Group Blog
 
All blogs
 

กอดเมืองไทย ที่เกาะล้าน

ทริปเกาะล้าน ๑๐ - ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๕๓






เสียชีพอย่าเสียสัตย์
เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ

สำนวนเขาว่าไว้อย่างนั้น แต่ในชีวิตจริง ใครจะไปยอมตายง่ายๆ
แล้วก็ไม่ใช่กษัตริย์ด้วย คืนคำบ้าง จะเสียหายตรงไหน

กว่าจะได้ออกทริปนี้ จึงเสียความรู้สึกไปไม่น้อยกับคนไม่ยอมตายแต่ยอมเสียคำพูด
และสามัญชนผู้ไม่รู้สึกอะไรกับการคืนคำ

กว่าจะได้ออกเดินทาง จึงต้องใช้ความอดทนอดกลั้นระดับสูง
ที่จะไม่หลุดคำตัดพ้อต่อว่าใครออกไป (ภาษาอย่างเป็นกันเองเรียกว่าด่า)

ท่องไว้ ท่องไว้ ทุกคนมีเหตุผลและความจำเป็นของตัวเอง
เมื่อต่างมี "เหตุผล" ใครจะพูดอะไรได้
เมื่อต่างมี "ข้ออ้าง" ใครจะพูดอะไรออก

เลิกดีไหม .. ไปดีหรือเปล่า .. ทุกคำตอบคือ "ยังไงก็ได้"
แล้วใครล่ะ จะตัดสินใจ แต่ละทางล้วนต้องลำบากใจ

เลิก...ก็ผิดคำพูด ทำลายความตั้งใจของใครตั้งหลายคน
หรือจะไปแบบที่ต้องโกหกใครสักคน แล้วพากันหลบฉากไปกันเอง
แต่การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี
ยิ่งโกหกต่อมิตรสหายยิ่งดูสุดชั่วร้าย
มีอะไรพูดกันตรงๆ ดีกว่า
ถ้าใครจะเสียความรู้สึกก็ให้มันเกิดขึ้นตรงหน้า
แต่อย่าให้ต้องมานึกเสียใจทีหลัง
ความหวังดีของใครบางคนที่ทำให้เรื่องยิ่งยุ่งเหยิงหนักกว่าเดิม
ความจริงใจเท่านั้น ที่ทำให้ปัญหาเกี่ยวกับคนคลี่คลาย

ความตั้งใจถ้ายังตั้งอยู่ได้ ไม่เลิกล้มไปซะก่อน สิ่งที่หวังจะทำ ต้องได้ทำ
ความอดทนอดกลั้นต่อความรู้สึกชั่ววูบ ที่เคยคิดว่า จะไม่จัดการอะไรอีกต่อไปแล้ว ..
แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพัก เหตุผลความเข้าใจจะเริ่มมา แถมโจรบางคนยังคิดกลับใจ
ทำให้มิตรภาพยังคงเหมือนเดิม คราวหน้าพวกเราคงได้ไปด้วยกันอีก

ความเป็นเพื่อนก็เป็นแบบนี้ จะขัดเคืองใจไปได้สักแค่ไหนเชียว

ใครอยากไป ควรได้ไป ใครไม่อยากไป ก็ปล่อยวาง
อย่าคาดหวังให้ทุกสิ่งเป็นไปตามความต้องการ

การไม่ปล่อยมือจากอะไรไปง่ายๆ ทำให้ได้เห็นรอยยิ้ม
ได้ยินเสียงหัวเราะ สนุกสนาน ของคนที่อยากเที่ยวแล้วได้เที่ยว

นี่แหละ ผลสำเร็จของความตั้งใจ .. ฉันจะไปเกาะล้าน

ลบล้างความรู้สึกทั้งหลาย ลืมการงานที่วุ่นวาย.. เปิดหัวใจให้เริงร่า
แล้วฉันก็ไปเกาะล้าน


การเดินทางที่แสนง่าย


ไม่ต้องมีใครเสียสละเป็นคนขับรถที่แสนเหนื่อย แค่รวมตัวกันที่ท่ารถตู้ตรงโรงภาพยนตร์เซนจูรี่
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซื้อตั๋วราคา 100 บาท โดดขึ้นรถตู้ ใส่หูฟังสดับเสียงเพลงโปรด
นั่งหลับไปบนรถไม่ถึงสองชั่วโมง ก็ถึงพัทยาใต้
โดดลงรถตู้ที่ท่าเรือบาลีฮาย




สายๆ หิวก็หาอะไรกินแถวท่าเรือ นั่งพัก รอเพื่อนๆ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย


แค่คนพร้อมซื้อตั๋วเรือ 30 บาท ออกเดินทางได้เลย เพราะมีเรือโดยสารขนาดใหญ่
(ระบุขนาดบรรจุ 190 คน) ออกเดินทางไปยังเกาะล้านทุก 1 ชั่วโมง
นั่งเมาท์กับเพื่อน หรือไม่ก็ใส่หูฟัง ฟังเพลง หลับไปอย่างสบายอารมณ์
แม้อากาศจะร้อนจัด แต่ก็เป็นธรรมดา ถ้าไม่ร้อนก็ไม่ใช่ทะเลของจริงน่ะสิ




เกาะล้านมีท่าเรือ 2 ท่า คือ ท่าหน้าบ้าน กับท่าหาดตาแหวน
จะไปท่าไหนขึ้นอยู่กับที่สถานที่พัก และจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว
ไปท่าไหน ก็ขึ้นเรือของท่านั้น ท่าหน้าบ้านและท่าตาแหวนอยู่กันคนละด้านของเกาะ
ใช้เวลานั่งเรือไม่ต่างกันคือประมาณ 45 นาที




ถึงท่าหน้าบ้านแล้ว .....
มีรีสอร์ทสีสันสดใสให้เลือกพักกันตั้งแต่หน้าท่าไปเลยทีเดียว


รอบสองของการไปเกาะล้าน ตื่นตาตื่นใจเล็กน้อย เนื่องจากมีการพัฒนา
สะพาน ถนนหนทาง ตลาดร้านรวง รวมไปถึงการผุดขึ้นมาของดอกเห็ด
ที่มีชื่อว่า "รีสอร์ท" แต่ก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยผิดหูผิดตาไปจากสองปีก่อน
ไม่น้อยเลยทีเดียว



ที่เกาะล้าน

ถ้ามีที่พักอยู่แล้ว อาจมีรถสองแถวมารอรับอยู่หน้าวัด
แต่ถ้าไม่มีมารับ หรือไม่มีแม้แต่ที่พักที่จองล่วงหน้ามาก่อน

วินมอเตอร์ไซด์ก็แสนสะดวกสบาย หรือถ้าเป็นขาลุยสักหน่อย
เช่ามอเตอร์ไซด์ตรงท่าหน้าบ้าน แค่เพียง 200 บาท ขาดตัว
เลือกเอาสีสัน รุ่น ยี่ห้อ ถูกใจ ก็กลายเป็นสิงห์แวนซ์ได้อย่างอิสระเสรี
หนึ่งวันเต็มๆ

หนึ่งวันในที่นี้ หมายถึง ถ้าเราไปเกาะล้านในวันเสาร์อาทิตย์ ถึงเกาะสักตอนสิบโมง เที่ยงโมง เช่ามอเตอร์ไซด์ ก็ขับขี่ได้ดังใจจนถึง เที่ยงหรือบ่ายของวันอาทิตย์ก่อนกลับออกจากเกาะ

200 บาท น้ำมันเต็มถังรออยู่แล้วคิดว่าไม่แพงเลยนะคะ และถ้าใครชอบมอเตอร์ไซด์ แนะนำเช่าจากท่าเรือไปเลยค่ะ เพราะตามรีสอร์ทอาจจะแพงกว่า ราคาพุ่งไปถึง 350.- บาท


ที่นี่คือ ริมทะเลรีสอร์ท

อยู่ติดชายทะเล แต่เป็นชายทะเลที่ไม่ใช่ชายหาดเล่นน้ำ
บรรยากาศเงียบสงบ อยู่ติดกับสนามกีฬาเล่นแล้วสะใจ คือ ยิงปืน
(แต่ราคาค่าเล่น ... คงไม่สะอารมณ์สักเท่าไร)




ถ้าใครยังไม่มีที่พัก ก็สวมวิญญาณเด็กแวนซ์ไปเสาะหาเอากับของจริงเห็นคาตา
ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหลอกหลวงจากภาพสวยๆ ในอินเทอร์เน็ต
แต่วิมานแถวหาดทรายของเกาะล้านน่าจะหายากอยู่พอสมควรนะคะ
เพราะที่พักส่วนใหญ่บนเกาะล้านอาจเห็นทะเล แต่น้อยที่จะติดทะเล


แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าใครไม่มีวิญญาณแวนซ์
ตามรีสอร์ทมีรถสองแถวบริการ 30 บาท ต่อเที่ยว ไปไหน ไปกัน ตามสะดวก




สถานที่ยอดนิยม ที่คนจะสนุกสนานกับการเล่นน้ำ หนึ่งในนั้นคือ หาดตาแหวน
(ส่วนอีกหาดคือ หาดแสม)



เคยชินกับการไปทะเลในมุมสงบ
แม้แต่ไปเกาะล้านคราวก่อนก็เป็นหาดที่เงียบ ที่พักง่ายๆ ไม่ต้องหรูหรา
แต่ว่าข้าเป็นเจ้าของทะเลในย่านนั้น คือ.. ไม่ค่อยมีคน
แถกันไปตั้งแต่หัวหาดยันท้ายหาด โหวกเหวกโวยวายตามสบายเทือกเถาเหล่ากอ ...




