Group Blog
 
All blogs
 

น้ำใสใจจริง - อ่านด้วยความคิดถึง ซึ้งด้วยความทรงจำ


ดอกไม้สด หลากสีสัน
แม้เบ่งบาน สดใส รื่นรมย์
สักวันก็คงเฉา ร่วงโรย
ถ้าถูกปล่อยให้ระย้าท้าแสงแดด
ขาดคนเอาใจใส่

แล้วคนเรา
หากไร้ความชุ่มชื้นจากน้ำมิตร
พลังในหัวใจจะอ่อนล้าเพียงใด

สัมผัสความรักความเอื้ออาทร
จากเรื่องราวชีวิตหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย
ซึ่งต่างที่มา ต่างจุดหมายปลายทาง

แต่ยามนี้   น้ำใสใจจริง
คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงพวกเขาให้อยู่ร่วมกันด้วยไมตรี

และอนาคต  ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ ณ จุดใด
สายใยที่ผูกพันความเป็นมิตรแท้ก็ยังคงกระชับมั่น


น้ำใสใจจริง  วรรณกรรมสะท้อนความสุขแห่งมิตรภาพ

----------------------------




ยังจำได้ไหม  สมัยเป็นละครออกอากาศทาง ช่อง ๗  เมื่อ ๒๐ ปีก่อน (๒๕๓๗) นำทีมโดยพี่หนุ่ม-แศรราม พี่เต๋า-สมชาย พี่แคท-แคทรียา และพี่นัท-มีเรีย  (เรียกพี่นำ เพราะถือว่าโตมากับการกรี๊ดดารารุ่นนี้ อิอิ) ตอนนั้นเรียกได้ว่าติดละครเรื่องนี้งอมแงม  แต่สมัยก่อนไม่มีเงินซื้อหนังสือหรอกค่ะ  อาศัยอ่านตามห้องสมุดหรือร้านเช่า จนกระทั่งทำงานหาเงินเองได้ถึงได้เริ่มซื้อ นี่อาจเป็นสาเหตุของความอัดอั้นทุกวันนี้จึงมีหนังสือซื้อมาดองกองอยู่เป็นพะเรอเกวียน แต่ถึงอย่างนั้นก็เพิ่งจะมีเล่มนี้ "น้ำใสใจจริง"


ในละครทำออกมาได้สนุกสนานชอบมาก ความรักของครีมกับโจม และคู่กัดระหว่างสาวมาดทอมฉายา "อ้อมเพชรศิษย์ บขส." กับ นายสุดหล่อที่ไม่มีใครเอาอย่างนายทัดภูมิ  ส่วนในหนังสือ ถ้าใครคาดหวังในนิยายรักโรแมนติกคิดว่าคงไม่ตอบโจทย์สักเท่าไร เพราะนิยายเรื่องนี้โดดเด่นด้วยเรื่องราวของเพื่อนที่ผูกพันกันด้วยสายใยแห่งมิตรภาพ โจม ครีม ทัดภูมิ อ้อม หนิง ป๊อ  โหม่ง แคน พี่มหา รุ้ง อาจารย์สุประดิษฐ์ อาจารย์อัญชลิกา อาจารย์พอดี หรือ "ป๋าพอดี" ที่หาความพอดีไม่ค่อยได้  และยังมีอาจารย์ทองถวิลจอมเฮี๊ยบ  ที่นักศึกษาเรียกกันลับหลังว่า "ป้าทอง"

ซึ่งไม่ว่าจะในละครหรือในหนังสือเราชอบตัวละครทุกคน  และชอบเป็นพิเศษคือรูมเมทคู่เขม่นอย่างโหม่งกับแคนที่ไม่ค่อยจะถูกกันซะเลยเพราะโหม่งเป็นคนรักสัตว์เหลือแสน ส่วนนายแคนไม่ถูกชะตากับสัตว์ทุกชนิด ทั้งคู่เริ่มมีปัญหากันตะหงิดๆ นับแต่วันเข้าหอที่โหม่งแอบเอาน้องนกพกกรุงมาเลี้ยงที่หอพัก นั่นยังพอจะอดทนได้ แต่กรณีของ "ไอ้บอย" เพื่อนรักของโหม่ง แคนรับไม่ได้จริงๆ จึงเกิดเป็นเรื่อเป็นราวถึงขั้นต้องมีการย้ายห้องเปลี่ยนรูมเมท   แต่กรณีนี้โชคดีของไอ้บอย เมื่อมีโหม่งเข้ามาใครก็เรียก "ไอ้บอย" ว่าเป็นหมาจรจัดเร่ร่อนไม่มีเจ้าของได้เต็มปาก  เพราะโหม่งทุ่มเทดูแลให้ความรักความเอาใจใส่ต่อมันเป็นอย่างดี   

เมื่อนักศึกษาหนุ่มสาวมาอยู่รวมกันเป็นรุ่นบุกเบิกในมหาวิทยาลัยถิ่นภูธร  ต่างคนต่างจิตต่างใจ ต่างนิสัยจากร้อยพ่อร้อยแม่ บางคนอ่อนแอ บางคนเข้มแข็ง บางคนเอาแต่ใจ มีคนที่ปรับตัวได้ง่าย แล้วก็มีคนที่ปรับตัวได้ยาก แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกัน ได้ช่วยเหลือกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยน้ำใสใจจริง สายใยมิตรภาพเหล่านี้ได้ถักทอความผูกพันของเพื่อนแท้ ซึ่งเนื้อเพลง "เพลงของเพื่อน" ได้ช่วยบรรยายเนื้อหาของนิยายเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

ห่วงใยกัน กว่าใคร ต่างมีใจ ผูกพัน  แค่มองตา รู้กัน ทุกอย่าง
ต่างดูแลและใส่ใจ ต่างก็คอยชี้นำทาง  และไม่เคย เรียกร้องเอาสิ่งใด
เพราะเราคือ เพื่อนกัน   และไม่ยอม ทิ้งกัน มีแต่รักที่ยิ่งใหญ่
เพราะเราคือ เพื่อนกันก็เลยรู้ใจกันอย่างงี้

อยู่ในวัย คะนอง อย่าลำพองกันมากเกิน  อาจจะเดินหลงทางไปได้
ตั้งใจไป สู่ฝัน ผลักดันกันด้วยแรงใจ ต่อให้ไกล แสนไกลไม่ต้องกลัว

เพราะเราคือ เพื่อนกันและไม่ยอม ทิ้งกัน มีแต่รักที่ยิ่งใหญ่
เพราะเราคือ เพื่อนกัน ก็เลยรู้ใจ เข้าใจ

กอด คอกันไป ไปให้สุด ปลายทาง  คำว่ารักไม่จืดจาง ต่างแลกใจ ให้กัน
กอด คอกันไป ไปให้สุดทางฝัน  บทเพลงเพื่อนนี้ขับขานเพื่อใจจริงและความรัก



ส่วนต่อไปนี้คือ น้ำใสใจจริงในชีวิตจริง ของเราในอีกหลายปีต่อมา ที่ไม่ว่าคุณจะอยากอ่านหรือไม่แต่เราอยากเล่า อิอิ  แต่เตือนว่ายาวนะคะ --- ข้ามไปก็ได้   Smiley

ตัวละครในนิยายเรื่องนี้เป็นรุ่นบุกเบิกรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยภูธรแห่งหนึ่ง  ขณะที่ตัวเราเองในวัยนั้นก็เป็นนักศึกษารุ่นสองของมหาวิทยาลัย (วิทยาเขต) ซึ่งยังถูกนับเป็นรุ่นบุกเบิกเช่นกัน พวกเรามีกันอยู่แค่ร้อยกว่าคน การบรรยายบรรยากาศต่างๆ ในนิยายเรื่องนี้จึงกระตุ้นความหลังความทรงจำแสนดี และทำให้คิดถึงมาก

ภาพของหอพักนักศึกษา แทบจะผุดขึ้นมาจากคำบรรยาย หอพักหญิงชายที่ตั้งโดดเด่นแม้จะมีเว้นระยะห่างแต่เราก็คู่กัน (หมายถึง หอพักน่ะนะ) 

เรื่องเล่าผีหอพัก--เราก็มี  กฏหอเราก็เข้ม   ห้องน้ำรวม น้ำไม่ไหล ไฟก็ดับ สระผม ฟอกสบู่ ยังคาร่าง เรายังจดจำ  ไปขยันดับเสียด้วย  ส่วนการออกจากมอไปยังหมู่บ้านร้านตลาด  สมัยเรามีจักรยานน้อยคัน  อัพเกรดขึ้นมาเป็นมอเตอร์ไซด์ที่ท้ายแทบไม่เคยว่าง  คนขับหนึ่ง ซ้อนท้ายสอง นั่งซ่อนหน้าคนขับอีกหนึ่งเป็นภาพที่พบเห็นกันได้ไม่แปลก เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีมอเตอร์ไซด์เป็นของตัวเอง 

ที่ตั้งมอของเราอยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร  ตอนนั้นถนนจากหน้ามอออกไปยังชุมชน ยังไม่มีไฟถนนเลยด้วยซ้ำ  เคยครั้งหนึ่งที่ไฟรถมอเตอร์ไซด์เสีย  ต้องขับมอเตอร์ไซด์ฝ่าความมืดกลางถนนมืดมิด ซึ่งนั่นมันชวนหลอนมาก  กลัวคนไม่เท่าไหร่ แต่กลัวมากคือ ผ สระอี ผี 

ก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ในหอพักที่สร้างเสร็จในปีต่อมา  ในปีแรกพวกเราอาศัยเช่าบ้านอยู่รวมๆกันในชุมชน  เพราะไม่มีหอพักมีแต่บ้านเช่าเป็นหลังๆ  คนไม่เคยรู้จักจึงต้องจับกลุ่มมาอยู่รวมกันเพื่อเป็นการประหยัด  ที่จริงในปีแรกนั้นเรามีอิสระกว่าการอยู่ในหอพักมาก บางทีก็ตั้งวงย่างหมูกะทะ  (ปาร์ตี้ยอดฮิต)  มี "ป๊อกซ่า" เป็นตำนานการชงเหล้าของเหล่าบรรดาขาเฮ้ว บ้านหลังหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ้านหรรษา (เราอยู่หลังนี้) เพราะมีพื้นที่กว้างและโต๊ะยาวตัวใหญ่เหมาะกับกิจกรรมหลากหลาย สุมหัวทำรายงาน ลอกการบ้าน ตั้งวงไพ่ เล่นบิงโก โขกหมากรุก กินข้าวกินปลา มาม่าสาบาน เราใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่น

คุณรู้จักไหม  มาม่าสาบาน  ดึกดื่นทำรายงาน หิวขึ้นมาก็เทมาม่าหลายๆ ซอง ใส่ลงไปในกระทะน้ำร้อนรวมกัน ปรุงเสร็จก็ยกมาตั้งทั้งกระทะตักตะเกียบจ้วงช้อนกินรวมกันอย่างนั้นเองไม่จำเป็นต้องตักแบ่ง  ยามมีกิน-กินด้วยกัน  ยามอด-อดด้วยกัน  อย่างหลังนี้จะเป็นช่วงเวลาปลายเดือนที่เงินส่งเสียจากทางบ้านต่างร่อยหรอ เอาล่ะ ถึงเวลาหยิบรองเท้าผ้าใบออกไปใส่วิ่งออกกำลังกายตามทางเดินริมทุ่งนา เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีใคร ชะแว๊บลงไปเก็บผักบุ้งปลายนามาผัดกินกัน  (เป็นนักศึกษา--ช่างยากจนข้นแค้น)

วิทยาเขตสร้างใหม่ ของมหาวิทยาลัยทางการเกษตร แน่นอนว่าที่ตั้งนั้นต้องเป็นพื้นที่กินอณาเขตป่าดงกว้างใหญ่ มีลักษณะเป็นที่ราบแอ่งกระทะ เพราะมองไปทางไหนก็จะเห็นทิวเขาล้อมรอบอยู่ไกลๆ   ด้านหน้ามอ จะมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ฝั่งด้านซ้ายจะเป็นเขื่อนกั้น เราเรียกกันว่าอ่างเดือนเขื่อนดาว มีศาลเจ้าแม่ตั้งอยู่ ณ ยอดเนินริมสันเขื่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราจะพากันไปจุดธูปบอกกล่าวเมื่อเข้ามา บอกลาเมื่อจากไป และในระหว่างปีที่ศึกษากันอยู่นั้น ก็จะมีการสักการะกันประจำปี หรือบางทีก็มีบนบานศาลกล่าวขอให้สอบผ่านได้เกรดดีๆ  (พยายามทุกวิถีทางนะ) 

ถนนเข้าหมู่บ้านผ่านหน้ามอจะแยกมาจากถนนสายหลักที่ตัดผ่านตัวอำเภอ ลึกเข้ามาแล้วเลาะเรียบริมอ่างเก็บน้ำนี้เข้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ที่อยู่ลึกเข้าไป  นอกจากถนนลาดยางเส้นเล็กๆ และอ่างเก็บน้ำที่ว่านี้  อาคารคณะบริหาร  อาคารเรียนรวม สนามบาสเกตบอล และ หอพักสองหลังแล้ว พวกเราถูกล้อมรอบไปด้วยป่ากับป่า  

ในนิยาย โจม  พระเอกของเรื่อง จะชอบเดินบุกป่าฝ่าดงไปดูตัวเงินตัวทอง  บางครั้งก็มีเพื่อนๆ ไปเดินเล่นด้วย    พวกเราก็เดินดูป่าเช่นกัน  บางคนเพื่อนสาวก็เข้าไปหาหน่อไม้มาแกง (แอบทำกับข้าวในหอพัก มันเป็นเรื่องปกติของชาวหอ) และครั้งหนึ่งเพื่อนบ่าวยังได้งูมาด้วย --- ลูกทุ่งขนานแท้ 

