Group Blog
 
All blogs
 

ร้ายเท่ารัก ..ครอบครัวโคพิทักษ์ฉบับวุ่นวาย โดย ปราณธร

 

 

เมื่อคุณพ่อยังหนุ่มต้องหากลยุทธ์มารับมือกับความร้ายของลูกชายจอมซ่าส์

เรื่องาวฮาๆ จึงมาพร้อมกับความอบอุ่น (จนเกือบร้อน) ภายในครอบครัว

ช่วงนี้ชีวิตของภีมพล หนุ่มโสดเนื้อหอมเจ้าเสน่ห์

กำลังพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอย่างหนัก

เพราะไหนจะฟาร์มโคนมที่เขาบริหารอยู่กำลังมีปัญหา

ไหนจะโดนผู้เป็นพ่อประกาศก้องว่าต้องตามหาหลานที่ลูกชายตัวดี

ไปไข่ทิ้งไว้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนมาเป็นกำลังช่วยฟื้นฟูธุรกิจครอบครัวให้ได้

จนกระทั่งได้เจอกับหนุ่มน้อยที่หน้าตาถอดแบบเขาออกมาอย่างกับพิมพ์เดียวกัน

ภีมพลจึงไม่รอช้า รีบยกโขยงญาติโกโหติกากว่ายี่สิบชีวิตเข้าแสดงตัวว่าตนเองเป็นพ่อในทันที

แต่ไม่ว่าภีมพลจะพยายามมัดใจลูกชายวัยรุ่นเพื่อทดแทนความผิดของตนอย่างไร

กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายจะยิ่งถอยห่างจากเขามากขึ้นเท่านั้นเพราะยังกังขากับเรื่องราวในอดีต

ซ้ำความสัมพันธ์ที่หวังจะให้พัฒนาขึ้นกลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้รู้ว่า

ผู้หญิงที่ลูกชายหลงรักดันเป็นคนเดียวกันกับหญิงสาวที่เขาหมายปอง

เขาบอกว่าคนเป็นพ่อย่อมต้องเสียสละเพื่อลูก โธ่ๆๆ… แต่นี่หัวใจทั้งดวง

ขืนควักยื่นให้ไปเขาก็ซี้แหงแก๋ก่อนได้ทำหน้าที่พ่อน่ะสิ


ลองทำความรู้จักกับผลงานของนักเขียนชื่อเพราะ "ปราณธร" เป็นครั้งแรกด้วยเรื่อง "ร้ายเท่ารัก" พลอตเรื่องไม่แน่ใจว่าจะน่ารัก แต่พอได้อ่านเป็นพลอตเรื่องที่น่ารักค่ะ  ชอบบรรยากาศของฟาร์มโคนม ชอบครอบครัวใหญ่ (โคพิทักษ์) ที่มีความวุ่นวายตามประสาคนเยอะ...เรื่องแยะ  ชอบที่ "อนาวิล" ลูกชายวัยรุ่นของภีมพลเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมในครอบครัว ..แต่ก็เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ได้รับการเอาใส่ใยดีอย่างยิ่ง ชอบความห่างเหินที่เข้าหน้ากันไม่ติดระหว่างพ่อกับลูก ชอบระยะห่างอายุ ระหว่างพระเอก นางเอก และลูกชายของพระเอก   ภีมพล  รณพร และ อนาวิล  ประมาณช่วง ๑๐ ปี พอดี  สามสิบกว่า  ยี่สิบกว่า และสิบกว่า ตามลำดับ

ช่วงครึ่งแรกสนุกดีค่ะ  เหมาะกับการไปสร้างเป็นละครคอมเมดี้  แต่ช่วงครึ่งหลังคิดว่าความรู้สึกมันยังไม่กระชับเข้ามาเป็นความใกล้ชิดเท่าไรนัก  แม้ความสัมพันธ์ระหว่างกันจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยเข้าถึงความเป็นพ่อเป็นลูกของคู่นี้สักเท่าไร   ตัวละครที่ชอบคือคุณอาทั้งสอง ภีมเดช ภีมเวทย์ แล้วก็คุณปู่ คุณย่า ชอบมากที่สุดคือ นภิสา (หนิง) แต่มักรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนแฟนมากกว่าเป็นน้องสาว (ลูกพี่ลูกน้อง) ของอนาวิล สำหรับเรา อนาวิล กับ นภิสา เหมือนเป็นพระเอกนางเอกของเรื่อง มากกว่าภีมพลกับรณพรซะอีกนะ

สำนวนภาษาก็อ่านได้เรื่อยไม่ได้สะดุดอะไร แค่ยังไม่ค่อยรื่นในทางอารมณ์ หรือจะเป็นเพราะดำเนินเรื่องที่ฉับไวก็ไม่รู้นะ  เรื่องของภีมพล นอกจากจะ "ยอม" แบบ "หงอ" ให้ลูกชายแล้ว ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยมีเหตุการณ์อะไรมาช่วยหว่านล้อมจิตใจอนาวิลให้ยอมรับพ่อด้วยความรักความนับถือมากนัก  และบางจุดก็ยังขัดๆ ความรู้สึกของเราอยู่  อย่างเช่นที่อนาวิลหอมแก้มรณพร    ถ้าจู่ๆ เด็กหนุ่มที่เรารู้จักสนิทสนมเกิดจะอุตริมาหอมแก้มมันน่าจะต้องเป็นเรื่องชวนคิด แต่นางเอกของเรา เธอไม่คิดอะไร ก็แปลกดี (หรือเราจะหัวโบราณมากไป) การที่อนาวิลชอบรณพร ผู้หญิงแก่กว่าสิบปีนี่ถือว่าห่างมากนะ แต่ภีมพลก็หลีกทางให้ลูกง่ายๆ ไม่มีจะห่วงหรือทักท้วงสักนิด จริงอยู่ถ้สคนจะชอบพอกันอายุเป็นเพียงตัวเลข แต่ในฐานะที่เป็นพ่อเป็นคนรอบข้าง จะไม่นึกกังวลสักหน่อยเหรอ เพราะมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมาปิ๊งรักกับเด็กหนุ่มอายุอ่อนกว่าถึงสิบปี ก็มีตรงนี้ล่ะค่ะที่รู้สึกขัดแย้งมากหน่อย อื่นๆ ก็ไม่มีอะไร  อ่านได้เรื่อยๆ  และในชื่อของ "ปราณธร" ถ้ามีพลอตอื่นใดน่าสนใจ ก็ยังสนใจจะหามาอ่านอีก 

ยินดีที่ได้รู้จัก(ผลงาน)ของปราณธรค่ะ 




 

Create Date : 24 กันยายน 2556    
Last Update : 25 กันยายน 2556 20:17:18 น.
Counter : 3289 Pageviews.  

เสือเพลินกรง นวนิยายเพื่อชีวิตที่ติดบาร์โค้ด โดย ผาด พาสิกรณ์

 

 

 สำนักพิมพ์ คเณศบุรี พิมพ์ครั้งแรก กรกฏาคม ๒๕๕๒

ผาด พาสิกรณ์

เป็นนักเขียน "ตัวจริง" คนหนึ่งในวันนี้

และผมเชื่อว่าในอนาคต

ความเป็นตัวจริงของเขา

จะสำแดงออกมาชัดแจ้งขึ้น

จนยุคสมัยไม่สามารถผ่านเลยเขาไปได้โดยเฉยเมย

-ชาติ กอบจิตติ-

กล่าวถึง ผาด พาสิกรณ์ ทายาทของนักเขียนที่เป็นตำนานเพราะนวนิยายของท่านเป็นตำนาน  'เพชรพระอุมา' ความเชื่อมือที่ไม่เกี่ยวอะไรกันสักนิดกับการเป็นสายเลือดของ 'พนมเทียน' นั้น มีมากเสียจนไม่ต้องสนใจพลอตเรื่องก็ได้ เขียนมาเถอะ เป็นเรื่องอะไรก็จะอ่าน  เพราะเชื่อกันมาแล้วจากผลงานเรื่องแปลที่กรีดเซาะอารมณ์อย่าง The Kite Runner  (เด็กเก็บว่าว) รวมเรื่องสั้น สำเนียงของเวลา นวนิยาย ณ กาลครั้งหนึ่ง,  ฝัน..ที่แยกราชประสงค์  และ นางแมวยาง  

เสือเพลินกรง  ที่ครั้งหนึ่งเคยอ่านช่วงเริ่มแรกในนิตยาสารขวัญเรือน แต่ไม่ได้ตามอีกเพราะคิดว่าจะรอรวมเล่มทีเดียว ตอนนั้นมีอยู่ถ้อยความหนึ่งที่แทงใจดำ ให้จดจำไว้ว่านวนิยายเรื่องนี้..ต้องอ่าน

.. ระยะเวลาสี่ปีที่นี่ สอนผมให้รู้ว่า คนสมัยใหม่ ไม่มีใครเขาพูดอะไรกันตามใจตามความรู้สึกกันแล้ว เราเรียนที่จะเคลือบคำ แล้วพลิกพลิ้วไปรอบๆ ความจริง และความดีดดิ้นที่ว่านี่แหละ มันเป็นคุณสมบัติสำคัญที่เขาเรียกกันว่า 'มือโปร'

ก่อนอื่นเลย ขอบอกว่า ชอบการออกแบบปกมากค่ะ สวยเก๋ในความเรียบง่ายสะอาดตา

เสือเพลินกรง ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่าคงต้องมีความแปลกแหกคอกไปจากกรอบของความเป็นนวนินายทั่วๆ ไปคือ มี พระเอก นางเอก และเรื่องราวของความรัก  แต่หากอยากจะจัดวางว่ามันเป็นนวนิยายในกรอบนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน

พระเอกคือ 'อาซ่า' หรือ ธีรวัฒน์ นักโฆษณาฝีมือฉมัง วัยใกล้ ๔๐ ปี

นางเอกคือ 'แลร่า' ภัทรดา ลูกสาวเพื่อนซี้ของธีรวัฒน์ สาวน้อยแรกรุ่นอายุ ม.ปลาย ก็ราวๆ ๑๗ ปี

ถ้าเรากำลังมองหานวนิยายรักซาบซึ้ง แบบความรักหนุ่มสาว มันก็จบกัน วัยของพระเอกนางเอกทำพลอตไม่ชวนอินเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราต้องการได้อะไรบางอย่างที่แปลกออกไปจากแนวรักเดิมๆ ของพระเอกนางเอกหนุ่มสาว  ผาด พาสิกรณ์ ให้คุณได้ในความแปลกที่ไม่ได้ขาด 'ความรัก' 

บนป้ายหน้ากรง  ผาด พาสิกรณ์ เล่าถึงคำเตือนสติจากนักเขียนสองท่าน ที่ได้ขอคำปรึกษาเมื่อครั้งได้รับการติตต่อจาก บก.นิตยาสารขวัญเรือน ให้เป็นนักเขียนประจำ จุดเริ่มต้นของชีวิตนักประพันธ์แท้จริงตามความคิดของคุณผาด ที่บอกว่า มันมีเสน่ห์ ท้าทาย แต่ขณะเดียวกันก็น่าสะพึงกลัว นักเขียนสองท่าน หนึ่งคือ ชาติ กอบจิตติ และอีกหนึ่งที่ถึงแม้ไม่เอ่ยนามแต่ก็คงเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร   ผู้ให้คำปรึกษาทั้งสอง ให้ความเห็นที่แตกต่าง แต่ใจความก็บรรจบพบกันตามที่คุณผาดเล่าถึง    เขียนในสิ่งที่เราอยากเขียน อย่าเขียนตามใคร อย่าเขียนเพื่อเอาใจใคร  ชอบนะคะคำนี้ เพราะเราจะได้มีนักเล่าเรื่องหลายๆ แบบ   

