|
หนังสือสองเรื่องคลอดแล้ว
ในที่สุดหนังสือหญิงรักหญิง ของเราก็คลอดแล้ว
นาลันทาเธอผู้เป็นที่รัก พิมพ์รอบสอง เพิ่มตอนพิเศษเป็นกำไรให้กับผู้อ่าน
เรื่องใหม่ล่าสุด บุลลาปาหนัน
หนังสือขายเองทำเอง ไม่มีจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไปค่ะ
Create Date : 20 กรกฎาคม 2554 | | |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2554 13:41:46 น. |
Counter : 1012 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ปิดงานเขียนชั่วคราว
ด้วยสภาพจิตใจในตอนนี้
ไม่เอื้ออำนวยที่จะเขียนเรื่องหรือทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
ของดการเขียนเรื่องสั้นและเรื่องยาวแนวยูริทั้งหมด โดยไม่มีกำหนด
ก็ไม่แปลกอะไรเพราะไม่ค่อยจะมีคนอ่านอยู่แล้้ว
แต่ก็แจ้งเพื่อทราบแล้วกันนะคะ
บายๆๆ
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2551 13:06:11 น. |
Counter : 393 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสั้นแนวยูริ : นักเขียนเงา
นักเขียนเงา
ฉันนักเขียนไร้สังกัด หาเงินด้วยการเขียนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ส่งตามนิตยสารและสิ่งพิมพ์
ฉันเป็นนักเขียนไส้แห้งที่นานๆ ครั้งจะมีคนมาว่าจ้างให้ทำงาน
อาชีพหลักเป็นชาวเกาะ ฉันไม่ได้ทำสวนมะพร้าหรืออะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นชาวเกาะพ่อเกาะแม่ อาศัยพ่อแม่เลี้ยงดูปูเสื่อไปวันๆ รายได้หลักของฉันมาจากการเขียนหนังสือพอมีพอใช้สำหรับการอยู่ไปวันๆ แม้ไม่มากมายแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป
ฉันเขียนหนังสือมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น เขียนกลอนเปล่า เขียนเรื่องตลกส่งหนังสือการ์ตูนเล่มละไม่กี่บาท ค่าจ้างค่าออนก็ถูกแสนถูก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เรียนจนจบก็ตกงานย่ำต๊อกเตะฝุ่นไปตามเรื่องตามราว เมื่อหางานไม่ได้แหล่งพักพิงที่สุดท้ายก็คือบ้านอันแสนสุข
พ่อกับแม่ไม่ได้บ่นอะไร ก็แค่บอกว่าชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป ฉันเองก็เลยเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ งานการก็ช่วยพ่อกับแม่ทำบ้างไม่มากมายนัก สุดท้ายฉันบอกแม่ว่างานบ้านทั้งหมดแม่ไม่ต้องจ้างใครที่ไหนอีกแล้ว ฉันจะเป็นแม่บ้านให้แม่เอง แม่ก็เห็นดีเห็นงามไปกับฉันด้วย ดังนั้นครอบครัวเราก็เลยประหยัดค่าจ้างคนทำงานบ้านไปได้หลายบาท เพราะแม่เอาเงินส่วนนั้นมาเลี้ยงฉันลูกที่ไม่รู้จักโต
ฉันได้รับการติดต่อจากบอกอของหนังสือเล่มหนึ่งบอกฉันว่ามีดาราสาวคนหนึ่งต้องการที่จะทำหนังสือชีวประวัติของเธอ หากฉันสนใจที่จะเขียนเรื่องราวเหล่านั้นก็ให้ฉันติดต่อกับทางบอกอ และเมื่อโอกาสมาถึงทำไมฉันจะไม่คว้าเอาไว้ ฉันรีบติดต่อกลับไปทันที
ฉันมายืนอยู่หน้าสำนักพิมพ์มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งวันนี้จะมีการนัดสัมภาษณ์ดาราสาว เพื่อให้ฉันได้ไต่ถามเรื่องราวชีวิตแต่หนหลังของเธอในทุกแง่มุม เขียนออกมาเป็นเรื่องเล่า แนวตลกโปกฮา หรือแฝงไปด้วยสาระสอดแทรก ที่แน่ๆ ก็ต้องรู้ภูมิหลังของสาวเจ้าก่อนมาเป็นมาอย่างไร มาจากสังคมชนบทหรือมาจากสังคมไฮโซ
ฉันกับบอกอและดาราสาวสวยนั่นเป็นสามเส้ากันอยู่ใหนห้องรับรองแขกของบอกอสำนักพิมพ์แห่งนั้น
ต้นรู้แล้วใช่ไหมว่าจะต้องเขียนอะไร บอกอถามฉันที่กำลังหยิบเครื่องอัดเสียงตัวเล็กเท่านิ้วมือออกมาจากกระเป๋า
รู้แล้วค่ะบอกอ
งั้นเชิญคุณสองคนตามสบายนะจะล้วงแคะแกะเกาแบบไหนก็ว่ากันเองก็แล้วกัน บอกอพูดจบก็ปล่อยฉันและดาราสาวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
ทำไมถึงอยากทำหนังสือคะ ฉันเริ่มเป็นคำถามแรก
ก็เพราะฉันอยากเล่าเรื่องราวในชีวิตของฉันให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ ดาราสาวตอบฉันด้วยสีหน้าท่าทางสบายๆ
ในลักษณะตีแผ่ทุกแง่มุมหรือว่าบางซอกหลืบเร้นลับคะ ฉันจี้คำถามดาราสาวไปอีกครั้ง
ทุกแง่มุมค่ะ ทั้งสนุกโปกฮา สุขเศร้า เคล้าน้ำตา
รวมถึงชีวิตรักที่พึ่งจบไปหมาดๆ นั่นด้วยหรือเปล่าคะ
แน่นอนค่ะเรื่องนี้เป็นไฮโลท์ของหนังสือเล่มนี้เลยก็ว่าได้
งั้นแสดงว่าคุณต้องการที่จะพูดถึงเรื่องความรักมากกว่าที่จะบอกว่าชีวิตแต่หนหลังนั้นเป็นแบบไหน
ก็ไม่เชิงค่ะ แค่ฉันอยากจะเกริ่นเรื่องว่าก่อนที่จะมาเข้าวงการนี้มันเป็นแบบไหนแล้วชีวิตหลังเข้าวงการเป็นอย่างไรคุณพอจะช่วยฉันให้เขียนเรื่องออกมาจะได้หรือเปล่า
ได้ค่ะแต่ฉันอาจจะซอกแซกถามคุณมากหน่อยก็เท่านั้น
ยินดีไม่มีปัญหาค่ะ แต่วันนี้ฉันมีคิวถ่ายละครตอนบ่ายสาม คุณจะไปด้วยหรือเปล่าคะ
ไปได้เหรอคะ
ไปได้สิคะ เดี๋ยวนิดจะบอกพี่ๆ ที่กองเองว่าคุณเอ่อ ดาราสาวเจ้าบทบาทหยุดไปสักพักเหมือนพยายามนึกถึงชื่อของฉัน
ต้นค่ะฉันชื่อต้น
อ่อโอเคคุณต้น ฉันจะบอกทางกองว่าคุณต้นเป็นเพื่อนอยากมาดูการถ่ายทำละคร
โอเคค่ะได้เลย ไปไหนไปกันฉันก็อยากเห็นการทำงานของคุนเหมือนกัน เออฉันถามอะไรสักนิดได้หรือเปล่าคะ
ว่ามาเลยค่ะ
ฉันถ่ายรูปคุณได้หรือเปล่า
นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายอะไร ถ่ายได้สิคะ ถ่ายเท่าที่คุณต้องการจะถ่าย ไม่ได้เสียหายอะไรนี่คะ
อืมค่ะโอเคงั้นต้นไปกับคุณนิดก็แล้วกันวันนี้ต้นฟรีอยู่พอดี
ฉันติดสอยห้อยตามดาราสาวสวยไปที่กองถ่าย นั่งสังเกตกริยาอาการของดาราสาวคนนั้นอย่างใจเย็น ฉันว่าคนเป็นดาราค่อนข้างจะเก่งในเรื่องสร้างอารมณ์ ฉากรักหวานก็เล่นได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นฉากตบตีกันระหว่างนางเอกกับตัวอิจฉา
ถ้าเป็นฉันคงปรับอารมณ์ได้ไม่ทันแบบดาราเหล่านี้แน่ๆ เพราะมันทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย แสงแดดก็แรง ไฟก็ร้อน ทั้งตบหน้าซับมัน ทั้งต้องท่องบทให้ได้ ถ้าเทคหลายๆ ครั้งก็ต้องเกรงใจผู้กำกับว่าจะสิ้นเปลืองเทปไปมากขนาดไหน ค่าจ้างก็ไม่ได้ถูกๆ ตอนละตั้งหลายหมื่น
นิดเล่าว่าเมื่อก่อนที่เธอเข้าวงการใหม่ๆ เป็นบทนางเอกเธอนั้นได้ค่าจ้างที่แพงกว่านี้มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเด็กรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ นิดก็ตกกระป๋อง การที่จะให้คนดูจำได้เธอจึงต้องรับบทนางรองหรือผู้ช่วยนางเอก เมื่อเวลาผ่านไปบทแม่ก็เข้ามาเยือน และราคาค่าจ้างต่อเรื่องก็ถูกลง ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าดาราเก่าๆ แบบนิดนั้นเล่นเก่งไม่แข็งกระด้างเหมือนดราใหม่ๆ
แต่ก็อย่างว่าวงการมายาขายความสดใหม่ซิงและว่านอนสอนง่าย เด็กรุ่นใหม่เย่อหยิ่งจองหองอวดดี ข่มรุ่นพี่ทั้งๆ ที่ผ่านเทปมาหลายร้อยม้วน ผ่านการเดินไปมาหน้ากล้องมาตั้งแต่เด็กพวกนั้นยังพูดไม่ได้ ไม่แปลกอะไรที่ดารารุ่นเก่าๆ จะหายลับไปจากวงการไปทำอาชีพของตัวเอง และไม่กลับมาเข้าวงการอีก หรือหากเข้ามาก็วับๆ แวมๆ เรื่องสองเรื่องตอนสองตอน ค่าจ้างก็อาจจะถูกจนไม่พอกับค่าน้ำมันรถในการเดินทางมาเล่นละครแต่ละครั้งด้วยซ้ำไป
นิดเองก็เป็นเหมือนดาราเก่าๆ ทั่วไป เธอเคยโด่งดังจากการเล่นละคร ดังจนวงการต้องลือลั่นว่าตัวเธอนั้นเป็นดาราหน้าใหม่เจ้าบทบาท ค่าจ้างแต่ละตอนดาวน์รถได้ครึ่งคัน ฉันได้ยินค่าจ้างของเธอก็ถึงกับอึ้ง เพราะมันมากมายจนฉันอาจจะเปิดสำนักพิมพ์ได้สังแห่งเพื่อสนองตัณหาของตัวเอง
นิดกับฉันเราแลกเบอร์โทรของกันและกัน และฉันเองก็จะรู้ตารางเวลาที่เธอรับงานในแต่ละวัน เนื่องจากบางครั้งฉันเองก็ต้องไปพบเธอเพื่อขอข้อมูลในการเขียนเรื่องราวต่างๆ ของเธอ ยิ่งฉันเขียนได้มากเท่าไหร่ ฉันก็ได้เงินมากเท่านั้น ยิ่งฉันเขียนได้เหมือนว่าเป็นตัวนิดเขียนได้มากเท่าไหร่ ก็จะมีคนคิดว่านิดเป็นฉันและฉันเป็นได้มากเท่านั้น
ฉันต้องจับคำพูดของนิด สำนวนของนิด ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นการที่จะต้องพูดคุยกับนิดบ่อยๆ มันก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับฉัน ยิ่งคบก็ยิ่งรู้ว่านิดเป็นคนสองบุคลิก ยามที่นิดทำงานเธอจะทุ่มเททุกอย่างให้กับการทำงาน ไม่แปลกอะไรฉันเองก็เป็นเหมือนกัน ทุกคำพูดของนิดฉันต้องอัดเทปไว้ บางอย่างฉันก็ถอดเทปทำพูดของนิดออกมาทุกถ้อยคำ บางอย่างฉันก็เขียนเสริมเติมแต่งลงไป
นิดบอกฉันว่าจะทำหนังสือเป็นสองเล่ม เล่มแรกเป็นก่อนการเข้าวงการและตอนเข้าวงการใหม่ๆ ส่วนเล่มที่สองนิดจะพูดถึงเรื่องการวางตัวในวงการและการปรับตัวจนถึงเรื่องชีวิตรักของนิด เนื้อเรื่องไม่ต้องมากมายแต่จะเป็นเกี่ยวกับการเล่นละครแต่ละเรื่องของเธอ
ข้อมูลของนิดถูกบรรจุในหัวสมองน้อยๆ ของฉันจนเต็มไปหมด ในตอนนี้ฉันกินเดินนอนฝันถึงนิดตลอดเวลาเพราะฉันต้องถ่ายทอดตัวเป็นๆ ของนิดลงเป็นตัวหนังสือ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจนฉันที่กำลังสมองแล่นฉิวต้องตกใจด้วยว่าเวลานี้เกือบๆ จะตีสามแล้วไม่น่าจะมีใครต้องการจะติดต่ออะไรกับฉันอีกแล้ว
ใครโทรมาวะขัดจังหวะจริง ฉันบ่นกับเจ้าโทรศัพท์เครื่องโบราณที่ชาร์ตแบตเข้าบ้างไม่เข้าบ้างของฉันเอง
แต่เมื่อเห็นหน้าจอว่าเป็นสายเรียกข้าวของใครฉันก็ยิ้มออก
สวัสดีนิดทำไมโทรมาซะดึกเชียว
มารับเราหน่อยสิต้นเราอยู่โรงถ่ายแถวๆ บ้านต้น เสียงปลายสายบ่งบอกถึงความอึดอัดอะไรบางอย่าง
อ้าวไม่ได้เอารถมาเหรอแล้วมาแถวบ้านเราได้ไง แล้วทำไมเสียงดูไม่จืดแบบนั้นล่ะ
