It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความหลัง ตอนที่ 1

ความหลัง ตอนที่ 1

ทุ่งหญ้าที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ได้เห็นนานแล้วสินะ กองฟาง กลิ่นไอดิน ช่างหอมอะไรเช่นนี้ บ้านเราสินะ นี่คือบ้านที่จากไปนาน นานจนเกือบลืมไปแล้วว่า ฉันยังมีบ้าน บ้านที่เคยอบอุ่น ที่เคยมีรัก ที่เคยมีทุกข์ กี่ปีแล้วนะที่ฉันได้ไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงที่แสนจะวุ่นวาย เป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นคนที่เหมือนไม่ใช่คน เป็นเครื่องจักร ที่ต้องทำงานตามตาม คำสั่ง นี่แหละนะ เรียนมาสูงแต่เอาตัวเองไม่รอด ในที่สุด ต้องกลับมาบ้านเกิด เพื่อชาร์ตแบตให้กับตัวเอง

ฉันตัดสินใจลาออกจากงานที่แสนจะยุ่ง และ แสนจะเหนื่อย ขอกลับมาพักกาย พักใจ ที่เหนื่อย ที่บ้านแห่งนี้ แม้ว่าบ้านจะเปลี่ยนไปมากก็ตาม แต่ทุกอย่างในความทรงจำ ฉันยังเหมือนเดิม ฉันมองเห็นตัวเอง กำลังวิ่งเล่น อยู่ในทุ่งนา มีกลุ่มเด็กๆ วิ่งไล่ตามกัน เป็นพรวน ในมือถือสิ่งของคนละ 2 – 3 อย่าง เสียงวิ่งเล่นนั้น มีแต่ความสนุกสนาน เป็นอย่างนี้ทุกวัน เวลานั้น ไม่มีความทุกข์ ไม่มีเหนื่อย นั่นสินะ เด็กก็เป็นแบบนี้แหละ

จนฉันโตขึ้น ฉันต้องเข้าไปเรียนในเมือง ต้องอยู่โรงเรียนประจำ เพราะบ้านของฉันอยู่ห่างจากโรงเรียนมาก เกือบ 60 กิโล อยู่ต่างอำเภอ นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ฉันเฝ้ารอวันศุกร์ ที่จะได้กลับบ้าน รอที่จะได้เล่น และวิ่งในทุ่ง รอที่จะได้ปีนต้นไม้ ถึงแม้ว่าข้างบนต้นไม้นั้นจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม ฉันก็อยากจะปีน ไปอยู่ข้างบน เพื่อที่จะได้สูงกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่าง ก็เท่านั้น ทำไมก็ไม่รู้ ฉันอยาก เห็นวิว ที่สูง มองเห็นไกลๆ มองไปแล้วสบายตา ทั้งๆที่มองจากข้างล่าง หรือบนต้นไม้ก็เหมือนกัน เพราะก็เป็นทุ่ง เหมือนกัน

จนบัดนี้ ฉันก็ยังอยาก ปีน แต่ด้วยความที่โตขึ้นมาก ฉันปีนไม่ขึ้น ฉัน ไม่สามารถปีนได้ เหมือนความฝันของฉัน ที่ไม่สามารถ ปีนได้ และปีนไม่ถึง

เรื่องราวของฉันมันอาจไม่โลดโผนนัก มันอาจไม่น่าสนใจ แต่ฉัน ก็ยังอยากเล่า ถ่ายทอดเรื่องราวของฉันให้ใครสักคนฟัง คนที่ฉันรัก ตนที่ฉันไว้ใจได้ เธอคนนั้น จะเป็นใครก็ได้ที่ฉันมีความรู้สึกที่ดีชีวิตของฉันอาจไม่ได้เป็นอย่างคนทั่วไป ฉันรู้ตัวว่าฉันรักผู้หญิงด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ก็เข้าใจว่าฉันรัก พี่คนนึง รักมาก ถึงขนาดที่ว่า ยอมทำทุกอย่างเพื่อเค้า พี่เค้าไม่ได้สวย แต่เป็นคนที่มีความอบอุ่น ฉันไม่ได้ขาดความอบอุ่น แต่ฉันขาด ความรักมากกว่า

