Group Blog
 
All blogs
 

ค่าของคน - ค่าของความเป็นคนคู่กัน




เห็นปกในร้านออนไลน์แล้วกิเลสพุ่งปรี๊ด  พอได้หนังสือเก่าเรื่องนี้มา (มี 2 เล่ม)  ปลาบปลื้มเสียมากมาย ตอนนี้การเสาะหาหนังสือเก่าที่เคยรักเคยชอบในสมัยเก่าก่อน ชักกลายเป็นเรื่องสนุกเสียแล้วค่ะ วันก่อนมี รากนครา ของคุณปิยะพร ศักดิ์เกษม ในปกรุ่นเก่า แต่ดันมีคนจองไปก่อนแล้ว และมันคงเป็นไปได้ยากสุดๆ ที่จะหลุดจอง ถึงตอนนี้ยังคงเสียดายไม่หาย อยากได้มาก

ค่าของคน สองเล่มเก่ากึกที่ได้มานี้ เพื่อนจับพลิกหน้ากระดาษ (อันบอบบาง) อย่างระมัดระวังแล้วถามว่า..

"ถ้าฉันอ่านตอนกลางคืนดึกๆ แกว่าจะมีวิญญาณออกมามั้ย"

อ่านจบแล้วตอบได้ ... ไม่มีผีออกมาหลอกหลอนเลยสักตัวนะเมื่อคืน

ค่าของคน เป็นบทประพันธ์ของ  โรสลาเลน หนึ่งในนามปากกาของ คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ เข้าใจเอาเองนะว่าถ้าเด็กรุ่นใหม่อ่านนิยายเรื่องนี้ในยุคสมัยนี้ คงจะรู้สึกว่าพลอตมันโบราณคร่ำครึเสียจริง ซึ่งอาจจะหมายรวมถึงคาแรคเตอร์ตัวละคร และวิถีการดำเนินชีวิตด้วย  แต่สำหรับคนที่โตมากับนิยายในยุคก่อน  การซึมซับตัวละครต่างๆ ในแบบนั้น บางทีก็เป็นปัญหากับการอ่านนิยายสมัยใหม่อยู่บ้างเหมือนกัน อย่างตัวเราเองเนี่ย จะรับตัวละครง้องแง้ง แว้แว้ด สวยเริ่ดเชิดหยิ่ง หรือ 'เกรียน' มากนักไม่ค่อยได้

รจเรข หรือ คุณกล้วย เป็นแบบฉบับของหญิงไทยใจงาม เป็น 'กุลสตรี' ในยุคที่ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เป็นแม่ศรีบ้านแม่ศรีเรือนโดยแท้  แต่เราชอบนะ ความอ่อนโยนเยือกเย็นเป็นน้ำที่จะรินรดหัวใจไฟร้อนรนของ คุณลักษมณ์ ให้ชุ่มเย็นเป็นสุข 



"คุณซื้อ 'คน' ได้ค่ะ แต่คุณจะซื้อ 'วิญญาณ' เขาไม่ได้ 
คุณจำไว้ คุณซื้อได้แต่คน!  ถ้าผู้ใดซื้อวิญญาณใครไว้ได้ 
ร่างเขาจะไม่มีวันหนีไปไหน  แต่ถ้าได้ไว้แต่ร่าง 
วันหนึ่ง 'ร่าง' นั้น ก็จะเดินไปรวมกับวิญญาณที่เขาฝากไว้ที่ใดที่หนึ่งจนได้ 
คราวนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า การซื้อนั้นไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่คุณเลย” 

บทประพันธ์ของ โรสลาเรน เรื่อง "ค่าของคน" นี้ สำนักพิมพ์แรกได้ตีพิมพ์รวมเล่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ นับถึง วันนี้ก็ ๓๖ ปีเต็มๆ ที่เรื่องราวสะท้อนคุณค่าของชีวิต ความงามของความรัก และอานุภาพแห่งคุณธรรมความดี ได้ถูกถ่ายทอดบอกผ่าน “ลักษมณ์" และ "รจเรข” สองตัวละครเอกในเรื่อง   นี่คือนวนิยายที่ไม่ใช่เป็นเพียงนวนิยาย  นี่ไม่ใช่เพียงบทประพันธ์ชิ้นเอกที่ดำรงอยู่แค่ตัวอักษร หากยั่งยืนด้วยลำนำชีวิตแห่งตน ไม่ใช่เพียง "โรสลาเรน" เท่านั้น ผู้อ่านมากมายก็ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน…ดำรงอยู่ด้วยเช่นนั้น ชีวิตเฉกเช่นคนที่เชื่อมั่น… 

“คนนั้นมีศักดิ์  คนนั้นมีเกียรติ   คนนั้นมีค่า 
และค่าของคนรักศักดิ์ รักเกียรตินั้น ซื้อไม่ได้ด้วยอำนาจเงิน!” 

เงินตราไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าคือองค์ความรัก ความรักเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้…ชีวิตก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้  แม้เวลาจะเนิ่นนาน หลายชีวิตล่วงหล่นดุจใบไม้ร่วง หลายชีวิตรุ่งเรืองดุจไม้ยืนต้นที่ทะนงตน ขณะที่อีกหลายชีวิตก็ผลิบานดั่งดอกไม้งามที่กำลังแย้มกลีบอ่อนละมุนรับรุ่งอรุณ แม้มากมายจะสลายไป แต่อีกมายมายก็ยังดำรงอยู่ นั่นต้องรวมถึงบทประพันธ์ชิ้นนี้

"ค่าของคน" คือบทหนึ่งที่ชี้ให้เห็น…คือความคิดดุจกระจกเงาที่ส่องสะท้อน "ความจริงบางอย่าง"และความจริงนั้นยังคงอมตะเข้มข้นอยู่ในตัวคน…

'คน' ที่คงให้ค่าของเงินมากกว่าค่าของคน 
'คน' ที่ยังไม่ยอมวางมือจากความโลภ 
'คน' ที่ถืออำนาจเงินดั่งมหาอำนาจถือว่ามัน เป็นอำนาจสูงสุด! 

"คุณจะตีราคาความพอใจในการวางมือครั้งนี้เท่าใด?" 

ไม่ว่า 36 ปีที่ผ่านมาของถ้อยคำนี้ในนิยาย "ค่าของคน" หรือสองสามวันนี้ที่เพิ่งผ่านไป… "คุณจะตีราคาความพอใจในการวางมือครั้งนี้เท่าใด?"  ภาพลักษณ์นี้ยังคงดำรงอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะสูญสลายไปตามกาลเวลาเสียด้วย นิยาย…ไม่ได้เน่า แต่ "คน" นั่นแหละ นับวันจะเน่าลงไปทุกวัน! "เน่า" ทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ อยู่นี่แหละ การรักษาคุณค่าของคน การต่อสู้ด้วยคุณธรรมความดีเป็นเดิมพันนั้น เป้าหมายแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ชัยชนะเหนือใคร แต่ถือการดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ และชัยชนะเหนือหัวใจตัวเองเป็นสำคัญ 

ค่าของความรัก…กว่าจะรักกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย 
ค่าของความรัก…กว่าจะพิสูจน์ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น 

และโรสลาเรนก็บอกผ่านผู้อ่านของเธอแล้วในเรื่องนี้ 
หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่ยังไม่ได้อ่าน…คุณลองอ่านบทหนึ่งถึง 

 "คุณค่าของความเป็นคนคู่กัน"

"จงรักและภักดีให้พร้อมกัน ความรักจะทำให้เกลียวแห่งชีวิตมั่นคง และความภักดีจะทำให้คอยเกื้อหนุนจุนเจือกัน โบราณท่านเคยเปรียบไว้ว่า…ผู้หญิงเหมือนช้างเท้าหลัง ท่านไม่ได้หมายความว่าจะให้ผู้หญิงตามผู้ชายแต่ท่าเดียว แต่ท่านหมายความว่า ผู้หญิงนั้นจะเป็นหลักให้แก่ผู้ชาย ยามใดที่เท้าหน้าพลาดลงหล่ม เท้าหลังจะช่วยยึดไว้ไม่ให้ถลำลงไปมาก"

36 ปีแห่งนวนิยาย "ค่าของคน" งานชิ้นหนึ่งที่ดำรงอยู่ได้ยาวนานเพียงนี้งานชิ้นหนึ่งที่คงมีผู้คนตามหาอ่านไม่รู้สิ้นเพียงนี้คือบทพิสูจน์ถึงคุณค่าของงาน "ค่าของคน" บทประพันธ์อันเป็นเอกตลอดกาลของโรลสาเรน…

โรสลาเรน นานที่คุณรัก ไม่เคยลืม!



อารัมภบทข้างต้น นำมาจาก www.nabaanwannagum.com  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นสำนวนของใคร เพราะคือความคุ้นเคยที่นึกนิยมเสมอ บรรณาธิการ รักชนก นามธอน .. แม้บางครั้งจะนึกโกรธกับคำผิดของหนังสือค่ายนี้  แต่ก็อดไม่ได้ถ้าเป็นหนังสือของคุณหญิงวิมล คนที่จะหยิบเอาแก่นเรื่องราวมาเขียนโปรยอารัมภบทแนะนำหนังสือได้ดีได้ถูกใจก็ต้องท่าน บก. นี่แหละ ถือเป็นพฤติกรรรมเกลียดตัวเกลียดไข่ ไม่ถูกใจการพิมพ์แต่รักนักเขียนกับบรรณาธิการ แล้วก็ถ้านับจริงๆ จาก ๒๕๐๘ ปัจจุบันนิยายเรื่องนี้มีอายุมากว่า ๔๙ ปีแล้ว 

ลักษมณ์  เป็นลูกชายคนโตของคุณหลวงนฤนาทไมตรีผู้เคยดำรงตำแหน่งท่านทูตประจำการในประเทศต่างๆ และกลับมารับราชการอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ ได้เลื่อนตำแหน่งจากคุณพระ มาเป็น พระยานฤนาทไมตรี ถือเป็นตระกูลขุนน้ำขุนนางที่มีเกียรติมีฐานะ  ด้วยเหตุนั้น ผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาให้คู่ควรเสมอกันกับผู้ชายตระกูลนี้  ต้องผ่านสายตาผู้หลักผู้ใหญ่ที่เรียกกันว่าการคลุมถุงชน   "คุณหญิง"  นายแม่ของลักษมณ์ ก็ได้แต่งงานกับคุณหลวงด้วยเหตุนั้น  และให้กำเนิดลักษมณ์ในฐานะ ลูกชายบ้านใหญ่

มี "บ้านใหญ่"  นั่นหมายความต้องมี "บ้านเล็ก"  .. 

