Group Blog
 
All blogs
 

กลซ่อนใจ ... คืออะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่ใน 'สำนักพิมพ์แจ่มใส'

 

"มีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ที่แจ่มใส"   เพื่อนคอนิยายคนหนึ่งบอกไว้เช่นนั้น   .. 

เชื่อ!  แต่ก็ไม่ค่อยจะมีเวลาเสาะหาอะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่อย่างที่ว่า 

เพราะจากประสบการณ์เคยอ่านมา อะไรดีๆ ที่ว่า (ที่ถูกใจเรา) ก็คงจะอยู่ลึกจนหายากอยู่สักหน่อย

หลังๆ มา  ก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจจะค้นหานัก แต่ก็พอจะจดจำได้ว่ามีใครบ้างที่สำนวนเป็นที่ไว้ใจ

เพียงแต่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะสบช่องกับพลอตที่ถูกใจ อันเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการเลือกอ่านนิยาย

ขึ้นชื่อว่าเป็นนิยายของ สนพ.แจ่มใส มักชวนให้นึกถึงนิยายรักใสๆ หัวใจวัยรุ่น  ที่มักจะตั้งป้อมกันท่าเอาไว้ก่อน ด้วยกลัวจะเจอนางเอกแบบง้องๆ แง้งๆ  อ่านแล้วชวนหงุดหงิด  น่ารำคาญ   ทั้งที่ใจส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าคงมีเรื่องดีๆ ที่สนุกอยู่มาก  แต่เป็นที่ผู้อ่านคนนี้เองซึ่งพ้น 'วัยรุ่น' มาแล้ว  หลายครั้งหลายหนที่ไม่อินเพราะเจอความง้องแง้งเลยทำให้กลายเป็นอคติไป จึงไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับนิยายของ สนพ.แจ่มใสมากนัก (เข้าใจว่านิยายของแจ่มใสก็จับกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ..จะไม่ถูกใจคนวัยเราก็ไม่แปลก ว่าแต่ ... วัยเรานี่วัยไหนหว่า .. ไม่บอก แต่จากนิยายที่อ่าน คงพอเดากันได้ หุหุ) แต่บทจะเจอเรื่องไหนถูกใจขึ้นมา ก็ทำผู้อ่าน 'วัยอาวุโส' คนนี้ อ่านไปยิ้มไป ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มไม่หุบก็มี  อย่างเรื่องนี้นะ ถ้ากรี๊ดแล้วไม่น่าเกลียดเกินวัย ..คงทำไปแล้ว

เรื่องย่อ  จากปกหลัง Smiley

อยากจะซ่อนหัวใจนักก็เชิญซ่อนไป

หาเจอเมื่อไหร่ จะโดนริบไว้ไม่ให้เอาคืน

ไม่รู้ว่าช่วงนี้พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกชีวิต ‘การะเกด’ หรืออย่างไร เพราะนอกจากหมดหวังเรื่องจะให้ ‘ร่มธรรม’ ผู้ชายที่เธอแอบหลงรักมานานคิดกับเธอเกินคำว่า ‘เพื่อนน้องสาว’ แล้ว จู่ๆ ก็โดนเมียอีกคนของพ่อยึดบ้านแล้วเฉดหัวเธอออกจากบ้านตัวเองซะงั้น

ทว่าถ้าลองมองโลกในแง่ดี บางทีนี่อาจเป็นโอกาสก็ได้ ถึงจะไร้ที่อยู่ไม่มีที่ซุกหัวนอนกะทันหัน แต่เธอก็สามารถเอามันเป็นข้ออ้าง ระเห็จตัวเองไปอยู่เกาะทางใต้เพื่อหาทางพิชิตหัวใจผู้ชายหน้ามึนที่อยู่แสนไกล แถมยังรวบหัวรวบหางเสร็จสรรพด้วยการให้เขาเป็นที่ปรึกษาในการเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ที่เธอใฝ่ฝันซะเลย

แต่เฮ้อ! ผู้ชายหน้าตาดีนี่มันบื้อ เอ๊ย ซื่อแบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ เธอหรือทอดสะพานให้สารพัดท่า เขายังไม่มีท่าทีฮิฮะ จิ๊จ๊ะกลับมาแม้แต่นิดเดียว เอาเถอะ ขุดหลุม ‘รัก’ ดักเยอะๆ เข้าไว้ วันไหนทะเล่อทะล่าตกลงมาเมื่อไร จะฝังกลบให้แน่นชนิดขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยเชียว!

 

เคยเห็นปกนี้ เคยอ่านเรื่องย่อหลังปกเรื่องนี้ค่ะ แต่ก็เหมือนเช่นเคยคิดกับการยึดติดในอคติเดิมๆ คือ นางเอกแนวแอบรักกับภารกิจพิชิตหัวใจพระเอกนี่น่าจะง้องแง้งอีกแล้วล่ะมั้ง  จนกระทั่งวันก่อนได้อ่านรีวิวนิยายเรื่องนี้ของคุณพุศน้ำบุษย์  สิ่งที่ดึงดูดความสนใจอย่างแรงคือบทสนทนาของพระเอก "ร่มธรรม" กับพี่ชาย "ร่มโพธิ์"  คือบทนี้ค่ะ 

ร่มธรรมมองหน้าร่มโพธิ์ ส่งยิ้มอ่อนอกอ่อนใจไปให้ เสียงที่พูดฟังกัดฟันถนัดหู

"บิลด์เหลือเกินนะ ทำไม  อยากได้เกดเป็นน้องสะใภ้เหรอ"

หากร่มโพธิ์ตอบกลับเสียงสูง "ไม่รู้วววว ฉันจะไปรู้ใจแกได้ไง แกรักใคร ฉันก็อยากได้มาเป็นน้องสะใภ้ทั้งนั้นแหละ"

ร่มธรรมยิ้ม ทว่าดวงตาไม่ยิ้มด้วยเลย "พูดดีจังเลยครับ"

"อ้าว ก็กูเป็นพี่ชายมึงนะครับ"

"ถ้างั้นพี่ชายช่วยเลิกบิลด์ด้วยนะครับ กูรำคาญมาก"

สองคนนี้เค้าชวนขำดีน่ะค่ะ โดยจริตส่วนตัวก็เป็นคนที่ชอบเรื่องราวที่มีความสัมพันธ์แบบพี่น้องมากอยู่แล้ว  มาเจอบทสนทนาดังกล่าวข้างตน มันให้ความรู้สึกว่าจะได้พบกับคาแรคเตอร์บางอย่างของตัวละครที่มีความโดดเด่น  แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ไม่ผิดหวังเลย นอกจากพระเอก ร่มธรรม จะมีคาแรคเตอร์ที่โดนใจสุดๆ ยังขยายผลต่อไปยังตัวพี่ชาย ร่มโพธิ์ กับพี่สะใภ้ ไออรุณ ให้นึกอยากอ่าน 'พรายอำพราง' ที่เป็นเรื่องของสองคนนี้ขึ้นมาจับจิต

ว่าแล้วลุกเดินออกจากส่วนสำนักงานของนั่งภูดูดาว ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ พื้นที่ประมาณหนึ่งตู้คอนเทนเนอร์ ปล่อยให้ร่มโพธิ์นั่งกระดิกเท้าหัวเราะหึๆๆ อยู่อย่างนั้น

"หัวเราะน่ากลัวมากพี่โพ"

ร่มโพธิ์หันมองไออรุณ โผเข้าไปเบียดก่อนก้มหน้าลงชิดหน้าท้องซึ่งยังแบนราบเรียบเหมือนปกติทุกประการด้วยอายุครรภ์ยังไม่มากนัก  "โอ๋ๆๆ กลัวไหมครับลูก พ่อหัวเราะอาของลูกนะครับ อาของลูกทำตัวโคตรมีพิรุธเลยครับ"

๐๐๐๐๐๐

"จริง  แต่พี่ไม่รู้นะว่าเจ็ดสิบของพี่มันจะลดลง หรือจะเพิ่มขึ้นจนเป็นร้อย ต้องขึ้นกับเกดแล้วล่ะว่า จะหลอกล่อไอ้ธรรมได้แค่ไหน"

"น่าเกลียด หลอกล่ออะไร เกดเป็นผู้หญิงนะ"

ร่มโพธิ์มองหน้าไออรุณแล้วย้อน "ทำไมล่ะ อ้ายยังหลอกล่อพี่ได้เลย นี่ท้องจับพี่ใช่ไหม"

ไออรุณฟาดแขนคนปากดีเสียงดังเพียะแล้วสวนกลับ "หย่าเลยไหมล่ะ"

คนถูกท้าหย่าเลยหน้าง้ำ พูดเสียงกระเง้ากระงอดเป็นสาวสิบแปด .. "แรงอ่ะ"

"แล้วรักไหมล่ะ"  ไออรุณถามด้วยสีหน้ำยิ้มๆ ก่อนจะเชิดหน้ากับสามีตัวเองที่มองมาพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน ครู่เดียวก็คว้าสองแก้มของไออรุณเอาไว้ นวดแรงๆ อย่างมันเขี้ยวขณะตอบชัดเจน  "อยากจะไม่รักเหมือนกัน แต่มันไม่ทันแล้ววววว มันรักไปแล้ววววว"

สองสามีภรรยา ร่มโพธิ์ กับ ไออรุณ เค้าเย้าแหย่กัน เชือดเฉือนกันแบบน่ารักๆ แบบว่า 'ทัน' กันดีค่ะ มีความรู้สึกว่าเรื่องที่เค้าสองคนเป็นพระเอกนางเอกท่าทางจะน่าสนุก  ส่วนนางเอก การะเกด ไม่ผิดความคาดหมายมากนักว่าจะต้องเด็กๆ ใสๆ ง้องแง้ง  แต่เรื่องนี้ถือว่า 'พองาม' แล้วมันเข้ากันพอดีกับบทบาทที่เธออายุน้อยกว่าร่มธรรม เป็นเพื่อนรุ่นน้องของน้องสาวอีกที  (อ่อนกว่า มีสิทธิ์ง้องแง้งได้ตามควร) แต่ที่เราชอบนางเอกเรื่องนี้ เพราะไม่รู้ทำไมความง้องแง้งของเธอ ไหงให้ความรู้สึกใสบริสุทธิ์ ซื่อตรงจริงใจ อาจเป็นเพราะไม่ใช่แนวนางเอกพระเอกไม่ถูกกันที่จะต้องมีเรื่องประชดประชันให้รำคาญด้วยน่ะค่ะ  คาแรคเตอร์ของการะเกดให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กๆ แอบปลื้มพี่ชาย และเพราะเป็น 'พี่' ก็เลยแสดงออกได้พอสมควรผ่านอาการงุ้งงิ้งของเด็กน้อย (สวมรอยการเป็นเพื่อนน้องสาว) แต่ว่ามันอยู่ในขอบเขต ส่วนที่เธอคิดก้ำเกิน ถือโอกาสเข้าข้างตัวเองให้มีความสุขบ้าง แทะโลม หรือเลยเถิดเป็นลวนลาม 'พี่ธรรม' (ทางมโนจิต) บ้าง  มันเป็นเฉพาะความคิดในหัวของเธอเพียงผู้เดียวแม้จะหลุดอาการ 'รัก'  'เคือง' 'ค้อน' 'เซ็ง' 'เจ็บใจ' ล้นเหลือออกมาทางสีหน้าบ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกหรือพูดออกมาชัดนัก จุดนี้ทำให้คาแรคเตอร์นางเอกแทนที่จะน่ารำคาญ กลายเป็นน่ารักสำหรับเรา เธองุ้งงิ้งเป็นแมวเหมียวเคลียคลอได้น่ารักดี  อ่านไป ก็ยิ้มไป ขำไป  กับความคิดในหัวที่เธอมักต่อความเอาเองจากคำพูดของพระเอก เช่น .. แต่งงานกันเลยมั้ยล่ะ  แต่งงานกันดีกว่าไหม .. ฯลฯ  แต่ถึงพระเอกนางเอกจะน่ารักอย่างไร ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เราจะชอบคู่พี่น้อง ร่มโพธิ์-ร่มธรรม มากกว่าคู่พระนางอีกนะ  ก็ออกจะน่ารักน่าหัวเราะด้วยกันทั้งคู่

ร่มโพธิ์พูดขึ้น ไม่ได้ตั้งให้ข้อมูลกับการะเกดเหมือนที่ผ่านมา แต่เหมือนเพิ่งนึกได้ถึงชีวิตรักของน้องชายมากกว่า  “ตอนเลิกกับเมนี่ช่วงจะเปิดชัวร์รีลใช่ไหม”

“ใช่”

“จำได้ว่าแกนอนวันละสี่ห้าชั่วโมงเอง ยุ่งจนไม่มีเวลาหาแฟนเลยโสดมาจนถึงตอนนี้”

“เออ ยุ่งมาก”

“ตอนนี้ไม่ยุ่งแล้ว ก็หาแฟนใหม่สักคนสิ”  ร่มธรรมมองหน้าร่มโพธิ์ ส่งยิ้มให้แค่ปาก แต่ดวงตาเชือดเฉือนส่งไปให้อีกครั้ง

“ผมหมายถึงคุณพี่ชายน่ะครับ มึงยุ่งกะกูมาก”

 ๐๐๐๐๐๐

ยศพลเลยปรี่เข้าบ้านไป ทิ้งให้พี่น้องมองหน้ากันอยู่ตรงประตูไม่ยอมขยับเขยื้อน

“เชิญเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลยนะ”  ร่มธรรมประชดเข้าให้ ร่มโพธิ์ไม่สะเทือน กลับยิ้มกว้าง

“แหม บ้านน้องก็เหมือนบ้านพี่ แขกพี่ก็เหมือนแขกน้อง พี่จะเชิญแขกพี่เข้าบ้านน้องก็ไม่เห็นแปลกนี่นา”

พูดจบยังมีการเอียงหน้าแทนการถามว่าจริงไหม กริยานั้นเล่นเอาร่มธรรมอยากถีบใครสักคนขึ้นมาติดหมัด และถ้าไม่ติดว่ายังรู้ดีอยู่เต็มอกว่าอย่างไรร่มโพธิ์ก็เป็นพี่ ไม่ว่าจะเรียกกันว่าอะไร ใช้สรรพนามใดพูดกันก็ไม่อาจลบล้างความจริงข้อนี้  ร่มธรรมคงถีบร่มโพธิ์นี่ล่ะ ทำไมร่มโพธิ์ต้องวาสนาดีได้น้องชายประเสริฐอย่างเขาด้วยวะ!  

" กูเกลียดมึง” ร่มธรรมว่าอย่างนั้นแล้วเดินหนีเข้าบ้าน หยุดเดินเมื่อเห็นยศพลเข้าไปอี๋อ๋อกับการะเกด ตัวกระตุกนิดๆ ตอนร่มโพธิ์ตามมากอด พูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังเอาซะเลย  

 “แต่พี่รักน้องนะครับ”

ร่มธรรมสะบัด ตัวตอบกลับเสียงเรียบอย่างซาบซึ้ง “  ไปตายซะไป”

๐๐๐๐๐๐

 “ลามปามเมียกูนะมึง เดี๋ยวจะโดน”

ร่มธรรมหัวเราะหึ ตอกกลับไม่ไว้หน้า “มึงลามปามแฟนกูก่อน”

ร่มโพธิ์เลยโผไปตะปบหัวของร่มธรรม จับมันโยกเขย่าอย่างแรงโดยไม่สนมือน้องที่พยายามปัดป้อง “ปากดี เถียงคำไม่ตกฟาก แถมยังจะมาระรานเงินกู ฝันไปเถอะ กูนี่แหละจะเอาเงินมึงมาเลี้ยงหลานมึงให้มันอ้วนตายกันทั้งแม่ทั้งลูก”

ร่มธรรมประกาศกร้าวขณะพยายามปัดมือจอมรังควานออกให้พ้น “กูคงยอมหรอก มึงฝันไปเหอะ” 

ร่มโพธิ์เลยขยำขยี้เขย่าหัวของร่มธรรมหนักขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงมีชัยเหนือกว่า  “มึงจะทำอะไรกูได้”

“กูจะฟ้องแม่”  เท่านั้นแหละร่มธรรมก็เป็นอิสระ ร่มโพธิ์หยุดกลั่นแกล้งน้องทันที ...

๐๐๐๐๐๐

พี่น้องเค้าพูดจากันได้ชวนขำดีค่ะ  อ่านไปอ่านมา ...สาเหตุที่ทำให้ชอบนิยายเรื่องนี้ นอกเหนือจาก ตัวละครอย่าง ร่มธรรม-การะเกด แล้ว ก็มี ร่มโพธิ์-ร่มธรรม นี่แหละ ที่เป็นหลักใหญ่ใจความ..ของความชอบ

เป็นพลอตเรื่องที่ง่ายๆ ค่ะ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย เรื่องความรักความใกล้ชิดของคนสองคนที่คนนึงแสดงออกชัดแต่อีกคนก็รักนะแต่ในฐานะเป็นพี่ เป็นที่พึ่ง และไม่อยากถูกแซวมากนัก ขอซึน ขอมึน ขอหวงตัวไว้สักนิด (เดี๋ยวห้ามใจตัวเองไม่อยู่)  ขอกั๊กใจไว้สักหน่อย (เดี๋ยวเด็กมันเหลิง)  พอมีคนสองคน ก็จะมีคนรอบข้างที่เป็นเพื่อนเป็นคนในครอบครัว ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงพื้นเพชีวิตของคู่พระนางด้วย  ต้องขอชื่นชมผู้แต่ง ภัสรสา  เกี่ยวกับสำนวนที่ไหลรื่นและที่การสร้างคาแรคเตอร์ของตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหมายรวมถึงลักษณะการพูดจาด้วย การพูดน้อย แต่มีนัย พูดห้วน แต่มีตบปลอบ พูดขยักขย่อน แต่มีป้อนเจตนาเพิ่ม และที่ยอกย้อนยียวน (ใช้กับร่มโพธิ์ซะส่วนใหญ่) ของร่มธรรมนี่แหละ ที่ทำให้หลงรักพระเอกคนนี้ของคุณภัสรสาซะมากมาย อ่านไปก็พึมพำให้เพื่อนที่นอนอ่าน "ในวารวัน" อย่างหัวปัก ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า น่ารักจัง  น่ารักแฮะ  น่ารักว่ะ ทำไมเค้าถึงเขียนได้น่ารักอย่างนี้นะ   ตัวละครอื่นๆ ก็ถูกสร้างลักษณะเฉพาะตัวที่ทำให้ เห็นภาพ เห็นนิสัย ที่อะไรๆ อาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด  อย่าง ราชาวดี พี่สาวต่างแม่ของการะเกด ชอบความหยิ่ง ความเย็นชา ที่คงเส้นคงวาของเธอมาก ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนเธอก็ไม่เปลี่ยนความเป็นตัวของตัวเอง ยังคงเป็นพี่สาวผู้เย็นชาเหมือนเคยเป็นมา เหมือนไม่ชอบใจ เหมือนไม่แยแส (แต่.........)  และการกระทำของเธอแต่ละครั้งก็ชวนอึ้งดีค่ะ เย็นชาแต่ว่าฉันชอบเธอมากนะเออ

บางเวลาก็อยู่ในอารมณ์อยากอ่านนิยายรักแนวสดชื่นแจ่มใส อ่านแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ค่ะ เห็นจากท้ายปก ที่เป็นบันทึกบอกเล่าของผู้แต่งเอง คุณภัสรสา ดูเหมือนว่าเธอได้มอบความรักให้แด่' คุณธรรม' เรื่องนี้ กับ 'คุณเทียน' เรื่อง 'เพียงใจไร้จันทร์' มากเอาการ .. นักเขียนที่หลงรักตัวละครของตัวเอง .. นั่นคงเป็นสิ่งสำคัญที่เธอสามารถทำให้คนอ่าน .. (อย่างน้อยก็หนึ่งคน..คนนี้) หลงใหลได้ปลื้มกับพระเอกของเธอตามไปด้วย และแน่นอนว่าจะต้องไปสืบเสาะตามหา 'คุณเทียน' จาก 'เพียงใจไร้จันทร์' มาทำความรู้จักกันสักหน่อยแล้ว