อืมวันนี้รถเราเสีย พรุ่งนี้ถึงจะได้ แล้วพี่ๆ เค้าก็ลืมเราทิ้งเราอยู่ที่กองคนเดียว
จะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์เรามาได้เหรอคุณดาราใหญ่
ทำไมจะไม่ได้เรื่องแค่นี้สบายมาก
งั้นรอเราที่กองเดี๋ยวเราออกไปรับ ฉันวางสายแล้วก็คว้าหมวกกันน็อคซิ่งน้องตุ่นมอเตอร์ไซด์คู่ใจไปที่โรงถ่ายที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของฉันเท่าไหร่นักเพื่อไปรับดาราใหญ่เจ้าบทบาท
จะว่าไปตั้งแต่ฉันมาเขียนหนังสือให้กับนิดฉันก็เริ่มจะสนิทสนมกับนิดมากยิ่งขึ้น และตั้งแต่ฉันเข้ามาในชีวิตของนิดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นนิดข้องแวะกับผู้ชายคนไหนหลังจากที่นิดมีข่าวการหย่าร้างกับดาราใหญ่สามีของเธอเมื่อปลายปีที่แล้ว
ฉันเคยอ่านข่าวของนิดในหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงแบบผ่านๆ ตาว่าครอบครัวของเธอนั้นมีมือที่สามเข้ามาสวมรอย ฉันก็ไม่เข้าใจว่าคนสวยๆ อย่างนิดทำไมถึงได้มีมือที่สามเข้ามาป่วนในชีวิตคู่ได้อย่างไร เพราะทั้งสามีของนิดและตัวนิดเองก็หน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่ ตอนที่ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันนั้นใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่เป็นกิ่งทองใบหยกของวงการ เหมาะสมกันทั้งชาติตระกูล ฐานะ รูปร่างหน้าตาและหน้าที่การงาน
ถ้าเรื่องที่มีมือที่สามไม่เป็นความจริงทำไมนิดถึงได้เลิกกับสามีของเธอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ติดค้างคาใจของฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นนักเขียนเงาของนิด หากไม่รู้เรื่องลึกๆ ก็ไม่สามารถเขียนเล่มที่สองของนิดได้ ไหนๆ วันนี้ฉันจะเจอนิดอยู่แล้วฉันก็จะเอาต้นฉบับเล่มแรกให้นิดได้อ่านก่อนที่จะส่งให้บอกอเพื่อแก้ไขและจัดพิมพ์เป็นเล่มหลังจากที่นิดได้อ่านเรื่องของเธอจบแล้ว
สวัสดีนิด ฉันจอดน้องตุ่นและเดินไปหานิดที่ยืนอยู่คนเดียวหน้าโรงถ่ายละครเรื่องล่าสุดของนิด
สวัสดีต้น นิดเดินมาหาฉันพร้อมกับรอยยิ้ม
รถเป็นอะไรเหรอ
ไม่รู้สิสตาร์ทไม่ติดสงสัยแบตจะหมด
ทำไมหมดได้ล่ะไหนให้เราดูหน่อยได้ไหม
อย่าเลยต้นไว้พรุ่งนี้เราค่อยให้อู่มาลากไปซ่อมดีกว่า นิดปฎิเสธความหวังดีของฉัน
ก็ได้งั้นไปบ้านเราก็แล้วกัน เมื่อนิดไม่ต้องการให้ฉันดูรถให้เธอ ฉันก็จำใจเดินนำเธอไปที่น้องตุ่นของฉันเพื่อนำเธอไปที่บ้านของฉันที่อยู่ห่างจากโรงถ่ายแห่งนี้ไม่ถึงสามกิโลเมตร
ทำไมเลิกถ่ายดึกจังเลย ฉันถามนิดระหว่างทางที่เราสองคนกำลังผ่านดงสวนผลไม้ริมข้างทางกลับบ้านของฉัน
พอดีวันนี่มีซีนถ่ายกลางคืนเก็บไว้หลายตอนก็เลยเลิกดึกไปหน่อย
เป็นดารานี่ก็เหนื่อยเหมือนกันเน๊อะ
เหนื่อยสิใครว่าสบาย ไหนจะต้องตากหน้าสู้แสงไฟ ไหนจะต้องท่องบทให้ขึ้นใจ ไหนจะต้องทำอารมณ์ให้ได้ตามบทที่เราเล่น ถ้าเดือนไหนวุ่นๆ รับสองสามเรื่องพร้อมๆ กัน ปรับอารมณ์แทบจะไม่ทัน เช้าเรื่องกลางวันเรื่องเย็นอีกเรื่องวุ่นวายไปหมด นิดอธิบายให้ฉันที่กำลังควบน้องตุ่นกลับไปบ้านของตัวเอง
อืม ฉันได้แต่ครางในลำคอเพราะฉันคิดว่าฉันเองคงทำไม่ได้เหมือนกับที่นิดทำแค่อยู่ต่อหน้ากล้องฉันก็คงพูดไม่ออกกลายเป็นใบ้ไปแล้ว
น้องตุ่นค่อยๆ วิ่งปุเลงๆ ไปเรื่อยๆ จนมาถึงตัวบ้านไม้ทรงไทยสมัยคุณทวดเก่าๆ ของฉัน
บ้านต้นน่าอยู่จังเลยนะ
เหรอเก่าจะตายไปบ้านหลังนี้มันนานมากแล้ว
นี่ถ้าเอามาทำเป็นฉากบ้านโบราณๆ เราว่าคงสวยน่าดู
เราไม่คิดแบบนั้นนะเราว่าคนที่มาคงวิ่งป่าราบเพราะกลัวผีมากกว่า
อิอิ นิดดูจะขำคำพูดของฉัน
ทำเป็นขำไปได้บ้านเก่าๆ แบบนี้มันมีตำนานนะนิด ฉันแกล้งคนที่ยืนขำอยู่ตรงบันไดทางขึ้นบ้านโทรมๆ ของฉัน
ดูเหมือนว่าคำพูดของฉันมันจะได้ผลทำเอานิดรีบเดินมาเกาะแขนฉันที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดบ้านหน้าดูเจื่อนๆ ลงไปเยอะกว่าตอนแรก
กลัวเหรอ ฉันถามคนที่เกาะแขนฉันแน่น
มาพูดอะไรตอนนี้เล่าใกล้รุ่งสางแบบนี้เค้าห้ามพูด นิดบอกพร้อมกับวิ่งตึงๆ ขึ้นบ้าน
เดินเบาๆ หน่อยเดี๋ยวผีบ้านผีเรือนตื่นขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ ฉันขู่อีกรอบทำเอานิดที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดเปลี่ยนเป็นค่อยๆ เดินขึ้นบ้านมากับฉัน
จะอาบน้ำหรือนอนเลยล่ะนิด
เราอาบน้ำมาจากกองถ่ายแล้วต้นขอนอนเลยดีกว่า
งั้นนอนที่เตียงเราก็ได้ โชคดีนะที่เราพึ่งเปลี่ยนผ่าปูที่นอนไปไม่งั้นล่ะก็คันยิบๆ แน่เลย
โห่ไม่มีเวลาถึงขนาดไม่ยอมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเลยเหรอต้น นิดถึงกับตาโตเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน
ก็ไม่เชิงหรอกเราไม่ค่อยได้นอนเตียงไม่ได้นอนหลับสบายๆ หรอกนะ เพราะโดยส่วนใหญ่ก็หลับคาหน้าเครื่องคอมนี่แหละ ฉันชี้ไปที่เก้าอี้ตัวโตที่ฉันใช้นั่งพิมพ์งานหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์และใช้แทนเตียงนอนเมื่อยามที่ง่วงงุนจนโงหัวไม่ขึ้น
เป็นนักเขียนนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะต้น
จริงๆ ก็ไม่ลำบากมากนักหรอกถ้าเขียนออก แต่ถ้าวันไหนเขียนไม่ออก ทั้งบีบทั้งเค้นจนจะเป็นผงมันก็เขียนไม่ได้แถมเรื่องไหนที่เราเขียนได้ดีๆ เราอ่านแล้วว่าเราเขียนดีทางสำนักพิมพ์ก็ไม่รับเรื่องที่เราเขียนซะงั้น ฉันบอกความในใจกับนิดโดยไม่ปิดบัง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องบอกกับนิด
นิดนอนเถอะเราขอเขียนอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก่อนสมองกำลังแล่นเลยก่อนที่นิดจะโทรมา ฉันเลิกผ้าห่มที่ผับไว้อย่างดีตรงปลายเตียงให้กับนิด
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะต้นที่เรากวนเวลาต้นทำให้เขียนหนังสือไม่ได้
ไม่เป็นไรหรอกนิดดีซะอีกนิดมานอนบ้านเรา เราจะได้ไม่ต้องจินตนาการหน้าของนิดตอนเราเขียนเรื่องของนิดเพราะเรามีนิดตัวเป็นๆ ให้มองตอนเขียนเรื่อง
ทำอย่างกับว่าเราเป็นตัวจินตนาการของต้นอย่างนั้นแหละ
ไม่ใช่ตัวจินตนาการแต่เป็นตัวดำเนินเรื่องเลยต่างหากเพราะเรื่องที่เราเขียนเป็นเรื่องของนิดไง ทำไงได้เรามันก็แค่นักเขียนเงาจะใช้นามปากกาของเราเองก็ไม่ได้เรื่องมันคงขายไม่ดีเท่าไหร่นักหรอก ของแบบนี้ใครๆ ก็อยากได้ยอดขายดีติดอันดับท็อปเท็นกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเอาเงินแสนมาดองเก็บไว้รอเวลาขายได้ทีละเล่มสองเล่มหรอกนิดก็รู้นี่
มันก็จริงนะต้น งั้นเราขอนอนก่อนนะง่วงจริงๆ พรุ่งนี้ถ้าต้นยังไม่นอนปลุกเราตอนสิบโมงเช้านะเรามีถ่ายตอนสิบเอ็ดโมง
ก็ได้นิดนอนเถอะ ฉันเดินกลับมาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวเก่าโบราณของตัวเองและปิดไฟให้กับนิด เปิดเพียงไฟที่โต๊ะคอมสำหรับเขียนหนังสือของฉันเท่านั้น
เช้านี้ฉันเขียนได้มากกว่าที่เคยเขียนอาจเพราะว่ามีเจ้าของเรื่องมานอนอยู่ในชายคาเดียวกับฉันก็เป็นได้ เรื่องทุกอย่างพร่างพรูออกมาเป็นฉากๆ คำพูดของนิดที่ฉันรับฟังมาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ แม้การเขียนไม่ใช่การแกะถอดถ้อยคำของนิดแต่ก็คล้ายๆ กัน กว่าฉันจะวางมือที่พรมลงบนแป้นคียบอร์ดก็เกือบๆ จะได้เวลาที่นิดต้องตื่นไปกองถ่าย
นิดๆ ตื่นเถอะเดี๋ยวไปถ่ายละครสาย ฉันปลุกนิดที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนของฉัน
เช้าแล้วเหรอนี่ไม่อยากตื่นเลย นิดงัวเงียพูดกับฉันทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
เช้าแล้วสายแล้วด้วยอีกต่างหาก ฉันบอกคนที่นอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงท่าทางสบายๆ และเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่หอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มให้กับนิด
อะนี่ผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำเถอะจะได้สดชื่น
นิดรับผ้าเช็ดตัวจากฉัน แล้วห้องน้ำอยู่ตรงไหนล่ะต้น
เดินไปหลังบ้านซ้ายมือบ้านเราอาบน้ำจากตุ่มนะไม่มีฝักบัวอาบได้หรือเปล่า
ได้สิบ้านเราที่บ้านนอกก็อาบแบบนี้แหละ
สงสัยเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวแล้วเรื่องสมัยเด็กๆ ของนิด ไว้นิดว่างก่อนก็แล้วกันเราค่อยคุย
มะรืนนี้เราปิดกล้องเรื่องสุดท้ายแล้วถ้าต้นว่าไปบ้านเรากันไหม
บ้านที่นี่นะเหรอไปทำไม ฉันข้องใจนิดเหมือนกันว่าจะมาชวนฉันไปบ้านหรูๆ ของเธอทำไมกัน
เปล่าไปบ้านเราที่บ้านนอกต่างหากต้นจะได้รู้ว่าบ้านเราเป็นแบบไหน เราโตมาแบบไหนจะได้หายข้องใจชีวิตในวัยเด็กของเราไง
อ๋อเข้าใจแล้วแต่ตอนนี้นิดไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวไปทำงานสายจะโดนเม้าท์แหลกอีกรอบ
น่าเบื่อจังนะชีวิตไม่ได้เป็นของตัวเองเลยเราอยากมีชีวิตแบบต้นบ้าง ทำอะไรก็ได้ตามใจที่อยากจะทำ
แต่ไส้แห้งนะนิดบางวันต้องไปเก็บกระถิ่นริมรั้ว เก็บดอกแคข้างบ้านมาลวกมาจิ้มน้ำพริก ฉันแกล้งเย้านิด
ไส้แห้งแต่เป็นตัวของตัวเองมันก็สบายใจไปอีกแบบนะต้น ไม่พูดแล้วดีกว่าเราไปอาบน้ำก่อนนะต้น เออต้นเราคงต้องขอรบกวนต้นให้ช่วยไปส่งเราที่กองถ่ายด้วยนะถ้าไม่รบกวนมากจนเกินไป
ได้สิรับมาก็ต้องส่งกลับอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา ฉันตอบรับคำของของนิดอย่างง่ายดายก่อนที่นิดจะไปอาบน้ำ และฉันก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโตตัวโปรดของฉันเอง
.......................