มาเจอคนเยอะๆ ที่หาดตาแหวน ใช่ว่าจะไม่ชอบ สนุกไปอีกแบบ
อาหารการกินเพียบ ผู้คนหัวดำหัวแดง และหัวทองมากมาย
หนุ่มๆ ในกางเกงว่ายน้ำ ถ้าไม่อกซิกแพ็ก กล้ามเป็นมัดๆ ก็ผอมกะหร่อง
หนักกว่านั้นเป็นไขมัน และพุงย้วย


สาวๆ ในชุดบิกีนี่หลากลาย หลายสีสัน อวดรูปโฉมและผิวพรรณน่าอิจฉา


เด็กๆ วิ่งเล่นกันวุ่นวาย


อา.... บรรยากาศทะเล




สีสันห่วงยางสดสะดุดตา




นอนเล่นกับเตียงผ้าใบ ใต้ร่ม กับโค้กเย็นๆ และ ไก่ย่าง ส้มตำ ปูปลาร้า
สั่งมาเพื่อมิให้ลืมกำพืด แต่เพื่อให้เข้าบรรยากาศทะเล
ต้องส้มตำยำทะเลมาด้วย บวกด้วยชุดทะเลเผา ...

และที่จะขาดไปเสียมิได้ ไม่ว่าจะทำลายบรรยากาศหรือไม่ .. "ข้าวเหนียว"




สีสันท้องฟ้าช่างสวยงาม


เคยคิดว่าทุ่นสีแดงขาวที่ลอยกั้นแนวอยู่ตามชายหาดเล่นน้ำ
เป็นสิ่งที่ทำให้ทะเลเสียบรรยากาศ แต่เมื่อจำเป็นต้องมีเพื่อความปลอดภัย
คงต้องยอมรับ แต่..พอมองรวมๆ กลมกลืนกับสีของห่วงยาง เรือ และสีสัน
ของผู้คน ตัดกับสีของน้ำ ฟ้า และป่าเขา ก็สวยไปอีกแบบ แบบนี้แหละ
ที่เขาเรียกว่า ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนมอง




มาทะเล มาพักผ่อน ใครอยากเล่นน้ำเล่น ใครอยากกินกิน
ใครอยากนอนก็ให้นอน ตามใจใครใจท่าน

ส่วนตัวแล้ว กิน นอน และส่องเลนส์ ... คือกิจกรรมสุดที่รัก







ขอฉวยโอกาส นำภาพความน่ารักของเพื่อนสองคนนี้มาออกอากาศ

ช็อตที่เพื่อนจูงมือกัน เพื่อนคงไม่รู้ว่าทำให้รู้สึกดีมากมาย
มันนานเท่าไหร่แล้วนะที่พวกเราพ้นวัยศึกษาเล่าเรียนและแยกทางกันไป


ไม่ได้โทรหากันเลย แทบไม่เคยเลยก็ว่าได้ นานทีปีชาติเจอกันที
ได้เจอปีละยังยังต้องถือว่ายิ่งใหญ่ ดูห่างเหินกันขนาดนั้น เพราะต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง
แต่ทุกครั้งที่พวกเรากลับมาเจอกัน ความสนิทสนมไม่เคยจางหายไปไหน ยังคงอยู่กับเราเสมอ






นอนพักผ่อน และปล่อยเพื่อนเล่นน้ำจนเย็นย่ำ จึงนั่งสองแถวกลับมาริมทะเลรีสอร์ทที่เป็นที่พัก






เดินเล่นริมทะเล กินลมชมวิว ปล่อยอารมณ์แบบเบิร์ดๆ สบาย สบาย















เป็นเสาร์-อาทิตย์ง่ายๆ กับวันสบายๆ ที่เกาะล้าน
ถ้าไม่รู้จะไปไหน นี่คือวันสั้นๆ กับทริปใกล้ๆ ที่สะดวกสบายที่สุด







 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2553 11:41:59 น.
Counter : 3765 Pageviews.  

Koh Lipe ๓ - สุดยอดทะเลไทย


เช้าวันที่สาม ยังคงตื่นเช้าเพื่อไปชมดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้กดดันจนเพื่อนตื่นเช้าไปด้วยหนึ่งคน และมีที่ตื่นโดยสมัครใจอีกสองคน

6.10 น. คือเวลาโดยประมาณที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในยามเช้าที่เกาะหลีเป๊ะ โดยที่ เมาท์เทนรีสอร์ทตั้งอยู่ในทำเลได้เปรียบ เพราะติดกับหาดชาวเลซึ่งเป็นจุดชมวิวดวงอาทิตย์ขึ้น และหน้าหาดของเมาท์เทนท์รีสอร์ทเองเป็นจุดชมดวงอาทิตย์ตก








ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่วิวไม่เหมือนกัน
วันนี้ไม่สวยเท่าเมื่อวาน แต่บรรยากาศยามเช้าก็สดชื่น แจ่มใส







นกน้อยโผบินจากกิ่งไม้





ยิ่งสายแดดยิ่งแรง สีบรรยากาศสวย




หลังจากอาหารเช้า เรือหางยาว "โลมา 6" ก็มารับ ขึ้นเรือ ออกทะเล
และพวกเราก็ล่องลอยอยู่กลางทะเล เพื่อดำน้ำดูปะการังอีกทั้งวัน



เราลงน้ำดูปะการัง ที่ร่องน้ำจาบัง ซึ่งมีชื่อเสียงในบรรดาร่องน้ำอันดามันเพราะความสวยงามของปะการังหลากสี และเมื่อมีคนเมาคลื่นลม หาดทรายบนชายฝั่ง คือการบรรเทาอาการที่ดีที่สุด



เทียบชายฝั่งที่หาดทรายขาว-เกาะราวี




กิ่งไม้นี้คือสัญลักษณ์ของหาดทรายขาว




บนเกาะมีร่มไม้ใบบังหนาทึบ เหมาะกับการปูเสื่อนอนเป็นอย่างยิ่ง


ที่นี่เป็นที่ตั้งของกรมอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะราวีด้วย มีห้องน้ำบริการ มีอาหารตามสั่ง และขนมขบเคี้ยวจำหน่าย

ขายส้มตำด้วย! เป็นอาหารที่สั่งมาได้โดยไม่ต้องการความเห็นของใคร เพราะส้มตำเป็นอาหารที่อยู่ในใจของทุกคน ระหว่างรอคนมาตำส้มตำ เพราะเปิดบริการ 11 โมงอย่างใจจดจ่อ ต้องมองหาอะไรทำ







ไปเดินเล่นบนชายหาดเพื่อเก็บรูปวิว





ชิงช้าไม้ท่อนอันนี้ ไม่ง่ายเลยนะที่จะนั่งมัน เพื่อนพยายามจะทดลอง นั่งแล้วถ่ายรูป
ปรากฏว่ามันไม่มีทางช่วยให้โพสต์ท่าสวยๆ ได้เลย






ปูเสฉวน เดินกันต้วมเตี้ยมบนผืนทรายน่ารักมาก
และทรายที่นี่ สีแปลก สังเกตมั้ยคะว่ามีทรายเม็ดดำๆ
ปนอยู่ในเนื้อทรายสีขาวและสีครีม เหมือนเนื้อน้ำตาลคลุกงา





ริมหาดมีป้ายแสดงแผนที่หมู่เกาะอาดัง-ราวี
และเกาะนี้ตลอดแนวใต้น้ำถัดจากบริเวณริมหาดเล่นน้ำ คือแนวปาการังน้ำตื้นตลอดทั้งแนว
และจะเห็นคนเล่นน้ำมีสน็อกเกิ้ลติดตัวกันทุกคน





ผลไม้รออยู่แล้ว ฝีมือหั่นหน้าตาดีเช่นนี้ คงไม่ใช่มือพวกเราแน่
เป็นคุณไกด์ แจ็ค สแปร์โรว์ เช่นทุกมื้อ โดยเฉพาะวิธีการเฉาะสับปะรดนั้น
เพื่อนคนหนึ่งไปเฝ้าสังเกตการณ์ค้นหาเคล็ดลับมา เพราะคุณไกด์ของเราฝีมือระดับไม่ธรรมดา





โฉมหน้า "โลมา 6" ที่พาพวกเราล่องลอยอยู่กลางทะเลตลอดทั้งทริป





จำชื่อเกาะนี้ไม่ได้ เป็นอีกจุดที่เราดำน้ำดูปะการัง ซึ่งค่อนข้างตื้น หากปะการังอยู่ตื้น นั่นหมายความว่า ฝูงหอยเม่นก็อยู่ตื้นด้วยเช่นกัน และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

หอยเม่น เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศใต้น้ำ ที่อยู่คู่เคียงข้างกับแนวปะการัง ตัวหนามพุ่มสีดำ มีจุดสีขาว และจุดสีส้ม ไม่รู้รายละเอียดนัก แต่เข้าใจว่า นั่นคือปากกับตาของมัน พิษของมันไม่ทำให้ตายก็จริง แต่ก็ทำความเจ็บระดับเล่าลือ ดังนั้น

ความฮาของทริปนี้อย่างหนึ่งก็คือ ความกลัวสติแตก

มีหนึ่งคนล่ะที่กลัวหมา และที่แน่ๆ มีอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบแมว
แต่รีสอร์ทก็มีสองสายพันธุ์นี้เดินเพ่นพ่านกันอยู่ตลอด หมา นับได้ประมาณ 6 ตัว แมวน่าจะ 2 ตัว

ส่วนหอยเม่น เป็นสิ่งที่พวกเราหวาดกลัวกันทุกคน ก็มองดูหน้าตามันสิคะ



เมื่อเราดำลงไป เหมือนตาขาวๆ ของมันจะจ้องมองเราอยู่ ยิ่งถ้าพวกมันอยู่ตื้น และหนาแน่นดูเป็นฝูง ยิ่งเป็นการเผชิญหน้าอันน่าหวาดกลัว ต้องพยายามเก็บแข้งขาตัวเองให้ปลอดภัย บริเวณไหนหอยเม่นอยู่ตื้น และไกด์ส่งเสียงเตือน พวกเราจะทะยานเกาะห่วงเหยียดขาลอยตัวให้ไกด์ลากไป ไม่มีใครอยากอวดดีล่องลอยไปด้วยตัวเอง เพราะต่างก็กลัวเหมือนๆ กัน และเจ้าหอยเม่นพวกนี้แหละทำให้การดำน้ำ ของเราบางจุด ใช้เวลาสั้นอย่างเหลือเชื่อ

