Group Blog
 
All blogs
 
ด้วยรักและคิดถึง อ่านอีกครั้ง..จากอีกครั้ง ..ด้วยรักและคิดถึง

เพราะความคิดถึงทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง

จับปากกาขึ้นมาละเลงเรื่องราวความรักของเขา

ความรักที่ไม่รู้ตัวเองว่าเกิดขึ้นเมื่อไร

และเพราะอะไร 'ศัตรู' ตัวเล็กร้าย

จึงกลายมาเป็นคนรัก

...

คำโปรยปกใน

คุณที่ติดตามอ่าน  ทานตะวันสีทอง  คงจำได้ว่า พระเอกของเรื่องตัวนิดเดียว แบบผู้ชายไทยแท้ สูงแค่ห้าฟุตสองรึสาม แต่ก็มีรักแท้ในหัวใจที่คุณประทับใจมาแล้ว ใช่ค่ะ 'คุณหมอติโรธ' และคุณคงจะจำได้ถึงหลานชายสุดหล่อแสนทะเล้น ป.ส.ญ. ของคุณหมอคนนี้ได้ 'คุณพฤช' ได้รับคำสั่ง (ลับเฉพาะ) จากบรรดาเพื่อนหมอติโรธ ให้เขียนเรื่องราวที่คุณหมอไม่ยอมเปิดเผยใน ทานตะวันสีทอง ลงในเรื่อง 'ด้วยรักและคิดถึง' นี้  โทษฐานที่แอบเอาความลับของเพื่อนๆ ไปเขียนขาย

แต่.. เรื่องอะไรก็ไม่สนุกเท่าความรักของคุณเบิ้มเอง ก็คุณเบิ้มไปหลงรัก 'คู่กัด' ของตัวเองเข้า  เธอคือ 'นับดาว' หญิงสาวตัวเล็กที่ชอบใส่ส้นตึก (รองเท้า) กับนุ่งยีนส์คอตก เขาทั้งสองเจอกันเพราะกรณีพิพาทระหว่างรองเท้าส้นตึกของคุณนับดาวและสเก๊ตบอร์ดของคุณพฤช ตำนานคู่กัดจึงเกิดขึ้น   

จากวันนั้นถึงวันนี้ ความผูกพันในฐานะที่เป็นคู่กัด ทำให้ทั้งสองสนิทสนมจนเติบโตกลายเป็น ความรัก.. ความเข้าใจ และความคิดถึงที่จะขาดจากกันไม่ได้


หากถามถึงงานชอบชิ้นเอกจากอีกหนึ่งนักเขียนในดวงใจนาม  'โสภาค สุวรรณ' อาจจะมีความชอบต่างไปจากคนอื่นอยู่สักหน่อย คือ ไม่ใช่เรื่องรักโรแมนติกฮิตๆ อย่าง 'ฟ้าจรดทราย' แต่เป็นรักละมุนไม่หวานข้นไม่อ่อนจางอย่าง 'ด้วยรักและคิดถึง' ที่บางคนก็ชอบ บางคนก็ติว่าอาการ ป.ส.ล. (ประสาทเล็ก) ป.ส.ญ. (ประสาทใหญ่) และ ป.ส.ด. (ประสาทแด..ก) มันออกเลอะเทอะลอยทะเลมากไปหน่อย ส่วนตัวแม้จะมึนกับอาการประสาทเหล่านี้มิใช่น้อย แต่โดยรวมแล้วดันเป็นนิยายที่รักไม่น้อยไปกว่าเรื่องไหนๆ ที่เคยรัก  

และเวลาเขียนถึงเรื่องที่รักที่ชอบก็อดไม่ได้ที่จะสปอยล์ 

เรื่องราวของ "คุณพฤช" หรือมีชื่อเล่นง่ายๆ กันเองว่า "เบิ้ม" หลานชายจอมทะเล้นของ "คุณหมอติโรธ" หรื "คุณช้าง" พระเอกเรื่อง "ทานตะวันสีทอง"  ซึ่งเป็นตัวละครหนึ่งที่มีบทบาทอยู่ในนิยายเรื่องนี้ด้วยกันกับนางเอกของเขา "คุณแก้ว" ที่ได้กลายมาเป็นอาสะใภ้ของเบิ้มแล้วในเรื่องนี้ 

"คุณเบิ้ม" คือชื่อที่คนเรียกคุณพฤชกันโดยทั่วไป ส่วน "ไอ้เบิ้ม" นั้น เป็นคำนำหน้าใช้เฉพาะคนสนิทบางคนที่คุณเบิ้มเล่นหัวลามขี้กลาก เช่น คุณช้าง ไอ้หั่งจู เพื่อนรักที่เมืองไทย ... ส่วนบรรดาอาๆ เพื่อนขุนช้างอย่างหมอท้อ หมอแหวน จะเรียกกึ่งรักกึ่งเอ็นดูกึ่งหมั่นไส้ในความบ้าบอว่า "เจ้าเบิ้ม"

