามานี้ทำให้ Dear Frankie กลายเป็นประสบการณ์เล็กๆที่น่าประทับใจครั้งหนึ่งในการดูหนังของปีนี้เลยทีเดียว
อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรก ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย การดูหนังเล็กๆ แต่อบอุ่นดีๆสักเรื่อง ถึงแม้จะไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์พร้อมมากนัก ทว่าก็ช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ฟ้าฝนกระหน่ำไปได้อย่างสดชื่นดีไม่น้อยเลยทีเดียว
รักคนอ่าน...
| Create Date : 16 กันยายน 2548 | | |
| Last Update : 16 กันยายน 2548 1:00:06 น. |
| Counter : 2783 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
Infection: โรงพยาบาลผี-โรงหนังผี!!

ถือเป็นเรื่องบังเอิญอีกแล้วที่สุดสัปดาห์นี้มีหนังสยองขวัญจากฝั่งเอเชียเข้าฉายชนกันถึง 2 เรื่อง อันได้แก่ Red Eye (ไม่ตาย แต่ไม่กลับ, 2005) หนังรถไฟผีเกาหลีที่ถูกรุมสวดอย่างมหาศาลมาแล้ว แน่นอน เห็นท่าไม่ดีอย่างนี้ ผมจึงหลีกเลี่ยงมาดูหนังผีอีกเรื่องแทน นั่นคือ Infection (โรงพยาบาลผี, 2004) หนังโรงพยาบาลผีญี่ปุ่นที่ตัดตัวอย่างมาได้น่าดูไม่น้อยทีเดียว
ขอเท้าความคร่าวๆ เกี่ยวกับรายละเอียดของหนังเรื่องนี้ก่อนนิดนึงนะครับ จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกในโครงการ J-Horror Theater ที่ถ้าจำไม่ผิด (ถ้าผิดช่วยแก้ด้วยนะครับ) จะเป็นโครงการที่ร่วมทุนกันโดยหลายบริษัทเพื่อดันหนังผีญี่ปุ่นให้โกอินเตอร์ (ในอเมริกา บริษัทจัดจำหน่ายหนังเรื่องนี้คือ Lions Gate) ซึ่งเรื่องที่สองที่ตามออกมาก็คือ Premonition หรือ Yogen (รู้-เห็น-ตาย, 2004) ที่เราได้ออกฉายและหลับระเนระนาดกันไปแล้วนั่นเอง (ตลกดีที่เมืองไทยเอาตอน 2 มาฉายก่อน) แต่ว่าหนังทั้ง 2 ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด และจู่ๆ โปรเจกต์นี้ก็เงียบลงเสียดื้อๆ โดยมีหนังสองเรื่องนี้ทิ้งเอาไว้เป็นมรดกโลกต่อไป
สำหรับ Infection (หรือในชื่อภาษาถิ่นว่า Kansen) หลังจากที่ผมได้ตีตั๋วเข้าไปชมในรอบเวลา 17.50 ของวันพฤหัสฯที่ 25 สิงหาคม ก็รีบทำธุระส่วนตัว และรีบจ้ำอ้าวเข้าไปในโรงภาพยนตร์ที่ 1 ของ SFX Emporium ทันที (ที่กระแดะมาดูโรงไฮโซเนื่องจากมันฉายเป็น soundtrack ต้องเข้าใจ) และตั้งแต่หนังยังไม่ทันฉาย เค้าลางความฉิบหายก็เริ่มปรากฎทันที
เริ่มแรกคือมีชาวญี่ปุ่น 4 คน ที่ผมเจอในห้องน้ำเมื่อกี้เข้ามานั่งคุยกันค่อนข้างคึกครื้น แถมยังนั่งผิดแถวทับที่ผมอีกต่างหาก หลังจากพวกเขาย้ายไปนั่งให้ถูกที่ถูกทางแล้ว ซึ่งเป็นแถวหน้าผม เยื้องซ้ายไปหน่อยนึง (ด่าไม่ได้ๆ ต้องทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีไว้ก่อน...หุหุ) ผมก็หย่อนก้นลงนั่งดูหนังตัวอย่างอย่างสบายอารมณ์ อีกอึดใจหนึ่ง ก็มีเด็ก (ฉิบหายแล้ว!!) เข้ามานั่งข้างๆผมกับผู้ปกครอง 1 คน พร้อมทั้งอาหารการกินมากมายอีก โอว! แต่มันยังฉายหนังตัวอย่างอยู่ ตอนฉายจริงอาจจะไม่คุยก็ได้ แต่อีกสักพัก ก็มีหญิงสาว 2 คนปรากฎตัวขึ้นด้านขวาของผม ซึ่งพวกเธอพูดคุยกันตั้งแต่หนังตัวอย่างเลยทีเดียว คุณพระ! น่ากลัวกว่าเด็กอีกนะเนี่ย!!