มีอยู่จุดหนึ่ง เราลำบากตั้งแต่ลงจากเรือ เพราะต้องพับขาตั้งแต่เท้ายังไม่ทันหลุดจากบันไดเรือ ก้มหน้าลงน้ำไปทำเอาใจหาย เพราะหอยเม่นอยู่กันตื้นมากๆ มองทีไรเหมือนมันจ้องพวกเราอยู่ตาเป็นมัน เอ .. เอาไงวะ มันจะพุ่งโดดเข้ามารุมแทงพวกเราหรือเปล่า ( ดูหนังฮอลลีวู้ดเยอะ เลยจินตนาการสูง) ปะการัง ณ จุดดำน้ำที่นั่นเป็นปะการังสีสวย ปลาสวย แสงแดดแรงจ้ากำลังเอื้ออำนวยต่อการท่องสำรวจโลกใต้น้ำ แต่ว่าเจ้าหอยเม่นมันช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร พวกเราจึงหมดความพิศมัยในปะการังและฝูงปลา ทยอยกันตะกายเข้าหาเรือแบบไม่ถนอมน้ำใจไกด์กันเลยสักนิด

อีกครั้งนึงยิ่งกว่านั้น การจอดเรือค่อนข้างยาก เพราะกระแสน้ำแรง คนขับเรือ เดวี โจนส์ของเรา กับคุณไกด์ กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ผนึกกำลังความร่วมมือกันในการจอด คุณไกด์โดดไปผูกเชือกโยงไว้กับเรืออีกลำที่พานักท่องเที่ยวมาชมปะการังจุดนั้นด้วยเช่นกัน เพื่อให้นักท่องเทียวทุกคนปลอดภัย การผูกเชือก โยงออกไปจากลำเรือ หรือการดูแลให้นักท่องเที่ยวจับยึดเชือกทุ่นซึ่งจัดไว้อยู่แล้วตามร่องน้ำที่เป็นจุดชมปะการัง เป็นเรื่องที่ไกด์ทุกคนค่อนข้างใส่ใจ



กว่าจะผูกเรือ ผูกเชือกโยนห่วงยางนำทางไป ใช้เวลานานพอสมควร และจุดนั้นเป็นแนวปะการังหลากสีด้วยเช่นกัน และแนวผา หรือโขดหินใต้น้ำก็สวยงาม แต่เพราะมันตื้นมาก เรามองเห็นหอยเม่นใกล้ตัวมากๆ ด้วยเช่นกัน อาการหวาดระแวงเริ่มมา ถ้ามันใกล้ระดับนั้น แค่หอยเม่นก็เหลือทนแล้ว แต่การที่สายตาเหลือบไปเห็นตัวอะไรยาวๆ ดูคล้ายจะหยุ่นๆ เคลื่อนไหวส่วนหัวอยู่ ประเด็นคือ มันอยู่เรี่ยๆ ใกล้หน้าท้องที่เราเหยียดตัวยาว เอาขาหลบหอยเม่นอยู่นั่นเอง โผล่หน้าพรวดพ้นน้ำ ภาพลักษณ์ขาลุยประจำคณะหายเรียบ ความตกใจและความกลัวที่มีต่อทากและปลิงทะเล ทำให้โดดขึ้นไปเกาะไหล่เพื่อนและแทบจะขี่หลังซ้อนกันอยู่ตรงนั้น เกิดความวี๊ดว๊ายวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เพราะข้างล่างมีหอยเม่น พอโดดใส่กันด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด น้ำหนักโถมกัน แข้งขาก็หย่อนลงไปใกล้พวกมันมากขึ้น

เพื่อความปลอยภัยระดับสูงสุด คว้าเชือกได้หมับสาวกลับทันที ถึงจะไม่เก่งเรื่องว่ายน้ำ แต่วิชาลูกเสือสามัญว่าด้วยการไต่เชือกนั้น สามารถอยู่ค่ะ

พอตัวเองมาถึงเรือได้ คุณไกด์บอกกับพวกที่เหลือว่า ถ้าใครจะกลับก่อนให้จับเชื่อกเส้นนี้ไปนะ

เท่านั้นแหละ คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดพร้อมใจกันสละไกด์ พลิกตัวจับเชือกอีกเส้นและสาว พรึ่ดๆ ๆ ๆ กลับมาที่เรือ อย่างไม่คิดชีวิต เพราะหอยเม่นตรงนั้นมันตื้นชวนหวาดผวาจริงๆ

คุณไกด์ที่ดำอยู่โผล่หน้าขึ้นมาจากน้ำ ปรากฏว่าลูกทัวร์หาย มองตามหลังชาวคณะที่กำลังสาวเชือกกลับไปด้วยอาการพูดไม่ออกเล็กน้อย (อาจจะคิดอยู่ในใจ ตูอุตส่าห์ผูกเชือกแทบตาย ลงมากันยังไม่ถึงห้านาทีเลย) หยวนๆ น่าพี่ เพราะไม่มีใครอยากเจ็บตัวขณะมาเที่ยวหรอก เจ็บแล้วมันไม่คุ้ม



ในเมื่อให้หอยเม่นรับบทปิศาจร้ายแห่งดงปะการังไปแล้ว จะไม่พูดถึงตัวเอกได้อย่างไร ที่ใครๆ พูดกันอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการไปหลีเป๊ะ คือไปดู "นีโม่" เป็นดาวเด่นแห่งท้องทะเลที่น่ารักจริงๆ เพราะมันตัวเล็กสีสวยน่าทนุถนอม และอยู่กันสองสามตัวตามพุ่มดอกไม้ทะเล ดูเหมือนกับเป็นครอบครัว

แต่ที่ทำให้ซาบซึ้งกับความสวยงามและคำว่า "มหัศจรรย์โลกใต้น้ำ" คือฝูงมหึมาของปลาตัวเล็กๆ ที่ประมาณจำนวนไม่ได้ และเรากำลังมองเห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาของเราเอง ไม่ใช่ในทีวี มันเป็นภาพวิเศษสุดของชีวิตชั่วขณะหนึ่งที่เราได้พบเห็นจริงๆ





สีของน้ำทะเลและท้องฟ้าที่สดใสงดงาม


ตระเวนทะเลไปตามหมู่เกาะต่างๆ และถ้าจำไม่ผิดทั้งหมดที่เราลงดำน้ำมี 12 จุด แต่เพื่อนบางคนลงน้ำสนุกแค่วันเดียว วันที่สองไม่สู้เพราะผิวเริ่มเกรียม บางคน ลงๆ หลับๆ หลับบนเรือบ้าง นอนกับผืนทรายบนชายหาดบ้าง บางคนใจสู้แต่เมาเรือเสียจังหวะต้องหยุดพักไปบางจุด คนเดียวที่ลงน้ำทั้งหมดทุกจุดที่เรือจอด ก็คือตัวเอง ด้วยความอึด และ ว่างจัด

พูดถึงแนวปะการัง คุณไกด์บอกเล่าว่า หลีเป๊ะมีชื่อเสียงในเรื่องนี้ เพราะขณะที่ท้องทะเลบางแห่ง จุดดำน้ำชมปะการังจะคล้ายคลึงกันเพราะเป็นแหล่งปะการังพันธุ์เดียวกันที่แพร่ขยายยึดครองพื้นทะเลแถบนั้น แต่ในหมู่เกาะของ จ. สตูล ปะการังแต่ละจุด จะไม่เหมือนกัน บางจุดเป็นพันธุ์เขากวาง บางจุดเป็นพันธุ์ผักกาด และบางจุดก็เป็นศูนย์รวมพันธุ์ปะการังหลากสีที่สวยงามมาก และเมื่อมาหลีเป๊ะ ย่อมมีโอกาสได้วนเวียนชมดูทุกจุดในหมู่เกาะใกล้เคียง

มาถึงเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะหลีเป๊ะเป็นแห่งสุดท้ายของทริป ชื่อเกาะอาดัง อยู่กันคนละฝั่งและมองเห็นกันอยู่ในระยะสายตา บนเกาะมีกล้องส่องทางไกล สามารถใช้ส่องข้ามมายังหลีเป๊ะ และมองเห็นบ้านพักของตัวเองใกล้ๆ เหมือนมันอยู่ตรงหน้า เห็นน้องหมาพากันเดินเล่นบนชายหาดอีกด้วย




บนเกาะอาดัง บริเวณเหนือชายหาดเป็นป่าสน
ดงสนสูงเป็นบรรยากาศที่สวยไปอีกแบบ







ไปแอบถ่ายเตนท์ของชาวบ้านมา เห็นแล้วนึกอยากปีนขึ้นภูเขา
ไปนอนกางเตนท์ในบรรยากาศหน้าหนาวอีกแล้ว




บนเกาะเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอาดัง มีบ้านพักของกรมฯ สำหรับบริการนักท่องเที่ยว มีร้านอาหารและร้านขายของที่ลึก และมีจุดชมวิวสำคัญที่เรียกว่า "ผาชะโด" อยากขึ้นไปเหมือนกัน เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว แต่เราดำน้ำกันมาทั้งวัน เพื่อนๆ เหนื่อยล้า และขอรออยู่ข้างล่างเสียส่วนใหญ่
จึงสรุปโดยการไม่ไปกันทั้งคณะ