"คุณแข" คือคนรักเก่าของคุณหลวงที่ก้าวเข้ามาแทรกกลาง พร้อมกับการให้กำเนิดลูกชายอีกหนึ่งคน "พิมาน"  นายแม่อยู่บ้านใหญ่  คุณแขอยู่บ้านเล็ก บ้านที่เป็นครอบครัวของคุณพ่อ นั่นคือสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีต

แต่ต่อมาเหลือกันอยู่เพียง สามคน - แม่ลูก คุณแข  กับพิมาน และ ลักษมณ์ 

คุณแขสำนึกในพระคุณคุณหญิงที่เมตตาเลี้ยงดู ยินยอมให้อยู่ในบ้านเล็กร่วมเขตรั้วสถานอย่างสงบสุข   จึงรับเอาคำสั่งเสียจะรักดูแล คุณลักษมณ์ ให้เหมือนลูกตัว แต่ถึงอย่างไร ความเกรงอกเกรงใจก็มีมากล้น เพราะเขาเป็นลูกของคุณหญิง  เป็นผู้จ่ายเงิน และดูแลทุกข์สุขของทุกชีวิตภายในบ้าน มีฐานะที่ป็นเหมือนกึ่งลูกกึ่งนาย   พิมานเอง แต่เล็กจนโต ก็ติดพี่ชายแจ  ลักษมณ์ไม่ได้รังเกียจคุณแขให้ความอ่อนโยน ให้ความเคารพ และที่สำคัญเขารักและดูแลน้องชายเป็นอย่างดี แต่ในความสัมพันธ์อันราบรื่น ไม่มีปัญหาใดนั้น ใครเลยจะหยั่งลึกถึงหัวใจของลักษมณ์ที่เติบโตมาจากความรักอันชืดชา 

ความเหงาเศร้า ความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายของนายแม่ ในบ้านหลังใหญ่ 
ความระหกระเหินที่เขาต้องถูกส่งตัวไปเล่าเรียนอยู่ลำพังในต่างประเทศ
นายแม่ของเขาไม่เคยมีความสุข เช่นเดียวกับที่ลักษมณ์เอง
ไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากคำว่า "ครอบครัว" อย่างที่ควรเป็น

เมื่อคุณแข .. อยากให้ลูกชายเจริญรอยตามผู้เป็นพ่อ รับราชการเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล และพิมานเองก็ดูจะฝักใฝ่ในทางนั้น  ลักษมณ์จึงมุ่งไปทางฝ่ายแม่ที่มีรากฐานมาจากการเป็นตระกูลค้าขายจนร่ำรวย ลูกสาวจึงมีโอกาสเข้าวังมีหน้ามีตา  จนได้รับการทาบทามไปเป็นศรีสะใภ้ของตระกูลขุนนาง 'นฤนาทไมตรี' ด้วยความมี 'เกียรติ' นั้นควรคู่กับการมี 'ฐานะ' คอยส่งเสริม

เมื่อ พิมาน มุ่งเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยการรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศให้คุณแขปลาบปลื้มใจ  ลักษมณ์ ยินดีจะเป็นเพียงพ่อค้า อาชีพค้าขายทำกินที่ไร้เกียรติ  แต่ว่าผลของอาชีพนั้นคือความร่ำรวยล้นเหลือ  อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็ได้  ซื้อหาได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หญิงมากหน้าหลายตา  ชีวิตมันก็ง่ายๆ แค่นั้น ทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน

เมื่อ คุณแข ไม่ปลื้มผู้หญิงคนนั้น  คนที่พิมานรัก เพราะเป็นนางละครเต้นกินรำกิน ไม่ดี ไม่เหมาะสมกัน ลักษมณ์ก็  "ซื้อ" พาเธอมาร่วมชายคา เพื่อพิสูจน์ให้น้องชายได้รู้ว่าผู้หญิงซื้อได้ และคุณแขจะได้เห็น คนไม่มีเกียรติก็เป็นคุณผู้หญิงได้ เป็น "คุณผู้หญิงเรือนใหญ่"  เหนือสะใภ้ดีพร้อมที่เธอทาบทามเอาไว้ให้กับลูกชายของตัวเอง   ผู้หญิงที่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนักการทูตของพิมานคนนั้น จะได้เป็นเมียของพ่อค้าที่ร่ำรวยและเป็นคุณผู้หญิงของตระกูลนฤนาทไมตรี ..  ถ้าเพียงแต่ลักษมณ์พอใจจะให้เป็น ไม่มีเรื่องของเกียรติยศ ฐานะ ตระกูลอะไรมาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับนายลักษมณ์เท่านั้น

เช่นเดียวกับเด็กหญิงมาร์กี้ ลูกครึ่งไทยฝรั่ง ถ้าพิมานห่วงเกียรติยศที่ค้ำคอมากเสียจนไม่กล้าพอจะรับผิดชอบลูกของตนที่ไข่ทิ้งไว้ ไม่กล้าจะลิขิตสิ่งใดให้ชีวิตตัวเอง  ถ้าเช่นนั้นจะไม่มีใครได้รู้ .. มาร์กี้จะเป็นลูกของเขาเอง (รักพระเอกเพราะเรื่องนี้เลย)  จะแปลกอะไรที่นายลักษมณ์ผู้เหลวแหลกจะมีเมียเป็นนางละคร มีลูกสาวผมสีอ่อนตาสีฟ้า พูดภาษาไทยไม่ชัด  แค่เพียงนายลักษมณ์พึงพอใจจะมี อะไรอื่นจะสำคัญ?

มันคือความขมขื่น คือปมในใจที่แฝงรอยหยามหยัน ชิงชัง 
แต่ในความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน แม่เลี้ยง และน้องชาย มีหรือจะเข้าใจ 

โถ...คุณลักษมณ์ของเรา ทำประชดชีวิตตัวเองทั้งนั้น.. ทำตัวเอง เจ็บที่ตัวเองแท้ๆ  



รจเรข เป็นนางละคร  และความจำเป็นบางอย่างทำให้เธอทำการตกลง 'ซื้อขาย' แลกกับเงินก้อนหนึ่งและใบทะเบียนสมรสหนึ่งใบจากพ่อค้าหน้าเลือดคนนั้น พี่ชายของพิมาน 

และเพราะเธอคือกุลสตรี คือผู้หญิงสมัยก่อนที่ให้ความเคารพนบนอบสามี ความหยิ่งทะนงของเธอจึงไม่ใช่ความปากกล้า เย็นชา อวดดี และโต้ตอบด้วยความเกรียน เหมือนอย่างที่เราจะพบบ่อยๆ ในนิยายแนวเชือดเฉือนและตบจูบ แต่ "คุณกล้วย" ของเรา เธอคือความอ่อนหวาน อ่อนโยน และก้มหน้าก้มตาปฏิบัติหน้าที่ของเธออย่างครบถ้วนคุ้มค่าเงิน นั่นคือการเอาใจใส่ดูแลทุกเรื่องราว ทุกสิ่งที่มอบให้คือความผาสุก ที่ทำให้ลักษมณ์เพิ่งรู้สึกถึงความหมายของคำว่า "บ้าน"  บ้านที่อบอุ่นมีความสุข บ้านที่เขาจะกลับมาเพื่อพักพิง

แต่... (มันต้องมีแต่สินะ) คนที่เติบมาอย่างห่างไกลความรักความอบอุ่น ตลอดชีวิตที่ผ่านมาทั้งในช่วงศึกษาอยู่ในต่างประเทศหรือทำงานการค้าขาย พึ่งพาตัวเอง เขาลองผิดลองถูก ผ่านด้านดี ด้านเหลวแหลก  ทั้งสำมะเลเทเมาหมกมุ่นอยู่กับความหลงระเริงหาความสุขใส่ตัวอย่างไม่มีขอบเขตเท่าที่เงินจะอำนวยให้  สมบุกสมบันกับชีวิตมาอย่างโชกโชน ความหมายของชีวิตสำหรับลักษมณ์มีเพียงแค่สนุกไปวันๆ โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ดังนั้น ..

การเชื่อว่าตัวเองจะรักใครเป็นเรื่องยาก  และเรื่องที่ยากกว่า คือการเชื่อว่าจะมีใครรักตัวเอง

ลักษมณ์เป็นคนแบบนั้น และมันได้ทำลายทุกอย่าง 
ความสุขของคนที่รัก และแม้กระทั่ง..ความสุขของตัวเอง 

ผู้หญิงคนนั้นได้สอน "บทเรียน" ชีวิตให้แก่เขา 
มีบางสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ค่าของความเป็นคน ค่าของหัวใจเธอ
ถ้าเขาอยากได้เพื่อน อยากได้ที่พักพิงทางใจ อยากได้ "บ้าน" และ  "ความรัก" 
ถ้านั่นคือจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เขาอยากได้ เขาต้องซื้อ..ด้วยหัวใจรักภักดีทั้งหมด








 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2557 19:04:46 น.
Counter : 6342 Pageviews.  

หนี้รักพันธะหัวใจ รักนั้นไม่มีสีดำหรือสีขาว


สำหรับเขา .. ผู้หญิงคือตัวแทนแห่งมารยาและการลวงหลอก
และเขา.. คนที่เคยพลั้งพลาด
จะไม่ยอมให้คนของตระกูลต้องเดินซ้ำรอย
โดยเฉพาะกับเธอคนนั้น

"มิยา" หญิงสาวธรรมดาๆ ที่หยิ่งทะนงจนน่ารำคาญใจ
ผู้ที่กุมหัวใจของน้องชายเขาไว้อย่างที่ไม่อาจดิ้นหลุด
หากแต่เขารู้ดีว่า .. ภายใต้หน้ากากอันเฉยชานั้น
มันซุกซ่อนด้วยมารยาหลายร้อยเล่มเกวียน
มารยาที่จะดึงน้องชายเขาให้ตกต่ำ 
และเขาจะเป็นคนกระชากหน้าการนั้นออกมาด้วยตัวเอง!