ส่วนเรื่องนี้ กลซ่อนใจ ชอบทุกอย่างค่ะ  สำนวนไม่มีอะไรจะหาเรื่องมาติ  ถ้าจะมีก็มีแค่อย่างเดียวคือไม่ชอบเหตุผลการตัดสินใจของนางเอกในช่วงท้าย  เพราะขัดกับความคิดส่วนตน ถ้าเป็นเรา คงไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน มันคือความเป็น 'นางเอก' น่ะใช่ แต่มันเป็นตรรกะที่ไม่ใช่และไม่แฟร์ในความคิดเราเอง ไม่แฟร์ทั้งต่อตัวเองและต่อคนที่รัก อาการนี้ไม่ได้เกิดกับนิยายเท่านั้นหรอกนะคะ กับซีรีย์เกาหลีบางเรื่องก็เป็น คือไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ด้วยเหตุผลแค่นั้น  เราไม่โอเคกับมัน  ประเด็นนั้นในเรื่องนี้ เรามีความคิดเห็นเหมือนราชาวดีทุกประการ ทั้งที่บุกไปพูดที่บ้านของคุณมนทิรากับมนัสสิตา (มะนาว) และที่พูดกับน้องสาวที่เธอแสดงออกตลอดเวลาว่าอิจฉาและหมั่นไส้อย่างการะเกดด้วย นั่นแหละคือสิ่งที่เราคิดกับอุปสรรคความรักนั้นของการะเกดกับร่มธรรม   แต่เพราะโดยรวมเรื่องเขียนมาดี สนุก และชอบมาก จุดเล็กๆ จุดนั้น จึงมองข้ามไปได้ และพร้อมจะให้ใจ..ติดตามอ่านผลงานของภัสรสาเรื่องอื่นๆ ต่อไป เดี๋ยวจะตามอ่านชุดจันทร์ดูค่ะ 

สำหรับเพื่อนบล็อกแก๊งที่เข้ามาอ่านและเข้ามาเมนท์  ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ที่ทำให้รู้สึกว่าการเขียนบล็อก การได้รับความเห็นของแต่ละคนที่เมนท์เข้ามา เป็นเรื่องสนุกที่ทำให้ได้พบความเหมือน หรือความแตกต่างของมุมมองและความคิดที่น่าสนใจว่าชอบหรือไม่ชอบอย่างไร   เมื่อก่อนมักจะสิงสถิตอยู่ที่กลุ่มบล็อก "ซีรีย์ต่างประเทศ" เพิ่งจะพักช่วงมาอ่านหนังสือก็พักนี้เองค่ะ  พอมาวนเวียนอยู่ในกลุ่ม "หนังสือ" ได้อ่านรีวิวของเพื่อนๆ ก็เป็นการกระตุ้นให้อยากอ่านหนังสืออยู่เรื่อยๆ ช่วยลดทอนความสูงของกองดอง ช่วยให้ตู้หนังสือถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น  ขอบคุณมากนะคะ  Smiley

 

 

 




 

Create Date : 09 กันยายน 2556    
Last Update : 9 กันยายน 2556 12:57:44 น.
Counter : 5366 Pageviews.  

เจ้าชาย ...อีกหนึ่งตำนานรัก ณ ดินแดนแห่งทะเลทราย.. โสภาค สุวรรณ

 

นวนิยายรักโรแมนติก ผจญภัย

ไพรัชนิยาย ท่ามกลางดินแดนแห่งทะเลทราย

ณ ที่ซึ่งก่อให้เกิดตำนานรักโรแมนติก ...หวานซาบซึ้ง

Smiley หวานซาบซึ้ง Smiley เป็นคำโปรยที่ไม่เว่อร์แม้แต่น้อย  ท่ามกลางปัญหาสังคมอันตึงเครียดที่เกี่ยวพันโยงใยกับความขัดแย้งทางการเมืองอันร้อนระอุ นวนิยายเรื่องนี้ก็ยังหวานซาบซึ้ง โดยเฉพาะยามวิกฤตท่ามกลางทะเลทราย ณ แดนมรณะ 'รัพ อัล อซารี'

ส่วนตัวคิดว่า ความเชื่อในศาสนา ความสัมพันธ์ของยิวกับอาหรับในเรื่องความลับบนแหลมไซไนที่ว่าแน่ เจอเรื่องราวของ เจ้าชาย มีสารสาระมากโข ทั้งประเพณีขลิบอวัยวะเพศของสตรีที่ถูกเรียกว่า  FGM (อ่านต่อไปอีกนิด มีคำอธิบายค่ะ)  เรื่องของศาสนา การเมือง สิทธิสตรี สิทธิมนุษยชน  ขบวนการก่อการร้าย และสงครามความขัดแย้งภายในประเทศ  ขนเนื้อหาจัดหนักมากันหลายกระบวนท่าแบบนี้ ก็ทำเอา ความลับบนแหลมไซไน เกือบจะพลาดท่าเสียทีได้   แต่ยังก่อน เพราะความลับบนแหลมไซไนก็ไม่ใช่ 'อ่อน' หรอกนะจะบอกให้  ซึ่งหากต้องทำการเปรียบเทียบความสนุกของไพรัชนิยายจากนามปากกา โสภาค สุวรรณ แล้วล่ะก็ นี่ถือเป็นมวยคู่เอกที่ซัดกันไม่ลง 

ชอบเนื้อเรื่อง เจ้าชาย  มากกว่านิดหน่อย เพราะนำเอาสถานการณ์ความเป็นไปในกลุ่มประเทศอาหรับมาผสมผสานเรื่องราวได้อย่างสอดคล้องลงตัว อ่านแล้วมัน 'เนียน' ในความรู้สึก  ส่วนเรื่องของความรัก แม้ เจ้าชาย จะหวานคลาสสิค ซาบซึ้งกว่ามาก แต่โดยคาแรคเตอร์ของตัวละครและรูปแบบความสัมพันธ์ เราชอบความเป็นผู้ใหญ่ ความดุดันเด็ดขาดของเจ้าชายฮัซซาร์ และรักนะแต่ไม่แสดงออกในเรื่อง ความลับบนแหลมไซไน มากกว่านิดหนึ่ง.. จึงถือว่าเจ๊ากันไป  ส่วนการผูกปมให้น่าสนใจให้ลุ้น ความสนุกชวนติดตาม อารมณ์โรแมนติก ดราม่า แอคชั่น ก็ไม่ถือว่าน้อยหน้าไปกว่ากัน  เพียงแต่ .. เรื่องของ เจ้าชาย จะเป็นเรื่องราวเชิงอุดมการณ์ที่ใหญ่โตกว่าตามฐานันดรศักดิ์ที่เจ้าชายชาครี เป็น 'เจ้าชาย' ในราชวงศ์ที่ยังปกครองประเทศ มีบทบาทสำคัญต่อการบริหารบ้านเมือง ขณะที่เจ้าชายฮัซซาร์เป็นเพียงเจ้าชายสิ้นราชวงศ์ บทบาทหน้าที่ของ เจ้าชายองค์หนึ่ง (ชาครี-นายทหารผู้บัญชาการกองกำลังปฏิบัติการรบพิเศษ DESSERT CORPS)   กับ ประชาชนคนหนึ่ง - ที่ทรงศักดิ์เจ้าชาย (ฮัซซาร์-นายตำรวจกรมสืบราชการลับ) ยศพันเอกเท่ากัน แต่ความเท่ห์อลังฯ ย่อมต่างกันพอควร

จะเล่าถึงพื้นเพตัวละครอย่างคร่าวๆ (แต่ยาวหน่อย) สัก ๔ ตัวละครหลัก คาดว่าคงพอจะทำให้คนที่ยังไม่เคยอ่านพอนึกแนวเรื่องออกและเป็นข้อมูลให้พอช่วยตัดสินใจได้บ้างว่า.. หามาอ่านดูสักหน่อยดีมั้ยน๊อ ... และหวังว่าจะไม่เป็นการสปอยล์มากนักนะคะ 

เจ้าชาย  ชาครี ราชิด อัลซาอิด อัล โมราวิท  หรือที่หม่อมแม่ของท่านมีชื่อเรียกเฉพาะตนว่า ชาลี  แม้จะไม่ใช่ องค์มกุฎราชกุมาร (เจ้าชายรัชทายาท) เพราะมีแม่เป็นหญิงต่างชาติอันขัดกับกฏเกณฑ์การสืบราชบัลลังก์ตามโบราณราชประเพณี  แต่ด้วยพระบิดา เจ้าชายฮัสซัน สุไลมาน อัลซาอิด อัล โมราวิท เป็นถึงพระอนุชาของสมเด็จพระราชาธิบดีและมีบทบาทสำคัญในการช่วยบริหารปกครองประเทศ เจ้าชายชาครีจึงทั้งทรงสูงศักดิ์ และทรงคุณค่าในฐานะเชื้อพระวงศ์ -เจ้าชายของแผ่นดินอัลโมราเนีย

...เชาปีติแน่นอนหากว่าท่านจะทรงสลัดความไม่สมหวัง กลับมาเป็นพระองค์เอง เป็น 'เจ้าชาย' แห่งพระราชวงศ์ อัล โมราวิท ที่แม้จะไม่ทรงสิทธิ์ในราชบัลลังก์ เนื่องด้วยหม่อมแม่ของท่านมิได้เป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ หรือเป็นชนพื้นเมือง หากพระจริยวัตร ตลอดจนพระนิสัยส่วนพระองค์ซึ่งร่ำลือกันไปทั่วในหมู่พสกนิกรว่าทรงเป็นแบบอย่างของ 'เจ้าชาย' และ 'เจ้านาย' ยุคใหม่อย่างแท้จริง ที่ทรงตั้งพระทัยมั่นที่จะเสียสละความสุข สะดวกสบาย ลำบากพระวรกายเพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ และความเจริญ ความสุขสบายของประชาชน .....

ทรงเป็นที่รักของพระราชาธิบดีและพระราชินีแห่งอัลโมราเนีย (สมเด็จลุง, สมเด็จป้า) ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เสด็จมาทรงศึกษาวิชาการทหารในต่างประเทศ เริ่มจากอเมริกา สู่โรงเรียนนายร้อยแซนเฮิร์สที่ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นโรงเรียนทหารที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก นอกจากนี้เจ้าชายชาครียังใส่พระทัยศึกษาเพิ่มเติมจนสำเร็จการศึกษาด้านการเมืองการปกครองมาอีกแขนง ทั้งยังรอบรู้ด้านกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย (เลอค่าสุดๆ ) 

ไม่อาจมีใครคาดเดาได้ว่า..  พระบิดา-เจ้าชายฮัสซันสุไลมาน ทรงดำริเช่นไร  จึงทรงส่งพระโอรสไปประทับในต่างแดน  ห่างราชสำนัก ไกลพระเนตรพระกัณฑ์ และให้เจ้าชายได้ใกล้ชิดกับหม่อมแม่อลิซาเบธที่เป็นหญิงต่างชาติและเลิกร้างแยกทางกันไป เจ้าชายชาครีจึงทรงเจริญพระชันษาอยู่ในโรงเรียนกินนอนและศึกษาเล่าเรียนอยู่ห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเวลายาวนานถึง  ๑๕ ปี 

...แน่นอน พระราชวงศ์อัล โมราวิท จะมี 'เจ้าชาย' พระองค์หนึ่งที่ไม่เหมือน 'เจ้าชาย' พระองค์ไหนๆ ทั้งสิ้น  'เจ้าชาย' พระองค์นี้จะเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายอย่างแท้จริง มิใช่ 'เทวดาเดินดิน' เฉกเช่นเจ้าชายทั้งหลายที่รู้ๆ กัน...

๐๐๐๐๐๐๐

'...คุณก็รู้นะ ผู้ชายในประเทศเรา กับผู้ชายที่นี่ หรือในซีกโลกอื่นๆ ถูกอบรมเลี้ยงดูไม่เหมือนกัน ผู้ชายของเราคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในบ้าน คือผู้ที่จะกำหนดชะตาชีวิตความเป็นตายร้ายดีของผู้หญิงในครอบครัว เป็นนาย .. เป็นผู้ออกคำสั่ง แล้วจะไม่มีเมียหรือลูกสาวคนไหนกล้าขัดขืนต่อล้อต่อเถียง  เจ้านายของเราพระองค์นี้ จะเสด็จกลับไปบ้านเมืองของท่านแล้วมีชีวิตอย่างไม่มีความสุข จะถูกใครต่อใครดูถูกดูแคลนให้เจ็บช้ำพระทัย เพราะทรงมีความรู้สึกสำนึกกับผู้หญิง ไม่เหมือนใครทั้งหลาย'..

เจ้าชายชาครีในพระชันษา ๒๕ ปี ทรงรอคอยวันนั้น  วันรับกระบี่ ที่จะได้ฉลองรับปริญญา และในฐานะ 'นายทหาร' พิธีสวนสนามอันยิ่งใหญ่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อสาบานตัว- สาบานธง  มีความสำคัญเป็นเกียรติยศ เป็นศักดิ์ศรีของนายทหารทุกคน โดยเฉพาะนายทหารที่จะได้รับพระราชทานยศและสังกัด กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์อัลโมรา การแสดงยุทธวิธีการรบบนหลังม้าของนักรบทะเลทราย ตามอย่างองค์ปฐมกษัตริย์อัลโมรา เป็นเอกลักษณ์ความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติประวัติของราชวงศ์อัลโมราวิทรวมถึงประชาชนอัลโมราเนียด้วย

ความอ่อนน้อมถ่อมตนของเจ้าชายชาครีเป็นที่ประทับใจให้ประชาชนพากันกล่าวขวัญถึงพระองค์ มากเสียยิ่งกว่าสมเด็จอาที่เป็นเจ้าชายมกุฎราชกุมาร   ผ่านมานานสิบกว่าปีที่ทรงเสด็จไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ประชาชนย่อมอยากยลโฉม 'เจ้าชาย' เต็มแก่ 

จึงควรที่จะได้เสด็จกลับสู่มาตุภูมิอย่างสง่าผ่าเผย ได้รับการต้อนรับอันมีเกียรติยิ่ง และตามโบราณราชประเพณี จะต้องมีการเฉลิมฉลอง จัดงานราตรีสโมสรทั้งอย่างเป็นทางการ คือมีคณะรัฐบาลหลวง ทูตานุทูตต่างประเทศมาร่วมงาน การสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของสามเหล่าทัพ งานเลี้ยงพระราชทานอันยิ่งใหญ่สวยงามที่สมเด็จพระราชาธิบดีจะทรงเสด็จเป็นประธาน 

  

(กันจาร์ - Khanjar)

แต่เพราะความยุ่งยากทางการเมืองและปัญหาข้ามชาติของพวกที่จับกลุ่มก่อตั้งขบวนการก่อการร้ายโดยใช้ศาสนาเป็นอาวุธ เอาความถูกต้องดีงาม การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติไปเปลี่ยนแปรให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของพวกตน  ทำให้วันแห่งเกียรติยศของเจ้าชายต้องหายไป ต้องกลายเป็นมนุษย์ล่องหนแล้วเสด็จกลับสู่อัลโมราเนียอย่างเร้นลับ ด้วยภาระหน้าที่ต่อชาติบ้านเมืองที่ได้รับมอบหมาย 'เจ้าชาย' จึงต้องไว้หนวดไว้เคราเกินอายุและกลายไปเป็น "ซาลิม อัล ฮาร์ซูซี" เบดูอีนเลี้ยงอูฐเผ่าฮาร์ซูซี ที่ถูกว่าจ้างให้เป็น 'ล่าม' และ  'ไกด์ทะเลทราย' (Desert Guide) ในโครงการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวของรัฐบาลหลวง

แล้วนางเอกเล่า ... เธอเป็นใคร

มาดมัวแซลล์ มิลาน เดอ ลูเซ  เธอเป็นลูกผสมของลูกผสม  คือ  คุณย่าลอเรนซา เป็นอิตาเลียน-อเมริกัน คุณปู่อองตวนเป็นชาวฝรั่งเศส  คุณพ่อบรูโน ศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์และการเมือง จึงเป็นลูกผสม อิตาเลียน อเมริกัน ฝรั่งเศส  พบรักกับคุณขวัญใจ สาวไทยที่เป็นสถาปนิกฝีมือเยี่ยมยุทธ  ลูกๆ ทั้งสี่คนจึงเป็นลูกผสม อิตาเลียน อเมริกัน ฝรั่งเศส และไทย  (เยอะนะ) มิลาน เป็นลูกสาวคนเล็ก เธอมีพี่ชายสามคนคือ โรมา- นักการทูต   ปารี-เปิดกิจการท่องเที่ยว ซีบิล- ครูสอนภาษาและวิชาประวัติศาสตร์ 

นอกจากจะผสมผสานมาจากหลายเชื้อชาติ ครอบครัวของเธอยังมีความเป็น 'สหประชาชาติ' เต็มพิกัด พี่เลี้ยง- ซู่ปิง   หญิงชาวจีนที่คุณย่าลอเรนซาเมตตาเก็บมาเลี้ยงดูอยู่กับครอบครัวมาตั้งแต่เล็กก่อนที่มิลานจะลืมตาดูโลกเสียอีก  เช่นเดียวกับ  โมนา ที่เป็นเสมือนพี่เลี้ยงอีกคน เธอมาจากประเทศทางตอนเหนือของทวีปอัฟริกา  แล้วยังมี เจี่ยหยวน ชาวจีนอพยพที่อาศัยอยู่ในย่านคนจีนและไปมาหาสู่ครอบครัวนี้เป็นกิจวัตร เพราะชายสูงวัยผูกสมัครรักสุดใจอยู่กับซู่ปิงมาช้านาน  ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างขนมธรรมเนียมประเพณี แต่สมาชิกครอบครัวนี้ก็อยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่ปรองดอง

ในวันไหว้เจ้าของซู่ปิง เจี่ยหยวนผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยรักให้ซู่ปิง จึงจัดตี่จู้หลังใหม่มาให้อย่างสุดฝีมือ ตี่จู้สลักนูนลึกลวดลายมังกร  วัดขนาดตามตำราฮวงจุ้ยให้ตกที่ตัว 'กัว' เพราะปีนี้ซู่ปิงอยากขอพรจาก 'เจ้า' ให้บันดาลโชคลาภ ความสำเร็จ และยศถาบรรดาศักดิ์แก่คุณหนูมิลานในปีที่เธอเพิ่งจะสำเร็จการศึกษา 'ปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิต' (เรื่องความลับบนแหลมไซไน นางเอกก็เป็นนักศึกษาแพทย์ค่ะ ชื่อ..ก็มีส่วนคล้ายคลึงกันอีก  มิลาน/ เอมิลา)

โดยปกติเจ้าองค์จำลองของตี่จู้จะเป็นผู้ชายแก่หนวดขาวๆ แต่ตี่จู้หลังนี้ไม่รู้เจี่ยหยวนนึกอะไรขึ้นมา จึงวาด 'เจ้า' ออกมาเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว สะดุดตาคุณหนูมิลานที่ออกปากทักว่าเจี่ยหยวนทำยังไงถึงได้เจ้าที่ดูผึ่งผายและยังเป็นเจ้าที่ยังดูหนุ่มอยู่เลย  

แล้วมิลานก็เก็บไปฝันถึง ..ตี่จู้หลังมหึมา กับ 'เจ้า' ที่แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นตุ๊กตาทหารแบบในบัลเลต์ เรื่อง The Nutcracker พักตร์เข้ม เนตรคม ทั้งดำขลับ ทั้งหวานจัด เสด็จออกจากตี่จู้ลายมังกรพันเสาแทนที่จะเป็นปราสาทราชวังในอังกฤษหรือไอร์แลนด์  เป็นความฝันอันบรรเจิดเพลิดแพร้วด้วยสีสันคล้ายสายรุ้งที่พาดผ่านท้องฟ้าสีครามสวย (ยืมสำนวนของคุณโสภาคเค้ามาค่ะ)

ถึงจะอยู่ด้วยกันมานานหลายปีแต่พี่เลี้ยงโมนา ก็อยู่มาอย่างมี 'ความลับ' มีเรื่องคอขาดบาดตายที่ปิดบังซ่อนเร้น และในที่สุดอันตรายก็มาถึงตัว  ความลับที่มิลานได้ล่วงรู้ และแปรเปลี่ยนเส้นทางในชีวิตของเธอ จากบัณฑิตแพทย์ที่ยังจะต้องเป็นแพทย์อินเทิร์นอีกหลายปีกว่าจะสำเร็จเป็นแพทย์อย่างแท้จริง  พี่เลี้ยงโมนาที่ถูกตามล่าเอาชีวิต และสภาพ 'ผู้หญิง' ของโมนาที่ถูกทำ FGM และเป็นบ่อเกิดของอาการเจ็บป่วยที่คุณหนูมิลานได้พบเห็นในฐานะของแพทย์ เป็นเหตุนำพาให้มิลานได้พบกับโครงการบ้านฉุกเฉิน หนึ่งในเครือข่ายขององค์กรลับที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ต่อต้าน FGM  และคอยช่วยเหลือสตรีที่ถูกทำทารุณกรรมทางร่างกายหรือจิตใจอันเป็นผลพวงมาจากประเพณีนี้

FGM : FEMALE GENITAL MUTILATION  การขลิบอวัยวะเพศของสตรีหรือขลิบปุ่ม CLITORIS รวมทั้งตัดแคมในและปิดช่องคลอดสตรี เปิดไว้เพียงเท่าปลายดินสอ  กระทำกันในประเทศที่นับถือศาสนามุสลิมบางประเทศ เช่น อียิปต์ ซูดาน และในเขต ซับ ซาฮาร่า  ผลการรณรงค์จากต่างประเทศ ทำให้ประเทศอียิปต์ออกกฎหมายห้ามประเพณีนี้ในปี ค.ศ. 1995 เป็นประเทศแรก สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ 2 ที่ร่างกฏหมายนี้ใช้บังคับเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1997..