ในแบบของ เสือเพลินกรง  จึงเจนจัด คมคาย คงความเป็น ผาด พาสิกรณ์ ที่ได้ยินมาว่ามีสไตล์ฉูดฉาด และผาดโผน ให้ต้องอยากลองขวนขวายหามาอ่าน   หนังสือเล่มนี้ไม่ได้วางอยู่หน้าร้านให้เห็น โชคดีจังที่มันยังเหลืออยู่ในคลังของซีเอ็ด แม้สภาพจะมอมไปสักเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาเพระาว่าค่าของหนังสือไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ของรูปเล่ม

เป็นเรื่องเล่าจาก "ผม" (ซ่า-ธีรวัฒน์) 

- โลกสีเทาของผู้ใหญ่  ในตัวตนด้านหนึ่งของนาม รฐา ประกาศิต ธีรวัฒน์ ธัชระวี วิชญรัตน์ อัษฏาวุธ ชื่อที่บังเอิญคล้องจองกันอย่าน่าขัน ให้คุณครูในวัยเด็กได้เรียงร้อยเรียกขานเหล่าลิงทะโทนจอมซ่าผู้ร่วมขบวนการก่อวีกรรมกรรมแสบด้วยกัน

- โลกสีขาวของเด็ก ในอีกตัวตนด้านหนึ่ง ของ หมอผี กำนัน นาซ่า แจ่มใส  ก่องพลอย เวตาล  เหน่านี้ไม่ใช่ชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ แต่เป็นชื่อประจำตัวที่เรียกกันในหมู่เพื่อน ตามบุคลิก เรื่องราว ความเป็นมา ที่แน่นอนล่ะว่า มันต้องมาจากความตลกขบขันของเรื่องล้อเลียน 

การบอกเล่าชีวิตในโรงเรียนประจำ และที่มาของ 'ชื่อ' แต่ละคน อาจทำให้รู้สึกอืด หรือเข้าสู่ปมของเรื่องช้าไปบ้าง แต่ถ้ามองอีกมุม มันก็เป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ในวัยเด็กที่คบหากันจนเติบโตมาครึ่งชีวิต และช่วยให้เราอินกับความเป็นเพื่อนของหนุ่มใหญ่กลุ่มนี้ได้ดีทีเดียว

ในโลกของผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวให้ดูแล มีหน้าที่การงานให้รับผิดชอบทำมาหาเงิน มันคงต้องอาศัยอะไรหลายอย่างลูกล่อลูกชน ผลประโยชน์เก็บเกี่ยว และหนทางหลบหลีกเอาตัวรอด ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน กับการจะคงอยู่ในสังคม ย่อมจำเป็นต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังของหน้ากาก แต่ในโลกของเด็กมันต่างออกไป นั่นคือความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนแท้ของ ไอ้ซ่า ไอ้กำนัน ไอ้หมอ ไอ้เว ไอ้ก่อง ไอ้แจ่ม  ความจริงใจใสซื่อ ความรักความผูกพันมันใสสะอาด  ถึงแม้จะไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมเปื้อนฝุ่นของพวกเขาที่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว

ไอ้ซ่า - หนุ่มนักโฆษณามือฉมัง  เวตาล - นักกฏหมายทนายจอมซัก กำนัน - เซลล์ขายตรงผู้มากเรื่อง และบุคลิกโดดเด่นหนึ่งประการคือติดพูดคำว่า "แหนะ" หมอผี - เจ้าของอาบอบนวดผู้เชื่อในทฤษฎีน้ำครึ่งอ่าง (ฟองอีกครึ่งหนึ่ง) และเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชามารมากที่สุด  ก่องพลอย ... (ขอละเอาไว้ให้อ่านเอง จะได้มีอารมณ์ขำขัน) 

แจ่มใส คือเพื่อนผู้มีชีวิตโลดโผนที่สุด มันเริ่มจากข่าวอาชญากรรมพาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์  ข่าว ความเป็นไปได้ ความไม่ชอบมาพากล เพื่อนเท่านั้นที่จะรู้จักเพื่อนด้วยกันดี และคอยติดตามข่าวคราวชีวิตของกัน  ฮีโร่ปริศนา หรือ อาชญากรตัวร้าย ที่หายตัวไป  หรือคนหนึ่งคนเช่นคนอย่างแจ่มใส สามารถจะเป็นได้ ทั้งฮีโร่และอาชญากร  ความซับซ้อนซ่อนงื่อนของของเหตุการณ์มืดในคืนนั้น ทำให้แจ่มใส ต้องนำลูกสาวมาฝากไว้ให้ใครสักคนช่วยดูแล

เพื่อนมีอยู่ตั้งหลายคน ทว่าแจ่มใสกลับเลือกที่จะฝากฝัง 'แลร่า' (ภัทรดา) ลูกสาวคนเดียวที่โตเป็นสาวแล้ว ไว้กับ 'ไอ้ซ่า' หนุ่มโสดนักโฆษณา แทนที่จะเป็นเพื่อนคนอื่นที่มีลูกเมียและการเป็นผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวดูจะมีความเหมาะสมมากกว่า  ทำไมต้องเป็น ไอ้ซ่า ผู้ชายหนุ่มโสดที่ไม่เคยเป็นพ่อคน และคงไม่มีปัญญาจะเลี้ยงเด็กเป็น

การมี "แลร่า" ค่อยๆ ทำให้ "อาซ่า" ได้เรียนรู้อะไรหลายสิ่ง  ที่ไม่เคยรู้ ได้คิดทบทวนอะไรบางอย่างที่เคยรู้ แต่เพิกเฉยที่จะใส่ใจ   เกิดขึ้นมาซึ่งความผูกพันที่ทำให้ตรึงใจกับคำที่ว่า  ลูกเพื่อน กลายสู่เพื่อน ความรัก กลายสู่รัก

กิลเบิร์ต เจ้านายของธีรวัฒน์  ได้กล่าวคำหนึ่งไว้ในเรื่อง  ".. นายเป็นคนประเภทที่ ... เขาเรียกว่าอะไรนะ... ไต่ไปบนเส้นแบ่งของความถูกผิดได้เก่งที่สุด"   ใช่แล้ว คำนี้  ไต่ไปบนเส้นแบ่ง.. มันคือวิธีการที่ใช้วิพากษ์..พาดพิง แวดวงสื่อ และโฆษณาที่บางทีก็มีเอี่ยวกับเรื่องของสังคมการเมืองอยู่ด้วยเหมือนกัน  ความรู้สึกของอาซ่ากับแลร่าก็คล้ายคลึงกันลักษณะนี้ ไต่ไปบนเส้นแบ่งระหว่างความหมิ่นเหม่ล่อแหลมกับความบริสุทธิ์ใจที่ดีงาม (รู้สึกอย่างนั้นนะ) ที่จะเชื่อว่าความรักนั้นได้ถูกกลั่นกรองไปสู่ รักที่อิสระไร้กรอบกรงใดๆ กางกั้น เป็นสันติแห่งใจ คงจะต้องอาศัยความเป็นนักเขียนขั้น 'มือโปร' ที่ไม่ได้วัดกันที่ปริมาณหนังสือในท้องตลาด แต่ว่ากันด้วยคุณภาพที่ซื้อใจคนอ่าน และคุณผาดเขาทำให้เราเชื่อ

ความสัมพันธ์ของอาซ่ากับแลร่าทำให้ใจแอบมีระทึก แต่ขณะเดียวกันมันก็อ่อนโยนและอบอุ่น ไม่มากไม่น้อย ถูกจริต ปลื้มจิต  จนอยากจะสมัครเป็นสมาชิกประจำนิตยาสารขวัญเรือน เพื่อตามอ่านผลงานเรื่องต่อไปของคุณผาดอีก เพราะเป็นแนวการเขียนที่่ส่วนตัวคิดว่ามันค่อนข้างหาได้ยากในนวนิยายไทย มันเหมือนเป็นอะไรบางอย่างที่เรามักจะเลือกหามันมาอ่านจากพวกหนังสือแปล ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของความรักหนุ่มสาวเสมอไป  

เรื่องราวของไอ้แจ่ม ถือเป็นปมดำเนินเรื่อง และเป็นตัวกลางเชื่อมโยงให้เพื่อนๆ ได้พบปะสุมหัวกัน เพื่อจะปรึกษาหารือ และช่วยกันแก้ปัญหากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ชวนสงสัยให้เฝ้าติดตามแม้จะต้องผ่านเรื่องราวในแวดวงการทำงานของไอ้ซ่าไปทีละหลายๆ หน้า กว่าเรื่องของไอ้แจ่มจะคืบ  

ฮีโร่ปริศนา , อาชญากรผู้หายตัวไป, ศพนิรนามเผานั่งยาง

และ หนังสือ The old man and the sea

Credit Picture : //illustrationartgallery.com ,Artist: Henry Seabright

เราถูกหล่อหลอมกันมาอย่างนี้ ชีวิตนักเรียนประจำ ที่ไม่มีพ่อแม่มาคอยเอาใจใส่ดูแล ตั้งแต่เช้าจดเย็นก็เห็นกันอยู่แค่นี้ คำว่าเพื่อน มันจึงไม่ใช่ศัพท์ที่ครองความหมายให้ต้องคิดอีกต่อไป มันคือความเข้าใจในค่าแห่งคำ  และค่าของมันก็ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่า ทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่า 'ทั้งหมด' นั้น จะหมายถึงอะไรก็ตามที

ถ้อยความดังกล่าวข้างต้น เป็นหนึ่งในหลายๆ 'ใจความ' ที่ ผาด พาสิกรณ์ สร้างความรู้สึก 'กินใจ' ให้เกิดขึ้นจากการอ่านนวนิยายเรื่องนี้  จริงสินะ ความหมายของคำว่าเพื่อน ถ้าจะให้อธิบายออกมาเป็นคำพูดมันอาจฟังเหมือนทำง่าย แต่เอาเข้าจริงมันก็ยากนะ ว่ามั้ย เพราะมันเป็นนามธรรม มันคือ ความเข้าใจในค่าแห่งคำ ที่ยากจะหาคำใดมาจำกัดความหมายได้ครอบคลุม

"เพราะถ้าให้กูเลือก กูขอเลือกเป็นฝ่ายถูกไอ้แจ่มหลอก แล้วเก็บชีวิตมันไว้ให้กูได้ตามไปตบกระโหลกมันในอนาคต ดีกว่าให้มันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ได้หลอกลวงใคร นอนกองเป็นกระดูกอยู่ตรงนั้น รอให้พวกเราไปเก็บมาทำพิธี"

"กูอาจไม่รู้นะว่าเดี๋ยวนี้ ไอ้แจ่มเป็นใครกันแน่  จะเป็นพระเอกอย่างที่หนังสือพิมพ์ว่า หรือเป็นผู้ร้ายอย่างที่มึงเล่า  เป็นคนฉ้อฉลแยบยลเที่ยวกุเรื่องมาหลอกลวงชาวบ้าน อันรวมถึงเพื่อนๆ อย่างพวกเรานี่ด้วย กูรู้อยู่อย่างเดียวว่า มันเป็นเพื่อนกู เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่พลาดพลั้งได้เหมือนกัน และขณะนี้ อาจจะกลายเป็นกระดูกกองหนึ่งไปแล้ว ในขณะที่มึงมัวมานั่งระแวงว่า ไอ้แจ่มจะสร้างฉากตบตาหลอกกัน จริงๆ แล้วมันอาจไม่เคยทำ  ไม่ได้เคยเป็น และไม่ใช่คนทีมึงสุ่มทายไปต่างๆ นานาก็ได้"