ข้อแลกเปลี่ยนที่เขาหยิบยื่นคือ
สัญญาหมิ่นศักดิ์ศรีในตัวเธอ
หากเพื่อชดใช้หนี้เธอพร้อมแลกทุกสิ่งแม้ว่าสุดท้าย...
จะต้องแลกด้วยหัวใจเธอก็ตาม


อยากอ่านนิยายรัก แนวดราม่าเจ็บหนึบ  เรื่องที่มองหาคือ "หัวใจซ่อนกล- ติญญา"

แปดร้านจากห้าแบรนด์ทั้งใกล้ที่พักและที่ทำงาน  บุ้คเฟรนด์  ซีเอ็ด  แพร่พิทยา บีทูเอส นายอินทร์  ไม่มีอยู่เลย

หนังสือที่มี..ยังไม่อยากอ่าน  หนังสือที่อยากอ่าน..ยังไม่มีให้หามาได้ .. มันเป็นเช่นนั้น

ไม่รู้จะอ่านอะไรจากตู้ของตัวเองดี ต้องอาศัยตู้ของคนอื่นนั่นคือ ร้านเช่าใกล้ที่พัก ตั้งอยู่ ณ ทำเลดี ตลาดมื้อเย็นซะด้วย หนังสือของ 1168 แอบซุกอยู่ในมุมเล็กๆ มุมนั้น ประหนึ่งเจียมเนื้อเจียมตัวต่อพี่ๆ แจ่มใส และพิมพ์คำ เมื่อก่อนไม่รู้จัก สนพ.ชื่อนี้เลย จนกระทั่งมองหาผลงานของคุณติญญานั่นแหละถึงเพิ่งจะรู้จัก

นิยายเรื่องนี้ ยังคงสนองอารมค์ดราม่าน้ำตาเล็ด แต่ให้คะแนนน้อยกว่า เงารักซ่อนใจ และ กับดักร้ายกลายรัก  เนื่องจาก ไม่ค่อยคล้อยตามในความสัมพันธ์และเหตุผลของตัวละครเท่าใดนัก 

เมื่อ "ยติ" น้องชายคนเดียวไปหลงรัก "มิยา"  หญิงสาวฐานะยากจนที่ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ  ในฐานะพี่ชาย "โยธัต" (ชื่อพระ-นาง เก๋ดีค่ะ) จึงต้องเข้าขัดขวางเพื่อหวังจะให้ยติมีอนาคตที่ดีกว่า  ที่สำคัญ แม่ของเขายังอยากให้น้องชายได้หมั้นหมายแต่งงานกับ "ปิม-ปรียทรรศิกา"  หญิงสาวนิสัยดีที่น่ารักและเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่เมื่อน้องชายยังรักปักใจอยู่กับผู้หญิงคนนั้นไม่คิดเปลี่ยน  เขาจึงต้องหาทางออกด้วยการเสนอเงินก้อนใหญ่ให้เธอ แลกกับการแต่งงาน.. กับเขา

อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด..ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนหิวเงิน ได้ไปเท่าไหร่ก็ไม่พอ

ถ้าอยากแก้ปัญหาขอเพียงแค่จ่ายเงินให้ ทุกอย่างจะเรียบร้อย

แต่ ปรากฏว่ามันไม่เรียบร้อยน่ะสิ 

แถมความเดือดร้อนยังก่อตัวขึ้นที่หัวใจ ..

เกิดความรู้สึกที่นำมาซึ่งอันตรายต่อความสัมพันธ์ที่หมายมั่นว่าจะแค่ "ชั่วคราว" 

ไหนจะยังมี เจนรัศมิ์  "แฟนเก่า" เจ้าของแหวน ที่มีทีท่าชัดเจนว่าอยากจะลมพัดหวน 
คนเคยเจ็บ เคยจดจำ เคยรักมาก  ฝังใจ ไม่ลืม 
หรือคราวนี้เขาจะลืม ..เพื่อเริ่มต้นใหม่กับรักคนเดิมอีกครั้ง


เจ็บจริงนะนั่น แต่มันแค่ติดขัดที่

ความสัมพันธ์_ ยติ เป็นคนที่ดีต่อมิยาที่สุด ช่วยเหลือเจือจุนในยามเดือดร้อนเข้าตาจน ตามความหมายอย่างนั้นน่าจะเป็น "เพื่อน" น่ะค่ะ  ในมุมมองของตัวเองคือ คนที่เรานึกถึง ยอมละทิ้งศักดิ์ศรี ความอับอาย และร้องขอความช่วยเหลือในยามเดือดร้อน น่าจะเป็นคนๆ หนึ่งที่คนเราจะเปิดใจได้มากที่สุด แต่มิยาในเรื่องนี้ค่อนข้างนิ่งเฉยต่อ ยติ  มันค่อนข้างแปลกในความคิดเราน่ะค่ะ ไม่รักไม่ว่าแต่เหตุใดไยต้องเฉยชา  ปิดกั้น  ถ้าซาบซึ้งในความดีก็น่าจะพยายามฝืนจะรักตอบสักนิด (อาการภูมิแพ้พระรอง T_T ) การที่คนเราจะสามารถหยิบยืมเงินใครสักคนได้ทีละมากๆ โดยไม่ต้องอธิบายเหตุผล  ใครคนนั้นที่คนเรากล้าจะเอ่ยปากถึงความตกต่ำสิ้นหนทางด้วย น่าจะมีมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่แน่นหนาในความรู้สึกมากกว่านั้นสักหน่อย 

เหตุผล_ไม่เข้าใจ โยธัต  การที่ตัวเขากีดกัน มิยา จากน้องชาย เพราะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ดี จ้องจะจับน้องชายเพื่อปอกลอก  แม่ของโยธัตกับยติก็ไม่ชอบมิยา เพราะว่าฐานะคนละชั้นอย่ามาสะเออะคิดรวยทางลัด  แล้ว... คุณโยธัตคะ คุณจะยื่นข้อเสนอแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองรังเกียจ แม่ของตัวเองก็รังเกียจ..เพื่อ ?... (จะว่าเป็นเพราะความรัก ตอนนั้นก็ยังไม่มีวี่แวว) ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านั่นเป็นการทำร้ายยติโดยตรง   พี่ชาย ไปฉกเอาผู้หญิงที่รู้ว่า น้องชาย เฝ้ารักเฝ้ารอคอยอยู่มาเป็นของตัวเอง มันคือการหักหลังกันชัดๆ  เรื่องนี้ถือสา ไม่ว่าเหตุผลใดของพระเอก .. มันหักล้างข้อนี้จากใจเราลงไปไม่ได้ 

ก็มีสองข้อนี่เองที่ทำให้รู้สึกสะดุด นางเอกมิยา ค่อนข้างจะ เฉยๆ กับยติ   และ โยธัต .. ถ้าออกไปแนวเอาเงินฟาดหัว  หรือถ้าเงินมันก้อนใหญ่จนต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน จัดให้แรงเป็นเมียเก็บ หรือ ที่ภาษาน้ำเน่าเรียกว่านางบำเรอ น่าจะทำให้เข้าใจตัวละครได้มากกว่า 'การแต่งงาน'     ก็มันออกจะงงๆ ตรงที่ไม่อยากให้มาเป็นน้องสะใภ้ร่วมสกุล แต่ก็แต่งงานจดทะเบียนให้ร่วมสกุล ถึงจะอ้างว่าชั่วคราว ก็คิดว่าไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลต่อกันอยู่ดี มันเหมือนเป็นการบังคับพลอตมากไปสักหน่อยที่จะให้เกิดการแต่งงานอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน

แต่ถึงอย่างนั้น ...สุดท้ายก็ยังร้องไห้กับมิยาอยู่ดี  (Smiley อ่อนไหวซ้า)


คิดว่ามุมมองต่อเรื่องราวในนิยาย มีผลมาจากวัยและประสบการณ์ผ่านโลกของผู้อ่านด้วยนะคะ  เรื่องนี้ถ้าอ่านตอนเป็นเด็กวัยรุ่น  จะอินโดยไม่รู้สึกสะดุดอะไรเลย แต่เพราะตอนนี้เราไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว (ไม่อยากจะยอมรับ แต่มันก็จริง) มุมมองเปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น มุขตบจูบ ตอนเรายังเด็ก ยังโลกสวย ดาวพระศุกร์ตบ คุณภาคจูบ หรือการมีนังตัวร้ายอย่างมาหยารัศมีมันสนุกมากกก  ตอนนั้นเราชอบนายหัวปลุกปล้ำโศรยาจำเลยรัก สมน้ำหน้ายัยศันสนีย์หน้าแหก   แต่ถ้าเป็นตอนนี้เราจะเอือมกับตัวอิจฉาขี้โวยวายว่าไม่มีเหตุผล ไร้วุฒิภาวะ ที่มากับข้อสงสัย คนจริงๆ จะมีแบบนี้ด้วยเหรอ เป็นไรมากป้ะ เพลีย! (ทำนองนั้น)  และเรารู้ว่าการปลุกปล้ำนางเอกไม่ใช่วิถีสุภาพบุรุษที่พระเอกควรจะเป็นเลยสักนิด ทั้งที่เมื่อก่อนปล้ำกันมันก็ดราม่าดี  ยิ่งถ้าท้องอย่างสวรรค์เบี่ยง ด้วยนะ ...เริ่ดมาก  แต่สมัยนี้ใครเขียนนางเอกท้องหลังจากมีความสัมพันธ์กับพระเอกอย่างไม่เต็มใจ (ซึ่งก็เแทบจะเป็นไปไม่ได้ในนิยาย .ที่ต้องลงเอยด้วยอาการอ่อนระทวย- ยินยอมพร้อมใจเสมอ) มันจะเชยมากๆ เลยนะคะ เพราะสมัยนี้เขามียาคุมฉุกเฉิน เว้นแต่จะไร้เดียงสาหรือสะเพร่ากับชีวิตที่พลั้งเผลอไปขนาดหนัก 