เกาะที่เห็นอยู่ตรงข้ามคือเกาะหลีเป๊ะ






กลับมายังที่พัก และสัมผัสกับบรรยากาศสงบยามเย็น






ปาปารัซซีมาแล้ว ทำเป็นยกกล้องส่องโน่นส่องนี่ แล้วก็แอบถ่ายชาวบ้าน (มุมเข้าตาพอดี)




ดวงตะวันถูกเมฆบดบัง ระหว่างที่กำลังตกขอบฟ้าลงไป





ทิ้งร่องรอยตามหลังด้วยเฉดสีแสนสวยบนขอบฟ้า
ก่อนจะหายไปเพราะค่ำคืนมาเยือน






มื้อเย็นที่รอคอยอีกมื้อหนึ่ง


หลังจากนั้น พวกเราไปเดินย่อยที่ถนนคนเดินที่หลีเป๊ะฝั่งชายหาดที่เรียกว่า "หาดพัทยา" อีกครั้ง เพราะคิดไปคิดมา เพื่อไม่ให้ใครน้อยใจได้ สุดท้ายจึงสรุปจัดหา "ของฝาก" ให้คนทั้งแผนก จนต้องไปอุดหนุนของที่ระลึกเพิ่มเติม ..ที่ร้านเดิม กว้านซื้อกันเพียบจนกระเป๋าแฟ่บ

นั่งเขียนทรายเล่นกันอยู่ตรงริมหาดพัทยาครู่ใหญ่ และกลับมาซ้ำรสชาดอาหารว่างมื้อดึกกันอีกครั้งที่ร้านนุชโรตีผลไม้

เดินเลาะหาดกลับมายังชายฝั่งชาวเล

พรายน้ำผุดแล้ว

แพลงตอนเรืองแสบกระพริบ อยู่ตามริมหาดที่ปลายคลื่นซัดมา เมื่อหายตื่นเต้นกับพรายน้ำ เพื่อนๆ ก็สนุกสนานอยู่กับการใช้ไฟฉายเล่นไฟถ่ายรูป พยายามจะเขียนและใช้โหมดพิเศษของกล้องบางอย่างถ่ายให้ติดเป็นรูปแสงหรือเป็นตัวหนังสือจากการเคลื่อนไหวของแสงจากกระบอกไฟฉาย

ส่วนเรากับเพื่อนอีกคน นั่งเล่นอยู่ริมหาด (เป็นพวกไร้อารมณ์โรแมนติกที่ไม่นิยมเล่นไฟฉาย และไม่ฝักใฝ่การกระโดดสูงเพื่อถ่ายรูปในคอนเซ็ปต์เริงร่า) นั่งรอคอยให้เพื่อนๆ หมดสนุกและกลับไปนอน แต่พอคุณไกด์มานั่งด้วย (คุณไกด์คงไม่เล่นไฟฉายเหมือนกัน) จึงมีโอกาสซักถามโน่นนี่ไปเรื่อย พอเริ่มคุยจุ๊กจิ๊ก ก็กลายเป็นคุยจริงจัง ขุดคุ้ยเอาประวัติเก่าแก่ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นมาของเกาะ การตั้งรกรากของคนพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งเริ่มต้นใช้นามสกุล "หาญทะเล" สืบต่อลูกหลานกันมาบนเกาะแห่งนี้ เล่าไปถึงซากตอสะพานที่เห็นผุดอยู่ริมน้ำที่เคยเป็นสะพานใช้รับเสด็จสมเด็จย่า ประวัติศาสตร์สมัยเก่าก่อนที่หลีเป๊ะเกือบจะตกเป็นของมาเลเซีย ร่ายไปถึงพื้นที่เกาะดั้งเดิม ฝูงปลา แนวปะการัง และจรเข้น้ำเค็ม รวมถึงพวกฉลาม ...คุณไกด์บอกว่า จรเข้น้ำเค็มสูญพันธ์ไปแล้ว (ควรจะดีใจหรือเสียใจดี ? ) ส่วนฉลามมีอยู่บ้าง แต่มีน้อยมาก

และวันนี้ในการดำน้ำคุณไกด์แอบเห็นฉลามขาวอยู่ตัวนึง แต่ไม่ได้บอกลูกทัวร์เพราะกลัวจะตกใจกัน ถึงพวกเราจะยืนยันว่าควรบอกเพราะพวกเราก็อยากจะเห็น (จะได้ไม่ต้องถ่อไปไกลถึง เกาะสุรินทร์ ดินแดนแห่งฉลามขาว) และคุณไกด์ก็อธิบายอยู่เองว่า ฉลามขาวไม่ดุร้าย (จริงเหรอ ? ไม่ค่อยจะเชื่อถือสักเท่าไร) มันจะว่ายหนีไปเพราะไม่ชอบสุงสิงกับคน (อ้อ มันเป็นปลารักสันติ) เว้นเสียแต่ว่า มันได้กลิ่นคาวเลือด .. นั่นน่ากลัวนะ เกิดว่าตอนที่มันมา หอยเม่นดันทะลึ่งตำเท้าเข้าพอดี จินตนาการถึงความซวยระดับนั้นแล้วให้นึกสยอง

แต่ก็นั่นแหละถ้าไกด์ชี้ให้ดูตอนนั้นจริงๆ "เฮ้! ทุกคนดู นั่นฉลาม"
เชื่อว่าทุกคนคงแตกตื่นทะเลแตกเป็นแน่
คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นและคอยเกาะห่วงให้ไกด์ลากไปอยู่ตลอดเวลา
อาจจะว่ายเป็นขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณอัตโนมัติ!

คุณไกด์ร่ายยาวไปถึงสมัยเก่าก่อนเมื่อเกาะตะรุเตาถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ การถูกละทิ้งและความอดหยากที่ทำให้ผู้คุมและนักโทษรวมตัวกันออกปล้นสะดมและกลายเป็นโจรสลัด ชาวลังกาวีที่ต้องใช้เส้นทางผ่านในการเดินเรือขนสินค้าประสบกับความเดือดร้อน จึงร้องขอให้ทางอังกฤษ (ลังกาวีเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษขณะนั้น) ส่งกำลังมาปราบปราม

เห็นมั้ยละคะ ว่าคุยจริงจังมาก เพื่อนๆ เลิกเล่นไฟฉาย ตามมาสมทบนั่งฟังด้วยและแซวว่าเหมือนกำลังนั่งฟังเลคเชอร์อยู่ในห้องเรียน (นอกจากไม่โรแมนติกแล้วยังคงแก่เรียนอีกต่างหาก) พวกเรานั่งรับลมริมหาด คุยกับไกด์กันอยู่จนดึกก่อนจะกลับไปนอน

พรุ่งนี้ขากลับเรือจะออกตอนเที่ยง คุณไกด์ยังมีภารกิจพาสาวๆ ครึ่งหนึ่งไปเดินเที่ยวที่ชายหาดฝั่งพัทยาอีกครั้ง เพราะสาวๆ อยากจะเห็นตามคำร่ำลือที่ว่าชายหาดด้านนั้นเป็นเนื้อทรายขาวนวลละเอียดสวยงามมาก พวกเราเคยเดินไปแต่ตอนกลางคืนจึงไม่เห็นความขาวนวลละเอียดที่ว่า

ส่วนตัวเองขอบาย เพราะอยากนอนสบายและตื่นสายสักวัน

*****

หนึ่งในความประทับใจสำหรับทริปนี้ นอกจากความสวยงามของท้องทะเลแล้ว คงหนีไม่พ้นคุณไกด์ แจ็ค สแปร์โรว์ หรือ "พี่บี" คนที่ขอถือวิสาสะโพตส์รูปตามที่เห็นในภาพนี้


คุณไกด์ กำลังชี้ให้พวกเราดู "ร่องน้ำจาบัง" แนวปะการังที่โด่งดังของหมู่เกาะใน จ.สตูล


พวกเราโชคดีมาก เพราะเรามีไกด์ที่เป็นสุดยอดซุปเปอร์ไกด์ เมื่อก่อนเคยนึกใฝ่ฝันอยากทำอาชีพนี้อยู่เหมือนกัน เพราะการเป็นไกด์ เป็นผู้นำทาง เป็นคนแนะนำดูแลคนอื่น จะให้ดูอย่างไรก็เท่ห์ แต่พี่บีทำให้การเป็นไกด์ในใจเสียภาพ และหายขาดจากอาการอยากเป็นไกด์เรียกได้ว่าคงจะไม่อาลัยไยดีอีกต่อไป "หายเป็นปลิดทิ้ง" ทำไมน่ะเหรอ?