"ชาลี ลูกก็คงจะทราบเป็นเลาๆ เกี่ยวกับความคิดความเชื่อดึกดำบรรพ์ที่ผู้ชายบนแผ่นดินโน้น ยังเชื่อว่าผู้หญิงเป็นสัตว์โลกที่เหมือนสัตว์เลี้ยงในเรือนชนิดหนึ่ง แต่มีอะไรเหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย ตรงที่เป็นหน้าเป็นตา เป็นเกียรติเป็นความภาคภูมิใจ เป็นผู้รองรับความต้องการความปรารถนาแล้วก็ทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตทายาทชีวิตใหม่ให้ครอบครัวให้สืบสกุลวงศ์"

๐๐๐๐๐๐๐

"แม่ไม่แน่ใจว่าชาลีจะทรงทราบความเป็นไปของผู้หญิงบนแผ่นดินโน้นมากน้อยเพียงไร"

"แม่ไม่แน่ใจว่าชาลีจะทรงทราบไหมเพคะว่า ผู้ชายบนแผ่นดินโน้นเชื่อว่าผู้หญิงควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกความปรารถนา รัก ใคร่ และกามารมณ์ไม่ได้"

๐๐๐๐๐๐๐

"ผู้หญิงทุกคน เมื่อเกิดมาจนถึงวัยที่สมควร  ชาลีทรงทราบหรือไม่เพคะ ผู้หญิงทุกคน จะต้องเข้าพิธีกำจัดความรู้สึก ความปรารถนาทางกามารมณ์ อารมณ์ทางเพศ ก่อนจะรู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เป็นอย่างไร"

๐๐๐๐๐๐๐

ผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ผู้หญิงต้องได้รับจากพิธีกรรมกำจัดความรู้สึกในอารมณ์ทางเพศ หรือ FGM นี้  ทำให้คุณหมอมิลานอาสาเข้าร่วมงานกับโครงการบ้านฉุกเฉินเพื่อหวังจะใช้ความรู้ความสามารถทางการแพทย์ให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้หญิงมากมายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน เธอจึงออกเดินทางไปสู่อัลโมราเนีย  ประเทศที่มีปัญหาทางการเมืองคุกรุ่น  อุดมการณ์อันแรงกล้าอันเกิดมาจากน้ำเนื้อจิตใจที่มี 'ความรักในเพื่อนมนุษย์' ด้วยความปรารถนาดีที่บริสุทธิ์จริงใจ และจริงจัง ที่อยู่เหนือความรักตัวกลัวตาย ถึงจะรู้ว่าอันตราย เพราะสมาชิกแกนนำของโครงการบ้านฉุกเฉินกำลังถูกตามล่าล้างบาง   แต่การได้รับรู้ว่ามีผู้หญิงมากมายต้องเผชิญความอยุติธรรมอันโหดร้ายนี้ ทำให้มิลานไม่อาจปล่อยให้มันเป็นเรื่องที่ .. แค่ผ่านการรับรู้ไปเฉยๆ 

'ป่านนี้ ใครต่อใครก็กำลังเป็นอินเทิร์น เป็นแพทย์ฝึกหัด แพทย์ประจำบ้าน แล้วก็จะเป็นแพทย์เฉพาะทางจบออกมาทำงานเป็นเรื่องเป็นราว คุณล่ะ  มิลาน วิ่งแล่นมาทำอะไรบนแผ่นดินที่เกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็น  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีดีมีร้าย เป็นหรือตายอยู่ข้างหน้า'

คำเปรียบเปรยของเขาเวียนวนอยู่เช่นนี้ ... แล้วมิลานก็จะตอบเขาด้วยประโยคคล้ายๆ กันนี้ว่า

'ถ้าทุกคนในโลกนี้คิดเพียงว่า ความเดือดร้อนความทุกข์ยากทรมานของคนอื่น ไม่ใชเรื่องของตนล่ะก็ .. โลกใบนี้คงย่อยยับไปนานแล้วล่ะค่ะ  คงจะไม่มีความเอื้ออารีย์มีน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เอื้อกันไปมาระหว่างประเทศ ผ่านองค์กร สมาคม ไม่มีการรณรงค์ระหว่างประเทศที่จะช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ผู้ที่ด้อยโอกาส ถูกปิดหู ปิดตา ปิดปาก อย่างที่เราได้ยินทุกวันนี้'

แล้วงานของโครงการบ้านฉุกเฉิน มาบรรจบพบเจอ และร่วมเส้นทางเดียวกันได้อย่างไรกับงานของเจ้าชายชาครี

'ถ้านครโบราณ เอล อิด ซาลา ของพวกเรา กลายเป็นศูนย์กลางของพวก 'หัวเก่า' เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตระเบิดร้ายแรง เป็นที่ฝึกทหารนอกเครื่องแบบของกองทัพปิศาจที่เป็นมัจจุราชเที่ยววางระเบิด ฆ่าชาวโลก เป็นที่ซ่องสุมนักปฏิวัติทางศาสนาวัฒนธรรม นานาชาติและเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกจะรู้สึกอย่างไรกับประเทศของเรา เราเองนั่นแหละจะทนไม่ได้ถ้าชาวโลกจะเข้าใจความเชื่อและศาสนาของเราอย่างผิดๆ '

งานที่ทรงแบกไว้เพียบสองพระอังสา เพื่อความสงบสุขของประชาชนชาวอัลโมราเนีย จะต้องป้องกันนครโบราณ เอล อิ ซาลา  ไม่ให้กลายไปเป็นคลังอาวุธ เป็นโรงงานผลิตผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ และจะต้องต่อต้านการปฏิวัติวัฒนธรรมที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการปลุกปั่นให้ประชาชนเห็นว่า การเปิดประเทศทางการค้าและการท่องเที่ยว เป็นหายนะทางสังคม ศาสนา และขนบประเพณี  หากการปฏิวัติวัฒนธรรมของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า "ผู้อนุรักษ์" กระทำได้สำเร็จ นั่นหมายถึงการล่มสลายของราชวงศ์อัลโมราวิท และประเทศอัลโมราเนียจะถูกชักนำหรือบีบบังคับให้หวนกลับไปสู่ความเชื่อ ค่านิยมและสังคมดั้งเดิมในอดีตอันจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ในปัจจุบัน

'ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครล่วงรู้แผนงานลับสุดยอดเกี่ยวกับโครงการบ้านฉุกเฉิน ตลอดจนกฏหมายฉบับใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของวัฒนธรรมความเชื่อที่เคยลิดรอนสิทธิโดยชอบธรรมทั้งร่างกายและจิตใจของสตรีชาวอัลโมราเนียทั้งประเทศ  ให้มีความเสมอภาคเท่าเทียมกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  โดยไม่กระทบกระเทือนบทบัญญัติทางศาสนา และพระคัมภีร์  เป็นศึกอันใหญ่ยิ่งซึ่งอาจจะเรียกว่าใหญ่ยิ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศชาติระหว่างฝ่ายอนุรักษ์อย่างรุนแรงผู้มีกำลังสนับสนุนจากผู้นำฝ่ายศาสนานิกายสิบสองผู้นำ ...ชีอะห์'

นั่นล่ะเขาและเธอจึงมาพบกัน ไม่ว่าจะที่ไหน ในคราบใด ดวงตาภายใต้หน้ากากตุ๊กตาทหารไม้กับชุดแฟนซีนายทหารฝรั่ง  หรือดวงตาภายใต้หน้ากากบูรการ์กับชุดคลุมมืดๆ สีดำ  หรือ ดวงตาจากนายไกด์ทะเลทราย ที่คุณหมอมาเซย์เรียกขานอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า  'ไ-อ้ ถ่อย'  เบดูอีนเผ่าอาร์ซูซี

มากาเร็ต อลิซาเบธ อัล โมราวิท (หม่อมลิบบี้)    หม่อมแม่ของเจ้าชายชาครี  พ่อของหม่อมลิบบี้เป็นนายแพทย์ชาวอังกฤษ ส่วนแม่เป็นลูกสาวนักการเมืองชาวอินเดีย (ดังนั้นเจ้าชายชาครีก็เลือดผสมเหมือนกัน  อังกฤษ-อินเดีย-อัลโมราเนีย)  เธอเรียนวิชานางพยาบาลแล้วไปอยู่ที่เมืองอัลโมฮัท พ่อของเธอเปิดโรงพยาบาลเป็นแห่งแรกที่นั่นเพื่อวางรากฐานทางการแพทย์และได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์และได้ชื่อว่าเป็นบิดาทางการแพทย์ของอัลโมราเนีย  พอเธอกลับมาเรียนที่ลอนดอน เป็นช่วงเวลาที่ เจ้าชายฮัสซันสุไลมาน พระอนุชาของสมเด็จพระราชาธิบดีเสด็จมาเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยแซนเฮิร์สและได้พบกัน  รักและแต่งงานกัน  หม่อมลิบบี้ต้องยอมเปลี่ยนศาสนาเพื่อเข้าวังไปเป็นสะใภ้หลวง มีโอรส ธิดา กับเจ้าชายฮัสซันด้วยกัน ๔ คน  สองคนแรกเป็นเจ้าหญิง ถัดมาคือเจ้าชายชาครี  และเจ้าหญิงพระองค์เล็ก

เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่หม่อมลิบบี้เสด็จมาประทับในประเทศอังกฤษ แยกทางกับสวามีโดยที่ไม่อาจนำเอาโอรสธิดาติดตามมาได้สักคน  เพราะตามกฏเกณฑ์ของราชสำนัก  ลูกๆ เป็นสมบัติของราชวงศ์ที่ต้องอยู่กับพระบิดา  คนอื่นภายนนอกรับรู้กันเพียงว่าเธอมีปัญหาในการปรับใจเกี่ยวกับเรื่องการมีชายามากกว่าหนึ่งคน  แต่การจะแต่งงานกับเจ้านายเชื้อพระวงศ์ประเทศนั้น  มีหรือที่เรื่องเหล่านี้หม่อมลิบบี้จะไม่รู้และเตรียมใจไว้ก่อนหน้า การผิดคำมั่นสัญญาของสวามีที่จำเป็นต้องมีชายาเพิ่มอีก เป็นเรื่องขมขื่นที่หม่อมลิบบี้ก็พอจะทนกล้ำกลืนมันไว้ได้ แต่การที่เธอต้องระเห็จออกจากอัลโมราเนีียเพียงลำพังโดยไม่อาจมีสิทธิในตัวลูกหญิงชายสักคนนั้น มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้นที่ถูกเคลือบแฝงปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิด 

คุณหมอมาเซย์  หมอหนุ่มชาวอังกฤษที่เป็นคุณหมอรุ่นพี่ของมิลานและรู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก คุณหมอหมายมาดปรารถนาจะได้มิลานมาเป็นคู่ชีวิต ความรักที่มีให้อย่างสุดหัวใจตั้งแต่เมื่อครั้งแรกรุ่นจนเธอเติบโตเป็นสาวเต็มตัว..ไม่เคยมีอะไรมาเปลี่ยนแปลง แม้จะได้รับคำเตือนเกี่ยวกับอุปนิสัยใจคอของมิลานอยู่บ่อยครั้งว่าเธอไม่เหมาะกับเขา และไม่มีทางหรอกที่ความรักของคุณหมอมาเซย์จะเป็นไปได้ แต่ด้วยรักทั้งหมดหัวใจที่มี คุณหมอมาเซย์จึงไม่ยอมเชื่อในคำตักเตือน ถึงจะย่อท้ออยู่หลายครั้งหลายหน ก็ยังหลงเหลือความเชื่ออยู่ว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องเป็นไปได้  หรืออย่างน้อยถ้าหากมิลานจะไม่เลือกเขาจริงๆ คุณหมอก็อยากจะเห็น 'ผู้ชายคนนั้น' คนที่จะสามารครองหัวใจของผู้หญิงอย่างมิลาน ผู้ที่ได้ชื่อว่าจะต้องเป็นคน "เรื่องมาก" ที่เลือก..อย่างมาก ในเรื่องของความรัก

มิลานจะรักและจะเลือกคนแบบไหนกัน จะเพื่อความหวังในหัวใจหรือเพื่อคำตอบนี้ คุณหมอมาเซย์ก็ต้องติดตามไปบนเส้นทางที่มิลานเลือกเดินให้ถึงที่สุด ตามไปให้สุดเส้นทาง คุณหมอมาเซย์จึงต้องไปให้ไกลสุดกู่..สู่ประเทศอัลโมราเนีย .. เหตุผลเพราะ ...ความรักในเพื่อนมนุษย์น่ะเหรอ คุณหมอมีเพื่อมนุษย์เพียงคนเดียวชื่อ มิลาน 

แต่ มิลาน เธอเรื่องมากจริงหรือ .. ที่จริงเธอก็แค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสิทธิมีอิสระเสรีจะแสวงหา 'ความรัก' และ 'คนรัก' ที่ปรารถนาจะมีความรัก ความสุข และใช้ชีวิตในระดับเดียวกัน..ร่วมกัน

'ความรักระหว่างคู่ผัวตัวเมียนี่ ไม่เสมอไปหรอกนะ มิ ..เปลี่ยนแปลงหายไปสลายสิ้นได้ง่ายๆ ..แต่ความรู้สึกที่เหนือกว่านั่นคือความปรารถนาดี  ความเสียสละ เอื้ออาทร เกื้อกูลกันให้อิสระและยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน  การปรับทุกสิ่งทุกอย่างให้พอเหมาะพอควร ไม่เอาเปรียบหรือเสียเปรียบ นี่ซีลูก มีค่าเหนือกว่า'

๐๐๐๐๐๐๐

..เพียงแต่ว่าวันนี้ ..หล่อนได้ผ่านพ้นประสบการณ์วัยเด็ก วัยรุ่น ผ่านความรักประเภทวูบวาบ ผิวเผินสดชื่นสุขสันต์ไปแล้ว มิลานกำลังแสวงหาความรักใหม่ที่ซาบซึ้ง อ่อนหวานอย่างลึกล้ำ จริงใจ ... มีความภาคภูมิใจ มีศรัทธา มีความนับถือ  มีความคิดนึกและจิตใจอยู่ในระดับใกล้เคียงกับหล่อนมากที่สุดนั่นเอง ...

..มิลานปรารถนาบางสิ่งบางอย่างที่เหนือกว่านั้น เหนือกว่าความรัก ความใคร่  มันต้องยิ่งใหญ่ โอฬาร ความนับถือศรัทธา ความรักที่ลึกซึ้งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ว่าอุดมคติ รสนิยม หรือวิถีชีวิต ...

๐๐๐๐๐๐๐

แล้วผู้ชายที่มีภาระหน้าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดลืมตาดูโลกไปจนตราบสิ้นลมหายใจสุดท้ายอย่างเจ้าชายชาครี ที่จะไม่ได้มีชีวิตสุขสบายหรือมีอิสระดังใจปรารถนาสักเท่าไร เพราะเป็นผู้ชายที่จะต้องรับผิดชอบ การงาน ชาติ บ้านเมือง ประชาชน ราชบัลลังก์ พระราชวงศ์  เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะทำงาน อยากมีความสุข ความสงบ อยากรักใครสักคนที่รักเรา เท่าๆ กับที่เรารักเขา ..เท่านั้นเอง 

"..ความรักและชีวิตที่ว่ามานี้ ระดับเดียวกันกับของคุณมิลานหรือเปล่า"   

 

THE MOST AND BEAUTIFUL THINGS IN THE WORLD

CNNNOT BE SEEN OR EVEN TOUCHED.

THEY MUST BE FELT WITH THE HEART ..

WITH LOTS OF LOVE IN MY HEART FOR YOU. 