ฉันรักพี่สาวคนนั้น โดยไม่มีข้อแม้ ทุกวันหลังจากที่ต้องทำการบ้าน อาบน้ำ เรียบร้อยแล้ว ฉันจะไปนั่งอยู่ข้างๆพี่สาวคนนั้น เพื่อให้ได้ใกล้ชิด ฉันอยู่เพียง ป.6 พี่สาวคนนั้น อยู่ ม.3 เค้าใกล้ที่จะ จบจากโรงเรียนนี้แล้ว เรื่องที่เราสองคนคุยกัน ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรที่พิเศษ ไม่มีอะไรที่ทำให้พี่เค้ารู้ว่าฉันหลงรักเค้า มีเพียงกรากระทำของฉัน ที่เข้าไปนัวเนีย พี่เค้าตลอดเวลา ทั้งเกาะแขน แกะเอว นอนหนุนตัก ก็เท่านั้น

“หนุ่ย พี่อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมถึงได้มาอยู่กับพี่ทุกวัน” พี่แมวถามฉันในวันหนึ่ง

“ไม่รู้สิพี่ หนุ่ยคงคิดถึงบ้านมังค่ะ” ฉันตอบออกไปทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำตอบที่เป็นจริง

“เหรอ คิดถึงบ้านหรือคิดถึงอะไร เห็นพี่เป็นบ้านหรืองัยน้อง ตัวพี่โตขนาดนั้นเลยเหรอไอ้หนู”

“เปล่าพี่ ใครว่า พี่แมวสวยจะตาย ออกจะหุ่นดี จะเป็นบ้านได้งัย ฮิฮิ”

“อืมพี่นึกว่าเห็นพี่เป็นบ้าน แล้วน่ามาอ้อนเอาอะไรหละ เรานะ เดี๋ยว ซิสเตอร์ เรียกพี่ ให้ไปพบนะ เราไปกับพี่หรือเปล่า”

“ไม่ได้เอาอะไรค่ะพี่ มานั่งคุยด้วยก็เท่านั้น แล้วซิสเตอร์เรียกพี่ไปทำอะไรหละ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำอะไร แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”พี่แมวพูดออกมาด้วยสายตาที่กังวล

“เหรอพี่ พี่ไปทำอะไรมาหละ ถึงได้โดนเรียกนะ วันก่อนหนุ่ยก็โนเหมือนกัน แอบหนีออกไปนอกโรงเรียน เลยโดนดุ ค่ะ “

“ฮ่า ๆๆๆ พี่ไม่ได้ออกนอกโรงเรียนหรอก ไม่ต้องกังวล”
“ไปสิพี่ หนุ่ยไปเป็นเพื่อน”

……………….

ฉันและพี่สาวคนสวยเดินมายืนอยู่หน้าห้องซิสเตอร์ประจำตึกนอน พี่สาวเดินเข้าไปในห้อง และคุยอะไรไม่ทราบนานมาก ส่วนฉันยืนรออยู่หน้าห้องนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จน เกือบ 2 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่ เด็กหอทุกคนต้องเข้าแถวนับจำนวน เพื่อเข้าหอนอน แต่ฉันก็ยังไม่ได้เดินไปที่หอของฉันยังคงยืนรอพี่สาวอยู่ตรงนั้น ตบยุงที่ไม่รู้มาจากไหนมากมาย ตายไปหลายตัว แขนและขาของฉัน เป็นผื่นแดงๆ เพราะรอยยุงกัด เต็มไปหมด แล้วสักพัก พี่สาวคนสวยก็เดินออกมา

“อ้าวหนุ่ย ทำไมยังไม่กลับหอนอนหละมายืนทำอะไรที่นี่” พี่แมวถามเสียงตกใจที่ยังเห็นฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“ก็รอพี่นะสิ เข้าไปนาจัง ดูสิยุงกัด เต็มเลยค่ะ” ฉันยืนแขนให้พี่แมวดู ร่องรอยของยุงที่กัดฉัน

“โห หนุ่ย เต็มเลยจริงๆ ไปปะ กลับหอนอน เดี๋ยวพี่ทายาให้” พี่แมวจับมือฉันและเดินจูงไปยังหอนอน

ฉันรู้สึกดีและอบอุ่นกับการจับมือของพี่แมว เหมือนมีอะไรเป็นกระแสไป วิ่งจากมือพี่แมวมาที่มือฉัน เพียงแค่นี้ฉันก็มีความสุขมากแล้ว

……………….
ฉัน อยากรู้ว่าพี่แมวโดนเรียกเข้าไปทำไม แต่ฉันก็ไม่สามารถถามได้เพราะรู้ว่า ถ้าพี่แมวอยากบอกก็จะบอกกับฉันเอง เราเดินกลับมาที่หอนอน พี่แมวส่งฉัน และบอกว่า