"มึงไม่กลัวบ้างหรือว่า ขณะที่มึงกำลังนั่งแดกเหล้าอยู่กับกูน่ะ ไอ้เหี้ยแจ่มมันอาจจะตายห่าไปแล้ว ชีวิตของมันอาจจะจบสิ้นไปโดยที่ไม่เคยได้ทำเรื่องบาดหมางใจใดๆ ให้มึงต้องเสียใจเลย นอกจากหายหัวไปเพราะเหตุผลส่วนตัว แต่มึงสิ เพื่อนมันคนหนึ่งแท้ๆ แทนที่จะคิดถึงความดีของมัน กลับมานั่งคลางแคลงใจกับเรื่องส้นตีนอะไรก็ไม่รู้ คิดเสียใหม่เถอะวะ คิดว่าเพื่อนมึงน่ะตายห่าไปแล้ว พยายามลืมเรื่องจุ๊กๆจิ๊กๆ ของมึงซะ"

แจ่มใส อาจเป็นเหมือนบุคคลผู้สาปสูญ แต่แจ่มใสกลับไม่ไร้บทบาท ตรงกันข้าม เขาเป็นแจ่มใสผู้มีตัวตนชัดเจนอยู่ในเรื่อง  ตัวตนของแจ่มใสที่สื่อผ่านคำครุ่นคิดคำนึงถึง ผ่านคำบอกเล่า  ผ่านการกระทำของผองเพื่อน และรวมถึงตัวลูกสาวของแจ่มใสเอง- แลร่า  เขาเป็นคนเช่นไร เคยผ่านอะไรมาบ้าง แม้ในสถานะอาชญากร ที่สุ่มเสี่ยงอันตราย เพื่อนของไอ้แจ่ม ที่แม้จะไม่รู้อะไรเลยว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ไอ้แจ่มอยู่ที่ไหน เป็นหรือตาย และมันต้องการจะทำอะไร ใครจะไปตรัสรู้ความตั้งใจ ห่-าเหว ของมันได้ แต่เพราะเพื่อนๆ รู้จัก "ไอ้แจ่ม" พวกเขาจะรวมหัวกันและช่วยกันคลำหาหนทาง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ไปจนกว่าจะพบเจอ นั่นเป็นจุดที่ทำให้เรื่องนี้สำหรับเรามันซึ้งมาก โดยที่ภาษาพูดจาระหว่างเพื่อน มึง-กู เหี้-ย ห่-า   ไม่ได้ลดทอนความซึ้งของมันเลย เพราะความซึ้งมันคือนัยยะแห่งใจไม่ใช่คำพูด

สำนวนการเล่าเรื่อง อย่างที่บอกว่ามันเจนจัด มันดึงดูดในถ้อยคำและใจความ ชอบจริงจังกับสำนวนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยของคุณผาดเขาน่ะ  อ่านแล้วเพลินดี

มิตร ศัตรู กบฏ หรือ รัฐประหาร ความแตกต่าง มันอยู่ที่ใครแย่งธงได้ในท้ายที่สุด  เดี๋ยวหวยผิดกฏหมาย, เดี๋ยวหวย ถูกกฏหมาย, เดี๋ยวหวยผิดกฏหมาย และคงจะกลับมาถูกกฏหมายอีกในที่สุด แต่ที่น่าขำก็คือ หวยไม่เคยหายไปจากคนไทย ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฏหมาย ไม่ต่างอะไรกับ กระหรี่ กัญชา และกีฬาชนไก่

บาป บุญ ผิดถูก กระทั่งผมเองแก่มาจนครึ่งชีวิต ก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร นับประสาอะไรกับเด็กๆ ในรุ่นของแลร่า ใครจะบอกเธอได้ว่านี่ผิด นั่นถูก เพราะกับนายกรัฐมนตรี ผู้ถืออาญาสิทธิ์ชี้นิ้วปกครองเองก็เถอะ ทำธงหลุดมือ ก็กลายเป็นทรราชแผ่นดินได้เช่นกัน จากถูกทุกข้อ กลายสู่ ผิดทุกข้อ

.............

ระหว่างเด็กเรียนดีที่รู้รักในกฏระเบียบ กับเด็กเกๆ อย่างเรา มันมักจะมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางเสมอ เราต่างมีมุมมอง และความเข้าใจโลกรอบๆ ตัวที่แผกกันออกไป .. คงจะคล้ายกับที่พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมฝ่ายเราจึงดักดานนัก สอบกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็เพียรตกมันอย่างสม่ำเสมอ ไม่สำคัญว่าครูจะย้ำแล้วย้ำอีก ว่าสอบบทไหน เนื้อหาสำคัญอยู่ตอนใด บรรทัดใด เมื่อสอบเสร็จ ทั้งสองฝ่ายก็จะมานั่งอออยู่หน้าห้อง โดยฝ่ายเราจะมาสุ่มถามไถ่ไปตามข้อต่างๆ เพื่อลุ้นว่า วิชานี้เราน่าจะผ่านหรือไม่ และยิ้มรับคะแนนประเมินอันต่ำต้อยด้วยความภาคภูมิใจ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเขาจะนั่งแว่นเงาวับไต่สวนกันอยู่ยังอีกปีกหนึ่ง บนคะแนนประเมินปริ่มร้อย แต่กลับกลุ้มใจ ส่ายหัวเสียดายเพียงเศษคะแนนที่พลั้งพลาด ด้วยเพราะจำเลข พ.ศ.สลับ หรืออะไรก็ตามที่ไร้สาระสักอย่างราวเป็นเรื่องคอขาดบาดใหญ่ ..ไฟไหม้บ้าน

แหม .. โดนใจอย่างแรง อยากบอกว่าจากประสบการณ์ผ่านวัยเรียนมา มันจริงที่สุด  การจิกกัด สื่อโฆษณา อาจไม่ถึงขั้นดุเดือดเลือดพล่าน  แต่การ 'ไต่ไปบนเส้นแบ่ง' ก็เปรียบได้ว่าโดยรวมแล้วมันก็สร้างความถลอกปอกเปิกให้ได้แสบๆ คันๆ ให้ได้สะใจพอประมาณ หลายบทหลายตอนในเรื่องนี้นอกจากมันจะกินใจ บางทีมันก็ตลกร้าย ขอหยิบยกที่ตัวเองอ่านแล้วก็ให้นึกขำมาสักหน่อย

...คือ ถ้าจะให้ยอมรับตามตรง ผมว่าแลร่าพูดถูก อย่างน้อยก็ถูกตามบทบัญญัติของสังคมนี้ อันว่าหุ่นอย่างเธอ ที่มีโค้งเว้า ดูมีน้ำมีนวลดิบดีอยู่แล้วนั้น มันล้นเกินไป ไม่ใช่หุ่นอันเป็นที่นิยมของสมัยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่หุ่นอันเป็นที่ต้องการของคนไทยในสายงานโฆษณาอย่างผม ที่ฝากชีวิตแขวนไว้กับเวลาเพียงไม่กี่นาที รอจังหวะจะเข้าสะกดจิตผู้คนให้เป๋เข้าหาอะไรก็ตามที่เสนอขายอยู่ ดังนั้น เมื่อกระแส ของสังคม ชอบ แบน ยาว ขาว เกาหลี ผมก็จำเป็นต้องตอบโจทย์นั้นโดยการขนเอาสาวๆ ที่มีลักษณะดังกล่าวมาเกลี้ยกล่อมสังคมอีกที

กรรมจึงมาตกลงบนคนที่ไม่มีภาพลักษณ์ตามบทบัญญัติที่ว่านี้ ต่างพากันวิตกจริตคิดว่าตนกลายเป็นพวกผิดปกติ อ้วน คล้ำ ดำ ไทย ต้องพากันตะเกียกตะกายไปปรับแปลงรูปโฉมของตนให้สอดคล้องกับสมัย 

โดยส่วนตัวผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี

อย่าว่าแต่แลร่าเลย ให้เจนนิเฟอร์ โลเปซ เองก็เถอะ หากเกิดเป็นสาวไทยล่ะก็ ผมว่าป่านนี้เธอคงได้ตำส้มตำขายอยู่ที่ปั๊มไหนไกลๆ กรุงเทพฯ สักแห่ง เหตุอันเนื่องมาจากหุ่นสมส่วน ผิวมีสีสัน และหน้าตาสวยคม ไม่หมวยบาง และขาวพอ ที่จะได้แม้เพียงโอกาส, โอกาสเล็กๆ ที่จะก้าวขึ้นมาถ่ายแบบโฆษณา เพื่อไต่เต้าต่อไปสู่ดารา, สู่นักร้องเป็นเจ้าของไลน์เสื้อผ้าและน้ำหอม ที่แตกแบรนด์เล็กแบรนด์น้อยออกมาสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนจำนวนนับพัน ภายใต้ร่มหลักคาของชื่อเธอ

นี่กระมัง บทพิสูนน์ที่ว่า ในหมู่ลิง กล้วย มีค่าเหนือแก้วจริงๆ

และคุณเชื่อไหม ผมนี่แหละ คือลิงตัวใหญ่ ที่คอยปลุกปั่นกระแสให้ลิงฝูงนี้ดักดานอยู่กับกล้วยเหี่ยวๆ แบนๆ ผมสังหรณ์ใจเหลือเกินว่า หากเจนนิเฟอร์ โลเปซ เกิดเป็นคนไทยขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ ผมก็คงจะไม่แคล้วเป็นไอ้กร๊วกตัวนั้น ที่ปฏิเสธงานถ่ายโฆษณาของเธอเป็นคนสุดท้าย  สาเหตุอันทำให้เธอสิ้นหวัง กำลังใจ หันเหเข้าหาครกกับสาก ก้มหน้าตำส้มตำเลี้ยงชีพไปอย่างอับเฉา จนแห้งเหี่ยวตายไปในที่สุด 

แต่นั่น มันไม่ใช่เรื่องของผม อย่างน้อย มันก็ไม่เคยใช่เรื่องของผม แต่จู่ๆ วันนี้ ไอ้แจ่มเพื่อนรัก ได้ยกปัญหานั้นมาวางไว้กลางบ้านของผมแล้ว....

มีตอนหนึ่งที่ชอบมากเป็นพิเศษ กับความคมคายในหัวใจของเนื้อหาที่เรารู้สึกได้เอง มันแตกต่างจากการถูกยัดเยียดให้รู้สึก  ผาด พาสิกรณ์ เป็นนักเขียนอีกคนหนึ่งที่รู้สึกชื่นชมในแง่ของสำนวนภาษาที่ใช้ถ่ายทอด ความแยบยลที่อาจไม่ได้แสดงอยู่ในประโยคคำคมสั้นๆ เสมอไป แต่มันอยู่ในใจความ  ที่ได้สื่อผ่านเรื่องราวในแต่ละตอน

"นี่ไอ้ซ่า กูถามมึงจริงๆ เหอะวะ แหนะ คือกูชักห่วง มึงคิดยังไงวะ ถึงได้ปล่อยเด็กออกไปคนเดียว ค่ำๆ มืดๆ อย่างงั้นน่ะ?"

กังวานเสียงของกำนันที่ขรึมเครียดไปในสาย ย้ำผมให้ยิ่งตระหนักได้ว่า สิ่งที่ผมกระทำ หรือไม่กระทำลงไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกินสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ นี่ขนาดกำนันยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดว่า  ไอ้แจ่มกำลังหนีอะไร หรือหนีพวกไหนอยู่ มันยังมีกังวลถึงเพียงนี้

"กูบอกมึงตามตรงนะไอ้นัน" ผมตั้งสติ แล้วค่อยธิบายถึงเหตุ เหตุที่ผมเองก็อยากอธิบายออกมาชัดๆ เหมือนกันว่า ทำไมเมื่อคืน มันจึงมีรากฐานอยู่บนความถูกต้องดีงาม

"เด็กคนนี้มันเป็นสาวแล้ว กูไม่ได้หมายถึงสาวแบบเด็กสาวนะโว้ย คือมันเป็นสาว ผู้หญิงสาวน่ะ มึงเข้าใจไหม?" ผมพูดในหวังที่ว่าคำจำกัดความชุ่ยๆ ของผมจะทำให้กำนันเห็นภาพ

"อืม แล้วไง?"