ตลอดสองข้างทางมีแต่ทุ่งนาเขียวขจี นกกระยางบินโฉบไปมาร่อนลงมาโฉบจิกปลาในนาที่ว่ายวนอยู่ระหว่างกอข้าว ปีกที่ถลาลมก่อนที่จะร่อนลงมานั้นมันเป็นภาพที่สวยงาม ชีวิตชนบทกับธรรมชาติมันดูจะแตกต่างกับชีวิตในเมืองกับทุ่งคอนกรีตมากมายนัก
นิดชวนฉันให้มาที่บ้านต่างจังหวัดของเธอ ฉันตอบรับอย่างง่ายดายเพราะฉันเองก็ต้องการที่จะรู้เรื่องลึกๆ ของนิดอยู่เหมือนกัน มันจะง่ายกว่าเดิมถ้าฉันได้มาเห็นอะไรที่นิดเคยอยู่และเคยทำเมื่อสมัยก่อนที่นิดจะเข้าวงการ แน่นอนฉันอาจจะต้องเปลี่ยนเรื่องที่เคยเขียนแล้ว แต่มันจะแปลกอะไรกับการที่นักเขียนอย่างฉันต้องมาแก้ไขต้นฉบับเป็นว่าเล่น เพราะเรื่องเหล่านั้นฉันเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
บ้านของนิดดูมีฐานะเป็นโรงสีรับจำนำข้าวรับสีข้าวให้กับชาวนาในละแวกนั้น แม้จะไม่ได้ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของจังหวัดแต่ก็ใหญ่ที่สุดในอำเภอแห่งนี้ นิดพาฉันเข้าไปไหว้อาม่าอากง อากู๋ อาโก ญาติๆ ที่ร่วมอยู่ในกงสีของโรงสีแห่งนี้ ก่อนที่จะพาไปที่บ้านหลังเล็กๆ ของนิดที่อยู่ในอาณาบริเวณรั้วเดียวกันกับโรงสี
ทำไมบ้านมันเยอะแบบนี้ล่ะนิด ฉันถามเมื่อเห็นบ้านหลากหลายรูปแบบหลังใหญ่หลังเล็กเต็มไปหมดด้านหลังโรงสีของครอบครัวนิด
ก็ทุกคนพอมีครอบครัวก็แยกบ้านออกมาอยู่อีกหลัง กงกับม่าเรามีลูกสามคน แล้วทั้งสามคนก็มีลูกๆ อีกคนละสามคน ต่างคนก็ต่างแยกครอบครัวออกมาอยู่กันเอง แต่กงกับม่าไม่ให้ออกไปอยู่นอกบ้านพวกเราก็เลยต้องสร้างบ้านกันในรั้วนี้
ฉันพยักหน้ารับรู้สิ่งที่นิดเล่า มันคงไม่แปลกอะไรที่ครอบครัวของนิดจะเป็นครอบครัวขยายแต่เป็นเชิงเดี่ยวฟังดูอาจจะพิลึก แต่มันก็เป็นจริงๆ ทุกคนอยู่มีรั้วเดียวกันแต่แยกกันอยู่ เมื่อถึงเวลากินก็ไปรวมกันที่บ้านใหญ่ ที่มีทั้งอากงอาม่า อาอี้อาซิ่มอาแปะ สารพัดที่นิดจะเอ่ยนามออกมาฉันเองก็แปลไม่ออกหรอกว่าที่นิดพูดๆ มานั้นหมายถึงใครบ้าง แต่ที่แน่ๆ นิดเป็นคนญาติเยอะแถมยังสวยที่สุดในบ้านอีกด้วย
นิดแนะนำฉันให้กับญาติๆ ของเธอได้รู้จักว่าฉันเป็นนักเขียนทุกคนก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้และรับไหว้ฉันก่อนที่นิดจะพาฉันออกไปยังหลังโรงสีที่เป็นที่นาของทางครอบครัวของนิดเอง เราสองคนเดินไปตามคันนา เหมือนนิดจะเดินได้คล่องและเก่งหว่าฉันที่พยายามเดินทรงตัวไปบนคันนาแคบๆ ตามเธอไป นิดถือถุงของกินมากมายและปิ่นโตเถาใหญ่ติดมือมาด้วยเพราะเธอบอกว่าอยากจะไปนั่งเล่นนอนเล่นที่กระท่อมปลายนาที่สมัยเด็กๆ เธอกับน้องๆ มาวิ่งเล่นซุกซนกันอยู่แถวนั้น
เมฆฝนครึ้มมาตั้งแต่เราเดินทางมาถึง ท้องฟ้าสีดำตัดกับทุ่งนาสีเขียวที่พึ่งลงกล้าปักดำต้นสั้นๆ หุ่นไล่กาทำหน้าที่ไล่นกได้เหมือนอย่างที่คนโบราณเคยทำเอาไว้ เม็ดฝนลงมาแล้วปรอยๆ นิดเดินนำฉันมาที่กระท่อมที่อยู่ตรงกลางนากว้างใหญ่แห่งนั้น
ไปหลบฝนกันในนั้นก่อนดีกว่าต้นเดี๋ยวฝนหยุดแล้วเราค่อยกลับบ้านกัน นิดฉุดมือของฉันให้เข้าไปในกระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าและมีฝาขัดแตะด้วยไม่ไผ่ง่ายๆ สภาพโทรมๆ เพราะอาจจะใช้งานมานานแล้ว
เสียงฟ้าร้องครืนๆ ประสานเสียงของกบเขียดร้องระงม วันนี้ฝนคงจะตกหนักและอีกนานกว่าจะหยุด ฉันกำลังจะหยิบผ้าเช็ดดหน้าออกมาเช็ดเนื้อตัวที่เปียกปอนไปด้วยเม็ดฝน แต่ก็ช้ากว่านิดที่หยิบกระดาษทิสชูยื่นมาให้ฉันก่อน
ไม่เป็นไรเรามีผ้าเช็ดหน้าขอบใจนะนิด ฉันปฏิเสธนิดพร้อมๆ กับหยิบผ้าเช็ดหน้าให้นิดดู นิดไม่ได้พูดอะไรต่อเธอจัดการเช็ดใบหน้าและแขนของเธอและฉันเองก็ทำแบบเธอเช่นกัน
หิวไหมต้น
ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกแล้วนิดล่ะหิวไหม
ไม่เหมือนกันเรากินข้าวไม่เป็นเวลามานานมากแล้ว
อืม
เราจะเล่าเรื่องตอนเด็กๆ ให้ต้นฟังใหม่เอาไหม
เอาสิ ฉันพยักหน้าและหยิบเครื่องอัดเสียงจากกระเป๋ากางเกงออกมาตั้งท่าจะอัดเสียง
ฟังด้วยใจไม่ได้เหรอต้นเราไม่อยากให้มันมีหลักฐานอะไรมากมายนัก นิดเอื้อมมือมาจับมือของฉันที่กำลังจะกดเครื่องอัดเสียง มือของนิดนั้นทั้งเย็นและสั่น
ก็ได้เราจะฟังเรื่องทั้งหมดด้วยใจของเรา
เราเกิดมาในครอบครัวของคนจีนแน่นอนเราเป็นลูกสาวคนโตของพ่อที่เป็นลูกชายคนโตของบ้าน เราเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่นักหรอก ตอนเด็กๆ เราต้องช่วยพ่อกับแม่ทำงานทำพวกบัญชีรับจ่ายข้าวดูแลเรื่องในบ้านแทนแม่ที่ต้องออกไปโรงสีทุกวัน สมัยเด็กๆ เราวิ่งเล่นแถวนี้ นิดชี้ไปที่ทุ่งนานเวิ้งว้างนั้น
เราโตมาโดยมีความรักของแม่คอยดูแลเราตลอดแม่ไม่เคยจะว่าเราสักครั้งมีแต่ให้กำลังใจเรามาโดยตลอด และเมื่อตอนที่เราต้องเสียแม่ไปชีวิตทุกอย่างก็พังครืน นิดมีน้ำตารื้อขึ้นมานิดๆ ในดวงตาคู่สวยของเธอ
สมัยเราเรียนเราเคยมีแฟนคนหนึ่งพี่เค้าดีมากๆ เลยนะต้นดีกับเราทุกอย่างเรารักพี่นกมากกว่าชีวิตของเราเองด้วยซ้ำไป เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เราอยู่ด้วยกันจนกระทั่งเราเรียนจบเราก็มารู้ความจริงว่าพี่นกมีแฟนแล้ว และที่สำคัญแฟนของพี่นกก็เป็นคนที่เราสนิทและนับถือเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเราเองด้วยซ้ำไป เราทำอะไรไม่ถูกเลยต้น ตอนนั้นเราแทบจะฆ่าตัวตายแม่เราปลอบใจเรา นิดหยิบกระดาษทิสชูขึ้นมาซับน้ำตาของเธอ
แล้วชีวิตเราก็ผกผันได้เข้ามาในวงการ เรารู้ดีว่าการมาอยู่ในวงการมายานั้นมันจะไม่เป็นตัวของตัวเองมันจะสูญเสียความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่เราก็เลือกที่จะเข้ามาเพราะเราอยากที่จะลืมพี่นกให้หมดไปจากใจของเรา เราใช้ความผิดหวังมาเป็นแรงผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้าให้เรามีกำลังเดินไปโดยที่ไม่ได้คิดที่จะหันหลังกลับไปเดินในทางที่ผิดที่จะแย่งแฟนของคนอื่นอีก
แล้วนิดก็ทำได้ดีด้วยสิ ฉันให้กำลังใจดาราสาวสวยตรงหน้า
มันก็จริงนะเราทำได้และทำได้ดี แต่เราเองก็เหงาจนเมื่อไตรเข้ามาในชีวิตของเรา เราตัดสินใจที่จะเลือกไตรเป็นที่พึ่งของเราเอง แต่เราไม่รู้ตัวเองหรอกว่าเราเลือกทางเดินที่ผิด
คุณไตรไม่ดีกับนิดหรือไง
ไม่ใช่หรอกต้นไตรดีมากๆ แต่เราสิไม่ดีกับไตร เราไม่ได้รักเค้าเราเอาเค้ามาปิดบังความจริงในใจของเราต่างหาก เมื่อไตรรู้ความจริงเรื่องของเราไตรก็ทำใจไม่ได้เค้าตัดสินใจที่จะเดินจากเราไป เราเลิกกันเพราะความผิดของเราเอง
ทำไมเหรอนิดทำไมนิดต้องบอกว่าตัวเองผิดทั้งๆ ที่ไตรไปมีคนใหม่แท้ๆ
เพราะเราบกพร่องในหน้าที่ของภรรยาที่ดีนะสิต้น
บกพร่อง? เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นบนใบหน้าฉันทันทีที่ได้ยินคำนั้น
ใช่เราบกพร่องในหน้าที่ของภรรยาที่ดี ตั้งแต่เรากับไตรแต่งงานกันมาเรานอนกับไตรนับครั้งได้ เราตอบตามตรงเราสะอิดสะเอี้ยนการนอนร่วมห้องกับผู้ชาย
หมายความว่า
ใช่เราไม่ชอบผู้ชายเราทนไม่ได้ที่จะต้องนอนร่วมกับผู้ชายเราทนไม่ได้ที่จะต้องเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ความใคร่ของผู้ชาย ไตรไม่มีอารัมภบทไม่เคยปลุกอารมณ์เรามีแต่ความกระหายจาบจ้วง เราเจ็บทุกครั้งแต่ก็ต้องเสแสร้งว่ามีความสุข
แล้วกับพี่นกทำไมนิดถึงได้มีความสุข
เพราะพี่นกเป็นผู้หญิงนะสิต้น
หาอะไรนะนิดพี่นกเป็นผู้หญิงเหรอ ฉันตกใจอีกครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวลึกๆ ของนิด
ใช่พี่นกเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เรารัก เราไม่เคยบอกใครนอกจากพ่อกับแม่ของเรา ต้นเป็นคนแรกที่ได้รู้เรื่องนี้
แล้วนิดมาเล่าให้เราฟังนิดไม่กลัวเหรอว่าเราจะเอาไปบอกต่อ
เราไม่กลัวหรอกเราไว้ใจต้น
ไว้ใจคนแปลกหน้าแบบเรานี่นะ
ใช่เราไว้ใจต้นว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวของเราออกมาโดยไม่ผิดไปจากเรื่องจริงของเรา
หมายความว่าเรื่องที่นิดเล่าให้เราฟังทั้งหมดนิดจะให้เราเอาไปเขียนลงในหนังสือของนิดเหรอ
ใช่ต้นคิดถูกแล้ว
แต่ว่าชื่อเสียงของนิดจะป่นปี้บี้แบนไปหมดเลยนะ
