It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องสั้นแนวยูริ : บันทึก ตอนที่ 1

ในวันที่ฝนตกหนักเหมือนฟ้ารั่ว มันไม่ต่างจากวันก่อนๆ ที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน ทั้งๆ ที่อยากอยู่บ้านเพื่อนอนต่อใจแทบขาดเพราะบรรยากาศช่างน่าอภิรมณ์ในการนอนเสียนี่กระไร ฉันแอบบิดขี้เกียจพร้อมกับเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกที่ดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่น่ากลัวพร้อมกับเอ่ยว่า

“เช้าแล้วเหรอเนี่ยยังอยากนอนต่ออีกหน่อยนะ”

“ไม่ได้หรอกตัวเอง ตัวเองต้องตื่นนะวันนี้อาจารย์มีสอบเก็บคะแนนไม่ใช่เหรอ” เป็นเสียงอันแสนจะคุ้นหูของฉันของสาวน้อยหน้าสดใสที่ตื่นแล้วและกำลังแต่งตัวชุดนักศึกษารอเพื่อที่จะออกไปเรียนพร้อมกัน

“ตัวเองรู้ได้งัยแดงว่าวันนี้เรามีสอบ” ฉันถามออกไปด้วยเสียงอันงัวเงียและสีหน้างงไม่แน่ใจว่าคนที่พูดรู้ได้อย่างไรว่าฉันจะต้องทำอะไรในวันนี้

“เอ๊า ก็ตัวบอกเค้าเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ใช่เหรอว่าวันนี้อาจารย์จะเก็บคะแนน แล้วให้เค้าเตือนตัวเองว่าอย่าลืมไปสอบนะเดี๋ยวตัวมีคะแนนเก็บไม่พอต้องเรียนซ้ำเพราะเป็นวิชาเอกที่แสนจะยากเย็นของตัวเนี่ยนะ ลืมได้งัย” เธอพูดพร้อมกับเอื้อมมืออันยาวเรียวมาตีฉันพร้อมกับเขย่าและฉุดฉันให้ลุกออกจากที่นอนอันแสนอบอุ่นและน่านอนของฉัน

“เค้าไม่ลืมหรอก แต่…….”

“ไม่ต้องมาพูดเลยลุกได้แล้ว เมื่อคืนก็กลับซะดึกแล้วยังมาทำเป็นเรื่องมากอีก ก็ไหนบอกว่าไปติววิชามางัย ทำไมยังขี้เกียจอีก ลุก ลุก ลุก ไม่ได้เรื่องเลย” เธอพูดพร้อมกับทำสีหน้าเบื่อหน่ายในตัวฉันเป็นอย่างมาก

ฉันยังคงนอนบิดขี้เกียจอยู่บนที่นอน แล้วถามเธอว่า”กี่โมงแล้วหละเนี่ย”

“เกือบหกโมงเช้าแล้ว เร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทัน ฝนตกหนักด้วยเค้าต้องรีบไปเหมือนกันวันนี้มี PRESENT นัดพวกอังไว้เดี๋ยวไปสายโดนว่าเอาอีกหรอก ตัวต้องไปส่งเค้าอีกนะ”

“OK 5 นาที ไม่นานกว่านี้หรอกรอเราด้วยละกัน” ฉันพูดพร้อมกับรีบลุกออกจากที่นอนแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรีบร้อน

เมื่อฉันอาบน้ำเสร็จก็เห็นเธอนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไดร์ผมอยู่

“อ้าวทำไมตัวยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

“ก็ปลุกตัวเองก่อนงัย จะได้ไม่ช้า”

“โธ่เอ๊ย ไอ้เราก็นึกว่าเสร็จแล้วเห็นรีบเหยงๆ รู้งี้ไม่รีบก็ดีหรอก เหนื่อยแทบตาย” ฉันต่อว่าในสิ่งที่เธอเร่งรีบปลุกฉันเพื่อให้ตื่นทั้งๆที่ยังอยากนอนต่อ

“ไม่ต้องพูดเลย รีบแต่งตัวเข้าอย่าให้เราเสร็จก่อนนะ เดี๋ยวมีเรื่อง ฮิ ฮิ”

“ก็ได้เรานะเร็วอยู่แล้วไม่ต้องสั่งหรอก ไม่นาน ไม่นาน ฮ่า ฮ่า” พูดพร้อมกับเดินไปหยิบชุดที่เธอรีดให้เรียบร้อยอยู่ในตู้มาใส่

“เสร็จแล้ว เอวันนี้ฝนตกแต่เช้าเลยนะ สงสัยรถจะต้องติดหนักแน่ๆเลย” พึมพำกับตัวเองพร้อมกับมองดูท้องฟ้าที่มีแต่เมฆสีดำทะมึนเต็มท้องฟ้าไปหมด

“นั่นสินะ เร็วเถอะ เออแล้วตัวเอาเป้ไปไว้ไหนหละ เมื่อเช้าเราหาไม่เจอ”

“อ๋อ อยู่ในรถเราขี้เกียจหยิบมาเห็นว่าวันนี้ก็ต้องเอาไปอีกเราเลยทิ้งไว้ในนั้นแหละหนักจะตายขี้เกียจแบก”

“อืม ก็ดีนึกว่าลืมไว้บ้านสาวที่ไหน อย่าให้รู้นะเป็นเรื่อง” เธอทำสีหน้าท่าทางเอาเรื่องจริงจังกับสิ่งที่เธอพูด

“ไม่มีร๊อก ใครจะกล้า ดุยังกะเสือ” ฉันแอบพูดเสียในลำคอโดยไม่ให้เธอได้ยิน

“เนี่ย!!!! อย่านึกนะว่าไม่ได้ยิน” แล้วเธอก็วิ่งไล่ตามฉันที่แต่งตัวเสร็จแล้วและวิ่งหนีเธอออกมานอกบ้านเพื่อเธอจะได้ถวายพระผางสักหนึ่งตุบให้หอมปากหอมคอเป็นที่สะใจของเธอ

“อย่าลืมล็อกประตูบ้านหละ เดี๋ยวกลับบ้านมาไม่มีอะไรเหลือไม่รู้ด้วยนะเออ” เธอบอกพร้อมกับลอยหน้าลอยตาทำให้ฉันหมั่นใส้

“คะ แม่คุ๊ณ แม่ทูนหัว” แล้วฉันก็ล็อกประตูบ้านพร้อมกับเดินไปที่รถเพื่อที่จะเป็นสารถีขับไปส่งสาวน้อยไปเรียน

………………………

ทางไปมหาวิทยาลัยของเราเป็นทางผ่าน ฉันต้องผ่านมหาวิทยาลัยเธอก่อนทุกวัน ถึงจะไปมหาวิทยาลัยฉันได้ ดังนั้นมันจึงเหมือนเป็นหน้าที่ที่ทุกวันฉันต้องแวะส่งเธอและแวะรับกลับหากไม่มีธุระหรือทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยต่อ การนัดรับและส่งของเราก็จะนัดกันตั้งแต่เช้าว่าจะแวะรับกี่โมงรอที่ไหน ฉันและเธอจึงเปรียบเสมือนปาท่องโก๋ หากเห็นฉันที่ไหนก็ต้องเห็นเธอที่นั่น และหากวันไหนฉันไม่มีเรียนก็ต้องตื่นไปส่งเธอพร้อมกับหน้าตาที่ยังไม่ตื่นของฉัน และอาการง่วงเหงาหาวนอนของฉันอีกเช่นกัน

เมื่อขับรถถึงมหาวิทยาลัยของเธอฉันจึงพูดขึ้นว่า “แดง วันนี้เราไม่มารับนะ เรามีรับน้องที่คณะ เค้าให้เราเป็นคนสอนน้องร้องเพลงคณะ เห็นว่าต้องอยู่ถึงดึกหากตัวเองจะกลับก็กลับก่อนละกัน เราสอบเสร็จแล้วจะได้อยู่ต่อตอนเย็นเลยไม่ต้องมารับตัวเองงัย”

“ก็ได้ แล้วอย่าไปมองสาวๆ รุ่นน้องหละ เราหวงนะรู้ไว้ด้วย” พร้อมกับดึงเอาตัวฉันไปหอมแก้มหนึ่งที่ตามระเบียบ

“จ๊า ไม่มองก็ได้ อ้าว!!!! แล้วจะทำงัยเวลาสอนน้องร้องเพลงหละ ว้างี้ตาบอดดีไม๊เรา ฮิ ฮิ”

“ไม่ต้องเลยนะ เราไปหละแล้วเจอกันที่บ้านนะ บาย” และเธอก็เปิดประตูเพื่อที่จะลงรถเดินเข้ามหาวิทยาลัย

“บาย” ฉันบอก พร้อมกับโบกมือบ๊ายบายเธอและตั้งหน้าตั้งตาขับรถเพื่อที่จะไปสอบให้ทัน

………………………..