“ไปอาบน้ำก่อนนะหนุ่ย อาบเสร็จแล้ว มาหาพี่ที่เตียงด้วยจะทายาหม่องให้”

“ค่ะพี่” ฉันตอบพร้อมยิ้มกว้าง มากมาย

ฉันรีบอาบน้ำ และรีบวิ่งไปที่เตียงของพี่แมวอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย ทำไมเร็วจัง พี่ให้ไปอาบน้ำนะ ไม่ได้ให้วิ่งผ่านน้ำ นี่อะไร อาบน้ำแล้ว ตัวยังมีเหงื่ออยู่เลย หรือว่า หนุ่ยไม่ได้เช็ดตัว ฮะ บอกมาสิ ดูสิชุดเปียกหมดเลยน้อง เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” พี่แมวบ่นตามเคย ยังคงเห็นฉันเป็นเด็กอยู่ร่ำไป

“อาบแล้วพี่ ใครจะวิ่งผ่านน้ำได้อะ ก็แหม เดี๋ยวเค้าก็ปิดไปแล้วอะ พี่ ต้องรีบหน่อยเดี๋ยวไม่ได้ทายาหม่อง”

“เฮ้อ เมื่อไหร่จะโตกับเค้าซะที่นะหนุ่ย ถ้าพี่ไม่อยู่แล้ว อย่าทำตัวแบบนี้อีกนะค่ะ ไม่มีคนดูแลแล้วนะน้อง”

คำพูดของพี่แมวทำให้ฉันหุบยิ้มอย่างกระทันหัน

“พี่แมว พี่จะไปไหนค่ะ แล้วทำไมต้องไป”

“พี่ต้องย้ายตามพ่อกับแม่ไปอยู่อเมริกาค่ะ เรียนจบเทอมนี้พี่ต้องไปแล้ว” พี่แมวตอบฉัน สายตาเราสองคนยังจ้องกันอยู่อย่างนั้น

ฉันน้ำตาซึมออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ฉันกอดพี่แมวอย่างไม่เกรงใจใคร ไม่กลัวว่าใครในหอนอน จะเห็น ฉันร้องไห้ออกมามากมายอย่างที่ไม่เคยร้อง

“โอ๋ ไม่ร้องนะคนดี พี่ยังอยู่อีกเดือนกว่าๆ นะน้อง ไอ้หนูคนดีของพี่ ถึงพี่ไปเราก็ยังติดต่อกันได้นี่นานะ อย่าร้องนะ คนดี” พี่ แมวปลอบฉัน ทั้งๆมี่ในใจของพี่แมวก็เสียใจไม่ต่างกับฉันแม้แต่น้อย

“มามะ พี่ทายาหม่องให้ ไม่ร้องแล้วนะคนดีของพี่”

ฉันยื่นแขนที่เต็มไปด้วยรอยยุงกัดให้พี่แมวทา แปลกนะที่ฉันไม่ได้รู้สึกกับความร้อนของยาหม่องเลยแม้แต่น้อยใจฉัน ร่ายกายฉันมันชาไปหมด นี่ฉันต้องหางจากคนที่ฉันรักหรือนี่ ทำไมนะ พระเจ้า ต้องลงโทษฉันด้วย แค่ฉันเป็นผู้หญิงที่รักผู้หญิงด้วยกันฉันก็ผิดมากแล้ว นี่ยังลงโทษฉันด้วยการพราก คนที่ฉันรักไปไกลแสนไกลอีกหรือ และคืนนั้น ฉันขอนอนเตียงเดียวกับพี่แมว และขอนอนกอดคนที่ฉันรัก นอนทั้งคืน ซึ่งพี่แมวก็ไม่ได้บ่นว่าอะไรฉัน แม้แต่คำเดียว

…………………………..