มันจะสำคัญอะไรต้นอีกไม่นานเราก็ต้องตายจากโลกนี้ไปแล้วให้ชีวิตของเราเป็นอุทธาหรณ์กับเด็กๆ ก็จะดีด้วยซ้ำไป อีกอย่างเราก็ไม่อยากให้คนที่ตกอยู่ในสภาพแบบเราต้องมากล้ำกลืนฝืนทนกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ เราว่ายังมีคนอีกมากมายนักที่ไม่รู้ใจตัวเองยังเลือกเดินทางของตัวเองไม่ถูก อาจเพราะว่าสังคมของเรามันยังไม่ยอมรับคนรักเพศเดียวกันเห็นคนประเภทเราเป็นคนชั้นสองหรือชั้นสามในสังคม แต่มีใครจะรู้บ้างว่าคนที่เดินๆ กันบนท้องถนนอาจจะมีคนประเภทเดียวกับเราต้องอดทนเพื่อให้อยู่ในสังคมโดยที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ จะต้องมีผู้หญิงอีกเท่าไหร่ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของคำว่าสังคม ทั้งๆ ที่สังคมไม่เคยช่วยให้เรามีข้าวกินมีเงินใช้ แล้วเราจะไปอายทำไมในเมื่อเราไม่เคยขอใครกินจริงไหมต้น
มันก็จริงอย่างที่นิดบอก ฉันเข้าใจในสิ่งที่นิดพูดและเข้าใจเป็นอย่างดีด้วยซ้ำไปเพราะฉันก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่นิดพูดถึง
นิดมองหน้าฉันและฉันก็มองหน้าเธอเราสองคนจ้องตากันอยู่อย่างนั้น ฉันสื่อความหมายในความเข้าใจให้กับนิดและนิดเองก็สื่อความหมายในใจของเธอมาให้ฉัน ฉันจับมือของเธอไว้ในมือของฉัน มือของนิดยังคงเย็นเหมือนเดิม ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้นิดมาขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ตัวฉํนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
หนาวเหรอนิด
อืม นิดครางในลำคอและแอนตัวมาซบที่ไหล่ของฉัน
ฉันโอบกอดนิดให้เธอคลายหนาว ฝนข้างนอกยังคง ตกกระหน่ำลมพัดแรงเหมือนกับพายุกำลังจะเข้ามา ฉันไม่ได้ฟังข่าวพยากรณือากาศจึงไม่รู้ว่าวันนี้จะมีพายุเข้ามีฝนตกหนัก มันเหมือนๆ กัยพายุอารมร์ของฉันในตอนนี้ ที่กำลังก่อขึ้นมาโดยที่ฉันเองไม่รู้ตัว
ฉันอยากจะบอกนิดว่าออกไปให้ไกลๆ จากฉันเถอะก่อนที่เรื่องจะเกิด ก่อนที่ฉันจะห้ามใจของตัวเองไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ
เปรี้ยง
เสียงฟ้าผ่าต้นตาลข้างๆ คันนาดังมาเป็นระยะๆ ฟ้าคงพิโรธเมื่อเห็นเราสองคนกอดกัน แต่ตอนนี้ใจฉันไม่สนไรทั้งนั้นต่อให้ฟ้าจะพิโรธโกรธเกรี้ยวสักปานใด
ฉันก็จะกอดผู้หญิงในอ้อมกอดคนนี้ไปเรื่อยๆ นิดเองเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าก็กลับกอดฉันแน่นยิ่งขึ้น
ใจสองใจดูเหมือนว่าจะตรงกัน ฉันลูบไล้แผ่นหลังของนิดอย่างแผ่วเบาเหมือนอย่างที่ใจอยากให้ทำ เหมือนอย่างที่ใจอยากให้เป็น ร่างกายอของนิดมันหอมจนฉันอดใจไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปสูดดมความหอมหวานจากตัวของเธอ และนิดก็ไม่ได้ขัดขืนฉันเธอปล่อยให้ฉันรุกรานตัวเธอไปทั้งตัว
จากความหนาวกลายเป็นความร้อนกรุ่นในกาย ไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ ได้ยินแต่เสียงอื้ออึงในหัวใจว่า
หวานเหลือเกิน หอมเหลือเกินแล้วนิดจ๋า
เสื้อผ้ายีนส์แขนยาวของนิดถูกปลดไปเมื่อไหร่ฉันเองก็ไม่รู้ร่างเปลือยเปล่าในท่อนบนของนิดมันยั่วยวนตาฉันเหลือเกินแล้ว
ดอกบัวตูมสองดอกที่ชูช่อยั่วน้ำลายให้แมลงอย่างฉันลงไปลิ้มลองความหอมหวานยังยวนยั่วให้ฉันลงไปดื่มกิน ก่อนที่ฉันจะผลักให้นิดล้มตัวลงนอนบนพื้นไม้ไผ่ฉํนเอาเสื้อของนิดปูรองไว้เพื่อกันไม่ให้เธอต้องเจ็บแผ่นหลังขาวเนียนนั้น
บทเพลงบรรเลงไปทั้งแผ่วเบาและดุดัน เสียงครางของเราสองแข่งกับสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดระยะ ความอิ่มเอมในรสรักความชื่นใจที่ได้ลิ้มลองความหอม ทำให้ฉันแทบจะสำลักความสุขตายไปต่อหน้าต่อตาของนิด
หากฉันตายไปตอนนี้คงมีข่าวหน้าหนึ่งลงว่า
เลสเบี้ยนตายคาอกดาราสาวกลางทุ่งนาท่ามกลางพายุ เป็นแน่
และฉันก็ยังไม่อยากจะตายตอนนี้เพราะนิดยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้ฉันต้องค้นหาตัวเธอไปตลอดทั้งค่ำคืน
..................
หนังสือของนิดทั้งสองเล่มขายดีจนต้องพิมพ์เพิ่มอีกหลายครั้ง การตีแผ่ชีวิตของนิดในครั้งนี้เป็นที่ฮือฮาในวงการมายาเป็นอย่างมาก
นิดเองตัดสินใจที่จะออกจากวงการขายเงาเรื่องที่เธอแสดงเป็นเรื่องสุดท้ายเป็นที่จับตาของบรรดาแฟนละคร มีเรทติ้งเป็นอันดับหนึ่งในขณะนั้น จนผู้จัดละครอยากจะยืดออกอีกหลายๆ ตอนเพราะการขายโฆษณานั้นได้เงินมาท่วมท้น แต่นิดไม่รับงานแสดงอะไรอีกต่อไปแล้ว
นิดมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่บนดอยทำไร่ปลูกพืชขายเป็นสาวชาวไร่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ฉันเองก็ตามนิดมาด้วยแน่นอนหลังจากหนังสือของนิดขายดี ฉันก็เขียนหนังสือนิยายอีกหลายๆ เล่มในแนวหญิงรักหญิงออกมาขาย ตีแผ่เปลือกนอกเปลือกในของชีวิตของหญิงรักหญิงออกมาให้กับสายตาของสังคมได้รับรู้
แม้ว่าหนังสือของฉันจะขายได้ไม่ดียอดขายไม่ถล่มทะลายแบบเรื่องของนิดแต่มันก็ทำรายได้ให้กับฉันมากกว่าที่ฉันเคยเขียนเรื่องทั่วไป
ใครๆ อาจจะว่าฉันเกาะนิดเพื่อความดังมีเพียงฉันและนิดเท่านั้นที่รู้ว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ พูดกัน เราสองคนใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่ท่ามกลางป่าเขาและดอยสูง
เพราะฉันรู้ดีว่าฉันก็แค่นักเขียนเงาคนหนึ่งที่มีตัวตนที่แท้จริงอยู่กับเจ้าของเรื่องก็เท่านั้น
จบ ...
Create Date : 13 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 13 สิงหาคม 2551 18:52:15 น. |
Counter : 2841 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสั้นแนวยูริ : ช่วงชีวิตหนึ่ง
ชีวิตช่วงหนึ่ง เรื่องสั้นแนวยูริ โดยผิงดาว
รัชนกหญิงสาวมาดเท่ห์ที่หลายๆ คนจับตามอง เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงหลายๆ คนที่โดนจับตามองเพราะเธอทั้งเด่นในเรื่องกีฬาและเรื่องเรียน รัชนกเรียนคณะวิศวะเป็นความใฝ่ฝันของเธอเองที่อยากเป็นวิศวะกรหญิง ครอบครัวของรัชนกเป็นครอบครัวนักกีฬาจึงไม่แปลกอะไรที่รัชนกจะเล่นกีฬาได้เกือบทุกประเภทแถมยังเล่นได้ดีกว่าใครๆ
เฮ้ยไอ้นกตบเลยตบ เสียงเพื่อนๆ เชียร์รัชนกขณะที่แข่งแบตบินตันหญิงเดี่ยวกับคณะบริหาร และรัชนกก็เอาชนะคู่แข่งได้อย่างง่ายดายสองเซ็ตรวด
เสียงเฮของเพื่อนๆ ที่กระโดดโลดเต้นเมื่อรัชนกได้คว่าเหรียญทองมาไว้ในมือของคณะวิศวะกลบเสียงร้องโห่แห่งความพ่ายแพ้ของอีกคณะได้โดยที่รัชนกเองนั้นแทบไม่ได้มอง รัชนกรู้แต่เพียงว่าคู่แข่งของเธอชื่อมัลลิกาเด็กคณะบริหารแถมยังเป็นสาวสวยด้วยก็แค่นั้น
รัชนกจบออกมาจากคณะวิศวะและไปเรียนต่อทางด้านเดียวกันจนได้เข้ามาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย
จนเมื่อวันหนึ่งรัชนกได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทของเธอ
เฮ้ยไอ้นกมอมีงานเลี้ยงศิษย์เก่าแกจะไปไหมวะ
ไปทำไมวะไม่เห็นมีอะไรเลย
ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกันน่านะเพื่อนฉันซื้อบัตรมาแล้วเออแค่นี้นะไว้จะไปรับวันงานห้ามเบี้ยวด้วยนะเว่ย พูดจบปลายสายก็วางหูไปอย่างง่ายดาย
แม่งมัดมือชกฉิบไอ้เพื่อนบ้าเอ๊ยไม่ถามสักคำว่าเราว่างหรือเปล่า รัชนกบ่นกับมือถือของเธอเอง
รัชนกและดวงชีวันเดินเข้ามาในงานพร้อมๆ กัน ดวงชีวันเป็นเพื่อนเรียนคณะเดียวกับรัชนกและสนิทกันค่อนข้างมากเพราะทั้งคู่เป็นบั๊ดดี้จับคู่กันมาตั้งแต่สมัยเรียนจึงไม่แปลกอะไรที่ทั้งคู่จะคบหาสามคมกันมาจนถึงทุกวันนี้แม้ว่าจะเรียนจบมาแล้วหลายปีก็ตามที
ไหนวะโต๊ะที่แกจองไว้ รัชนกถามดวงชีวันเพราะเธอมองไม่เห็นโต๊ะจีนที่คิดว่าเพื่อนๆ ในคณะของเธอจะมานั่งจองกันไว้ก่อน
ไม่รู้เหมือนกันวะดูบัตรก่อน ดวงชีวันเปิดกระเป๋าหยิบบัตรของเธออกมาดูจึงรู้ว่าโต๊ะเบอร์ ๕๖๒ นั้นเป็นโต๊ะที่พวกเธอได้จองเอาไว้ ผู้คนมากหน้าหลายตาตั้งแต่รุ่นแรกยันแรกรุ่นทำให้งานเลี้ยงในครั้งนี้มีทั้งบรรดาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มารวมตัวกันเกือบทุกคณะทุกปีและทุกวัย
เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงโต๊ะก็พบว่ามีคนจากคณะอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว
ไหนว่าจองไว้ไงไอ้ดวงนี่มันนั่งรวมกับคนอื่นได้ไงวะ