บรรยากาศในมหาวิทยาลัยวันนี้ดูช่างไม่น่ามาเสียเลย ตั้งแต่เช้า รถติดเพราะฝนตก และฝนยังคงตกทั้งวัน จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่หยุด อย่างที่พอทราบกันแล้วว่าในกรุงเทพ หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็จะทำให้รถติดกันยาวเป็นหางว่าว ไม่ใช่สิ ติดกันยาวเป็นหางพญานาคเลยก็ว่าได้ในความคิดของฉัน เพราะรถติดทุกไฟแดง ทุกแยกก็ว่าได้ ประจวบกับมหาวิทยาลัยของฉันก็อยู่มันซะใจกลางเมืองขนาดนี้แถมยังมีฝนน้ำท่วมขับรถไปแทบจะหงุดหงิดตลอดทาง ไม่รู้ผู้ว่า กทม.ทำอะไรอยู่นะเนี่ย หาทางระบายน้ำที่ตกมาทั้งคืนไม่ทันแล้วคนในกรุงเทพฯ จะไปทำงานกันทันยังงัยเนี่ยฮะ เฮ้อ!!! คิดแล้วกลุ้ม

เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย ก็รีบร้อนจอดรถแล้ววิ่งฝ่าสายฝนที่ยังตกหระหน่ำไม่มีท่าทางว่าจะหยุดเพื่อขึ้นตึกเรียนและได้ยินเสียงตะโกนทักว่า

“เฮ้ยตั๊ก เรานึกว่านายมาไม่ทันแล้วสิ เรานะรีบมารอตั้งแต่เช้ากลัวมาไม่ทันห่วงนายด้วยเห็นบ้านไกลเป็นงัยพร้อมไม๊” เอ๋เพื่อนของฉันทักขึ้นเมื่อเห็นฉันวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้รอดพ้นจากสายฝนที่ตกหนักนั้น

“พร้อมบ้าอะไรหละ อ่านไม่จบเลยเอ๋” ฉันพูดพร้อมกับปัดหยดน้ำที่เกาะตามเสื้อออก

“ไม่เป็นไรมั๊ง เร็วเถอะจะได้เวลาแล้ว”

“เออ เดี๋ยวเราเข้าห้องน้ำก่อนนะเดี๋ยวตามไป” แล้วฉันก็เดินเข้าห้องน้ำไปเลยโดยไม่รอให้เพื่อนอนุญาต

…………………..

ในห้องสอบ ด้วยความที่ฉันกลับบ้านดึกเมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้นอนน้อย และประจวบกับอ่านหนังสือไม่ทันและทำข้อสอบไม่ได้ฉันจึงนั่งหลับในห้องสอบ และก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะมีก้อนกระดาษปามาโดนศีรษะของฉัน

“เฮ้ย…..ใครวะ” ฉันสะดุ้งตื่นพร้อมส่งเสียงดัง

“นิสิต เบาๆ หน่อย เพื่อนกำลังใช้ความคิด” เสียงอาจารย์ดุมาให้ได้ยินแต่ท่านก็ยังคงก้มหน้านั่นอ่านตำราเล่มหนาในมือต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองพวกฉัน

ฉันหยิบกระดาษที่ปามานั่นออกคลี่ดู ในนั้นมีใจความว่า

“เราส่งให้นะอย่าหาว่าเราดูถูกเลยเรารู้ว่านายทำไม่ได้อย่าว่ากันนะ” แล้วฉันก็ยิ้มจนหน้าบานและขอบใจเอ๋ที่ส่งคำตอบมาให้ฉัน พร้อมลอกคำตอบลงในกระดาษคำตอบอย่าลุกลี้ลุกลน โดยที่อาจารย์จับไม่ได้

ในที่สุดการสอบอย่างเอาเป็นเอาตายก็สิ้นสุดลง

“เอ๋ ขอบใจนะ ถ้าไม่ได้นายเราแย่แน่” ฉันขอบใจเพื่อนรักในน้ำใจที่เธอมีให้และคิดว่าหากไม่ได้เธอฉันคงแย่ หลังจากที่สอบเสร็จและออกมายืนคุยกันหน้าห้องสอบ

“ไม่เป็นไรหรอก ครั้งเดียวเท่านั้นแหละนายไม่รู้อะไร หลังห้องนะลอกกันเป็นชุดเลย ทั้งแถบเราไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านคิดงัยถึงปล่อยให้ลอกกันขนาดนี้โดยไม่ทำโทษเลย ……แปลก” เอ๋ทำหน้าฉงนกับการที่อาจารย์ไม่สนใจการกระทำของพวกเราที่ทำกันในห้องสอบ

หากแต่มีใครหารู้ไม่ว่าความคิดของเอ๋ในครั้งนั้นมันผิดถนัด อาจารย์ทำให้เราต้องเรียนวิชา SURVEY ซ้ำโดยที่เราไม่รู้ตัวกันมาก่อนเลย จนกระทั่งจบเทอมนั้น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของฉัน

……………………………….




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2550    
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 16:13:15 น.
Counter : 328 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความหลัง ตอนที่ 10 ตอนจบ

ความหลงตอนที่ 10 ตอนจบ

ระหว่าทางที่ฉันนั่งรถไปกับต้อ ต้อขับรถเร็วมาก จนฉันติดว่าอันตรายจึงกล่าวเตือนไปบ้าง แต่ต้อก็ยังคงนิ่งเฉยขับรถต่อไปอย่างเร็วไม่ถึง 5 ชั่วโมง จากกรุงเทพถึงลำปาง ต้อก็พาฉันมาที่บ้าของพี่แมว ที่นั่นเหมือนกำลังจัดงานอะไรสักอย่าง ต้อพาฉันลงไปในบ้านมีการจัดงานศพ ฉันเดินเข้าไปแล้วมองที่รูป ฉันเห็นรูปพี่แมวของฉันถูกประดับด้วยดอกไม้วางอยู่บนขาตั้งข้างๆ โลงศพที่ประดับด้วยดอกลิลลี่สีขาวเช่นกัน นี่มันอะไรกันใครเล่นตลกอะไร

“เฮ้ย นี่อะไร กันค่ะทำไมทำแบบนี้หละไอ้ต้อ แกบอกฉันสิว่าทำไมเล่นอะไรโง่ๆ แบบนี้ พ่อค่ะ แม่ค่ะ บอกสิค่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่จริงใช่ไม่ ไม่จริง ไม่จริ๊ง………… ไม่เชื่อ……………. ใคร ใคร เล่นตลก แน่ๆ ไม่จริง ไม่จริง” ฉันร้องออกมาอย่างเสียสติ วิ่งไปที่โลงศพ กอดโลงไว้ พยายามที่จะเปิดโลงออกดู กวาดดอกไม้ที่ประดับอยู่บนโลงออก ต้อมาฉุดฉันไว้

“ไอ้หนุ่ย มีสติหน่อยสิ แก” ต้อฉุดและกระชากฉัน ตบหน้าฉันอย่างแรงเพื่อเรียกสติ

“ไม่ต้องไม่ใช่พี่แมว ต้องไม่ใช่ ไม่ใช่ใช้ไม๊ต้อ แกตอบฉันมาสิว่า ไม่ใช่ “ ฉันยิ่งสติแตกยิ่งกว่าเดิม น้ำตาหลังออกมาจนแทบจะ เป็นสายเลือด

“หนุ่ย แกตั้งสตินะ พี่แมวเค้าไปสบายแล้ว แกอย่าเป็นอะไรนะโว๊ย ไอ้หนุ่ยสตินะ สติ เรียกกลับคืนมาสิ แก”

พ่อกับแม่ของพี่แมวเดินเข้ามาหาฉัน ฉันโอบกอดแม่ของพี่แมวไว้ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ แม่ของพี่แมวก็เช่นเดียวกัน ร้องไห้ไม่ต่างจากฉัน

“หนุ่ย แม่ก็เสียใจไม่ได้ต่างอะไรกับหนุ่ยนะ แมวเค้าตัดสินชีวิตด้วยวิธีนี้ ทั้งๆ ที่ยังมีอีกหลายวิธีที่จะหลีกเลี่ยงได้ ก่อนตาย แมวเขียนจดหมายจ่าหน้าถึงหนุ่ย แม่ไปเห็นก็ตอนที่แมวตายไปแล้ว แม่เสียใจนะ แม่…. ถ้ารู้อย่างนี้ แม่ไม่เรียกแมวให้กลับมาตายหรอก …… ฮือ…….”