 

ตี่จู่ไหว้เจ้า, หน้ากากบูรการ์, กำไลข้อเท้า, การลงนามในพิธีมุลกา , ลูกปืน, ระเบิด อาวุธเคมี-ชีวภาพ,  Desert Peace (กุหลาบทะเลทราย) , ชุดแสงจันทร์พระราชทาน, ตำแหน่งเจ้าชาย EL-KABIR และเจ้าหญิงแห่งฮาราดจ์ ...และอีกหลายๆ เหตุผลที่รวมกันเป็นความคลาสสิคของนวนิยายเรื่อง เจ้าชาย

หน้าการบูรการ์นี่ต้องหาเสิร์ชกูเกิลกันเลยนะคะ ถึงจะจินตนาการได้ชัดเจนขึ้นว่าผ้าคลุมมีตาข่ายโปร่งตรงช่องดวงตาให้แค่มองเป็นเป็นอย่างไร  

 

ส่วนรูปสามคนภายใต้หน้ากากบูรการ์สีดำนี้ ทำให้นึกถึงตอนสำคัญตอนหนึ่งที่เจ้าชายชาครีแฝงตัวเข้าไปร่วมการประชุมลับของคณะบ้านฉุกเฉินพร้อมกับองค์รักษ์ทั้งสอง จัฟเฟอร์และอับเดล ในคราบของนางพระกำนัล (ร่างสูงใหญ่) 

อ่าน เจ้าชาย กับ ความลับบนแหลมไซไน มักจะมีบางฉากที่ทำให้เห็น (จินตนาการ) หน้าตานางเอกเป็นแบบนี้  คือดวงตาสวยๆ ที่โผล่พ้นมาจากผ้าคลุมหน้าสีดำ ความจริงอยากได้มาสักภาพกับดวงตาสักคู่ที่สวยๆ แต่เหมือนจะหาที่ "ใช่" ไม่ได้เลย ตอนเราอ่านนวนิยาย เรารู้สึกว่าดวงตานางเอกจะสวยกว่านี้ และอ่อนโยนกว่าดวงตาเหล่านี้ เป็นแบบดวงตาสวยซึ้งน่ะค่ะ ... แต่แบบนี้ก็สวยดีดูมีเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหา ชอบมากเลยค่ะ    

ส่วนพ่อคนนี้ Jake Gyllenhaal ไม่ได้ตั้งใจจะนึกถึงหรอกนะคะ แต่เวลาอ่านนวนิยายทะเลทรายพระเอกเป็นอาหรับเมื่อไร  หน้าตาเค้าจะเป็นคลื่นแทรกคอยรบกวนตลอด  สุดท้ายหน้าตาเจ้าชายฮัซซาร์ หรือเจ้าชายชาครี ก็กลายเป็นหน้าตาหนุ่มเจคตอนยังเป็นหนุ่มหล่อๆ ในชุดอาหรับเท่ห์ๆ ไปซะเลย Smiley 

 

 

เป็นนวนิยายที่เขียนอย่างเอาจริงเอาจังมากทีเดียวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยคนยุคใหม่ กับขบวนการต่อต้านอย่างรุนแรงจากพวกอนุรักษ์ 'ความเก่า' เชื่อมโยงถึงขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ การผลิต การทดลองอาวุธเคมีชีวภาพ  โดยได้ดึงเอาชื่อและบทบาทขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ที่มีอยู่จริงมาเขียนถึง นำปัญหาของอียิปต์ อัฟกานิสถาน อิรัก อิหร่านมาโยงใยเป็นสถานการณ์ของ 'ประเทศเพื่อนบ้าน' ให้รู้สึกเหมือนจริง ( แต่ประเทศอัลโมราเนียไม่มีอยู่จริง )  ความขัดแย้งทางสังคม ศาสนา วัฒนธรรมประเพณี ถูกนำมาผูกเป็นเรื่องราวใหญ่ระดับชาติ ให้สมสง่าราศี เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา สมคุณค่าแห่ง  'เจ้าชาย' 

'การได้เกิดมาเป็น 'เจ้าชาย' นั้น คือการอุทิศชีวิตให้กับชาติบ้านเมือง คือการเห็นประโยชน์ของบ้านเมือง ของแผ่นดิน ของประชาชนก่อนประโยชน์ของตนเอง คือ ไม่ทำสิ่งใดให้เสื่อเสี่ยถึงสถาบัน ชาติ กำเนิด  .

การเป็น 'เจ้าชาย' คือจะต้องสำนึกในหน้าที่ต่อชาติบ้านเมือง แผ่นดินและประชาชนผู้ให้ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น ความนับถือ สำนึกเช่นนี้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต'

สนุกดีค่ะเรื่องนี้ ชอบมาก แม้จะยังเสียดายอยู่นิดนึงตรงที่ อยากให้เจ้าชายชาครีมีบทบาทของการเป็น ผู้บัญชาการ DESERT CORPS มากขึ้นกว่านี้อีกสักนิด เช่นเดียวกับที่อยากให้คุณมิลาน มีบทบาทในการวิชาแพทย์ของเธอมากขึ้นอีกหน่อย  ณ จุดนี้ ความเท่ห์จะได้ทะลุเกินร้อยไปเลย  เรื่องนี้แม้จะอุดมการณ์เยอะ แต่เรื่องความรักก็เยอะด้วยเช่นกัน ทูอินวันให้คนที่ชอบหวานไม่ขาดหวาน  คนชอบเนื้อหาไม่ขาดสาระ  แต่.. มันก็อาจจะหนักหนาสำหรับคนที่ไม่ชอบสาระอันอัดแน่น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ของใครของท่านกันนะเอย 

ขอบคุณ โสภาค สุวรรณ อีกครั้ง สำหรับผลงานดีๆ ในความทรงจำ ..

อันที่จริง เรื่องนี้ก็ .. จัดเต็ม รอบที่สามแล้วล่ะค่ะ

 

 




 

Create Date : 06 กันยายน 2556    
Last Update : 6 กันยายน 2556 23:30:58 น.
Counter : 17355 Pageviews.  

รักเร่ .. อ่านอีกครั้ง ก็ยังปวดใจ

 

พิมพ์ครั้งที่ ๙ พ.ศ.๒๕๕๕  สำนักพิม์พบูรพาสาส์น

"รักเร่"   ชื่อเรื่องสั้นๆ พลอตง่ายๆ แต่ทำอินไม่ธรรมดา เพราะเป็นหนึ่งในนวนิยายแนวชอกช้ำ ที่ทำให้เสียน้ำตามิใช่น้อย  ทั้งที่เคยอ่านไปแล้ว  จำพลอตเรื่องได้  อ่านอีกครั้ง ความอินน่าจะลดน้อยถอยลงไป ...ไม่มีเลย ยังคงน้ำตาซึม เอ่อ แล้วไหลพรากเหมือนกับตอนอ่านครั้งแรกเมื่อนานมาแล้วไม่มีผิด

ใช่ว่าจะอยากทำตัวเป็นคนแก่ คิดถึงแต่ผลงานนวนิยายเก่าๆ ของนักเขียนรุ่นเก่าๆ หรอกนะคะ แต่พอเข้าร้านหนังสือ หยิบๆ จับๆ เวียนซ้าย-วนขวา-เวียนหน้า-วนหลัง แล้วก็ยังเลือกไม่ได้สักเรื่องที่อยากจะเสี่ยงว่าน่าจะชอบได้สักที  สุดท้ายเลยต้องกลับมาตายรังด้วยการหยิบผลงานของนักเขียนรุ่นเก่า กับผลงานเก่า ๆ (แต่พิมพ์ใหม่) พวกนี้ล่ะค่ะ 

อ่านรักเร่แล้วก็เพิ่งสังเกตนี่แหละว่า นักเขียนท่านใด ที่เขียนนวนิยายให้เราเสียน้ำตาเป็นวรรคเป็นเวรได้ มักจะกลายมาเป็นนักเขียนในดวงใจนะคะ  นวนิยายเรื่องแรกในชีวิตที่อ่านแล้วทำให้ร้องไห้จนตาแดงก่ำ จำได้ว่าเป็นเรื่อง  ถนนสายหัวใจ ของทมยันตี (และยังร้องไห้กันต่อมาอีกหลายเรื่อง) ของปิยะพร ศักดิ์เกษม ก็ต้อง รากนครา กับ ใต้ร่มไม้เลื้อย  ส่วนโสภาค สุวรรณ ก็เรื่องนี้นี่แหละ ... รักเร่

นวนิยายที่เปิดฉากชีวิตความเป็นอยู่ของนักศึกษาต่างชาติในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างปี ค.ศ. 1964-1968  ปัจจุบันปี 2013  ก็ผ่านมาแล้วราวๆ 45 ปี แต่นวนิยายเรื่องนี้สำหรับเรายังคงเป็น 'รักเราไม่เก่าเลย' นอกจากสรรพนาม 'ดิฉัน' สำนวนนอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรที่ให้ความรู้สึกว่าล้าสมัย

วายูน เป็นนักศึกษาวิชาล่ามและแปล ของมหาวิทยาลัยเวียนนา ( Universitat Wien.)  ในอดีตเธอเป็นเด็กเหว่ว้าที่พ่อแม่แยกทางกันแล้วไม่หันกลับมาเหลียวแล วายูนจึงถูกอุปการะเลี้ยงดูมาโดยคุณตา อาพร้อมและอาภักดิ์   มีเพื่อนรูมเมทชื่อ ไฮดี้  ที่เพิ่งฟื้นตัวจากการทำแท้ง ไฮดี้ท้องกับแฟนหนุ่มชื่อ คาร์ล ทั้งสองคนรักกัน แต่เพราะต่างคนต่างเรียนอยู่ด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวด้วยการเก็บเด็กเอาไว้ การทำแท้งจึงเป็นทางออกที่จำต้องเลือกทำ

วายูนมีเพื่อนชายคนสนิทชื่อ นิโคไล เขาเป็นหนุ่มรัสเซียนที่ทุ่มเทใจให้ความรักเอาใจใส่ต่อวายูนอย่างเปิดเผยนับตั้งแต่แรกรู้จักกันมาจนสามปีผ่าน แต่วายูนยังคงรักษามิตรภาพกับนิโคไลเอาไว้โดยการวางเขาอยู่ในตำแหน่งของคำว่า "เพื่อน" แค่นั้น  ซึ่งนิโคไลก็เข้าใจดี เรื่องของความรัก..บังคับใจกันไม่ได้ แต่เขาก็ยินดีจะรักเธอหมดใจ และเฝ้ารอที่จะได้รับความรักตอบ..อย่าง(โค-ต-ร)อดทน

แต่สุดปลายทางที่ความรักสำหรับนิโคไลดูจะยิ่งห่างไกลออกไป และความหวังก็ยิ่งเลื่อนลอยเต็มที เมื่อวายูนได้พบกับข้าราชการหนุ่มคนใหม่ของสถานทูตไทย ที่ทั้งสูงสง่า หน้าตาดี มีมาดเนี๊ยบ ฐานะการเงินการงานล้วนโก้หรู ชนิดที่นักศึกษาหนุ่มจนๆ จากหลังม่านเหล็กในประเทศรัสเซียอย่างเขาไม่มีอะไรจะไปสู้ได้นอกจากความรักความจริงใจ..ที่ไม่เกิดผล  แต่ก็ไม่ใช่เพราะข้อเด่นข้อด้อยอะไรเหล่านั้นหรอก ที่ทำให้วายูนไม่เคยรักนิโคไลเกินเพื่อนแต่เธอรักรามิลเกินกว่าจะถอนใจ  หลายปีที่เธอรักษาเนื้อรักษาตัวตามแบบฉบับผู้หญิงไทยแท้ ไม่เคยเปิดโอกาสให้ผู้ชายหน้าไหนเข้ามาฉกฉวยรุกรานได้  แต่กับเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ที่เธอได้พบกับเขา ดอกเตอร์รามิล รณลักษมิ์ วายูนกลับรักเขาหมดใจ เป็นรักแรกที่เธอยินยอม ทุ่มเทให้ทั้งหมด..รวมถึงเนื้อตัวของเธอด้วย แต่ผลตอบแทนที่เธอได้รับ แค่เพียงความบริสุทธิ์ที่ถูกย่ำยีไปพร้อมกับความรักที่แตกสลาย

'ดิฉันทำแท้งแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง ... เกมสนุกๆ ของเราจบแล้ว เราไม่มีพันธะผูกพันกันอย่างที่คุณน้าของคุณกลัว ดิฉันไม่เคยคิดจะจับ ผูกมัด หรือหวังอยากจะเป็นนั่นนี่อย่างผู้หญิงที่คุณเคยผ่านมาหรอก ดิฉันไม่ได้สนใจคุณเพราะความเป็นนักการทูตผู้มีชื่อ หรือตำแหน่ง หรือปริญญาเอกหรูๆ นั่น .. ดิฉันเป็นคน ..ถ้าจะรัก ดิฉันรักคน ไม่ใช่ตำแหน่ง เงินทอง หรือเกียรติยศบ้าบอคอแตก เพราะมันเป็นวัตถุ ... แล้วดิฉันก็ไม่ได้รักคุณอีกแล้ว'

เป็นคำพูดจากปากของวายูน แต่ ณ ขณะที่อ่านถ้อยคำเหล่านี้ .. โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "แล้วดิฉันก็ไม่ได้รักคุณอีกแล้ว"  ให้ตายเหอะ จี๊ดแปลบแสบทรวงแทนรามิลซะจริงๆ  

นางเอกของเรา วายูน  เธอเป็นฝ่ายถูกกระทำ  ถูกทอดทิ้งจากผู้ชายที่เธอรัก ทำให้เธอท้อง แล้วยังบอกให้เธอทำแท้ง  หัวใจร้าวรานเจ็บปวดปางตายก็จริง  แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่วายูนที่เจ็บอยู่คนเดียว ส่วนตัวเราคิดว่า ผู้ชายทั้งสองคนก็น่าสงสารเหมือนกัน โดยเฉพาะพ่อดอกรักเร่ รักเรื่อยเปื่อย รักลังเลไม่แน่นอนอย่างรามิล  ซึ่งถ้าให้จัดลำดับความน่าสงสารก็ยากอยู่สักนิด เพราะความน่าสงสารมันดันเป็นคนละเหตุผลและคนละช่วงเวลา  

วายูน  ทั้งที่เธอเทหน้าตักรักหมดใจ มอบให้หมดทั้งตัว เมื่อตั้งท้องขึ้นมา เขากลับร่วมรับผิดชอบแค่เพียงการเสนอเงินค่าทำแท้ง  แต่เพราะเธอทำกับลูกในท้องไม่ลง  วายูนจึงต้องอุ้มท้อง 'ลูกไม่มีพ่อ' ทนอับอาย ทนลำบากตรากตรำสารพัด เพื่อจะให้กำเนิดลูกที่จะกลายเป็นลูกของเธอเพียงคนเดียว  และเพื่อจะร่ำเรียนให้จบในปีสุดท้าย เพราะไม่อยากให้คุณตาคุณอาต้องผิดหวัง เธอจึงไม่ได้บอกทางบ้านเรื่องที่เธอตั้งท้องทั้งที่ไม่มีสามี  วายูนต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองเรื่องการเงิน มีกินบ้าง อดบ้าง ต้องดิ้นรนแทบล้มประดาตาย กว่าจะผ่านวิกฤตของชีวิตช่วงนั้นมาได้ จนเรียนจบ มีงานทำ และหยัดยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง  ... เธอน่าสงสาร

นิโคไล โวดิอาคิน  เขาน่าสงสาร เพราะเขาเป็นพ่อพระที่แสนดี และติดจะดีเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งที่เป็นนึกศึกษาฐานะจนซอมซ่อไม่ต่างกันเลยกับวายูน แต่อะไรก็ตามที่ "เพื่อวายูน" เขาจะเบียดและเจียดเพื่อเธอได้เสมอ ด้วยความรักสุดซึ้งและความพยายามสุดหัวใจ  เขาเคารพในขนบธรรมเนียม 'รักนวลสงวนตัว' ไม่เคยคิดจะฉกฉวยหาโอกาส .. แต่แล้วที่เข้าเฝ้าเพียรทนุถนอมวายูนเอาไว้ให้บริสุทธิ์งดงาม  'คนอื่น' กลับคว้าเธอไปครอบครอง นั่นยังไม่เจ็บปวดเท่ากับที่พอเขาเชยชมสมใจแล้ว ก็โยนเธอทิ้งไปราวกับเป็นเศษดอกไม้ริมทางที่ไร้ค่า แถมยังฝากเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้ให้เธอต้องได้รับความอับอายและทุกข์ทรมานแสนสาหัส

แล้วทำไมผู้ชายคนนี้-นิโคไล จะต้องเป็นคนดีขนาดนั้น เขาต้องเจ็บช้ำขมขื่นแค่ไหนที่วายูนตกไปเป็นของรามิล แต่เขาไม่เคยโกรธเคืองเธอเลย มีแต่ความรักความเข้าใจ และ ความช่วยเหลือ! ทุกสิ่งทุกอย่างที่นิโคไลคอยช่วยคอยอยู่เคียงข้างเป็นที่พึ่งเป็นกำลังใจ  เป็นมิตรภาพนความสัมพันธ์ที่ต้องใช้คำว่า 'หากไม่มีเธอวันนั้น ไม่มีฉันวันนี้' ถ้าวันนั้นไม่มีนิโคไล วายูนอาจไม่มีโอกาสยืนหยัดต่อสู้มาได้อย่างที่เป็น สำหรับวายูน นิโคไลคือผู้ชายที่มีค่ามีความสำคัญในชีวิต แต่เธอไม่ได้รักเขา  (โอ้.. หัวใจเจ้ากรรม ทำความสงสารดิ่งลงตับ) 

แล้วพ่อดอกรักเร่ ที่เสเพลเร่รักคนนี้ล่ะ มีอะไรน่าสงสารกับเขาด้วยรึ!

รามิล รณลักษมิ์  ก่อนอื่นขอผรุสวาทหนึ่งคำสั้นๆ  "เลว!"   ... แต่ไม่รู้ทำไมเกลียดพระเอกน้อยจังเลย   อย่างแรกอาจเป็นเพราะเรารำคาญคนดีๆ อย่างนิโคไลนิดๆ  .. คือ ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตามนะ ถ้าคนเขาไม่รักเราต้องมีศักดิ์ศรี ต้องยืดอกเท่ห์เข้าไว้ แต่หมายถึงสไตล์ที่ชอบในนวนิยายเท่านั้นน่ะนะ  เพราะถ้าเป็นชีวิตจริง เรื่องความรักกับความยับยั้งชั่งใจมันไม่เข้าใครออกใคร (ใครไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก) แต่ตานิโคไลเนี่ยแกเป็นตัวแทนของดอกบานไม่รู้โรย  รักแล้วรักเลยไม่เคยเลิกรักแม้อกจะหักรักจะคุดความหวังจะเหี่ยวเฉาซ้ำซากก็ตาม    อย่างที่สอง .. เพราะเรารู้สึกว่าพระเอกรักนางเอกเหมือนกัน แต่เพราะวิถีการเลี้ยงดู และประสบการณ์เคย 'ผ่าน' ผู้หญิงมามากในชีวิตหนุ่มโสดที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอำนวยความสะดวกให้ได้มาง่ายๆ ฟรีๆ และเพราะเป็นผู้ชายที่ยังฉลาดดีจึงไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเก่งพอจะจับเขาได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะยอมให้ใครจับด้วย 

สำหรับรามิล  วายูนจึงเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามา และเขาเองก็ตั้งใจว่าจะแค่ผ่านเธอไป หลังจากได้เชยชมสัก..ระยะหนึ่ง  แม้มันจะเป็นระยะที่..'นาน' กว่าที่เคยข้องแวะกับผู้หญิงคนไหน เป็นระยะที่เขาอิ่มเอมมีความสุข ถึงเขาจะผ่านผู้หญิงมามาก แต่วายูนก็เป็นคนแรกและอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจกับการได้เป็นเจ้าของ โดยที่รามิลไม่เคยได้นึกเฉลียวใจในความรู้สึกที่เขามีต่อวายูน ผู้หญิงที่ทำให้ต้องนึกเปรียบเทียบกับประสบการณ์พบผ่านของเขาเสมอ เธอ 'แตกต่าง' จากผู้หญิงคนอื่น แต่ถึงจะต่าง ก็ไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนไป เธอก็จะเป็นแค่อีกหนึ่ง 'ผ่าน' ที่เขาจะผ่านไป แม้จะไม่อาจกำหนดได้ว่าความสัมพันธ์นี้เขาอยากให้มันสิ้นสุดลงเมื่อไร

แต่วันนั้นก็ดันมาถึงอย่างกระทันหัน เมื่อวายูนตั้งท้อง  เขาบอกให้เธอทำแท้ง และเขาก็เข้าใจว่าเธอทำแท้งไปแล้ว  หลังจากนั้น รามิลก็ทำอย่างเคยคิด .. คือ  แค่ผ่านไป  ตามเส้นทางชีวิตที่แยกไปคนละทาง

ถามว่า .. เลวอย่างนี้ น่าสงสารตรงไหน ?    น่าสงสารสิคะคุณๆ ก็นายรามิลน่ะมาแนว  รักเขาแต่เราไม่รู้ตัว  ที่คิดว่าจะผ่านไปได้ก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย  เพราะไม่เคยลืม  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้ตัว ความทระนงตนในรูปสมบัติคุณสมบัติ มันเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ความเชื่อฝังหัวที่ว่าผู้หญิงก็เหมือนๆ กัน ตักตวง ต้องการ เร่งรัด มัดมือ ฉกฉวยโอกาส ทำให้หัวใจไม่ยอมรับฟังเสียงเรียกร่ำร้องในซอกหลืบลึกๆ ว่า ผู้หญิงคนนั้นแตกต่าง ทั้งที่หัวใจไม่ลืม เธอยังอยู่ในฝัน อยู่ในความทรงจำ ในมโนสำนึก ที่ทำให้เขาทรมาน ไม่มีความสุข ... แต่รามิลก็ไม่รู้ว่าความทรมานเหล่านี้คืออะไร

เสียงกระแทกหูโทรศัพท์โครมมาเข้าหู รามิลหัวเราะก๊าก คนข้างๆ พลอยยิ้ม เขาบอกหล่อนว่า

"น้าผม... คุณนิตยา"

"มิน่า" เสียงเปรย  "ฉันฟังครั้งแรกเหมือนเสือแม่ลูกอ่อน ยิ่งตอนที่ได้ยินเสียงฉัน ยังกับว่าผู้หญิงทั้งโลก ดูเหมือนจะตามหาตัวคุณนะคะ"

"ก็คงมีอยู่คนหนึ่งหรอก ที่ไม่ตามหาตัวผม ... ไม่เคยตาม ติดต่อถามถึง หรือว่า ..."  