เพราะพี่บีทำให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาว่า การเป็นไกด์มันไม่ง่าย และมันเป็นงานบริการที่เหน็ดเหนื่อย ความจริงขึ้นชื่อว่างานแล้วมันก็เหนื่อยด้วยกันทุกอย่าง ถ้างั้นขอเปลี่ยนคำพูดใหม่ งานไกด์แบบที่เห็นพี่บีทำน่ะ สำหรับตัวเองแล้ว ถ้าต้องไปทำงานแบบนั้น คงจะเรียกได้ว่า "เหนื่อยสาหัส" และถ้าจะเป็นไกด์ คงต้องเป็นให้ได้ดีแบบที่พี่บีเป็น ซึ่งดูแล้ว ความสามารถไม่ถึง ฉะนั้น จงรักงานที่ตัวเองทำอยู่น่ะ ดีที่สุดแล้ว

พี่บีคล่องแคล่วว่องไวมาก และทำงานทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ กระเป๋าสัมภาระใดๆ นับจากเดินทางไปถึงท่าเรือ พวกเราแทบไม่เคยได้หิ้วเลย น้ำ อาหารการกิน เครื่องใช้ ตอนออกล่องเรือชมปะการัง ส่วนใหญ่จะเดินตัวเปล่าถือแค่สน็อกเกิ้ลกับเสื้อชูชีพของตัวเอง นอกนั้นพี่บีจัดการขนเองหมดทุกสิ่งอย่าง ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือ ความจริงพวกเราก็พยายามจะช่วยนะ แต่ส่วนใหญ่พี่บีทำเสร็จไปแล้ว ( ไวจริงๆ ) ดูเหมือนพี่บีไม่อยากให้พวกเรายุ่งกับเรื่องพวกนี้ แค่พาตัวเองไปไหนมาไหนให้ไวฉับๆ ทันพี่บี (อย่านวยนาด) ก็โอเคแล้ว


ดำน้ำเก่ง และว่ายน้ำอึดมากๆ พี่บีจะสวมชุดกบแค่ครึ่งตัว ผูกส่วนที่เป็นตัวเสื้อผูกเอวไว้ ว่ายน้ำ ลากห่วงที่คนว่ายน้ำไม่เป็นใช้ยึดเกาะให้ไกด์ลากไป และคนว่ายเป็นก็ชอบเกาะด้วย เพราะผลัดกันเกาะห่วงไปกับไกด์สบายกว่า เจอปลาหรือปะการังพืชพันธุ์แปลกไกด์จะแนะนำ และชี้ให้ดู ได้ความรู้อีกต่างหาก ยกเว้นตอนที่ไกด์หยิบก้อนดำๆ ขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าลูกทัวร์คนหนึ่งกลัวปลิงทะเล

วงแตกสิคะ



พี่บีทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนขับเรือ ในการจอดเรือทุกครั้ง ตรงไหนน้ำแรงจะว่ายพรวดๆ (ว่ายน้ำได้เร็วมาก) ลากเชือกไปผูกโขดหิน และระมัดระวังความปลอดภัยของลูกทัวร์เป็นอย่างดี ใครลงน้ำมาแล้วเบื่อ หากเป็นบริเวณน้ำแรง ถึงจะเป็นคนว่ายน้ำแข็งก็ไม่ปล่อยให้ว่ายน้ำกลับเอง แต่จะว่ายนำทางกลับไปส่ง คอยเตือนเรื่องหอยเม่น และกระแสน้ำ เตือนให้ทุกคนจับเชือกทุ่นตามแนวชมปะการังอยู่เสมอ พาลูกทัวร์ดำน้ำเสร็จจัดการแก้เชือกโยงเรือต่างๆ เสร็จ ขึ้นเรือมาปุ๊บ จัดเตรียมน้ำดื่มปั๊บ เฉาะผลไม้แจกจ่ายขนม ฯลฯ ถึงบอกว่าพี่เขาทำทุกอย่างจริงๆ ชนิดถ้าเป็นแม่บ้านคงไม่น้อยหน้าผู้หญิงคนไหน

พวกเราโชคดีอีกอย่างคือ ลูกทัวร์อีกกลุ่มยกเลิก ดังนั้นกลุ่มที่พี่บีดูแลจึงมีแค่พวกเราเจ็ดคน ไม่มีกลุ่มอื่นปน ทุกอย่างเลยง่ายไปหมด พวกเราอยากจะตื่นสาย อยากใช้เวลากับการกินอาหารนานๆ ไปดำน้ำอยากหยุดพักขึ้นฝั่งเราก็ขึ้น อยากอยู่นาน อยู่แป๊บเดียว สบายๆ ตามใจฉัน นี่ถ้าหากมีลูกทัวร์อีกกลุ่มมาด้วย พวกเราคงไม่สะดวกสบายที่จะทำตามใจพวกเราเองอย่างนั้น ทุกอย่างคงต้องตามตารางเวลา

พี่บีเป็นเหมือนคนเก่าคนแก่ เพราะทำงานเป็นไกด์ในถิ่นหลีเป๊ะมากว่า 12 ปี ขึ้นหาดที่ไหนก็เจอแต่เพื่อนไกด์ แม้แต่ในยามแล่นเรือ หรือจอดเรือกลางทะเล ไกด์เรืออื่นๆ จะส่งเสียงทักทายเหมือนรู้จักกันไปหมด เพื่อนไกด์ของพี่บีคนหนึ่ง ทำระบำใต้น้ำ เป็น water boy ให้พวกเราดูด้วย (ฮามาก) ถ้าเป็นบนฝั่งเดินไปย่านไหนก็มีแต่คนทักทาย (ชวนไปก๊งเหล้าอีกต่างหาก)

ความจริงแล้ว หากลูกทัวร์ขี้เกียจจะเอาแต่นอน ไกด์ย่อมสบายด้วย เพราะไม่ต้องเหนื่อย เพื่อนคุยบนฝั่งมีเยอะแยะ แต่พี่บีไม่ฉวยโอกาสนี้ และไม่ปล่อยให้พวกเราเอาแต่สบายจนเกินไป เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ได้เห็นอะไรๆ มากนัก จะคอยกระตุ้น หว่านล้อมพวกเราให้เดินหน้าไปยังจุดชมปะการังตามจุดต่างๆ เสมอ (ไหนๆ ก็มากันไกล ถ้ามัวแต่นอนมันคงไม่คุ้ม)

มี service mind สูง และใส่ใจดูแลในความปลอดภัยของลูกทัวร์มาก อีกอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้จากการบอกเล่าเรื่องต่างๆ ของพี่บี ซึ่งแสดงแนวคิด มุมมองที่ห่วงใยและใส่ใจกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว การทำธุรกิจรีสอร์ทหรือบริษัททัวร์ ตลอดจนวิวัฒนาการของธรรมชาติ เผยให้เห็นว่าเจอเข้ากับนักอนุรักษ์ตัวจริงเสียงจริงเข้าแล้ว ( ถึงบอกว่าเป็นไกด์ที่ดีมากไง )

และพวกเรารู้สึกขอบคุณพี่จริงๆ ที่ทำให้ทริปนี้สนุกมาก






ถ้าอยากไปหลีเป๊ะ อย่าลืมพิจารณาบริษัททัวร์ที่ชื่อว่า "รักษ์อันดามัน" นะคะ
และถ้าคุณได้ไกด์ชื่อพี่บีคนนี้ ขอบอกว่าคุณดวงดีแล้ว



อำลาเมาท์เทนรีสอร์ทสุดน่ารัก และอำลาหลีเป๊ะแสนงาม
ที่ขอยกให้เป็นเป็นดินแดนมหัศจรรย์โลกใต้น้ำ
และเป็น "สุดยอดทะเลไทย"



หมายเหตุ : ภาพหอยเม่นและปลานีโม่ นำมาจากอินเทอร์เน็ต




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:14:52 น.
Counter : 6526 Pageviews.  

Koh Lipe ๒ - ฟ้าสีครามสดใส



การตื่นเช้าเพื่อไปทำงานในแต่ละวันเป็นเรื่องทรมาน
และการตื่นเช้าในวันที่ไม่ต้องไปทำงานเป็นเรื่องทรมาน กว่า

แต่เมื่อริจะสะพายกล้อง .. ไม่ตื่น ไม่ได้
หลีเป๊ะ ไกลเกินกว่าจะหาโอกาสมาเที่ยวซ้ำกันบ่อยๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ครั้งหน้า

จริงอยู่ ที่ไหนๆ ก็เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นได้ในยามเช้า
แต่เช้าที่นี่ กับเช้าที่นั่นย่อมไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเช้าที่กรุงเทพมหานคร
เราอาจต้องทำแต่งานและงานจนแทบไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน

เช้านี้ที่หลีเป๊ะ จึงไม่ควรพลาด

แค่ต้องต่อสู้กับตัวเองเล็กน้อยตอนเสียงนาฬิกาปลุก แค่ชั่ววินาทีของการต่อสู้นั้น
จงเอาชนะตัวเองให้ได้และตื่นขึ้นมาเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศชวนประทับใจ

และแล้ว เช้านี้ ก็เป็นไปตามคาดหมาย เพื่อนทุกคนเลือกที่จะนอนอยู่กับแอร์เย็นเฉียบภายใต้ผ้าห่มอุ่น มากกว่าจะลุกขึ้นมาไปสบตากับดวงตะวัน

เมื่อนางแบบทั้งหกไม่ยอมตื่นขึ้นมาทำงาน คราวนี้ก็หวานหมูตากล้องมือสมัครเล่นล่ะเหวย
มันเป็นช่วงเวลาแห่งนาทีทอง ที่จะได้กดชัตเตอร์เฉพาะเพื่อวิวทิวทัศน์แข่งกับแสงสวยยามเช้า



อย่าเพิ่งแปลกใจ หลีเป๊ะไม่ได้มีทะเลหมอกหรอกนะ
รูปนี้เป็นเพียงเพราะกล้อง เพิ่งออกจากห้องแอร์มาสูดอากาศภายนอก





เรือของชาวเลที่จอดเทียบฝั่ง ส่วนเจ้าของเรือขึ้นมาปูผ้านอนบนชายหาด











ผืนทะเลสงบ และแสงฟ้าจากดวงตะวันที่ซ่อนตัว






เจ้าแมวเหมียวขอมานั่งยลตะวันยามเช้าด้วยเหมือนกัน



ตะวันทอแสง โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า
สาดแสงสู่ผืนฟ้าและผืนน้ำเป็นประกายสีทอง




สาดสะท้อนบนผิวทราย








มนต์ขลังแห่งแสงตะวันฉาย















ชายน้ำ หาดทราย แสงและเงา





เช้าแล้ว




และเริ่มจะสาย





รีสอร์ทเรือนไม้โดดเด่นรับประกายแดด





เติมพลังเช้าวันใหม่




นกน้อยและเจ้าดำเพื่อนยาก


น้องหมาตัวนี้น่าสาร เพราะเพื่อนของเราคนนึงเป็นโรคกลัวหมา กลัวมากถึงขั้นตัวแข็งทื่อเมื่อมีหมามาเข้าใกล้ หนึ่งคนและหนึ่งตัวเผชิญหน้ากันทีไร เป็นเกิดอาการทั้งสงสารคนและเวทนาหมา แต่ไม่รู้ทำไมเจ้าดำตัวนี้และผองเพื่อนของมันตัวอื่น ต้องคอยมาวนเวียนที่โต๊ะพวกเราทุกเช้าทุกเย็น สันนิษฐานว่า มันคงได้กลิ่นของความกลัว ที่แผ่กระจายมาจากคุณเพื่อนแน่ๆ หรือไม่มันก็ปิ๊งคุณเธอเข้าให้ ถึงได้ตามตื๊อขอความรักความเมตตาอยู่ไม่ห่าง