ถ้าจะขอคำหนึ่งคำสั้นๆ สำหรับคุณเบิ้ม  ไม่มีคำไหนสมควรจะใช้มากไปกว่า "ไอ้บ้า!" ที่ความหมายกินขอบเขตครอบคลุมถึง ความทะลึ่งทะเล้น พิลึกกึกกือ เพี้ยน เฮี้ยน พิศดาร  ป.ส.ญ. ถึงขั้นอ่านแล้วชวน ป.ส.ด. ลงตับ ด้วยสำนวนพูดจาภาษาพึลึกพิลั่น เรื่อยเจื้อย ไร้สาระ  แหกคอกลงคู น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งไม่เห็น ไหนจะตำรามหาโหร ดูดวง  ตำรับตำรา คาถา สมุนไพร เรื่องพระอาจารย์ฤาษีเฝ้าถ้ำตะพึดเอย นกถึดทือเอย  ฯลฯ ช่างบ้าบอ บ้าบวม ไร้สาระสิ้นดี  แล้วไหนจะความสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรงรับจำนำ เพราะชอบแลกดุ่ม  ซื้อดะ ชนิดที่ว่า มีเท่าไหร่ ฉ.ห.ว.ว. (ฉิ บ หา ย วาย วอด) ให้สมกับที่หมอดูทักว่าถือกำเนิดในฤกษ์ถุงเงินรั่ว แล้วยังครึ้มกับการ ส.ป.ช.(สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต)  ไม่ว่าจะกัญชา ยาเสพติด หรือเซ็กส์อิสระ คุณเบิ้มเป็นเคยลองเคยรู้ แก่ประสบการณ์มาหมดแล้วมิให้เสียโอกาสที่ได้มาร่ำมาเรียนไกลถึงประเทศเสรีอย่างอเมริกา 

แล้ว .. มีดีบ้างมั้ยเนี่ย..พระเอก ?

คำตอบของคำถามนี้แหละค่ะ คือสาเหตุที่ทำให้ชอบ "คุณพฤช" หรือ คุณเบิ้ม ไม่น้อยหน้าไปกว่าพระเอกนิยายเรื่องโปรดคนไหน เพราะชอบสไตล์นี้มากเป็นการส่วนตัว สไตล์ซับซ้อนนิดหน่อย ด้วย "เปลือกนอก" และ "เนื้อใน"

ในความบ้าบอ ป.ส.ญ. เป็นล้นพ้น มี "เนื้อแท้" ของคุณเบิ้ม และมี "เนื้อหา" ของเรื่องราวที่เป็นสาระ  ในความบ้าบวมร้อยประโยค ถึงจะพบสิ่งเหล่านี้ ซ่อนอยู่ แทรกอยู่ ไม่กี่ประโยค แต่มันก็สำคัญพอจะสร้างความรู้สึกด้วยรักและนับถือที่มีต่อตัวละครนี้ได้

เหมือนกับ "นับดาว" นางเอกของเรื่องไง ที่แรกๆ ก็ไม่ชอบคุณเบิ้มเอาซะเลย ตอนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ไปพักใหญ่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกันกับนับดาว  เอ่อ...  พระเอกเค้า .. เพ้อเจ้อบ้าบออะไรกันเนี่ย ? แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ ในเปลือกนอกมีเนื้อใน มีบางอย่างที่น่าสนใจอยู่ในความคิดอ่านและการกระทำของคุณเบิ้ม  มันแทรกอยู่นิด ซ่อนอยู่หน่อย จนทำให้ต้องสนใจอ่านไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่คุณเบิ้มได้พบกับคุณนับดาวก่อตัวเป็นความรักความผูกพันที่ร้อยเรียงเรื่องราว (บ้าๆ) ไปจนจบ นิยายเรื่องนี้ที่ไม่ได้หวานไม่ได้แหววอะไรเลย ก็สามารถขึ้นแท่นเป็นนิยายเรื่องโปรดในดวงใจ คิดถึงเมื่อไหร่ก็หยิบมาอ่านได้ไม่มีเบื่อ