"เสาร์พัฒนา"  เป็นชีวิตที่ต้องตื่นมาเพื่อสถาบัน คุณนึกภาพนักศึกษาหน้าตางัวเงียที่แทบจะฟุบหลับมิหลับแหล่นั่งกองเปะปะแลดูไร้สภาพกันอยู่หน้าหอพักในยามถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่เพื่อปฏิบัติภารกิจ "เสาร์พัฒนา" บางทีก็ถางป่า บางทีก็ปลูกป่า ณ อนึ่ง คิดถึงขณะนั้น ถ้าใช้ศัพท์สมัยนี้ต้องเรียกว่า ความเซ็งลงตับ  

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน  แม้จะไม่ได้เรียนสาขาเกษตร (ตอนนั้นยังไม่พร้อมเปิด) แต่พวกเราก็เลี้ยงปลากันด้วย แหล่งน้ำธรรมชาติ เลี้ยงธรรมชาติ แค่ปล่อยปลาลงไปปล่อยให้มันหากินโตกันเอง พอถึงเวลาจับปลาขาย รายได้เข้าสโมสรนักศึกษาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ   มันก็เป็นวันที่ทั้งเหนื่อย ทั้งฮา เพราะว่าพอสูบน้ำออกเหลือแต่โคลน ก็นักศึกษานี่แหละเฮโลดาหน้าลงไปจับปลามือเปล่า  เพิ่งจะเคยจับปลาดุกตัวเป็นๆ ครั้งแรกก็ครั้งนั้นแหละ ตอนแรกจะเกร็งและกลัวมากเพราะกลัวเงี่ยงตำ แต่พอจับได้ รู้วิธี  ทีนี้แหละหนุกหนานกันใหญ่



ในนิยายมีงานเทศกาลลอยกระทงที่ทางจังหวัดจะขอความร่วมมือมาทางมหาวิทยาลัย  พวกเราก็มีงานฤดูหนาว ช่วงชีวิตหนาวเหน็บที่แสนเหนื่อยแต่ก็สนุกสนาน หนักทั้งเรียน เหนื่อยทั้งกิจกรรมที่ต้องรับผิดชอบ  เพราะเรามีกันน้อยคน ชีวิตนักศึกษาที่นี่อย่าหวังว่าใครจะสามารถดำรงตนเป็นบุคคลผู้อู้งานได้  มันต้องมีงานหนึ่งงานใดหรือหลายงานที่แต่ละคนต้องช่วยกันรับผิดชอบคนละไม้ละมือ  ช่วงเทศกาลงานฤดูหนาวจะมีอยู่เก้าวัน  ก่อนหน้านั้นจะใช้เวลาวางแผนเตรียมงานกันก็ไม่น้อย  พอถึงวันงาน กลางวันเราเรียนแต่เช้าจรดเย็น จากเย็นเราเข้าเมืองที่มีทั้งการออกร้านนิทรรศการ การขายสินค้าผลิตภัณฑ์ ส่วนทางมอของเราก็ต้องโปรโมทตัวเองในแง่ต่างๆ 

การเปิดลานเบียร์ในงานฤดูหนาว เป็นงานค่อนข้างหนัก เพราะไหนจะต้องจัดการแสดง แดนเซอร์ นางรำ นักร้องนักดนตรีที่จัดได้ตั้งแต่สตริง ลูกทุ่ง หมอรำ  ไหนจะเด็กเสิร์ฟ แคชเชียร์ ฝ่ายทำอาหาร แล้วยังต้องจัดชุดการแสดงไปขึ้นเวทีใหญ่ที่ทางจังหวัดขอมา  ต้องวิ่งรอกสับเปลี่ยนกันมือเท้าเป็นระวิง กว่าจะเก็บร้านกลับออกจากเมืองก็ตีหนึ่งตีสอง รถปิ๊กอัพวิ่งฝ่าหมอกหนาอากาศหนาวเย็นพวกเรานั่งอัดกันเป็นปลากระป๋องด้วยสองสาเหตุ หนึ่งรถมีน้อยคัน และสอง--มันหนาวววว  กว่าจะถึงตีสามตี่สี่เพิ่งเข้านอน เช้าหอบสังขารไปเรียน เป็นอย่างนี้กว่าจะเสร็จงานพวกเราแต่ละคนก็แทบเดี้ยง 

แต่งานฤดูหนาวนั้นพวกเราจะภาคภูมิใจกับการบริหารจัดการขนานใหญ่ที่แม้จะเหนื่อยหนักแต่ก็ได้มาซึ่งเงินรายได้ที่ใช้ประโยชน์ได้เป็นจำนวนมาก จากรุ่นพี่บุกเบิก สู่รุ่นเรา พอรุ่นน้องถัดไป เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าการจัดลานเบียร์มันดูล่อแหลมเรื่องเหมาะสมหรือไม่ ในตอนนั้นมันไม่เกิดปัญหาอะไร มันจึงไม่มีอะไร เพราะสาวๆ ไม่ได้แต่งโป๊ การแสดงก็เหมือนจัดงานโรงเรียนทั่วไป อาจจะมีถูกแซวบ้างเพราะเป็น "สาวๆ" แต่ก็ไม่ได้มีใครมารุ่มร่ามให้เป็นประเด็น  เราคิดว่าการที่มีมหาลัยมาเปิดวิทยาเขตที่จังหวัดของตนเอง มันจะนำมาซึ่งการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าอย่างหนึ่ง (ซึ่งเห็นได้ชัดยิ่งกว่าชัดในปัจจุบันนี้) นักศึกษาครูอาจารย์จึงค่อนข้างได้รับความเอื้อเอ็นดูและการให้เกียรติ

กีฬาชุมชน  เป็นอีกเรื่องที่สนุกสนาน  เมื่อเอาชาวบ้านแต่ละหมู่บ้านมาแข่งกีฬากันมันก็เหมือนกับพี่ฬาสีนั่นเอง  มหาวิทยาลัยก็ได้รับเกียรติเป็นหมู่บ้านหนึ่ง   และถึงจะเป็นกีฬาชุมชนก็ใช่ว่าจะจัดไม่เต็ม มีดรัมเมเยอร์ มีตีกลองใหญ่  มีขบวนกลองยาวของชาวบ้าน  หมู่บ้านของเราก็จำเป็นต้องจัดเต็มกับเขาด้วยเหมือนกัน  กีฬาที่ใช้แข่งก็มีสารพัดอย่างกินวิบาก วิ่งสามขา ขี่ม้าส่งเมืองฯลฯ  ที่ดูพอจะเป็นการเป็นงานหน่อยก็การแข่งขันฟุตบอล เพราะจะมีนักกีฬาหนุ่มๆ รุ่นไม่ห่างกันมากมาแข่งกัน ค่อยสมน้ำสมเนื้อ แต่กระนั้นเถอะ --- พวกนั้นก็จะเป็นเด็กหนุ่มๆ มัธยม  เหมือนกับที่บางครั้งทีมโรงเรียนมัธยมก็จะเชิญพี่มหาลัยไปแข่งกระชับมิตรด้วย  หนุ่มสาวมหาลัยย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ายากจดูยุติธรรม ถ้าชนะก็เหมือน "รังแกเด็ก" และถ้าแพ้นะ "อายเด็กชิบเป้ง" 

ถ้าเอ่ยถึงการแข่งกีฬา  ความทรงจำสุดฮาก็ต้อง "คุณนายลำไย"  พวกเราไม่ได้รับแจ้งให้เตรียมอะไร  แต่ในวันเปิดพิธี  ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชนอยากเห็นการแสดงชุดเปิดสนามจากนักศึกษามหาลัย ---  เหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เตนท์ชาวบ้านรอดูอยู่รอบสนามพร้อมส่งเสียงเชียร์ สุดท้ายด้วยสปิริตมันก็ต้องทำ    เพื่อนเราคนหนึ่งเป็นเจ้าแม่แห่งการแสดง  เธอจึงร้องขอเพลง คุณนายลำไย ที่กำลังโด่งดัง  แล้วก้าวขึ้นไปในฐานะผู้นำแดนเซอร์  โชคดีจริงๆ เลยนะ ที่สมัยนั้นมือถือยังไม่ถ่ายคลิป 

จะว่าไปแล้วเรื่องกีฬา  เวลาเราจัดกีฬาสีก็สนุกกันสุดเหวี่ยงเช่นกัน  แม้ว่าประเภทกีฬาที่ใช้แข่งนั้นก็พอๆ กันกับกีฬาชุมชน ใช่จะเป็นกีฬาสากลทีมชาติ  กีฬายอดฮิตประจำมอ คือ เปตอง  โยนกันตุ๊บๆ โดยใช้ทางเดินดินแดงหน้าอาคารเรียนนั่นแหละเป็นสนาม   ทุกวันนี้เห็นการเล่นปิงปองทีไร เราคิดถึงที่นั่นเสมอ 

นอกจากการรวมตัวกันนั่งรถแดงไปดูหนังในตัวจังหวัดเป็นครั้งคราวแล้ว  หนังกลางแปลง หน้าตลาดสดก็เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงของพวกเรา  งานของจังหวัดจะเป็นงานฤดูหนาว  ส่วนงานลอยกระทงเราจะถูกขอความร่วมมือจากทางอำเภอในเรื่องจัดการแสดง ในงานก็จะมีการออกร้านเหมือนงานวัด มีหนังกลางแปลงมาฉาย  เสื่อค่ะเสื่อ  หนึ่งผืนพกมา คลี่พรืดปูลงพื้น  เบียดเสียดกันดูหนังกลางแปลง  อากาศหนาวนะ แต่เฮฮาอบอุ่นดี 

คืนเวียนเทียน ใครจะไปรู้...ว่าพระสงฆ์ต่างจังหวัดเข้าจำวัดแต่หัวค่ำ  วัดปิดแล้ว แต่พวกเรายังร้องปลุกหลวงพ่อขอเข้าไปเวียนเทียนรอบโบสถ์  หลวงพ่อก็ดีใจหาย (พระนี่นะ) นอกจากจะมาเปิดให้ยังอุตส่าห์มามานั่งรอพวกเราเทียนรับสังฆทาน และเทศนาสั่งสอนด้วย  (แต่ไม่ได้ด่าเรื่องปลุกพระขึ้นมาจากการจำวัดหรอกนะ) นึกถึงทีไรก็ยังขำกันครานั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะศรัทธาแรงกล้าหรือว่าพวกเรามันบ้าบอ 

หน้าหนาวเราจะมีคนเข้าป่าไปหาเศษไม้มาก่อไฟผิงอยู่แถวๆ ลานดินข้างหอผัก พอมีกองไฟ เพื่อนๆ ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาคุย บางทีก็เผาเผือกเผามัน มีเพื่อนดีดกีตาร์ร้องเพลงมันเป็นบรรยากาศที่พอนึกย้อนกลับไปก็นะ..รื่นรมย์ของแท้  

บางทีเราก็มีปาร์ตี้  มีคอนเสิร์ต (เล่นกันเอง) อยู่ตรงใต้หอพัก ซึ่งจะเป็นวันที่อาจารย์อนุญาตให้ทำอาหารใต้ชายคาหอได้สักวัน  อาหารก็ไม่ได้มาจากไหนไกลหรอก  บ่อปลาข้างๆ นั่นแหละอาหารหลัก   อื่นๆ ก็ช่วยกันลงขัน แม่ครัวไม่ต้องหาจากที่ใดไหนอื่น  เมื่อร้อยพ่อร้อยแม่จากถิ่นอิสานเหนือใต้มาอยู่รวมกัน มันไม่เป็นการยากเลยที่จะหาคนมีฝีมือและชอบทำครัว 

เกาะเสม็ด อยากเที่ยวหนุกหนานด้วยกัน พวกเราก็วางแผนเก็บเงินรายเดือนลงขัน  พอเก็บได้พอก็เหมารถบัสไปกันฮาเฮ  เอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้นเมื่อไรเราเป็นต้องคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นทุกที  เพื่อนแม่ครัวจะจัดเตรียมข้าวเหนียวหาซื้อข้าวเหนียวหมูทอดไก่ทอดไว้ไปกินกันบนรถ การได้เที่ยวด้วยกัน ครั้งนั้น มันสนุกมากจริงๆ 

คืนฝนดาวตก ตีหนึ่งตีสอง  นักศึกษาที่สมัครใจตื่น หรือไม่สมัครใจแต่ถูกเพื่อนลากออกมาจากกองผ้าห่ม  ต่างพากันขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนท้ายขนเสื่อขนผ้าห่มจากบ้านเช่าในชุมชนเข้ามาที่มอ  ถนนทางเข้ามอเรานั้นจะตัดเรียบริมอ่างเก็บน้ำเข้าไป อย่างที่บอกว่าที่มอเราเป็นที่ราบแอ่งกะทะ  ท้องฟ้ากว้างใหญ่เปิดโล่งโจ้ง   กองไฟ ถูกก่อและกองไฟก็ถูกรุมร้อม   เสียงกีตาร์มีอยู่เสมอถ้าพวกเราได้มาชุมชนกันเพื่อผ่อนคลาย  นอกจากจะมีเพื่อนที่เป็นศิลปินประจำรุ่นร้องเพลงดีเล่นกีตาร์ได้  อาจารข์ของเราก็เป็นศิลปินเพลงด้วยเช่นกัน (แต่แนวหลักคือเพื่อชีวิต)  เพื่อนเราคนนี้เรานับถือในความสามารถของเค้ามาก เป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องเห็นคอร์ดกีตาร์  แค่ได้ฟังเพลงสองสามครั้ง ก็เล่นเพลงนั้นได้เองแล้ว  เอาล่ะบรรยากาศพร้อมคนก็พร้อม  สะบัดเสื่อสิคะ  แล้วก็นอนเรียงรายห่มผ้าเบียดกัน เรื่องเล่าจิกกัด ความขำขันเฮฮาต่างๆ ก็ตามมา หนาวนะ แต่ใจก็อบอุ่นดีมีแต่เสียงหัวเราะ  เมื่อถึงเวลาฝนดาวเริ่มตก  แสงสีจากฝนดาวตกทั่วฟ้าในปีนั้น ความประทับใจ--ยากจะลืม