ฉันรับจดหมายฉบับนั้นมาอ่านด้วยมือที่สั่งเทา

“หนุ่ยที่รัก

เมื่อหนุ่ยได้อ่านจดหมายฉบับนี้ พี่คงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว พี่คงอยู่สู้หน้าหนุ่ยไม่ได้ พี่ไม่บริสุทธิ์พอสำหรับหนุ่ยอีกต่อไป พี่มีมลทินยังจำได้ไม๊ ว่าพี่เคยบอกหนุ่ยว่าอะไร พี่เคยบอกว่า พี่จะไม่จากหนุ่ยไปไหน ไม่มีอะไรพรากเราได้นอกจากความตาย พี่ได้ตัดสินใจแล้วที่จะจบชีวิตลงแบบนี้ หวังว่าการตายของพี่ คงไม่ทำให้หนุ่ยเสียใจมากหรอกนะ พี่คิดว่าพี่ทำถูกต้องแล้ว ช่างเถอะนะ อย่าคิดมากไอ้หนูของพี่ พี่รู้ว่าหนุ่ยคงเสียใจ พี่ตัดสินใจจากตาย ดีกว่าจากเป็นแล้วแสนทุกข์ทรมาน ถ้าพี่ยังมีชีวิตอยู่อาม่าก็คงต้องบังคับให้พี่ต้องแต่งงานกับคนที่พี่ไม่ได้รัก และกักขฬะที่สุดเท่าที่พี่เคยเห็นมา เค้าทำร้ายพี่ ขืนใจพี่ พี่อยู่ไม่ได้หรอกนะหนุ่ย พี่แปดเปื้อนไปด้วยมลทินอยู่ต่อไปเพื่อพี่นะ สุดที่รัก พี่จะมองดูหนุ่ยจากดวงดาวบนฟ้า เป็นกำลังใจให้หนุ่ยเสมอ
พี่รู้ว่า ต้อนะรักหนุ่ยมานานแล้ว ตั้งแต่ยังเด็ก พี่เคยถามต้อว่า ถ้าต้อมีแฟนต้อจะเลือกแบบไหน ต้อตอบพี่ว่างัยรู้ไม๊ค่ะ ตอบว่า แบบหนุ่ยคะ ต้อยังคงรักหนุ่ยเสมอมา ความรักของพี่ที่มีต่อหนุ่ย ซ้อนทับความรักของต้อไว้ และหนุ่ยไม่เคยมองเห็น แต่พี่รู้ถ้าหนุ่ยไม่รักต้อก็จงจำไว้เสมอว่ายังมีต้ออีกคนที่ยังรักหนุ่ยเหมือนที่พี่รัก อยู่ต่อไปนะค่ะที่รัก อย่างน้อยก็อยู่เพื่อพี่
ลาก่อนค่ะที่รัก ลาก่อน สัญญาว่าจะรักคุณตลอดไป
แมว”

ฉันอ่านจดหมายด้วยน้ำตานองหน้า นี่นะหรือคนที่ฉันรัก เธอจะรู้บ้างไหมว่า ถึงแม้ว่าเธอจะแปดเปื้อนเพียงใดก็ตาม ฉันก็ยังจะรักเธอไม่เปลี่ยนแปลง ฉันรับได้เสมอ เพราะความรักของฉันไม่ได้อยู่ที่เรือนร่าง ไม่ได้อยู่ที่ ความสวยงามแต่อยู่ที่จิตใจ สำหรับฉันการจากกันด้วยความตายเป็นสิ่งที่ทรมานมากนัก อย่าจากฉันไปเลย ฉันขอร้อง กลับมาสิค่ะ กลับมา มาอยู่ในอ้อมกอดของฉัน ฉันเฝ้าแต่พร่ำเพ้ออยู่ในใจ

………………………………………………..

งานศพผ่านไปด้วยดี ฉันไม่ได้ทานอะไรเลย มาหลายวันแล้ว ต้อช่วยดูแลฉันตลอดเวลา วันนี้เป็นวันเผาพี่แมว ฉันยืนอยู่หน้าเมรุ มองเปลวเพลิงที่เผาร่างพี่แมวไปทีละนิด จนเจ้าหน้าที่มาปิดปล่องเผาฉันก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ฉันเห็นอาม่าเสียใจนั่งร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด ฉันคิดในใจว่า ก็อาม่านั่นแหละที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าอามาไม่บังคับพี่แมว พี่แมวคงไม่ต้องลำบากใจถึงเพียงนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะเห็น อ่ามาเสียใจอยู่แล้ว และฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นอะไรที่จะฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาอีก เรื่องมันจบไปแล้วก็ให้มันจบไปจากนี้ ฉันและบ้านพี่แมวคงไม่ต้องมีความสัมพันธ์กันอีกต่อไป

“ลารักลาจากลาเลย ลาเอยดวงจิตเสน่หา
ลาแล้วลาจากกานดา ชาติหน้าคงได้พบพาน”

“ลาค่ะพี่แมว หนุ่ยจะมีพี่อยู่ในใจตลอดไป สัญญาค่ะยอดรัก เราจะไม่พรากจากกันแม้สักนาทีเดียว”

ฉันเดินออกมาด้วยจิตใจที่เหี่ยวเฉา ต้อประคองฉันเดินฉันจะกลับมาเอาเถ้ากระดูกของคนที่ฉันรักในวันพรุ่งนี้ ฉันจะเอากระดูกพี่แมวไปโปรยที่ทะเลที่เรารัก

วันรุ่งขึ้นต้อพาฉันมาเก็บกระดูก สัปเหร่อเอากระดูกพี่แมวมาวางเรียงให้พวกเราได้โรยน้ำอบ ฉันหยิบกระดูกชิ้นหนึ่งขึ้นมาจูบและฉันรู้ว่านั่นคือฟันซี่สวยของพี่แมว ฟันที่ฉันเห็นเวลายิ้ม และยิ้มที่มีความสุขหัวเราะที่ร่าเริง น้ำตาฉันร่วงพรูเหมือนคนขาดสติ ดวงตาฉันบวมเป่ง ตาแดงจนมองดูเหมือนสัตว์ประหลาด ต้อประคองฉันไว้ด้วยสองมือ

ฉันขออัฐิของพี่แมวมาบางส่วนใส่ไว้ในโหลกระเบื้อ ฉันตั้งใจจะเอาไปโปรยที่ทะเลหัวหิน ต้อเดินมาช่วยถือแต่ฉันไม่ยอมให้

“อืม ถ้าจะถือไว้ก็ถือดีดีแล้วกันนะอย่าทำตกหละ” ต้อพูดได้แค่นั้นพาฉันขึ้นรถและพากลับกรุงเทพฯ ในวันนั้น
ฉันไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดเส้นทาง

………………………………………

เมื่อฉันกลับมาถึงกรุงเทพ ต้อมาอยู่ด้วยที่บ้าน ฉันคิดว่าต้อเป็นเพื่อนคนนึงที่ดีที่สุดไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อน ต้อมาดูแลฉันอย่างดี มาเป็นคนทำโน่นทำนี่ให้ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ฉันเมาเหล้าทุกวัน หัวราน้ำ ก็ต้อนี่แหละที่เป็นคนเอาฉันออกมาจากกองขวดเหล้าเมาจนไม่เป็นอันทำงาน

“ไอ้หนุ่ย แกจะเป็นแบบนี้อีกนานไม๊ จะเสียใจอีกนานไม๊ ถ้าพี่แมวเห็นแกเป็นแบบนี้ พี่เค้าจะคิดยังงัย แกนะรักพี่เค้าไม่ใช่เหรอ ทำตัวดีๆ หน่อยสิ ทำตัวให้เป็นคนหน่อยสิ ไอ้เอ๊ย ดูสารรูปแกสิ จะเป็นโรงเหล้าเดินได้อยู่แล้วสักวันคงต้องโดนไล่ออกจากงานแน่ แกต้องเปลี่ยนตัวเองนะเพื่อพี่แมว เพื่อตัวแกรู้ไม๊ หนุ่ยคนที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนนี้ ไม่ใช่คนที่ กินเหล้าคนที่ไม่ทำอะไรเลย วันๆ อยู่แบบนี้มีประโยชน์ อะไรฮะ ถ้าแกยังเป็นแบบนี้อีกนะ ฉันไม่มาดูแกแล้ว ไอ้คนไม่กล้าสู้ความจริง ฉันไปหละเชิญแกอยู่กับความเศร้าของแกไปเถอะเป็นแบบนี้ฉันหรือใครก็ไม่สามารถช่วยแกได้แล้ว”

ต้อพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด ฉันไม่เคยเห็นต้อ โกรธแบบนี้มาก่อนนี่ฉันผิดหรอนี่ฉันเห็นน้ำตาของต้อ น้ำตาที่ไหลออกมานั้นทำให้ฉันคิดได้ว่า ฉันยังมีเพื่อนที่รักฉันฉันยังมีคนที่เข้าใจฉัน

“ต้อ เราขอโทษ เราจะ …เอ๊ก … พะ ยายาม ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก เราไม่สัญญาว่าจะทำตัวดีขึ้น แต่เราจะพยายามนะเพื่อน”

ต้อเดินมากอดฉันไว้ ใช่สิฉันโหยหาอ้มอกอดจากคนที่ฉันรัก ต้อหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋าและส่งให้ฉัน

“เราว่าจะเอาให้แกตั้งนานแล้ว แต่เห็นแกเมาไม่รู้เรื่อง วันนี้ดีหน่อยพูดรู้เรื่อง แม่พี่แมวฝากมาให้นะ เค้าบอกว่าพี่แมวใส่จนถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต และกำเอาไว้ในมือ แม่เค้าเห็นว่าพี่แมวคงรักแหวนวงนี้มาก ก็เลยฝากฉันให้เอามาให้แก”

ฉันมองแหวนในมือต้อ ทำไมฉันจะจำไม่ได้ เป็นแหวนวงที่ฉันสวมให้กับพี่แมวในวันนั้น และไม่เคยเห็นพี่แมวถอดออกอีกเลย แหวนที่เป็นเสมือนแหวนหมั้นของฉัน ฉันรับมาจากมือต้อ นี่คงเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ที่พี่แมวเหลือไว้ให้ฉัน แทนดวงใจ ของพี่แมวฉันรู้ว่า ฉันยังมีพี่แมวอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน พี่แมวจะอยู่กับฉันเสมอ

ต้อกลับไปแล้ว และไม่มาอยู่กับฉันที่บ้านอีก ฉันใช้ชีวิตประจำวันอย่างซังกะตาย ทำงาน แบบหามรุ่งหามค่ำจนลืมวันลืมเวลา แต่ฉันไม่ลืมที่จะเอาแหวนและฟันซี่สวยอขงพี่แมวไปเลี่ยมทำกรอบห้อยคอฉันตอลดเวลา ในกรอบมีแหวนอยู่รอบนอกและมีฟันซี่สวยอยู่ด้านใน เครื่องรางของฉัน เครื่องรางสำหรับใจฉัน เครื่องลางที่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันยังคงมีคนที่รักฉันและคนที่ฉํนรักอยู่ในใจฉันเสมอ

………………………………….