เมื่อหนังฉายจริง ก็หวังว่ารูปการณ์จะดีขึ้น แต่ที่ไหนได้ ชาวญี่ปุ่น 4 คนข้างหน้าก็เม้าท์กัน (แอบจับความได้นิดๆจากการเรียนภาษาญี่ปุ่นมา 1 คอร์สว่า เหมือนประชดๆเชิงดีใจว่าอุ๊ย หนังพูดญี่ปุ่นด้วย) ส่วนเด็กชายข้างๆก็จ้วงข้าวโพดเอาๆ ทั้งเรื่อง ที่หนักสุดคือเจ๊ 2 คนที่คุยกันทุกฉากทุกตอน ซึ่งแบบ นี่ขนาดหนีจากพากย์ไทยมาดูซาวน์แทรคแล้วนะ ยังเจอ"ทีมพากย์"ส่วนตัวมาอยู่ข้างๆอีก ช่วยด้วยยย...ยังงี้ย้ายหนีดีกว่า ยอมนั่งหน้าวะ น่ากลัวกว่าหนังอีกนะเนี่ย
แต่ก็ใช่ว่าตัวหนังจะไม่น่ากลัวเอาเสียเลย Infection ถือว่าเป็นหนังที่น่ากลัวใช้ได้อยู่เหมือนกัน (ที่แน่ๆ ก็ดีกว่า Yogen... ฮา) ถึงมันจะมั่วซั่วและเละตุ้มเป๊ะไปบ้างตามประสาหนังผีญี่ปุ่น แต่หนังก็กลับทำออกมาได้น่าขนลุกขนพองทีเดียว ซึ่งลำพัง ทั้งบรรยากาศและเครื่องมือในโรงพยาบาลก็ดูน่ากลัวอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้ก็จับสิ่งเหล่านั่นมาเล่นและทำให้น่ากลัวกว่าเก่า ที่ถึงแม้จะไม่น่ากลัวถึงขีดสุด แต่ก็เป็นการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาเล่นได้อย่างน่าสนใจ
เรื่องราวผีๆสางๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องอาจไม่สำคัญนัก เพราะตัวหนังเล่นผสมปนเปทั้งเรื่องราวจิตหลอน ทริลเลอร์ และผี เอาไว้ในเรื่องเดียวกันแบบครบเซ็ท แถมยังเต็มไปด้วยองค์ประกอบบังคับที่หนังสองขวัญต้องมีทุกอย่างอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น คุณยายแก่ท่าทางหลอนๆ ตัวละครที่ไม่น่าไว้วางใจ เพลงประกอบดังสนั่น และของเหลวสีเขียวน่าขยะแขยง (มั่วดีไหมล่ะ?) จนเหมือนกับว่า ยัดเข้ามาเพื่อบังคับให้กลัวกันเสียอย่างนั้น (และมันก็พอจะได้ผลอยู่เหมือนกัน)
เอาเป็นว่า ในช่วงท้าย เรื่องราวมันก็มั่วตามแบบฉบับของหนังผีญี่ปุ่นทั่วไป แต่ระหว่างทางที่มันดำเนินไปนั้น ก็มีช่วงหลอนใช้ได้อยู่พอสมควรทีเดียว ก็ถือว่าแนะนำ สำหรับคอหนังแนวนี้แล้วกันนะครับ แต่สำหรับคนที่ไม่ใคร่จะชื่นชอบหนังผีๆสางๆ แต่โดนแฟนบังคับไปดู ก็ทำใจยอมรับสิ่งแหวะๆ ในหนังหน่อยก็แล้วกัน เพราะผมถึงกับวิงเวียนเมื่อหนังเลิกเลยทีเดียว
แต่ถึงสุดท้าย ไม่ว่าหนังจะน่ากลัวมากมายอย่างไร ผมก็พอจะได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่งว่า "ผีในโรงหนัง" ที่ว่ามา น่ากลัวกว่ามากๆครับ.. จริงๆนะ 
รักคนอ่าน...
| Create Date : 27 สิงหาคม 2548 | | |
| Last Update : 27 สิงหาคม 2548 14:05:21 น. |
| Counter : 8716 Pageviews. |
| |
|
| |
|
|
| |
|
|