"คุณเบิ้ม"  เป็นลูกชายโทนของพ่อแม่ เติบโตมาด้วยความรักความอบอุ่น ครอบครัวรายล้อมด้วยญาติสนิทมิตรสหาย พ่อแม่มีเบิ้มตอนอายุมาก เมื่อเบิ้มเริ่มโตเป็นหนุ่มพ่อที่เป็นนายแพทย์ก็ถึงวัยเกษียณแล้วแต่ยังทำคลีนิคพอมีรายได้เลี้ยงตัวและส่งเสียลูกชายมาเรียนอเมริกา  เบิ้มเรียนปริญญาตรีทางด้านเคมี หรือทางสายนี้อาจเรียกได้อีกอย่างว่าเป็น นักเรียนเตรียมแพทย์ เขาอยากเป็นหมอเหมือนพ่อ และน้า-หมอติโรธ ผู้เป็นทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ เป็นผู้คอยควบคุมความประพฤติ (ที่ไม่ค่อยได้ผล) และควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นด่านอรหันต์ที่เบิ้มยากจะฟันฝ่าเพื่อล้วงเอาเงินออกมาใช้ได้  จะขอเพิ่ม ขอเบิกล่วงหน้าล้วนยากเย็น และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขอถือบัญชีเงินฝากที่พ่อโอนมาให้ด้วยตนเอง

เบิกเงินจากคุณช้างโดยไม่มีใบเสร็จหรือเหตุผลอันจำเป็นและสมควร นอกจากจะไม่มีทางได้เงิน ยังจะโดนสวดเสียยับ  ความจริงแล้วตัวเบิ้มเองก็เป็นคนรู้คิดว่าครอบครัวไม่ใช่เศรษฐีร่ำรวย พ่อต้องทำงานหนักเพื่อส่งเสียค่ากินอยู่เล่าเรียน แต่เบิ้มดันมีนิสัยสุรุ่ยสุร่ายจ่ายดะ หนึ่งในอาการประสาทใหญ่ของเบิ้มคือต้องเปลี่ยน ต้องซ่อม ต้องซื้อ ต้องแลก ต้องจำนำ ถ้าไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เบิ้มจะลงแดง มันไม่ใช่อาการที่จะบำบัดได้ง่ายๆ  เมื่อไม่มีเงินจะใช้จ่ายระบายความเครียดดังว่า เบิ้มก็ต้องหาเงิน และหาเก่งเสียด้วย  เป็นนักเรียนเตรียมแพทย์เรียนเคมี แต่เบิ้มมีหัวด้านช่าง กลไก อิเล็คทรอนิกส์ จนใครๆ ว่าน่าจะไปเป็นเอนจิเนียร์ การดัดแปลง การซ่อมแซม เป็นหนึ่งในทางทำมาหาเงินของเบิ้ม ไม่นับรวมที่ทำงานพิเศษต่างๆ ใครๆ ก็รู้ว่าเบิ้มหาเงินได้ แต่เบิ้มไม่เคยมีเงินเหลือ หาได้เท่าไหร่ ก็ใช้ไปจนหมด ปัดตูดเกลี้ยงตลอด

คุณเบิ้ม อาจบ้าบอ ป.ส.ญ. แต่มันก็คงเป็นผลพวงมาจากการเห็นแก่ความเหนื่อยยากของพ่อแม่  ปริญญาตรีคนทั่วไปเรียนสี่ปี แต่เขาต้องการจะเรียนให้จบภายในสามปีเพื่อรบกวนพ่อแม่ให้น้อยลง จึงลงเรียนมากถึง 25 เครดิตต่อซีเมสเตอร์ เพราะเรียนมากจึงประสาทมากไงล่ะ  แต่คุณเบิ้มเค้าประสาทแค่การพูดจาเพ้อเจ้อ พิศดาร พิลึกกึกกือ แค่นั้นเองหรอกนะ เพราะในการงานเบิ้มจริงจังไม่มีเหลาะแหละ และเรื่องการเรียนเบิ้มเป็นถึงนักเรียน ออร์เนอโรล ที่มีเกรดเฉลี่ย 3.8 อัพ

ถึงจะมีอาการ ป.ส.ญ. ที่เลื่องลือ แต่ในหมู่นักเรียนไทยโดยทั่วไปต่างรู้ดีว่า คุณเบิ้มมีความบ้าที่ทำคนส่ายหัวระอาเพราะพูดจาบ้าบอฟังไม่เป็นสาระก็จริง แต่เขาก็มีความดีที่คนนิยมคบหาและให้ความนับถือ  (respect) เขาจึงเคยเป็นถึงประธานนักเรียนไทย มีเพื่อนฝูงคนไทยที่สนิทสนมกัน  เพราะความมีน้ำใจไมตรี ใครเดือดร้อนไม่นิ่งดูดาย หากเพื่อน หรือรุ่นพี่นักเรียนไทยคนไหนต้องการความช่วยเหลือ คุณเบิ้มเป็นที่พึ่งพาได้