เสียงของเขาหายไป รามิลพลิกตัวหลับตา

"ถ้าคุณอยากนอนจริงๆ  ฉันจะลงไปที่บาร์ข้างล่างก็ได้ค่ะ เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันให้ลึกซึ้ง แค่คุยกับคุณฉันก็สนุกพอแรง" คนพูดหัวเราะหึๆ "คุณเป็นคนแปลกนะคะ  ถ้าฉันทายไม่ผิด คุณกำลังรักใครสักคน"

เสียงหัวเราะนั้นแผ่วหายไป พร้อมเสียงประตูห้องเปิดแล้วปิดสนิท รามิลยังหลับตาอยู่ในท่าเดิม .. ทั้งๆ อยากจะหัวเราะให้ลั่นห้อง คนอย่างเขาน่ะรึกำลังรักใครสักคน .. คนอย่างรามิล .. ไม่มีวันเสียล่ะ ... อย่างดีก็แค่รักเรื่อยเปื่อย ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ... รักเร่  รักร่อน ไปตามเพลงน่ะซี...

มีแอบน้อยใจที่เธอไม่เคยมีเยื่อใย หากว่าเธอจะติดต่อมาสักครั้ง รามิลอาจจะถลากลับไปตามหัวใจที่โหยหาก็เป็นได้  แต่เป็นขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ตัวเองว่าเคยรัก ...ยังรัก ยังคิดถึงและเจ็บปวด ... พระเอกโง่ ๆ อย่างนี้ เราว่าน่าสงสารออกนะคะ  

ใจยังถวิลหาอาวรณ์อย่างนี้  แล้ววันที่ได้รู้ความจริงว่าเธอไม่ได้ทำแท้งอย่างที่เคยบอกกับเขา วันที่เพิ่งรู้ตัวเองว่าระยำ เป็นผู้ชายหมาๆ เลวยิ่งกว่าหน้าตัวเมีย ....ยิ่งน่าสงสาร (แต่ก็สมน้ำหน้าด้วย)  คือ วายูนจะเป็นยังไง เธอก็คือนางเอก คือคนดีที่ยืนอยู่บนฝั่งของคนดีที่ถูกกระทำและเธอเป็นฝ่ายของความถูกต้อง  แต่รามิลเป็นฝ่ายของความเลวน่ะค่ะ  คนผิดไปแล้ว ต่อให้รู้ตัวสำนึกได้ยังไง บาปก็ยังติดอยู่กับตัว ไม่มีค่าคู่ควรไม่มีอะไรจะเรียกร้องจากนางเอกได้เลยเพราะตัวเองเป็นคนผิด .. เต็มประตู  ถึงจะเป็นสามี เป็นพ่อ แต่ความผิดที่เคยทำ เคยทิ้งไปและไม่ได้อยู่ร่วมรับรู้ ก็ต้องอยู่ในฐานะ "คนไม่มีสิทธิ์" ไปโดยปริยาย แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะทีนี้

รามิล แค่มองวายูน ผิดไป ... แต่ผลแห่งความผิดพลาดที่ตามมาคือ บาดแผลในหัวใจของคนสองคน หนึ่ง..คือคนที่ทรมานกับการถูกทิ้ง สอง..คือคนที่ทิ้งไปและไม่ได้ทำหน้าที่ลูกผู้ชายให้สมบูรณ์   'มองหน้าลูกทุกครั้ง ก็นึกถึงความผิดของตัวเองอยู่ร่ำไป ที่ขาดความรับผิดชอบครั้งนั้น '  แต่ผู้หญิงทนทุกข์ที่อุ้มท้องโดยไร้สามีอย่างวายูน บาดแผลลึกของเธอมันเป็นเหมือนเป็นประตูปิดตายสำหรับโอกาสที่จะขอ 'แก้ตัว'  ถึงจะสงสารนางเอกจับจิต แต่ก็ใช่ว่าจะสงสารพระเอกด้วยไม่ได้นี่นะ   คนผิดที่รู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ก็ยังไม่เลิกคิดจะไขว่คว้า ยังคงพยายาม ..หอบลูกตามเมีย สารพัด...  จะไม่ให้สงสารแล้วเอาใจช่วยได้ยังไง (อยู่ฝ่ายสนับสนุนให้คนรักกันได้ลงเอย)  แต่วายูนได้คะแนนสงสารมากที่สุด  เพราะเธอแบกไว้สาหัสกว่าใครเพื่อน กับความเจ็บปวดเป็นสองเท่า คือ เจ็บปวดที่รักรามิล  และเจ็บปวดที่ไม่รักนิโคไล

..อารมณ์วู่วามของรามิลเหือดหายสิ้น มองหล่อนอย่างพิจารณา ผู้หญิงผอมบางที่นั่งข้างๆ เขาขณะนี้น่ะหรือ คือผู้หญิงคนเดียวกับที่เขาประคองกอดไว้ในอ้อมแขน ตักตวงความสุข ความปรารถนาทางธรรมชาติ โดยไม่ทันคิดถึงหัวใจของหล่อน ..คาดผิดไปว่า หล่อนจะเหมือนผู้หญิงอื่นที่เขาเคยผ่านและพานพบนับไม่ถ้วน

หล่อนคงไปรอดและจะไปด้วยดี แม้ปราศจากเขาหรือผู้ชายคนไหนๆ ทั้งสิ้น หล่อนพิสูจน์ตนเองแล้วว่า สามารถยืนหยัดด้วยพลังใจกายทั้งมวล เขาต่างหากที่จะทนไม่ได้ ถ้าต้องสูญเสียหล่อนให้ผู้ชายคนอื่น ยังลูกอีกล่ะ ...รามิลรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะทนทานไม่ได้ หากความจริงในปัจจุบันทำให้ต้องยอมรับ หล่อนกำลังจะจากไปเป็นของคนอื่น.. เป็นการจากชั่วชีวิต ไม่มีอะไรหรือสิ่งใดที่จะดึงอดีตให้กลับมาอีกครั้ง นอกจากจะปล่อยให้เป็นความหลังที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจตลอดกาล ....

ชอบนวนิยายเรื่องนี้มากค่ะ  เขียนเรื่องราวได้ไหลรื่น  ความรักความใคร่ ธรรมชาติของหนุ่มสาวที่มีความรัก เมื่อใกล้ชิดสัมผัสก็ย่อมเป็นการง่ายจะติดไฟ ผู้หญิงอ่อนต่อโลกเมื่อมาตกอยู่ใกล้มือของผู้ชายเจนจัด  ต่อให้ถูกอบรมเลี้ยงดูมาดี ระมัดระวังตัวอย่างไร  ก็ย่อมมีโอกาสจะพลาดพลั้งไปกับแรงปรารถนา นวนิยายเรื่องนี้จึงค่อนข้างจะสื่อถึง ความรักความต้องการที่แท้จริง กับความเผลอไผลไปตามอารมณ์ สติและความยับยั้งชั่งใจเท่านั้นที่จะช่วยควบคุม ช่วยตัดสินใจในทางที่เหมาะที่ควร ไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นซ้ำซากอีกในชีวิต 

ทั้งที่จำเนื้อเรื่องได้อยู่แล้ว  แต่พออ่านไป ๆ ก็ยังอินจนร้องไห้  รักเร่ ...ของเขาแรงจริงๆ




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2556    
Last Update : 29 สิงหาคม 2556 8:12:10 น.
Counter : 14822 Pageviews.  

ความลับบนแหลมไซไน อีกหนึ่งมนต์ขลังแห่งทะเลทราย จากโสภาค สุวรรณ

 

พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ พ.ศ.๒๕๕๓ สำนักพิมพ์คลังวิทยา

เมื่อ ชาครี ... พี่ชายผู้กำความลับสำคัญเอาไว้ถูกตามล่าถึงชีวิต

เอมิลา .. นักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัยไคโร

น้องสาวคนเดียวจึงจำต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย

เพื่อช่วยพี่ชายให้หลุดพ้นจากผู้ตามล่า

ทว่า .. ท่ามกลางความยากลำบากต่างๆ นานา

ความรักความเข้าใจระหว่างเอมิลาและ ฮัซซาร์

เจ้าชายแห่งอียิปต์

นายตำรวจจากกรมสืบราชการลับ

ก็ได้เกิดขึ้นพร้อมกับความสำเร็จในการช่วยพี่ชาย

และไขความลับบนแหลมไซไน

 

กระแส ฟ้าจรดทรายฟีเวอร์ ทำให้นึกถึงนวนิยายเรื่องโปรดอีกเรื่องจากนามปากกา โสภาค สุวรรณ ที่ต้องตามหาซื้อมาเก็บ แต่ก่อนจะเก็บต้องอ่านก่อน   "ความลับบนแหลมไซไน"  ที่จำเนื้อเรื่องไม่ได้เลยเพราะเคยอ่านตั้งแต่ตอนยังเด็ก แต่จำได้แม่นอยู่อย่างหนึ่งว่าเป็นเรื่องแนวทะเลทรายที่ชอบมากกว่าฟ้าจรดทราย  เมื่อได้อ่านอีกครั้ง  ที่ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไรนอกจากหมกมุ่นกับการอ่านเพื่อติดตามเรื่องราวความเป็นไปของตัวละคร เพื่อไขปริศนาความลับบนแหลมไซไนให้กระจ่าง ก็ได้คำตอบแล้วว่าทำไมชอบมากกว่า เพราะนอกจากเรื่องนี้จะมี "ความรัก" ที่ไม่ได้น้อยหน้าฟ้าจรดทราย แล้วยังมี "ความลับ" ชวนให้ลุ้นติดตาม และยิ่งกว่านั้น ยังมีทั้ง ประวัติศาสตร์, สังคมการเมือง และ ศาสนา ที่ส่วนตัวเชื่อว่าบรรดานักอ่านที่ไม่โปรดฟ้าจรดทราย ด้วยเหตุผลที่ว่าบรรยายมากมายจนนึกเบื่อ คงจะโปรดเรื่อง ความลับบนแหลมไซไน ได้ยากเหมือนกัน รวมถึงเรื่อง เจ้าชาย ด้วย เพราะสองเรื่องหลังนี้ นอกจากจะหนักทั้งบรรยายแล้วยังหนักทั้งคำพูดของตัวละครอีกด้วย เรียกได้ว่าความรู้ 'เข้มข้น' กว่ากันเยอะ จนอาจจะกลายเป็นความน่าเบื่อสำหรับนักอ่านบางท่านได้ เห็นด้วยกับคำวิจารณ์ชวนขำที่จำมาได้ประโยคหนึ่งจากบล็อกรีวิวเรื่องเจ้าชายว่า .. มันอาจจะหนักหนาสำหรับคนที่ไม่ชอบความรู้อันอัดแน่น    แต่ก็ไม่แน่นะคะท่าน ถ้าหากตัวละครและเรื่องราวมีความน่าสนใจ ท่านอาจจะนึกรักนึกชอบเรื่องนี้ก็ได้ ใครจะรู้ 

ส่วนตัวเป็นคนชอบสไตล์การเขียนของโสภาค สุวรรณอยู่แล้ว (แม้บางเรื่องจะหนักหนาจริงอย่างที่ว่า)  ทั้งยังชอบเรื่องราวของประวัติศาสตร์และสังคมเป็นทุนอยู่ด้วย ตอนเด็กอยากเป็นนักรัฐศาสตร์บ้างล่ะ อยากเป็นนักโบราณคดีบ้างล่ะ  (แต่ที่เรียนมาและเป็นมาอยู่เนี่ย .. สุดจะห่างไกลเหมือนคนละฟากฟ้า ) ย่อมนึกชอบนวนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง นี่ยังไม่รวมถึงมูลเหตุจูงใจที่มีความรักอย่างสุดซึ้งให้กับ การ์ตูนเรื่องคำสาปฟาโรห์ มีใครเคยอ่านบ้างไหมคะ  เรื่องของเจ้าชายเมมฟิสแห่งอียิปต์ แครอล ไอซิส เจ้าชายอิสมิลแห่งอิปไทน์ กษัตริย์ราคัชแห่งบาบิโลน ฯลฯ น่ะค่ะ   กระทั่งอียิปต์กลายเป็นดินแดนปิรามิดที่มีความใฝ่ฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องไปเยือนให้ได้  

เมื่อสถานที่หลักของเรื่องนี้ คือ อียิปต์ .. การบรรยายบอกเล่าถึงประวัติศาตร์ของอียิปต์จึงถูกจริตอย่างมาก ยิ่งถ้าประกอบเข้ากับเรื่องราวของความรักของพระเอกนางเอกที่สุดแสนจะโดนใจเข้าด้วยล่ะก็ ยิ่งชอบเข้าไปกันใหญ่   ความหวาน ความโรแมนติก จึงไม่ใช่เหตุผลหลักของการเป็นนวนิยายรักที่น่าประทับใจเสมอไป  มันต้องมีส่วนประกอบอื่นๆ เป็นเครื่องปรุงแต่งให้กลมกล่อมเหมือนกันการปรุงอาหารนั่นไง และแน่นอนว่ารสชาดความอร่อยของคนแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน

เชื่อว่า "ความรัก" เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของนวนิยายที่จะทำให้ "ได้ใจ" ผู้อ่านมากน้อยแค่ไหน

คุณสนใจจะลองสัมผัสความรักในแบบของ เอมิลา กับ เจ้าชายฮัซซาร์  ดูบ้างมั้ยล่ะ ?

เป็นความรักที่ไม่ค่อยเหมือนนวนิยายเรื่องไหนๆ และเราขอตั้งนิยามเอาไว้ว่านี่คือ

Smiley  "รักแท้ในความห่างเหิน"  Smiley

เอมิลา แฮสติ้ง เป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์-อังกฤษ แม่ของเธอเป็นมุสลิมชาวฟิลิปปินส์ที่เคยมาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยไคโร  พ่อเป็นนักชีววิทยาสำรวจใต้ทะเลลึกชาวอังกฤษ เคยไปทำงานสำรวจชีวิตปลาพวกหนึ่งแถวชาร์มเล็ลชีคทางใต้สุดของแหลมไซไนแล้วมาพักผ่อนที่อียิปต์ จึงได้พบรักกับแม่  เมื่อ มุสลิม กับ ยิว พบรักกัน ความแตกต่างทั้งด้านเชื้อชาติและศาสนานำมาซึ่งอุปสรรคมากมายที่ทำให้ต้องต่อสู้ฟันฝ่า แต่ก็ยังมิวายต้องพลัดพราก  ที่หมายรวมถึงการแยกกันอยู่กับชาครี การตายอย่างเป็นปริศนาของพ่อและการหายไปของพี่ชายในเวลาต่อมาด้วย

เอมิลายังโชคดีที่ได้อยู่กับพ่อและแม่ที่ดันซาลัน ส่วนพี่ชาย ชาครี ต้องอยู่กับลุงรอฮีมและเติบโตขึ้นมาที่ดาเวา บ้านเกิดของแม่และผองพี่น้องทั้งหลาย แต่ความห่างไกลไม่ได้ทำให้สายสัมพันธ์ของครอบครัวนั้นเหินห่างตามไปด้วย  ชาครีกับเอมิลา จึงเป็นพี่น้องที่มีความรักความผูกพันต่อกันอย่างแน่นแฟ้น

บนเรือเดินสมุทรบรรทุกคนโดยสารผู้เดินทางไปจาริกแสวงบุญที่นครมักกะห์ เอมิลาและแม่ซึ่งเป็นมุสลิมก็ร่วมเดินทางเพื่อไปทำฮัจญ์และนัดพบกับชาครีในครั้งนี้ด้วย  แต่แม่ของเอมิลาเสียชีวิตระหว่างการเดินทางอยู่กลางทะเล  เอมิลาจึงเหลือตัวคนเดียวตามลำพังและคาดหวังจะได้พบกับพี่ชายที่มาเรียนต่อใมหาวิทลัยเก่าแก่อัลฮัซฮัรของอียีปต์และนัดหมายจะมาพบกัน  แต่ที่ท่าเรือจิดดาห์ เอมิลาไม่เห็นแม้แต่เงาของชาครี 

เจ้าหญิงคาครียา นาบิล เอ็ล ฟาร์ราซ บาดาวี คือเพื่อนรักของแม่เมื่อครั้งที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยไคโร แม่กับเจ้าหญิงนัดหมายมาพบเพื่อจะไปทำฮัจญ์ด้วยกัน  แล้วหลังจากนั้นเจ้าหญิงจะรับเอมิลาไปอยู่ด้วยเพื่อเข้าศึกษาต่อด้านแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไคโรในอียิปต์ เมื่อสิ้นแม่เสียแล้ว เจ้าหญิงคาครียาจึงรับอุปการะเอมิลาอย่างเต็มตัว

แต่ใช่ว่าจะสุขสบายมีชีวิตอยู่ในวังได้พบรักกับเจ้าชายผู้ทรงอำนาจเหมือนชีวิตในฝันหรอกนะคะ

เพราะคำว่า 'เจ้าหญิง' เป็นเพียงพระยศที่ไม่มีอำนาจราชศักดิ์ใดหลงเหลืออยู่อีกต่อไป อียิปต์ในยุคนั้นเป็นยุคหลังการปฏิวัติโค่นล้มราชบัลลังก์  'เจ้าหญิง' 'เจ้าชาย' จึงเป็นเพียงพระยศที่ติดอยู่กับบรรดาสายเลือดสุดท้ายของเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่สิ้นอำนาจ  ปราสาทราชวัง สมบัติพัสถาน ถูกรัฐบาลริบไปหมดสิ้น เจ้าหญิงคาครียาประทับอยู่ในที่พักเล็กๆ ที่รัฐบาลเช่าให้ในตึกเก่าๆ โทรมๆ แห่งหนึ่ง

เจ้าชายฮัซซาร์ เอ็ล ฟาร์ราซ บาดาวี  เป็นหลานชายที่ในอดีตเยาว์วัยทรงได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในตำหนักของท่านป้าคือเจ้าหญิงคาครียา   หลังการโค่นล้มราชบัลลังก์เจ้าชายฮัที่ยังเด็กต้องเสด็จตามเชื้อพระวงศ์บางส่วนที่ลี้ภัยไปตั้งรกรากอยู่ที่ฝรั่งเศส และทรงเติบโตขึ้นที่นั่นได้รับการศึกษาที่ฝรั่งเศสก่อนจะไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ  แม้ว่าความเป็นอยู่ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ในต่างแดนจะไม่ได้ลำบากมากนัก ยังพอมีราชทรัพย์ส่วนพระองค์พอให้ใช้เป็นทุนสร้างเนื้อสร้างตัว แต่หลังสำเร็จการศึกษาเจ้าชายฮัซซาร์ได้ตัดสินพระทัยเสด็จกลับสู่อียิปต์เพียงลำพังเพราะมีพระประสงค์จะใช้ความรู้ความสามารถในการรับใช้ชาติบ้านเมือง แม้แค่เพียงในฐานะประชาชนอียิปต์คนหนึ่ง  ทรงเป็นนายทหารที่ออกร่วมรบในสงครามสร้างเกียรติภูมิให้แก่ประเทศชาติ และต่อมาถูกย้ายมาเป็นนายตำรวจประจำการอยู่ในกรมสืบราชการลับ