ใช่แต่จะมีแต่เรื่องเฮฮาหนุกหนาน เรื่องเรียนเป็นอะไรที่หนักหน่วงเช่นกัน  น้ำตาของเพื่อนใกล้รีไทร์ ปัญหาที่ต้องช่วยกันแก้ไข  เพื่อนที่เรียนเก่งต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งของวันหยุดออกไปติวเพื่อน หรือไม่เพื่อนก็มาหาให้ติวที่บ้าน  เพื่อจะช่วยกันเรียนแล้วจบไปด้วยคน เวลามีแบ่งกลุ่มทำรายงาน  คนเรียนดีอันดับต้นๆ จะแยกกลุ่มกันหมด  มันไม่ใช่เรื่องการแบ่งแยกระดับสมอง เพราะเราก็รู้อยู่แล้วใครเรียนดีเรียนแย่  แต่การแบ่งกลุ่มให้มีความสามารถเท่าๆ กัน คะแนนกลุ่มก็จะออกมาใกล้เคียงกัน ไม่มีกลุ่มไหนคะแนนสูงลิบเพราะคนเก่งไปรวมหัวกัน หรือกลุ่มไหนคะแนนต่ำเตี่ยเรี่ยดินเพราะเหลือแต่พวกที่ไม่มีใครเอา   เราถูกรุ่นพี่สอนมาให้ช่วยกันเรียนช่วยกันรอดในแบบนี้  เพราะถึงยังไงความแตกต่างมันจะมีมากอยู่แล้วในการทดสอบรายบุคคล     ติวใต้หอ ปีที่เราอยู่หอพักและมีรุ่นน้อง  คนเป็นรุ่นพี่แต่ละคนที่เรียนเก่ง ก็จะต้องจัดตารางติวให้น้องใต้หอพักด้วย ในช่วงเวลาที่เด็กเก่งๆ  ต้องทำอย่างนั้นเราเชื่อว่ามันก็คงต้องมีเบื่อหน่ายกันบ้าง แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป มันคงน่าภูมิใจไม่น้อยที่ได้ช่วยเหลือกัน ได้รับการจดจำจากน้องว่าเป็นพี่ และสำหรับเพื่อน การที่ทุกคนได้เรียนจบไปพร้อมกันมันดีที่สุดแล้ว  

รับปริญญา  ตอนนั้นเพื่อนคนนึงครอบครัวมีปัญหาหนัก จนมีปัญหาเรื่องเงินไม่สามารถเดินทางไปรับปริญญาได้   มันก็คงเป็นไปตามนั้น หากว่าการอยู่ร่วมเป็นเพื่อนกันมา จะไม่ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง มันเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่ในวันสำคัญอย่างนั้นเพื่อนคนนึงของเราจะขาดหายไป  ภาพทำเนียบรุ่น ที่นักศึกษาสวมชุดครุยจะถือปริญญานั่งเรียงรายอย่างสวยงามบนอัฒจันท์จะขาดเพื่อนคนหนึ่งไป  และมันจะขาดอยู่อย่างนั้นให้นึกถึงไปชั่วชีวิตของเราที่มองดูภาพนั้น เพื่อนทั้งห้องจึงตกลงร่วมลงขันเพื่อจะเป็นค่าใช้จ่ายให้เพื่อนมารับปริญญาพร้อมกัน เป็นเพื่อนต้องไม่ทิ้งกัน ความหมายมันคืออย่างนี้เอง     

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่อาจบอกเล่าไปยาวกว่านี้ แต่มีความสุขจังที่ได้คิดถึง  เวลาเราเดินทางไปจังหวัดใดแล้วมีเพื่อนอยู่นั่น การได้นัดพบได้คุยกัน แล้วมีคนอื่นถามว่า  "ติดต่อกันมาตลอดเลยหรือ"  ไม่นะ ไม่เลย  ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้โทรหากัน ต่างคนต่างก็แยกกันไปมีชีวิตของตัวเอง  แต่เมื่อเราพบกันความเป็นเพื่อนในวันวานมันก็ฟื้นคืนชีพได้เองนั่นแหละ  ล่าสุดมีคนถามว่า "ไม่เคยเจอกันมาเป็นสิบปีจริงเหรอ" แล้วทำไมดูสนิทกันมากเลย ที่จริงเราก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนสมัยเรียนสำหรับคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร แต่เพื่อนสมัยเรียนของเราที่นี่ก็คือเพื่อนแบบนี้แหละ แม้ไม่ได้คุยกันนานหลายปี   แค่เพียงมีใจให้นึกถึง สบโอกาสจะพบเจอ แค่โทรเรียกหา  เฮ้ย  อยู่ไหน   จะไปที่โน่นว่ะ   ว่างป่าว /  เออ มาดิ อยากเจอว่ะ  

และนับตั้งแต่มีไลน์แอบพลิเคชั่นเข้ามา  ก็ได้ฟื้นความสนุกสนานและความสัมพันธ์ในวันเก่าก่อนเพิ่มขึ้นอีกทางด้วย  โดยข้อความผ่านไลน์ที่มีเพื่อนเกือบทั้งชั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกัน  ใครว่างก็พิมพ์ๆ เรื่องลูกเต้า สามี  คานทอง เรื่องลูกน้องเจ้านาย ที่ทำงาน ปัญหาชีวิต ความอ้วน ความแก่   พ่อแม่เจ็บป่วย หนี้สินเงินทอง   เมาท์มอยข่าวสารบ้านเมือง ละครน้ำเน่า กอสซิบดารา เรื่องไม่สบอารมณ์ งี่เง่า ไร้สาระ ก็พ่นกันไปตามประสา ถ้าใครคนหนึ่งกำลังเศร้า  จะมีใครอีกคนมาให้กำลังใจ ถ้ามีใครกำลังฮา จะมีคนมาฮากว่า ถ้ามีใครกำลังโกรธเป็นบ้า  จะมีใครอีกคนมาชวนว่านั่งวินไปตบมันกันมั้ย ...นี่แหละคือเพื่อน ที่ถูกหล่อมความสัมพันธ์มาจากน้ำใสใจจริง  จึงเป็นตัวของตัวเองกันสุดๆ 


 ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ ณ จุดใด
สายใยที่ผูกพันความเป็นมิตรแท้ก็ยังคงกระชับมั่น


ถึงทุกวันนี้ยังคงพูดได้เต็มปากเต็มคำ  สถาบันแห่งนั้นเปรียบเสมือน "บ้าน" หลังที่สองของชีวิต ที่ที่ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชา และมอบช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำดีๆ 

ในวัยฝันวันเยาว์ของเราผอง  ข้าวสีทองดาษดาฟ้าแจ่มใส
ทั่วโลกหล้าอ่าอุ่น ละมุนละไม   มีความรักเริงไหวในชีวา
มีวันใดไหนจะเป็นเช่นวันโน้น  ความอ่อนโยนแผ่วเพรียกเหมือนเรียกหา
ให้ทบทวนหวนคำนึงถึงเวลา  อย่าร้างราคืนกลับประทับทรวง


"  ผมยังจำได้ถึงวันเวลาในอดีต.....เมื่อเรายังมีความทุกข์  ความกังวลและเหนื่อยหนักน้อยกว่าเวลานี้อยู่มาก  มันเป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนคงจะยอมรับว่าเป็นเวลาดีที่สุดของชีวิต เมื่อเราผ่านพ้นความไร้เดียงสาอย่างเด็กๆ มาแล้ว  แต่ก็ยังไม่เคยชินกับความขมขื่นลำเค็ญของวันเวลาแห่งความเป็นผู้ใหญ่   เรามีวันเวลาระหว่างกลาง - วันของวัยหนุ่มสาวเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของเรา" 

น้ำใสใจจริง 














 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2557 17:31:41 น.
Counter : 2175 Pageviews.  

อกเกือบหักแอบรักคุณสามี - งานงอกแล้วไง เมื่อน้องสาวนอกไส้ กลายเป็น "ภรรยา"



พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม ๒๕๕๗


เธียรวัฒน์ นาวากุล สถาปนิกผู้รักสันโดษ อาชีพของเขาคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างคำว่าศาสตร์และศิลป์ นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามักจะอยู่ในโลกส่วนตัว ชีวิตเรียบง่ายมันก็คงจะเป็นปกติดี ถ้าหากจะไม่มีใครคนหนึ่งพยายามที่จะทลายกำแพง เพื่อก้าวเข้ามาสู่โลกของเขา  ยายเมย น้องสาวนอกไส้สุดกระโหลกกะลาที่เอาแต่เฮฮาเริงร่าไปวันๆ (นาวาร้อยกวี จาก writer.dek-d.com)

เมื่อถูกสถานการณ์ที่มีชีวิตเขาเป็นเดิมพันบีบบังคับ ประกอบพร้อมกับอาญาประกาศิตจาก 'คุณนายศจี' แม่นี้บังเกิดเกล้า ยายเมยที่เคยอยู่ในสถานะ  'น้องสาว'  จึงเปลี่ยนมาเป็น 'ภรรยา' แม่หนอแม่ แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง งานนี้จึงต้องแต่งจริง จดทะเบียนจริง 

น้องก็คือน้อง  ต่อให้ไม่นับว่าเป็นน้องเพราะไม่ได้คลอดจากท้องเดียวตามกันมา ..ยายเมยโก๊ะกังกะละมังรั่วที่หน้าตาฉายรอยยิ้มแฉ่งแข่งตะวันอยู่เสมอ ก็ไม่ใช่สเป็คของเธียรวัฒน์อยู่ดี ผู้หญิงที่เขาจะเลือกมาเป็นภรรยานั้นจะต้องงามพร้อมทั้งกายและใจ ใครคนนั้นที่เขาเฝ้ารอคอย

แน่นอนว่าไม่ใช่ยายเมย อดีตน้องสาวที่กลายมาเป็นภรรยาแบบลับๆ ตามข้อแม้ที่ต้องตบแต่งกันเงียบๆ ในหมู่ญาติ (เพื่อรอวันหย่า) ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยกับใครหรือจัดงานอะไรให้เอิกเกริก อยู่บ้านก็อยู่กับยายเมย แล้วชะตายังพัวพันหนักเมื่อบริษัทของเขาเทคโอเวอร์บริษัทของยายเมย แถมเขายังถูกส่งไปเป็นหัวหน้าแผนก และยายเมยก็เป็นลูกน้องตัวป่วนอันดับหนึ่งที่ก่อวีรกรรมทำชีวิตการงานเขายุ่งเหยิง จนต้องคอยไล่ต้อนจับให้ได้ไล่ให้ทัน 

ในที่สุดเธียรวัฒน์ ก็ได้รู้ว่าวิธีจัดการกับยายเมยได้ดีที่สุดคือการเก็บเอาไว้ใกล้ๆ ตัว ให้อยู่ในสายตา อยู่ในการควบคุม จะได้ไม่กล้าแผลงฤทธิ์มากนัก  เก็บไว้กลั่นแกล้ง ไว้ข่มขู่ ไว้ใช้งาน นับว่าคุ้ม...

พออยู่ใกล้น้อง พี่ก็เริ่มพบความผิดสังเกต ที่เคยสงสัยว่าทำไมยายเมยถึงตกปากรับคำกับผู้ใหญ่ยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่คัดค้านอะไรสักนิด  เขาได้พบคำตอบแล้ว   ยายเมยแอบชอบเขา ..งานงอกล่ะทีนี้! เพราะพี่คงไม่อาจตอบแทนความรู้สึกได้ กับยายเมยเนี่ยนะ ไม่มีทาง เขาจึงต้องรีบวางแผนหย่าให้เร็วที่สุด ก่อนที่ยายเมยนางมารน้อยในคราบหน้าซื่อตาใสจะหาทางรวบหัวรวบหางเขาได้สำเร็จ

เธียรวัฒน์ไม่ได้เฉลียวใจสักนิดเลยว่า นี่จะเป็นการแต่งงานเพียงครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในชีวิต





นาวาร้อยกวี ถูกจัดเข้าสังกัด 'นักเขียนในดวงใจ' ของเพื่อนเราไปเรียบร้อยโรงเรียนนิยาย  ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เราทุรนทุราย ไม่อาจจะทนรอขอยืมหนังสือจากเพื่อนที่คงจะได้พบกันอีกไม่เกินเดือนหรือสองเดือนข้างหน้า  นี่แหละหนาโทษของการมีร้านหนังสืออยู่ใกล้บ้าน


--ยายเมยเฮฮาเริงร่าได้ทั้งวัน เหมือนคนที่ไม่เคยทุกข์ร้อนกับเรื่องใดๆ ในชีวิต พอโดนดุก็แค่หงอยได้แป๊บเดียว สักพักก็กลับมาร่าเริงใหม่ เลยรู้แล้ว่าด่าไปก็เท่านั้น เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนเดิม ความจำสั้นเสียยิ่งกว่าปลาทอง ---

-- คนอย่างไอ้เธียร ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตาและหน่วยก้าน ไม่ว่ามันจะเดินไปทางไหนก็มักเป็นจุดเด่นได้เสมอ ตัวสูง หลังไหล่ตรง ผิวขาวจัด ปากแดงระเรื่อจนผู้หญิงยังอิจฉา คิ้วเข้ม ตาโตดำสนิท ตาสองชั้นที่หลบในหน่อยๆ และหางตายาวรีตามเชื้อสายจีนที่ปนอยู่กว่าครึ่ง แค่นี้ก็สะกดทุกสายตาให้ต้องเหลียวหลังมอง เรียกว่าสมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจดเท้า เว้นแค่อย่างเดียวเท่านั้น  ... อย่าให้มันพูด!