 แต่ใครๆ ที่รู้ว่าเบิ้มดีนั้นไม่นับรวม "เธอ" ผู้มาใหม่

"คุณนับดาว" ผู้มีบุคลิกและลักษณะนิสัยตรงกันข้ามกับเบิ้มทุกประการ เรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวในทุกๆ ด้าน เล่าอย่างนี้ คงพอนึกภาพออกนะคะ พระเอกตัวสูง เพื่อนฝูงมาก พูดมาก ป.ส.ญ.มาก ฟุ่มเฟือยมากอ่ะค่ะ ส่วนนางเอกตัวเล็กบาง พูดน้อย เก็บตัว เงียบขรึม จริงจังกับชีวิต เป็นสุดยอดประหยัดมัธยัสธ์และอดออม ที่สำคัญคือ นับดาวเป็นเด็กบ้านแตกพ่อแม่หย่าร้าง พ่อแต่งงานมีครอบครัวใหม่ แม่ก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ นับดาวจึงกลายเป็นส่วนเกินของทั้งสองฝ่ายและเติบโตขึ้นมาในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งของอเมริกา และเมื่อถึงวัยเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็กลายเป็นเด็ก รันอเวย์ฟรอมโฮม จากครอบครัวฝ่ายแม่มาเรียนไกลถึงรัฐนี้ (ที่ๆ มีคนบ้าอย่างคุณเบิ้มอยู่อาศัย) เธออยู่เงียบๆ อย่างเก็บตัวและไม่ค่อยนิยมคบใครสักเท่าไหร่นอกจากพี่นิด สาวใหญ่ใจดีที่เป็นรูมเมท

เบิ้ม เป็นคนเปิดเผยเป็นกันเอง เข้ากับผู้คนง่ายดาย และโดยเฉพาะถ้าคนที่ว่าเป็น "ผู้หญิง"  แต่ไม่รู้เป็นอะไรกับนักเรียนใหม่คนนี้ ที่เบิ้มจำเพาะต้องมารู้สึกขวางหูขวางตาตั้งแต่แรกเห็น และเป็นครั้งแรกด้วยเหมือนกันที่เบิ้มจะเคยไม่ถูกเส้นกับมนุษย์ผู้หญิงน่ะนะ รู้สึกเหมือนว่าเกลียดยัยนี่เข้าไส้ ..  นักเรียนใหม่ก็ใช่จะชอบรุ่นพี่คนนี้เหมือนกัน แต่ถึงจะไม่ชอบหน้ากันยังไง ก็มีเหตุต้องพบปะ เพระเบิ้มรักและนับถือ "พี่นิด" ขนิษฐา นักเรียนไทยรุ่นพี่ที่เบิ้มรักเหมือนพี่สาวและมักมาอาศัยฝากท้องกับอาหารไทยๆ ฝีมือพี่นิด แก้เบื่ออาหารฝรั่งอยู่บ่อยๆ  แล้วยายนับดาวนับเดือนก็ดันมาเป็นรูมเมทของพี่นิด แล้วอยู่กันไปไม่กี่วันพี่นิดก็หลงรักน้องสาวคนใหม่นักหนา ก็ยากนักล่ะที่จะไม่เจอกัน

"สงครามขี้ฟัน" จึงถือกำเนิด!!


สารพัดนึกเลยละ ที่เบิ้มจะเรียกคุณนับดาว (แต่ไม่ได้เรียกให้ได้ยินกับหูนักหรอกนะ) นักเดินยอดตึก ยายม้าหางลา ยายหน้าขิง (หน้าหงิกงอเป็นก่อขิง) สงสัยยายนี่เกิดมายิ้มไม่เป็น ชื่อพิลึก ยายดาวนำ ดำนา ยายม้าหางลากระจุย ยายแม่มดดราปุนเซล ยายขี้เหนียว จอมหนึงหนืด  ยายมหาหนืดแห่งหลอเร้ง หนึงยิ่งกว่าตังเมหลอด ..ฯลฯ

สารเพเหมือนกัน ที่นับดาวจะด่าคุณเบิ้มทั้งต่อหน้าตรงๆ และที่ส่งเสียงอุบอิบลอยมาให้ได้ยิน เวียร์โด(ไอ้บ๊อง)  เครซี่ (ไอ้บ้า) สตูปิดเหนิด นาร์ซีสซัส (ไอ้บ้าหลงเงา)  สน็อป (ไอ้ขี้มูก) เพอร์เซิน พินเฮด (ไอ้หัวเข็มหมุด) เวียร์เนิด บาโลนี่ แรทส์  ฯลฯ เบิ้มบรรยายว่าเป็นภาษาสแลงด่าของเด็กๆ ทะเลาะกันที่ไม่ถึงขั้นหยาบคายน่ะค่ะ