"มึงลองคิดดูนะ ว่าบ้านกูน่ะ ผู้หญิงก็ไม่มี มีแต่กูเป็นผู้ชายคนเดียว สมมติว่าเด็กมันไม่ไว้ใจกูล่ะ ใช่มั้ย? ผู้หญิงคนไหนๆ ก็มีสิทธิ์กลัวกันได้ทั้งนั้น จะให้กูใช้อำนาจของผู้ใหญ่ไปบังคับเด็กให้เชื่อฟัง แล้วเก็บมันไว้เสียที่นั่น มันก็ไม่ถูกนะโว้ย"

"แหนะ แต่พ่อมันฝากมึงไว้นะไอ้ซ่า มึงลองคิดดูสิ ว่าถ้ามึงมีลูกสาว แล้วต้องเอาไปฝากเพื่อนเลี้ยง แล้วเพื่อนเสือกปล่อยปละละเลย ให้เด็กออกไปแท่ดๆ อยู่ข้างนอกน่ะ มึงจะสบายใจหรือเปล่า?"

"คงไม่" ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก

"ก็แหนะ"

"แต่แล้วหัวอกเด็กมันล่ะ"  ผมแย้ง ยังไม่ยอมล่าถอยเสียทีเดียว ด้วยเชื่อว่า ความคิดและความต้องการของเด็กก็มีน้ำหนักไม่แพ้ผู้ใหญ่เช่นกัน  "ถ้ามันไม่ไว้ใจกู ซึ่งจะว่าไปแล่ว มันมีสิทธิ์ที่จะไม่ไว้ใจเพื่อนพ่อคนไหนก็ได้ทั้งนั้น กระทั่งไอ้พวกมีเมียแล้วอย่างมึงเองก็เหอะ เด็กมันย่อมมีสิทธิ์ที่จะหาทางหลีกเลี่ยงและปกป้องตัวเองไม่ใช่หรือ?"

"อ้าว แล้วมึงตั้งใจจะไปปล้ำมันหรือเปล่าวะ?"

คำถามตรงๆ ของกำนันทำผมอยากด่ามันออกมาแรงๆ สาบานได้ว่าผมไม่เคยโฉบเฉี่ยวจินตนาการเข้าไปเลียบเคียงในความหมายของคำคำนี้เลย แต่ในขณะเดียวกัน ผมไม่สามารถจะพูดได้เต็มปากว่าแลร่าไม่ได้ทำผมใจหวิวไหวบ้างบางขณะ ซึ่งผมคิดว่า มันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย และนั่นเอง คือเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ เมื่อเธอเอ่ยปากว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลของเธอคืออะไร และดูเหมือนผมไม่แน่ใจเหตุผลของตัวเองเช่นกัน

"มึงถามกูอย่างงี้ได้ไงวะ ไอ้กำนัน"

"ก็แหนะ มึงก็ไม่ได้หมายใจจะเผด็จศึกลูกเพื่อน ซึ่งไม่ต้องบอกกูก็รู้ แต่ที่กูถาม เพราะกูอยากจะสอนมึงให้รู้ว่า นี่แหนะคือหน้าที่ของผู้ใหญ่  มึงต้องรู้สิวะไอ้ซ่า ว่าอย่างน้อย มึงคือคนคนหนึ่งที่จะไม่ทำให้ชีวิตของอีหนูมันมีอันตราย บ้านของมึงจึงเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับมัน ไม่ว่ามันจะคิด  จะเห็นเป็นตรงกันข้ามยังไงก็ตามแต่ มึงรู้คำตอบดีอยู่ เพราะฉะนั้นมึงต้องคิด ต้องตัดสินใจแทนมันไปก่อน แหนะ เขาถึงเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ ตามนิยาม, ผู้ใหญ่ที่สามารถปกป้องดูแลเด็กได้  แหนะ ขืนมึงปล่อยให้เด็กคิดเองทำเองตามความพอใจของมัน มันมิต้องร้องจะแดกช็อกโกแลตแทนข้าวทุกมื้อรึ .. นี่..มึงยังกูหรือรึเปล่าฮึไอ้ซ่า?"

ฟัง ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่ ที่เงียบสนิทเพราะนึกไม่ถึงว่าคนอย่างกำนันจะมีคำชี้แจงง่ายๆ มาอธิบายอะไรที่ซับซ้อนให้ผมเข้าใจภายในไม่กี่ประโยค อุปมาเถื่อนของกำนัน ทำผมตาสว่างขึ้นมาทันที จริงของมัน ผมเป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยผมต้องรู้ว่า แลร่าจะปลอดภัยที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ในความควบคุมดูแลของผม ไม่ใช่ปล่อยให้เธอล่องลอยออกไปเกะกะอยู่นอกบ้าน แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อบัดนี้ผมตระหนักดีแล้วว่า สิ่งที่ถูกที่ควรคืออะไร ปัญหาจึงมาตกอยู่บน วิธีการ ..ผมจะเกลี้ยกล่อมแลร่าอย่างไร

 

Credit Picture : //taktloss.deviantart.com/art/Panthera-tigris-altaica-129719165

เป็นหนังสือที่ชอบทีไร จัดยาวทุกที  ทั้งที่ยกมามากอย่างนี้ก็ยังไม่อิ่มใจ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ เพราะถ้าจะยกที่ชอบมาทั้งหมด ซื้อหนังสือแจกไปเลยคงจะดีกว่า Smiley  แล้วยังอุตส่าห์แอบหวังว่าที่เล่ามา คงจะเป็นการสปอล์ยไม่มากเกินไปนัก (ออกตัวตอนนี้ ช้าไปมั้ย?)  ยังไม่ได้ไปแตะประเด็นชื่อเรื่อง "เสือเพลินกรง"  เลยนะ  'เสือ'   'เพลิน'  และ 'กรง' ที่เชื่อว่าตัวเองเข้าใจ แต่ไม่อาจหาญจะตีแผ่ความคิด 'เข้าใจ' ของตัวเอง  มันเหมือนเป็นอะไรบางอย่างที่ต้องสัมผัสและอินเอาเอง จึงอยากแนะนำให้คุณลองอ่านและลองค้นหาคำตอบ เช่นเดียวกับคำว่า นวนิยายเพื่อชีวิตที่ติดบาร์โค้ด  คงต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณเองว่าจะให้ความหมายของมันในแบบไหน มันแค่ความหมายง่ายๆ ตรงตัว หรือมีความนัยแอบแฝง ส่วนจะเป็นความเข้าใจตรงกันกับเจตนาสื่อสารของคุณผาดหรือไม่ ใครจะไปรู้ได้

คงเหมือนคำว่าเพื่อน ที่เป็นความหมายในค่าแห่งคำไง 

เสือเพลินกรง ก็อาจเป็นความหมายในค่าแห่งการอ่าน ..ที่หากใครอยากรู้ ก็ต้องอ่านด้วยตนเอง

ชอบการตั้งชื่อตอนทั้ง  ๓๓ ตอน เพราะมันเป็นการตั้งชื่อที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ชื่อเรื่อง ไม่เชื่อ เจอนวนิยายเรื่องนี้ที่ไหนลองเปิดอ่านสารบัญดูได้  (ถ้าหนังสือมันเปิดปกได้น่ะนะ) 

ลำพังพลอตดี สำนวนเด่น คาแรคเตอร์ตัวละครโดนใจอยู่คนสองคน อาจไม่เพียงพอสำหรับจะใช้ขับเคลื่อนการอ่านนวนิยายเรื่องยาวที่มีความหนาถึง ๗๓๔ หน้า แต่เสือเพลินกรงมีสิ่งที่ช่วยให้อ่านต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน อ่านรวดเดียว วันเดียวจบ  สิ่งนั้นก็คือ ตัวละครทุกคน ถูกนำเสนออย่างเป็นตัวของตัวเอง มีคาแรคเตอร์ค่อนข้างชัด ซึ่งนอกจากเพื่อนในกลุ่มทั้งหก ไอ้ซ่า ไอ้แจ่ม ไอ้หมอ ไอ้กำนัน ไอ้ก่อง ไอ้เว  ยังมีตัวละครสำคัญอื่นอย่าง  แลร่า ที่อาซ่าบอกว่ามันไม่ใช่สาวแบบเด็กสาว แต่มันเป็นผู้หญิงสาว  ซึ่งความเป็นจริง (ในนิยาย) เธอก็ยังเป็นเพียงสาวน้อยวัย ม.ปลาย ที่แบกบุคลิกความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เกินกว่าเด็กสาวในวัยเดียวกัน อันมีผลมาจากวิถีการเติบโตมาอย่างคนไร้แม่ และมีพ่อเป็นคนอย่างแจ่มใส และเชื้อพ่อกับเชื้อแม่ก็แรงพอจะส่งผลต่อรูปร่างหน้าตาที่ทำให้แลร่า 'สวย' จนดูเป็นสาวกว่าเด็กสาววัยเดียวกัน  กิลเบิร์ต เจ้านายผู้เฉลียวฉลาด (แกมโกง) ที่แม้จะไก่เห็นตีนงู งูเห็นตีนไก่ แต่ธีรวัฒน์ก็จะต้องระแวดระวัง คิดตลบทบซ้อนเพื่อจะฉลาดให้ 'ทันกัน' ในทุกย่างก้าว จึงถูกใจในทฤษฏีการจับไม้สั้นไม้ยาวที่ใช้บรรยายเปรียบเทียบรูปแบบความสัมพันธ์ที่กินกันยากของเจ้านาย-ลูกน้องคู่นี้มาก   คุณอัจฉรา-ทิชากร เลขานุการคู่บุญของธีรวัฒน์ที่หลงรักบุคลิกชวนเยือกและชวนยิ้มของเธอเป็นพิเศษ   เคดี้-ลูกน้องในทีมที่พูดไทยไม่ชัด ชอบในความร่าเริงทะเล้นของเธอ  คุณภาวิณี-คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวของร้อยแก้วผู้เป็นเพื่อนสนิทของแลร่า คุณเล็ก-เนตรนภา ลูกค้าคนสำคัญของธีรวัฒน์ที่กำลังพยายามจะไต่อยู่บนเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับคนพิเศษ  พิสิษฐ์-เพื่อนนักเรียนไทยเพียงคนเดียวที่อยู่ร่วมรัฐร่วมสถาบันกับไอ้แจ่ม นักเรียนแลกเปลี่ยนบุคลิกเด็กเรียนที่ไอ้ซ่าเปรียบเปรยว่ามักจะมีรูปร่างหน้าตาเป็น "หลอดทดลอง" เหมือนๆ กัน หลังจากได้พบไอ้แจ่ม เส้นทางชีวิตของพิสิษฐ์ก็มีอันหักเหไปได้อย่างน่าซาบซึ้งเกินคาด   แม้แต่เจ้า สาณิต-สุนัขของแลร่า ก็ยังมีคาแรคเตอร์ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่น่ารักของมันเลย

อยากรู้จังว่าผู้อ่านท่านอื่นคิดอย่างไรกับตอนจบของเรื่องนี้ เพราะส่วนตัวแล้วชอบมาก คิดว่านี่เป็นการจบแบบ so cool (เจ๋งดีค่ะ)  มีหนึ่งคมความคิดที่โปรยไว้ก่อนเข้าสู่เนื้อเรื่องหน้าแรกและแค่อ่านผ่านตาไปเฉยๆ โดยไม่รู้สึกอะไร  อ่านเรื่องจบแล้ว จึงเพิ่งเข้าใจว่ามันคม 'กริบ' และแฝงอารมณ์ขันแบบตลกร้ายอย่างไรเมื่อได้วกกลับมาอ่านอีกครั้ง

"We are what we pretend to be, so we must be careful about what we pretend to be." (Kurt Vonnegut)

"หนูไม่ใช่ไอ้มดแดง อย่าโดดลงมาลูก" --หนูทิม นิยมนา (พี่เลี้ยงของผม)

และสุดท้าย ก่อนจบบล็อกยาวๆ บล็อกนี้ ขอฝากไว้ซึ่งคำคมของไอ้แจ่ม ลูกผู้ชายที่ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เลือกกระทำ

"ชีวิตมีไว้ให้ใช้เว้ยไอ้ซ่า อย่ามัวมานั่งคิดหาวิธีใช้อยู่"

 แหนะ (เลียนแบบกำนัน) ใช้ชีวิตของคุณซะ อย่ามัวแต่เพลินกรง

 

 

 




 

Create Date : 23 กันยายน 2556    
Last Update : 26 กันยายน 2556 13:02:45 น.
Counter : 2734 Pageviews.  