จะไปรู้เหรอก็ไอ้ประธานมันให้มาแบบนี้ฉันเองก็พึ่งจะรู้เหมือนกันแหละว้าไอ้นก
เอ๊าไอ้นี่ฉันว่าแล้วเชียวแกนะแกทำกันได้ แล้วนี่ต้องมานั่งปั้นยิ้มคะขากับคนนั่งข้างๆ หรือเปล่าวะแก
เอาน่าเห็นไอ้ประธานมันบอกว่าโต๊ะของพวกเราเป็นโต๊ะปีเดียวกัน มันก็คงมั่วๆ ให้ปีเรามานั่งด้วยกันล่ะว้า
รัชนกนั่งลงที่โต๊ะอย่างเสียไม่ได้ วันนี้เธอซ่อมเครื่องจักรจอมเกเรมาตั้งแต่เช้าดังนั้นตอนนี้เธอเองก็แทบจะหมดแรงที่จะคุยอะไรกับใคร แต่ก็ยังฝืนทนนั่งเป็นเพื่อนดวงชีวันเพื่อนจอมแสบที่แอบบ่นเรื่องค่าบัตรราคาแพงของงานชุมนุมศิษย์เก่าที่ดวงชีวันซื้อมาจากเพื่อนที่เป็นประธาน
ขอโทษนะคะมีคนนนั่งหรือเปล่าคะ มัลลิกาเดินเข้ามาถามรัชนกและชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ
ไม่มีหรอกคะเชิญนั่งเถอะคะ รัชนกตอบส่งๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มองหน้าคนที่เดินเข้ามาถามด้วยซ้ำไป จากนั้นมัลลิกาก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ รัชนก
อ้าวปอยหวัดดี ดวงชีวันทักทายมัลลิกาด้วยรอยยิ้มที่กว้างขวางซะจนรัยชนกอยากจะตบกะโหลกเพื่อนของเธอจริงๆ
หวัดดีดวงไม่ได้เจอกันนานยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ มัลลิกาทักทางดวงชีวันเพราะทั้งคู่เคยเจอกันตามงานมาก่อนหน้านี้แล้ว
นี่เพื่อนเราไอ้นก นี่ปอยเพื่อนเราอยู่คณะบริหาร ดวงชีวันแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน
สวัสดีค่ะคุณนก มัลลิกาทักทายรัชนกด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรไมตรี
สวัสดีค่ะคุณปอย เมื่อมีไมตรเสนอมารัชนกก็ยินดีรับเช่นกัน
ทำไมก็ไม่รู้ปอยรู้สึกว่าคุ้นๆ หน้าคุณนกจังเลยคะ
เหรอคะหน้านกคงโหลมังคะคุณปอย
ไม่นะไม่ได้หน้าโหลแต่ปอยว่าปอยเคยเห็นคุณนกที่ไหนมาก่อนแน่ๆ เลย มัลลิกายังยืนยันคำเดิม
ก็ต้องคุ้นสิปอยก็ไอ้นกมันเป็นคู่ชิงชนะเลิศแบตเมื่อตอนเราอยู่ปีหนึ่งไง และคำเฉลยของดวงกมลทำให้ทั้งมัลลิกาและรัชนกถึงบางอ้อ
คุณนี่เองที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับปอยเมื่อหลายปีก่อน ทำเอาปอยไม่เล่นแบตอีกเลยหลังจากวันนั้น
แหมคุณปอยก็พูดเกินไปหน่อยมังคะอย่างนกนี่นะจะยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้คุณได้ นกสิแพ้ความสวยของคุณปอยเข้าอย่างจังไม่กล้าสบตากลัวแพ้คุณตอนแข่ง
คุณนกก็พูดเกินไปอย่างปอยนี้นะจะทำให้คุณแพ้ความสวยได้
นกพูดจริงนะคะนกไม่กล้ามองหน้าคุณจริงๆ ในตอนนั้น น่าเสียดายนะนกน่าจะมองหน้าคุณจะได้จำคุณได้ แหมเสียดายจริง รัชนกบ่นกับตัวเอง ด้วยนิสัยส่วนตัวของรัชนกนั้นเป็นคนร่าเริงและเข้ากับใครๆ ได้ง่าย คำพูดที่อ่อนหวานบวกกับท่าทางที่น่านับถือทำให้สาวๆ มาหลงใหลได้ปลื้มรัชนกจนสับรางแทบไม่ทัน
สองสาวคุยกันอย่างถูกคอและแลกนามบัตรของกันและกัน รัชนกผลิกดูนามบัตรของมัลลิกาก็รู้ว่ามัลลิกาเป็นเจ้าของกิจการเดินเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศ แถมยังเป็นสาวสังคมที่ใครๆ ก็พูถึงเสมอ แต่ยังไม่ได้แต่งงาน
ส่วนมัลลิกาเมื่อเห็นนามบัตรของรัชนกก็รู้สึกว่ารัชนกนั้นออกจะเก่งที่ได้ทำงานเป็นวิศวกรใหญ่ของโรงงานผลิกสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ยักษ์ที่เคยใช้บริการขนส่งทางทะเลของเธอส่งสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง
..............
ไม่น่าเชื่อว่าโลกมันจะกลมแบบนี้นะคุณปอย
นั่นสิคะโลกมันกลมจริงๆ
หลังจากงานเลี้ยงทั้งรัชนกและมัลลิกาก็ได้พบเจอกันในงานต่างๆ อีกหลายครั้ง จนทั้งคู่สนิทสนมกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รัชนกคิดว่านี่คือความรัก เป็นรักแรกพบที่เธอนั้นตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รักผู้หญิงที่ชื่อมัลลิกา ทั้งๆ ที่มัลลิกาไม่เคยเอาอกเอาใจเธอเหมือนกับสาวๆ คนก่อนๆ ที่เธอเบื่อและจากลามาอย่างง่ายดาย
รัชนกย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดของมัลลิกาเมื่อทั้งคู่ตัดสินใจที่จะคบหากันเป็นแฟน แต่มัลลิกาขอไว้ว่า
นกคะเวลาเราอยู่ด้วยกันในที่สาธารณะเราอย่าเดินจับมือถือแขนกันเลยนะ
ทำไมล่ะปอยก็เราเป็นแฟนกัน
ก็แล้วทำไมต้องไปประกาศบอกใครๆ ด้วยเหรอว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน นกเห็นแก่หน้าของปอยบ้างเถอะนะคะนก
งั้นก็ตามใจปอยก็แล้วกัน รัชนกตามใจมัลลิกาเสมอๆ ไม่ว่าเรื่องไหน
มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่รัชนกยอมไม่ได้นั่นคือมัลลิกาบ้างานมากไม่มีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองเหมือนคู่รักทั่วไป
ปอยทำไมไม่อยู่กับบ้านบ้าง งานน่ะมันก็ดีนะที่เราได้ทำ แต่ทำงานดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้มันเสียสุขภาพนะ แล้วไม่คิดจะอยู่กับนกบ้างหรือไงกัน
นกต้องเข้าใจปอยบ้างสิค่ะ ว่างานของปอยมันเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ทีนกทำงานเลิกดึกๆ ดื่นๆ ปอยยังไม่เคยว่าอะไรนกเลย ทั้งคู่เริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้งมากขึ้นและสุดท้ายก็จบลงด้วยการเสพสุขด้วยกันเสมอมา หากเป็นคู่รักหญิงชายก็คงเป็นไปดังคำโบราณที่ว่า ยิ่งทะเลาะกันลูกยิ่งดก
รัชนกไม่เคยปฏิเสธว่าบทรักของเธอและมัลลิกานั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดี ดีมากๆ เลยด้วยซ้ำไป เพราะมัลลิการทั้งเร้าร้อนและนุ่มนวลในตัวของเธอเอง แต่นั้นไม่ได้ทำให้รัชนกที่กำลังเหงาและโหยหาอ้อมกอดของคนรักหยุดลงที่มัลลิกาเพียงคนเดียว
แล้ววันหนึ่งรัชนกก็ได้พบกับผู้หญิงที่พร้อมจะให้เธอทุกอย่างทั้งเวลาและความรักที่รัชนกโหยหา พาชื่นเด็กสาวที่พักอาศัยอยู่ในคอนโดชั้นเดียวกับเธอ รัชนกหมกมุ่นอยู่กับพาชื่นทั้งหลงและรักสาวน้อยหน้าใสในวัยเรียนอย่างพาชื่นเรียกได้ว่าหัวปักหัวปำ
แม้ว่ารัชนกจะต้องโกหกมัลลิกาข้างๆ คูๆ รัชนกก็ทำ ความหลงใหลในตัวของพาชื่นนั้นพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ รัชนกเคยจะเอ่ยปากบอกกับมัลลิกาหลายต่อหลายครั้งว่าเธอนั้นนอกใจคนรัก แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเธอรู้ว่าคนอย่างมัลลิกาไม่ทางที่จะยินยอมให้ตัวเธอไปมีใครคนใหม่
รัชนกพยายามรักษาระดับความห่างของเธอและพาชื่นอยู่ตลอดเวลากลับมาที่ห้องของตัวเองตรงเวลา มัลลิกาก็ยังคงเป็นมัลลิกาไม่เคยจะไถ่ถามหรือสนใจรัชนกเหมือนเช่นที่เคยผ่านมา มัลลิกาจะสนใจแต่เพียงเรื่องงาน นานๆ ครั้งถึงจะสนใจรัชนก
ยิ่งมัลลิกาสนใจและบ้างานมากแค่ไหนรัชนกก็ยิ่งออกห่างจากมัลลิกามากขึ้นทุกทีๆ
อ้าวปอยยังไม่นอนอีกเหรอ รัชนกค่อนข้างจะตกใจเมื่อเห็นคนรักของเธอยังไม่เข้านอน
ปอยพึ่งมาถึง
อ๋อเหรอ รัชนกบอกพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนและล้มตัวลงนอนบนเตียง
ไม่อาบน้ำหรือคะนก มัลลิกาถามรัชนกด้วยความห่วงใย
พอดีนกอาบน้ำมาจากที่ทำงานแล้วน่ะปอย มันเหนียวตัวตอนเข้าไปซ่อมเครื่อง ขอนอนก่อนแล้วกันนะเหนื่อยจังเลยซ่อมเครื่องทั้งวันเกเรไม่เลิก สงสัยต้องเสนอให้ Boss ซื้อเครื่องใหม่ ซ่อมบ่อยๆ แบบนี้คงไม่ไหว รัชนกพูดจบก็คลี่ผ้านวมผืนหนามาปกคลุมร่างกายและแกล้งหลับให้มัลิกาเข้าใจว่าเธอนั้นหลับไปแล้วเพราะหากว่าเธอยังตื่นอยู่เธออาจจะโดนมัลลิกาต้อนจนจนมุมและหาคำตอบมาตอบมัลลิกาไม่ได้อย่างแน่นอน
มัลลิกาก้มลงหอมแก้มรัชนกก่อนที่จะล้มตัวลงนอนแถมยังพูดเบาๆ ว่า
กลิ่นไม่คุ้นเลยนะสงสัยใช้สบู่กลิ่นใหม่ เสียงเหมือนมัลลิกาบ่นกับตัวเองเมื่อได้กลิ่นหอมแปลกไปจากที่เคยได้กลิ่นจากรัชนก ทำเอารัชนกใจเต้นระส่ำจนต้องเอามือมากุมหัวใจข้างซ้ายของตัวเองด้วยกลัวว่ามัลลิกาที่นอนอยู่ข้างๆ เธอนั้นจะได้ยินเสียงของหัวใจเธอเต้นแรง
ช่างโชคดีที่วันนี้มัลลิกาก็ดูจะอ่อนเพลียหมือนกันคืนนี้มัลลิกาไม่ได้นอนกอดรัชนกเหมือนคืนก่อนๆ รัชนกได้แต่ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกและหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลียจากบทรักของพาชื่นก่อนหน้าที่เธอจะกลับเข้ามาในห้องของมัลลิกา
.................