แม้จะติดใจสองข้ออย่างที่บอกไป แต่ถ้าเทียบกับผลงานสองเรื่องหลังที่เคยอ่านไปก่อนหน้า นั่นหมายถึงฝีมือที่พัฒนาขึ้น ส่วนของอารมณ์ทำได้ดีแล้ว  ไม่ใช่ง่ายที่ใครจะเขียนดราม่าได้อิน  เรื่องนี้เราคิดว่าอารมณ์ความเจ็บช้ำออกจะล้นไปในบางสถานการณ์เสียด้วยซ้ำ  ถ้าพัฒนาพลอตให้ทันสมัย ไม่ซ้ำๆ พฤติกรรมบางอย่างของตัวละคร หรือเค้าโครงเรื่องเดิมของตัวเอง (ทั้งสามเรื่องเป็นความเกลียดชังจากการเข้าใจผิด-อีกเรื่องปมแค้นซ่อนรัก ก็น่าจะมาแนวนี้ด้วยเช่นกัน)  จะชวนให้น่าติดตามผลงานทุกเรื่องไป   เพราะตอนนี้ก็เริ่มจำแล้วล่ะค่ะว่า  ถ้าอยากปวดใจมองหา "ติญญา" 

ตอนนี้อยากอ่าน สุดท้ายของหัวใจ ยังไงต้องเป็นเธอ  ที่พระเอกเป็นนักบาสหัวสกินเฮดน่ะค่ะ น่าจะเป็นผลงานช่วงแรกๆ ของการเขียน  เพราะเป็นเรื่องวัยรุ่นรั้วมหาลัย  ... ถูกโฉลกกันจริงๆ นิยายแบบนี้  ไม่ค่อยมีนักเขียนคนไหนสนองแนวพระเอกเป็น นักกีฬา ให้สักเท่าไหร่  ยิ่งหัว "สกินเฮด" เนี่ย เป็นทรงแพ้ทาง (ต้องโทษต้นแบบเท่ๆ อย่าง เวย์ ไททาเนียม ตามมาด้วย ไมเคิล สกอฟิลด์ Prison Break) เป็นรูปลักษณ์ที่หาได้ยากจากพระเอกในนิยาย   เหตุผลใหญ่ที่ทำให้อยากอ่าน "ความรักเจ้าขา" ของคุณดวงตะวัน มาก ก็เป็นเพราะ พระเอกหัวสกินเฮดที่เชื่อว่าคาแรคเตอ์น่าจะถูกใจใช่เลย ด้วยเหมือนกัน   


ชอบคำจากพ่อสอนลูก ในนิยายเรื่องนี้จัง

"..รักนั้นไม่มีสีดำหรือสีขาว"





 

Create Date : 28 เมษายน 2557    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2557 14:05:43 น.
Counter : 2776 Pageviews.  

ปลาหลงฟ้า รักสนุกสุขนิยม ไอ้กร๊วก!




ปกหนังสือนิยายสีฟ้าแจ่ม ช่างโดดเด้งเข้าตาน่าอ่านเสียนี่กระไร  ไหน...ขอหยิบขึ้นมายลสักนิดซิ 


เพราะความจงรักภักดีต่อบริษัทที่ฝังอยู่ในสายเลือดและทุกอณูเซลล์ของ มัศยา เธอเลยต้องยอมรับหน้าที่ผู้ช่วยของ น่านฟ้า ประธานหนุ่มของ บริษัทข้าวเกรียบมีโชค ที่สุดแสนจะเหลวไหลและไม่เอาถ่าน เพื่อช่วยเขากอบกู้ยอดขายของบริษัทให้ได้ภายในสามเดือน  ไม่เช่นนั้นตำแหน่งประธานของเขาอาจจะหลุดลอยไปตกอยู่ในมือของคนอื่น 

แค่ภารกิจทวงคืนตำแหน่งประธานกลับมาก็ยากเย็นแสนเข็ญเต็มทน  แต่นี่เธอต้องคอยทำหน้าที่พี่เลี้ยงกึ่งแม่นมเพื่อควบคุมความประพฤติของเขาอีกด้วย เมื่อเขาพร้อมจะออกนอกลู่นอกทางจนเสียงานเสียการทุกที ถ้ามีสาวสวยหุ่นนางแบบมาเฉียดใกล้ เพราะเขาเป็นหนุ่มขี้เหงา ขาดกิ๊กเมื่อไรเป็นขาดใจ

เอาละ งั้นเธอจะยอมลงทุนเป็นกิ๊กกำมะลอให้เขาเสียเลย เขาจะได้อยู่ในสายตาเธอตลอดเวลา  แต่พ่อเจ้าประคุณก็ขยันหยอดมุกหวานและเล่นหมาหยอกไก่กันเสียจริง  แม้รู้ทั้งรู้ว่าขืนไปหลงเสน่ห์หนุ่มรักสนุก สุขนิยม อย่างเขา ที่ไม่น่าจะเข้าคู่กับเธอเลยสักนิดเดียว มีหวังได้น้ำตาเช็ดหัวเข่า แต่สุดท้ายหัวใจของเธอก็สั่นหวั่นไหวไม่เป็นท่า 

มาร่วมลุ้นกับอนาคตของบริษัทมีโชคและหัวใจของเธอที่ดูจะลุ่มๆ ดอนๆ ไม่แพ้กัน 
เพราะล้วนตกอยู่ในกำมือของประธานหนุ่มแสนขี้เล่นไปเสียทุกเรื่องคนนี้ 

แค่อ่านสำนวนคอมเมดี้ที่ปกหลัง ก็เริ่มรู้สึกสนุกแล้ว เคยอ่าน 'หัวใจใกล้รุ่ง' ของผู้แต่ง อิสย่าห์ พลอตใช่ แต่ทิศทางของเรื่องและพฤติกรรมตัวละครยังไม่โดนใจมากนัก แต่กับสำนวนการเขียนก็ไหลรื่นดีไม่มีปัญหา สื่อได้ดีจนพลอยรู้สึกอึดอัดคับข้องใจไปกับสถานการณ์ของตัวละครด้วย จึงยังคงมีเยื่อใยต่อมา ไม่ลังเลที่จะอุดหนุนเรื่องนี้ เพราะชื่อ บริษัทข้าวเกรียบมีโชค โดยแท้ ก็มีสินค้าเท่ๆ มากมายให้พระเอกของเราได้เป็นประธานบริษัท  แล้วทำไมจะต้องข้าวเกรียบมีโชค ..? เป็นสินค้าและชื่อที่ชวนให้รู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

เปิดตัว 'ประธานไม่เอาถ่าน' ได้โดนใจมาก 

ตี๊ดๆๆ..ปังๆๆ ตู้มๆๆ 
ตี๊ดๆๆ .. ปังๆๆ ตู้มมม

ท่านประธานบริษัท กำลังนั่งพิงพนักเท้าพาดโต๊ะ เมามันอยู่กับเกมในโทรศัพท์มือถือ  การแต่งกายรึ..ท่านประธานก็เด็กแนว  เสื้อยืดสีขาวคอวี กางเกงสีกาแฟใส่นมขาสามส่วนที่สุดแสนจะเข้ากับกับรองเท้าผ้าใบสีแดงแปร๊ด แฟชั่นสุดเก๋และมีสไล์ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะใส่ได้หรอกนะ..ขอบอก ต้องหล่อและรูปร่างดีอย่างท่านประธานเท่านั้น

แต่.....

"แกทำอะไรของแก ไอ้น่าน!"

เสียงแปร๋แปร๋นของ "แม่ใหญ่" คู่ปรับลับฝีปากของน่านฟ้าดังมาอย่างโทโส ชื่อของนางคือ นางวิภา นายหญิงแห่งอณาจักรมีโชค เป็นหญิงสูงวัยรูปร่างท้วม มีจมูกโตๆ ทรงผลชมพู่ผ่าซีก แต่งหน้าเข้มจัด ทำผมตีโป่งทรงถาวร อย่างที่น่านฟ้าอดไม่ได้ต้องตั้งสร้อยสมญาให้นางว่า  'แม่ใหญ่-ไลออนคิง' 

"แม่ใหญ่อย่าโมโหมากนะครับ เดี๋ยวหน้าจะเหี่ยวหนักกว่าเดิม แค่นี้ก็ยับเกินแล้ว"

"ผมปวดขี้ แต่เสียงของแม่ใหญ่ทำผมขี้ไม่ออกเลย"

"ด่า จบหรือยังครับ ... ผมกลัวแม่ใหญ่จะล้มสว้านขึ้นมาซะก่อนนะครับ แล้วเวลาตาเหลือก แม่ใหญ่จะดูหน้าตาตลกมากเลยนะ"


เจอคารมยียวนกวนประสาทของน่านฟ้าเข้าไป ต่อให้เป็นแม่ใหญ่ผู้มีฝีปากด่าทอจัดจ้านแค่ไหนก็เหอะ .. โป่งกระเจิง 


"ไอ้กร๊วก!"  แม้แต่คำด่าก็ยังเหมือนกัน  .. ผู้หญิงอวบ ถึก บึกบึน หน้าตาเหมือนแกงจืดที่ลืมปรุงรสคนนั้น  ทั้งอารมณ์ ทั้งนิสัย และปากคอที่จัดจ้าน  ราวกับเป็นร่างอวตารของแม่ใหญ่ไม่มีผิด น่านฟ้าไม่ชอบ ..เขาไม่ชอบทุกอย่างที่เหมือนแม่ใหญ่ นั่นก็สาเหตุหนึ่งล่ะที่เขาชอบผู้หญิงขาวสวยเพรียวบางหุ่นประมาณ เคต มอส เขามีแม่ใหญ่เป็นไม้เบื่อไม้เมามาทั้งชีวิต  ตอนนี้นอกจากแม่ใหญ่จะคุมหลัง แล้วยังคิดส่งยัยเจ๊ถึกนี่มาคุมหน้าแจอีกเนี่ยน่ะ 

เหอะ ..ประธานบริษัทงั้นหรือ  อย่าหวังเลย


เพราะน่านฟ้าเป็นลูกเมียน้อย  และแม่ผู้อ่อนโยนของเขาก็ถูกแม่ใหญ่คอยวางเบ่งข่มเหงน้ำใจมาตลอด จริงอยู่นางเจ็บช้ำน้ำใจ แต่แม่ของเขาจะตั้งใจหรือไงเล่า กว่าจะรู้ว่าถูกพ่อยัดเยียดตำแหน่งมือที่สามให้เรื่องมันก็เดินทางมาไกลแล้ว  เหตุนี้เมื่อเริ่มโตขึ้นรู้ความ..น่านฟ้าก็ห่างเหินกับพ่อเพราะความรู้สึกทางใจ  แม่ใหญ่ถือตัวเป็นเมียหลวงร่วมก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกันกับพ่อ จึงกีดกันน่านฟ้าจากบริษัทข้าวเกรียบมีโชคอย่างเด็ดขาดมาแล้วแต่ต้น   บริษัทนี้จะต้องเป็นสิทธิขาดของพี่ชาย ซึ่งเป็นลูกชายของแม่ใหญ่แต่เพียงคนเดียว  กว่าสิบปีแล้วที่น่านฟ้าไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ กับบริษัทนี้เลย