เฉกเช่นท่านป้าของท่านที่จะใช้อียิปต์เป็นเรือนตาย แม้จะไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย นอกจากการเป็นนายตำรวจยศพันเอก กินเงินเดือนราชการ มีฐานะพออยู่ได้ปานกลาง และเช่าห้องพักเล็กๆ อยู่อาศัย เหมือนชายโสดธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง

สาวๆ ทั้งหลาย ที่นิยมพระเอกนวนิยาย หล่อรวยเงินทอง-มั่งมียศศักดิ์-อำนาจบารมีเหลือล้น อย่าเพิ่งถอดใจกับเจ้าชายไร้ทรัพย์ที่เป็นเชื้อพระวงศ์อนาถาผู้นี้นะคะ ขึ้นชื่อว่าเป็นสายเลือดขัตติยา หรือ ที่มักเรียกกันว่า "เลือดสีน้ำเงิน" รัฐบาลก็ริบได้แต่เฉพาะอำนาจและทรัพย์สมบัติ ไม่อาจริบเอาความทระนงองอาจและเกียรติยศศักดิ์ศรีของท่านไปได้  พระเอกที่มีเชื้อสายกษัตริย์มักจะต้องมีความเท่ห์ที่ "ไม่ธรรมดา" ทุกราย ดูแต่ท่านราชองครักษ์ชารีฟแห่งฟ้าจรดทรายยังให้มีเชื้อพระวงศ์ฝ่ายแม่ที่เป็นเจ้าหญิงอยู่ครึ่งหนึ่ง  ความเท่ห์ของท่านราชองค์รักษ์จะได้ขลังยิ่งกว่าเดิม เป็นที่พึ่งคนสำคัญของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ ทั้งเก่งกาจและจงรักภักดี

 

เจ้าหญิงคาครียา เป็นเหมือน "ท่านแม่" ของเจ้าชายฮัซซาร์  ที่ประทับของเจ้าหญิงจึงเป็นที่ที่เจ้าชายจะเสด็จแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเป็นปกติของท่านอยู่แล้วเสมอ ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าหญิงจะรับเอาเอมิลามาอุปการะ เจ้าชายท่านมีกุญแจบ้านใช้เข้าออกของท่านเอง มาจิบกาแฟตอนเช้ามืดหลังออกเวร มาเสวยกับท่านป้า มางีบหลับยามเหน็ดเหนื่อยจากงานและผ่านมาใกล้    ในเรื่องจะไม่ได้บอกอายุแน่ชัด แต่เริ่มแรกเมื่อเอมิลามาถึงไคโร อายุยังไม่เต็มยี่สิบปี การดำเนินเรื่องราวในเรื่องนี้กินเวลาประมาณสี่ปี เอมิลาอายุประมาณ ๑๘-๒๒ ปี ส่วนเจ้าชายประมาณเอาว่าน่าจะอายุมากกว่านางเอกประมาณ ๗-๘ ปี ก็ราวๆ ๒๖-๓๐  เพราะจากที่อ่าน จินตนาการคือหนุ่มวัยฉกรรจ์กับสาวน้อยแรกรุ่นน่ะค่ะ สถานะของเจ้าชายกับเอมิลา จึงเหมือน "ผู้ใหญ่" กับ "เด็ก"  ที่คนทั่วไปไม่มีใครเคยคิดเฉลียวใจว่าจะเห็นกันเป็นอื่นไปได้  เมื่อเจ้าชายฮัซซาร์สละโสดชื่อของเจ้าสาวจึงเป็นเรื่องไม่นึกไม่ฝัน เจ้าบ่าวของเอมิลาก็เป็นชื่อเหนือความคาดคิด ที่แม้แต่เพื่อนสนิทของเธออย่างอามินยังบอกว่า 

"คุณทำให้ผมหงายหลังตกเก้าอี้หลังไหล่แทบหักพออ่านพระนามของเจ้าบ่าวในบัตรเชิญ"

ขนาดท่านป้า คาครียา ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน ยังดูหลานชายที่เคยเลี้ยงมากับมือไม่ออกเลย  ท่านก็หลงเข้าใจเหมือนคนทั้งไคโร เจ้าชายฮัซซาร์จะลงเอยกับลูกสาวเศรษฐี อิซิส ฟาเดล

อามิน ฟาเดล    เป็นลูกชายเพื่อนเก่าพ่อของเอมิลาคือคุณหมอ อับดุลลา ฟาเดล และ มาดามไลลา  เขามีพี่สาวคนสวยคนหนึ่งชื่อ อิซิส  ฟาเดล ครอบครัวฟาเดลถือเป็นครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย   มารดาของอามินเป็นสตรีจากยุคเก่าที่ยังมีความจงรักภักดีฝังหัว ขณะที่พี่สาว-อิซิสเติบโตขึ้นมาในยุคที่สตรีมีอิสระเสรีและมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในสังคมอียิปต์ยุคใหม่ ความเก่ากับความใหม่จึงประสานกันอยู่ในครอบครัวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างลงตัวได้ ฐานะที่ดีของครอบครัวทำให้อิซิสได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศและกลับมามีธุรกิจการงานที่ดี  เป็นสตรีเนื้อหอมที่ถูกหมายปองจากหนุ่มๆ มากหน้าหลายตา  แต่ตัวอิซิสเอง กำลังอยู่ระหว่างการเลือก ตำรวจใหญ่เลือดสีน้ำเงินเข้มข้นจากราชวงศ์ในอดีต-เจ้าชายฮัซซาร์  หรือนักการเมืองการกฏหมาย - ซากี้ อาบุฟ  ขณะที่นางไลลาปรารถนาจะมีเขยเป็นเจ้าชายเพื่อมีหลานที่สืบทอดสายเลือดมาจากราชวงศ์อียิปต์ เช่นเดียวกับอามินที่ชอบเจ้าชายฮัซซาร์มากกว่าซากี้ แต่เขาไม่เคยดูออกเลยว่าเจ้าชายฮัซซาร์คิดอย่างไร ท่านไม่ได้ห่างเหินมากนัก แต่ท่านก็ไม่ได้มีท่าทีว่าอยากจะชิดใกล้   เจ้าชายองค์นั้น เป็นคนที่ไม่เคยมีใครอ่านความรู้สึกนึกคิดของท่านออก และแน่นอนว่า ถ้าท่านไม่เต็มใจเองก็จะไม่มีใครสามารถบังคับท่านได้

อามินศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และโบราณคดีมีอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยว  เจ้าหญิงคาครียาเป็นพระอาจารย์สอนด้านนี้ ท่านเคยสอนอามินเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา  และปัจจุบันท่านก็ยังสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอเมริกันแห่งหนึ่ง   เจ้าชายฮัซซาร์ก็สืบสายเลือดมาจากราชวงศ์อียิปต์ เคยผจญกับเหตุการณ์ในยุคเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เคยเป็นนายทหารออกรบในสงคราม อิเมลดาและเฮนรี่ พ่อแม่ของเอมิลา เป็นตัวแทนของสองศาสนาที่แตกต่างแต่รักกันและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นปรองดอง ลุงรอฮีมผู้มีศรัทธาในศาสนาเดียวกันแต่ความเชื่อการตีความในหลักธรรมคำสั่งสอนนั้นแตกต่าง   เหล่านี้..เป็นการสร้างตัวละครที่สามารถสร้างเหตุการณ์เชื่อมโยงสถานที่ เชื่อมโยงเรื่องราวเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคมการเมือง และศาสนา ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวมากทีเดียว ความขัดแย้งเพราะความเชื่อหนึ่ง และความปรองดองเพราะความเชื่อหนึ่งระหว่าง อาหรับ กับ ยิว มีปรากฏอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้อย่างน่าทึ่ง  

อามิน เป็นตัวละครเดินเรื่องที่สำคัญ เพราะการเป็นไกด์นำเที่ยวนี่แหละ เขาเป็นเพื่อนสนิทของเอมิลา ที่รู้กันอยู่เพียงสองคนว่าเรา 'เพื่อนกัน'  เพราะในสายตาของคนทั่วไปทั้งสองคือ 'คนรัก' ที่คบหาดูใจกันมาตลอดด้วยดี  โดยไม่มีใครนอกจากเอมิลาที่รู้ว่าอามินรักอยู่กับ นาซารีน สาวน้อยนักเต้นระบำหน้าท้องที่ถือเป็นรักต่างชนชั้น และยากจะเป็นที่ยอมรับของครอบครัวได้  ส่วนเอมิลาก็ใช้ประโยชน์จากอามินในการเป็นผู้นำทางเพื่อออกตามหาพี่ชายของเธอ โดยที่อามินไม่เคยรู้ตัวเองในแง่นั้น     

ชาครีไม่ได้มารับเอมิลากับแม่ที่ท่าเรือจิดดาห์ตามที่สัญญากันไว้ ไม่มีชื่อของชาครีอยู่ในทะเบียนนักศึกษาปีปัจจุบันของมหาวิทยาลัยเก่าแก่อัลฮัซฮัร  ชาครีหายไปพร้อมกับปริศนาความลึกลับที่เอมิลาได้รับเพียงข่าวสั้นๆ จาก โกมา ชาวนูเบียนที่เคยเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของพ่อ และโกมาก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากไปกว่าการคอยส่งข่าวตามคำขอร้องของชาครี ข่าวสั้นๆ ที่ไม่ช่วยให้เอมิลารู้อะไรมากนัก นอกจากพอปะติดปะต่อได้ว่าเขากำลังหลบหนีศัตรูและการตามล่าเอาชีวิต  ชาครีที่ต้องการจะพบน้องสาวเหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจจะพบกันได้  เอมิลาจึงทุกข์ทรมานอยู่กับความรักความห่วงกังวลที่ไม่รู้ว่าชาครีอยู่ที่ไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำได้เพียงการเฝ้ารอ 'ข่าว' จากโกมา และออกติดตามค้นหาเพื่อจะพบกัน แต่ไม่อาจจะรู้เลยว่าชาครีหนีอะไร หนีใคร และไปทำอะไรมาถึงต้องหนี  

มีความหวังเข้ามาเติมเชื้อไฟเป็นระยะ แต่แล้วก็เป็นแค่ความหวังที่สูญเปล่า หนทางจะพบชาครียังมืดมน   แรกๆ จึงรู้สึกว่าอืด ดำเนินเรื่องช้าอยู่สักหน่อย แต่หลังจากมีเบาะแสที่มากขึ้น ขบวนการตามล่าก็ออกโรง และการฆ่าอย่างเหี้ยมโหดก็เกิดขึ้น

ตลอดสามปีที่ผันผ่าน .. 'เด็กคนนั้น' อยู่ในสายพระเนตรพระกัณฐ์ของเจ้าชายฮัซซาร์ ทั้งที่เฝ้าจับตามองเอมิลาด้วยตนเอง  ทั้งที่ส่งลูกน้องเฝ้าติดตาม  เพราะใช่แต่เอมิลาเท่านั้นที่ต้องการจะพบชาครี  เจ้าชายฮัซซาร์ก็ต้องการตัวพี่ชายของเธอด้วยเช่นกัน ความลับที่ชาครีมีเป็นที่ต้องการของรัฐบาล และการติดตามค้นหาตัวชาครีพร้อมกับความลับนั้น เป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของเจ้าชายฮัซซาร์นายตำรวจกรมสืบราชการลับ

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมกับความเกี่ยวข้องของเจ้าชายอัซซาร์ ที่สอดคล้องให้ต้องสงสัยว่าเขาคือศัตรูที่ตามล่าหมายเอาชีวิตชาครี   ความหวาดกลัวที่มีต่อเจ้าชายฮัซซาร์อยู่แล้วเป็นทุนเดิม เจอความไม่ไว้ใจซ้ำเข้าไป ยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์อันห่างเหิน ที่เพิ่มความโกรธเคืองเติมเข้าไปอีกไม่น้อย 

เสน่ห์ความน่ารักของพระเอกนางเอกเรื่องนี้คือ ความห่างเหินนี่แหละ เจ้าชายฮัซซาร์เป็นคนดุ  ที่พบกันทีไรเอมิลาเป็นต้องนึกกลัวอยู่เสมอ ยิ่งเข้าใจว่าเป็นศัตรู  ที่เคยกลัวท่านอยู่แล้ว  ยิ่งทั้งกลัว ทั้งโกรธ และพ่วง เกลียด เข้าไปด้วย  คนโหดเหี้ยม.. คนใจร้าย...อำมหิต  กลัว ..เกลียด.. เกลียดเจ้าชายฮัซซาร์ เอ็ล ฟาร์ราซ บาดาวี จับใจ อย่างที่ไม่เคยเกลียดใครมาก่อนในชีวิต

เรารู้สึกว่าตั้งแต่แรกที่เอมิลากลัวเจ้าชายฮัซซาร์อยู่ตลอด หลีกเลี่ยงไม่พบหน้า ไม่พูดจาด้วยถ้าไม่จำเป็นมันน่ารักดีน่ะค่ะ เจ้าชายจะพูดถึงเอมิลากับท่านป้า ส่วนเอมิลามักจะพูดถึงเจ้าชายกับซุลตานา หญิงรับใช้ในบ้านที่เปรียบเสมือนเป็นพี่เลี้ยงของเธอ  เอมิลารับรู้ว่าเจ้าชายพูดถึงตัวอย่างไรจากท่านป้าคาครียา  ส่วนเจ้าชายฮัซซาร์ก็รับรู้ว่าเอมิลาพูดถึงท่านอย่างไรจากซุลตานา   ท่านป้าไม่ได้มีอะไรเอะใจเพราะในสายพระเนตรของท่านเจ้าฮัซซาร์เป็นผู้ใหญ่ การบอกเล่าถึงเอมิลา ก็เป็นเพราะท่านเองที่เป็นห่วงและฝากฝังให้เจ้าชายเป็นหูเป็นตาคอยช่วยดูแล 'น้อง'  ส่วนซุลตานา อาจจะแปลกใจในอารมณ์ของคุณเอมิลาที่พูดถึงเจ้าชายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นสัญญาณจะบอกอะไรได้มากกว่า เด็กคนหนึ่ง ที่กลัวผู้ใหญ่ดุๆ ท่านนึง  เป็นสายใยบางๆ ท่ามกลางบรรยากาศความเหินห่างที่เชื่อมใจคนสองคนนี้ไว้ด้วยกันและค่อยๆ กลายเป็นความผูกพันที่เหนียวแน่นขึ้นตามกาลเวลา

ชอบความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกนับตั้งแต่แรกพบสบหน้า "เด็กคนนั้น" ที่ออกอาการกลัว "ท่าน" อย่างเห็นได้ชัด  ต่อมาผู้ใหญ่ก็เห็นว่าเด็กดื้อรั้น ส่วนเด็กก็เห็นว่าผู้ใหญ่ท่านอวดดี  น่าโกรธ น่า..เกลียด และเวลาท่านกริ้วเอา เอมิลาก็กลัวซะแข้งขาแข็ง มือไม้สั่น  แต่เรื่องของชาครีเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตต่อให้กลัวแค่ไหนเด็กก็หันมาเล่นงานด้วยการกัดผู้ใหญ่ซะจมฟันแบบสุดแรง รอยฟันของเด็กจึงเป็นแผลเป็นติดอยู่บนหัตถ์ของผู้ใหญ่ เป็นรอยคอยย้ำเตือนให้คิดถึงคะนึงหา... (ชอบมากมาย )  

ยิ่งการติดตามค้นหาชาครีไปสู่การไขความลับบนแหลมไซไนได้เริ่มต้นการเดินทางขึ้นอย่างแท้จริงพร้อมกับอันตรายที่ติดตามประชั้นชิดอยู่รอบตัว   เมื่อผูกเข้ากับปมของเรื่องราวของความลับที่แขวนชีวิตของชาครีไว้บนเส้นด้ายแล้วยังพ่วงเอาชีวิตของเอมิลาไปแขวนไว้อีกชีวิตหนึ่งด้วย ทั้งคำสั่งเสียก่อนตายของแม่ ที่ราวกับแม่จะรู้ล่วงหน้าว่าชาครีจะไม่มาตามคำสัญญา จดหมายปิดผนึกซองหนาปึกของพ่อ ที่สั่งห้ามเอมิลาเปิดอ่านและส่งให้ถึงมือของพี่ชายให้ได้  ชิ้นส่วนเอกสารลับที่เขียนด้วยภาษาฮีโรกลิฟฟิคโบราณของอียิปต์ที่ตกมาอยู่ในมือของเอมิลาส่วนหนึ่ง แล้วยัง ชีคซากาเรีย อัล อาร์มี อัล ซาอุด แห่งคูเวต ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ท่านชีคหนุ่มเศรษฐีบ่อน้ำมันรูปงามที่หวังให้เอมิลาตอบรับไมตรีจิตอันหวานชื่น

ชีคซากาเรียผู้มีศักดิ์แห่งเจ้าชายเท่าเทียมกันกับเจ้าชายฮัซซาร์  แต่ฐานะต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่จากการวางตัวของเจ้าชายฮัซซาร์ คือ ความสง่างามในเกียรติภูมิของผู้สืบทอดราชวงศ์อียิปต์ ที่ความร่ำรวยชองชีคซากาเรียมิอาจข่มทับให้ท่านต้อยต่ำกว่าได้ (ณ จุดนี้ รักพระเอกซะจริงๆ ขอบอก)

ครึ่งแรกก็อ่านลุ้นอยู่กับการรอคอยการพบกันของพระเอกนางเอกแต่ละครั้ง พอครึ่งหลังที่เรื่องราวเข้มข้นขึ้นก็กลายเป็นความยากสักหน่อยที่จะวางหนังสือลง ชอบเจ้าชายเพราะท่าน 'ดุ' นี่แหละค่ะ จิตใจที่ผ่านความทุกข์ความผันแปรในชีวิตมามากทำให้เป็นคนกร้าวแกร่ง เสียงรับสั่งก็ติดจะห้วนสั้น เป็นการเป็นงาน  สงสารเอมิลาท่านก็สงสารอยู่หรอกแต่ความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำให้ไม่มีเวลาจะมาคอยทนุถนอม คำพูดหวานหู การกระทำอ่อนโยนเอาอกเอาใจท่านทำไม่เป็น  ทั้งยังคอยหักห้ามใจเพราะคิดว่าเป็นแต่เพียงความรู้สึกที่ต้องใกล้ชิดยามร่วมทางกันเท่านั้น ท่านมีเพียงแต่ศักดิ์เจ้าชายหน้านาม ไม่ได้มีฐานะอื่นใดสมเป็นเจ้าชาย  จึงไม่เคยคิดว่าเด็กสาวสวยสะอาดอย่างเอมิลาจะมีเยื่อใยให้    ชอบเจ้าชายเวลาดุเอมิล่าด้วยคำว่า  "ไม่เข้าเรื่อง"   ชอบการปลอบโยนให้กำลังใจที่ไม่ได้มีความอ่อนหวานแต่ก็เป็นการปลุกปลอบที่เติมพลังให้ฮึดสู้อย่างเข้มแข็ง  ชอบความเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ทั้งความอ่อนน้อมยามเสด็จไปพบเบดูอินผู้เฒ่า ความเมตตาอ่อนโยนที่มีต่อสัตว์  น้ำใจไมตรีและความดุดันเฉียบขาดที่จะใช้ในแต่ละสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอดจากการเดินทางผ่านทะเลทรายไปสู่เขตแหลมไซไนที่จะต้องบุกบั่นความยากลำบากไปให้ถึงยอดภูเขาไซไน ที่ๆ ความลับรอการเปิดเผย และเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง  ความรักที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยรู้ใจของอีกฝ่าย จะเดินทางกันต่อไป..ไกลถึงไหน ถึงจะมาบรรจบพบกันและลงเอยด้วยความเข้าใจว่า 'รัก' .. ซะที 