วันนี้เป็นวันซ้อมรับปริญาของพาชื่นรัชนกกุลีกุจอลางานและเป็นช่างภาพให้กับพาชื่น เธอออกจะภูมิใจที่พาชื่นแนะนำว่าตัวเธอนั้นเป็นแฟน มันผิดกับมัลลิกาที่ความสัมพันระหว่างเธอกับมัลลิกาเป็นเพียงการหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ใครต่อใครได้รับรู้
รัชนกรู้สึกอึดอัดกับความสัมพันลุ่มๆ ดอนๆ ของเธอและมัลลิกามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีพาชื่นมาเป็นตัวเปรียบเทียบรัชนกยิ่งมองเห็นความแตกต่างของคนรักสองคนของเธอมากขึ้นทุกที
ยามที่อยู่กับพาชื่นเธอเป็นตัวของตัวเอง เปิดเผยไม่ต้องหลบซ่อน พาชื่นจะแนะนำเธอกับเพื่อนๆ เสมอๆ ว่า
นี่พี่นกแฟนเรา และเพื่อนๆ ทุกคนของพาชื่นก็จะยินดีที่ได้รู้จักกับรัชนกและชื่นชมรัชนกว่าเก่งเป็นถึงวิศวะกรใหญ่ การเป็นเช่นนี้ยิ่งสร้างความหลงในตัวพาชื่นมากขึ้นๆ
พาชื่นยังพร้อมที่จะเปิดเผยตัวเองกับแม่ของเธอและแนะนำรัชนกให้ได้รู้จักกับแม่ของเธอในฐานะคนรัก รัชนกรู้ว่าผู้เป็นแม่ของพาชื่นนั้นไม่อยากให้ลูกของตนมาคบกับรัชนกมากนักหรอก แต่ด้วยความเป็นแม่ที่รักลูกจึงต้องตามใจลูกของตัวเอง
เมื่อผู้เป็นแม่เปิดทางขนาดนี้รัชนกก็ยินดีที่จะเดินตามทางที่พาชื่นได้กรุยทางเอาไว้แล้ว รัชนกกลับไปส่งแม่ของพาชื่นและหิ้วเบียร์ขึ้นมาฉลองกับพาชื่นที่ห้องของพาชื่น ก่อนที่จะได้เวลาต้องกลับไปที่ห้องของมัลลิกาและก็ต้องตกใจเมื่อเธอเปิดไฟและยังเห็นพาชื่นนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในครัว
อ้าวปอย ท่าทางของรัชนกตกใจที่เห็นมัลลิกานั่งอยู่และไม่เปิดไฟ
ทำไมมานั่งมืดๆ ฟืนไฟก็ไม่เปิด เหนื่อยไหมคนดีวันนี้นกเหนื่อยจังเลยขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะเหนียวตัวชะมัด น้ำเสียงของรัชนกดูอ่อนเพลียหมดแรงที่จะพูด และรีบกลับเข้าห้องอาบน้ำนอนก่อนที่มัลลิกาจะมาจับผิดเธอ
มัลลิกาตามเข้ามาในเวลาไม่นานนักจนมัลลิกาอาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอนก่อนนอนเธอก้มตัวลงหอมแก้มรัชนก ถึงอย่างไรสถานภาพของรัชนกก็คือคนรักของเธอ กลิ่นเบียร์ยังคงออกมาทางลมหายใจของรัชนก
คงจะดื่มมาเยอะล่ะสิท่าถึงได้นอนสลบแบบนี้ มัลลิกาบ่นกับตัวเอง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชนกที่นอนหลับตาอยู่ส่งเสียงลอดออกมาดังๆ
ไม่เอาน่านิดพี่จะนอนอย่าพึ่งกวนพี่นะคนดี รัชนกละเมอออกมาด้วยความที่คิดว่าเธอนั้นยังนอนอยู่ที่ห้องของพาชื่น โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดที่เธอได้หลุดออกมาจากปากนั้นมัลลิกาด้ยินอย่างชัดเจน และมันบาดลึกลงไปในหัวใจของมัลลิกายิ่งนัก
รัชนกยังคงกลับบ้านดึกทุกวันและวันไหนที่เป็นวันหยุด รัชนกก็จะรับโทรศัทพ์และออกไปคุยนอกระเบียงห้อง จากนั้นก็ต้องกลับเข้ามาโกหกมัลลิกาว่าที่ทำงานมีปัญหาและก็ออกจากห้องไปกว่าจะกลับมาอีกทีก็เกือบรุ่งสาง รัชนกทำแบบนี้เป็นเวลาหลายเดือน
จนวันหนึ่งมัลลิกามาบอกกับรัชนกว่า
นกเราจะขายคอนโด
ทำไมปอยต้องขายคอนโดเราซื้อต่อเองก็ได้ถ้าปอยมีปัญหาเรื่องเงิน รัชนกบอกมัลลิกาด้วยความหวังดีเพราะเธอรู้มาเหมือนกันว่าบริษัทของมัลลิกามีปัญหาเรื่องเรือล่มกลางทะเลและเกิดความเสียหายกับบริษัทอย่างมาก
เงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอกนก มัลลิกาบอกกับรัชนกที่นั่งโอบไหล่ของเธอ
แล้วขายทำไมในเมื่อไม่ต้องการใช้เงิน
ขายเพราะเราไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้วนะสิ
ทำไมมันไม่สะดวกเหรอแล้วจะไปอยู่ที่ไหนละปอย
สนใจด้วยเหรอนกว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็ในเมื่อนกกลับบ้านสว่างทุกวัน
สนใจสิก็ปอยเป็นคนรักของเรานี่ รัชนกรีบออกตัว เธอรู้ดีว่าเธอนั้นทำหน้าที่บกพร่องในฐานะคนรักของมัลลิกามาโดยตลอด
คนรักเหรอนก คนรักเค้าทำกันแบบนี้เหรอ รักกันแล้วไปนอนกับผู้หญิงอื่นทิ้งให้เรานอนคนเดียวทุกคืนแบบนี้เหรอ
ปอยเอาที่ไหนมาพูดเรานี่นะไปมีคนอื่น บ้าไปแล้ว รัชนกร้อนตัวและค่อนข้างจะตกใจที่มัลลิการู้เรื่องของเธอ
มัลลิกาหยิบรูปที่เธอขอมาจากฝ่ายดูแลอาคาร มันเป็นรูปที่ได้มาจากโทรทัศน์วงจรปิด รูปของรัชนกที่เดินควงแขนกับเด็กสาวห้องปีกซ้าย หลายๆ รูป หลายๆ วัน หลายๆ เวลา รัชนกดูรูปนั้นแล้วก็หน้าซีด
ปอยนกขอโทษนะถึงนกจะไปมีใครที่ไหนปอยก็ยังเป็นตัวจริงของนกอยู่วันยังค่ำ
เป็นตัวจริงแล้วมีประโยชน์อะไรนก ปอยว่าเราสองคนแยกทางกันเถอะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา อีกสองวันเจ้าของใหม่จะย้ายมาอยู่แล้วนะนก นกก็ย้ายออกไปก่อนเค้าจะเข้ามาอยู่ก็แล้วกัน
เรารักปอยนะปอยอย่าจากเราไปเลย รัชนกรู้สึกสำนึกผิด เธอทำผิดไปแล้วและแน่นอนมัลลิกาไม่มีทางให้อภัยกับรัชนกไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม
มันสายไปแล้วนก ถ้านกบอกเราตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้วมันยังทัน แต่ตอนนี้มันสายไปแล้วจริงๆ เราไม่อยากเป็นตัวจริงที่ต้องมานั่งปวดใจอีกแล้ว ลาก่อนนะนก
มัลลิกาลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบสุดท้ายของเธอออกจากประตูห้องนั้นไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองรัชนกที่นั่งน้ำตาคลอ รัชนกเดินคอตกกลับไปที่ห้องของพาชื่นไขกุญแจเข้าไปและก็พบกับห้องที่ว่างเปล่าบนโต๊ะมีจดหมายวางทิ้งไว้ว่า
ลาก่อนนะคะพี่นกขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา นิดรักพี่นกมากและแน่นอนนิดก็รักพี่ปอยด้วยเช่นกัน หวังว่าเราคงจะจากกันด้วยดีอย่าติดตามหรือตามหานิดอีกเลยนะพี่ ขอบคุณนะคะกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด รักพี่นกเสมอ นิด
รัชนกอ่านจดหมายฉบับนั้นและเธอพยายามติดตามหาพาชื่นอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเธอถูกกีดกันจากแม่ของพาชื่น พาชื่นไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเธอ เหมือนๆ กับที่มัลลิกาก็ไม่ยอมติดต่อกลับมาหาเธอด้วยเช่นกัน
แม้ทั้งคู่จะตัดสินใจเดินจากรัชนกไป แต่รัชนกนั้นก็ยังคงรักและคิดถึงผู้หญิงทั้งสองคนอยู่ตลอกดเวลา
มันเป็นชีวิตช่วงหนึ่งของรัชนกที่มีทั้งสุขและเศร้า เธอรู้ดีว่าการจับปลาสองมือไม่ได้เป็นผลดีกับผู้ที่รักพี่เสียดายน้องแบบเธอ หากเลือกได้เธอเองก็ไม่อยากที่จะต้องเป็นคนสองใจแบบนี้
รัชนกยืนมองสายน้ำเบื้องหน้าจากมุมสูงของคอนโด ตะวันกำลังจะตกลงไปในสายน้ำเบื้องหน้า
ช่วงชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยผิดพลาด ช่วงชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนรักที่ไม่ดี และช่วงชีวิตที่เธอเคยรักคนสองคนพร้อมๆ กัน รัชนกจะเก็บความทรงจำที่ดีนี้ไว้ตลอดไป
... จบ ...
Create Date : 13 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 13 สิงหาคม 2551 18:50:06 น. |
Counter : 526 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสั้นแนวยูริ : ภรรยาน้อย (ฉันไม่อยากเป็น)
ภรรยาน้อย (ฉันไม่อยากเป็น) เรื่องสั้นแนวยูริ โดยผิงดาว
พาชื่น เด็กสาวจากต่างจังหวัด ย้ายเข้ามาเรียนในเมืองหลวง พ่อกับแม่ของเธออยากให้เธอเรียนต่อระดับอุดมศึกษา แม้ว่าพาชื่นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้ ครอบครัวของเธอก็ไม่เคยต่อว่าเธอเรื่องที่สอบไม่ได้
แม่ไม่โกรธนิดเหรอคะที่สอบไม่ได้
แม่ไม่โกรธนิดหรอกลูก คนเราไม่ได้เก่งไปหมดทุกเรื่อง แค่เรื่องสอบไม่ได้ไม่ได้หมายความว่านิดไม่เก่ง ก็แบบนี้แหละนิด เรื่องสอบติดไม่ติดมันไม่สำคัญ คนสอบเป็นหมื่นรับแค่พันก็เป็นธรรมดาที่มีคนต้องเสียใจ
แม่ของพาชื่นไม่เคยที่จะทำให้พาชื่นต้องเสียใจ มีแต่ให้กำลังใจพาชื่นทุกครั้ง เมื่อยามที่พาชื่นท้อหรือหมดกำลังใจ แม่จะเป็นคนปลุกปลอบและให้กำลังใจพาชื่นเสมอมา
จนเมื่อเธอต้องเข้ามาเรียนในเมืองกรุงจริงๆ ผู้เป็นแม่ของเธอก็ไม่ได้ให้เธอต้องลำบากไปเช่าหอพักหรือ ฐานะทางบ้านของเธอไม่ได้เริดเลออะไร แค่มีโรงสีและเป็นตัวแทนรับจำนำข้าวให้กับรัฐบาลก็เท่านั้นเอง
พาชื่นช่วยพ่อกับแม่ในเรื่องบัญชีบ้าง แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมา แม้จะยังพึ่งจะเข้ามาเรียนบัญชี แต่เธอก็ช่วยพ่อกับแม่ลงบัญชีการซื้อขายข้าว และทำสินค้าคงคลังให้กับพ่อและแม่มาตั้งแต่เธอพึ่งจะเริ่มเรียนมอปลาย
พาชื่นเป็นเด็กน่ารักว่านอนสอนง่าย การที่เป็นลูกสาวคนเล็กของที่บ้านทำให้ทุกคน ทั้งพ่อแม่ พี่ๆ ทั้งหลายจึงได้ตามใจเธอมาตั้งแต่เด็ก พาชื่นจึงเป็นตุ๊กตาของเล่นที่มีชีวิตของพี่ๆ ผู้หญิง และเป็นไข่ในหินของพี่ๆ ผู้ชาย
เมื่อยามที่พาชื่นเป็นเด็กเล็กๆ จับไปวางตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่หือไม่อืออะไรกับใครๆ ด้วยความที่เป็นเด็กไม่ซุกซน ไม่ชอบเล่นอะไรแผลงๆ เธอจึงเป็นน้องที่น่ารักของพี่ๆ โดยไม่ต้องแปลกใจ
พาชื่นเรียนเกือบจะจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอกชนแถวๆ กล้วยน้ำไท จึงไม่แปลกอะไรที่มารดาของเธอจะซื้อคอนโดริมน้ำวิวสวยงามและราคาแพงแห่งนี้ให้กับเธอ
แม่มันแพงไปหรือเปล่าคะ พาชื่นเห็นห้องพักของตัวเองแล้วก็ต้องตะลึง เพราะมันเหมือนกับห้องในหนังหรูๆ ของพระกเอกหรือนางเอกที่มีฐานะร่ำรวย
ไม่หรอกลูกพอดีพ่อเค้ารู้จักกับเจ้าของก็เลยได้ราคาถูกกว่าคนที่ซื้อทั่วๆ ไป
แต่มันตั้งหลายเงินนะแม่ แล้วห้องมันก็หรูเกินไปนิดอยู่คนเดียวเอามาทำไมตั้งสองห้องนอน ซื้อห้องข้างล่างก็ได้นะคะแม่ประหยัดดีออก
อย่าเลยลูกอยู่แบบนั้นคนมากหน้าหลายตา อีกอย่างอยู่บนนี้ชั้นนึงมีแค่สี่ห้อง เงียบๆ ดีด้วยไม่ต้องไปสุงสิงกับใคร นิดก็อยู่ๆ ไปก่อน ถ้ามันเดินทางไปเรียนลำบากไว้แม่จะเอารถมาให้ใช้ก็แล้วกัน
ไม่ต้องหรอกค่ะแม่นิดอยู่ได้ ใกล้มอแค่นี้เอง นั่งรถเมล์ต่อเดียวก็ถึง ซื้อรถก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันอีกเปลืองเปล่าๆ
ก็ได้ลูกแต่ถ้าลำบากมากๆ ก็บอกแม่นะแม่จะได้เอารถมาให้ใช้
ค่ะแม่แต่นิดไม่เอามาดีกว่าแค่นี้ก็เกรงใจพ่อกับแม่จะแย่แล้ว
เราแม่ลูกกันมาเกรงจงเกรงใจอะไรกันลูก แม่ไปก่อนนะวันนี้มีงานเลี้ยงของโรตารี่เดี๋ยวแม่กลับไม่ทัน ดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกันนะนิด จะต้องให้หาคนใช้มาให้ด้วยไหม
ไม่ต้องหรอกค่ะแม่นิดทำงานบ้านเองได้แม่ไม่ต้องห่วง อีกอย่างนิดอยู่คนเดียวมันไม่ได้ลำบากอะไร หาซื้ออะไรกินแล้วก็ค่อยขึ้นมามันไม่ยากมากนักหรอกค่ะแม่ แม่เดินทางปลอดภัยนะคะ
จ๊ะลูกรัก แม่ลูกกอดกันแน่นก่อนที่พาชื่นจะเดินออกมาส่งแม่ของเธอที่ลิฟท์
ไม่ต้องลงมาก็ได้นิด ส่งกันไปมาไม่ต้องไปไหนกันพอดี
ค่ะแม่ พาชื่นยืนส่งแม่ของเธอจนประตูลิฟท์ปิดลงจึงได้เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
...................