ผ่านไปแล้ว เกือบ 30 ปี ที่พี่แมวได้จากฉันไป ฉันกลับมาที่บ้านเกิดอีกครั้งกลับมายื่นที่เดิม ที่ๆ เคยยืน ไปที่โรงเรียนเก่า มองหาบรรยากาศที่เคยคุ้นตา แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ม้าหินที่เคยนั่ง ไม่มีแล้ว ตึกถูกสร้างเพิ่มขึ้น สวนหย่อมเปลี่ยนไป ไม่มีต้นไม้ต้นใหญ่ จริงสินะ 30 กว่าปี จะให้ทุกอย่างเหมือนเดิมได้อย่างไร ฉันเห็นเด็ก ยังคงวิ่งเล่นกัน เหมือนที่ฉันเคยเล่นตี่ เล่นเตยตามเส้น กระโดดยาง ฉันอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันต้องมีชีวิตต่อไป ครั้งนี้ฉันได้กลับมาบ้านเป็นครั้งแรก กลับมาเพื่อรักษาหัวใจ และกลับมาเพื่อเก็บความหลังเก่าๆ ฉันลาออกจากงานที่ทำเพราะอีกไม่กี่ปีก็จะต้องออกอยู่ดี ฉันเกษียณก่อนกำหนด เพื่อกลับมาบ้านเกิด กลับมาอยู่ในที่ๆ ฉันรัก กลับมาทำนา ทำสวนต่อจากพ่อกับแม่ท่านมีอายุมากขึ้น นี่กระมัง!!!!! สุดท้ายของการเดินทางแห่งชีวิต

ฉันเหนื่อยเกินกว่าที่จะเดินต่อไป จิตใจฉันอ่อนล้า ต้อแต่งงานไปเมื่อเกือบ 30 กว่าปีที่แล้ว มีลูกน่ารักมาก ฉันเป็นป้า ที่รักหลานๆ เช่นกันและหลานๆ ก็กำลังจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ฉันและต้อยังคงเป็นเพื่อนกันเสมอมา

ครอบครัวของพี่แมว คุณพ่อของพี่เค้าจากไปหลายปีแล้ว และแน่นอนอาม่าก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า เมื่อพี่แมวจากไปไม่นานนักอาม่าก็เสียตามไป แม่พี่แมวยังคงติดต่อกับฉันเช่นเดียวกับต้อ แต่เราก็ไม่ได้สนิทอะไรมากไปกว่าเดิม

ชายคนนั้นคนที่ทำพี่แมวเสียใจ ฉันได้ข่าวจากต้อเมื่อหลายปีก่อนว่า โดนยิงตายท่ามกลางงานเลี้ยงสักที่หนึ่ง และฉันก็ให้อภัยอโหสิกรรมให้เค้าทั้งหมด เรื่องมันผ่านมานานจนใครๆ ต่างก็ลืมไปหมดแล้ว

คืนนี้ฉันนั่งมองดาวดาวหยิบเครื่องรางประจำใจออกมาให้อยุ่นอกเสื้อ ฉันพูดกับที่รักของฉันว่า

“เรามาดูดาวกันนะค่ะ เดือนนี้หน้าหนาว ดาวที่นี่สวยกว่าที่ไหน ดาวที่บ้านเกิด ดูสิคะที่รัก แสงสว่างของดาวแสงที่ทำให้เราจินตนาการไปไหนต่อไหนได้เสมอ ที่รักรอฉันอยู่ใช่ไม๊ รอที่ไหนะ ดาวดวงไหน ลองบอกสิคะ ว่าดวงไหน กระพริบให้ดูหน่อยว่าดวงไหนที่ที่รักไปอยู่” ฉันเห็นทางช้างเผือกอยู่ตรงเหนือฟ้า ซึ่งตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเพียงกลุ่มเมฆ และฉันก็เข้าใจแล้วว่าที่รักของฉันรอฉันที่ทางช้างเผือก ฉันหยิบกีตาร์มาร้องเพลงที่ฉันคุ้นเคย สายทิพย์ เพลงที่ฉันและพี่แมวชอบ ฉันนั่งมองดูดาว คิดถึงคนที่ฉันรัก คิดถึงอ้อมกอดของเธอฉันกระชับเสื้อให้รัดกุมมากขึ้น จากนี้ไปอีกไม่นานรอฉันนะที่รัก ฉันจะไปพบเธอบนนั้นทางช้างเผือกของเรา ขอบคุณความหลังที่แสนสุขใจ ขอบคุณที่รักที่ยังอยู่ในใจฉันตลอดไป

ฉันรักคุณค่ะ ที่รัก

…………………………………………..


เริ่มเขียนเรื่องนี้ 28 พย. 45 เขียนจบ 28 มค. 46

แก้ไขใหม่ 2 ธค.50




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2550    
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 11:34:32 น.
Counter : 692 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความหลัง ตอนที่ 9

ความหลัง ตอนที่ 9

เมื่อเรารับประทานอาหาร เสร็จแล้วฉันพี่แมวและต้อก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อขับรถออกมา ฉันถามพี่แมวว่าเราไปเที่ยวทะเลกันไม๊ สรุปว่าพี่แมวอยากไปทะเลแต่ต้องกลับบ้านก่อน เพื่อที่จะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านเราจึงกลับบ้าน ไปเก็บข้าวของเพื่อมุ่งหน้าไปทะเล เวลานี้ ก็เกือบจะตี 3 แล้ว ฉันตัดสินใจขับรถไปหัวหิน เพราะที่นั่นเราจะได้เห็นดวงตะวันขึ้นในตอนเช้า

เมื่อไปถึงหัวหิน เวลาก็เกือบจะ 6 โมงเช้าเราไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น กันบนโขดหินฉันนั่งโอบพี่แมวไว้

“หนาวไม๊ค่ะ ที่รัก” ฉันถามเพราะเห็นพี่แมวนั่งกอดอกอยู่

“ไม่ค่ะ ไม่หนาวเลย พระอาทิตย์สวยนะค่ะ ดูสิดวงโตเชียว”

“ค่ะ ดวงโตสวยมาก”

“ค่ะสวยค่ะ เหมือนชีวิตคนเรางัยค่ะมีมืดก็มีสว่าง เป็นเรืองธรรมดามากเหลือเกินเริ่มต้นก็มีความสวยงามและจบด้วยความมืดมน แล้วความมืดก็อยู่ได้ไม่คงทน ในที่สุดความสว่างก็จะกลับมาเยือนเราอีกครั้ง” เสียงพี่แมวดูเศร้าๆ

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ ทำไมพูดฟังดูแล้วเศร้าจังเลย” ฉันเพูดไปเพราะเป็นห่วงคนที่ฉันรักก็เท่านั้น

“ไม่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร พี่ก็เป็นที่รักของหนุ่ยคนเดิมนั่นแหละ ยังคงเหมือนเดิน หากมีอะไรเกิดขึ้น พี่ก็ยังรักหนุ่ยเช่นเดิมจำไว้นะค่ะ”

ฉันโอบพี่แมวแน่นยิ่งขึ้นไม่รู้ว่าความรู้สึกโหยหาที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วและกำลังคงอยู่ในหัวใจของฉัน โหยหาคนที่ฉันรักแม้เธอจะยังคงอยู่ในอ้อมกอดของฉัน แต่เหมือนฉันกำลังจะสูญเสีย คนที่ฉันรักไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำไมก็ไม่รู้ความรู้สึกนี้เกาะจิตใจฉันแน่นเสียเหลือเกิน

“เราไปหาอะไรทานกันดีไม๊ค่ะพี่ เกือบ 8 โมง แล้วคะพี่หิวหรือยังค่ะ”

“ยังค่ะ ยังไม่หิวเลย ไปเดินเล่นกันไม๊ค่ะพี่อยากเดินเล่นนะคะไปด้วยกันนะค่ะ”

“คะพี่”

ฉันเดินจูงมือพี่แมวเดินเล่น ตามแนวชายหาดอย่างมีความสุข เราเดินไปคุยไป เห็นเด็กๆ วิ่งเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน มีทั้งมากันเป็นครอบครัว มาเดี่ยว มาเป็นหมู่คณะ เราตัดสินใจที่จะเลือกเช่าเก้าอี้นั่งชายหาดเพื่อนั่งพัก อย่างน้อยก็เพื่อพักสายตา ที่เรายังไม่ได้นอนกันเลยตั้งแต่เช้าของเมื่อวานจนถึงวันนี้ เรานั่งได้สักพักก็หลับ จนฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มองหาพี่แมว ที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ตอนนี้เก้าอี้ว่างเปล่า มองไปรอบๆ เห็นพี่แมวกำลังสั่งซื้อ ส้มตำอาหารโปรดอยู่ที่ร้านขายทางด้านหลัง

“หนุ่ย ตื่นแล้วเหรอค่ะ พี่สั่งส้มตำปูม้าให้ด้วยนะ ของชอบไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็มาส่งแล้ว”