เพื่อนคนนี้เคยโดนหมากัดเมื่อตอนเป็นเด็ก จึงกลัวฝังจิตฝังใจ เมื่อเห็นหมาทีไรจึงอยู่ไม่เป็นสุข แก้ความกลัวคงแก้ไม่ได้ ส่วนหมาไล่อย่างไรก็ไม่ยอมไป น่ารำคาญเสียจริง

ในฐานะเพื่อนผู้หวังดี จึงอยากช่วยเหลือ ด้วยการหันไปเจรจากับหมาแทน

"นี่ แกน่ะ มีศักดิ์ศรีบ้างมั้ย รู้ว่าเค้าไม่ชอบยังมาวนเวียนอยู่ได้ หัดหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองเสียบ้างสิ"

อดีตเคยถูกหมากัดเหมือนกัน หนึ่งตัวกัดและอีกสองตัวรุมยื้อ แต่โตมาไม่ยักเป็นโรคกลัวหมา แต่โรคชอบกัด ไม่แน่ว่าอาจติดเชื้อ ( หมายถึงกัดกับคนนะ ไม่ใช่กัดกับหมา ) เหตุนี้จึงหลงคิดไปว่าอาจจะเจรจากับหมารู้เรื่อง

แต่ ไม่ได้ผลแฮะ เป็นข้อพิสูจน์ว่าเราพูดภาษาหมาไม่เป็น (ถ้าเป็นล่ะก็ ยุ่งเลย)

อิ่มแล้ว สายแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางกันดีกว่า







หลีเป๊ะเป็นดินแดนน้ำทะเลใส ที่เต็มไปด้วยแนวปะการัง
ที่เห็นดำๆ ใต้ผิวน้ำในรูปคือแนวหินและปะการังน้ำตื้น
จะเห็นนักท่องเที่ยวมีสน็อกเกิ้ลติดตัว เพื่อว่ายดำดู ตอนเล่นน้ำในยามเย็น





ความสง่างามของเรือหางยาว


ลำนี้ชื่อ "ดังดี 3" ส่วนลำที่พวกเราโดยสารชื่อ "โลมา 6" จอดอยู่ใกล้ๆ กันแต่ไม่ติดในเฟรม
มีพลขับที่เราให้ฉายาว่า "เดวี โจนส์" อสูรร้ายแห่งท้องทะเลในเรื่อง Pirates of the caribbean
จะได้เป็นคู่ ปะ ฉะ ดะ กันกับคุณไกด์ที่ได้รับฉายาก่อนหน้าว่าเป็นกัปตันแจ็ค สแปว์โรว์



รีสอร์ทข้างๆ ถัดไปจากเมาท์เทนรีสอร์ท




รูปนี้ถ่ายเลียนแบบภาพที่เห็นใน postcard




กาบเรือสีสวย ตัดกับสีน้ำ และสีฟ้า ทดลองปรับกล้องให้สีเข้มจางต่างกัน




แต่สีธรรมชาติสวยที่สุด น้ำกับฟ้า ที่สีกลืนจนแทบเป็นผืนเดียวกัน
และกดชัตเตอร์ลำบากมาก เพราะกล้องค้นหาความต่างระดับเป็นจุดโฟกัสไม่เจอ






ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม เรือเดินทางอยู่กลางทะเล







เกาะหินซ้อน โดดเด่นเป็นสง่า










ฟ้าสวย ทะเลใส เกินคำบรรยาย








แข็งแกร่ง มั่นคง พุ่งตรงสู่จุดหมาย คือเสน่ห์ของหัวเรือ
ที่เห็นทีไร อดหลงรักไม่ได้ ต้องลงมือกดชัตเตอร์เสมอ












หลังจากดำน้ำชมความสวยงามตระการตาของหมู่ปะการังและหมู่ปลามาได้ไม่นาน
เพื่อนมีอาการโอ้กอ้าก เพราะเมาเรือ (และอาจเมาทะเลด้วย) จึงมีการร้องขอขึ้นหาด
เพื่อเหยียบฝั่งให้อุ่นใจ (ในความมั่นคงของแผ่นดิน) ผ่อนคลายอาการวิงเวียน



เรือเทียบหาดที่เกาะรอกลอย







มันเป็นเวลานานมาก กว่าที่นางแบบในสังกัดทั้งหก (รวมทั้งคนเมาเรือ)
จะยินยอมตีจากมุมโพสต์ท่ามุมนี้ และปล่อยวิวทิวทัศน์ให้คงความสวยด้วยตัวของมันเอง

เป็นมุมที่เข้าตามาแต่ไกลตั้งแต่ก้าวลงจากเรือและเงยหน้าขึ้นมองหาด หนุ่มน้อยตัวดำตามประสาคนใต้นายหนึ่ง กำลังนั่งเอกเขนกกินลมชมวิว เหยียดขายาว เอนหลังพิงเชือกแกว่งไกวเบาๆ อยู่อย่างสบายอารมณ์

เชื่อว่าทุกคนที่เดินขึ้นเกาะคงมองไปที่เขาเป็นตาเดียว หนุ่มน้อยผู้ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกรุกราน

หนุ่มน้อยถูกขับไล่ (คาดไว้ไม่ผิด)

"เออ โทษนะ ขอถ่ายรูปมุมนี้หน่อยได้มั้ย"

หนุ่มน้อยผู้รักสันติ จึงสละชิงช้าเพื่อประชาชีสาวๆ และจากไปอย่างผู้ยินยอม

เห็นเพื่อนๆ สนุก และพึงพอใจกับรูปของตัวเองแล้ว พลอยทำให้คนสะพายกล้องมีความสุขไปด้วย









เราพักกินข้าวกลางวันกันที่นี้ ด้วยข้าวกล่องที่ถูกจัดเตรียมลงเรือมา บนเกาะรอกลอยนอกจากจะมีมุมชิงช้าสุดฮิตแล้ว ยังมีศาลาพักร้อนเล็กๆ ที่ขายกาแฟชงน้ำร้อนง่ายๆ และขนบขบเคี้ยว เช่น ข้าวเกรียบกุ้งฮานามิ มันฝรั่งเลย์ ( เลย์ตลอดกาล) และยังมีระเบียงทางเดินยื่นต่อออกไปในหมู่โขดหินแหลมหน้าสู่ทะเลกว้าง เป็นมุมที่สวยมากอีกมุมนึง แต่ด้วยแดดร้อนจัดและสาวๆ ก็หมดพลังไปกับมุมชิงช้าเต็มที่แล้ว จึงหามุมร่มไม้ ชายศาลา กินข้าวและพักร้อนกัน หมดแรงจะไปโพสต์ท่าต่อกลางแดดเปรี้ยง

หลังจากกินข้าวเรียกพลังกลับคืนที่เกาะรอกลอย พวกเราไปต่อกันที่เกาะลิง ไม่แน่ใจว่าจำชื่อมาถูกหรือไม่ หรือเพราะเกาะนี้มีลิงฝูงใหญ่อาจจะเผลอจำติดใจเอาเองว่าชื่อเกาะลิง





ดำน้ำดูปะการังที่เกาะลิงอยู่พักใหญ่ เราไปต่อกันที่เกาะหินงาม







ข้อมูลเกาะหินงามจาก //www.banpa.com/South/strune/stoneisland.asp

หาดที่ไหนในโลก สวยได้ด้วยหาดทรายขาว แต่คงไม่ใช่หาดนี้แน่นอน
เกาะเล็ก ๆ ในน่านน้ำสตูลนี้เป็นเกาะที่ไม่เหมือนใคร
มีลักษณะเป็นเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลที่เต็มไปด้วยหิน
ปราศจากดินและหาดทรายมีเพียงต้นไม้เป็นเพื่อน

หินทุกก้อนที่นี่มีรูปร่างประหลาด กลมมนทุกก้อนนอนเรียงรายทับถม
บ้างก็จมอยู่ใต้ทะเล สันนิษฐานว่ากำเนิดมาจากแรงกัดกร่อนจากคลื่นลม
นับล้านปี ซึ่งธรรมชาติได้สร้างสรรค์ได้อย่างแปลกพิศดาร

หาดหินงาม เกาะหินงาม อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล
เกาะหินงาม เป็นเกาะเล็ก ๆ อยุ่ในกลุ่มเกาะอาดัง ราวี อุทยาน
แห่งชาติแห่งชาติตะรุเตา เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ไม่มีหาดทราย
ใด ๆ เลยทั้งเกาะ มีแต่ต้นไม้เล็ก ๆ ขึ้นบนเกาะ และรอบ ๆ เกาะ
มีหินกลมมนสีดำมากมายทับถมกันไปทั่วทั้งเกาะ นับเป็นลักษณะ
เด่นเฉพาะที่ซึ่งมีอยู่เกาะเดียวในประเทศไทย หินเหล่านี้มีทั้งใหญ่
และเล็กถูกน้ำพัดพามากองไว้ด้วยกันและการที่หินทุกก้อนกลมมน
ลวดลายสวยงาม นั้นเกิดจากการกัดกร่อนด้วยแรงลมและคลื่นจน
ทำให้หินเหล่านี้หินเหล่านี้มากองรวมกันได้อย่างแปลกประหลาด
หินเหล่านี้เมื่อถูกน้ำทะเลสาดใส่มันจะแวววามและเปล่งประกาย
สีดำเข้มสะท้อนรับกับแสงตะวันดูสวยงามมาก