--ปากนิด จมูกหน่อย แก้มใสระเรื่อ ความน่ารักนั้นสามารถสะกดทุกสายตา เสียแต่ว่าไม่มีใครสามารถเข้าถึงตัวได้เลย เพราะมีปิศาจในคราบมนุษย์อย่างเธียรวัฒน์คอยสิงสถิตอยู่ไม่ห่าง แถมยังคอยโขกสับจันทร์กระจ่างฟ้าดวงน้อยๆ ให้จมดินอย่างไร้ปราณี แต่อะไรก็ไม่เท่าที่ทำเอาฟ้าถล่มลงตรงหน้าทุกคนที่หมายปองจันทร์ดวงนี้ เมื่อชาติชายประกาศว่า  น้องเมยมีสามีแล้ว!

--คุณนายศจีก็บ่นว่าเขานิสัยไม่ดี ซึ่งมันก็จริง เพราะเขามันพวกไม่ง้อใคร ไม่ใส่ใจชาวบ้าน ปากก็ร้าย ใจ-ร้าย-ด้วย เรียกได้ว่าความดีต่ำกว่ามาตรฐานชายไทย แม่แช่งชักหักกระดูอยู่ทุกวัน ว่ากรรมทั้งหลายที่เขาทำกับยายเมยนั่นแหละ มันจะย้อนกลับมาหาตัว


ครึ่งแรกเรื่องสนุกด้วยความฮา  ภรรยาจีบสามี เริ่มจากคาแรคเตอร์เจ้าฤทธิ์เดชของเธียรวัฒน์ อันเป็นที่มาของฉายา "เต็คเธียร เกรียนนรก"  นิสัยคนดุ พูดน้อยสอยร่วง ของเขานั้นช่างต่างกับน้องเมยผู้ร่าเริงแจ่มใสอย่างสุดขั้ว หลังจากแต่งงานกันและน้องเมยพอจะปรับตัวให้หายเกร็งได้ ก็มีหลายครั้งคราที่ทำให้เราขำก๊าก โดยเฉพาะการโผล่มาของอารมณ์เจ้าบทเจ้ากลอนจีบสามี (มันมีที่มาที่ไป) คุณพี่สามีแม้จะนึกขุ่นใจแค่ไหนก็อดใจเล่นด้วยไม่ได้ แถมยังมีโมเมนท์ฟุบหน้าประหนึ่งสุดจะทนรับได้ แต่ที่จริงคือแอบซ่อนหน้าตาที่อยากจะขำกลิ้ง แต่ต้องเก๊กเอาไม่ให้ใครเห็นเพราะกลัวยายเมยจะได้ใจ 

 ยืนยันว่าเป็นนิยายร้อยแก้ว เพราะเห็นบทกลอนต่อไปนี้แล้วเดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าเป็นนิยายร้อยกลอน  เป็นจุดที่ชื่นชมผู้เขียนมากที่ร้อยเรียงบทกลอนมาสอดแทรกในเรื่องราวเป็นระยะๆ  มันทั้งตลก น่ารัก และน่าภูมิใจมากเพราะนี่เป็นศิลป์ภาษาไทยของเราเองที่คนรุ่นใหม่ยังคงสืบทอด 

สารภาพตามตรงว่าหลงรัก             แค่เห็นพักตร์ก็สุดภักดิ์รักแน่นเหนียว
ขอบอกว่ารักแรกพบจริงๆ เชียว             จะไม่เหลียวไม่แลกันหรือฉันใด
หยุดคำเสแสร้งแกล้งว่า                        โสดแล้วสบายกว่าเป็นไหนๆ
แต่งงานกันเสียเถิดจงเปิดใจ                 แล้วจะพาไปสวรรค์ชั้นวิมาน

(ยิ้มหน่อยหนาคนน่ารัก)
------

ผิดหรือที่ไม่รัก                         ใยทึกทึกจะหักหาญ
เกิดมาเป็นชายชาญ            กลับต้องผ่านการเกี้ยวพา
เป็นหญิงพึงสำรวม                   ไม่บ้าบวมเที่ยวชายตา
สตรีจะมีค่า                               เมื่อสงวนวาจาใจ

(หน้ามึน)
------

สามีฉันจะดุ ไปไหน
จีบยากยิ่งกว่าใคร                       แม่เอ๊ย
เกี้ยวมากก็ไม่ได้                         เดี๋ยวสั่ง งานโหด
ห้าฉบับแต่เช้าเล้ย                         แทบล้มประดาตาย

(ด้วยรักจากคูโบต้า)
-------

เช้าเช้าอยากมีเรื่อง                  ใช่ไหม
ยังไม่อยากด่าใคร                   ก่อนเที่ยง
รีพอร์ตที่สั่งไว้                     เมื่อไหร่ จะเริ่ม
หรือต้องโดนสักเปรี้ยง เบิกฤกษ์ เอาชัย

(กรุณาขยันให้มันถูกเรื่องด้วย อย่าให้ต้องทวงรายงานด้วยไม้เรียว)
--------

ทำตัวเหมือนคนแก่ ใกล้เกษียณ
ขี้บ่นซ้ำยังเกรียน                เบื่อมาก
เป็นพ่อไหมพี่เธียร มีลูก อาจหาย
เมยท้องได้ไม่ยาก          เริ่มจากมองตา

(เงยหน้ามาสิคะ แล้วจะรู้ว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง)

--------

ชาติก่อนเป็นปลากัด               หรือไง
จ้องจะฟีเจอริ่งอยู่ได้ หมกมุ่น
คิดหรือว่าจะได้ กินตับ                ง่ายง่าย
ขอบฟ้าไกลๆ นู่น                       นั่นแล ความหวัง

(ไปนั่งเฝ้าจอมปลวกตรงโน้น เอารายงานไปทำให้เสร็จด้วย  ไม่เสร็จไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า)
-------

เมื่อนั้น                                       องค์พระเธียรวัฒน์เรืองศรี
เรื่องรีพอร์ตน่ะทวงได้ทุกนาที         จะให้ดีทวงรักบ้างจะเป็นไร
เห็นใจกันบ้างไม่เป็นหรือ                เคยกล้าหือคุณสามีเสียที่ไหน
นี่ถึงขั้นยอมมอบกายถวายใจ           แล้วเมื่อไหร่จะสั่งหดลดรายงาน
---------

สักวาสามีที่น่ารัก                   เงยหน้าทักภรรยาบ้างได้ไหม
ยังซึ้งโกรธโทษชะตาหรือว่าไร ถึงยังไงเราก็ได้แต่งงานกัน
อย่าเสียอกเสียใจไปเลยเล่า           นั่นเพราะเราเป็นเนื้อคู่ตุนาหงัน
เด็ดดอกไม้ร่วมต้นแต่ปางบรรพ์         บนสวรรค์ท่านจึงให้ I Love You

 (ภรรยาผู้โชคดี)
--------

สักวาด่าแล้วไม่ซึบซับ                    ด่าจนยับแล้วก็ยังไม่เข้าหู
สีซอให้ความฟังมันยังรู้                        นี่เข้าหูแล้วเลยผ่านปานสายลม
บอกไปแล้วรอบที่ร้อยใช่หรือไม่            ว่าไม่เคยคิดอะไรไม่เหมาะสม
ถ้ากล้าจีบก็เข้ามาจะด่าจม                   หมดอารมณ์จะคุยต่อขอลาตาย
(สามีผู้โชคร้าย)
-----------
ขอบอก :  บทกลอนเหล่านี้แค่ยกมาเป็นน้ำย่อย  ยังมีให้ฮากว่านี้อีกเยอะ 


ครึ่งหลังเรื่องยิ่งสนุก - เพราะสามีรักภรรยาแต่ว่าไม่แสดงออก    ในยามที่พี่เธียรรัก ยายเมยกลับอยากถอย (ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย)  สถานการณ์จึงกลับตารปัตร จากที่พยายามทำให้สามีรัก เปลี่ยนเป็นพยายามทำให้สามีหย่า  แต่เดิมต้องแต่งงานทั้งที่ไม่รัก เต็คเธียรก็ขุ่นมัวเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว  ต่อมาจะให้หย่าตอนที่รัก สงสัยยายเมยคงอยากตายก่อนวัยอันสมควร (โถ ก็น้องเขาไม่รู้ว่าถูกรัก) อยู่ดีไม่ว่าดีมาทำให้รักเข้าจนได้ รักแล้วอย่าหวังเลยว่าจะได้ห่างตัวห่างหัวใจ     ครึ่งแรกยายเมยวางแผนรัก พี่เธียรวางแผนหย่า ครึ่งหลังยายเมยวางแผนหย่า (สารพัด) พี่เธียรวางแผนจะรวบรัดแล้วผูกมัดไว้กับตัว   

---แต่ในเมื่อยายเมย 'ตกหลุมรัก' เขามาตั้งครึ่งค่อนชีวิต แค่วันนี้คิดอาจหาญจะปีนป่ายขึ้นมาจากก้นหลุม ก็คงต้องเป็นเขาเองนี่แหละที่จะอุ้มยายเมยกลับลงไป ให้ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ แล้วก็จัดการฝังกลบซ้ำซะให้มิด ราดคอนกรีดเสริมใยเหล็กทับอีกรอบ  จะได้ไม่คิดเปลี่ยนใจไปจากเขาอีกทั้งชาตินี้และชาติหน้า 

เกิดเป็นการเดิมพันในหมู่ผองเพื่อน จะได้แต่ง หรือจะได้หย่า  ฝ่ายหนึ่งคิดว่า  "ความรัก" คืออำนาจของภรรยา แต่อีกฝ่ายเห็นว่าสามีสิปกครอง น้องเมยน่ะนะ ยังห่างชั้นด้วยกระดูกคนละเบอร์

เป็นนิยายรักโรแมนติกคอมเมดี้ที่น่ารักมาก  โดยปกติหากพระเอกอายุมากกว่านางเอก เรียกตัวเองว่า "พี่" กับคนเป็น "น้อง" เราก็ชอบมากอยู่แล้ว มาเจอพระ-นางคู่นี้ที่มีความสัมพันธ์ดั่งพีน้องเข้าอีก ย่อมเข้าทางมาก  ไม่ว่าน้องเมยจะอยู่ในอารมณ์ไหนจะมีลักษณะของความเป็นน้องที่ให้ความรักและเคารพเสมอ  ตัวลีบอยู่ในระเบียบวินัย สุภาพเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย (หึ ... ใครไม่ใช่พี่เธียรไม่รู้หรอก บทยายเมยจะดื้อแพ่งขึ้นมา  พี่เธียรก็พี่เธียรเหอะ ใช่ว่าจะเอาอยู่ได้ง่ายๆ   และถึงจะโกรธกันมากแค่ไหนก็ไม่มีความก้าวร้าว เหมือนพระนางที่สถานะเสมอกัน  ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้เราว่ามันอ่อนโยนและให้ความรู้สึกอบอุ่นดีค่ะ





เนื้อเรื่องโดยรวมสนุกสนานดี   แต่ก็ยังมีบางจุดที่ค่อนขัดแย้งความคิดทำให้นึกภาพตามไม่ออก สับสน ไม่ค่อยเข้าใจ  แม่เป็นเพื่อนกัน บ้านอยู่ใกล้ ไปมาหาสู่กัน ยายเมยเป็นเหมือนลูกสาวของแม่ และน้องสาวของเขา จนใครๆ มักเข้าใจผิดว่าคุณนายศจีมีลูก 3 คน แต่มันแปลกมากที่ลูกๆ ไม่เคยเจอกัน เพิ่งมาเจอกันครั้งแรกตอนยายเมยเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย  แล้วอยู่บ้านเดียวกันตั้งนมนานพี่เธียรเองเพิ่งมารู้จักชื่อจริงนามสกุลจริงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวในวันที่จดทะเบียนสมรสกัน มันค่อนข้างแปลกจังเลย

แล้วมีช่วงหนึ่งที่น้องเมยนอนฝันไล่ลำดับความทรงจำในอดีตที่มีต่อพี่เธียร มีเหตุการณ์หนึ่งในความฝันที่เธอได้พบกันหนุ่มน้อยรูปงามในชุดนักเรียน ม.6 ในวันจบการศึกษา (งั้นยายเมย ม.1) เราสับสนว่าตกลงสองคนนี้พบกันตอนไหนแน่ หรือเพราะเป็นความฝันจึงอาจไม่ใช่ความทรงจำในเหตุการณ์จริงทั้งหมด (อืม อาจจะใช่) ในบางความคิดของพี่เธียรชวนให้รู้สึกเหมือนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ก็รู้สึกขัดๆ อยู่บ้าง   เดาว่าการสร้างเรื่องให้มีประเด็น "ไม่เคยพบกัน" คงเป็นการสร้างความรักความหลังครั้งเยาว์วัยน้องรหัส ม.1 กับพี่รหัสคนโต ม.6 ให้โรแมนติก  ขณะที่เราคาดหวังความตรงไปตรงมาแบบต้นรักริมรั้วที่โตมาด้วยกันฉันพี่น้อง (เพราะพลอตเปิดไว้ว่าเป็นน้องสาว) จึงไม่อินในความรักวัยเยาว์ตรงนี้เลย เพราะยากจะเชื่อว่า 17-18 ปีตามอายุของยายเมย  "ไม่เคยพบกัน" เว้นแต่จะมีความหลังมากกว่านั้นที่เราไม่รู้จากเล่มก่อน-จรกว่ารักบันดาลใจ หรือเปล่า เช่นว่ายายเมยเพิ่งย้ายมาภูเก็ตเมื่อตอน ม.1 แต่นั่นก็จะขัดความรักความสนิทสนมของแม่ที่มีต่อยายเมยหรือเปล่า  ก็ไม่รู้สินะ ..