คนอื่นว่าคุณนับดาว ผิวสวย หน้าตาสะอาดสะสวย ถึงจะตัวเล็กแต่รูปร่างก็สมส่วนน่าเอ็นดู๊ แต่สำหรับเจ้าเบิ้ม ยายดาวนำ-ดำนา นอกจากตัวจะสุดเตี้ย  รูปร่างยังผอมบางเป็นกระดาษว่าว หน้าก็งอเป็นม้าหมากรุกตลอดปีตลอดชาติ แล้วยังน้ำเสียงมะนาวหน้าแล้งตลอดเวนั่นอีกล่ะ (ไม่รู้น่ารักตรงไหน )

คนอื่นพอรู้ว่าเบิ้มมีทั้งบ้าทั้งดีอยู่ในตัว แต่กับยายคนนี้ไม่รู้เป็นไรเบิ้มอยากบ้าให้เห็นอย่างเดียว บ้าสุดๆ ให้นางกรี๊ด ไม่มีอะไรจะสนุกเท่าการได้ยั่วโมโหให้ยายหางลาโกรธแทบดิ้นและเปล่งคำเจริญพร(ด่า) ส่งมาให้  และด้วยความสนิทนับถือที่มีต่อกันกับนักเรียนไทยรุ่นพี่ "อาจารย์ทวีพันธ์" ทำให้เบิ้มผู้ไม่นิ่งดูดายขัดคำขอร้องไม่ได้จนต้องกลายมาเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้อาจารย์ได้สมรักสมหมาย นี่เป็นงาน "ช่วยเหลือ" ที่แม้จะมีสัญญิงสัญญาเป็นรางวัลใหญ่ล่อใจ แต่มันไม่ใช่งานง่ายเลย อาจารย์นะอาจารย์จะชอบผู้หญิงทั้งที ทำไมต้องมาเป็นคนนี้ 'ยายท่อนซุง'  (ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากหมายเลขที่ท่านจีบ)

อ่านถึงตรงนี้คุณอาจนึกถึงพลอตทั่วๆ ไป ที่พระนางเป็นคู่กัดกัน แต่เรารู้สึกว่าเขาและเธอมีความแตกต่าง คือไม่ได้กัดกันแบบตะพึดตะพือน่ารำคาญ แค่ไม่ถูกชะตา รู้สึกขวางๆ กันอย่างน่ารัก เป็นว่าคนหนึ่งช่างยั่วด้วยอาการ ป.ส.ญ. คนหนึ่งก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากแว้ดเอาบ้างหรือไม่ก็อุบอิบด่าลอยมา  ทั้งสองคนต่างสนิทคบหากับ พี่นิด ที่เป็นคนกลาง ผู้มักได้ฟังแต่ชื่อ "คุณเบิ้ม" ออกจากปากของนับดาว  เหมือนไม่ชอบหน้า แต่เธอช่างจดช่างจำใส่ใจสารพัดเรื่องพิลึกกึกกือของคุณเบิ้มที่คอยยั่วคอยกลั่นแกล้งให้โกรธ ส่วนคุณเบิ้มก็แปลก ปกติเข้ากับคนง่ายจะตายไป เป็นอะไรต้องมานึกสนุกกับการกลั่นแกล้งแต่นับดาว  เอ..มันแหม่งๆ นะ

นับดาว ก็เหมือนเราคนอ่าน ที่ค่อยๆ ซึมซับเนื้อแท้ใจจริงของคุณเบิ้ม แม้จะคึกคะนองโลดโผน แต่ก็ไม่โง่พอจะทำลายตัวเองให้เสียคน  ในภาษาบ้าบอที่พรรณาถึงครอบครัวญาติพี่น้องด้วยโวหารพิลึกพิศดารแค่ไหน คนฟังจะรู้สึกได้ถึงความรักและการมีชีวิตสนุกสนานอย่างคนมีความสุข ถึงคุณช้างจะคอยด่าว่า โมโหโทโส แกว่งเท้าไล่เตะไอ้เบิ้มยังไง นั่นคือความรัก ความห่วงใยที่มีต่อหลานชาย เช่นเดียวกับบรรดาอาๆ เพื่อนฝูงของคุณช้าง ที่การจดหมาย การฝากข่าวฝากถ้อยคำถึง "เจ้าเบิ้ม" คือความสนิทสนมรักใคร่เอ็นดูกันมา แม้ว่าเจ้าเบิ้มมันจะประสาทมากไปสักหน่อย ก็ไม่มีใครห่วงว่าเบิ้มจะเสียคนนัก ห่วงแต่ว่ามันจะ ป.ส.ด. จนต้องสั่งจับจองเตียงในโรงพยาบาลเอาไว้ให้ล่วงหน้าเข้าจริงๆ