แต่เมื่อพ่อและพี่ชายของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่

ในวันที่แม่ใหญ่ไม่เหลือใคร จึงคิดจะยกบริษัทให้น่านฟ้าดูแล

อ้อ .. พระเอกของเราเป็นแบบนี้เอง  เด็กมีปัญหา  แม่เป็นเมียน้อย ไม่ชอบแม่ใหญ่ที่เป็นเมียหลวงของพ่อ จึงกลายเป็นพวกต่อต้าน พยายามแสดงออกด้วยการเป็นในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพี่้ชาย -ลูกชายที่แสนดีของพ่อและแม่ 

การเป็นประธานบริษัทที่ไม่ทำงานทำการ มันเป็นปฏิกิริยาต่อต้านให้แม่ใหญ่ได้เต้นผางๆ  และแน่นอนว่ายัยเจ๊ร่างอวบนั่นก็ต้องเต้นด้วยเช่นกัน เพราะเธอมันร่างอวตารของแม่ใหญ่ชัดๆ เลย

มัศยา ทั้งพ่อและแม่เป็นอดีตพนักงานของบริษัทข้าวเกรียบมีโชค เพราะคุณโชค พ่อของน่านฟ้าเป็นคนดีที่น่านับถือ และเคยมีพระคุณช่วยเหลือยามครอบครัวเดือดร้อน ความเมตตานั้นส่งผ่านมายังมัศยาที่ได้ทำงานบริษัทนี้ตั้งแต่ฝึกงาน บรรจุเป็นพนักงานเมื่อเรียนจบ แล้วเธอก็อยู่ที่นี่มาเจ็ดปีแล้ว ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี เธอจึงเป็นผู้สืบทอดสายเลือดจงรักภักดี ที่รักบริษัทนี้ยิ่งชีพ  แม่ของมัศยาเอง ก็สั่งนักสั่งหนาว่า หากมีศัตรูเข้ารุกราน เพื่อบริษัทนี้แล้ว ต้องพร้อมพลีชีพ ยืนหยัดต่อสู้จนเลือดหยดสุดท้าย(ปานนั้นเลยค่ะคุณแม่)

นั่นปะไร .. มัศยา จึงกลายเป็น สตรีเหล็ก ที่ทนถึกเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบท่ามกลางพนักงานทั้งบริษัท ที่ลุกฮือขึ้นก่อม๊อบขับไล่ท่านประธานไม่เอาอ่าว  เพื่อสนับสนุน คุณสุกิจ น้องชายบุญธรรมของนางวิภาให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทแทน 

ป๊าดด .. งานนี้มันมีผลประโยชน์ลับลวงพราง การช่วงชิงตำแหน่งประธานบริษัท มันมีเดิมพันเป็นอนาคตของบริษัทข้าวเกรียบมีโชค ที่มีอนาคตของเธอแขวนอยู่กับมันด้วย

งานนี้ไม่มีทางเลือกแล้ว นอกจากทุ่มสุดตัว  ...ทุ่มไปทุ่มมา เลยเผลอทุ่มใจไปด้วย..ซะงั้น

ผู้หญิงมีเนื้อมีหนัง อวบอิ่ม หุ่นไม่พิมพ์นิยม แถมยังแข็งแรง ถึกทึน (ถึก+บึกบึน)  ไม่ห่วงสวย ไม่สำรวยป้อแป้ ทำงานหัวยุ่งหน้าเป็นมัน  ไม่ใช่สเป็คเขาเลยสักนิด ก็แค่หมั่นไส้นักจึงทำทีเกี้ยวไปเกี้ยวมาหมาหยอกไก่แก้เข็งไปวันๆ ตามประสาหนุ่มเจ้าชู้ รักสนุกสุขนิยม ทำไปทำมา อ๊ะ..จีบเล่นแต่เอาจริง

ผู้ชายไม่เอาไหน ไร้สาระ  ไม่รู้จักโต ไม่เอาการเอางาน ปากเปราะ เจ้าชู้ มือเร็ว ตาไว นิสัยเสีย แถมยังมาเรียกเธอว่าเจ๊หยีอีก (แก่กว่าแค่สองปีเองนะ) ถึงคนในบริษัทจะเรียกเธออย่างนั้นโดยทั่วไป แต่ถ้าเป็นหมอนี่เรียกแล้วรำคาญชะมัด ฟังแล้วเหมือนตัวเองเป็นเจ๊เกียวเจ้าแม่รถทัวร์ยังไงก็ไม่รู้ ...ไอ้กร๊วกนั่นน่ะเหรอ อย่าว่าแต่จะมองหาความเชื่อมั่นจากเขาเลย เพราะเท่าที่เห็นพฤติกรรมอยู่ตอนนี้คือ สิ้นหวังที่สุด!  

แต่.. เขาเป็นแบบนั้นแน่หรือ เมื่อเขาเริ่มทำงาน เธอได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนโง่ ยิ่งได้ใกล้ชิด.. ก็เริ่มรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีดีซ่อนอยู่เยอะ แล้วผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอ คนเพียบพร้อมอย่างเขาน่ะหรือจะมีใจ ..อ้าว.. ความมั่นใจบินหนี

เชื่ออย่างยิ่งว่า คนที่ชอบแนวน่ารักคอมเมดี้ พระนางกุ๊กกิ๊ก หวานๆ หน่อย น่าจะเพลิน น่าจะชอบ 

ส่วนตน  ยังมีความรู้สึกขาดๆ เกินๆ กับบางเหตุผลพฤติกรรม และอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอยู่บ้างค่ะ  เช่นที่พระเอกยอมลงมือทำงาน เหตุผลโอเค แต่น้ำหนักของความรู้สึกยังไม่โดน  แล้วตามที่เฉลยความเป็นมาของนิสัยชอบยียวน กวนประสาท 'แม่ใหญ่' เอาไว้อย่างดี  เล่าถึงจุดยืนของแม่ใหญ่ที่ต้องการให้บริษัทเป็นของลูกชายตนคนเดียว  มันเหมือนมีช่องว่างอยู่นะ .. เหมือนต่างคนต่างจำยอมมาดูใจกัน  คนหนึ่งเพื่อเห็นแก่พ่อ อีกคนเพราะไม่เหลือใคร  ตรงนี้ไม่รู้สึกว่ามีอะไรมาเติมมันให้เต็ม  จะว่าไปแล้วสำนวนลับฝีปากของสองคนนี้ก็จะค่อนไปทางคนรักกันทะเลาะกันเอาสนุกมากกว่า ซึ่งถ้ามองอย่างนั้นมันก็ขัดแย้งอีกเหมือนกันกับความคิดของน่านฟ้าที่มีต่อแม่ใหญ่ .. ที่น่าจะค่อนไปทางเกลียด แต่ก็ไม่ได้เกลียด     


ไม่อินกับความรักเท่าไรนัก เพราะสัญญาณความรักส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยายความรู้สึกนึกคิดทางด้านนางเอก  ไม่ค่อยมีจากทางฝ่ายพระเอกที่เกี้ยวไปเรื่อยด้วยคำพูด  แล้วนางเอกเป็นฝ่ายคิด (เอ๊ะ ..อะไรยังไงกับฉันหรือเปล่า หรือแค่เจ้าชู้)  ถ้าพระเอกเป็นฝ่ายคิดกับนางเอกให้มาก  ไม่ใช่สเป็ค อวบหน่อยแต่ก็น่ารักดี ชอบแฮะ สนุกสนาน นิยมนับถือ แปลกใจตัวเองที่คิดถึง ที่มีความสุขเวลาได้อยู่ด้วยกัน  คิดแล้วเกี้ยว เกี้ยวแล้วคิด ประมาณนั้น เราน่าจะเข้าถึงความรู้สึกรัก ได้มากกว่าการพยายามคิดเอาว่าเขารักจากคำตอดเล็กตอดน้อยคอยขายขนมจีบ ที่ไม่เหมือนทีเล่น แต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนทีจริงของของพระเอกน่ะค่ะ เพราะเขาก็หยอดไปเรื่อยๆ เป็นธรรมชาติไม่ขาดจังหวะ

คู่รองค่ะ ... ปราณ  กับ นีรชา โผล่มาอย่างน่าตื่นเต้น ทำท่าจะชอบมากกว่าคู่พระนางที่พูดเยอะทั้งคู่ .. แต่ความตื่นเต้นก็แผ่วลงไป เพราะบทน้อยจังเลย เสียดาย (น่าจะตัดบทต่อปากต่อคำของพระนางมาเพิ่มให้คู่นี้สักหน่อย) 


แต่ถ้าเป็นในส่วนพลอตเรื่องราว "คมในฝัก" ของพระเอก  เขียนได้สนุกเชียวค่ะ  ที่จริงแล้ว คำว่าสนุกมันยังไม่ใช่คำที่โดนใจเรานะ   ต้องบอกว่าพลอตมันเท่ต่างหาก

สรุปว่า แบ่งนิยายออกเป็นสามช่วง  ชอบช่วงแรกโดนใจ...อย่างฮา เพราะ น่านฟ้า VS แม่ใหญ่   ช่วงหลังสนุกปรบมือให้  ส่วนช่วงกลาง ก็ปล่อยพระนางเค้ากุ๊กกิ๊ก กั๊กๆ กันไป..เรื่อยๆ  










 

Create Date : 21 เมษายน 2557    
Last Update : 26 เมษายน 2557 23:02:26 น.
Counter : 3264 Pageviews.  