“ค่ะพี่ หนุ่ยคงเหนื่อยมากเกินไปนะค่ะพี่”

“เดี๋ยวทางเสร็จแล้ว ไปหาที่พักกันนะค่ะ หนุ่ยจะได้นอนพักให้สบายกว่านี้นะค่ะ ที่รัก”

“ค่ะพี่ เดี๋ยว ทานเสร็จก็ไปกันเลยค่ะ พี่จะได้พักด้วยนะค่ะ เมื่อวานพี่ก็ตื่นเช้ามากแล้ว นี่ยังไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ต้องให้รางวัลหน่อยแล้ว” ฉันพูดพร้อมกับเอี้ยวตัวจะไปหอมแก้มพี่แมว

“อ๊าย เด็กบ้าอายเค้านะ คนเยอะแยะ” พี่แมวหลบ และตีที่แขนฉันเบาๆ 1 ที

“อะ บ้า ก็บ้ารัก พี่นะแหละ อิอิ”

“อืม นี่จะ เล่นไปถึงไปค่ะ ทานเถอะจะได้รีบไปหาที่พักกัน อ้อ พี่ว่าหนุ่ยลืมเอาแปรงสีฟันมาอีกใช่ไม๊ เดี๋ยวไปซื้อ ที่ร้านข้างหน้านั่นก็ได้นะพี่ว่าน่าจะมีขาย” ฉันรู้สึกดีเหลือเกินกับความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากคนที่ฉันรักคนนี้ แม้เพียงรายละเอียดปลีกย่อยเธอก็ยังคงดูแลฉันเสมอต้นเสมอปลาย

“ค่ะ ที่รัก ได้เลย หุหุ” ฉันสบตาเธอเพื่อจะบอกขอบคุณที่ใส่ใจฉันและจากนั้นเราสองคนก็ลงมือทานส้มตำของโปรดอย่างเอร็ดอร่อย

…………………………………………….

เราเลือกโรงแรมที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวไม่พลุกพล่านมากนักในการเข้าพัก และที่สำคัญราคาไม่แพงมาก เมื่อเข้าพักได้ฉันก็นอนหลับเป็นตาย ไม่ได้อาบน้ำไม่ได้สนใจพี่แมวเลยได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่า พี่แมวปลุกให้ไปอาบน้ำ แต่ฉันก็ตาหนักเกินกว่าจะลุกไปได้ เลยนอนจนถึงตอนเย็น เมื่อตื่นขึ้นมาฉันเห็นพี่แมวนอนหลับอยู่บนแขนของฉัน ฉันค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อจะไปอาบน้ำเพราะเริ่มรู้สึกเหนียวตัว

เมื่อฉันอาบน้ำเสร็จ พี่แมวยังคงหลับอยู่ในท่าเดิมฉัน แอบเข้าไปด้านหลังและแอบหมอแก้ม คนรักของฉันอืมไม่ใช้สิ คู่หมั้นของฉันสินะ งั้นนี่ก็คือการมาฮันนี่มูนของเราสองคนหรือนี่ หุหุ อะไรกันฉันทำให้คู่หมั้นนอนรอฉันหรือนี้ดูสิเวลานอนยังน่ารักปานนี้ ฉันอดใจไม่ไหวกอดพี่แมวและพรหมจูบไปทั้งใบหน้า นานเท่าไหร่แล้วนะที่เรา 2 คนไม่ได้นอนด้วยกันแบบนี้ ด้วยความที่ฉันเรียนหนักพี่แมวทำงานหนักต่างคนต่างนอนต่างคนต่างทำงานของตัวเอง อารมณ์ฉันคุกรุ่นอยู่ในใจ ก็จะทำไมซะอีกหละก็เพราะที่รักของฉันน่ารักปานนี้

“อะไรค่ะ” เสียงพี่แมวดังขึ้นอย่างงัวเงีย

“ก็กอดนะสิค่ะถามได้”

“ไม่เอาคะ พี่ยังไม่อยากเหนื่อย”

“ไม่ต้องสิค่ะ ไม่เหนื่อยหรอก นะๆๆๆๆๆ ให้เค้าชื่นใจนิดนะ ที่รัก” ฉันออดอ้อน

“ไม่คะ นอนเถอะนะค่ะ ไม่อยากเหนื่อยจริง ๆ นะ”

“คะที่รักโอเคไม่ก็ไม่ นอนเถอะคะแต่เค้าขอกอดนะค่ะจะได้หลับฝันดี”

“คะที่รัก นอนเถอะ เดี่ยวตื่นขึ้นมาจะได้ไม่งัวเงียอีกนะค่ะคนดี”

“จ้าาาาา นอนแล้ว” แล้วฉันก็ นอนกอดสุดที่รักเพียงเดี๋ยวเดียวก็หลับไปอีกอย่างสบายใจ

………………………………………

เราตื่นขึ้นมาในตอนพลบค่ำออกมาหาอะไรทานกันข้างนอกและเดินเล่นเรื่อยไปตามชายหาด ชีวิตนี้ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ฉันอยากหยุดเวลาไว้ แค่ที่มีเราเพียงสองคนเท่านั้น ไม่ใช่แค่เพียงฉันเท่านั้นที่อยากหยุดเวลาพี่แมวก็คงคิดเช่นกัน

“หนุ่ย จำได้ไม๊ค่ะ ตอนที่เราได้มาเที่ยว หัวหินกับทางโรงเรียนนะตอนนั้น หนุ่ยยังเด็กมากๆ เลยนะ พี่จำได้ว่า หนุ่ยดีใจมากที่ได้เล่นน้ำทะเล เรายังเดินไปเล่นน้ำกันที่โขดหินทางด้านโน้น แล้วหนุ่ยก็กระโดดน้ำเล่น จนพวกพี่ๆ เป็นห่วงว่าต้องโดนหินกระแทกหัวแตกนะจำได้ไม๊ค่ะ”

“แหมพี่ค่ะ ทำไมจะจำไม่ได้ ก็หนุ่ยนะหุหุ หัวกระแทกหินในน้ำจนหัวแตก แล้วต้อก็โดนแมงกะพรุนไฟ ทำไมจะจำไม่ได้หละค่ะพี่ ว่าแต่ว่าเค้าว่ากันว่าคนที่มักพูดถึงความหลังบ่อยๆ นี่คือคนที่สูงอายุแล้วนี่ค่ะ โอ๊ย……”

“นี่แหนะ ว่าว่าเค้าแก่เหรอใครกันค่ะที่มาร้องโอดอยบอกว่าพี่แมวช่วยหนุ่ยด้วยหนุ่ยจะตายแล้ว โอ๊ยเจ็บๆๆ ตลอดทางไดโรงพยาบาลนะฮึ!!!!! ” พี่แมวตีฉันเข้าที่ไหล อย่างแรงในฐานที่พูดแทงใจดำ

“อะรู้ตัวค่ะว่าผิดไปแล้ว อภัยให้เค้านะ เค้าจะไม่พูดอีกแล้ว” ฉันออดอ้อน

“ค่ะ อภัยค่ะ พี่ผิดด้วยเหรอที่เกิดก่อนนะอ้อถ้าเกิดก่อนมีความผิดก็ไม่ต้องมาพุดกันอีกเลยนะไม่ต้องมาคุยกันอีกเลย” เสียงช่างออดอ้อนซะเหลือเกิน ฉันไม่ปล่อยให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากพี่แมวอีก เพราะฉันใช้ปากของฉันปิดปากพี่แมวสนิท ช่างเป็นจูบที่แสนหวานซะนี่กระไร นี่แหละคนที่ฉันรัก นี่แหละคนที่ฉันหวงแหนเสียเหลือเกิน ไม่มีการขัดขืนจากพี่แมว ฉันโอบเอวพี่แมวให้ใกล้ชิดฉันมากขึ้น ลมทะเลที่พัดผ่านเราสองคนช่างเป็นใจเสียเหลือเกิน ความหวานองพี่แมวไม่มีอะไรหอมหวานเท่านี้อีกแล้ว เมื่อเราผละออกจากกันฉันยังคงโหยหา ความหวานจากริมฝีปากงานคู่นั้น เรายืนกอดกันท่ามกลางแสงจันทร์ที่ทาบแสงลงมายังผืนน้ำทะเล และผืนทราย ชี้ชวนกันให้ดูพระจันทร์ บนฟ้า ดาวน้อยดวงที่พยายามส่องแสงเทียบกับพระจันทร์ แต่ก็หาเทียบรัศมีความสว่างของพระจันทร์ได้ถึงแม้ว่าพระจันทร์ที่ฉันเห็นจะไม่ได้มีเต็มดวงก็ตาม

ฉันจับมือข้างซ้ายของพี่แมวข้างที่เมื่อคืนก่อนฉันบรรจงสวมแหวนให้ที่นิ้วนางอยางภาคภูมิใจขึ้นมาทาบที่อกของฉัน เราไม่มีคำพูดใด ๆ เอ่ยออกจากปากแม้สักคำเดียว ฉันรู้ว่าทำไมก็เพราะว่าเราเข้าใ ในกันและกันเข้าใจในความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งที่เรามีให้กันดวงตางามคู่นี้ ที่สะกดหัวใจของฉันมาตั้งแต่ฉันเริ่มรู้สึกมีความรัก และหลงรัก เจ้าของดวงตา ไม่ใช่เพราะความงามที่เห็นภายนอกเท่านั้น ยังมีความงามที่อยู่ในใจของหญิงสาวคนนี้ไม่ได้ให้เฉพาะกับฉันยังเผื่อแผ่ไปให้กับเพื่อนของฉันอีกด้วย พี่แมวเป็นเสมอนแม่ของฉัน ในเวลาที่อยู่โรงเรียนประจำ หาชุดให้ใส่ ปูผ้าปูที่นอนให้ สอนการบ้านกล่อมฉันนอนปลอบฉันเวลาที่คิดถึงบ้านทั้งต้ออีกคนที่เรา 3 คนมีความรู้สึกผูกพันธ์กัน