ต่อมาก็เป็นช่วงของเหตุการณ์จารกรรมข้อมูลในบริษัท  .. ที่เราไม่ค่อยเข้าใจตรรกะของตัวละครที่เกี่ยวข้องกันเหล่านั้นมากนัก  โดยเฉพาะ "ธาดา"  ที่ไว้วางใจให้ภรรยาของคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามมาทำงานสำคัญด้วย โดยหวังจะทำลายสามีของเธอ หลังจากที่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนมาแล้วว่าเธอรักสามี (งงจริงๆ  เราอ่านเหตุผลของตัวละครไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่านะ)

ช่วงครึ่งแรกไม่ค่อยมีพัฒนาทางความรู้สึกของพี่เธียรให้สัมผัสได้ ถึงเราจะเข้าใจในการเป็นจอมซึน แต่ก็หวังจะเห็นสัญญาณทางความคิดความรู้สึกบ้าง พอไม่ค่อยจะมี บทจะรักขึ้นมาก็เหมือนถูกเปิดสวิตช์ จากไม่รัก เป็นรักเลย ทำให้ไม่ซึ้งเท่าไหร่นัก เราชอบแบบค่อยๆ รัก ค่อยๆ เปิดหัวใจ

จุดขัดแย้งที่สุด คือ เรานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่า คนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปช่วยคนที่จมอยู่ใต้ท้องน้ำลึก 3 เมตรได้ยังไง  มันอาจจะเป็นไปได้นะถ้าดำน้ำเป็น ด้วยพลังแห่งรักโดดตูมลงไป งัดร่างขึ้นมา ( พยายามนึกหาเหตุผลมาทำให้คล้อยตาม)  'ควานหาอยู่ตั้งนานกว่าจะเจอ'

.. นทีรินแหวกว่ายอยู่ในกระแสน้ำ แรงดันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ความขุ่นของน้ำทำให้มองไม่เห็นแม้กระทั่งมือของตัวเอง แต่เธอก็ควานหาไปรอบๆ อย่างไม่ลดละ

หรือ 'ควานหาตั้งนานกว่าจะเจอ'

ไม่อ่ะคะ  เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คนว่ายน้ำไม่เป็นจะแหวกว่ายอยู่ในกระแสน้ำ  คนว่ายน้ำไม่เป็นลงน้ำที่ลึกกว่าเท้าคือจมน้ำตายค่ะ  ณ จุดๆ นี้เราลืมซึ้งในพลังแห่งรักเลย เพราะความคิดติดหนึบอยู่ที่ว่า คนว่ายน้ำไม่เป็นทำได้ไง ? 

ยังมีความขัดแย้งในใจเราอีกเกี่ยวกับที่น้องเมยถูกนินทาว่าร้าย แม้แต่พี่เธียรเองได้ยินกับหูก็ยังเฉย เรื่องนี้ไม่สบอารมณ์มาก พี่เธียรคิดช้ามากกับการปกป้องให้เกียรติผู้หญิง นี่ถ้าไม่เกิดปัญหาขึ้นไม่รู้จะคิดได้หรือเปล่า  ต่อให้ไม่รักไม่ชอบแบบภรรยา แต่ว่าอย่างน้อยในฐานะ "น้อง" ก็ควรจะมีน้ำใจปกป้องไม่ใช่หรือ แล้วก็ตอนที่ส่งเมยไปเสี่ยงอันตราย พอได้สิ่งที่ต้องการเสร็จสรรพก็จากไปไม่เหลียวหลัง แปลกจังเลย ถึงจะเป็นการลงโทษ ถึงต่อให้ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ต่อให้เป็นเพราะไม่ได้รัก แต่ยายเมยก็ควรจะได้รับการห่วงใยอย่าง "น้อง" สักหน่อยมิใช่รึ ?

เราจึงไม่กล้าเมาท์กับเพื่อนเลยว่าสอยมาอ่านแล้ว  เพราะถ้าเรายกเรื่องเหล่านี้มาติงล่ะก็ จะต้องโดนค่อนว่าเป็นเจ้าแม่ละเอียดโดยแน่แท้  นิยายก็คือนิยาย จะต้องคิดมากทำไม  

เออ ก็จริง ..  แต่ก็ไม่เชิงว่าคิดมาก  แค่จะบอกว่าพออ่านแล้วต้องมาพยายามคิดหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อมโยง ความเป็นไปได้ เพื่อพยายามจะเข้าใจความคิดและการกระทำของตัวละคร มันก็อึดอัดนิดหน่อยน่ะค่ะ  ก็เป็นเพียงความคิดของผู้อ่านคนหนึ่งนะคะ การจะตัดสินอะไรขึ้นอยู่กับประสบการณ์รับรู้ ความเชื่อ ทัศนคติและรสนิยมในการอ่านของแต่ละคน    ^^  

'อกเกือบหักแอบรักคุณสามี' ทราบว่าเพิ่งเป็นผลงานเรื่องที่สองต่อจาก 'จนกว่ารักบันดาลใจ' หากผู้เขียนมีประสบการณ์มากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นนักเขียนนิยายรักที่น่าจับตามอง เพราะเพียงเล่มแรกก็สร้างความน่ารักอันเพ้อพกได้ขนาดนี้ ขนาดว่ามีติ ก็ยังชอบ  เพราะมีความโดดเด่นหลายสิ่งที่ต้องชม  ทั้งเรื่องบทกลอน การสร้างคาแรคเตอร์และพฤติกรรมของตัวละคร  ผู้หญิงที่ริจีบผู้ชายออกนอกหน้าใช่ว่าจะซื้อใจเราได้ง่ายๆ หรอกนะคะ  แต่น้องเมยทำได้ง่ายมากด้วยความเป็นน้องสาวคนดีที่น่ารัก ทำหน้าชื่นซ่อนอกตรมได้เสมอ ไม่เคยจะทำให้พี่เธียรรู้สึกอึดอัดลำบากใจ   

อีกประการความชอบ คือการสร้างรายละเอียดการทำงานพร้อมทั้งบรรยากาศรายล้อม ที่ว่าพี่เธียรเป็นคนเก่ง เราจะเชื่อว่าเขาเก่งจริงๆ จากหน้าที่การงานที่ทำในอาชีพสถาปนิก  ตัวละครในนิยายบางเรื่องมีบอกอาชีพ แต่ไม่ค่อยมีฉากที่เขาหรือเธอทำงานมากนัก   ต่างจากพี่เธียรเรื่องนี้ที่ทำงานและทำงานอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีบางจุดชวนนึกบ่นเพราะอยากให้เข้มงวดน้อยหน่อย อ่อนโยนลงบ้า ง แต่พี่เธียรก็ยังคงความเป็นเต็คเธียรเกรียนนรกอยู่เสมอ ทว่าพอพี่เธียรทำงาน  งานของเขาฆ่าได้ทุกความบกพร่อง พี่เธียรเท่มาก คนอะไรน่ารักที่สุด อิอิ 

ส่วนทางด้านน้องเมย เธอเรียนจบมัณฑนากร แต่การเปลี่ยนแปลงของงานที่ได้มาทำกับความสามารถพิเศษทางไอดี ดูจะไม่ตรงกับงานสายนี้สักเท่าไร พอจับพลัดจับผลูมาเป็นผู้ช่วยพี่เธียรได้ถึงสองครั้งสองครา สงครามเย็นที่เน้นฮาระหว่างสามีภรรยาในท่ามกลางบรรดาหนุ่มๆ สถาปนิกเพื่อนของพี่เธียรที่ได้ชื่อว่า "เดอะแก๊ง" ทำให้บรรยากาศออกแนวครื้นเครง เพราะสมาชิก "เดอะแก๊ง" แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นจอมล้อเลียน จอมกลั่นแก้ลง   เว้นก็แต่พี่เธียรคนเดียวที่นอกจากจะไม่เครงแล้วยังสุดจะขุ่นมัว  ว่างตลกกันนักใช่ป่ะ  อย่างนี้ต้องสั่งงานเพิ่ม  จัดไป ...เร่งโครการ

อ่านจบแล้วชอบมากถึงกับขออ่านซ้ำช่วงครึ่งเล่มหลังด้วย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่พี่เธียรยอมรับกับตัวเองว่า  เขาพลาดแล้ว

คือหนึ่งเดียวคนนี้ที่ตามหา         แต่ไม่เคยรู้ว่าเธออยู่ไหน
จนวันหนึ่งเหลียวมองคนข้างกาย     จึงได้รู้ว่าคนใกล้คือปลายทาง
เป็นความรัก เป็นหัวใจใสสะอาด             เป็นอากาศเป็นอาทิตย์ยามรุ่งสาง
เป็นแสงดาวแสงเดือนส่องนำทาง      เธอผู้เป็นทุกอย่าง...ที่เฝ้ารอ

ใครๆ ก็รักยายเมย  โดยเฉพาะคุณนายศจีที่ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ประคบประหงมเสียยิ่งกว่าลูกของตัวเองอีก ยกให้มาแล้วกลับเปลี่ยนใจจะเอาคืนด้วยข้อหาดูแลลูกสาว (ที่ควบตำแหน่งสะใภ้ด้วย) ของแม่ไม่ดี   ไหนจะปริวัตถ์ มนต์วธู พี่ชายพี่สะใภ้ของเขาอีก มีอย่างที่ไหนแต่งได้แต่ห้ามแตะต้องน้อง เว้นเสียแต่น้องจะเต็มใจ  แต่ก่อนตอนไม่คิดยายเมยก็เต็มใจหาเรื่องลวนลามจะปลุกปล้ำเขาอยู่บ้างหรอก แต่ตอนนี้ที่เขาคิดยายเมยกลับเอาแต่จะทิ้งกันไปท่าเดียว นึกแล้วก็โมโหตัวเอง เกิดเป็นชายชาญกลับต้องมาลำบากหาทางทำอย่างไรจึงจะเสียตัวให้ภรรยาของตัวเอง...โดยละม่อม    

ปฏิบัติการ  'มอมเหล้าเข้าหอ' เราชอบมาก Smiley ต่อมจิ้นแตกกระเจิดกระเจิง
แต่ถึงอย่างนั้น ตอนไม่เมาเข้าหอ   ฟินฟุ้งกว่ากันอีกเยอะ  Smiley

ใครมอมเล่น มอมจริง  เมาเล่น เมาจริง ใครได้ที ใครเสียท่า อย่าได้พลาดติดตาม  เพราะพี่เธียรกับน้องเมยได้ร่วมกันสร้างความขำขันโรแมนติกที่น่ารักมาก  "นาวาร้อยกวี" นามนี้จะรอติดตามผลงานต่อไป

ยอมร่วมหอกันวันนี้ แถมฟรีรักนิรันดร์
รับประกันความทานทน อายุการใช้งานชั่วชีวิต
(จากแม่ศรีเรือน)




//www.manager.co.th/CelebOnline






 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2558 0:54:14 น.
Counter : 28569 Pageviews.  

ต้องมนตร์น้ำหนึ่ง - นางสาวคนดี กับนายติสต์แตก (Full House ฉบับสุดติสต์)



ก่อนนั้น ..เขามีเหตุผลติสต์ๆ สมควรน่าโดนตบในการบอกเลิกกับแฟน

"เพราะผมไม่อยากมีแฟนแล้ว"  (หา!  แค่เนี๊ยะ ?)

งั้นตอนนี้ 

"นายมีแฟนแล้วเหรอ คราวนี้ถึงขั้นให้ย้ายไปอยู่ในบ้านด้วยเลยเรอะ"

"ไม่มี พักนี้ผมยังไม่มีอารมณ์มีแฟน" ลูกชายคนเล็กของบ้านขมวดคิ้ว

"ผมบอกแม่ไปว่ามีเบ๊  ไม่ได้บอกว่ามีแฟนเสียหน่อย"

"เบ๊ของนายนี่หมายถึงแม่บ้านหรือไง"

"ไม่.. เบ๊ก็คือเบ๊ ผมเก็บได้ตอนเดินเล่น"


วะฮาฮ่า ชอบนิยายเรื่องนี้มาก  ขำก็ขำซึ้งก็ซึ้ง ความรักความสัมพันธ์ของน้ำหนึ่งกับคุณช้าง ที่ผู้เขียน Andra สร้างเรื่องราวและคาแรคเตอร์โดดเด่นมาโดนใจด้วยกันทั้งคู่ 

เธอ  มนุษย์ปกติธรรมดาที่นอกจากจะมีความยุ่งยากจากปัญหาครอบครัวที่รุมเร้า ยังแจ็คพลอตมาเจอ ..เขา  มนุษย์ศิลปิน สายพันธุ์ติสต์สุดประหลาด ที่อยู่ด้วยแล้ว ...ก็ค่อนข้างจะมึนกับชีวิต

"มนุษย์ศิลปิน"  คำนี้มีคุณลักษณะหลายอย่างนัก  เอ่อม หรืออีกทีอาจจะเรียกว่า โทษลักษณะ..ก็คงใช่ .. มั้ง?

เขาคือ จิตรกรหนุ่มชื่อดังที่ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินใหญ่ คุณช้าง-คชินทร์ และเหล่านี้คืออุปนิสัย

Smiley  โดยปกติจะพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ถ้าใครอยากรู้เรื่องก็ต้องซักไซ้ไล่เลียงแปลความ ถอดความ แยกแยะ หรือ ตีความกันเอาเอง 

Smiley ชีวิตเต็มไปด้วยอะไรแปลกๆ เป็นปกติ  (อย่างเช่น .. เก็บเบ๊ได้ตอนเดินเล่น)  รวมถึงเจ้าของชีวิตเองด้วยที่แปลกคน พิกล พิลึก

Smiley  ไม่แคร์ใคร ไม่แยแสอะไรในโลก การพยายามทำให้เขาสำเหนียกถึงความไม่พอใจที่คุกรุ่น หรือการหมั่นไส้ เหน็บแนม ประชดประชัน ไม่อาจทำให้เขารู้สึกรู้สา

Smiley  มาตรฐานความคิดของเขาดูไม่ค่อยปกติเหมือนอย่างมนุษย์ทั่วไป และนิสัยก็ไร้มารยาท ชอบเรียกใช้คนอื่นอย่างไม่เกรงใจรวมทั้งนิสัยชอบหาเรื่องกินฟรี  

Smiley  สุดจะเกรียน เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยรู้สึกเกรงใจ ไม่รู้จักคำว่าขอบคุณ หรือ ขอโทษ  นิสัยแย่มาก

Smiley  อารมณ์และพฤติกรรม แปรปรวนดุจสายลม เอาแน่เอานอนไม่ได้  ดูเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้มากที่สุดในชีวิต (น้ำหนึ่ง) ที่เคยพบเจอ

Smiley  ระบบความคิดไม่ค่อยปกติ และเชี่ยวชาญในการทำให้ระบบของคนอื่นรวนไปด้วย

Smiley  ชอบเล่นตุกติกบีบบังคับ ล่อลวงให้ติดกับ ฉลาดเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ (ที่สุด) มักจะทำอะไรที่คาดไม่ถึง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ 

Smiley ตรรกะสุดเพี้ยน ซับซ้อน เข้าใจยาก  เป็นมนุษย์ที่อ่านไม่ออกและสุดจะคาดเดา 

Smiley  ความสามารถในการโมเม มั่วนิ่มอยู่ในระดับขั้นเทพ แถมยังเนียนตีมึนได้โล่สายสะพาย (พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ) เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ  ย้ำอีกครั้ง .. เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ 

แล้วนี่หญิงสาวแสนดีที่มีอาชีพภูมิสถาปัตย์   น้ำหนึ่ง นางเอกของเราเธอพาตัวเองมาพัวพันกับผู้ชายอย่างนี้ได้ยังไงเนี่ย!