ถึงแม้ต้องไกลกันสุดปลายฟ้า อยากจะขอ ขอเพียงแค่เธอ 'อย่าลืมฉัน'




อยากให้รู้ ..    ว่ารักไม่สร่าง
ยังรักยังหวัง    ให้เธอกลับมา
วันที่เคยจากไป  ใจฉันยังไหวหวั่น
จิตใจมันสั่น   เมื่อวันที่เธอกลับมา
อย่าลืมฉัน  อย่าลืมวันที่เคยชิดเชย 
รักที่เคยผูกพัน เธอยังจำได้หรือเปล่า 
ทุกเรื่องราว   ที่เราได้เคยสัญญา 
เธอ..  จะรู้ไหมว่าฉันห่วง 
ยังหวงและห่วง ห่วงเธอทุกๆ เวลา
ใจ..ฉันมันอ่อนล้า    ผ่านวันเวลา 
เธออย่าลืมฉัน ... 

อย่าลืมฉัน  หนึ่งในละครเก่าเรื่องโปรดและยังอยู่ในความทรงจำ เมื่อมีโอกาสได้พบหนังสือมีหรือจะพลาด จำไม่ได้ว่าอ่านครั้งแรกเมื่อใด  แต่แน่ใจว่ายุคทมยันตี ย่อมเป็นยุคที่ไม่มีตังค์ซื้อหนังสือนั่นแหละ ถ้าไม่อ่านนิยายจากห้องสมุดโรงเรียน ก็จากร้านเช่าหนังสือล้วนๆ  ซึ่งอย่างหลังนี่ก็ยังถือว่าเป็นความสิ้นเปลืองที่เบียดบังค่ากินอยู่เพื่อศึกษาเล่าเรียนอยู่ดี  แต่.. จะสำนึกก็หาไม่ (คนมันชอบ)

หนังสือ  เมื่ออ่านไปนานแล้วก็ลืมรายละเอียด  ลางเลือนเหลือเพียงเค้าโครงเรื่องราว จนกว่าจะได้อ่านซ้ำย้ำอีกครั้ง  แต่ บทเพลง จะไม่มีวันลืมเลย บรรเลงขึ้นมาเมื่อใดก็เอื้อนเอ่ยร้องตามได้ขึ้นมาเมื่อนั้น   เนื้อเพลง อย่าลืมฉัน ที่หยิบยกมาข้างต้นเป็นเพลงประกอบละคร ที่ขับร้องโดย Big Mountain เพราะเนื้อหามันใช่ มันโดน มันอิน นี่จึงเป็นบทเพลงของ เขมชาติ  ที่ไพเราะ เครือเหงา เครือเศร้าในอารมณ์ แต่ถึงอย่างนั้น ในแง่ของความปวดใจ ฟังแล้วสะเทือนซาง และถือเป็นตัวแทนของ อย่าลืมฉัน ในใจเสมอมา คือ บทเพลงของ สุริยง ที่ขับร้องโดย ทราย เจริญปุระ  ในชื่อเพลงที่ตอกย้ำซ้ำอยู่ในเรื่องเดียวกัน 'อย่าลืมฉัน'

ฉันจำใจจากเธอไปสุดไกล
ฉันนั้นต้องจากไปทั้งที่ใจ
ฉันก็เจ็บรู้ไหม  มันเปล่าเปลี่ยวและเหงา
ฉันเจ็บปวดรวดร้าว     เมื่อต้องขาดเธอ

ฉันจะรอแต่เธอตลอดไป
แม้..ว่ามันจะนานสักเท่าใด
รักที่เคยให้ไว้  มันไม่เปลี่ยนแปลงไป
ไม่ว่านานแค่ไหน .. ก็ยังมั่นคง 

รู้ไว้ว่าเธอ  จะอยู่ในใจ
อยู่ในรักของฉัน มั่นคงตลอดเวลา
ถึงแม้ต้องไกลกันสุดปลายฟ้า
อยากจะขอ ขอเพียงแค่เธอ อย่าลืมฉัน

ถึงแม้ต้องไกลกันสุดปลายฟ้า
อยากจะขอ ขอเพียงแค่เธอ อย่าลืมฉัน

และนี่คือละครเรื่องโปรด บทเพลงซึมลึก และนิยายซาบซึ้งตรึงใจ อย่าลืมฉัน

แหวนรูปดอกไม้ห้ากลีบนั้นสดใสนัก
ใช่ .. อย่าลืมฉัน 'ฟอร์เก็ตมีน็อต'
แหวนวงนี้.. รักครั้งนั้น  จำได้เสมอ

อย่าลืมฉัน .. อย่าลืมวัน เชยชิดพิศมัย
อย่าลืมวัน อำลา ด้วยอาลัย
อย่าลืมใจกระซิบว่า .. อย่าลืมกัน

ไม่ว่าจะด้วยกาลเวลา ด้วยความเปลี่ยนแปลงใดๆ  
ยามรัก ยามผาสุก ยามแค้น ยามโทมนัสอย่างแรงกล้า  
'อย่าลืมฉัน'  ยังคงทรงอิทธิพลตลอดมา  

ช่อดอกไม้สีม่วงอ่อน หอมระรวย  กลีบบางใสราวกับแพร 
เยื่อไม้คลี่ซ้อนเป็นพุ่ม จากสีเข้มจาง แซมด้วยใบเขียวขจี 
'ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต'  ดอกไม้แห่งรักและคำมั่นสัญญา 

เธอว่าเธอจะไม่ลืมเขา  เขาว่าเราจะไม่ลืมกัน

เพราะรักและผูกพัน ก่อนอำลาด้วยอาลัย  
จึงฝากแหวนรูปดอกไม้ห้ากลีบสวมใส่ติดนิ้ว และ 'อย่าลืมฉัน' กลีบบางใส่ไว้
เพื่อย้ำรอยจารจำในหัวใจของสองเรา ว่าจะมีเพียงกันและกันนิรันดร

อย่าลืมฉัน  แม้รักร่วม สวมใส่ไว้ติดกาย
เมื่อใดวาย สวาทวอด จึงถอดเอย

หากกาลเวลา ไยจึงพัดพาคำสัญญาให้พลัดหาย 
และหัวใจไยจึงวายสวาทวอด

เพราะหัวใจชอกช้ำถูกซ้ำเติมให้ชอกช้ำยิ่ง 
เพราะหัวใจที่เจ็บยิ่งแล้ว ไม่เคยได้รับการเยียวยาหรือแยแส
ใจเอ๋ยใจ จึงค่อยๆ ละลาย  ละลายใจที่เคยกระซิบว่า  อย่าลืมกัน

ใช่.. เมื่อใดวายสวาทวอดจึงถอดเอย

แหวนรูปดอกไม้ห้ากลีบ ที่ถอดคืนไว้ข้างพุ่มดอกไม้สีม่วงอ่อน 
'ฟอร์เก็ตมีน็อต' ในแจกันเคลือบใบน้อย 

เป็นฉากสะเทือนอารมณ์ที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด อย่าลืมฉัน และ แหวนวงนั้น!

กรีดรอยซ้ำ ย้ำแผลเก่า จนร้าวรวด
ถึงเจ็บปวด อย่างไร ไม่เอ่ยถึง
จะจำรส  ช้ำไว้   ให้ตราตรึง
จนกว่าถึง วันของเรา จะเอาคืน

หนี้รักที่คั่งค้างได้รับการสะสาง  นี่ไงเล่า ..วันของเราจึงเอาคืน  
แล้วเหตุไฉน...หัวใจจึงเย็นเฉียบ  ความสุขอยู่แห่งหนใด

รักหรือ? ก็ไหนว่าความรู้สึกนั้นสิ้นไปแล้ว
เหลือแค่ความเคียดแค้น ชิงชัง
เหลือแต่รอยอาฆาต ที่ต้องการ การชดใช้

"ค่ะ"  คำเดียวสั้นๆ ที่เธอเคยใช้รับสนองคำของเขาเสมอมา
ครั้งนี้ดุจเดียวกัน เธอจดจำขึ้นใจทุกบรรทัด และตั้งใจสนองให้เขา..ทุกถ้อยคำ 

ถ้าคุณรู้จักเจ็บ ก็จงรู้เถิดว่าผมเจ็บมาก่อนคุณ
ถ้าคุณชอกช้ำ นั่นแหละ ผมเคยช้ำมาก่อนคุณ

ลาก่อน สุริยาวดี   

'ไพ่มือบน' ที่เขารอคอยโอกาสกำชัยชนะ เพื่อเป็นฝ่ายหัวเราะให้สาแก่ใจ
กลายเป็น 'ไพ่ใบสุดท้าย' ที่ทำให้เยื่อใยเสน่หาร้างลาขาดสะบั้น
และนี่เองคือ 'ต้นเหตุ' ของการสิ้นสุดคำมั่นสัญญา  อย่าลืมกัน

หากเธอเคยมีพันธะ ก็ดูเหมือนเธอจะสลัดพันธะทั้งหมดลงได้แล้ว
ถ้าเธอเคยมีขื่อคาทางใจ บัดนี้ เธอคงจะปลดมันทิ้งไปหมดทุกชิ้น

ถ้าเธอใจเพชรพอที่จะเก็บความทรงจำอันยาวนานเกี่ยวกับตัวเขาไว้
ก็ทำไมเธอจะไม่ใจเพชรพอที่จะปิดความทรงจำในอดีตให้แน่นสนิทเล่า

เขาเอง..เป็นผู้เอื้อมมือไปปิดประตูแห่งกาลเวลา
และเธอ ..จะเป็นผู้ลั่นกุญแจด้วยตนเอง

'เวลา' ของเขาได้หมดลง 
และโอกาสของเขาจะไม่มีอีกแล้ว

บทเรียนแห่งหัวใจไม่เคยมีบทเดียว และ 'อย่าลืมฉัน' ก็คงเป็นเช่นนั้น 
เมื่อรักกัน ย่อมไม่มีผู้ใดอยากพราก เมื่อหัวใจเดียวกัน  ย่อมไม่อยากให้มีใครอื่นอีก 

วันนี้เรามาร่วมรักษาหัวใจของคนที่รักเรากันเถอะ

ทุกข์ของผู้เป็นที่รัก ย่อมไม่พ้นความทุกข์ของตัวเราเอง

(เรียบเรียงจาก อย่าลืมฉัน  และ คำนำสำนักพิมพ์ โดย บรรณาธิการ รัชนก นามธอน) 