คีตโลกา หนึ่ง 'อัญมา' ในสองโลกคู่ขนาน โดย รอมแพง

"อยากมีนักเขียนในดวงใจสักคนบ้าง” 

เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเคยปรารภไว้เช่นนั้น และตอนนี้ เธอก็ค้นพบแล้ว คือ  รอมแพง Smiley

ดีใจกับการค้นพบของนักอ่านและดีใจกับนักเขียนด้วยนะคะ  เพราะสำหรับนักเขียนแล้ว การได้มีผลงานเป็นที่ถูกใจคนอ่าน ได้เป็นนักเขียนในดวงใจของใครสักคน มันคงเป็นความรู้สึกน่าภาคภูมิใจมากเลย 

“มิติรักข้ามเวลา มินตรา โภคีธารา คีตาโลกา... มีของ รอมแพง ที่นายอินทร์ 4 เล่มค่ะ”

เป็นข้อความที่ส่งไลน์ไปหา ตอนอยู่ร้านหนังสือนายอินทร์ จำได้ว่าคุณพี่ พยายามหาซื้อนิยายของรอมแพงอยู่ ไม่พบที่แพร่วิทยา และ B2S ตอนที่เธอเพิ่งไปเสาะหาเมื่อตอนพักกลางวันก่อนหน้า

“เอาสามเล่ม มินตราซื้อแล้วค่ะ”

“ป๊าด .. แสดงว่าต้องโดนใจมากอ่ะนะ เจ๊รอมแพง ขนาดนักเขียนในดวงใจของตัวเอง หนูยังไม่อ่านทุกเล่มเลย”

 “ใช่แล้ว  ชอบมากเลยอ่ะ”

เป็นเพราะพี่สาวคนนี้ชอบรอมแพง เธอจึงกวาดเก็บงานของรอมแพงทุกเล่ม เพราะชอบมากอารามอยากได้จัด เลยลืมไปว่า คีตาโลกา เธอซื้อไปแล้ว  จึงยกให้น้องมาฟรีๆ ไม่ยอมรับสตางค์ค่าหนังสืออีกด้วย (..ขอบคุณนะคะ ที่พี่สาวใจดีกับเค้าเสมอ) นั่นแหละ จึงเป็นฤกษ์ยามงามดี ได้อ่านผลงานของรอมแพงเป็นเรื่องแรกเสียที

คำโปรย จากปกหลัง

เมื่อคนเรามีความสมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกสิ่ง

ต้องมาพบเจอกับความผิดหวังที่แสนสาหัสเป็นครั้งแรกในชีวิต

คงมีสักวูบหนึ่งที่คิดจะจบชีวิตลงอย่างคนหนีปัญหา

โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าบางทีความทุกข์ของตนนั้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ยังมีผู้คนอีกมากที่ต้องพบเจอกับความทุกข์และผิดหวังมากกว่า

ดังเช่น "อัญมา" คุณหนูแสนสวยที่เพียบพร้อมไปทุกด้าน

พอได้เจอกับความผิดหวังจึงได้คิดสั้นไปวูบหนึ่ง

เมื่อคิดล้มเลิกกลับเกิดอุบัติเหตุที่นำพาเธอไปยังอีกโลก

โลกที่ตรงกันข้ามกับโลกที่เธอเคยอยู่โดยสิ้นเชิง คุ

ณหนูอัญมาแสนไฮโซต้องกลายเป็น "ไอ้อัญ" เด็กติดยาที่อาศัยอยู่ในสลัม

แล้วเธอจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปกับชีวิตใหม่เอี่ยมอ่องที่บุบบู้บี้นี้ดีล่ะ

แรกเริ่มอ่านก็ตื่นเต้นดีค่ะ  ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปที่พระเอก 'ภควัต'  เพราะว่าเขาเป็น 'ตำรวจ'  โดยมีผลพวงมาจากการชอบพระเอกในเครื่องแบบมาจากเรื่อง ฟ้ากระจ่างดาว แม้จะอึดอัดเล็กน้อยกับอารมณ์อยาก 'ฆ่าตัวตาย' ของนางเอก ที่บังเกิดเป็นความรู้สึกขัดแย้งขึ้นมาทันที .. แค่นี้ ก็อยากตายแล้วเหรอ ยอมรับว่าเข้าไม่ถึงอารมณ์ของนางเอก 'อัญมา' ณ จุดนี้  แม้ว่ามันจะเป็นความรู้สึกชั่ววูบก็ตาม

แต่เมื่อความซับซ้อนของโลกคู่ขนานนำพา 'อัญมา' ให้กลายมาเป็น 'ไอ้อัญ' เด็กติดยาในสลัม โลกใหม่ที่แตกต่างไปจากโลกใบเดิมของอัญมาที่เป็นคุณหนูแสนสวยในครอบครัวร่ำรวยสุดไฮโซ มันก็เป็นเรื่องที่สนุกโดยพลอตและการดำเนินเรื่องราว  แต่มันไม่เต็มที่เพราะเข้าไม่ถึงตัวละคร 'ติดยา' และเป็น 'เด็กส่งยา' สักเท่าไร อาจจะเป็นเพราะเธอติดยาแค่โดยสภาพ ส่วนคาแรคเตอร์ยังคงเป็น 'อัญมา' ที่ เก่ง ฉลาด ถูกตาต้องใจทั้งพระเอกตำรวจ และพระรองผู้ร้าย  

พระเอกบทจืดไปนิดนะคะ  ดันไปชอบบทของตัวร้ายที่เป็นลูกชายพ่อค้ายาเสพติดมากกว่าอีก (เลยยกให้เป็นพระรองไง) โดยรวมแล้ว คงเป็นเพราะเราไม่ค่อยอินกับ 'โลกคู่ขนาน' ของเรื่องนี้นั่นเอง ที่ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินไม่เต็มที่ แต่ก็เป็นนิยายที่สามารถอ่านได้เรื่อยๆ  ไม่ถึงกับเบื่อจนต้องอยากวางมันลง

ส่วนเรื่องต่อไปของรอมแพง..มีแล้ว เดี๋ยวจะต้องลองอ่านกับเขาเสียที .. "บุพเพสันนิวาส"

 




 

Create Date : 18 กันยายน 2556    
Last Update : 18 กันยายน 2556 17:37:02 น.
Counter : 4247 Pageviews.  

ฤกษ์สังหาร ..บางห้วงแห่งความลึกเร้นที่เป็นโหราศาสตร์ฆาตกรรม

 

ฤกษ์สังหาร พิมพ์ครั้งที่ ๔ สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม มิถุนายน ๒๕๕๑

 

บทนำ

"ดวงดาวบนฟากฟ้า วิถีโครจรกำหนดชะตาชีวิตคน

อยากทราบอนาคต อยากสอบถามเรื่องความรัก

โทรมาหาเราสิ นางพญาพยากรณ์รอคำถามของท่านอยู่  หมายเลข...... " 

เสียงโฆษณารายการโทรทัศน์ที่ฟังคุ้นหู แล้วต้องลงท้ายด้วย "นาทีละเก้าบาททั่วประเทศ" หญิงสาวนอนเหยียดผึ่งอยู่บนเตียงหน้าจอโทรทัศน์กลางแสงสลัวดูเหลือบแวววาว จนอดนึกถึงความหวามไหว .. รสหวานในวัยสาวที่จะด้รับรองรัฐมนตรีหนุ่มไม่ได้  ด้วยกระบวนที่เข้าใจกัน ในที่ลับระหว่างคนสองคน!

เสียงประตูอัลลอยด์หน้าบ้านเปิดออก หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมตัวบางอีกครั้ง ก่อนเดินกรุยกรายออกมารับถึงปากประตูรถยนต์คันหรู ท่านรัฐมนตรีมองภรรยาสาวในชุดบางเบายืนยิ้มด้วยแววตาวาววับ ก่อนเขยิบตัวก้าวออกจากรถประจำตำแหน่ง 

บรึ้ม! เสียงระเบิดกัมปนาท แรงระเบิดจากตัวรถทำลายทุกอย่างรอบข้าง ร่างรัฐมนตรีหนุ่มและภรรยาสาวถูกระเบิดอัดร่างแหลกเหลว ตำรวจติดตามและคนขับรถ ติดอยู่ในเพลิงมรณะ! เสียงโทรทัศน์ที่ยังเปิดส่งเสียงเล็ดลอดออกมา

" อนาคตของเท่านจะเป็นเช่นไร การงาน การเงิน วิธีแก้ไขดวงชะตาตามหลักของดวงดาว

เราสามารถช่วยท่านได้ เพียงโทรมาหาเรา นาทีละเก้าบาททั่วประเทศ..นางพญาพยากรณ์

ดวงดาวเป็นเหรื่องแปลกประหลาด ลี้ลับ

ศาสตร์แห่งโหร คำประกาศแห่งนายพยากรณ์

ฮวงจุ้ย ตัวเลข จักรราศีทั้งสิบสอง

ความเชื่อนำไปสู่ฤกษ์ยาม เพื่อสิริมงคลของชีวิต

และสิ่งนี้ บางคน บางห้วงแห่งความลึกเร้น

เราเรียกมันว่า  ฤกษ์สังหาร! 