เพราะอาม่าของเธอ ต้องการให้ศิลปินมากฝีมือคนนั้นมาวาดภาพเหมือนให้ตน  หลานสาวผู้กตัญญูอย่าง "น้ำหนึ่ง" จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ "ช้าง" ศิลปินสุดติสต์คนที่ว่ายอมรับงานครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นอาม่าคงต้องผิดหวังเป็นแน่ ซึ่งเธอยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด  

แต่มีหรือที่จอมติสต์แตกอย่างช้างจะตกลง นโยบายของเขาคือไม่วาดภาพเหมืนให้คนอื่นนอกจากนึกจะวาดให้เอง  อีกอย่างเขาเป็นพวกเอาแน่เอานอนไม่ได้ รักอิสระเสรี มีแต่ตามใจตัวเองโดยไม่แคร์คนรอบข้าง ขนาดคนในครอบครัวยังทำอะไรเขาไม่ได้  แล้วกับคนอื่นอย่างเธอล่ะก็ ... ฝันไปเถอะ 

ทว่าที่ช้างไม่รู้ก็คือน้ำหนึ่งคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด  เพราะหลังจากที่เธอเคยตกกระไดพลอยโจนช่วยเหลือเขาไว้ครึ้งหนึ่ง (แบบเสียเปรียบสุดๆ) สองคนนี้ก็มีพันธะผูกพันต่อกันอย่างแนบเนียนสลัดไม่ออก พอรู้ตัวอีกที  หัวใจของช้างจอมเจ้าเล่ห์ก็เริ่มแกว่งๆ ซะแล้ว

แปลกนะ ที่ได้เจอเธออีก  มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาได้มาเจอเธออีกครั้ง เธออยากให้เขาวาดภาพเหมือนของอาม่าเธอให้ เขาไม่อยากได้อะไรนอกจากเบ๊  ตอนแรกเบ๊ก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากหรอก แค่ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูบ้านของเขาที่กำลังจะเน่า เพราะแม่บ้านชาวต่างด้าวได้หนีหายจากไป มากกว่านี้อาจจะทำอาหารให้บ้าง ฝากซื้อของตามซุปเปอร์มาร์เก็ตบ้าง เขาก็คิดแค่นี้แหละไม่ได้มากมายอะไรเล้ย  เมื่อเธอมาปรากฏตัวถูกที่ถูกเวลา เขามีความจำเป็นต้องทำความสะอาดบ้านอย่างเร่งด่วน  และดูแล้วเธอก็มีรัศมีความเป็นคนดีกำจายจนสัมผัสได้ ดูเป็นคนมีระเบียบเรียบร้อยด้วย  เอาเถอะ ... รับปากส่งๆ ไป ให้เธอมาเป็นเบ๊ก่อน เรื่องวาดรูปค่อยว่ากันที่หลัง (ถ้าเขาจะมีอารมณ์น่ะนะ)  และพอเธอลงมือก็เห็นถึงฝีมือที่ปรากฏ  ทำความสะอาดก็เนี๊ยบ ทำอาหารก็ได้  และเขาก็คาดไม่ผิด คนอย่างน้ำหนึ่งเป็นพวก 'เด็กดีมีน้ำใจ' แถมยังอดทนใจเย็นอีกต่างหาก  เหมาะกับการเก็บไว้ใช้งานใกล้ตัวอย่างยิ่ง  มันน่าปลื้มใจตัวเองนัก

"เรานี่มีสายตาในการเลือกเบ๊ใช้ได้เหมือนกัน"

เหตุผลมันมี สถานการณ์มันเป็นไปแบบรื่นไหล ..เลยตามเลย (ไม่รู้สึกว่าถูกผู้เขียนยัดเยียด) ที่ "เบ๊" ได้มาอาศัยอยู่กับ "เจ้านาย" ในบ้านหลังเดียวกัน  เขายกบ้านยกห้องนอนให้เธอยึดครอง ขณะที่ตัวเองไปอาศัยหลับนอนอยู่ที่สตูดิโอวาดภาพที่อยู่ติดกัน 

ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ มีคนทำความสะอาดบ้าน มีคนทำอาหารให้กิน ไปไหนนานๆ มีคนเฝ้าบ้าน ถ้าไปไม่นานก็มีคนขับรถให้ (โดยทำเนียนขอติดรถ)  เขาไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใดนอกจาก การมีเบ๊นิสัยดีไม่มีพิษมีภัย ไว้ใจได้  กว่าจะรู้ตัว "เบ๊" ที่เมมเบอร์โทรไว้ในโทรศัพท์ ก็ถูกเปลี่ยนเป็น "mine" ของฉัน  ที่ชีวิตเขาจะขาดเธอไปไม่ได้อีกแล้ว 





เหวอ ...  แล้วก็  เฮ้อ ...  แล้วก็ปลง   ดูเหมือนจะเป็นลำดับอาการที่เกิดขึ้นกับน้ำหนึ่งในช่วงระยะเวลาแรกๆ ที่เธอได้รู้จัก พูดคุย และอยู่ร่วมบ้านกับเขา คุณช้าง ผู้ที่เป็นเสมือนเครื่องพัฒนาความสามารถในการปลงของเธอให้แก่กล้า แม้บางครั้งจะหมั่นไส้เขามาก แต่ประชดประชันไปก็เท่านั้น เพราะเขาไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้การถูกประชด (หรือแกล้งทำมึนกันนะ?)  แม้บางครั้งเธออยากจะปรี๊ดแตก แต่ปรี๊ดไปก็คงเสียเวลาเปล่าเพราะเขาก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่แล้ว  รู้สึกเหนื่อยใจในระดับใกล้เคียงกับการมีภาระเป็นลูกชายเด็กโข่ง เอาแต่ใจ นิสัยแย่ (อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น) อยู่ใกล้ชิดนานๆ อาจเสี่ยงติดเชื้อติสต์แตก แค่ที่พอจะคุยกันได้เป็นบางเรื่องราวเธอก็กลัวตัวเองจะเพี้ยนไปแย่แล้ว 

แต่พอใกล้ชิดเขามากขึ้นเธอก็เริ่มเรียนรู้ที่จะรับมือและจัดการกับเขาให้อยู่หมัด เรานี่ก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย  และพร้อมกันนั้นก็เริ่มสับสนกับมุมดีๆ ที่เขามีให้เห็น อยากจะซึ้งใจ แต่ก็ไม่น่าไว้วางใจว่าเขาดีกับเธอจริงๆ หรือแค่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง ..รึเปล่า?  เพราะว่าอย่างหลังเนี่ย เธอก็มีประสบการณ์เรียนรู้มาแล้ว สมควรจะเข็ด  ถ้าขืนไว้ใจในความดีของคุณช้างง่ายๆ  อีกเดี๋ยวก็อาจได้หงายเงิบเพราะความเจ้าเล่ห์เพทุบาย  เฮ้อ

แต่ยิ่งอยู่กับคุณช้าง ที่เธอคิดว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ยากจะเข้าใจ และคงไม่มีวันจะเข้าใจ สุดท้ายถึงแม้เธอเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรดีนัก  แต่เธอก็ลืมสิ้นความคิดที่ว่าเขาเป็นผู้ชายที่พึ่งไม่ได้มากที่สุดคนหนึ่ง  เพราะเขาจะอยู่กับเธอเสมอ ในยามที่เธอไม่มีใคร เขาเป็นคนเดียวที่เธอมี 

แล้วมันก็กลายเป็นความรัก  .. จนได้   

แต่ความรักที่มีให้คนแบบเขาจะไหวแน่หรือ

"ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันผิดหวัง และเสียใจด้วย"

"ผมขอโทษ" แค่คำธรรมดาคำเดียว  แต่เมื่อมันออกมาจากปากของคนอย่างคุณช้าง มันสะท้านสะเทือนหัวใจนัก 

"คนสองคนอยู่ด้วยกัน มันไม่ใช่คนหนึ่งให้และคนหนึ่งรับ แบบนั้นมันไม่สมดุล ที่เราดูแลเขาบ้าง เขาดูแลเราบ้างมันก็ถูกแล้ว เพราะแต่ละคนก็มีจุดอ่อนจุดแข็งไม่เหมือนกัน จริงไหม" 

อาม่าเคยบอกไว้อย่างนั้น บางทีการที่เธออยู่กับเขาอาจจะเป็นความสมดุลอย่างที่อาม่าว่าก็ได้

"ผมนิสัยไม่ดี แต่ผมก็รักคุณนะ" 

ถึงเขาจะติสต์ เกรียน เอาแต่ใจ และเจ้าเล่ห์ แต่ ..เขาก็มีอะไรบางอย่างที่แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเธอได้  มีพอ และดีพอแล้วสำหรับเธอ 





อยากแนะนำให้คุณได้ลองค้นหาความสมดุลที่ว่านั้นค่ะ นิยายเรื่องนี้เป็น Full House ฉบับสุดติสต์ มันทั้งซึ้งทั้งขำ  น่ารักมากๆ  ตัวละครอื่นๆ ก็ช่วยทำให้เรื่องราวน่าสนใจ  บางคนทำให้เรื่องราวตลกและน่ารัก  และบางคนก็ทำให้ดราม่ามีรสชาด 

อาม่า - เสาหลักในชีวิตของน้ำหนึ่ง  ลูกสาวคนโตที่พ่อไม่รัก แม่ห่างเหิน เพราะพ่อแม่หย่าขาดจากกัน  ส่วนแม่เลี้ยงก็ใจร้ายเป็นแม่เลี้ยงแบบในนิยายน้ำเน่า เช่นเดียวกับน้องสาวน้องชายต่างแม่ก็ไม่เห็นหัวเธอ ไม่นับว่าเป็นพี่น้อง  มีเพียงอาม่าที่รักและเลี้ยงดูเธอมาเพียงลำพัง   

พี่สิงห์ - พี่ชายของคุณช้างที่บุคลิกดูหนักแน่นมั่นคงดั่งหินผา แตกต่างจากน้องชายอย่างคุณช้างที่แปรปรวนดั่งสายลมพัด  เขาเป็นคนเดียวที่ได้ชื่อว่าพอจะจัดการกับตัวติสต์ประจำบ้านอย่างคุณช้างได้บ้าง   ขอย้ำว่า "บ้าง"  ไม่ใช่ในทุกกรณี  พี่สิงห์ดูแลกิจการรีสอร์ทอยู่กับครอบครัวที่เขาใหญ่ ส่วนคุณช้างผู้เป็นมนุษย์ศิลปินนั้นเขาชอบอยู่คนเดียวที่บ้านหลังหนึ่งในกรุงเทพ

อติคุณ -  หนุ่มหล่อไฮโซผู้เป็นะเป็นเจ้าของบริษัทออแกไนเซอร์ที่เป็นนายหน้าค้าภาพวาดและดูแลจัดการงานนิทรรศการภาพวาดให้กับคุณช้างอย่างผูกขาด เพราะเขาเป็นเพื่อนที่มีแค่เส้นบางๆ ขีดคั่นระหว่างคำว่า "เพื่อนสนิท" และ "ข้ารับใช้"  เพราะอติคุณรู้นิสัยกันดีจึงไม่เคยจะถือสาที่ถูกเพื่อนเรียกใช้ และแม้ว่าบางครั้งจะถือสาเพราะถูกหลอกใช้ .. ก็ทำอะไรกะไอ้ช้างติสต์แตกไม่ได้อยู่ดี  เขาจึงเห็นอกเห็นใจน้ำหนึ่งอยู่มาก ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน    การที่เธอสามารถรับมือกับเพื่อนของเขาได้เป็นอย่างดีนั้น นับว่าเป็นผู้หญิงนิสัยดีที่ไม่ธรรมดา  น่าจีบทำแฟน  แต่ไอ้คุณช้างก็ดันหวงก้างมากๆ "น้ำหนึ่งเป็นของฉัน" เหอะ ..ของฉันนี่ความหมายที่แท้จะยังไงก็ชั่ง รู้แต่ว่ามันน่ากลั่นแกล้งให้ร้อนรุ่ม ทุรนทุราย  อิอิ 

พีรัช - หรือ "พี่พี"  เพื่อนรุ่นพี่ที่คบหากันมายาวนานกับน้ำหนึ่ง เธอซาบซึ้งในการเอาใจใส่ดูแลและสนิทกับเขาเหมือนพี่น้อง  เพราะพ่อของเขากับแม่ของเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน  เขาไม่มีแม่ ส่วนเธอมีพ่อแต่ก็เหมือนไม่มี  พ่อของเขารักและเอ็นดูเธอ ส่วน แม่ของเธอก็เคยช่วยเลี้ยงดูเขามา น้ำหนึ่งจึงรักพีรัชเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่ไม่เคยเอะใจว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกอื่นในใจที่มากกว่าความเป็นพี่น้อง 