ในการดำเนินเรื่องที่เต็มไปด้วยความ ป.ส.ญ.ของคุณเบิ้ม มีสาระแง่คิดที่ผู้เขียนได้สอดแทรกอยู่เป็นระยะเกี่ยวกับทัศนคติ ค่านิยม ในเรื่องของการศึกษา ที่แม้ตัวละครในเรื่องนี้จะไปเรียนต่างแดนแต่ก็แสดงมุมมองชัดเจนในเรื่องคุณค่าของคน ที่ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรียนอยู่ในหรือต่างประเทศ เรียนอะไร เรียนสถาบันไหน ระดับการศึกษา หรือผลการเรียน การอาชีพที่ชีวิตมีโอกาสได้ทำ ไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าใครอยู่เหนือใคร  

ตัวละครนำอย่างเบิ้ม คือคนที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในวัยที่ยังพอมีเวลามีโอกาสที่จะสนุกสนานกับชีวิต แต่เบิ้มไม่ได้หลงมัวเมา ไม่อกตัญญูต่อบุพการีผู้แก่เฒ่าลงทุกวัน ตรงกันข้ามเบิ้มเป็นลูกผู้ชายหัวใจนักสู้ มุมานะการเรียน สนุกกับการใช้เงินก็รู้จักหาเงินช่วยเหลือตนเอง ปากกัดตีนถีบ เรียนเหนื่อยสายตัวแทบขาด อาการ บ้าบอประสาทใหญ่ที่ต้องจับจ่ายใช้สอยจึงเป็นทางออกที่จะช่วยให้เบิ้มไม่ ประสาทแด๊กขึ้นสมอง  ส่วนตัวละครหลักอีกคน..นับดาว แม้จะเป็นนักสู้ดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง แต่เป็นคนละแง่กับเบิ้มที่ต้องการช่วยลดภาระทางบ้านไม่ให้พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานหนักมากเกินไป  แต่นับดาวดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองเป็นเพราะความโกรธเกลียดที่ฝังลึกในหัวใจของ "เด็กมีปัญหา" จึงปฏิเสธครอบครัวทุกอย่างจากครอบครัวที่เหินห่าง  อยากหลบหนี อยากตัดขาดความสัมพันธ์ไปมีชีวิตโดดเดี่ยวตามลำพัง 

สุดท้ายก็คือคนใจดี ที่ไม่นิ่งดูดายอย่าง เบิ้ม-ป.ส.ญ. นั่นเอง ที่ทำให้หัวใจที่เหน็บหนาวของคุณนับดาวอบอุ่นขึ้น แล้วก็เป็นคุณเบิ้มอีกเช่นกัน ..ที่จะช่วยชี้นำและปลอบประโลมให้เธอแง้มหัวใจใส่ความรัก ให้ตระหนักถึงพระคุณของบุพการีผู้ให้กำเนิด ถึงไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นมามากนักแต่ก็ยังได้ชื่อว่าเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมามีชีวิตอย่างนี้ได้  แล้วคนเป็นลูกจะโกรธจะเย็นชาโกรธเคืองต่อพ่อแม่ไปทั้งชีวิตได้ยังไง 

เวลาคุณรักใครฉาบฉวย จะพูดว่าผมรักคุณสักกี่พันก็ไม่รู้สึกยากเย็นเข็ญใจ

เท่ากะเวลาที่คุณรักใครชอบใครเพียงคนเดียวอย่างจริงจัง

เมื่อรู้ใจตัวเองแน่ชัดว่า ที่สนุก..สุขใจล้นเหลือกับการตั้งหน้าตั้งตากลั่นแกล้งให้คุณนับดาวโกรธปรี๊ดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นเพราะอะไร   อะไรๆ ที่ขวางหูขวางตา แน่หรือ?  ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวแต่ใจสู้เป็นบ้า ความขยันตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตมือไม้ไม่เคยหยุดนิ่ง ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ลึกลงไปในหัวใจของเบิ้มที่มีต่อนับดาวคือความชื่นชม ยิ่งรู้จัก ยิ่งนึกรัก นึกสงสาร  แม้อาการ ป.ส.ญ. จะไม่อาจลดละเลิกให้หายขาดไปทันใจเพื่อลบล้างภาพเดิมๆ ที่อุตริสร้างภาพให้เห็นเสียมากมาย  แต่เบิ้มก็ตั้งใจวางรากลงตอม่อ เพียรก่อเสา สร้างสะพานหัวใจขึ้นทีละเล็กละน้อย  ความสัมพันธ์ของเบิ้มกับนับดาวจึงค่อยๆ ผูกพันกันไปอย่างเป็นธรรมชาติ  ไม่ใช่ นึกจะด่ากันก็ด่า นึกจะดีกันก็ดี  .. เพราะเรื่องนี้..เนียนกว่านั้นมากนัก