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2550    
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 11:25:01 น.
Counter : 289 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : เพื่อนกันตลอดไป



เพื่อนกันตลอดไป

บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สดใส คณะของพวกเราเดินทางมาถึงชายป่าแห่งหนึ่ง นิสิตทุกคนต้องลงจากรถเพื่อเดินเท้าเข้าไปยังป่าที่แสนรกนั่นเป็นทางที่ต้องเดินเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย น้ำตกที่มีใครๆ บอกว่าสวยที่สุดในแถบนี้ ทีลอซูใครก็ไม่ทราบเคยแปลความให้ฉันฟังว่า ทีลอแปลว่าน้ำตก ซูแปลว่าใหญ่ นั่นคือเสียงเรียกเล่าขานนามของน้ำตกแห่งนั้นซึ่งพวกเราก็ไม่รู้ว่าแปลถูกกันรึเปล่า แต่ฉันก็เชื่อเขาและก็จำว่าที่ลอซูคือน้ำตกใหญ่มาโดยตลอด

“เอ้าพวกเธอลงรถได้แล้วสัมภาระ ของพวกเธอก็แบกติดตัวกันไปนะ เราต้องเดินเท้ากันอีกประมาณ 1 วัน เพื่อให้ไปถึงน้ำตก”

“โห...... จาน เดินไกลขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เสียงแอนเพื่อนในกลุ่มตะโกนถามมาจากด้านหลัง

“ใช่สิ เดินเพราะรถเราเข้าไปไม่ได้ เดินเท่านั้น ส่วนอาหารเดี๋ยวพวกลูกหาบจะช่วยกันขนไปให้พวกเธอเอง เร็วๆเข้าถ้าฝนตกจะเดินทางลำบากนะ” แล้วอาจารย์ก็ไล่พวกเราลงจากรถกะบะที่พาเรามาถึงชายป่าเพื่อให้เดินเข้าป่ากันอย่างเร่งรีบ

พวกเราเรียนในคณะที่ใครๆ ก็คิดว่า จบออกมาก็ไม่มีงานทำ เป็นวิชาที่ว่าด้วยการเรียนเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ พวกเราต้องออก TRIP เพื่อเก็บประสบการณ์กันในทุกเทอม และหลังจากออกแล้วเราก็ต้องกลับมาเขียนรายงานเกี่ยวกับวิชาที่ออกนั้นๆ ซึ่งตอนไปเราจะสนุกสนานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย แต่พอกลับก็ต้องมานั่นเทียนเขียนรายงานกันเป็นว่าเล่น

……………………..

ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน พวกเราต่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปน้ำตก ที่มีคนบอกว่าพึ่งพบและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในระยะเวลาไม่น่าเกินสี่ปี เราอยากออกมาเที่ยวเพื่อรับรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราต้องทำงานแล้วนั้นเราจะไม่มีโอกาสที่จะมาเที่ยวกันแบบนี้อีก

ในคณะของเราหมายถึงเอกของเรามีกันอยู่ 20 คน พอดิบพอดี เป็นหญิง 14 คน ชาย 6 คน ไม่ใช่ว่าจะมีจำนวนเท่านี้นะในตอนเรียนปีหนึ่ง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อเข้ามาแล้วไม่พอใจในคณะหรือสาขาวิชาที่เรียนก็ต้อง ENTRANCE ใหม่ ก็เหลือกันเท่าที่เรามีอยู่นั่นแหละ

พวกเราเข้าป่าในฤดูฝนเป็นช่วงกลางของเทอมแรกในปี 2 ประมาณเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีใครเข้าป่ากันเพราะน้ำฝนจะทำให้การเดินทางในป่าลำบากมากขึ้น ดินที่เคยแน่นก็จะเละ เดินติดรองเท้าจากเท้าที่เล็กๆ ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นตามลำดับและในที่สุดก็จะยกเท้าไม่ขึ้น แถมลื่นอีกต่างหาก

ทางเดินไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่ใครๆ คิด ต้องเดินผ่านเนินเขาหลายๆ ลูก เราสอบถามจากลูกหาบ ก็ได้ความว่าที่เราจะไปนั้นถ้าวัดเป็นระยะทางจนถึงจุดที่จะตั้งแคมป์ แห่งแรกก็ราวๆ 10 กิโลเมตร นั่นทำให้เราถึงกับท้อไม่อยากเดินกันอีกเลย แถมลูกหาบยังบอกว่า นี่เป็นทางที่ใกล้ที่สุดแล้วหากไปอีกทางจะไกลกว่านี้มาก แต่ในทางเดินไม่มีทากให้เป็นอุปสรรค์ในการเดินเราจึงโล่งใจกันเป็นอย่างมาก

“อีกไกลไม๊เนี่ย” ฉันบ่นออกมาเพราะรองเท้าผ้าใบที่ใส่มาเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วยขี้โคลนที่พอกพูนเต็มรองเท้าคู่โปรดของฉัน และนึกในใจว่า ดินพอกหางหมูก็คงแบบนี้นี่เอง