อย่าลืมฉัน  ถูกนำมาสร้างเป็นละครครั้งแรกในปี ๒๕๔๑ ออกอากาศทางช่อง ๗  เขมชาติ รับบทโดยพระเอกในดวงใจสมัยนั้น  พีท ทองเจือ  ที่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงแอบรักเขาอยู่มิเสื่อมคลาย เห็นผ่านตาในหน้าสื่อเมื่อไหร่เป็นไม่ได้ ต้องเป็นปลื้ม  สุริยง หรือ สุริยาวดี (วดี ของเขมชาติ) รับบทโดยนางเอกคนโปรดในยุคสมัยนั้นด้วยเช่นกัน แอน-สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ไม่ต้องอธิบายคงทายถูก หล่อกับสวย คนโปรดคนปรานทั้งคู่มาเจอกัน อินสุดๆ Smiley

ถึงปีนี้ ๒๕๕๗ นิยายเรื่องนี้ถูกนำกลับมาสร้างเป็นละครอีกครั้ง ด้วยพระเอกรูปหล่อในดวงใจอีกคน พี่ติ๊ก- เจษฏาภรณ์ ผลดี (กรี๊ด ) ผู้ที่เราโปรดปรานนับแต่แรกเห็น  แดงไบเล่ ใน ๒๔๙๙ อันธพาลครองเมือง  ต่อมาก็เคลิ้มประหนึ่งว่าตัวเองเป็น ปริศนา ยอดดวงใจ ของท่านชายพจน์ปรีชา และยังปลื้มพี่ติ๊กเสมอมานับจากนั้น แม้พี่ติ๊กของเราจะหันไปเอาดีทางเข้าป่าจนทรุดโทรมไปมากแล้วก็ตาม   ส่วนนางเอกนั้น ต้องนับว่าได้ยอดฝีมือมารับบทให้ เพราะเธอคือ แอน ทองประสม  Smiley

ต้องถือเป็นที่สุดของความน่าดู  เมื่ออีกสองตัวละครหลัก ที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มีความนุ่มนวล ละมุนละไมด้วยความรู้สึกดีๆ ของความรัก ความนับถือ ความเคารพในตัวตนและศักดิ์ศรีของตัวเอง เกนหลง กับคุณเอื้อ  รับบทโดยสุดสวยอย่าง ศรีริต้า เจนเซ่น และ  กรี้ดดดดด ... พี่ก้อง สหรัถ สังคปรีชา ที่สุดแสนจะแลดูอบอุ่น ใครหนออ่านบทประพันธ์แล้วนึกถึงพี่ก้อง คัดได้เยี่ยม   ยิ่งได้นักแสดงที่ชื่นชอบอย่าง กิ๊ก มยุริญ และ อ๋อม สกาวใจ มาร่วมสมทบยิ่งชวนให้รู้สึกตื่นเต้นรอคอย 

แต่พอละครออกอากาศ ได้นั่งดูเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้ฟินมากมายอย่างที่หวัง คงติดที่มีอคติส่วนตนเกี่ยวกับวัยของนักแสดง  ในหนังสือนั้น  ถ้าสุริยงเรียนจบอนุปริญญา บวกกับช่วงเวลาที่จากกันไป หรือ อายุ ไก่ กับ ไข่ อายุของพระนางก็น่าจะอยู่ในช่วงไม่เกินสามสิบปี (ประมาณรุ่นเดียวกันกับศรีริต้า) แต่นักแสดงพระนางเรื่องนี้วัยใกล้สี่สิบเต็มทีแล้ว  เป็นธรรมดาที่สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง มนุษย์ทุกคนย่อมต้องมีวัยที่เพิ่มขึ้น ตัวเราเองก็ไล่ตาม พี่ติ๊ก พี่แอน มาไม่ช้าเหมือนกัน แต่เวลาดูตัวละครที่ต้องโปะแป้งหนา  มีร่องรอยของวัยให้เห็นอยู่ตลอดก็ไม่ชวนให้สดชื่นเท่าไร  อาศัยรักพี่ติ๊ก-พี่ก้อง-พี่แอน กันมาแต่เก่าก่อนนะเนี่ย จึงเปิดดูทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ก็ไม่ถึงกับติดจนต้องรีบร้อนสะสางธุระอื่น หรือรีบกลับจากงานมาดูให้ทัน

ไม่ติดละคร จึงอยากอ่านหนังสือ  ถึงเวลาแล้วที่ต้องซื้อนิยายเรื่องนี้มาเก็บ ถ้าไม่มีละคร คงยังไม่ได้นึกย้อนไปถึง  ลังเลอยู่พักใหญ่ ทำใจอยู่พักนึง เพราะไม่ชอบปกใหม่นี้เท่าไหร่  ไม่ค่อยมั่นใจกับหนังสือของ ณ บ้านวรรณกรรมในปัจจุบันนี้ด้วย (หมายถึง เล่มหนังสือ ไม่เกี่ยวกับนักเขียน) แต่สุดท้าย ความอยากอ่านจัดย่อมชนะทุกสิ่ง แม้ภาพของกองดองจะรบกวนจิตใจก็..อย่าหยุดยั้ง



เปิดหน้าแรก อารัมภบทที่เป็นสำนวนคัดสรรถ้อยคำจากบทประพันธ์ตามสไตล์ของ ณ บ้านฯ ยังคงชวนอินชวนอ่าน  แต่พิมพ์  "วดี"  ผิดเป็น "วลี"  หือ?  แทบจะเอาลูกตาไปจ่อหน้ากระดาษ เผื่อว่าเราจะสายตาสั้นแล้วอ่านผิดไปเอง  ให้ตายเหอะ มัน จริงๆ นะ   ความโกรธพุ่งขึ้นเป็นริ้ว  แม้กะไว้แล้วคงจะมีผิดอย่างที่รู้ๆ กัน แต่ผิดทันทีที่เปิดปกหน้าหนังสือเนี่ย  มันช่าง.....

Smiley เอาล่ะ  พยายามประคับประคองอารมณ์ แม้จะเจอผิดอีกคำ อีกคำ และอีกคำ แล้วก็ยังให้รู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับการตัดคำท้ายบรรทัด  หัว-  ตัดคำว่า เราะ  ไปอีกบรรทัดนึง  ปัญ- ตัด  หา ไปอยู่อีกบรรทัด  นัก- ตัด เรียน ไปอีกบรรทัด จริงๆ แล้วมันไม่ผิดอะไร ก็ทำถูกแล้วที่ใส่เครื่องหมาย-  แต่ก็อดจะขุ่นใจไม่ได้ เพราะที่จริงแล้วการจัดคำให้เรียบร้อยสวยงาม มันไม่น่าจะยากเย็นจนต้องใช้วิธีการนี้  มีตัดคำอย่างนี้อยู่มากในเล่มแรก แต่ในเล่มสองเหมือนไม่มีให้เห็น งั้น..จัดคำให้ดีโดยไม่ต้องตัดแยกคำแบบนั้นก็ทำได้นี่ แล้วทำไมไม่ทำให้ดีทั้งหมด ? 


ไม่ได้อยากหยิบยกจุดบกพร่องเหล่านี้ขึ้นมาให้กลายเป็นภาพไม่ดีต่อสำนักพิมพ์ เพราะที่จริงมันก็ไม่ทำให้ความสามารถของนักเขียน  หรือ คุณค่าของเรื่องราวในหนังสือเสียไปหรอกค่ะ กับแค่คำสะกดผิด คำสลับ ตัวหนังสือเลือน ไม่กี่ตัว ไม่กี่คำ  ที่เราเองก็รู้ได้ว่าคำที่ถูกมันควรเป็นอะไร แต่ถ้ามันดันไปผิดที่ประโยคสำคัญละคะ มันก็เสียอารมณ์ได้นะ  "งั้นพี่รินจะทิ้งน้องเลยจริงๆ " ดันกลายเป็น  "งั้นพี่รินทิ้งจะน้องเลยจริงๆ"  (แม้แต่บทแนะนำนิยาย คำมั่นสัญญา ที่ปกหลังด้านในก็ยังอุตส่าห์...นะ ) ดังนั้น ในฐานะคนอ่านคนหนึ่ง ที่มีนักเขียน มีผลงานของบ้านนี้ในความทรงจำมากมาย และยังต้องการซื้อเก็บอีกมาก ด้วยความรักและหวังดีอย่างจริงใจ  เผื่อว่าเสียงบ่นจะดังไปถึงให้รับรู้ ให้ใส่ใจ ให้ปรับปรุง  

Smiley เพราะอยากให้ ณ บ้านวรรณกรรมเป็นที่ชื่นชอบของผู้อ่าน 
เพราะอยากให้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ  ไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน
เพราะรักดอก จึงบอกกล่าว 





 

Create Date : 19 เมษายน 2557    
Last Update : 26 เมษายน 2557 23:01:52 น.
Counter : 4625 Pageviews.  

วังไวกูณฑ์ ไม่ผิดหวังกับ จินตวีร์ วิวัธน์

 

ผลงานของ "จินตวีร์ วิวัธน์" อยากอ่านมานาน แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ ทั้งในแง่ของการเป็นนักเขียนที่ไม่เคยอ่านผลงานมาก่อนสักครั้ง และทั้งเนื้อเรื่องที่น่ากลัวด้วย  เรื่องที่อยากอ่านเป็นพิเศษคือ "ผาโหงพราย" แต่ด้วยหนังสือเล่มหนามาก จึงได้แค่หยิบๆ วางๆ อยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสินใจซื้อสักที

แต่ถ้าอยากรู้ คงต้องลอง หากยังไม่เคยอ่านสักครั้ง ก็จำต้องมีครั้งแรก

ไม่ได้เลือกว่าต้องเป็นเล่มนี้ แต่บังเอิญมีโอกาสที่หนังสือมาเข้ามือ  "วังไวกูณฑ์"

รมย์รดา สุริเยนทร์ สาวน้อยวัยสิบเก้าที่ใครๆ เข้าใจว่ายังอายุแค่สิบเจ็ด (หน้าอ่อนอ่ะน่ะ) เธอเป็นเด็กกำพร้าที่เสียพ่อไปตั้งแต่เล็ก จึงเติบโตขึ้นจากแม่ที่เลี้ยงดูมาเพียงลำพัง หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรงจนสมองได้รับความกระทบกระเทือน ถูกแฟนทิ้งเพราะอาการทางประสาท แม้รมย์รดาจะผ่านพ้นช่วงเวลารักษาตัวจนแพทย์ยืนยืนว่าเธอหายเป็นปกติแล้ว แต่อุบัติเหตุครั้งนั้นก็ยังส่งผลข้างเคียงหากว่าสมองของเธอถูกใช้งานมากไป นั่นทำให้เธอไม่สามารถเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยได้ ซ้ำร้ายกว่านั้น แม่ของเธอก็มาเสียชีวิตไปอีกคน