“พี่รู้ไม๊ค่ะ ว่าหนุ่ยรักพี่แค่ไหนรักหมดหัวใจที่มีค่ะ รักจนไม่รู้ว่าหากมีวันไหนที่เราต้องพรากจากกันแล้วหนุ่ยจะทำยังงัย สัญญากับหนุ่ยนะค่ะพี่ว่าพี่จะไม่จากหนุ่ยไปไหน”

“ให้สัญญานะได้ค่ะ พี่จะจากหนุ่ยไป ก็ต่อเมื่อพี่ไม่มีลมหายใจเท่านั้น จำไว้นะค่ะ ว่าพี่รักหนุ่ยคนเดียวจะไม่มีอะไรมาพรากพี่ไปจากหนุ่ยได้นอกจากความตายเท่านั้น”

ฉันเอื้อมมือไปปิดปากพี่แมวไม่ให้พูดอะไรอีก เพราะเท่ากับว่าเป็นกานแช่งตัวเอง

“อย่าพูดอีกเลยคะ พี่ หนุ่ยนะไม่ยอมให้พี่จากไปไหนหรอกค่ะจะอยู่กับพี่ตลอดไปคะ สัญญาจากใจนะค่ะพี่อย่าพูดแบบนี้อีกนะขอร้อง”

“คะไม่พูดอีกแล้ว ดูที่การกระทำก็แล้วกันนะค่ะที่รัก”

“คะพี่เราจะดูที่การกระทำ เราจะไม่พูดพร่ำเพรื่อนะค่ะ”

“คะได้เสมอสำหรับสุดที่รักของพี่”

……………………………………………………….

เมื่อเรากลับมาจากการไปหัวหิน ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่าหนัก เพื่อให้จบเร็วๆ และหวังที่จะทำงานเก็บเงิน เพื่อไปขอพี่แมวจากพ่อและแม่ เมื่อฉันเรียนจบ ฉันมุมานะทำงาน จนเพื่อนๆ ต่างโวยวายว่าฉันจะทำอะไรกันมากมาย ทั้งงานประจำ ทั้งงานจร ฉันไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ เมื่อผ่านมาได้ 2 ปี หลังจากนั้น พี่แมวโดนเรียกตัวกลับบ้านเป็นรอบที่ 3 ซึ่งฉันก็เห็นว่า คงไม่มีอะไรจึงให้พี่แมวกลับไปเยี่ยมทางบ้านบ้าง เพราะฉัน๕ว่า พี่แมวคิดถึง พ่อกับแม่มาก แต่ฉันไม่สามารถปลีกตัวไปกับพี่แมวได้

พี่แมวกลับไปบ้านได้ 2 อาทิตย์แล้ว โดยที่ไม่ได้ส่งข่าวมาถึงฉันเลยแม้แต่น้อย แล้วต้อก็โทรมาหาฉันด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนร้องไห้

“หนุ่ย นี้ฉันต้อนะ แกทำใจดีๆ นะโว๊ย มีเรื่องจะบอก “

“อะไรของแกวะ ฮะ มีอะไร”

“อืมแกอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปหาดีกว่า”

“อยู่ที่ทำงานนะ ทำไมเหรอมีอะไรวะ ไอ้ต้อแกเป็นอะไรของแกว่ะ”

“เออ รออยู่ที่นั่นแหละนะอย่าพึงออกมาหละอีกชั่วโมงคงถึง” แล้วต้อก็วางสายไป

จากนั้นไม่นาน ต้อมาถึงที่ทำงานฉันสีหน้าดูเหมือนคนร้องไห้มาอย่างหนัก

“เฮ้ย โดนใครหักอกมาวะหน้าตาเหมือนคนพึ่งโดนใครทิ้งมางั้นแหละ” ฉันทักต้อด้วยน้ำเสียงที่สดใส

“อึม หนุ่ย แกไม่ได้ติดต่อกับพี่แมวนานเท่าไหร่แล้ววะ”

“สัก 2 อาทิตย์ได้มั๊ง ถามทำไมเหรอ”

“แล้วแกรู้ไม๊ว่า พี่แมวอยู่ที่ไหน ทำไมลางานนานจัง”

“เออนั่นสิทำไมนานจัง เออไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยโทรตามตัวกลับมาก็ได้ คงไม่มีอะไรหรอก”

“แกไปลำปางกับฉันหน่อยสิ ได้ไม๊ ไปคืนนี้เลย”

“เฮ้ย บ้าน่าไอ้ต้อ มีอะไรวะ” ฉันชักเริ่มสงสัยในพฤติกรรมของต้อ

“ไม่มีอะไรไปเถอะหนุ่ย ไปเดี๋ยวนี้เลยไม่ต้องเก็บเสื้อผ้าหรอกเดี๋ยวไม่ทัน”

“อะ ไปก็ไปเดี๋ยวขอบอกหัวหน้าก่อนนะ ว่าจะลางานสัก 2 วัน”

“เออ ไปเลยไปลางานเลย 1 อาทิตย์”

“เฮ้ย 1 อาทิตย์ลาทำไมวะนานชะมัด”

“เออน่าบอกให้ลาก็ลาสิ”

“เออ 1 อาทิตย์ ก็ 1 อาทิตย์ ถ้าลาไม่ได้ไม่รู้ด้วยนะโว๊ย” แล้วฉันก็ไปจัดการทำใบลาส่งหัวหน้าเพื่อกลับไปลำปางพร้อมต้อ

………………………………………………




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2550    
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 11:33:32 น.
Counter : 293 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความหลัง ตอนที่ 8

ความหลัง ตอนที่ 8

เมื่อ ฉันและพี่แมวทำความเข้าใจกันแล้ว เราก็ไม่ยอมคุยเรื่องที่เคยหมางใจกันอีกเลย เพราะว่าเราคิดว่า ฝังกลบ ความทรงจำที่เลวร้ายของเราทิ้งไปดีกว่า เมื่อไม่รื้อฟื้นก็ไม่มีเรื่องที่ต้องคิดมากแต่เราไม่มีใครรู้เลยว่า คลื่นใต้น้ำนั้นรุนแรงกว่า คลื่นที่เราเห็นกันซะอีก

ฉันรอวันที่พี่แมวจะรับปริญญา เพราะเราสัญญากันว่าจะ ไปทำในสิ่งที่เราอยากทำและอยากไป เรา สองคน ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่าเปิดเผย เหมือนคู่รักที่ใช้ชีวิตร่วมกันโดยทั่วไป ไม่ปิดบังอีกต่อไปฉันรับจ้างสอนพิเศษเด็กเล็กๆ หลังจากเลิกเรียน พี่แมวได้ทำงานในบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่ง เรา สองคนไม่ได้รบกวนทางบ้านอีกเลยหลังจากที่เรา เลือกที่จะทำตามใจเราต้องการ ฉันเหลืออีกเทอมเดียวเท่านั้นก็จะเรียนจบ ฉันพยายามเรียนให้จบ 3 ปีครึ่ง เพื่อจะได้ออกมาหางานทำ ซึ่งฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับ ชีวิตคู่ของฉันกับพี่แมว

สำหรับชีวิตเด็กบ้านนอกอย่างฉันที่ต้องดิ้นรนทำงานนั้น ฉันถือว่ ไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก แต่สำหรับพี่แมวที่เป็นคุณหนูมาโดยตลอดไม่เคยลำบาก ฉันเข้าใจว่าพี่แมวคงอึดอัดใจที่จะบอกฉันพี่แมวยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไม่เคยบ่น ไม่เคยท้อ มีแต่คอยให้กำลังใจฉันเสมอมา พี่แมวเคยพูดว่า “คนเรานะหนุ่ย ชีวิตยังไม่สิ้นก็ดิ้นกันไปพี่เลือกแล้วเลือกที่จะเดินทางนี้ พี่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าเราสองคนเลือกทางไม่ผิด” นั่นเป็นคำที่พี่แมวพูดเสมอๆ เมื่อฉันรู้สึกท้อแท้กับ ชีวิต

แล้ววันรับปริญญาของพี่แมวก็มาถึงเราสองคนออกจากบ้านแต่เช้า เพราะว่ากลัวรถติด เมื่อไปถึงพี่แมวก็ต้อง ทำผม แต่งหน้า ที่ร้านเสริมสวยที่จองคิวไว้ข้างๆ มหาวิทยาลัยนั่นเอง ส่วนฉันก็นั่งรออยู่บริเวณหน้าร้าน สักพักหนึ่ง มีนักศึกษาเข้ามาในร้านอีกเสียงจ๊อกแจ๊คจอแจก็เริ่มทำลายความเงียบสงบของร้านเสริมสวยลงอย่างรวดเร็ว