บนเกาะมีป้ายเตือนเกี่ยวกับคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาอยู่

"ผู้ใดบังอาจเก็บหินงามจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะถึงซึ่งความหายนะนานานับประการ"





ชิ้นนี้เป็นผลงานปฏิมากรรมของตัวเองค่ะ ขึ้นเกาะได้ก็ไม่ไยดีนางแบบ ตั้งอกตั้งใจก่อหินอย่างเดียว เพราะชาวบ้านเขาก่อกันทั่วเกาะ มีกองหิน เรียงซ้อนอยู่มากมาย ดังนั้นเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไกด์ให้คำแนะนำว่าถ้าจะให้ถ่ายรูปสวย ให้ตักน้ำมารถและหินจะเป็นเงาตัดจากหินก้อนอื่นๆ สวยดี ... แต่ร้อน ช่างมันเหอะ สวยแค่นี้ก็แค่นี้ สุดท้ายคุณไกด์ใจดีก็ตักน้ำมารดให้จนได้




เกี่ยวกับเกาะนี้ มีความเชื่อว่าจงก่อหินเรียงซ้อนกัน 12 ก้อนให้ได้ก่อน แล้วจึงเอ่ยคำอธิษฐาน

ตามความเชื่อคือ 12 ก้อนเท่านั้นค่ะ แต่มีบางท่าน หรือจะเรียกได้ว่าหลายๆ ท่าน ก่อกองหินไว้ด้วยคอนเซ็ปต์ "อลังการงานสร้าง" มีเพื่อนไปถ่ายรูปชี้ยอดความสูงด้วยท่าทางหมั่นไส้ แกมอิจฉาในความตั้งใจนิดๆ ถ้าเปรียบการเรียงหินซ้อนกันขึ้นมาเป็นการสร้างตึก พวกเราก็สร้างตึก 12 ชั้นธรรมดา แต่ท่านบางคนที่ว่า ท่านสร้างตึกใบหยกสูงปรี๊ดเอาไว้ และบางคนสร้างไม่สูงเท่าไหร่แต่ก็ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักร เห็นแล้วก็ขำๆ ดี สันนิษฐานว่าคงจะมากันเป็นครอบครัว น่ารักไปอีกแบบ :)

เกาะนี้เป็นเกาะที่พวกเราสิงสถิตอยู่นานที่สุด แม้แดดของยามบ่ายจะร้อน และไม่มีร่มไม้ใดๆ เลย แต่น้ำใส หินสวย และฝูงปลาเล็กๆ ที่คอยมาตอดเท้ายามที่เรานั่งแช่อยู่ริมน้ำ ขอบอกว่าที่นี่คือแหล่งสปาเท้าอย่างดี

นั่งแช่น้ำ เล่นปาหินกระทบน้ำ นั่งเมาท์ และถ่ายรูปกันอย่างมีความสุข เป็นเกาะที่พวกเราชอบมากที่สุดเกาะหนึ่งในทริปหลีเป๊ะครั้งนี้ โดยให้ชื่อว่า "เกาะสปา" เป็นเกาะที่อยู่กันนานมากที่สุดในวันนั้น







ในที่สุดก็ได้กลับคืนสู่ที่พักซะที หลังจากที่ลอยลำอยู่กลางทะเลทั้งวัน โดยพากันเรียกหาแผ่นดินเป็นระยะ

ถึงจะเหนื่อยล้าจากการล่องเรือและดำน้ำดูปะการังไปตามหมู่เกาะทั้งวัน
แต่เรื่องถ่ายรูปยังพอมีพลังเหลือ ดวงตะวันจะตกทะเลอยู่รอมร่อแล้ว ท้องฟ้าเป็นแสงสีส้มแดงจัดสวยมาก แต่ว่ากล้องแบตเตอร์รี่หมด และไม่ได้เตรียมสำรองไว้ (ก็มันหลายตังค์นี่นา) ได้รูปตะวันขาขึ้น แต่ไม่ได้ขาตก เพราะอดถ่ายไปอย่างน่าเสียดาย

ถึงอย่างนั้นการมองธรรมชาติตาเปล่าโดยไม่ต้องผ่านเลนส์ก็เป็นความสุขละไมไปอีกแบบ










 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:15:21 น.
Counter : 5873 Pageviews.  

Koh Lipe ๑ - โอ้ ทะเลแสนงาม



เพื่อน : ช่วงนี้มีงานท่องเที่ยวไทย ไปเที่ยวกันมั้ย
ฉัน : อืม ไป

ระหว่างที่เพื่อนๆ ปรึกษาหารือกันถึงสถานที่ที่จะไป - no recommendation

เพื่อน : ไปหลีเป๊ะกันนะ
ฉัน : อืม ไป

ระหว่างที่เพื่อนๆ ปรึกษาหารือกัน เรื่องวันไป - no comment

เพื่อน : 22 - 25 เมษา นะ ไปได้ใช่มั้ย ?
ฉัน : โอเค

เพื่อน ( ????? ทำไมมันถึงได้ใจง่ายขนาดนี้ )

ระหว่างเพื่อนๆ ส่งอีเมลล์แจ้งรายละเอียดของทริปที่จอง - no see

เพื่อน : จองตั๋วแล้วนะ ค่าตั๋วไปกลับคนละสามพันกว่าบาท บวกค่าที่พัก
ค่ากิน ค่าเครื่องสำอางค์ ของใช้คงประมาณค่าใช้จ่ายคนละหมื่น
ฉัน : ฮะ! (พอเรื่องเงินทอง เริ่มมีปฏิกิริยานิดนึง) จ่ายเมื่อไหร่น่ะ
เพื่อน : รูดบัตรไปก่อน ใบแจ้งหนี้มา ค่อยเรียกเก็บ
ฉัน : เล็งปฏิทินทันที อ้อ หลังสิ้นเดือนนี่หว่า อืม ได้
(กลับเข้าโหมดทำงานหลุดโลกด้วยปฏิกิริยาสงบอีกเช่นเคย)

ระหว่างเพื่อนๆ ดี๊ด๊ามีความสุขผ่านการส่งเมลล์ในที่ทำงาน
ร่ายรายการสิ่งของเครื่องใช้ ที่จะนำติดตัวไป - no action reply

จนกระทั่งหนึ่งวันก่อนไป เริ่มเปิดเมลล์ - ฮ้า ! I don't understand อย่างแรง! what are they doing ?

(กำลังหมกมุ่นอยู่กับการเคลียร์ mail inbox อันเต็มไปด้วยภาษาอังกฤษที่ hard to understand ขึ้นสมอง)

ลิตท์แสดงรายการเครื่องประทินโฉม และรายการติ๊กเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของภายใต้รายชื่อของแต่ละคน ทำให้เกิดอาการสับสนเล็กน้อย คิดว่ามีการแบ่งปันความรับผิดชอบในการขนเครื่องประทินเหล่านี้ไป เริ่มตื่นตูมเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีเครื่องประทินยี่ห้อดีๆ ไปแบ่งปันใคร
(จะว่าไปแล้ว ก็ไม่รู้จักยี่ห้อดีๆ ราคาดีๆ ด้วยซ้ำไป)

เป็นการเข้าใจผิด นั่นแค่รายการเตือนทุกคนว่า กฏของการขึ้นเครื่องบินคือห้ามพกพาของเหลวเกิน
10 ชิ้น และแต่ละชิ้นต้องไม่เกิน 100 มิลลิกรัม เพื่อนผู้รอบคอบจึงทำรายการให้ทุกคนได้เช็คเครื่องประทินของเหลวของตัวเอง

เออ.. แล้วไป - no excitement

กลับสู่โหมดทำงานในโลกอีกมิติหนึ่งทันที

Sure! มีไม่ถึง 10 ชิ้นหรอกไม่ต้องเป็นกังวล ถึงกระนั้นเพื่อนย่อมรู้นิสัย
รู้ว่าโควต้าเหลือแน่ จึงจับจองขอฝาก (ยังอุตส่าห์จะพกเกินอีก)

หลังจากทุ่มเททำงานอย่างหนัก มีรางวัลของชีวิตที่มอบให้ตัวเองรออยู่
แต่กว่าจะได้ขึ้นแท่นรับรางวัลนั้น ต้องพยายามอีกอักโขเพื่อเคลียร์ทาง

เพื่อจะได้ออกจากกรุงเทพฯ สู้เพื่อหาดทราย สายลม และน้ำทะเล สู้ตาย!