แต่โชคชะตาไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก เมื่อรมย์ลดาที่คิดว่าตัวเองไร้ญาติขาดมิตรกลับได้เข้ามาอาศัยอยู่ในวังไวกูณฑ์ที่ใหญ่โตโอ่อ่า ในฐานะเครือญาติของ หม่อมพัชรินทร์ ไวกูณฑ์ ณ อยุธยา หญิงชราผู้มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ผู้ครอบครองเป็นเจ้าของวังไวกูณฑ์คนปัจจุบัน

รมย์รดาเข้าใจว่าตัวเองนั้นเป็นเพียงญาติห่างๆ ของหม่อมพัชรินทร์ หรือ "หม่อมย่า" เมื่อเป็นกำพร้าไร้ที่พึ่ง หม่อมท่านจึงเมตตารับมาอุปการะเลี้ยงดู แม้จะเฝ้าสงสัยว่าตนนั้นเป็นญาติทางไหนอย่างไร แต่ก็ไม่เคยมีใครสักคนปริปากบอก และตัวรมย์รดาเองก็ไม่กล้าพอจะซักถามเอากับหม่อมย่าของเธอ เพราะถึงอย่างไรคงไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

ที่วังไวกูณฑ์นอกจากมีหม่อมย่าที่รมย์รดาให้ความเคารพรักด้วยสำนึกในพระคุณความกรุณาแล้ว ยังมีหลานชายหลานสาวของคุณย่าอาศัยอยู่กันหลายคน

บุรินทร์ หลานชายคนโตเป็นนายธนาคาร เพราะเป็นคุณผู้ชายที่อาวุโสสุด เขาจึงเป็นเสมือนเสาหลักของวังไวกูณฑ์ เขาทั้งเมตตาใจดีและเป็นกันเองกับรมย์รดา การมีบุรินทร์อยู่จึงไม่ใช่เพียงแต่เป็นความอุ่นใจของวังไวกูณฑ์ แต่เป็นความอบอุ่นใจของเธอด้วย

พะวงดาว ทำหน้าที่สมุห์บัญชีของวังไวกูณฑ์ เธอเป็นสาวสวยหัวสมัยใหม่ที่ชอบความรื่นเริงสังสรรค์ แฟชั่น การแต่งตัว ช่างพูดช่างคุย และถึงแม้เธอจะนึกขวางใครต่อใครโดยง่าย บางครั้งพูดจาไม่เกรงใจใคร และเหมือนมีความนัยซ่อนลึก แต่กับรมย์รดา เธอเป็นกันเองและเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ

วิศรุต หลานชายคนเล็ก เป็นนักกฏหมายและว่าที่ทนายความประจำตระกูลคนต่อไป เขามีความร่าเริงเป็นมิตร และแสดงความชอบพอรมย์รดาอย่างเปิดเผย แต่เขามีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นคนขี้เมาที่เมามายกลับวังในยามค่ำคืน

ปัญชลี เธอเป็นคนจิตใจดี สงบเสงี่ยม เรียบร้อย ถูกใจหม่อมย่านักหนา ปัญชลีจึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญนั่นคือเป็นเลขานุการประจำตัวที่อยู่ใกล้ชิดหม่อมย่ามากที่สุด

ทุกคนที่กล่าวมาต่างพากันให้การต้อนรับรมย์รดา ให้ความเป็นมิตร ความเมตตาเอ็นดูเป็นอย่างดี จะมีก็อยู่คนที่แตกต่าง เขาช่างดูเฉยเมยจนอ่านไม่ออกว่ารู้สึกยินดียินร้ายอย่างไรในการที่มีเธอมาเป็นสมาชิกใหม่ของวังไวกูณฑ์

ปรัศว์ หลานชายคนกลาง ผู้เป็นพี่ชายของปัญชลี และเขาเป็นวิศวกร ที่รมย์รดาได้รู้ต่อมาว่า เขาเป็นหุ้นส่วนบริษัท กับนักธุรกิจใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งในอนาคตเขาอาจกลายเป็นหุ้นส่วนชีวิตกับลูกสาวของหุ้นส่วนรายนั้นด้วย เธอคือ มิ่งมณี เจ้าของร้านเสื้อผ้าชื่อดังของจังหวัด  ท่าทีนิ่งเฉยของปรัศว์ในการคบหากับเพื่อนสาวอย่างมิ่งมณีไม่มีใครดูออก แต่ท่าทีของมิ่งมณี แน่นอนว่าเธอหมายปองหนุ่มวิศวกรคนนี้ และพร้อมจะกราดลมเพชรหึงใส่ทุกคน โดยเฉพาะรมย์รดาที่ไม่น่าไว้วางใจที่สุดหากสังเกตจากท่าทีของปรัศว์ที่ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของความใส่ใจ

ความน่าสนใจในความลึกลับของเรื่องราวนั้นมีอยู่แล้ว แต่การทำให้พระเอก ปรัศว์ เป็นใครคนหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่พากันกระตือรือร้นกับการได้พบรมย์รดา คอยห้อมล้อมดูแลเธอ  ทำให้เรื่องนี้ยิ่งมีความน่าสนใจขึ้นมากในเรื่องของความรัก

ความเฉยชาของปรัศว์ ทำให้รมย์รดารู้สึกเกรงขาม เหมือนที่คนอื่นๆ ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน แม้ว่าบุรินทร์จะเป็นหลานชายคนโต เมื่อหม่อมย่าป่วยกระเสาะกระแสะ เขาก็เหมือนเป็นนายใหญ่ของบ้าน แต่บุรินทร์เป็นคนที่ใจดีมีความเป็นกันเอง เขาจึงไม่น่าครั่นคร้ามเหมือนหลานชายคนกลางที่ดูเหมือนจะมีอำนาจบางอย่างอยู่ในตัวที่ทำให้คนรู้สึกเกรง ไม่ว่าพี่น้อง คนรับใช้ หรือแม้แต่หม่อมย่าเองก็ค่อนข้างจะเกรงใจคุณปรัศว์

ณ คฤหาสถ์สวยหรู ของวังไวกูรณ์นั่นเอง ที่รมย์รดาได้เริ่มต้นสัมผัสกับความลี้ลับนับจากวันแรกที่เธอย่างกรายมาถึง สถานที่ที่แม้ไม่ถึงกับปิดตายแต่ก็คล้ายเป็นสถานที่ต้องห้าม เงาร่างของใครบางคนที่เฝ้ามองเธอ กลิ่นกุหลาบหอม สิ่งเหล่านี้รบกวนจิตใจ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากกนั้นก็เขย่าขวัญสั่นประสาทมากขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งการฆาตกรรมโหด (หลายราย) ผ้าเปื้อนเลือด แมงมุมยักษ์ ภาพวาดปริศนา เสียงเพรียกหาในยามค่ำคืน ภูตผีที่เริ่มปรากฏตัวตนและเป็นอันตรายต่อตัวเธอ

แต่ในวังไวกูณฑ์อันสุขสงบ ใครเล่าจะเชื่อเรื่องลึกลับน่าหวาดกลัวที่เกิดขึ้นกับรมย์รดาผู้มาใหม่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอจึงกลายเป็นเพียงอาการกำเริบของคนที่เคยป่วยเป็นโรคประสาทมาก่อนเท่านั้น และแม้แต่รมย์รดาเองก็เริ่มจะสั่นคลอนความมั่นใจว่าตัวเองยังไม่หายดี และกำลังจะป่วยหนักถึงขั้นเป็นโรคจิต

"ท่านหญิงไล" ผู้งดงามตามภาพวาด อดีตเจ้าของท่านหนึ่งของวังไวกูณฑ์ เจ้าของสวนกุหลาบสวยงามที่แม้ท่านหญิงไลจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่สวนกุหลาบยังคงถูกบำรุงรักษาให้ดำรงอยู่ต่อมา มีความลับอะไรในวังไวกูณฑ์ จึงไม่มีใครยอมเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของท่านหญิงไลให้รมย์รดาได้รับรู้

ผู้คนเหล่านั้นหวังดีจริงใจกับเธอหรือไม่ หรือภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นแสนดีเป็นเพียงหน้ากากที่ซ่อนตัวตนอีกด้านอยู่ภายใน ท่ามกลางความโดดเดี่ยว ความสับสนวุ่นวายของจิตใจ ปรัศว์กลายเป็นคนเดียวที่เธอเชื่อใจ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเธอมอบความไว้วางใจไว้ที่เขา แต่จะเป็นอย่างไร ที่กลับกลายเป็นเขาอีกเช่นกันที่อาจเป็นคนที่มุ่งหมายปองร้ายและอยู่เบื้องหลังเรื่องราวความลึกลับทั้งหมด

 

สนุก ชวนติดตามค่ะเรื่องนี้ ๕๘๖ หน้า หนาพอควร แต่ก็อ่านรวดเดียวจบ เสียดายอยู่นิดเดียว พลอตเอื้อให้พระ-นาง (หนุ่มวิศวกรวัยสามสิบ กับสาวน้อยวัยสิบเก้า) ห่วงใยดูแล โรแมนติกได้มาก แต่ผู้แต่งคงจะไม่เน้น อารมณ์นี้จึงมีให้รู้สึกถึงได้แบบ..อบอุ่นน้อยไปสักหน่อย ถ้าส่วนนี้ได้ดั่งใจล่ะก็จะให้คะแนนเต็มเลย แต่โดยรวมแล้วเรื่องก็ยังสนุกอยู่ สำหรับคนที่ชอบแนวลึกลับ ค้นหาคำตอบเพื่อไขปริศนา...เรื่องนี้แนะนำ

ใครอ่าน "ผาโหงพราย" แล้วมาบอกเล่ากันบ้างนะคะ เล็งไว้อ่านเป็นเรื่องต่อไปของ "จินตวีร์ วิวัธน์"




 

Create Date : 15 เมษายน 2557    
Last Update : 16 เมษายน 2557 19:17:18 น.
Counter : 2364 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.