ฉันรับอาสาเป็นตากล้องและเป็นเด็กรับใช้ตลอดงานรับปริญญานั้นด้วยความเต็มใจ พ่อและแม่ของพี่แมวมาในงานนี้ด้วย ท่านยังคงทักทายฉันเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อาม่าของพี่แมวสิแม้แต่ตายังไม่มองฉันเลย และฉันก็ได้เห็น เค้าคนนั้น หนามยอกอกของฉันมากับอาม่า คอยดูแลประหนึ่งว่าอาม่าเป็นเทวาดก็ไม่ปาน แทบไม่ต้องลุกเดิน นี่ท่าหากว่าเค้าคนนั้นอุ้มอาม่าได้คงอุ้มเดินรอบงานแล้วกระมัง ฉันรู้สึกหมั่นใส่อย่างบอกไม่ถูก พี่แมวเห็นสายตาของฉันแล้วเดินเข้ามาคุยด้วย

“หนุ่ย พี่ว่า เรานะใจเย็นๆ นิดนะเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้วอดทนอีกหน่อยนะที่รัก” พี่แมวกระสิบข้างหูฉัน ทำให้ฉันลด ความร้อนแรงในอารมณ์ ลงได้เล็กน้อย

“ค่ะพี่ หนุ่ยจะพยายาม ทำตามที่พี่บอก”

“ค่ะ อย่าอารมณ์เสียนะค่ะ เดี๋ยวไม่หล่อไม่รู้ด้วยน้าาา” แล้วสายตากลุ้มกริ่มของพี่แมวก็มองมาที่ฉัน

ฉันอยากจับพี่แมว มาจูบตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปมาส่งสายตาแบบนี้ หุหุ ไม่อยากเชื่อเล๊ยยยว่ากลางที่สาธารณะพี่แมวจะกล้ามายั่ ฉันถึงเพียงนี้แต่ ช่างเถอะฉันได้แต่พึมพำว่า

“ฝากไว้ก่อนเถอะที่รัก !!!!!! ”

“อะ ฝากไว้นะไม่มีดอกเบี้ยนะรีบมาเอาคืนหละเดี๋ยวที่ฝากไว้นะจะเน่าหมด อิอิ”

“ยังอีก นะที่รักรีบๆ เถอะ เค้าเรียกเข้าห้องประชุมแล้ว เดี๋ยวเจอกันนะค่ะหนุ่ยรออยู่ที่หน้า ตึกนะพี่ พวกคุณพ่อคุณแม่พี่คงกลับแล้วหละ เห็นอาม่า บ่นๆ นะว่าเหนื่อย แต่ไม่ได้ บ่นกะหนุ่ยหรอกนะบ่นกะพี่ อั๋นนะพี่ “

“ค่ะ พี่รู้แล้ว ไปก่อนนะค่ะที่รัก เดี๋ยวออกมาแล้วไปทานข้าวด้วยกันนะ” พูดจบพี่แมวก็เดินเข้าไปในแถว ของเหล่าบัณฑิตทั้งหลาย และหายกลืนเข้าไปในกลุ่มคลเหล่านั้น ส่วนฉันก็ถ่ายรูปเก็บรายละเอียดไปตลอดจนพี่แมวเดินเข้าหอประชุมและปลีกตัวออกมา รออยู่ที่หน้าตึก

…………………………………………………

“ไอ้หนุ่ย เฮ้ย…. ทางนี้” เสียงต้องรียกฉันโหวกแหวกโวยวายอยู่หน้าตึก

“พี่แมวเข้าหอประชุมแล้วเหรอ หนุ่ย”

“อืมเข้าไปแล้ว มีอะไรเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอก เราเอาของมาให้พี่เค้านะ มาแสดงความยินดีกะพี่เค้าหน่อยในฐานะแฟนเพื่อนเอ๊ยเพื่อนแฟนนะ เข้าใจไม๊” แล้วเจ้าต้อก็ลอยหน้าลอยตาอันยียวนกวนประสาทฉันอีกตามเคย

“เออ รู้แล้วโว๊ยเดี๋ยวปั๊ด จะมาเอาแฟนเพื่อนทำแฟนซะนี่ เออ…ต้อ เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันสิเผื่อ พี่เค้าไม่ไปกะอาม่านะ ราจะได้ไปกัน 3 คน งัยดีไม๊พี่เค้าจะได้ไม่เหงามากแล้วฉันมีอะไรจะเซอร์ไพรส์พี่เค้าด้วยนะให้แกเป็นพยานนะต้อได้ไม๊”

“อะไรของแกวะ เล่นอะไรพิเรนอีกรึเปล่านี่ไม่เอานะโว๊ย คราวนี้ไม่ได้โดนซิสเตอร์หรือครูจับแล้วนะโว๊ย ติดคุกนะ ตำรวจจะจับเอานะสิไอ้หนุ่ย” ต้อโวยวาย

“น่านะ เพื่อนเป็นพยานให้เราหน่อยจริงๆ นะเพื่อนเราจองห้องไว้แล้วรบกวนหน่อยนะ”

แล้วฉันก็บอกต้อทุกอย่างว่าฉันจะทำอะไร

…………………………………………………..

ฉันกับต้อรอพี่แมวอยู่จนกระทั่งเย็นจึงออกจากหอประชุมตามที่ฉันเดาไม่ผิดครอบครัวของพี่แมว ไม่ได้อยู่ตอนเย็นฉันและต้อจึงพาพี่แมวมาทานอาหารที่ร้านที่ฉันจองไว้ ฉันปิดตาพี่แมวแล้วพาเดินเข้าห้องนั้นอย่างใจเย็น

“ค่อยๆ เดินเข้ามานะค่ะที่รัก อะซ้ายคะ ตรงมาเลยคะอีกนิดนะคะ” แล้วพี่แมวก็เดินเซมาชนฉันอย่างจัง

“โอ๊ย นี่หนุ่ยจะเล่นอะไรกันนักหนาฮะ พอได้แล้วหละพี่ไม่เล่นแล้วนะ” พี่แมวเสียงเริ่มฉุน ก็จะไม่ให้ฉุนได้งัยฉันให้พี่แมว ปิดตามาตลอดทางที่เรามา โดยให้ต้อเป็นคนขับรถให้ แล้วฉันก็ไม่ให้พี่แมวเปิดตาจนถึงที่นี่น่าจะฉุนอยู่หรอก

“อะอีกนิดเดียวค่ะ ที่รักนะคะ เดินซ้ายคะ โอเค ต้อ ปิดไฟอะพี่เปิดตาได้ค่ะ” ฉันเอื้อมมือไปดึงผ้าปิดตาพี่แมวออกและก็พบกับ โต๊ะหารที่จัดว่าอย่างสวยหรูล้วนแล้วแต่อาหารโปรดของพี่แมวทั้งสิ้น

“เซอร์ไพรส์คะที่รัก” ฉันก้มลงจูบ ที่รักของฉันโดยไม่อายเจ้าต้อเลยแม้แต่น้อย

“ยินดีกับบัณฑิตใหม่ด้วยนะค่ะพี่ บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งแบบนี้ น่ายินดีคะพี่” ต้อพูดเอาใจพี่แมวจนฉันหมั่นไส้

“เฮ้ย ไอ้ต้อ ให้มันรู้บ้างว่าแฟนใครนะรู้ซะบ้างโว๊ยเนอะที่รักเนอะ”

“บ้าน่าหนุ่ยนี่ต้อนะเพื่อนหนุ่ยนะค่ะ คิดมากไปได้”

“ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ไอ้หนุ่ยเอ้ยแม้แต่แฟนแกยังไม่เข้าข้างเล๊ยยย ฮ่า ๆ ๆ ๆ “

“เออ เรื่องของข้ากะแฟนข้าแกมะเกี่ยวถอย ปายยยย “

“จำไว้นะโว๊ย แล้วอย่ามาขอร้องเราอีกก็แล้วกานนน หุหุ” แล้วเสียงหัวเราะสนุกสนานก็ ดังขึ้นทั่วห้องในบรรยากาศที่ มีแต่ความสุขนั้น

…………………………………………….

เมื่อพวกเราทางอาหารเรียบร้อยแล้ว ฉันนั่งลงคุกเข่าต่อหน้าพี่แมว จับมือพี่แมวมาไว้ในมือฉัน และหยิบ แหวนวงน้อย ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของฉัน

“ที่รักค่ะ แหวนวงนี้อาจไม่ได้มีราคามากมายในด้านวัตถุ แต่มันมีราคา มากสำหรับจิตใจ ของหนุ่ยนะค่ะ ที่รักจะรับหมั้นหนุ่ยได้ไม๊ค่ะ” ฉันจ้องไปในดวงตาของสุดที่รักของฉันอย่างค้นหาคำตอบและ ฉันเห็นน้ำตาแห่งความปิติ ของพี่แมวล้นออกมา

“ได้สิค่ะที่รักของแมวทำไมจะไม่ได้หละ แมวนะรักคุณนานมากแล้วนะนานจนคิดว่าไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว นอกจากคุณ รู้ไม๊” ฉันจับมือซ้ายของพี่แมวเอาไว้บรรจงสวมแหวนหมั้นให้กับพี่แมว และจูบบนนิ้วนั้น และพูดว่า

“เป็นของหนุ่ยคนเดียวนะค่ะที่รักหนุ่ยมัดจำไว้แล้วนะ อย่าเป็นของใครอีกหละรู้ไม๊” แล้วฉันก็โอบกอดเอวของที่รักอย่างรักใคร่

ฉันเห็นต้อมีน้ำตา ฉันรู้ว่าเพื่อนดีใจกับฉันด้วยที่ฉันได้มีวันนี้ และฉันเองก็ดีใจที่พี่แมวเป็นบัณฑิต และฉันก็รอวันนี้เพื่อที่จะได้หมั้นเธออันเป็นที่รักของฉัน โดยมีเพื่อนของฉันเป็นพยานในความรักครั้งนี้

………………………………………….