เวลาสามปีกว่าๆ ที่ผ่านมาพาชื่นใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมาอย่างสม่ำเสมอ จะว่าไปคอนโดแห่งนี้ก็มีความสะดวกสบายหลายๆ อย่าง สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นบางอย่างพาชื่นยังไม่เคยที่จะไปใช้บริการ
วันนี้ก็เหมือนกับทุกวันพาชื่นกลับเข้ามาที่คอนโดของเธอ และแวะซื้อข้าวจากร้านขายด้านล่าง เธอยืนเลือกข้าวในกล่องพลาสติกอยู่นานสองนาน
น่าเบื่อจังมีแต่ของเดิมๆ พาชื่นเดินจากตู้แช่แข็งที่บรรจุอาหารปรุงสำเร็จต่างๆ มากมาย
กินมาม่ากับไข่ดีกว่า เมื่อตัดสินใจได้อย่างนั้นพาชื่นก็เดินไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและหยิบไข่ไก่มาสามฟอง แถมด้วยผักอย่างละนิดละหน่อย ที่เจ้าของได้จัดแบ่งเป็นกำเล็กๆ ไว้เพื่อความสะดวกสำหรับลูกค้าจอมขี้เกียจแบบพาชื่น
พาชื่นจ่ายเงินค่าสินค้าของเธอและกำลังจะหมุนตัวกลับก็ต้องชนกับร่างของใครบางคน จนเธอกระเด็นไป แถมเมื่อตอนที่รับถุงมาจากพนักงานขายพาชื่นยังไม่ทันได้ถือถุงในมือให้เข้าที่เข้าทางเพราะเธอกำลังจะเก็บเงินทอนไว้ในกระเป๋าสตางค์ ถุงนั้นก็หลุดมือร่วงลงพื้น ไข่ไก่สามฟองในถุงแตกกระจายเกลื่อน
ว๊าย พาชื่นร้องออกมาด้วยความตกใจ
ขอโทษค่ะฉันไม่ได้ตั้งใจ คนที่ชนพาชื่นจนกระเด็นก็ไม่ได้แตกต่างกัน ต่างคนต่างตกใจทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเพื่อเก็บถุงที่หล่นพร้อมๆ กัน
ทำให้ทั้งคู่หัวโขกกันอย่างจังอีกรอบ
โอ๊ย พาชื่นร้องขึ้นอีกครั้ง
อุ้ย ขอโทษค่ะ ขอโทษ คนที่ชนพาชื่นลูบหน้าผากของตัวเองและส่งเสียงร้องขอโทษขึ้นมาอีกครั้ง
ขอโทษๆ พูดเป็นแต่คำนี้เหรอคุณ ขอโทษแล้วไข่ของ ฉันมันจะหายแตกหัวจะหายเจ็บไหม จะตามจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหนนี่คุณ พาชื่นชักเคืองๆ คนที่ทำข้าวของเธอเสียหายและยังมาทำให้ตัวเธอเจ็บตัวอีกด้วย
ฉันเปล่านะคุณแค่ตั้งใจจะเก็บของให้ก็เท่านั้นไม่คิดว่าคุณจะนั่งลงมาพร้อมๆ กัน มันเป็นอุบัติเหตุนะคะฉันขอโทษจริงๆ ส่วนของๆ คุณเดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่นะคะ ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นผู้หญิงที่ทำไข่ของพาชื่นร่วงลงพื้นก็เดินไปหยิบไข่ไก่ใบใหม่มาให้ พร้อมกับจ่ายเงิน
อะนี่คะไข่ของคุณ หวังว่าคงไม่ถือโทษโกรธฉันนะคะที่ทำข้าวของๆ คุณเสียหายแบบนี้
พาชื่นรับถุงไข่นั้นมาอย่างเสียไม่ได้ เพราะตอนนี้เธอเองก็อยากจะขึ้นไปบนห้องทำมาม่ากินแล้ว ท้องเจ้ากรรมก็ร้องโครกคราก จนพาชื่นกลัวว่าเสียงร้องนั้นจะได้ยินไปถึงหูของคู่อริของเธอ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไปฉันขอเลี้ยงข้าวขอโทษคุณจะได้ไหมคะ
ไม่ต้องดีกว่าค่ะแค่ไข่แตกไม่ต้องถึงกับเลี้ยงข้าวเราหรอกคุณ แล้วคุณก็ซื้อคืนเราแล้วด้วย
ยังไงฉันก็อยากเลี้ยงข้าวขอโทษที่ทำคุณเจ็บตัว ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อเป็นการขอโทษแล้วกันนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะทำอะไรคุณหรอกฉันพักที่นี่ ใครๆ ก็รู้จัก อีกอย่างฉันไม่ได้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎอะไรที่จะต้องมาหลอกลวงนักศึกษาแบบคุณไปขาย
ไม่ดีกว่าค่ะ
อะหรือไม่กล้าก็บอกมาได้นะ
ฉันเหรอไม่กล้าไหนว่ามาจะไปกินอะไรพาฉันไปได้เลย พาชื่นเลือดขึ้นหน้าเมื่อเธอถูกท้าทายแบบนั้น
จากนั้นหญิงสาวสองคนก็เดินตามกันมาที่ร้านอาหารใต้คอนโด
จะทานอะไรดีคะ
ขอเป็นผัดกระเพราไข่ดาวก็แล้วกันค่ะง่ายดีเร็วด้วย พาชื่นบอกคนตรงหน้า
งั้นขอกระเพราไข่ดาวสองก็แล้วกันน้อง หญิงสาวมาดเท่ห์คนนั้นหันไปสั่งบริกรแล้วจึงหันมาพูดกับพาชื่น
ฉันยังไม่รู้จักคุณเลยชื่ออะไรคะ ฉันชื่อนกพักที่ห้องข้างบนนี่เอง
ฉันชื่อนิดคะ
อ๋องั้นฉันเรียกคุณว่าน้องนิดก็แล้วกันนะคะ
ค่ะพี่นก
แหมชื่อของเราคล้องจองกันดีจังนะตระกูลนอหนูตัวนกตัวน้อยนิด สาวมาดเท่ห์ยังคงชวนพาชื่นพูดคุยให้ได้เพลิดเพลินกันไปด้วยกันทั้งคู่
จากการที่พาชื่นเขม่นสาวมาดเท่ห์ในตอนแรกๆ นั้น ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นคนที่เริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไปแล้ว
และพาชื่นก็ต้องแปลกใจเมื่อทั้งสองขึ้นลิฟท์ตัวเดียวกันและออกมายืนที่ชั้นเดียวกัน
อ้าวพี่นกอยู่ชั้นนี้เหมือนกันเหรอคะ
ใช่ค่ะพี่อยู่ทางปีกขวาแล้วน้องนิดล่ะ
นิดอยู่ทางปีกซ้ายค่ะ อิอิเหมือนชื่อหนังเลยนะผู้หญิงเลี้ยวซ้ายผู้ชายเลี้ยวขวา
น้องนิดนี่เข้าใจคิดนะคะ
พี่นกไปดื่มกาแฟห้องนิดไหมคะนิดจะขอบคุณพี่นกที่เลี้ยงข้าวนิดด้วยกาแฟ ถ้าพี่นกไม่รีบอะไร
ก็ได้น้องนิดไหนๆ วันนี้ก็วันแรกที่ได้รู้จักกันแล้ว อีกอย่างพี่อยู่ที่ห้องก็ไม่มีอะไรทำให้น้องนิดเลี้ยงกาแฟสักแก้วก็ท่าจะดี
หญิงสาวสองคนเดินตามกันไปที่ห้องของพาชื่น และคืนนั้นกว่ารัชนกจะกลับไปที่ห้องของตัวเองก็ดึกดื่น เมื่อกลับไปถึงห้องก็ยังว่างเปล่า ห้องดูอ้างว้าง รัชนกอาบน้ำและล้มตัวลงนอน แต่หัวสมองของเธอยังคงปรากฏใบหน้าของพาชื่นลอยเด่นอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งหลับไปในไม่ช้า
...................