สนุกมากค่ะ  เป็นอีกหนึ่งในนวนิยายหลายๆ เรื่องของโสภาค สุวรรณ ที่ประทับใจ  

นอกเหนือจากความรู้สึกชื่นชมในประสบการณ์ความรู้ที่ถูกนำมาบรรยายถ่ายทอดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั้งในแง่โบราณสถานและโบราณคดีแล้ว การเขียนถึงเรื่องราวของสิทธิสตรี สังคมการเมือง และศาสนา ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก แต่เขียนออกมาในแบบที่ทำให้เรารู้สึกว่า โสภาค สุวรรณ ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้อย่างลึกซึ้งเป็นแน่ จึงถ่ายทอดออกมาได้งดงามเช่นนั้น เรื่องนี้ต้องขอยกย่อง  

 

และขอคัดลอกเอาความตั้งใจของโสภาค สุวรรณ เกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้มาเล่าสู่กันอ่าน 

คำนำ

ความลับบนแหลมไซไน เป็นนวนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นด้วยความบันดาลใจหลายอย่างรวมกัน  เริ่มแรกนั้นก็ด้วยมีโอกาสเดินทางไปยังประเทศอียิปต์เพื่อเยี่ยมเยียนบิดามารดาตามปรกติ  เมื่อไปถึงข้าพเจ้าก็ได้รับความรักความกรุณาอย่างเคย นั่นคือ อะไรที่เป็นความรู้ ทั้งบิดา มารดา จะเล่าสู่กันฟัง เพื่อประดับสติปัญญาลูกสาวท่าน  ใช่แต่เท่านั้น เมื่อว่างเว้นหน้าที่ราชการ ท่านก็พาข้าพเจ้าออกตระเวนดูความเป็นไปของประชาชนและภูมิประเทศ แม้ในส่วนซึ่งหวงห้าม เราก็มีโอกาสผ่านเข้าไปได้อย่างน่าประหลาด

แต่ไหนแต่ไรมา บิดาผู้เขียนเป็นผู้ให้ความรู้ทางวิชาการและมารดานั้น ท่านชำนาญในเรื่องสืบเสาะเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนการตีสนิทกับผู้คนหลายระดับ จากวงราชการไปจนถึงประชาชน ท่านเป็นผู้บอกเล่าและพาข้าพเจ้าออกตระเวนหาความรู้ทุกซอกทุกมุมชนิดที่เรียกว่า ไม่มีทัวร์ลีดเดอร์คนไหนจะให้โอกาสนักท่องเที่ยวได้รู้เห็นเท่านี้

ข้าพเจ้าได้บเจ้าหญิง เจ้าชายนอกราชบัลลังก์ ประทับใจในความสง่างาม และความเป็นผู้ดี ทระนงในสายเลือดของท่านแม้จะไร้บัลลังก์ก็ตาม ได้เห็นวังเก่าซึ่งสวยงาม โอ่อ่า ที่กลายเป็นสถานทูตของประเทศหนึ่งไปเสียแล้ว  มารดาข้าพเจ้ายังแนะนำให้รู้จักผู้คน ทั้งจากอดีต คือผู้ซึ่งเคยเห็นความเป็นไปก่อนเปลี่ยนแปลงและปัจจุบัน รับฟังเรื่องราวตลอดจนรับรู้อารมณ์ความนึกคิดของเขาเหล่านั้น 

บรรยากาศ ภูมิประเทศ เสน่ห์แห่งทะเลทรายอันมีมนต์ขลัง เจ้าชายและเจ้าหญิงไร้บัลลังก์ แม้ "เหลียง หวัง" ตัวจริง ซึ่งพบกันอย่างบังเอิญกับมารดาข้าพเจ้าบนเครื่องบิน อีกทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ  สิ่งเหล่านี้คือจุดบันดาลใจให้จินตนาการเรื่อง ความลับบนแหลมไซไน ขึ้น

ข้าพเจ้ามีความสนุกและเป็นสุขที่ได้เขียนและถ่ายทอดสิ่งซึ่งรู้เห็นลงในนวนิยาย ถึงอย่างนั้นก็ตาม นวนิยายก็คงเป็นสิ่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของคนเขียน ความรู้ที่สอดแทรกได้มาจากหนังสือวิชาการ ซึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ได้คิดเอาเอง เพียงแต่ไม่ถึงกับลงบัญชีรายการค้นคว้าท้ายเล่ม เพราะไม่ได้เขียนวิทยานิพนธ์  ส่วนคำบอกเล่านั้น ข้าพเจ้าได้มาจากมารดาและผู้ซึ่งมีเจตนาดีโดยแท้จริง มั่นใจว่า ท่านเหล่านั้นไม่โป้ปดมดเท็จ หรือนึกฝันพูดไปหาสาระไม่ได้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ยังตั้งใจอยู่ดีว่า นี่คือนวนิยายอ่าเพลินพอสนุกแก้เหงา คลายเครียดเท่านั้นเอง

งานเขียนของข้าพเจ้าอยู่บนรากฐานดังกล่าวมาแล้ว คือนอกจากจะให้ความบันเทิง ก็อยากจะให้อะไรพอประดับสติปัญญาท่านผู้อ่านบ้างเท่านั้นเอง อาจเรียกได้ว่าเป็นสไตล์หรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ได้เหมือนกัน 

ด้วยเหตุนี้ ขอท่านได้อ่านนวนิยายของข้าพเจ้าเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวร่วมกับคนเขียนเถิด

อนึ่ง หนังสือเล่มนี้จะสมบูรณ์ไปไม่ได้ ถ้าข้าพเจ้าเว้นไม่กล่าวถึงผู้มีพระคุณและมิตรซึ่งมีส่วนช่วยเหลือให้ ความลับบนแหลมไซไน จบลงอย่างครบถ้วนเป็นรูปเล่มเช่นนี้

ข้าพเจ้าของกราบบิดามารดา ผู้มีส่วนมหาศาลในการถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์และนำพาให้ได้รายละอียดทุกด้านที่ต้องการอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะกาศึกษาเรื่องภาษาฮีโรกลิฟฟิคโบราณของอียิปต์นั้น นับเป็นความอดทนมหาศาลของมารดาข้าพเจ้าที่ได้เพียรหัดอ่านเขียน แล้วถ่ายทอดมาสู่ข้าพเจ้า เพื่อประโยชน์ในการนี้โดยเฉพาะ

ขอขอบคุณ MRS. HELEN ELIZABETH FENTON และ MR. CASSIUS MARVIN FENTON อดีตเจ้าหน้าที่อาสาสมัครของ  U.N. (สหประชาชาติ) ผู้เคยใช้ชีวิตช่วยเหลือพวกลี้ภัยปาเลสไตน์ ท่านมีน้ำใจเอื้อเฟื้อให้หยิบยืมเอกสารและภาพยนตร์เกี่ยวกับไซไนโดยละเอียด  ขอขอบคุณคุณนิลวรรณ ปิ่นทอง บรรณาธิการสตรีสารที่จะไม่ลืมคือ สายสัมพันธ์ ฉัตรพลรักษ์ น้องสาวข้าพเจ้า ผู้จัดการธุรกิจให้นวนิยายเรื่องนี้เป็นรูปเล่มถาวร และสำนักพิมพ์คลังวิทยาผู้จัดพิมพ์ขึ้น 

ก่อนจบคำนำครั้งนี้ ข้าพเจ้าของขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ให้ความสนใจงานเขียนของข้าพเจ้าเสมอมา น้ำใจไมตรีจิตความปรารถนาดีที่ท่านมีต่อข้าพเจ้านั้น ยากจะลืมเลือน ขอได้รับความขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

ด้วยความรักและปรารถนาดี

โสภาค สุวรรณ

ขอบคุณ โสภาค สุวรรณ เช่นกันค่ะ นึกขอบคุณเสมอ ... ที่ในวัยเด็กได้มีโอกาสอ่านผลงานของท่าน  ที่มีส่วนก่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน และยังอ่านมาจนถึงทุกวันนี้  

อ่านเรื่องนี้แล้ว ก็ทำให้คิดถึงเจ้าชายผู้สูงค่าอีกองค์  "เจ้าชาย  ชาครี ราชิด  อัลซาอิด  อัลโมราวิท (เรื่อง เจ้าชาย )  รอก่อนนะท่าน .. แล้วเราจะได้พบกัน   Smiley




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2556    
Last Update : 26 สิงหาคม 2556 20:26:47 น.
Counter : 4590 Pageviews.  

ในวารวัน .. ความงดงามในวารวันของชีวิต

 

พิมพ์ครั้งที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ สำนักพิมพ์อรุณ

จากผู้เขียน

หนึ่งชีวิตคนเราก็ไม่ต่างจากหนึ่งวารวัน เวลาในวัยเยาว์ของทุกคนก็คือการเริ่มต้นด้วยความสดใส  เป็นดั่งยามเช้าที่บรรเจิดแจ่ม บริสุทธิ์ด้วยแสงตะวันอ่อนอุ่นและน้ำค้างซึ่งค้างอยู่บนยอดหญ้า ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ไม่ว่าจะต้องแบกรับความทุกข์ยากสักเท่าใด ดวงตากับดวงใจอันสดใสของเด็กก็จะทำให้มัน "คล้าย" ไม่ใช่ทุกข์

เมื่อแดดสายแรงกล้า  ก็ไม่ต่างจากวัยที่มากขึ้นจนต้องเรียนรู้ ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ต้องกัดฟันยอมรับและบากบั่นพาชีวิตของตนเองให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปให้ได้ เช่นเดียวกับการเดินดุ่มท่ามกลางแสงรวีที่แผดจ้ามุ่งเข้าสู่ยามสนธยา

แล้วทุกชีวิตก็ต้องจบลงอย่างเสมอหน้าด้วยราตรีกาล .. ไม่มีวันวันไหนที่ไร้ราตรี ไม่มีชีวิตใดจะอยู่ยั่งยืนไปตลอดกาล

หากการเริ่มชีวิตอย่างไร จบชีวิตแบบไหน ไม่สำคัญเท่ากับวิธีการใช้ชีวิตในวารวันหนึ่งนั้น  เพราะไม่มีใครเลือกเกิดได้ เท่าๆ กับที่ไม่มีใครเลือกได้ว่าชีวิตของตนจะจบลงที่ตรงไหนและอย่างไร เส้นทางระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดจบต่างหาก ที่ทุกคนมีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์สร้าง

หากเลือกและสร้างให้เส้นทางนั้นสวยงามมีคุณค่าด้วยการให้เบญจศีลและฆราวาสธรรมเป็นเครื่องกำกับดูแลการเลือกและการสร้างทุกย่างก้าว ความภาคภูมิในตนเองที่ได้มุ่งมั่นฟันฝ่าอย่างสุจริต ภาคภูมิที่เพียรประกอบกรรมดี ยึดศีลและธรรมเป็นเครื่องนำชีวิตมาได้จนถึงปลายทาง

จะกลายเป็นแสงสว่าง กลายเป็นความงดงามในวารวันของชีวิต

ปิยะพร ศักดิ์เกษม

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

ว่าจะไม่คัดอะไรจากหนังสือมายาวๆ ก็อดใจไม่ได้ค่ะ  ต้องยกเอา 'จากใจผู้เขียน' มาไว้ตรงนี้อีกแล้ว เพราะมีความปรารถนาจะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าสาระของการอ่านนวนิยาย ที่ไม่ใช่แค่เรื่องพาฝันกับความเพ้อฝันของคนอ่านแค่นั้น คออ่านนวนิยายด้วยกันเท่านั้นจะเข้าใจ ณ จุดๆ นี้ (โปรดออกเสียงแบบพี่โน๊ตอุดม ในเดี่ยว ๑๐)    อีกทั้งยังอยากจะ 'อวด' สำนวนภาษาการเขียนนวนิยายของคุณปิยะพรที่เราติดอกติดใจนักหนา ให้ปรากฏแก่สายตานักอ่านทั่วไปที่ยังไม่เคยอ่าน เผื่อจะเป็นความน่าสนใจให้ลิ้มลอง .. สักเล่ม (แล้วคุณจะติดใจSmiley)

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

จากสำนักพิมพ์

นวนิยายอิงประวัติศาสต์ที่ "ปิยะพร ศักดิ์เกษม" เขียนด้วยหัวใจ เขียนด้วยความรักท่วมท้นที่มีต่อบ้านเกิดเมืองชลบุรี  ด้วยความปรารถนาจะเก็บเรื่องราวในท้องถิ่นที่เด็กปัจจุบันไม่รู้ รวมถึงประวัติศาสตร์ในส่วนที่ไม่มีในตำรามาบันทึกเอาไว้

และเจตนาสำคัญที่สุดคือ เขียนนวนิยายที่พูดถึงการรักษาศีล ประพฤติธรรม และอ่านสนุกด้วยในเวลาเดียวกัน เพื่อความสุขในการอ่านของแฟนๆ ของเธอทุกคน

สำนักพิมพ์อรุณ

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

เช่นกัน  ต้องยก 'จากสำนักพิมพ์' มาด้วย เพราะเขียนได้ตรงความคิด อ่านนวนิยายเรื่องนี้แล้ว เรารู้สึกได้ถึงคำว่า "เขียนด้วยหัวใจ ... เขียนด้วยความรักท่วมท้นที่มีต่อบ้านเกิดเมืองชลบุรี"  มันจริงแท้แน่นอนที่สุด  .. อิจฉาแทนคนชลบุรี ที่มีนักเขียนฝีมือดีๆ มาช่วยเก็บบันทึกเรื่องราวในท้องถิ่นวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นในอดีตให้มาอยู่ในรูปแบบของนวนิยายที่สนุกเพลิดเพลิน ทั้งยังสอดแทรกด้วยคุณธรรมที่ไม่ใช่เพียงให้แง่คิดกับชีวิต แต่ควรจะยึดถือเป็นหลักในการใช้ชีวิตได้เลย

ในวารวัน เป็นเรื่องราวของ "แม่วัน"  ที่เกิดมาอาภัพนัก พ่อตายจากตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ หลังลืมตาดูโลกไม่นานแม่ที่ตรอมตรมใจก็มาด่วนลาโลกจากไปอีกคน  แม่วันจึงถูกเลี้ยงดูมาโดย "ย่าวง"  แม่วันเป็นถึงหลานสาวคหบดีเพิ่ม แต่ชีวิตกลับไม่ได้หรูหราสุขสบายสมกับฐานะหลานสาวเศรษฐี เพราะตั้งแต่ปู่เพิ่มเสียชีวิต ย่าวงก็ถูก "ป้าพริ้ง" ลูกติดสามีที่เกิดจากภรรยาคนแรกยึดโกงทรัพย์สมบัติไปจนหมด ทั้งที่ย่าวงก็ไม่ใช้เมียน้อย เพราะแม่ของแม่พริ้งเสียชีวิตไปแล้ว ก่อนที่ย่าวงจะแต่งงานเข้ามาเป็นคุณนายคนใหม่ของบ้าน แต่เมื่อท่านคหบดีสิ้น แม่วงก็ถูกลดฐานะไปเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยในเรือนหลังเล็ก ต้องตะลอนๆ ออกไปรับจ้างทำงานสารพัดเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและหลานสาวตัวน้อย

เป็นบุญของย่าวงเป็นกุศลของคนดี แม่วันหลานย่าที่ทุ่มแรงกายแรงใจเลี้ยงดูมาด้วยความรักความเอาใจใส่ ก็เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีให้ชื่นใจสมกับที่ได้เฝ้าอบรมบ่มนิสัยด้วยคุณธรรมความดีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด แม่วันทั้งขยันขันแข็งช่วยทำงาน ทั้งมองโลกในแง่ดีและจิตใจเปี่ยมไปด้วยความดีงามไหนจะเรื่องรูปร่างหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดูมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว .. แม่วันของย่าวงถ้าไม่นับเรื่องขาดแคลนทรัพย์สมบัติก็นับได้ว่าเป็นผู้หญิงที่งามพร้อม

ที่จริงแล้วทรัพย์สมบัติก็พอมีทั้งจากที่สองย่าหลานช่วยกันทำงานเก็บหอมรอมริบ แม่ของแม่วันที่แม้ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้าแต่ก็มีเครื่องทองของมีค่าติดตัวมาไม่น้อย เป็นปริศนาว่าฐานะดั้งเดิมคงไม่ใช่หญิงชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น แต่หลังจากสิ้นย่าวง ของทุกอย่างที่มีก็สูญสิ้นไปด้วย เพราะถูกป้าพริ้งโขมยไปหมดอย่างหน้าด้านๆ  แม่วันนอกจากจะเหลือตัวคนเดียวยังเหลือแต่ตัว ต้องอดทนใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นที่เริ่มต้นจากทรัพย์เป็นศูนย์  

แต่เงินทองของนอกกายไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้ ท่ามกลางความยากไร้ แม่วันคนดีมุมานะขยันทำมาหาเลี้ยงชีพ และขยันหมั่นอดออม  ทั้งที่ทำงานงกๆ เนื้อตัวเปื้อนเลนโคลน เหงื่อโทรมกายทุกวัน แต่ความงามของแม่วันที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้สภาพมอมแมมในเสื้อผ้าทำงานเก่าๆ โทรมๆ  ก็ไม่อาจหนีพ้นสายตาอันแหลมคมของ "พ่อเทิด" ไปได้   

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

"พ่อเทิด"  เป็นลูกชายของหลวงประสิทธิ์จีนเจริญหรือนายอากรซ้ง ที่เริ่มรู้จักมักคุ้นกับแม่วันตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่มน้อยวัยรุ่นอายุ ๑๗  และแม่วันตอนนั้นอายุ ๑๑ ปี  ความเมตตาเอ็นดูที่ "พี่เทิด" มีให้แม่วันแต่ครั้งเยาว์วัย ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่ารักน่าเอ็นดู เหมือน "พี่ไกร" กับ "ดาวเรือง" (สายโลหิต-โสภาค สุวรรณ) เหมือน "พ่อฟัก" กับ "แม่เพ็ง" (รัตนโกสินทร์-ว.วินิจฉัยกุล) ไม่มีผิด  พอเติบโตขึ้น จากที่ไม่ได้มองเห็นแค่ความงามของรูปกาย แต่ยังเห็นทะลุปรุโปร่งถึงความงามในห้วใจทองเนื้อแท้ของแม่วัน  จากความเมตตาเอ็นดูน้องน้อยเมื่อครั้งเยาว์วัยก็แปรเปลี่ยนหัวใจของพี่เทิดให้เป็นความรักความเสน่หาที่ผูกพันกันด้วยสายใยแน่นแฟ้น

แล้วพี่เทิดกับแม่วันก็หวานซ้า ... เดือดร้อนเจ้าดอกจำปี ที่ต้องถูกเด็ดจากต้นมาเป็นสื่อรักของพี่เทิดกับแม่วันในทุกค่ำเย็น