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2550    
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 11:32:06 น.
Counter : 327 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความหลัง ตอนที่ 7

ความหลัง ตอนที่ 7

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน หรือห้องอ่านหนังสือของฉัน อย่างเงียบๆ เพียงลำพัง พี่แมวเดินมาดูฉันบ้างเป็นระยะๆ แต่ฉันเศร้าใจเกินกว่าที่จะสนใจสุดที่รักของฉัน

ฉันตัดสินใจโทรศัพท์ถึงต้อ และบอกให้ต้อมารับฉันที่บ้านพี่แมว เพราะว่าบ้านของพี่แมวกับต้อนั้นไม่ไกลกันมาก

“ก๊อก ๆๆๆๆ” เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น

“ใครค่ะ ไม่ได้ล๊อคค่ะ เข้ามาเถอะ”ฉันตอบกลับไปด้วยเสียงอู้อี้ในลำคอ ด้วยน้ำตายังคงคลออยู่ในดวงตาของฉัน

“เราเอง ไอ้หนุ่ย เข้าไปนะ” เสียงต้อพูดอยู่หน้าห้องและเปิดประตูห้องเข้ามาเดินมาตบไหล่ฉัน

“ไม่เป็นไรนะหนุ่ย คุยกับพี่เค้ารึยังหละ แล้วพี่เค้ารู้ไม๊ว่าแกรู้ว่าเค้ามีอีกคนนะ” ต้อถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้หรอกเราไม่ได้บอก ตั้งแต่เรากลับมายังไม่ได้พูดกับพี่เค้าเลย” ฉันบอกกับต้อ อย่าหดหูใจในความรู้สึก เหมือนว่ามีอะไรหนัก ๆ อยู่ในอกฉันจนไม่สามารถที่จะเอาออกไปได้

“ทำไมไม่คุยวะ ฮะ แล้วอย่างนี้จะรู้เรื่องกันเหรอไอ้หนุ่ย แกอย่าลืมสิว่าแกนะรักพี่เค้ามากแค่ไหน ลืมวันคืนเก่าๆ ของแกแล้วเหรอ แค่เรื่องแค่นี้นะ ทำไมไม่เปิดใจคุยกันวะ พี่เค้าอาจไม่ได้มีอะไรในกอไผ่เลยก็ได้ เอาเถอะเพื่อน แล้วเราจะคุยให้ ถ้าแกไม่อยากคุยรอเรานะเดี๋ยวมา” พูดจบต้อก็เดินออกไปจากห้องปล่อยให้ฉันนั่งจมกองน้ำตาอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือนั่นคนเดียว

……………………………….

“พี่แมวคะเกิดอะไรขึ้นคะไอ้หนุ่ยถึงเป็นไปได้แบบนี้” ต้อเริ่มต้นตั้งคำถามพี่แมวอย่างรวดเร็วเมื่อเดินมาถึงห้องรับแขกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเสียด้วยซ้ำ

“ไม่รู้สิพอสอบเสร็จพี่ก็นั่งรอรับกลับ พอเห็นพี่ก็ไม่พูดไม่จาไม่ปริปากเลยตั้งแต่เจอกันตอนเย็นจนเดี๋ยวนี้ เอาแต่นั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จาพี่ก็ไม่รูว่าเป็นอะไร ตอนแรกนึกว่าทำข้อสอบไม่ได้แล้วคิดมากตอนนี้พี่ไม่แน่ใจแล้วว่าหนุ่ยเป็นอะไร พี่ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นหนุ่ยถึงได้เป็นแบบนี้” พี่แมวพูดด้วยความรู้สึกเป็นห่วงฉันเป็นอย่างมาก

“ต้อรู้พี่ ว่าไอ้หนุ่ยเป็นอะไร”

“ต้อรู้ก็บอกพี่สิต้อ เกิดอะไรขึ้นกับหนุ่ย”

“พี่น่าจะถามตัวเองก่อนว่า พี่กำลังทำอะไรพี่มีอะไรทำไมไม่บอกหนุ่ยมัน พี่รู้ไม๊ว่าหนุ่ยนะ มันอ่อนแอทางจิตใจแค่ไหน เห็นมันแบบนี้นะ มันนะ อ่อนยิ่งกว่าต้ออีกต้อรู้ใจมันนะไม่เข้มแข็งหรอก พี่รู้ใช่ไม๊” ต้อพูดใส่อารมณ์ อย่างมากจนทำให้พี่แมวหน้าเสีย

“หนุ่ยรู้อะไรมาเหรอต้อ หนุ่ยรู้มาจากไหน บอกพี่สิ ต้อ”

“ต้อไม่รู้หรอกว่ารู้มาจากไหน แต่หนุ่ยมันรู้ว่าพี่มีอีกคนและเป็นผู้ชาย ต้อพูดถูกไม๊ พี่เอาเวลาตอนไหนไปคบกับเค้านะ พี่ก็อยู่กับหนุ่ยตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ ทำไมหละพี่พี่ไม่รักหนุ่ยเหรอพี่ทำแบบนี้เพราะอะไรกัน”

“พี่รักหนุ่ยนะสิพี่ถึงไม่ได้บอกอะไรหนุ่ยเลย รู้ไม๊ต้อว่าพี่ต้องเก็บไว้คนเดียวนี่มันเจ็บปวดทรมานแค่ไหน พี่รักหนุ่ยมากเกินกว่าที่จะเห็นหนุ่ยเจ็บปวดนะ พี่โดนบังคับให้แต่งงานโดนบังคับให้คบกับเค้า ทั้งๆ ที่พี่ไม่อยากเลย พี่โดนหมั้นตั้งแต่ยังไม่รู้ความ เป็นการตกลงกันระหว่าง 2 ตระกูล ไม่ทำก็ไม่ได้เสียเกียรติมันมีอะไรอีกหลายอย่างที่พี่ตัดสินใจเองไม่ได้ พี่โดนบังคับให้ ไปอยู่ต่างประเทศ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเค้าและเค้าก็เป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจตัวเอง พี่ไม่ได้มีความสุขเลย ตลอดเวลาที่อยู่ที่โน่น พี่ไม่เคยบอกใครพ่อกับแม่ ก็ขัดใจอาม่า กับกับอาก๊งไม่ได้ ก็อย่างนี้แหละ แต่พี่รักหนุ่ยนะไม่อยากจากหนุ่ยไปไหน” พี่แมวพูดพร้อมกับมีน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

ฉันยื่นพิงประตูอย่างอ่อนใจร้องไห้อย่างไม่รู้ว่าทำไมในใจฉันนั้นรู้ว่าพี่แมวรักฉันมากแค่ไหน ฉันเดินอกมาจากห้องด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่ฉันมี เดินเข้าไปกอดคนที่ฉันรักและรักฉัน จูบปลอบประโลมให้เธอไม่ต้องมีน้ำตา พี่แมวกอดฉันตอบและไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากเรา 2 คน ฉันให้อภัยแล้วกับความผิดที่พี่แมวทำ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันเปลี่ยนใจไม่รักพี่แมวได้อีกแล้ว

ความรู้สึกของเรา 2 คน คงไม่ได้ต่างกันมากนักรักและให้อภัยกันตลอดเวลา นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องทำตอนนี้ มีคนเคยพูดว่าความรักต้องมี 3 ใจ คือ “เข้าใจซึ่งกันและกัน ไว้ใจซึ่งกันและกัน และเชื่อใจซึ่งกันและกัน” ซึ่งฉันขาดทั้ง 3 ข้อนี้ ความเข้าใจผิดจึงเกิดขึ้น ฉันไม่มีความไว้ใจพี่แมวขาดความเข้าใจในตัวพี่แมวฉันถึงได้ทุรนทุราย มากมายขนาดนี้ ฉันสัญญากับตัวเองว่า ฉันจะไม่เป็นแบบนี้อีกต่อไปฉันจะเปิดใจพูดกับพี่แมวในทุกเรื่องไม่มีเรื่องปิดบังกันอีกต่อไป

ต้อกลับบ้านไปแล้วด้วยสีหน้าที่แจ่มใสกว่าตอนขามา และทิ้งท้ายไว้ว่า อย่าเป็นแบบนี้อีกนะขี้เกียจยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ฉันรู้ว่าต้อก็พูดไปอย่างนั้นแหละพอฉันเกิดเรื่องจริงๆ มันก็ต้องมาหาฉันอยู่ดีเพราะเราเป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ จะว่าไประหว่างพี่แมวกับต้อฉันรู้สึกผูกพัน กับทั้ง 2 คนเท่าๆ กัน เพียงแต่ คนนึ่งเป็นคนที่ฉันรักในฐานะคนรัก อีกคนเป็นคนที่ฉันรักในฐานะเพื่อน ก็เท่านั้น
......................................




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2550    
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 11:31:17 น.
Counter : 293 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.