พิมพ์ดาว - นางเอกสาวชื่อดังที่มีป้วนเปี้ยนอยู่ในชีวิตของติสต์หนุ่ม

-----------
นิสัยของคุณช้าง บางทีน้ำหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นข้อเสียหรือข้อดีหรือก้ำกึ่ง เขาชอบคิดแปลกๆ พูดแปลกๆ สวนทางกับมนุษย์มนาทั่วๆ ไป  แต่บางทีมันก็ชัดเจนอยู่เหมือนกันนะ ว่าที่เขาคิดมันใช่ มันใช้ได้ 

"ก็มาดูคุณไง  ตกลงคุณเป็นอะไร เห็นแปลกๆ ตั้งแต่เย็นแล้ว" 

"วันนี้เกือบโดนคนโกงเงิน" เธอตอบ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็รู้สึกอยากระบายความคับข้องในอกขึ้นมาบ้าง  เมื่อพิจารณาว่าเขาไม่ได้อยู่ในแวดวงครอบครัวของตน เธอเลยตัดสินใจพูด

"ดีแล้วนี่"

"นี่คุณบอกว่าดีที่ฉันเกือบโดนโกงเหรอ" น้ำหนึ่งถามเสียงสูง

"อืม  ก็คุณบอกว่าเกือบ แสดงว่าไม่ได้โดนโกงไง" เขามองเธอด้วยสายตาประหลาด "คุณนี่แปลกนะ มานั่งกลุ้มที่ไม่โดนโกง"

"คนที่จะโกงฉันเป็นคนที่ ...ใกล้ตัวและมีคนให้ท้าย มีแนวโน้มมาด้วยว่าฉันจะกลายเป็นคนผิดที่ไม่ยอมให้เขาโกง เพราะมันก็เป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว"  เธอถอนหายใจเฮือก เริ่มไม่แน่ใจว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่พูดให้เขาฟัง

"นั่นยิ่งดีใหญ่  เพราะแสดงคนคนนั้นพยายามโกงคุณมาหลายหน แต่ไม่สำเร็จสักหน"

"จะคิดอย่างนั้นมันก็ใช่ แต่มันเหนื่อยใจนะคุณ ใช้ชีวิตโดยรู้ว่ามีคนจ้องจะโกงจ้องจะเอาเปรียบตลอดเวลาน่ะ" 

"คุณจะเหนื่อยใจทำไม ทางนู้นน่าเหนื่อยใจกว่าคุณอีก โกงคุณไม่สำเร็จสักที แสดงว่าคุณฉลาดกว่าเห็นๆ แล้วคุณจะมั่งกลุ้มใจเพราะคนโง่ทำไม แบบนี้ก็เข้าทางฝั่งนู้นสิ เขาโกงเงินคุณไม่ได้ คุณก็ยังอุตส่าห์ให้เขาปล้นความสุขของคุณอีก"

-----------
แล้วเรื่องการแตะเนื้อต้องตัวเธอเนี่ย บางทีอดไม่แน่ใจว่า เขาไม่ได้เจตนาเพราะไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ  หรือแค่ตีมึน

"แล้วตอนคุณเลิกเล่นเกมคุณไม่ปลุกฉันล่ะ"

"ก็ไม่อยากปลุก"  ชายหนุ่มปาดแยมส้มลงบนขนมปังปิ้ง  "นอนด้วยกันอุ่นดีออก"

"กลับไปนอนห่มผ้าที่ห้องก็อุ่นเหมือนกันนั่นแหละ  สบายกว่าด้วย"  น้ำหนึ่งยังสามารถทำใจเย็นอยู่ได้ เนื่องจากคาดการณ์ไว้แล้วว่าการสนทนาจะออกมาในลักษณะนี้  

"มันไม่เหมือนกันนะ" คชินทร์หยุดปาดแยมกระทันหัน เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเธอ ท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง

"อุ่นเพราะมีคนนอนอยู่ข้างๆ มันไม่เหมือนอุ่นเพราะผ้าห่ม คุณไม่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เหรอ"

นี่เขาถามบ้าบออะไรเนี่ย!!

----------

"คุณช้าง! นี่มันเกินไปแล้วนะ!"

"อะไร" เขาขมวดคิ้ว "ตอนเด็กๆ เวลาผมเจ็บ แม่ชอบทำแบบนี้ มันไม่หายเจ็บหรอกแต่มันรู้สึกดี"

"ฉันไม่ใช่เด็กเสียหน่อย" 

"คุณก็เด็กกว่าผมไม่ใช่หรือไง อืม หรือว่าคุณแค่หน้าเด็ก"  คชินทร์ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนอยากพินิจร่องรอยบนใบหน้าของเธอให้ละเอียดลออ  


"เอาเป็นว่าคุณเด็กกว่าผมอยู่ดี ผมต้องโอ๋คุณก็ถูกแล้ว" 

นี่มันตรรกะเพี้ยนอะไรเนี่ย!

"ฉันไม่ใช่ลูกคุณไม่ต้องมาโอ๋ฉัน"

"แน่สิ ถึงคุณจะเด็กแต่ก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้น จะเป็นลูกผมได้ไง เป็นแม่ของลูกก็ว่าไปอย่าง"

-------------

"แล้วนี่คุณจะมาโอบไหล่ฉันทำไมเนี่ย ปล่อยได้แล้ว" น้ำหนึ่งพึ่งนึกได้

"ก็ความสูงมันพอดี" ชายหนุ่มตอบหน้าตาย "ผมว่าคุณต้องเกิดมาเพื่อให้ผมมีที่ไว้วางแขนแน่ๆ เลย"

---------
แล้วเราก็ขำซะจริงกับเหตุการณ์ที่ทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกอย่างนี้

"...คุณนี่แปลกชะมัด" 

ถ้าจะมีอะไรที่หญิงสาวรับไม่ได้ก็คือการโดนผู้ชายติสต์โลกตะลึงกล่าวหาว่าแปลกนี่แหละ ทว่าพอพูดจบเขาก็เดินดุ่มๆ ออกไปทางประตูหลังครัวอย่างรวดเร็ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้โต้ตอบ   ... แต่ให้ตายเหอะ โดนคชินทร์นิยามว่าแปลกนี่เป็นรอยด่างในชีวิตเลยนะ

----------

"คุณจะถามว่าทำไมผมถึงรู้ใช่ไหม" อีกครั้งที่ชายหนุ่มพูดอย่างรู้เท่าทันความคิดในใจเธอ "ผมเป็นคนอ่อนไหวนะ"

"อ่อนไหว?" เธอกระพริบตาปริบๆ มันมีหลายคำที่ใช้นิยามตัวตนของเขาได้ แต่ในความเห็นของเธอนั้นไม่มีคำว่าอ่อนไหวรวมอยู่ด้วยแน่ๆ  .... น้ำหนึ่งคิดว่าเขาอาจเป็นพวกที่ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น ไม่รู้ว่าเพราะเขาเป็นพวกศิลปินจ๋าหรือเปล่า .. แต่อย่างไรก็ใช้คำว่าอ่อนไหวไม่ได้อยู่ดี

------

มีอีกมากมายความน่ารัก ที่ทั้งขำทั้งโรแมนติก  อ่านแล้วชวนให้รู้สึกว่าผู้เขียน Andra น่าจะรักตัวละครตัวนี้เป็นพิเศษนะ  คาแรคเตอร์มันไหลรื่นจนอดแปลกใจไม่ได้ว่า  ต่างๆ นาๆ ในวิธีคิด วิธีมองโลกกลับหัวกลับหางต่างจากคนทั่วไป (แต่มันก็ใช้ได้) ของมนุษย์ผู้มีความติสต์ในจิตวิญญาณเหลือล้นอย่างคุณช้างเนี่ย .. เธอคิดได้ไง   อ่านสนุกเพลิดเพลินอย่างคาดไม่ถึง ทำให้ความสมเหตุผลหรืออะไรที่ขัดใจบ้างเล็กน้อยถูกมองข้ามไปได้  อ่านรวดเดียวจบเข้านอนตีสี่ ฉากสวีตก็น่ารักกุ๊กกิ๊กกำลังงาม ไม่เยอะจนเกินไป ขอบคุณนะคะ ที่สร้างสรรค์ผลงานที่อ่านแล้วทำให้มีความสุข 






 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2558 1:03:23 น.
Counter : 2919 Pageviews.  

ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน - จะถักทอสายรุ้งความฝันให้เต็มขอบฟ้า


ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน 
ผู้เขียน ประภัสสร เสวิกุล
พิมพ์ครั้งที่ ๑๙  ตุลาคม ๒๕๕๔


SmileySmiley

"จะถักทอตาข่ายจากสายรุ้ง 
เอาไว้มุ่งช้อนดาวพรายยามรายร่วง
เพื่อเก็บมาคืนที่ที่ฟากสรวง
คอยนับดวงดาวไว้ให้ครบครัน"



พ่อมีพี่ถมเมื่อเริ่มงานรับจ้างถมที่ 
มีผมเมื่อพ่อพลาดถลำไปกับงานชิ้นนั้นจนหมดเนื้อหมดตัว 
และมีนายกี้เมื่อโชคดีกลับมาตั้งตัวใหม่ได้อีกครั้ง  

ยังจำได้ไหมเมื่อภาพยนตร์ออกฉายในปี ๒๕๓๙  เรื่องราวของนายล่องจุ๊น ลูกชายคนกลางของครอบครัว ตัวซวยที่พ่อไม่รัก แถมยังตั้งชื่อให้ว่า "ล่องจุ๊น" แปลว่าวิบัติ หมดตัว เจ๊งกระบ๊ง  แต่เล็กจนโตพบเจอแต่ความอยุติธรรม เพราะพ่อเราเขาลำเอียงรักมากแค่ลูกชายสองคน ถมกับกี้ สรรหามามอบให้แต่สิ่งดีๆ ทุกอย่าง แต่สำหรับจุ๊นเขาไม่เคยได้รับความสนใจไยดี  เหมือนเป็นกาฝาก เป็นส่วนเกินในชีวิตของพ่อ 

ความร่ำรวยนำมาซึ่งความหลงระเริง เมื่อพ่อมีหญิงอื่นและคิดจะพาเข้ามาอยู่ด้วยในบ้าน แม่ที่ไม่อาจทนรับได้จึงต้องเป็นฝ่ายจากไปพร้อมกับล่องจุ๊น ลูกชายคนกลางที่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่ต้องการของคนเป็นพ่อ 

แม้หนทางดำเนินชีวิตของหญิงม่ายที่เลี้ยงดูลูกชายลำพังจะต้องเหนื่อยยากลำบาก แต่จุ๊นกับแม่ก็อยู่กันอย่างมีความสุขตามประสาแม่ลูกมาระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่โชคชะตาจะนำพาชีวิตไปสู่ความผกผันอีกครั้ง  และอีกครั้ง ... หรือเพราะล่องจุ๊นคือตัวซวยซ้ำซ้อนที่นำพาความวิบัติมาสู่คนรอบข้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งทำตัวเอง

แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป  ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร  หรือแสนจะขมขื่นสักแค่ไหนก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของการเวลา  สถานการณ์ที่พบเจอตลอดจนผู้คนที่พบผ่าน ทำให้ล่องจุ๊นได้เรียนรู้ว่า ในโลกนี้ยังมีคนอีกมาก ที่ชีวิตมันยากและมันแย่ยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก และชีวิตเหล่านั้นก็ยังต้องเดินต่อไป 

ต่อมาครอบครัวภูบาลบริรักษ์เกิดปัญหา (ทุกคน) ก็มีคนที่โดนตราหน้าว่าเป็นไอ้ตัวซวยล่องจุ๊นคนนี้แหละ ที่ยอมยื่นมือเข้ามา เป็นลูกผู้ชายสู้ชีวิตที่พึ่งพาได้  ในที่สุดล่องจุ๊นก็สามารถทำให้ทุกคนยอมรับ นำพาครอบครัวมาพบกัน ลบเลือนความอ้างว้างและสร้างความอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง 


ภาพยนตร์ - ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน , พี่เต๋าสมชาย / ตุ๊กตา อุบลวรรณ


บนเส้นทางของคนในครั้งหนึ่ง อาจอ่อนแอหมดแรงจะก้าวไป
เหน็ดเหนื่อยท้อแท้เดียวดาย อยู่อย่างสิ้นหวังในใจ ทางเดินต่อไปยิ่งดูมืดมน

ปลอบตัวเองสักคำยังลำบาก เจอแต่คนแต่คำที่ซ้ำเติม
ทำดีไม่ได้อะไร เจ็บสุดส่วนลึกในใจ ไม่เคยมีใครเข้าใจสักคน

ขอเพียงอย่าเสียน้ำตา ลบเรื่องราวผ่านมาให้สิ้นไป
ทิ้งความผิดหวังแล้วสู้ใหม่ เพื่อวันใหม่วันที่งดงาม

ไม่มีใครสมหวังได้ทุกอย่าง อย่าอ่อนแอสู้ไปอย่าท้อเลย
สู่สิ่งมุ่งหวังในใจ ลืมความโชคร้ายมันไป คงมีสักวันที่เป็นของเรา

ขอเพียงอย่าเสียน้ำตา ลบเรื่องราวผ่านมาให้สิ้นไป
ทิ้งความผิดหวังแล้วสู้ใหม่ เพื่อวันใหม่วันที่งดงาม

อ่ะนะ .. เกือบลืมนางเอก ในหนังสือเธอโผล่มาช้าน่ะค่ะ

 "แตงกวา" เด็กสาวผู้ร่าเริงสดใส  คนที่นายล่องจุ๊นอยากจะเอ่ยปากขอหมอนใบที่เธอหนุนนอนมานอนหลับฝัน อย่างน้อยเขาจะได้มีฝันดีที่เหมือนกัน ได้รู้สึกใกล้ชิดเธอเหมือนบทเพลงนั้น " Send me the pillow that you dream on" 


ละครของหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน  - นำแสดงโดยพี่หนุ่ม ศรราม /นุ๊ก สุทธิดา

ขอหมอนใบนั้น ที่เธอฝัน.. ยามหนุน

เธอฝากความอบอุ่น ละมุน… ให้ฝันถึงเธอทุกคืน

ขอหมอนใบนั้น ที่เธอฝัน.. ยามหนุน

ฉันได้รับไออุ่น หอมกลิ่นความฝัน ฝันถึงโลกสวยงาม

จะฝันถึงคนแสนดี จะฝันว่ามีเธอเคียงข้าง

ก้าวไปบนทางแสนไกล ตื่นขึ้นมาพบวันใหม่ของเรา

ขอหมอนใบนั้น ที่เธอฝัน.. ยามหนุน

ขอให้เธอฝันดี เช่นดั่งเธอมี ฝันถึงกันตลอดไป

จะฝันถึงคนแสนดี จะฝันว่ามีเธอเคียงข้าง

จะฝันถึงเธอสุดทาง จะทอสายรุ้ง ความฝันให้เต็มขอบฟ้า




ใครเลยจะรู้ ใครจะมาเข้าใจที่เราต้องเสียคนเจ็บจนแทบทนไม่ไหว
ฝันร้ายไม่เคยจบถูกเหยียดถูกหยามมาเท่าไหร่
เป็นความผิดของใครเก็บไว้คนเดียวฉันคนเดียว

* ดังคนที่ใกล้ตายไม่มีแรงพลังจะก้าวไปมองไปยิ่งท้อใจมืดมนทุกทาง
จนมาได้พบเธอดั่งกับใจได้เจอกับแสงสว่างดึงใจที่ร้าวรานไปสู่ฝันงดงาม

** หากมีเธอสักคนให้ความรักความเข้าใจหนักเพียงไหนก็ยังไม่ท้อ
ขอสู้ต่อฝ่าพายุกระหน่ำจะเปลี่ยนความฝันที่มันเลวร้ายให้กลับกลายเป็นฝันดี
เพราะมีเธอ

จากยุคสมัยนั้น ตั้งใจว่าจะต้องอ่านนิยายมาจนถึงสมัยนี้ ..... เพิ่งได้อ่าน (สมใจ) น้ำตาหยดแหมะๆ สงสารล่องจุ๊นด้วย  อินกับความผูกพันระหว่างจุ๊นกับแม่ เพื่อนแท้ในชีวิตที่เปรียบเสมือนเสาหลักทางจิตใจให้จุ๊นได้ยึดเหนี่ยวในยามท้อแท้ สิ้นหวัง ความรักของแม่ที่คอยฉุดรั้งใจไม่ให้จุ๊นไหลไปในทางเสื่อม


"จุ๊น..." แม่เรียกผมด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
 "แม่จะเปลี่ยนชื่อเล่นให้ลูกใหม่"
"ไม่ครับแม่" ผมตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว 
"...เมื่อพ่อเห็นว่าผมเป็นตัวซวย ตัวนำความวิบัติล่มจมมาให้พ่อ
 และตั้งชื่อนี้ให้ผม  ผมก็จะเป็นไอ้ล่องจุ๊นของพ่อต่อไป"

เป็นเรื่องดีๆ ที่ไม่แปลกใจกับการได้รับเลือกเป็น ๑ ใน ๕oo เล่ม หนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน





 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 20:05:23 น.
Counter : 6395 Pageviews.  

ก็แค่ใครคนหนึ่งซึ่งรักเธอ- รักแท้คือการให้ มิใช่การรับหรือเรียกร้อง


ก็แค่ใครคนหนึ่งซึ่งรักเธอ
ผู้เขียน : ประภัสสร เสวิกุล
พิมพ์ครั้งที่ ๔ พฤษภาคม ๑๕๔๘ สำนักพิมพ์อรุณ

คุณประภัสสร เสวิกุลเป็นนักเขียนที่เราค่อนข้างจะแพ้ทางการตั้งชื่อเรื่องอยู่บ่อยๆ "ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน" "ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ"  "แม่น้ำสายนั้นชื่อฝันสลาย" "กลีบนั้นและกลีบนี้บนแดงดอกงิ้ว"  ฯลฯ  

 "ก็แค่ใครคนหนึ่งซึ่งรักเธอ" เป็นอีกเรื่องที่จดจำได้เพียงอ่านผ่านตาครั้งแรกและติดอยู่ในใจให้นึกอยากอ่านอยู่เสมอทุกครั้งที่เห็นหนังสือผ่านตาตามร้านหนังสือออนไลน์  ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดี มีหนังสือเล่มนี้ในครอบครอง  


หากให้คนกลุ่มหนึ่งคละหญิงชายมาอยู่ร่วมกันในที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ ความรักย่อมเกิดขึ้นได้ และที่แน่นอนก็คือ ความไม่ลงตัวของความรักอาจเกิดตามมา เพราะความรักเป็นเรื่องของหัวใจ จึงไม่ได้ง่ายเหมือนเล่นไพ่จับคู่ บางคนรักความแตกต่าง บางคนรักความเหมือน และบางคนอาจจะรักในสิ่งที่ตนเองขาด มีปัจจัยมากมายที่ทำให้คนเรามีรักที่แตกต่าง ความสมหวัง ผิดหวังในรักจึงเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน แต่ถึงอย่างไร การได้รู้จักความรัก ได้รักใครสักคนแม้จะไม่ได้รับรักนั้นตอบมา ก็ย่อมดีกว่าที่จะอยู่อย่างไม่รู้จักที่จะรักใครเลย เพราะแม้แต่คนที่ต้องเอ่ยว่า...ก็แค่ใครคนหนึ่งซึ่งรักเธอ...ก็ยังมีความสุขที่ได้รัก 

หากความรัก คือของขวัญอันมีค่ายิ่งที่พระเจ้ามอบแก่มวลมนุษ์


การให้อภัย ก็เป็นของขวัญซึ่งมีค่าสูงสุดที่มนุษย์พึงมอบให้แก่กัน




ความรักของผู้คนนั้นหลากหลาย

น้าตึ๋ง : ธเนศ พิเศษสวัสดิ์  ดีเจรุ่นเดอะ และโปรดิวเซอร์สุดเก๋าแห่งสถานีวิทยุไดมอนด์แอนด์ฮาร์ต หนุ่มใหญ่วัยกลางคนที่มีอดีตอันชีช้ำจากการกระทำคนรักหลุดมือ ชีวิตหลังเลิกงานจึงมักจะกร่ำเหล้าเคล้าแอลกอฮอล์ 

ปุ๊ : วุฒิไชย คุณูปกา ดีเจคนใหม่ของสถานีฯ ที่ตอนคัดตัว ใครอื่นอยากคัดเขาออก แต่น้าตึ๋งกลับเห็นว่านายคนนี้มีแววดีน่าสนใจ จึงต้องฟาดฟันกับคู่ปรับและเปลืองน้ำมาลายไปมิใช่น้อยกว่าจะได้รับอนุมัติให้จัดหมอนี่มาเป็นดีเจของรายการเพลงทางเลือกใหม่ "โอลดี้บัทกู๊ดดี้" ที่นำเสนอเพลงเก่าจากยุคซิกซ์ตี้ส์ ..   แล้วน้าตึ๋งผู้เป็นโปรดิวเซอร์ของรายการก็ต้องทำหน้าที่คอยดูแลเป็นเทรนเนอร์ให้  จึงเริ่มจะพบว่าไอ้ปุ๊ เป็นคนแปลก และมีสองบุคลิกในร่างเดียว หนึ่งนั้นเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริงเป็นมิตรกับคนง่าย แต่อีกหนึ่ง ลึกลับซ่อนเร้น เงียบเหงา ขาดความเป็นมิตร  จะคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นอยู่กับอารมณ์ แถมยังมีงานอดิเรกอันน่าหวาดระแวงถึงด้านมืดในจิตใจนั่นคือการสะสมผีที่ผ่านกรรมวิธีสตั๊ฟเองตัวเป็นๆ  

ออ : นวลละออ หรือที่น้าตึ๋งเรียกว่า "ขาวละออ"  สาววัยใสหัวใจอบอุ่น นักศึกษาสาวปีสุดท้าย ที่ฟังรายการแล้วตอบปัญหาเกี่ยวกับเพลงได้ถูกต้อง เมื่อมารับรางวัลที่สถานีฯ ก็จับพลัดจับผลูได้มีโอกาสร่วมออกรายการโอลดี้บัทกู๊ดดี้  ฉายแววความเป็นคนที่ใสบริสุทธิ์ มีความน่ารัก ความหวังดีต่อผู้อื่น  และการมองโลกแบบสุคตินิยม  ซึ่งปะเหมาะพอดีกับที่สถานีวิทยุไดมอนด์ฯ กำลังคิดทำรายการใหม่เพื่อคืนกำไรสู่สังคม โดยจะนำเสนอมุมมอง  ทัศนคติ หรือบางสิ่งบางอย่างที่มีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตที่จะช่วยให้ความสุขทางใจให้แก่ผู้ฟัง  ซึ่งการที่กรรมการบริษัทจะเห็นด้วยกับการปลุกปั้นดีเจใหม่สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย และหากไม่ได้คนที่ใช่ รายการใหม่ก็ไม่ควรกระทำ ดังนั้น  สำหรับน้าตึ๋งแล้ว ดีเจรายการนี้ จึงต้องเป็นขาวละออคนเดียวเท่านั้น

หนุ่ย : เพื่อนไม่สนิทคิดไม่ซื่อ นักศึกษาหนุ่มผู้หลงรักนวลละออ ตามรักตามตื๊อ และที่สุดความรักก็ทำให้คนใจบาป

เชอร์รี่ :  แฟนสาวของปุ๊ วุฒิไชย หญิงสาวผู้รอคอยความรักที่รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าไม่มีทางได้ แต่ก็ยังรักและรอ แต่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรเขายังคงเป็นคนรักที่ไร้หัวใจอยู่เช่นเดิม เธอใช้เวลาหลายปีเพื่อรอคอยและทำชีวิตหล่นหาย 

ชื่อเรื่อง  ก็บอกอยู่แล้วว่ามีคนช้ำรักเพราะอกหัก แต่มันจะเป็นไรไปถ้าเป็นได้เพียง ..ก็แค่ใครคนหนึ่งซึ่งรักเธอ  

ทุกคราที่เธอจ้องมองดูฉัน 
ฉันจะหันดวงหน้ามาองหา
ไม่ยอมให้คลาดคลายจากสายตา
เช่นตุ๊กตาตัวน้อยคอยตามใจ

เพียงแค่เธอขยับสายที่ปลายนิ้ว
ฉันจะลิ่วโลดเลื่อนรีบเคลื่อนไหว
ราวกับมีชีวิตจริงทุกสิ่งไป
และจะไม่มีวันพรากไปจากเธอ

"แต่สิ่งที่ผมกำลังจะคุยกับคุณๆ ผู้ฟังในวันนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับเพลงนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ให้ทายอะไรหรอกครับ หากแต่อยากจะฟังความคิดของคุณดูว่ามีใครคิดยังไง ถ้ามีใครสักคนที่เรารัก เราจะยอมตามเขาไปทุกสิ่งทุกอย่างเหมือน 'พัพเพ็ทออนอะสตริง' หรือว่าจะขัดขืนไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดของเขา และทำอะไรตามใจตัวเองอย่างที่เราเคยทำ ครับ โทร.เข้ามาพูดคุยกันได้เลยนะครับ ผมดีเจวุมิไชยรอรับสายคุณๆ อยู่แล้ว เจ้าของคำตอบที่โดนใจที่สุด จะมีของรางวัลเป็น ......."

"เอาล่ะครับ นั่นเป็นความเห็นของผู้ฟังรายแรก ขออีกสักรายแล้วกันนะครับ ก่อนที่เราจะฟังเพลงในชุดต่อไป" 


"เรื่องนี้คงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นหุ่นเชิดของใครหรอกค่ะ" เสียงคุ้นหูเอ่ยเอื้อนมาทางโทรศัพท์อีกสายหนึ่ง "แต่คงจะเป็นเรื่องของการที่คนสองคนจะโอนอ่อนผ่อนตามมากกว่ามั้งคะ"

"คุณคิดอย่างนั้นหรือครับ" ดีเจหนุ่มถามเบาๆ 

"ุถ้ายังงั้นคุณจะโอนอ่นผ่อนตามคนที่คุณรักมั้ยครับ" เสียงของเขานุ่มนวลลงกว่าเดิม

"ค่ะ" หล่อนตอบอย่างมั่นใจ "ถ้าเรามีคนสัคนที่เขารักเราและเรารักเขา ก็ควรจะต้องถนอมความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันไว้ให้ดีที่สุด"

นิยายเรื่องนี้ต้องบอกว่าแนวเราเลย ความรัก-ไม่ต้องใช้คำหวานเลี่ยน ไม่ต้องมีฉากกุ๊กกิ๊กมุ้งมิ้งอะไรมากมาย ต่อให้เป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีเลยอย่างเรื่องนี้ เราก็ยังฟินได้ถึงความรู้สึกดีที่เริ่มก่อตัวในท่ามกลางความน่าหวาดระแวงว่าจะรักจริงหรือจะขยี้ทิ้งเหมือนเหล่าผีเสื้อสวยงามเหล่านั้น 

ว๊า ... งั้นคุณก็รู้แล้วสินะ ว่าเราโปรดเรื่องความรักของใคร  

และสำหรับคนที่อกหัก  ต้องขอบอกว่า  'ไม่ถูกรัก แต่เท่ ..'

เป็นนิยายรักเท่ๆ ที่โรแมนติกแบบเบาๆ  ถูกใจ ..กด like ใช่เลย




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2557 0:19:19 น.
Counter : 2203 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.