ทั้งพาชื่นและรัชนกพบเจอกันบ่อยครั้งมากขึ้น ความสัมพันของคนทั้งคู่ก็เริ่มงอกงาม รัชนกบอกกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้ติดอยู่กับพาชื่นเด็กสาวที่อาศัยอยู่ชั้นเดียวกับเธอมากมายถึงเพียงนี้ เธอรู้แต่ว่าเมื่อยามที่ได้อยู่กับพาชื่นดูเหมือนว่าพาชื่นจะทำให้เธอชื่นมื่นเหมือนกับชื่อของพาชื่นไปจริงๆ
รัชนกจะขลุกอยู่กับพาชื่น นั่งดูพาชื่นทำการบ้าน เธอเองก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ พาชื่นไม่ได้ห่างไปไหน ความสัมพันของเธอเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ และรัชกนกับพาชื่นก็รู้ความสัมพันของเธอทั้งคู่ที่เป็นแบบนี้มันเรียกว่า ความรัก
พาชื่นเรียนจบจนรับปริญญารัชนกทำหน้าที่เป็นคนถ่ายรูปให้กับพาชื่นตลอดทั้งงานเธอลงทุนลางานมาเป็นตากล้องให้กับพาชื่นทั้งวันซ้อมย่อยซ้อมใหญ่และรับจริง ของขวัญที่รัชนกเตรียมไว้ให้กับพาชื่นมันก็คือสร้อยสีเงินที่มีจี้รูปหัวใจสลักอักษร N&N ไว้บนสร้อยนั้น
เมื่อทั้งคู่รู้ใจของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะสานสัมพันให้งอกเงยมากยิ่งขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ ตลอดเวลาที่ได้คบกันพาชื่นเริ่มรู้ตัวว่าเธอรักรัชนกและจากการกระทำของรัชนก ก็ทำให้พาชื่นรู้ว่ารัชนกเองก็ไม่ได้ต่างไปจากเธอ
คำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองความสำเร็จจบลงด้วยบทรักที่เร่าร้อน เมื่อพาชื่นตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบกับเตียงข้างๆ ที่ว่างเปล่า เธอเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆ เขียนไว้ว่า
พี่กลับไปที่ห้องก่อนนะนิด ต้องไปเตรียมเอกสารสำหรับทำงานพรุ่งนี้ แล้วเย็นนี้เจอกันนะคะที่รัก
ข้อความที่พาชื่นได้อ่านนั้นทำให้คนอ่านยิ้มแก้มแทบปริ เธอและรัชนกกลายเป็นที่รักของกันและกันไปแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้พาชื่นต้องแปลกใจเสมอมาก็คือ รัชนกจะกลับไปที่ห้องเมื่อเวลาตีสี่ของวันใหม่ทุกครั้ง นานๆ ครั้งถึงจะนอนค้างเป็นเพื่อนเธอที่ห้อง และสิ่งที่รัชนกบอกกับเธอทุกครั้งก็คือต้องกลับไปเตรียมเอกสารสำหรับทำงาน เธอเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพราะบางครั้งเธอเองก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องโดยเฉพาะเสาร์หรืออาทิตย์ไหนที่พ่อกับแม่เข้ากรุงมาเพื่อติดต่องานทางด้านส่งออก เธอเองก็ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับรัชนก เพราะตัวเองก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกพ่อกับแม่ว่าแฟนหรือคนรักของเธอเป็นหญิง
เมื่อต้องไปติดต่องานกับบริษัทส่งออก พาชื่นก็ได้พบกับมัลลิกา หญิงสาวที่สวยและมั่นใจในตัวเอง มัลลิกาเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกที่พ่อกับแม่ของพาชื่นใช้บริการส่งของข้ามน้ำข้ามทวีปมาสม่ำเสมอ บริษัทของมัลลิกาเป็นบริษัทเก่าแก่ทางด้านการเดินเรือส่งออก
นั่นหมายถึงว่าพ่อแม่พาชื่นและพ่อแม่ของมัลลิกานั้นรู้จักกันเป็นอย่างดี
สวัสดีคะพี่ปอย พาชื่นยกมือสวัสดีมัลลิกาทุกครั้งที่เธอมาพบและทักทายเช่นเดียวกัน
สวัสดีคะน้องนิด ลมอะไรหอบมาคะ
ลมคิดถึงพี่ปอยไงคะ
แหมปากหวานมาเชียว วันนี้มีอะไรให้บริษัทพี่รับใช้คะ
ถ้าไม่มีธุระนี่นิดมาหาพี่ปอยไม่ได้ใช่ไหมคะพี่
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน้องนิด พี่ก็ต้องถามเรื่องงานก่อนเป็นอันดับแรก จะให้พี่พูดเรื่องส่วนตัวกับลูกค้ารายใหญ่ก่อนคงไม่ดีแน่ๆ เลย เกิดน้องนิดมีธุระสำคัญพี่ก็กลายเป็นคนไม่เอาถ่านไปเลยสิคะ
พี่ปอยก็พูดเกินไป พอดีวันนี้นิดว่างๆ คะพี่เลยจะมาชวนพี่ปอยไปทานข้าวด้วยกัน
เหรอไปสิพี่เลี้ยงเองนะคะน้องนิด
ไม่สิคะ นิดมาชวนพี่นิดก็ต้องเลี้ยงสิคะ
งั้นไปทานอะไรใกล้ๆ แถวนี้แล้วกันนะน้องนิด เพราะตอนบ่ายพี่ต้องไปที่ท่าเรือพอดีมีเรื่องวุ่นๆ นิดหน่อยที่นั่น
งั้นนิดไม่รบกวนพี่ปอยดีกว่าคะเดี๋ยวพี่ปอยจะมาเสียงานเสียการเพราะนิด
ไม่เลยน้องนิดพี่ว่างตอนนี้เพราะไงก็ต้องให้เค้าเตรียมเอกสารให้อยู่ดี จากนั้นสองสาวก็ออกไปหาร้านแถวๆ ที่ทำงานของมัลลิกานั่งพูดนั่งคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป
แล้วนี่น้องนิดพักที่ไหนคะไกลหรือเปล่า
ไม่ไกลหรอกคะพี่ปอยนิดพักที่คอนโดนั่นไงคะ พาชื่นชี้ไปที่ตึกริมน้ำสูงตระหง่านอยู่ไม่ห่างจากร้านอาหารแห่งนี้
เหรอบังเอิญดีจังเราพักที่เดียวกันเลยนะ
จริงเหรอคะ ไว้วันไหนนิดว่างๆ นิดจะแวะไปที่ห้องของพี่ปอยบ้างดีกว่า
ได้เลยน้องนิดถ้าน้องนิดมาวันไหนพี่จะทำกับข้าวเลี้ยงน้องนิดนะ
ยินดีรับคำเชิญค่ะพี่ปอยเรื่องกินนิดถนัดอยู่แล้ว
แต่วันนี้พี่ต้องขอตัวก่อนนะคะน้องนิดใกล้เวลานัดแล้วเดี๋ยวพี่ไปไม่ทัน แล้วนี่น้องนิดจะกลับไงคะไม่ได้เอารถมาให้พี่ไปส่งที่คอนโดก่อนไหม
พี่ปอยไปเถอะคะ ไม่ต้องห่วงนิด เดี๋ยวนิดนั่งรอแฟนนิดอีกสักพักก็จะกลับแล้วค่ะ
ว้าเสียดายจังพี่เลยอดเจอแฟนน้องนิดเลยไม่รู้ว่าจะหล่อขนาดไหน
จุ๊ๆ ค่ะพี่ปอยแฟนิดเป็นผู้หญิง รู้แล้วอย่าไปบอกพ่อกับแม่นิดนะคะ
จ้าไม่บอกหรอกรับรองได้เพราะแฟนพี่ก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน
สองสาวหัวเราะด้วยกันทั้งคู่ก่อนที่มัลลิกาจะขอตัวจากไปเพราะติดงานที่ท่าเรือ พาชื่นนั่งรอสักพักรัชนกก็มาถึงที่ร้านอาหาร
ทานอะไรหรือยังคะน้องนิด
เรียบร้อยแล้วคะพี่นก นิดพึ่งทานกับพี่สาวไปเสียดายที่พี่นกมาไม่ทันไม่ได้เจอพี่สาวที่แสนสวยและแสนดีของนิด
เหรอจ๊ะไม่เป็นไรหรอกสาวคนไหนๆ ก็สู้น้องนิดของพี่ไม่ได้หรอกนะ
กินคำหวานๆ บ่อยๆ เดี๋ยวนิดก็เลี่ยนตายพอดี ไขมันจุกอกตาย
ให้พี่ตายแทนน้องนิดดีกว่าคะพี่ไม่อยากเห็นน้องนิดตายก่อนพี่ พี่คงเศร้าใจที่ต้องมาทำศพคนที่พี่รัก
แหม หวานอีกแล้วนะคะพี่นก จะทานอะไรคะ เดี๋ยวนิดจะได้สั่งเพิ่ม
พี่ทานน้องนกได้ไหมข้าวไม่หิวพี่หิวอย่างอื่น
ไม่ได้ค่ะพี่นกต้องทางข้าวก่อน อย่างอื่นกลางวันแสกๆ แบบนี้ทานไม่ได้
พาชื่นปรามคนรักของตัวเองที่นับวันจะหวานจนเธอเคลิ้มไปกับคำหวานที่รัชนกป้อนให้ทุกวัน เธอเองยังเคยนึกว่าหากว่าวันใดที่เธอต้องเสียรัชนกไปตัวเธอคงจะเสียใจมากมายเหมือนกัน แต่วันนั้นคงไม่มีทางจะมาถึงเพราะเธอไม่คิดที่จะจากรัชนกไปไหน
รัชนกพาพาชื่นไปหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เลือกกันอยู่พักใหญ่
ชุดนี้ดีแล้วน้องนิดเอาชุดนี้เลยไม่ต้องเปลี่ยนกลับแล้ว คุณคะชุดนี้เลยค่ะ รัชนกยื่นเครดิตคาร์ดให้กับพนักงานขาย
จะดีเหรอคะพี่นกมันโป๊ออก พาชื่นบ่นชุดสายเดี่ยวที่รัชนกเลือก
ดีสิคะชุดแบบนี้แหละค่อยสมเป็นน้องนิดของพี่หน่อย ใส่ไปเลยนะคะ
แต่มันโป๊
ก็เพราะว่าโป๊สิค่ะพี่ถึงได้ให้น้องนิดใส่เลย ถ้าทิ้งไว้น้องนิดไม่มีทางหยิบเอามาใส่แน่ๆ
แหมพี่นกรู้ทันนิดอีกแล้วนะ
ถ้ารู้ไม่ทันน้องนิดพี่ก็ไม่ใช่แฟนน้องนิดสิคะ เมื่อโดนคำพูดแบบนี้พาชื่นจึงต้องจำใจยอมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่รัชนกซื้อให้เธอ
ถึงคอนโดรัชนกแวะซื้อเบียร์ที่ร้านค้าด้านล่าง และหิ้วขึ้นไปดื่มบนห้องของพาชื่น ตลอดทางทั้งคู่หัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
............
สองเดือนถัดมาพาชื่นมีโอกาสได้เข้าไปที่ห้องของมัลลิกาเพราะคำเชื้อเชิญของมัลลิกาและก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้รู้ว่าห้องของมัลลิกาอยู่ชั้นเดียวกับเธอ
ห้องพี่ปอยสวยจังคะ
อืมค่ะพี่ซื้อตั้งแต่ตอนยังสร้างไม่เสร็นแนะน้องนิด
เหรอคะ แล้วนี่พี่ปอยอยู่คนเดียวเหรอคะ
พี่อยู่กับแฟนพี่คะน้องนิด
น่าอิจฉาพี่ปอยจังเลยที่ได้อยู่กับแฟน แฟนนิดสิคะ อยู่เหมือนไม่อยู่
ไม่ต่างกันหรอกค่ะแฟนพี่อยู่ก็เหมือนไม่อยู่เหมือนกัน มัลลิกาพูดถึงแฟนของตัวเองน้ำเสียงก็เครือๆ
พี่ปอยมีรูปของแฟนพี่ปอยไหมคะนิดอยากเห็นจังเลยว่าใครน้อชั่งโชคดีที่ได้พี่ปอยมาเป็นแฟน
มัลลิกาหยิบรูปคู่ของตัวเองยื่นให้กับพาชื่นได้ดู แต่สิ่งที่พาชื่นเห็นนั้นทำเอาเธอมือไม้อ่อนไปหมด กรอบรูปที่อยู่ในมือร่วงหล่นลงพื้นแตกกระจาย
อุ้ยขอโทษคะพี่ปอย พาชื่นกุลีกุจอก้มลงเก็บกรอปรูปที่ตกแตกกระจายจนกระจกนั้นบาดนิ้วของเธอ
มัลลิกาทำแผลให้กับพาชื่นจนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะไปเก็บเศษกระจกที่หล่นแตกไปทิ้งในถังขยะ
ไม่เป็นไรนะน้องนิด เจ็บมากไหม
นิดขอโทษนะคะพี่ปอยที่ทำรูปพี่กับแฟนของพี่หล่นแตก
ของมันไม่ได้มีค่าอะไรเลยน้องนิด ถ้าคนเรายังรักกันดีอยู่ต่อให้กรอบรูปตกไปสักร้อยสักพันรูปความรักก็ยังคงอยู่ แต่ถ้าคนเราไม่รักกัน ต่อให้กรอบรูปมันยังอยู่ดีๆ ไม่แต่ไม่หล่น รักก็ไม่สามารถที่จะคงอยู่ได้เหมือนๆ กับเศษแก้วที่แตกไปแล้วมันไม่สามารถที่จะเอามารวมกันให้เหมือนเดิมได้หรอก ในที่สุดเราก็ต้องทิ้งมันไป
พี่ปอยพูดเหมือนกับว่าพี่กับแฟนกำลังมีปัญหากัน
พี่รู้มาว่าแฟนพี่กำลังมีคนใหม่
พาชื่นได้แต่นิ่งเงียบเธอจะบอกมัลลิกาได้อย่างไรว่าแฟนของเธอและแฟนของมัลลิกาก็คือคนๆ เดียวกัน สภาพของพาชื่นในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับเมียน้อย ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่ารัชนกจะกล้าถึงเพียงนี้ กล้าที่จะทำให้มัลลิกาหญิงสาวที่แสนดีต้องเจ็บช้ำ กล้าที่จะปกปิดแม้กระทั่งเธอที่รักรัชนกสุดหัวใจ
พี่ปอยจะโกรธนิดไหมคะหากนิดจะบอกอะไรพี่ปอยให้ได้รู้ไว้
พี่จะโกรธน้องนิดทำไมคะน้องนิดไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
คือว่า พาชื่นสูดลมหายใจเข้าปอดตัวเองอีกครั้ง พี่นกเป็นแฟนนิดค่ะพี่ แต่นิดไม่รู้มาก่อนว่าพี่นกมีแฟนแล้ว นิดของโทษนะคะพี่ปอย
มัลลิกาแทบจะหมดแรงนั่งเธอเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ก่อนที่จะพูดว่า
น้องนิดกลับห้องไปก่อนเถอะคะพี่ขออยู่คนเดียวสักพัก
พาชื่นเดินน้ำตาซึมออกมาจากห้องของมัลลิกา เจ็บแผลที่โดนเศษแก้วบาดที่นิ้ว แต่มันยังเจ็บไม่เท่ากับแผลที่รัชนกได้ก่อไว้ให้กับเธอ แผลนั้นมันบาดลึกลงไปในใจของพาชื่นจนเจ็บไปหมดทั้งหัวใจ
พาชื่นตัดสินใจกลับไปที่บ้านไม่ยอมรับโทรศัพท์ของรัชนกที่โทรมาตามหาเธอ เธอทำใจไม่ได้เมื่อต้องรู้ว่าตัวเธอเป็นคนที่ทำให้ชีวิตคู่ของพี่สาวที่น่ารักอย่างมัลลิกาต้องล่มสลาย หากเธอเป็นมัลลิกาเธอจะทำอย่างไร ยอมรับโดยดีหรือทิ้งรัชนก
แน่นอนพาชื่นเลือกที่จะเดินจากมามากกว่าที่จะทนหน้าด้านอยู่ต่อไป เธอไม่ต้องการเป็นคนที่ได้ชื่อว่าแย่งของรักของผู้หญิงที่เธอนับถือเหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอทั้งรักและเคารพมัลลิกาเหมือนพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง เธอจะไม่ยอมทำตัวเป็นมือที่สามให้ความรักของมัลลิกาต้องแตกหักไปด้วยมือของเธอ
พาชื่นยืนจับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง มันเจ็บแปล๊บแสนจะทนแต่ก็ต้องทน
เธอเลือกแล้วที่จะเดินจากมา เธอไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยของใคร เพราะเธอไม่อยากจะเป็น
... จบ ...
Create Date : 31 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 13 สิงหาคม 2551 18:47:04 น. |
Counter : 454 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
ปทุมธานี Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|