เบิ้มเป็นเบิ้ม ป.ส.ญ. ที่ดูเหมือนวันๆ ดีแต่ทะลึ่ง ไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่นับดาว ..ที่เฝ้าดูและคบหา'เวียร์โด'คนนี้มาหลายปีย่อมได้รู้เห็นและมั่นใจว่าดูไม่ผิด 

"ผมไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียดและนึกตำหนิ

 ถ้าผมหาทางอื่นไม่ได้นอกจากทางนั้น ผมไม่เลือกเสียดีกว่า"

คือคำตอบของเบิ้ม .. ที่ทำให้นับดาวได้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้มีดีเกินกว่าที่เธอเคยคิดอีกมากนัก

อุปสรรค ที่ผ่านเข้ามาทำลายความฝัน ความตั้งใจที่พากเพียรบากบั่นมาตลอดเพื่อหวังจะมีอนาคตเป็นนายแพทย์เหมือนพ่อเหมือนคุณช้าง  ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ที่ทำให้นับดาวได้ซาบซึ้งในความเป็น สุภาพบุรุษลูกผู้ชายของคุณเบิ้ม   'โอกาส' ที่นับดาวไม่แคร์ ขอเพียงคุณเบิ้มเอื้อมมือคว้าและก้าวเดินต่อไปนบนเส้นทางที่ใฝ่ฝัน แต่คุณเบิ้มที่รักคุณนับดาว 'แคร์' 

"ผมทำไม่ได้น่ะซีฮะ มันหยาบเกินไป ..."

ถึงเรื่องนี้ไม่มีฉากอะไรจะหวานแหวว อุปสรรค ทางเลือก การตัดสินใจ ที่มีความรักเป็นเครื่องฉุดรั้งให้คิดให้เลือกในหนทางที่ซื่อตรง ที่ถูกต้อง ไม่ใช่เลือกเอาทางลัดที่ล่อใจเพียงเพราะมันง่ายกว่า แม้ใครอื่นทั่วไปจะทำกัน เพราะมันเป็นช่องโหว่ของโอกาสที่ทำได้โดยไม่ผิด แต่สำหรับเบิ้ม..มันผิด..และเขาจะไม่ทำ 

"ถ้าผมต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความไม่ถูกต้อง อะไรๆ ก็คงจะไม่ถูกตลอดไป

ผมไม่ต้องการจะให้พ่อทำงานจนตัวตายเพื่อตัวเองจะได้ความฝันที่สมบูรณ์ก็จริง

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะหยุดกระเสือกกระสนเพียงเท่านี้"

 'ความรัก' และ 'คำรัก' ของนับดาวกับเบิ้มจึงเป็นเหมือนเพื่อนแท้ เรียบง่าย แต่งดงาม  

เบิ้ม ป.ส.ญ. ที่พูดจาแต่เรื่องพิลึกน่าปวดหัวมาตลอด แต่เบิ้มในแบบนั้นก็สามารถเรียกน้ำตาให้เอ่อคลอได้ เพราะคำพูดของพ่อที่โทรศัพท์ทางไกลมาจากเมืองไทยมาถึงลูกชาย

"ขุนช้างโทร.. มาถึงพ่อ เรื่องทั้งหลายแหล่ ทำไมเบิ้มไม่บอกพ่อสักคำ

ว่าต้องใช้เงินมากมายเพื่อเข้าไปรเวทสคูลทางเม็ดดิซิน" 

.......

"ผมไม่อยากรับปริญญาแพทย์ศาสตร์ตอนพ่อหมดแรง เพราะทำงานหนักเพื่อผมน่ะฮะ

โธ่ พ่อฮะ..คนที่นี่เค้าก็ช่วยตัวเองกันทั้งนั้น ผมเป็นลูกผู้ชาย ไม่สู้แล้วจะเป็นผู้ชายไปทำไม"

ใช่แล้ว .. ถ้าไม่สู้จะเป็นลูกผู้ชายไปทำไม เพราะคุณเบิ้มสู้ และดิ้นรนอย่างมีศักดิ์ศรี ความแมนนี้จึงช่วยกลบคุณสมบัติ บ้าบอ ป.ส.ญ. ให้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไร้ความหมาย ความดีของเบิ้มต่างหากที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ต่อให้เส้นทางที่เลือกเดินจะต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคจนเลือดตากระเด็น เบิ้มจะไม่มีวันย่อท้อ  เพราะเบิ้มจะมีนับดาวคอยอยู่เคียงข้างและร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน

ด้วยเหตุนั้น อาการ ป.ส.ญ. และความบ้อบอทุกชนิดของเบิ้มจึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง ถึงเวลาต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อจะรับผิดชอบตัวเองและคุณนับดาว เด็กรันอเวย์ฟรอมโฮมที่เบิ้มจะเป็นบ้านเป็นครอบครัวอบอุ่นให้เธอได้พักพิง

ความรัก ... ความคิดถึง ...