เป็นการเกริ่นนำที่น่าสนใจมาก ถ้าเปิดเรื่องได้น่าตื่นเต้น จุดความสนใจให้พลุ่งพล่านโดยเอาส่วนนี้ไปเกริ่นไว้ที่ปกหลัง ก็คงจะซื้ออ่านเสียนานแล้ว เพราะปกหลังที่มีคำ  เสวยสุขาวดี อัคนีบริสุทธิ์ เสพสังวาส บูชาปสานเทพเทวา ถวายเป็นบัดพลี ฯลฯ  ชวนให้นึกไปถึงว่าคงจะเป็นแนว 'จอมขมังเวท' แบบร่ายมนต์คาถาล่ะมั้ง คุณไสยปะทะไสยดำอะไรเทือกนั้น พออ่านจบไปแล้ว เข้าใจเรื่องราวถูกทางแล้วนั่นแหละ มันถึงกลายเป็นปกหลังที่ 'ดีแล้ว' ขึ้นมา..ซะงั้น

จากปกหลัง - เล่ม ๑

 ตำนานเล่าว่าการวางศาลหลักเมือง มีการกำหนดฤกษ์

เพื่อบรรจุ 'ผู้รักษาคุ้มครองเมือง' อันศักดิ์สิทธิ์

เสาหลักเมืองสลักขึ้นจากไม้ชัยพฤกษ์

ช่องใต้ดินต้องรองรับด้วยสี่ชีวิตผู้คุ้มครองเมือง

ด้วยชายชื่อที่เป็นมงคล อยู่-ยัง-มั่น และ คง เพื่อเป็นเคล็ด

ในการทำพิธีวางเสาหลักเมืองตามศาตร์โบราณ

ากต่อมาบังเกิดตำรา 'แก้เคล็ดดวงเมือง' เพื่อทอนความศักดิ์สิทธิ์ของดวงเมือง

คือใช้ชีวิตของสาวผู้ครองธาตุตามทิศประเมืองทั้งสี่

'สี่คนสี่ธาตุ บูชาปสานเทวา เสริมราศีชะตา ผู้ประกอบพิธีบำเพ็ญ

หลังเหตุอาเพศธานี ผู้เสริมชาตะเสวยสุขาวดีเล็งเห็น

กระทำบัดพลีมิเว้น 'ธรณิน คงคา วายุ เตโช'

ผู้ใด กระทำการสำเร็จดังว่า ดวงชะตานั้นจะกุมทั้งหมดเหนือดวงเมือง

หากต้องสามารถคำนวณ 'ฤกษ์' ยามอาเพศธานี ภัยพิบัติ ของบ้านเมือง

ไปกำหนดเวลาเสวยสุขาวดี เสพสังวาสกับ 'ผู้ถูกเลือก' สี่คน สี่ธาตุ

เมื่อคำนวณได้วันและเวลาไหน ก็ถือว่านั่นคือ 'ฤกษ์'

ที่พวกมันจะลงมือประกอบพิธีบูชาแก้เคล็ดดวงเมือง

เอา 'ผู้ถูกเลือก' ไปสังหารเพื่อถวายเป็นบัดพลี !

จากปกหลัง - เล่ม ๒

มันคำนวณหา ‘ฤกษ์’ แล้วเสาะแสวงหา ‘ผู้ถูกเลือก’

‘สี่คน สี่ธาตุ บูชาปสานเทพเทวา’

มันเฝ้าติดตามตัว ‘ผู้ถูกเลือก’ และนำมาเข้าพิธีทีละคน

หากที่เพ่งพิศจับตามอง...สาวน้อย ‘รันหณ์’

เธอเกิดมาเพื่อเป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ ที่แสนพิสุทธิ์โดยแท้

หญิงสาวธาตุไฟ ‘อัคนีบริสุทธิ์’ ที่จะมาเป็นเครื่องบัดพลี“

ผู้เสริมชะตาเสวยสุขาวดีเล็งเห็น

กระทำบัดพลีมิเว้น 'ธรณิน คงคา วายุ เตโช'

มันใช้สายตาจับจ้องแทบทุกซอกทุกมุม

นิ้วมือเหี่ยวย่นลูบลงที่ผิวหน้าระเรื่อใสของสาวน้อย โอ้...เตโชต้องบัดพลีด้วยอัคนีบริสุทธิ์

ผิวพรรณผ่องผุดของสาวพรหมจรรย์เป็นอย่างนี้เองน่ะหรือ

นิ้วนั้นไล่เรื่อยลงมาตามลำคอ จนแตะเสื้อบางรับรู้ถึงเนินเนื้อ

มันปิดตาแน่นดั่งพยายามหักห้ามใจ  ความรู้สึกพลุ่งพล่าน จนแทบหยุดตัวเองไม่ได้

นี่คือ ‘ผู้ถูกเลือก’ คนสุดท้ายมันจะกระทำการใดให้เสียฤกษ์ไม่ได้

มันต้องรอฤกษ์...และฤกษ์นั้น...มันจะเสวยสุขาวดีอัคนีบริสุทธิ์

บูชาต่อหน้าเทวรูปเทพสังวาส สวดมนตราระเริงเร่ง

ก่อนนำพาร่างน้อยไปสู่วินาทีแห่ง ‘ฤกษ์สังหาร

เห็นมานานแล้ว นิยายของผู้แต่งนาม 'วรรณวรรธน์' แต่ละเรื่องที่เห็นตามร้านหนังสือ ล้วนดึงดูความสนใจด้วยชื่อเรื่อง เช่น เส้นทรายสีเงา อัสวัต-ราชันย์แห่งความมืด ทรายล้อมตะวัน บัลลังก์สายหมอก  แต่ที่ยังไม่เคยอ่านมาก่อน เพราะได้ยินมาว่าสำนวนแข็งๆ จึงไม่กล้าที่จะลอง แม้จะสังกัดอยู่ ณ บ้านวรรณกรรม ก็ตาม  รู้สึกเหมือนโตมากับนิยายของสำนักพิมพ์นี้ ชื่นชมทั้งคุณภาพนักประพันธ์และคุณภาพการพิมพ์ (แต่ชอบรูปเล่มสมัยก่อนที่มีขนาดกะทัดรัดมากกว่า) แต่นั่นหมายถึงเมื่อก่อนนะ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ เพราะไม่ได้อุดหนุนกัมานานหลายปี

ฤกษ์สังหาร อาจไม่ถึงขั้นระดับประทับใจ แต่ก็ชอบมากพอจะเรียกได้ว่า นี่แหละ นักเขียนอีกคนที่เรามองหา คนที่จะเขียนเรื่องแปลกแหวกแนวแบบมีธีม อย่างเรื่องนี้ก็ธีมโหราศาสตร์ พระเอกเป็นหมอดู .. แหวกแนวพอไหม  

เมื่อได้ลองผลงานเรื่องแรก .. ก็ต้องเอ่ยถึง สำนวนกันสักนิด

สำนวนบรรยายฉาก สถานที่ เหตุการณ์ เขียนดีค่ะ อ่านเห็นภาพ เรื่องของข้อมูลก็แน่น ทำให้รู้สึกว่าคุณวรรณวรรธน์มีความรู้ในเรื่องที่เขียน  ไม่ว่าข้อมูลที่มีอยู่จริงจากการค้นคว้าหรืออ้างอิงกับจินตนาการจะเป็นสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์มากน้อยก็ตาม เอาเป็นว่าอ่านแล้วเรารู้สึกไม่ขัดแย้งและสนุกไปกับเรื่องราวในนิยายมากเลยล่ะ  แต่ถ้าเป็นการบรรยายความรู้สึก ส่วนตัวคิดว่ามันออกแข็งๆ อยู่นิดนึง ถ้าไม่รู้เกี่ยวกับประวัตินักเขียนมาก่อนบ้าง เราคงจะคิดว่านักเขียนท่านนี้เป็นผู้ชายน่ะค่ะ 

เอ่ยถึง สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ก็อดไม่ได้จะเอ่ยถึงท่านนี้ บรรณาธิการ รัชนก นามทอน สำนวนคำนำแต่ละเรื่องของคุณ บก. ล้วนดึงดูดความสนใจ จับเอาประเด็นมาเป็นเรื่องย่อ จับเอาถ้อยความสำคัญมาเร้าใจให้รู้สึกอยากอ่าน ถึงอ่านแล้วมันอาจไม่ได้น่าสนใจและสนุกดั่งคำนำของคุณ บก. ที่ทำให้เชื่อว่ามันต้องสนุกแน่ๆ   แต่ก็ไม่เคยจะเข็ด ยังคงหลงคารมคำนำคุณรัชนกอยู่เสมอ ลองว่าได้เปิดอ่านคำนำของคุณรัชนกแล้วล่ะก็นะ โชคดีที่หนังสือในร้านมันเปิดอ่านไม่ได้ ไม่งั้นที่ห้องคงเต็มไปด้วยหนังสือนิยายจาก สนพ. นี้  

.....

เบื้องหน้านั้น ส่งให้ขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล ศีรษะหญิงสาวที่ร่างถูกฝังกลบใต้กองดินพูน มีสายสิญจน์พันรอบศีรษะนั้น ราวกับถูกตราสัง!    มันไม่ใช่ความสยดสยอง แต่เป็นความหวาดกลัวต่อสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็นตัวตน มันกดลึกเข้าไปในจิตใจ เหมือนกระตุ้นเตือนสัญญาณบางอย่าง ชายหนุ่มหลับตานิ่ง ทบทวนคลับคล้ายเคยเห็นบทความในตำราโบราณที่อธิบายลักษณาการเช่นนี้

"บูชาธรณี ตั้งเศียรขึ้นฟ้า

ตั้งแท่นเทียนเทพพนม

ผินพักตร์หน้าตรงมุ่งสู่บูรพา"

ตามศาสตร์โบราณว่าด้วยการวางเสาหลักเมือง มีการกำหนดฤกษ์เพื่อบรรจุร่างสี่ผู้รักษาคุ้มครองเมือง ด้วยชื่อผู้รักษาอันเป็นเคล็ดมงคล อยู่-ยัง-มั่น-คง หากที่ประจักษ์เบื้องหน้า ไม่ใช่เพื่อบ้านเมือง แต่เพื่อมันและพวกมัน  ใช่แน่แล้ว "ตำราแก้เคล็ดดวงเมือง" !! ตำราที่ผู้คนแห่งโหราศาสตร์ ห้ามทำการ ห้ามแตะต้อง เด็ดขาด!  ทันทีที่เริงร่ายพิธีกรรม มันจะทอนความศักดิ์สิทธิ์ของดวงเมือง ผู้ประกอบพิธีกรรมจะได้ประโยชน์อเนกอนันต์ หากแผ่นดินจะระอุ ให้ผู้ประกอบพิธีควบคุมเมืองได้ตามใจปรารถนา  ที่สำคัญ .. กว่าจะถึงวันนั้น ต้องใช้มนุษย์มา 'บูชาปสานเทพเทวา' ผลแห่งพิธีแก้เคล็ดดวงเมือง มันไม่ใช่แค่เรื่องคุณไสยธรรมดา  หากมันนำชีวิตมนุษย์ ไปสู่ ... ฤกษ์สังหาร!!!สนองต่อกิเลสของ 'คน' ที่อยากใหญ่เหนือ .. ดวงเมือง กำนหด 'ฤกษ์' ทอนอำนาจผู้รักษาคุ้มครองเมือง เพื่อมันแลพวกมันจะปกครองเสียเอง   

พวกมันหารู้ไม่ว่า การณ์เยี่ยงนั้น การเสริมดวงตน โยกดวงเมือง เคลื่อนฟ้าฝืนดาว จะก่อการณ์ใดที่มันคาดไม่ถึงบ้าง  ต้องมี ผู้ขัดขวางมัน! พวกมัน!  หาก 'ผู้ขัดขวาง' นั้นคือใคร และจะกระทำสำเร็จเยี่ยงใด

........... ฯลฯ ..............

สนุกครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน

รัชนก นามทอน

บรรณาธิการ 

ตุลาคม ๒๕๔๘

สนุกน่ะสนุกแน่นอน แต่ไม่ใช่จะไม่มีผิดหวังเอาซะเลย เพราะคารมท่านบก. ทำให้คาดหวังไว้สูง

คาดหวังว่าพระเอกจะทำอะไรได้มากกว่า การคำนวณหาฤกษ์และปกป้องสาวคนรัก  ไพล่คิดไปไกลว่าคงจะออกแนวคล้ายๆ การหักเหลี่ยมเฉือนคมของสุดยอดนักพยากรณ์ อารมณ์ประมาณ ไสยขาว ไสยดำ มางัดข้อกัน  แต่มันก็พอเข้ากับเรื่องอยู่แหละว่า ...การเคลื่อนฟ้าฝืนดาว มันยาก  แล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่ความพ่ายแพ้ของเดรัจฉานวิชา จะทำให้รู้สึกกระอักใจ เพราะมัน เอ่อม ..เหตุผลเพราะเรื่องพื้นๆ ง่ายๆ แค่นี้เองเหรอ   

คาดหวังคาแรคเตอร์ของพระเอกหมอดู หรือถ้าจะเรียกให้หรู "นักพยากรณ์" ไว้แบบหนึ่ง จากชื่อ 'มหากะทิง' หลงคิดว่าคงจะเป็นคน ขำๆ เฮฮาอารมณ์ดี  แต่จากการพบกันครั้งแรกของ 'มหากะทิง' (นายกนธี ธรรมอรรฆน์) กับ 'รันหณ์'   หลังจากเขินแทนนางเอกไปซะมาก  คิดว่าพระเอกจะเป็นแนวนิ่งๆ รักนะ ห่วงนะ แต่ไม่แสดงออกมาก ทำเอาตื่นเต้นนึกว่าจะเป็นพระเอกแบบหล่อๆ ขรึมๆ  เท่ห์ๆ แบบฤาษีจำศีล  ที่ไหนได้ มหากะทิงทำหงายเงิบไปเลย  พ่อมหาหน้านวล กรุ้มกริ่มซะ พบกันแป๊บๆ ก็สารภาพความในใจโต้งๆ ซะงั้น  หมดกัน ... นี่ยังไม่นับคาแรคเตอร์พระเอกแบบ พูดจาหางเสียงหวาน  รันหณ์จ๊ะ รันหณ์จ๋า ที่ส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบ  นางเอกยิ่งแล้วใหญ่  เจอคำ "คุณมหาของรันณห์" เข้าไปหลายทีติดๆ กัน ก็รู้สึกอิหลักอิเหลื่ออยู่บ้างเหมือนกัน  หลังจากนั้น ความรู้สึกว่าพระเอกเท่ห์เลยหดหาย แต่ก็กลายเป็นพระเอกน่ารัก

ผิดความคาดหวังอีกประการคือ  ส่วนตัวคิดว่า รักกันง่ายไป เร็วไป  ถึงจะเป็นหมอดู รู้ดวงว่าเป็นเนื้อคู่ก็เถอะนะ  ถ้ามันโจ่งแจ้งเร็วเกินไป ก็ลดทอนความน่าสนใจในเรื่องของ 'ความรัก' เค้าจะรักกันหรือยัง เค้าจะรักกันตอนไหน เค้าจะบอกรักกันยังไง ไม่ต้องลุ้นอีก  ก็เค้ารักกันไปแล้วนะ   เป็นแฟนกันไปแล้วนี่..(ฉันยังไม่ทันได้เริ่มอินเลยนะพ่อมหา...)

ยังคงเหลืออีกหนึ่งความคาดหวัง  เอาน่า .. ถ้าคู่นี้จะรักกันก็ปล่อยให้เค้ารักกันหวานชื่นไป แม้จะไม่มีฉากสวีทหวานอะไรมากนัก แต่โดยพฤติกรรมและคำพูดของตัวละคร ทำให้เรารู้สึกว่าคู่นี้เค้าหวานกันอยู่   จึงหันไปสนใจอีกคู่ เมื่อมีสารวัตรศรีล ตำรวจหนุ่มเลือดร้อนภาพลักษณ์นิสัยออกห่ามๆ  กับคุณหมอนิติเวช ชิงดวง คุณหมอสาวที่สวย เก่ง ฉลาด และไม่จุกจิกเรื่องมาก  นึกว่าจะเป็นคู่สร้างสีสัน แต่ที่ไหนได้เป็นแฟนกันเฉยเลยแบบไม่ต้องพูดอะไรมาก แล้วบทของหมอชิงดวง ก็แทบไม่มีเหลือ บทน้อยมากจริงๆ   

ประเด็นเหล่านี้แหละค่ะ ที่ทำให้เรื่องนี้ไม่อาจพุ่งไปสู่จุดของความประทับใจ  ทั้งที่ก็ยังชอบมากอยู่กับความสนุกเร้าใจที่มุ่งไปสู่การคลี่คลายปมฆาตกรรมของเรื่อง ถึงแม้แนวความรักจะไม่ถูกใจ แต่โดยรวมก็ยังสนุกอยู่ดี เพราะโดยปกติก็อ่านนิยายได้หลายประเภท  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นความคิดเห็นจากแนวความชอบเฉพาะบุคคลเท่านั้นนะคะ  ถ้าใครชอบแนวคู่รักแบบรักกันดีๆ หวานๆ พระเอกเหมือนเป็นฮีโร่คอยวิ่งโร่ไปช่วยดูแลหรือปกป้องนางเอกอย่างเรื่องนี้ ก็จะใช่เลย แนวของท่าน เข้าทาง!

ถึงก่อนหน้านั้นจะไม่เคยอ่าน แต่ก็จดจำชื่อนิยายได้ เพราะชื่อของผู้แต่ง

  "วรรณวรรธน์" เป็นชื่อที่เท่ห์มาก  ฟังหนักแน่นมั่นคงดี ชอบค่ะ 




 

Create Date : 17 กันยายน 2556    
Last Update : 17 กันยายน 2556 13:11:50 น.
Counter : 2792 Pageviews.  

หนึ่งจันทร์กลางใจ .. เรื่องนี้เอง ที่ 'ป๋าวิท' คิดเคลม 'เด็ก'

 

นิยาย 'ชุดจันทร์ ' ของ Yayoi  ที่เป็นผู้แต่งคนเดียวกันกับนามปากกา ภัสรสา   มีสามเรื่อง คือ  ขอเพียงใจจันทร์ , หนึ่งจันทร์กลางใจ  และ หากใจไร้จันทร์  ยังไม่ทันจะอ่านครบทั้งสามเรื่องเลย ก็ร่ำๆ อยากจะยก หนึ่งจันทร์กลางใจ ที่เพิ่งได้อ่านจบไปนี้ให้ขึ้นแท่นที่หนึ่งรอไว้ซะแล้ว  ด้วยมีอะไรๆ ถูกใจหลายอย่างเกิ๊น!  ซึ่งถ้าหยิบขึ้นมาอ่านเฉพาะปกหลังของหนังสือเพื่อพิจารณาว่า จะอ่านดีมั้ยน๊อ  ... คงคาดเดาอะไรไม่ได้นัก แล้วบางทีก็อาจจะแค่อ่านปกหลัง แล้วผ่านเลยไป

‘วิทวัส’ ชายหนุ่มเพลย์บอยผู้ควงสาวไม่เคยซ้ำหน้า
ปากร้ายแต่ดูเหมือนจะใจดี (เฉพาะกับสาวๆ) มีปมปัญหาชีวิตที่ไม่เคยแก้ออกได้เลย
 
‘พนาภัส’ สาวน้อยตาคม คุณหนูตกยากที่ต้องเผชิญชีวิตอย่างลำบาก
ยามเมื่อสูญเสียบุพการีไป แถมมีภาระหนี้สินอีกมากมาย
เธอจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้การใช้ชีวิตแบบเดิมกลับคืนมา

เมื่อทั้งสองคนโคจรมาเจอกัน
เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามามากมายทำให้ความรู้สึกดีเริ่มถักทอก่อเกิดขึ้น
หากแล้วเรื่องราว ‘ลับสุดยอด’ ก็ถูกเปิดเผยออกมาเสียก่อน

...หรืออุปสรรคครั้งนี้จะทำให้ ‘หนึ่งจันทร์’
ไม่มีวันลอยลงมาอยู่กลางใจได้ตลอดกาล...

ทีนี้ก็มาเล่าถึง อะไรๆ หลายอย่างที่ว่าถูกใจ ไม่รวมถึงสำนวน ที่ประทับตรา 'ผ่าน' ให้ผู้แต่ง ภัสรสา หรือ Yayoi  ตั้งแต่เรื่องแรกที่ได้อ่าน กลซ่อนใจ แล้วล่ะค่ะ  นี่ถ้าคิดจะตั้งกองประกวดนักเขียนแนวแจ่มใส ถือว่า ภัสรสา ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบลึกในฐานะตัวเก็งกันลยทีเดียว ก็ไม่ได้อ่านนิยายแนวแจ่มใส ด้วยความถูกอกถูกใจขนาดนี้มานานแล้ว

พลอตเรื่อง : นิยายชุดจันทร์ทั้งหมด มีพร้อมให้อ่าน จึงควรจะอ่านเรียงเรื่องตามลำดับก่อนหลัง  แต่ด้วยปกตินิสัยเป็นคนเลือกพลอต ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ไม่ได้อ่านนิยายของนักเขียนในดวงใจไปซะทุกเรื่อง  ของภัสรสาชุดนี้ อ่านพลอตแล้ว อยากอ่าน หนึ่งจันทร์กลางใจ เป็นอันดับแรกเลย แม้ว่า หากใจไร้จันทร์ ก็น่าสนใจเอาเรื่องอยู่ เพราะจากบันทึกท้ายเรื่่องของ กลซ่อนใจ (หนึ่งในนิยายชุดแอบ- แสงซ่อนเงา ,พรายอำพราง และ กลซ่อนใจ) ผู้แต่ง ภัสรสา ท่าทางจะชอบพระเอกคนนี้เอามากๆ กระทั่งลำบากใจว่าเลือกใครดีระหว่างคุณเทียน-หากใจไร้จันทร์ กับคุณธรรม-กลซ่อนใจ ดังนั้น ตัวเราที่ชอบคุณธรรมเอามากๆ ก็เลยอยากจะอ่านคุณเทียนเอามากๆ ด้วยเช่นกัน  แต่ หนึ่งจันทร์กลางใจ ก็มีพลอตที่สามารถปาดหน้าเค้กดึงความสนใจเข้าวินมาให้อ่านเป็นเรื่องแรก

พระเอก เป็นหนุ่มเพลย์บอย ที่ฟันดะได้ตั้งแต่สาวสังคมเดียวกัน ไปจนถึงขั้น..โสเภณี   ส่วนเธอ ...นางเอก  เป็นโสเภณีวัยละอ่อนนักศึกษา ที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง (บอกไว้..จะได้สบายใจ) เพราะการ 'ขาย' ของเธอนั้นมันมีเล่ห์กล 

เคยอ่านรีวิวมา นึกว่าจะออกแนวดราม่า 'ดาวพระศุกร์' เสียแล้ว  ที่ไหนได้  เรื่องนี้ไม่ได้หม่นหมองสำหรับเราเลย  ตรงกันข้าม .. มันอบอุ่นดีนะ กับความรักความเข้าใจที่มีให้กัน ทั้งที่โดยการกระทำแล้ว ยังไงก็หนีไม่พ้นคำครหา   ป๋าคิดจะเคลมเด็ก แต่เอาเหอะ ในเมื่อสักวันหนึ่งก็ต้องยืดอกรับคำ "โคแก่กินหญ้าอ่อน" อยู่แล้ว  ป๋าก็หยุดเลยละกัน หยุดตรงนี้ที่เธอ

คาแรคเตอร์พระ-นาง : ในการอ่านนิยาย มักจะชอบให้นางเอกมีความ 'อ่อน' กว่าพระเอกนิดนึงในแง่ใดแง่หนึ่ง  ประเภทหญิงเก่ง หญิงแกร่ง มันเป็นชีวิตจริงไม่ใช่น้อยๆ ของหญิงสมัยนี้ จึงอยากอ่านประเภทที่นางเอก อ่อนโยน อ่อนน้อม หรืออ่อนบอบบางให้ผู้ชายคอยปกป้องบ้าง ใส่ใจ ดูแลกัน  (^^)   แล้วจะชอบมากถ้าความอ่อนที่ว่าคืออ่อนวัย มีสถานะเหมือนเป็น 'น้อง' อายุน้อยกว่าจะช่วยให้ความสัมพันธ์น่ารักน่าเอ็นดู   