และแล้ว แต่น แตน แต๊น วันที่ไม่มีเวลาคิดรอคอย เพราะทำแต่ งาน งาน และ งาน ก็มาถึง

พวกเราเดินทางด้วยกันทั้งหมด 7 คน ลงเครื่องที่ท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ขึ้นรถตู้ที่ติดต่อไว้ ไปยังท่าเรือปากบารา ตั้งอยู่ปากคลองละงู ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล จากหาดใหญ่ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง

โหมงานมาหนักกลับดึก ความเหนื่อยล้าทำให้หลับบนเครื่องบิน หลับบนรถตู้ หลับและหลับอย่างอ่อนแรง เริ่มได้สติเมื่อลงจากรถตู้ที่ท่าเรือและมีคุณไกด์หน้าตาเหมือนกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ แห่ง Pirates of the Caribbean มารอต้อนรับด้วยอาการกระตือรือร้น พร้อมกับแดดที่ร้อนจัด และคนก็หิวจัดด้วยเช่นกัน



ร้อนนักต้องพักร้อน แม้จะเป็นคนเดียวในโต๊ะที่สั่งกาแฟ จึงไม่รู้ว่าชาชักอันลือชื่อนั้นชื่นปากและชื่นใจแค่ไหน และเพราะหิวจัดจึงไม่รู้ว่าอาหารตามสั่ง ของร้าน "บังวร" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีหากเอ่ยถึงท่าเรือปากบารา จ.สตูล อร่อยสักเท่าใด .. เพราะตอนนั้น หน้ามืดแล้ว เสิร์ฟอะไรมาก็ฟาดเรียบทั้งนั้นแหละ

ร้อนนักต้องชักชา เพื่อนๆ บอกว่าชาชักอร่อยมาก เป็นรสชาดที่หาไม่ได้ในกรุงเทพ
คนไม่ชอบชา แอบสงสัยว่า ขนาดนั้นเลยเหรอ

แต่กล้ายืนยันด้วยเช่นกัน กาแฟอร่อยมาก รสชาดกลมกล่อม
ชนิดที่ร้านดีมีแบรนด์ตามห้างบางร้านต้องอาย

กินอิ่ม ฝ่าเปลวแดดอันร้อนแรงกลับไปยังท่าเรือ รอเรือออกตอนเที่ยง แม้จะสะพายกล้องคู่ชีพมาด้วย ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะยกมันขึ้นมากดชัตเตอร์แต่อย่างใด ขนาดว่าโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่ได้พบอาจารย์เก่า ยังลืมนึกถึงกล้องและถ่ายรูปกับอาจารย์เป็นที่ระลึก

อาจารย์แนะนำให้รู้จักกับหนุ่มหน้าอ่อนผู้เป็นรุ่นน้องร่วมสถาบัน ผ่านมาหลายปีแล้ว เป็นเรื่องยากที่อาจารย์จะจำลูกศิษย์ได้ทุกคน ก่อนนั้นลังเลใจอยู่ครู่ใหญ่ จะเข้าไปทักดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเชื่อว่า เป็นศิษย์ต้องรู้คุณและแสดงความอ่อนน้อมกตัญญูเสมอเมื่อมีโอกาส จึงตัดสินใจเข้าไปทักทาย

และเป็นการตัดสินใจที่เยี่ยมแล้ว ถือเป็นวันดีๆ อีกวันหนึ่งของชีวิต พากันเมาท์แหลกลาญถึงอดีตเคยใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน แม้จะแตกต่างในสถานะระหว่างการเป็นนักศึกษา กับการเป็นอาจารย์ระดับผู้บริหารก็เถอะ

อาจารย์เลี้ยงน้ำเพื่อนๆ (เพื่อนๆ ขอบคุณด้วยความรู้สึกเกรงใจ ไม่กระหายไม่ดื่ม แต่ยินดีขนขึ้นเกาะไปด้วย เก็บเรียบ) รุ่นน้องซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ท่าเรือของกรมอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตากุลีกุจอไปติดต่อขอลดราคาค่าเข้าอุทยานมาให้

ด้วยไม่รู้อะไรเลย เพราะทริปนี้ไม่มีส่วนร่วมช่วยเหลือ นอกจากเอาตัวมาร่วมทริป เพื่อนๆ จัดการหมด ตั๋วลดจึงไม่ได้ใช้ เพราะจ่ายมาหมดแล้วในค่าทริป แต่อย่างน้อยพี่รู้สึกขอบคุณนะ และรู้สึกถึงคำว่า เลิศน้ำใจ และ รักสามัคคี ปรัชญาหลักๆ ของมหาวิทยาลัยที่ถูกปลูกฝังหยั่งรากลึกมาเนิ่นนาน

เรือมาแล้ว.... ได้ออกเดินทางกันซะที ร้อน ๆ ร้อนจะตายอยู่แล้ว



พวกเราโดยสารเรือสปีดโบ๊ท และแวะขึ้นเกาะตะรุเตาเป็นแห่งแรก เพื่อให้ผู้โดยสารได้พักรับประทานอาหารกลางวัน แต่อีกเช่นกัน พวกเราไม่มีใจ ข้ออ้างที่ฟังแล้วดูดีคืออากาศร้อนมากจริงๆ จนไม่นึกอยากกินอะไร ข้ออ้างที่ไม่อยากกล่าวถึงคือพวกเราเพิ่งกินกันมาไม่นาน

ถ้าไม่กินจะทำอะไรนอกจากกดชัตเตอร์

จัดนางแบบถ่ายรูปกับป้าย ชายหาด และไม่ลืมจุดธูปกราบนมัสการศาลเจ้าพอตะรุเตา







ไปต่อกันที่เกาะไข่ แม้ว่าตลอดเส้นทางในเรือจะหลับมาอีกเช่นเคย ในสภาวะที่มีปาปารัซซี่มือดีคอยแอบถ่ายคนหลับ อย่างน้อยๆ ภาพตัวเองก็ไม่ออกมาน่าเผาทิ้ง เพื่อนบอกว่า "หลับผู้ดี" เพราะตัวยังตรงอยู่ได้ ไม่แน่ใจหรอกนะว่าเป็นผลมาจากการฝึกสมาธิ (แล้วหลับใน) หรือคุ้นเคยกับการยืนหลับบนรถเมล์ขณะรถติดกันแน่




เกาะไข่ เป็นสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของ จ.สตูล
ไม่รู้ทำไมชื่อเกาะไข่ น่าจะชื่อเกาะเต่ามากกว่า
เพราะดูแล้วเหมือนหัวเต่าโผล่มาจากกระดอง






>

ฟ้าสวย





ทะเลใส




คลื่นกระเซ็นสาด





เนินหาดทรายสีงาม


จากเกาะไข่ นั่งเรือต่อไป สักพักใหญ่ ๆ อยู่ๆ จอดเรือทำไม

มีผู้โดยสารลงเรือผิดลำ เรืออีกลำตามมาเก็บ
เห็นวิธีจอดเรือกระทบแคมและโอนถ่ายผู้โดยสารกลับคืนให้กันแล้ว
ทึ่งในความคล่องแคล่วแบบชาวเรือมืออาชีพ




สีน้ำทะเลใส และไม่ว่าทะเลจะแปรปรวนด้วยคลื่นลมมากน้อยแค่ไหน
แต่โขดหินยังคงสงบเสมอ





ชายฝั่งเกาะหลีเป๊ะอยู่ไม่ไกล





ในที่สุดก็มาถึงแล้ว


สวย แต่สูง






บันไดทางขึ้นระดับ 1 เพื่อเตรียมใจ และทำใจ

บันไดทางขึ้น ระดับ2 เพื่อทอดอาลัย เพราะสูงยังไงก็ต้องขึ้นไป

และมีบันไดระดับเล็กๆ ระดับ 3 พักล้างเท้า
แถมด้วยบันไดระดับ 4 จุดถ่ายรูปยอดนิยม!





ก้าวขึ้นสู่ ห้องอาหาร/ เรือนรับรอง




บ้านพักริมเกาะ




หลังพอประมาณอยู่สบาย








แมกไม้ชายคา







บรรยากาศพอดี ไม่วังเวงไม่วุ่นวาย
กับทิวทัศน์สวยงามหน้ารีสอร์ท




มื้อเย็นที่รอคอย








ตกค่ำ ไปเดินย่อยอาหารที่หลีเป๊ะฝั่งพัทยา











แวะร้านขายของที่ระลึก
เพื่อนๆ ส่งโปสการ์ดหาเพื่อนๆ ที่ทำงานและคนใกล้ชิดสนิท
ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของ ปาย แม่ฮ่องสอน





ขายทั้งของที่ระลึกและหนังสือหลายภาษาสำหรับนักท่องเที่ยว
เท่าที่เห็นมีอยู่ร้านเดียวในย่านนั้น
เพราะเท่าที่ดูร้านค้าแต่ละล้านแทบจะขายของไม่ซ้ำประเภทกัน
มิน่า .. ราคาถึงถีบตัว แต่คงต้องเข้าใจ เพราะหลีเป๊ะอยู่ไกล
กว่าสินค้าจะเดินทางไปถึงเกาะ ต้องบวกกันอีกหลายทอด
และอีกอย่าง คนไม่มากนัก เพราะไม่ได้เปิดการท่องเที่ยวทั้งปี



ซื้อของที่ระลึก และเดินเตร็ดเตร่จากต้นตลาดยันท้ายตลาด
จากหัวหาดไปจนสุดหาด ... หมดแรง
จึงแวะกันที่ร้าน นุขโรตีผลไม้ ได้ยินว่ามีชื่ออีกละ

ถ้าบอกว่ามีชื่อ ต้องลองลิ้มชิมรส ด้วยการยกให้เป็นอาหารว่างยามดึก

ขากลับเดินเลาะริมหาดย้อนกลับไปยังฝั่งเงียบสงบที่เมาท์เทนรีสอร์ท
เพิ่งรู้จากไกด์ว่าบนชายหาดหลีเป๊ะนั้นเป็นที่พักพิงของชาวเลจำนวนหนึ่ง
วิถีชีวิตที่อยู่ง่าย กินง่าย และนอนง่ายด้วย คือ พวกเขาจอดเรือเทียบฝั่ง
โยงยึดไว้ แล้วแค่หาอะไรง่ายๆ ปูลงบนพื้นทราย กลายเป็นห้องนอนกว้างใหญ่โล่งโจ้ง ท้าลมทะเลอยู่ตามชายหาด

เป็นความทรหดที่อดทึ่งไม่ได้

ที่คุณไกด์พาพวกเราเดินเลาะหาด เพราะจะพาดูพรายน้ำ
นั่นคือแพลงตอนเรืองแสงที่มักขึ้นมาตามริมหาดในตอนดึก
แต่เพราะยังไม่ดึกมากพอหรือเพราะฟ้าโปร่งไม่มืดทึบมากนัก
ทำให้ไม่พบเจอเจ้าพรายน้ำที่ว่านี้

พวกเราจึงพากันกลับไปนอน เพราะหมดแรง
และวันรุ่งขึ้นยังมีการผจญภัยกับโลกใต้น้ำรอเราอยู่








 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:15:51 น.
Counter : 3723 Pageviews.  


prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.