ความอาทร ... ความห่วงใย

ให้ความอบอุ่นกับชีวิตที่เหน็บหนาวได้เสมอ

เห็นมั้ยละคะ พระเอกนิยายสุดปลื้มแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นพระเอกจากนักเขียนท่านไหน ก็จะตบเท้ามากันด้วยแนวนี้  พระเอกผู้มีอารมณ์ขัน นิสัยใจดี อบอุ่นน่ารัก พักพิงได้ ไม่ว่าจะ "กรณ์ เชิญอิสราชัย" จาก ใต้เงาตะวัน ของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม หรือ "สารวัตรหิรัณย์" จากฟ้ากระจ่างดาวของกิ่งฉัตรที่เพิ่งเขียนถึงไปไม่กี่วัน  แม้จะแตกต่างในรายละเอียดบุคลิก ก็ลงเอยอย่างเดียวกัน คือ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ เป็นความอบอุ่นและเป็นแสงสว่างนำทาง .. นี่ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายจากคนเป็นพระเอกเลยนะ อิอิ


พอได้มาอ่านเรื่องนึง ก็นึกอยากไล่อ่านงานของ โสภาค สุวรรณ อีกหลายๆ เรื่อง 

อยากให้วันนึง มีเวลาสัก 48 ชั่วโมง  เฮ้อ ....




Create Date : 15 กรกฎาคม 2556
Last Update : 29 สิงหาคม 2557 23:38:09 น. 8 comments
Counter : 2503 Pageviews.

 
งานเขียนของคุณโสภาคในแนวนี้ อีกเรื่องที่สนุกไม่แพ้กันเลยคือ บัวแก้วเป็นแนวชีวิตนักการทูต ครับ


โดย: สามปอยหลวง วันที่: 15 กรกฎาคม 2556 เวลา:8:36:03 น.  

 
เคยอ่านนานแล้ว และเป็นอีกเรื่องนึงที่ชอบค่ะ


โดย: กล้ายางสีขาว วันที่: 15 กรกฎาคม 2556 เวลา:12:52:46 น.  

 
อ่านแล้วค่ะ แต่ใจเอนเอียงชอบเรื่องทานตะวันสีทองมากกว่าค่ะ


โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 15 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:18:52 น.  

 
ยังไม่เคยอ่านเลยค่ะแต่ชอบหลายๆประโยคในเรื่องจัง



โดย: lovereason วันที่: 15 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:59:40 น.  

 
ชอบเบิ้มนะ แต่เรื่องนี้แทบจะมีแต่น้ำ
ทำให้เราชอบทานตะวันสีทองมากกว่า


โดย: katwan วันที่: 15 กรกฎาคม 2556 เวลา:17:05:55 น.  

 
งานของโสภาค รู้สึกจะเคยอ่านแค่ฟ้าจรดทราย เองครับ


โดย: อุ้มสม วันที่: 16 กรกฎาคม 2556 เวลา:19:09:48 น.  

 
@คุณสามปอยหลวง ขอบคุณที่แนะนำเรื่องนี้ "บัวแก้ว" ยังไม่ผ่านมือต้องหามาลองบ้าง
@คุณกล้ายางสีขาว ชอบเบิ้มกับนับดาวเนาะ ^^
@คุณพุดน้ำบุศย์ , คุณ Katwan เดี๋ยวจะหาทานตะวันสีทองมาอ่านให้ได้เลยค่ะ
@lovereason คุณนุ่น ..เรื่องนี้ ปรายแสงชอบ แต่อย่างไรก็ไม่กล้าแนะนำ ของอย่างนี้ต้องลองถึงจะรู้ว่าใช่แนวเราหรือไม่
@ คุณอุ้มสม ฟ้าจรดทราย น่าจะฮิตที่สุดแล้วค่ะ แต่ส่วนตัวคืออย่างที่บอก มีใจให้ "เจ้าชาย" มากกว่า

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาเป็นกำลังใจ


โดย: prysang วันที่: 17 กรกฎาคม 2556 เวลา:0:56:17 น.  

 
หลายประโยคกินใจดีจังค่ะ ยังไม่เคยอ่านของนักเขียนท่านนี้เลย แต่พระเอกดูลึกซึ้งดีจัง


โดย: ~*Sing Praise*~ วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:20:43:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.