เรื่องนี้เลยเข้าทาง เพราะนางเอกไม่ใช่แค่อ่อนกว่า  แต่อ่อนกว่ามาก  ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสาม  ส่วนพระเอกเพลย์บอยวัยสามสิบ  .. สมควรแล้วที่จะโดนเรียกขานด้วยสรรพนามคู่ควรการกระทำ "ป๋าวิท" ช่างเหมาะเจาะน่ารักน่าเอ็นดูกับนางเอกที่มีชื่อเล่นน่ากินเสียนี่กะไร "พะแนง" แถมยังถูกต่อสร้อยบ่งบอกวัยหญ้าอ่อน "พะแนงน้อย" ราวกับจะคอยตอกย้ำซ้ำเตือนป๋าวิทให้มีสติระลึกได้และหักห้ามใจ    เฮ้ยยย .. น้องหนูเค้ายังเด็ก ยังเรียนอยู่นะเฟ้ย

แต่นางเอกคนนี้ ทั้งที่ยังเด็ก และเรียกแทนตัวเองว่า "หนู"  กลับไม่มีนิสัยแอบแบ๊ว ง้องแง้งเป็นน้องหนูอย่างที่นึกกลัว  เพราะเธอเป็นเด็กนิ่งๆ ที่อดทน ใจเย็น รู้จักรอคอยฟังเหตุผล ไม่งอนไร้สาระ ไม่โกรธตะพึดตะพือ แล้วก็ชอบที่สุดเลยตรงที่เธอมีความฉลาดยอกย้อนแบบแฝงอารมณ์ขันนิดๆ  ชอบตอนที่พะแนงทิ้งข้อความไว้ให้คุณวิทด้วยประโยคที่เขาเคยใช้กับเธอมาก่อน พอได้อ่านแล้วอาการของคุณวิทในสถานการณ์ซีเรียสสุดชีวิตนั้นคือ  .. ไม่ขำ  ไม่ขำเลยสักนิด   กำลังจะเศร้าอยู่เชียว  ความน่ารักก็ยังอุตส่าห์มาช่วยบรรเทา  

ส่วนพระเอก ชอบตรงที่ผู้แต่งได้ใส่นิสัย 'ลูกแหง่' เข้าไปในละครตัวนี้   เพลย์บอย กับ ลูกแหง่ มาอยู่รวมในคนๆ เดียวกันได้น่ารักน่าชอบอย่างไร  ถ้าอยากรู้ก็ลองหามาอ่านดูค่ะ   ก็ถ้าเจ้าชู้หลีหญิงขึ้นเตียงได้ง่าย จะออดอ้อนประจบเอาใจแม่เพื่อให้ได้ตามประสงค์บ้างก็ไม่น่าแปลก  Smiley

ตัวละครอื่นๆ แม้ว่าจะชอบคู่รัก 'พัทธวีย์' กับ 'อรอินทุ์' คู่รักที่เป็นเหมือนเพื่อนซี้ร่วมด้วยช่วยกันกับป๋าวิทอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ถึงกับชอบคู่นี้มาก เหมือนตอนชอบ 'ร่มโพธิ์' กับ 'ไออรุณ' ในเรื่อง กลซ่อนใจ ที่อยากจะหา พรายอำพราง  มาอ่านซะตอนนั้นเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็ถือว่าเป็นคู่ที่น่ารัก แม้จะไม่ได้สร้างความน่าสนใจให้กับเรื่อง ขอเพียงใจจันทร์  ที่พัทธวีย์กับอรอินทุ์เป็นคู่พระ-นางเท่าไรนัก ก็คาดว่าจะต้องตามไปอ่านอยู่ดี  ส่วนคุณเทียน (ธีริทธ์) ไม่มีอะไรที่ทำให้เราสนใจเค้าได้เลยในเรื่องนี้  แต่ด้วยเหตุผลอย่างที่บอกว่า เขาเป็น 'คุณเทียน' ที่เคยได้อ่านพาดพิงถึง ก็แน่ล่ะว่าจะต้องอ่าน หากใจไร้จันทร์ ด้วยเหมือนกัน

ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็มีอยู่ และ จบไป .. อย่างพอเหมาะพอดีไม่มากไม่น้อย

คุณแม่วิรงรอง - จู้จี้ขี้บ่น รักลูกชายวิทวัสสุดหัวใจ  ทุกสิ่งที่เขาจะพึงมีพึงได้ จะต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และแน่นอนว่า ความรักสุดจิตสุดใจ ย่อมมาพร้อมกับความหวงแหนสุดชีวิต

แตงไทย : น้องสาว วัย ป.สอง ของพี่พะแนง  การมีตัวตนอยู่อย่างน่ารักของเธอ ช่วยส่งเสริมให้รู้สึกถึงความรักในจิตใจที่อ่อนโยนของพะแนงได้มาก  นึกภาพพะแนงเล่นกับน้อง พูดกับน้อง ปลอบน้อง โอ๊ย ..อย่างงี้เอง ป๋าวิทถึงได้รักอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนา 'เคลม' เล่นๆ มาแอบแฝง เพราะป๋าแน่ใจว่าราย..เด็กคนนี้ ต้องเคลมกันยาว เคลมถาวรตลอดชีพ  อุปสรรคมีไว้ให้ฝ่าฟัน  และความอดทนรอคอยเท่านั้น ที่จะทำให้ โคแก่ได้เล็มหญ้าอ่อน สมปรารถนา มีความสุข

ความสัมพันธ์ในครอบครัว : คุณวิทเค้าอ้อนแม่ เหมือนยังเป็นเด็กเลยค่ะ น่ารักดีนะ แต่เวลาที่แม่จู้จี้ขี้บ่น เขาก็มีความอดทดน้อยนิดซะเหลือเกิน คือ.. ถ้าแม่เริ่มต้นบ่น  คุณวิทก็องค์ลงออกจากบ้านได้ทันที บางเวลาเหมือนจะสนิทชิดใกล้ แต่บางเวลาก็ห่างเหินจนน่าใจหาย   ชอบฉากที่พะแนงเอาก้อนหินขว้างรถคุณวิทเพื่อหยุดเขาไม่ให้เตลิดไปจากบ้านซึ่งอาจกลายเป็นจุดแตกหักระหว่างเขากับแม่  เพราะโมโหจะเอาเรื่องพะแนง เขาจึงได้หยุดรถแล้วกลับเข้าบ้านมาเห็นสภาพของแม่ในภาวะที่อ่อนแอ น่าสงสาร คุณวิทถึงได้ใจเย็นลง  และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่เขาซาบซึ้งในน้ำใจที่หวังดีของพะแนงมาก      

ความรักรู้สึกชอบคู่นี้มากตั้งแต่พระ-นาง เค้าเจอกันครั้งแรกเลย  แหม..พระเอกก็นะ จำอะไรไม่ว่า .. แต่ว่าจำเรื่องนี้ .. มันช่าง

"และน่าแปลกที่เขาจำความรู้สึกตอนได้จับต้องถันอวบตึงแน่นผ่านผ้าเนื้อบางเบาได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ใหญ่โตล้นมือเหมือนบางรายที่เขาเคยผ่าน แต่มันช่าง ...เหมาะเจาะ เหมือนๆ กับใบหน้าที่ได้เห็นเมื่อสักครู่นั่นแหละ .."

อะไรแปลกๆ ที่คาใจ จนนำไปสู่การซื้อบริการซ้ำอีกครั้ง จนจับได้เรื่องที่ 'น้องแนนนี่' (ชื่อสมมติที่นางเอกใช้ขายตัว) ย้อมแมวมาขายบริการ ก็เป็นเหตุมาจากความรู้สึก 'จำได้' ที่เคยได้จับหน้าอกน้องแนนนี่เค้าน่ะเอง .. หม้อมั้ยล่ะ พระเอกของเรา  แต่น่ารักจังค่ะ Smiley 

และตอนที่ ป๋าวิท จับได้นี่แหละ  ทำให้เราโดนดูดให้ติดหนึบนิยายเรื่องนี้อย่างจริงจัง มันเริ่มมาจากตอนนั้นเลย ตอนแมวไล่ต้อน ไล่จับ ไล่ตะครุบหนูแนนนี่  ลุ้นซะ .. นึกว่า  นึกว่า ......จะ ... ซะแล้ว

พระเอกนี่นะ  ย่อมพอมีความเมตตาหลงเหลือเว้ให้เด็กมันบ้าง  ตั้งแต่วันนั้นดูเหมือนป๋าวิทจะพยายามขีดเส้นกีดกันตัวเองด้วยคำว่า 'เด็ก'  แม่พะแนงน้อยเลยโดนกันท่าไว้เป็นแค่ 'เด็กคนนั้น' เหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่พฤติกรรม 'เจ้าบุญทุ่ม' นั้น โคต-ร จะสวนทาง ที่ทุ่มตัว ทุ่มใจ แถมยัง ทุ่มเงินลงไป ทั้งที่ไม่ได้แตะไม่ได้ต้องสักปลายก้อยเป็นการตอบแทน...คนรอบข้างคนไหนจะไม่คิดว่ามันประหลาด .. ถ้าไม่ใช่ว่าป๋าวิทคิดจะเคลมเด็ก  งั้นก็เหลืออยู่แค่เรื่องเดียว  ป๋ามีความรัก

รัก ... ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยเอ่ยคำนี้กับเธอ เธอเองก็ไม่เคยให้คำนี้กับเขา  แต่เธอกลับไม่มีแม้แต่ความไม่แน่ใจ ทั้งยังไม่เคยเคลือบแคลงและเชื่อว่าเขาเองก็เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งที่เธอทำให้ ทุกอย่างที่เธอได้รับ มันมากมายเกินกว่าคำนั้นหลายล้านเท่า

ชอบเรื่องราวความรักในเรื่องนี้ค่ะ  เข้าใจกันเงียบๆ รักกันเงียบๆ ไม่ต้องมีคำเกี้ยวพาอะไรให้ชัดมากมาย แค่สิ่งดีๆ ที่ทำให้กัน ต่างฝ่ายต่างก็รับรู้ความรู้สึกเอื้ออาทรที่มีให้ 

เขาเป็น 'คุณวิท' ที่ทำตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องบอกอะไร ใครอีกคนก็รับรู้ได้ว่าทำ ..เพื่อใคร   

เธอเป็น 'พะแนง' ที่มองเห็นเขาลึกไปกว่าภาพลักษณ์ที่เป็นเพลย์บอย เป็นผู้ชายที่ซื้อบริการโสเภณี เธอมองอย่างเข้าใจ และมองเห็นความดี เห็นความรักความจริงใจที่เขามีให้

เรื่องนี้ถ้าใครคาดว่าป๋าวิทเพลย์บอย จะต้องคอยจ้องหาโอกาสรวบหัวรวบหางพะแนงน้อยให้มีฉากสวีทเยอะแยะล่ะก็ ขอบอกว่าลืมไปได้เลย ถึงจะผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่กับเด็กคนนี้ป๋าวิทเค้าเกรงใจ ไม่กล้าหรอกนะจะบอกให้ แค่คำพูดยังกระดากปากและละอายใจ .. จึงไม่ต้องหวังถึงการกระทำ  แต่ว่านั่น ...ทำให้ ยามที่ความรักถึงเวลาอันเหมาะสม มันก็เป็นความผูกพัน และสัมผัสแห่งรักที่อ่อนหวาน โรแมนติกมากนะเออ  ชอบแบบนี้ค่ะ .. ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องร้อนแรงเลอะเทอะ ไม่ต้องยัดเยียดบทให้ถูกเนื้อต้องตัว นัวเนียกันมากมาย ..เอาแค่รัก แค่อบอุ่นอ่อนหวาน นั่นก็โรแมนติกที่สุดแล้ว

ขอบอกว่า 12 หน้าสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้ (หน้า 465 - 477) อ่านซ้ำความน่ารัก คุณวิท กับ พะแนงเกือบเป็นสิบรอบเลยค่ะ  ชอบมากจริงๆ   

 




 

Create Date : 11 กันยายน 2556    
Last Update : 12 กันยายน 2556 12:12:29 น.
Counter : 4464 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.