ถ้าแม้แต่สาวไร้ญาติดีๆ และขาดสมบัติมั่งมีเงินทองอย่างแม่วันยังงามพร้อม ..  พ่อเทิด ลูกชายของนายอากรซ้งผู้ร่ำรวยทั้งเงินทองและยศศักดิ์จะงามเลอค่าสักขนาดไหน  ถึงไม่ใช่ลูกชายคนโตของบ้าน แต่ก็เป็นลูกชายภรรยาเอก ที่เอาการเอางานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสืบทอดดูแลกิจการ เป็นลูกชาย "คนใหญ่" เป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว คนเดียวที่จะเป็นหลักให้บ่าวบริวารได้พึ่งพิงให้หลวงประสิทธิ์ได้ฝากฝีฝากไข้ยามแก่ชรา มิหนำซ้ำยังเป็นแมนชาตรีที่รูปงาม จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของสาวๆ ทั่วย่าน ไหนจะ "แม่พิศ" ลูกสาวป้าพริ้ง ไหนจะ "แม่ดารา" ลูกสาวเศรษฐีท้ายคลอง ซึ่งหากได้แต่งกันไปก็เรือล่มในหนอง ทั้งคุณสมบัติรูปสมบัติ สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

แต่พ่อเทิดน่ะ  นอกจากดอกจำปีของแม่วันที่ต้นริมคลองหน้าประตูหลังเรือนแล้ว  อย่าว่าแต่จะคิดดอมดมดอกไม้อื่นใดเลย เพราะแค่กลิ่นหอม...พ่อเทิดก็จะไม่ได้กลิ่นดอกไม้ใดอีกแล้วนอกจากดอกจำปีของพี่เอย

"ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะพี่จะไม่มีวันผิดคำสัญญาทวนคำสาบาน

 หากได้จำปีดอกนี้แล้ว พี่จะไม่มีวันดอมดมดอกไม้อื่นอีกตลอดชีวิต"

อ๊ากก  เขาจีบกันในหนังสือเป็นตัวอักษร ทำไมรู้สึกอายม้วน เขินจัด ประหนึ่งโดนพี่เทิดจีบเองซะงั้น หนุ่มสาวสมัยก่อนเขาจีบกันหวานได้น่ารักมากเลยนะคะ  นอกจากจะชอบเรื่องราวความรักความผูกพันของพ่อเทิดกับแม่วันที่ก่อร่างสร้างสัมพันธ์มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก  ยิ่งชอบมากขึ้นในช่วงที่พ่อเทิดโตเป็นหนุ่มใหญ่ในขณะที่แม่วันที่เพิ่งเริ่มโตเป็นสาวและยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับความรักในแบบหนุ่มสาว จึงมีแต่ความใสซื่อไร้จริตมารยาที่เมื่อครั้งยังเด็กเคยรักเคยนับถือพี่เทิดที่เมตตาเอ็นดูตนอย่างไร โตขึ้นก็ยังคงมองพี่เทิดด้วยความรักความนับถือไม่แปรเปลี่ยน หารู้ไม่ว่าคนถูกมองนั้นเปลี่ยนไปเพราะหัวใจชักมีอาการแกว่ง แม้จะปลอบตัวเองว่า นี่เป็นเด็ก! แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น! แต่มันก็ไม่ค่อยจะได้ผล  เพราะพี่เทิดเห็นอยู่กับตารู้อยู่แก่ใจ นี่ไม่ใช่เด็ก!  แม่วันเด็กน้อยที่พี่เทิดเคยมอบแหวนให้ในวันโกนจุก .. เติบโตเป็นสาวที่งามทั้งกาย..งามทั้งใจ

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

แต่โลกของคนดีมักต้องมีมารมาคอยผจญ ชีวิตของแม่วันเคยทุกข์โศกเพราะญาติพี่น้องเลวๆ อย่างไร ก็ยังคงต้องลำบากทุกข์ใจเพราะญาติพี่น้องอยู่อย่างนั้น ยิ่งเมื่อแม่พิศคิดหมายปองพี่เทิดของแม่วัน ความรังเกียจเดียดฉันท์ที่เคยมีอยู่แล้วยิ่งทวีความเกลียดชังขั้นรุนแรง  แต่ก็อีกเช่นกันที่คนดีผีคุ้ม คนดีพระคุ้มครอง แล้วกรณีแม่วันเนี่ย ... ยังเป็นคนดีที่มีพี่เทิดคอยปกป้อง  Smiley 

เหตุการณ์เลวร้ายที่แสดงให้เห็นมาดลูกผู้ชายหัวใจนักเลงของพี่เทิด เขียนได้ระทึกใจดี การวางแผน รวบรัดตัดตอน จัดการเรียบหมด ทั้งการให้บทเรียนกับคนชั่วอย่างทั่วถึง อย่างรุนแรงและสะใจ ทั้งนำพาแม่วันเข้าสู่พิธีแต่งงานให้จบเรื่องจบราวอย่างรวดเร็ว และด้วยวิธีที่เกินคาดคิด (ถูกใจพี่เทิด)  เรื่องราวต่อเนื่อง ๙-๑๐ บทนั้น เป็นอะไรที่ปลื้มเปรมในตัวพี่เทิดสุดๆ  

เอาล่ะ อย่าหวานไปมากกว่านี้  มากล่าวถึงคุณค่าของนวนิยายที่นอกเหนือจากการให้ความสุขใจในเรื่องของความรักจากเด็กยันแก่ของพี่เทิดกับแม่วัน  มาสู่ความรักในแบบอื่นบ้าง

ความรักในบ้านเกิดเมืองนอน  ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่ถูกเรียงร้อยถ้อยคำบรรยายอย่างละเมียดละไมในนวนิยายเรื่องนี้ เชื่อสุดใจเลยว่ามันออกมาจากความรักชลบุรีของคุณปิยะพรอย่างถึงแก่น เกร็ดประวัติศาสตร์ก็ละเอียดละออถูกใจคนรักนวนิยายย้อนยุคอย่างแน่นอนค่ะ

ความรักในพระเจ้าแผ่นดิน   เรื่องเริ่มใน พุทธศักราช ๒๔๔๕ จุลศักราช ๑๒๖๔ รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  จบลงในช่วงพุทธศักราช ๒๔๘๖ จุลศักราช ๑๓๐๕ รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ เป็นปีที่ ๙ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

เอาจริงๆ เลยนะ เราไม่รู้ว่าจุลศักราช หมายถึงอะไรและนับอย่างไร แต่การได้เอ่ยถึงอะไรต่างๆ ที่เป็นไทยดั้งเดิม แม้แต่คำว่า "พุทธศักราช" ที่นานทีปีหนจะได้เอ่ยคำเต็มๆ จากที่พูดอยู่แต่คำว่า พ.ศ. หรือแม้แต่การพิมพ์เลขไทย มันก็ทำให้รู้สึกดีนะ  นอกจากความเป็นไทย วิถีชีวิตท้องถิ่นดั้งเดิมที่เรียบง่ายและเป็นสุขแล้ว ส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่เทิดทูนไว้เหนือเกล้าก็คือกษัตริย์ของแผ่นดินที่เรียกกันว่า "ในหลวง"

... เพียงนั่งทำงานกันได้ไม่เท่าไร  ใครสักคนก็วิ่งโครมๆ เข้ามาบอก ..'ในหลวงจะเสด็จฯ เมืองชล' เรือโมเตอร์ที่ประทับเตรียมเข้าเทียบท่าที่สะพานศาลเจ้า ... เพียงเท่านั้นเองวงกก็แตก!

ทุกคนในโรงเรือนที่ทำงานอยู่วิ่งกรูกันออกมาดูตรงปลายสะพาน แม่วันเห็นตรงกลางทะเลกว้างเวิ้งว้างนั้น มีเรือลำใหญ่ของทหารเรือแบบที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเรือตอร์ปิโดจอดทอดสมออยู่ และมีเรือยนต์ลำเล็กลำหนึ่งแล่นตรงเข้ามายังท่าเรือที่สะพานศาลเจ้าซึ่งมีเรือเมล์จอดเทียบอยู่แล้วสองลำ ทั้งคนบนท่าเรือก็เคลื่อนไหวคึกคักผิดสังเกต

ดูท่าแล้วคงเป็นจริงตามข่าวลือ! คงเป็นอย่างที่ครูเนื่องออกปากเอาไว้เมื่อวันวาน .. หากบุญถึง เราคงได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสักวัน! 

ไม่ต้องหยุดคิดอีกแม้สักวินาทีเดียว แม่วันเผ่นนำหน้าใครต่อใครลงเรือมาดลำน้อยที่พายมาจากบ้านเมื่อเช้า ใจหวนนึกถึงครูเนื่อง อยากให้เข้าร่วมชมพระบารมีด้วย แล้วยังนางจาด นางปริก...

การบรรยายฉากความโกลาหลเล็กๆ ของประชาชนผู้ตื่นเต้นจะได้รอรับเสด็จในหลวงและความตื้นตันเมื่อได้ชื่นชมพระบารมีชวนซาบซึ้งมาก ไม่รู้เป็นอะไรถ้าเจออะไรที่เขียนเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวจะรู้สึกอ่อนไหวน้ำตาซึมทุกที วันนั้นดูข่าวในหลวงของเราเสด็จวังไกลกังวลก็น้ำตาซึมค่ะ อินไปกับคนที่ได้มีโอกาสรอรับเสด็จด้วย เมื่อครั้งยังเด็กเคยไปถือธงรอรับเสด็จของสมเด็จพระเทพฯ ใช่ว่าจะได้เห็นชัด แค่รถพระที่นั่งวิ่งผ่าน ไม่รู้ทำไมความปลื้มปีติถึงได้ล้นอกล้นใจ ครั้งหนึ่งในชีวิต เคยไปรอรับเสด็จในหลวงที่สนามหลวง คนมากมาย (ในเสื้อสีเหลือง) มากซะจนเบียดเสียดเยียดยัดและเราก็ไม่มีบุญพอจะสบช่องได้เห็นพระองค์ท่านด้วยซ้ำ แต่แค่ได้โบกธง ได้เปล่งเสียง ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ! ก็ซาบซึ้งจนน้ำตาปริ่ม เป็นความสุขความอิ่มเอิบใจอย่างยิ่ง  เราเข้าใจเลยว่าทำไมคนที่ได้รับเสด็จในข่าวทีวีถึงปลื้มปีติจนต้องร้องไห้ออกมา  อย่าว่าแต่ได้เห็นในหลวงเลย แค่ได้ลงนามถวายพระพรแต่ละครั้งนอกจากจะเกิดความรู้สึกซาบซึ้งแล้ว ในวินาทีที่เราเขียนว่าเราจะทำอะไรเพื่อในหลวง ในถ้อยคำที่ได้เปล่งปฏิญาณในพิธีการต่างๆ สำหรับเราแล้วล้วนเป็นความมุ่งมั่นมาจากใจ  นี่เองละมังที่เป็นพลังแห่งพระบารมี

ดังนั้น ถ้อยคำ .. 'ภาพนี้ไม่มีวันลบไปจากความทรงจำ'  ...   'จำได้ติดตาแม้กระทั่งรองพระบาทหนังบางๆ '   'แช่มชื่นฉ่ำเย็นไปทั่วทั้งร่าง' '    ความปีติอิ่มเอิบที่แล่นพล่านไปทั่ว'     'ความอิ่มเอมใจวันนี้ สามารถเก็บไว้ดื่มกินได้ตลอดชีวิต'    'จะจำไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ' ฯลฯ เชื่อว่าสำหรับคนเคยได้มีบุญเข้าเฝ้าในหลวงจะรัชกาลไหนก็เถอะ คงจะเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ในนวนิยายเรื่องนี้ได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์และสถานที่ในอดีตที่มีความเกี่ยวข้องกับในหลวงซึ่งถือเป็นประวัติศาตร์ของ จ.ชลบุรี ที่ชาวชลบุรีควรได้ภาคภูมิใจ 

สุดท้าย ที่อยากจะเอ่ยถึง คือ

ความรักในคุณธรรมความดี  เราอาจไม่ใช่คนดีถึงขนาดแม่วันหรอกนะ เพราะอย่างแม่วันเรื่องนี้น่ะ จัดระดับอยู่ในคำว่าดีเลิศประเสริฐศรี  แต่เราไม่ปฏิเสธความดีในแบบของแม่วัน แม้หลายคนอาจมองว่าคนดีขนาดนั้นคงอยู่ในโลกอย่างทุกวันนี้ไม่ได้  .. ไม่รู้สินะ ถึงเราเป็นคนดีแบบนั้นไม่ได้ แต่ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เราคิดว่าสิ่งที่แม่วันทำนั้นถูกและดีงามแล้ว แม้ว่าส่วนตัวเราจะชอบคนแบบพ่อเทิดมากกว่า คือเจ็บแล้วจำ ใครร้ายมาต้องร้ายสั่งสอน แต่ถ้าเราเชื่อในความดีแบบที่แม่วันตั้งใจกระทำ ก็หวังว่าความเชื่อนี้จะน้อมใจให้อ่อนโยนและเป็นคนดีที่ดีได้สักเสี้ยวของแม่วันน่ะนะ   หลายสิ่งก็ตรงกับทัศนคติความเชื่อของเราเองอยู่แล้ว ทั้งความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เราคิดว่ามันได้ลดน้อยหายไปมากจากสังคมไทยในยุคปัจจุบัน  ความกล้าคิดกล้าแสดงออก ความตรงไปตรงมามันสับสนกันไปค่อนข้างมากกับคำว่า  'กร่าง' และ 'เกรียน'   ความกตัญญูรู้คุณที่เราถูกอบรมสั่งสอนมาก็ดี หรือที่เราได้พบเห็นมามากในกุศลผลบุญของคนที่รู้จักกตัญญูรู้คุณก็ดี เรามีความเชื่อสุดจิตสุดใจเลยว่า คนที่มีความกตัญญูชีวิตจะเจริญรุ่งเรือง หรือต่อให้มีเวรเก่ากรรมใดให้ต้องตกทุกข์ได้ยากก็จะไม่ลำบากยากเข็ญอยู่นานหรือหาทางออกไม่ได้   แม่วัน..แม้จะอาภัพหนักหนา มีญาติ..ก็เป็นญาติอัปรีย์  พ่อเทิดแม้จะเดือดเนื้อร้อนใจเพราะภรรยาอีกคนของคนของคุณเตี่ย คือ  "แม่ชั้น" กับลูกหญิงชายของนาง  แต่ที่ชีวิตโดดเดี่ยวของแม่วันไม่เคยโดดเดี่ยวเพราะเต็มไปด้วยอภิชาตมิตรที่รักและหวังดีต่อแม่วันยิ่งกว่าเป็นญาติ ย่าเนื่อง ยายจาด ยายปริก คนในครอบครัวพี่เทิด หรือใครต่อใคร ที่ได้รู้จัก "นังหนูวัน"  ก็เป็นเพราะโอบอ้อมอารีย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน เช่นเดียวกัน ที่พ่อเทิดที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นที่เอ็นดูของแม่ใหญ่ เป็นที่รักห่วงใยของบรรดาคุณพี่  คุณอิน คุณอี่ คุณอ้าย คุณเอิบ ก็เพราะความกตัญญูรู้คุณต่อคุณเตี่ย ความขยันขันหมั่นเพียร รู้จักทดแทนคุณด้วยการรับผิดชอบการงานตั้งแต่อายุยังน้อย

เรื่องของคุณธรรมความดีในเรื่องนี้ สอดแทรกอยู่ในเนื้อหามากมาย แต่ถ้าเอาเนื้อความเหล่านั้นมารวมกัน ก็สรุปได้ง่ายๆ ตามแก่นสาระของผู้ประพันธ์นั่นแหละว่าเป็น ศีลห้า และ ฆราวาสธรรมสี่ 

ศีลห้านั้นเรารู้จักกันดีแล้ว (โดยการท่อง ... ส่วนการกะทำ ..ก็ไม่รู้สินะ อิอิ)  ฆราวาสธรรมสี่เราอาจจะไม่คุ้นเคยสักเท่าไร  ขอคัดจากหนังสือมาบอกเล่า คัดมาจากฉากน่ารักฉากหนึ่งที่แม่วันตอนเด็กเคยเผลอหลับในเรือศรีประสิทธิ์ที่พี่เทิดนำออกทะเล โดยที่พี่เทิดไม่ทันรู้ว่าในท้องเรือมีแม่วันติดมาด้วย  

"เก่งนี่ รู้จักฆราวาสธรรมเสียด้วย มีอะไรบ้างล่ะ" พ่อเทิดซักอีก เด็กหญิงตัวเล็กไว้จุกที่วันนี้มีปิ่นทองลงยาฝังพลอยแพรวพราวเสียบประดับอยู่แทนปิ่นไม้หรือไม่ก็ขนเม่นแบบที่ใช้เสียบอยู่ทุกวัน ยกนิ้วขึ้นมากางนับพลางบอกเสียงใส 

"ข้อที่หนึ่งคือสัจจะ จะเป็นคนดีเราต้องมีสัจจะ ต้องซื่อสัตย์ซื่อตรง พูดอะไรกับใครไว้ก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูดค่ะ  ข้อสองคือทมะ  เราต้องรู้จักข่มใจ ต้องฝึกฝนปรับทั้งตัวปรับทั้งใจ ใช้สติปัญญาแก้ไขข้อบกพร่องแล้วสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ตัวเอง"..............

"ข้อที่สามคือขันติ ต้องอดทน ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อถอย มีหน้าที่อย่างไรเราก็ทำไป ยึดจุดหมายปลายทางของเราเองไว้ให้มั่น ต้องเข้มแข็งทนทานกับความยากลำบาก ย่าบอกว่า แม่วันเอ๊ย เราน่ะต้องมีข้อนี้ให้มากนะ ไม่ว่าใครมันจะรังเกียจ รังแกเราอย่างไร เราก็ต้องอดทนไว้ ต้องวางตัววางใจให้อยู่ในขันติ อย่าให้กลายเป็นขันแตกไปได้ง่ายๆ".....................

"ฆราวาสธรรมข้อสี่คือจาคะ ได้แก่ความเสียสละ สละความสุขสบายและผลประโยชน์ของเราเพื่อผู้อื่นได้ ใจกว้าง ช่วยเหลือเผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อ ไม่เห็นแก่ตัวค่ะ"..........

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

เป็นหลักชีวิตที่ดีงามที่จะขอจดจำเอาไว้   ณ จุดๆ นี้ (อย่าลืมทำเสียงแบบพี่โน๊ตอุดม) ขอน้อมใจมีความเชื่อความศรัทธาในหลักธรรมของพุทธศาสนาเรา  เชื่อในบาปบุญคุณโทษ เชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เชื่อเอาไว้ก่อน แต่จะพยายามเป็นคนดีได้แค่ไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ  

จริงๆ แล้วเป็นคนดีมันก็ไม่ยากหรอก  ก็แค่ไม่ทำชั่วก็เป็นคนดีแล้ว แต่ปัญหาคือการทำชั่วมันทำง่าย (แค่วูบหนึ่งของอารมณ์)  บางครั้งการจะเป็นคนดีมันก็เลยเป็นยาก.. อยู่บ้าง   

แม่วันเป็นตัวอย่างของคนที่มีหัวใจเมตตา ไม่มีความไม่โกรธแค้น ไม่ผูกใจเจ็บ รู้จักปล่อยวาง และให้อภัย

ถ้าใครเป็นคนแบบนี้ได้ อยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร อยู่กับใคร ชีวิตย่อมเป็นสุข  

ชอบมากค่ะ ในวารวัน.. ขอบคุณ "คุณปิยะพร ศักดิ์เกษม" สำหรับการสร้างสรรค์บทประพันธ์ที่งดงาม

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

หมายเหตุ : นวนิยายเรื่องในวารวัน ได้รับรางวัลชมเชยประเภทนวนิยายจากการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี พ.ศ.๒๕๔๙ จากสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งประเภทนวนิยาย จากโครงการประกวดหนังสือดีเดี่น 7 Book Awards ครั้งที่ ๔ ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2556    
Last Update : 22 สิงหาคม 2556 12:02:25 น.
Counter : 6858 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.