“เห็นพี่เค้าว่าอีกนิดเดียวเราก็จะถึงทางข้ามแม่น้ำแล้ว” อุ๊บอกฉัน ด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบไม่แต่ต่างกัน

“ใครวะ หาเรื่องมาดันอยากมากันไอ้พวกนี้ถ้ากลับไปได้เมื่อไหร่นะคอยดูชั้นจะเอาเรื่องให้หลาบจำกันจนวันตายทีเดียว” ฉันขู่อาฆาตเพื่อนๆ ที่เสนอที่จะมาออก TRIP นี้

“ก็ทุกคนแหละน่าไม่ต้องบ่น ก่อนจะมาก็อยากๆ พอมาแล้วก็มาบ่นๆ พวกแกนี่นะ.. อย่างนี้ทุกทีก็บอกแล้วว่าให้คิดให้ดีๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ” อุ๊ยังคงบ่นพวกเราอยู่ดี

“ช่าย... เราเห็นด้วย” จิ้งหรีด เพื่อนตัวเล็กที่สุดของฉันก็ร่วมกันเข้างอุ๊อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอก็ทำได้แค่เข้าข้างเท่านั้นเพราะเธอคงช่วยเหลืออะไรอุ๊ไม่ได้มากนักด้วยความที่เธอ ตัวเล็กเหลือเกินสูง 145 เซ็นติเมตรหนักเพียง 35 กิโลกรัม ส่วนฉันตัวโตกว่าเธอมากแค่ความสูงก็ชนะขาดแล้วเธอจึงไม่กล้าที่จะเป็นอริกับฉันโดยตรง

“จานเดินไปไกลแล้วหละ พวกแก รีบเดินหน่อยสิ” ฉันบอกกลุ่มของเราที่เดินรั้งท้ายให้เดินเร็วๆกว่านี้หน่อย

“ไม่หลงหรอกน่าแกก็กลัวไปได้รอยเท้าจานหย่าย...เป็นทางออกอย่างนั้น เดินตามรอยเท้าจานไปก็ถึงเองแหละ”

“นั่นนะดิ ไม่หลงหรอก แต่ถ้าเป็นไรไปใครจะมาดูพวกเราวะ รีบเดินเถอะ” เปียเพื่อนอีกคนออกความเห็น

พวกเราเดินกันไปจนถึงทางข้ามแม่น้ำ ซึ่งต้องลงแพที่พวกลูกหาบนำทางมาทำไว้คอยท่าเราอยู่แล้ว การข้ามแม่น้ำนั้นต้องเลือกทางที่มีกระแสน้ำไม่แรงมาก และแม่น้ำไม่กว้างมากถึงจะดี เพราะไม่อันตรายกับคณะที่เดินทางมาด้วย

พวกกลุ่มแรกที่ไปถึงได้ข้ามแม่น้ำกันไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนกลุ่มฉันรั้งท้ายจึงต้องไปเป็นกลุ่มสุดท้ายพร้อมๆ กับเสบียงและ สัมภารกเอ๊ย!! สัมภาระที่พวกเราขนมาเช่น เต็นท์ อาหาร กระเป๋า ไม่ใช่สิเป้ กล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ ฯลฯ การข้ามก็อย่างที่บอกต้องลงแพ แล้วก็ชักลากด้วยตัวเองเพราะผู้ที่นำทางจะทำเชือกขึงให้พวกเราดึงข้ามไปอีกฟากของแม่น้ำ ฉันให้เพื่อนๆลงไปก่อน แล้วจึงตามลงไป เพราะฉันอยากล้างเศษดินที่ติดรองเท้าออกสักหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้รองเท้าที่โตของฉันเล็กลงเท่าเดิม

กลุ่มของเพื่อนๆ ข้ามไปได้อย่างปลอดภัย ฉันกำลังจะข้ามและกระโดดลงแพ ฉันคิดรั้งท้ายเพราะมันคงทำให้ฉันหายเหนื่อยได้มากกว่าที่เป็นในขณะนี้ แล้วแพของฉันก็ข้ามมาถึงกลางแม่น้ำ ลืมบอกไปว่าแม่น้ำนั้นอยู่หางกันประมาณ 20 เมตรเห็นจะได้ กว่าจะข้ามมาถึงอีกฟากก็ใช้เวลาอย่างน้อย 10 – 15 นาที แต่มันช่างเป็นความโชคดีอะไรของฉันปานนั้น แพที่ผูกกันไว้อย่างแน่นหนาในตอนแรกบัดนี้ได้หลุดออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะในเที่ยวก่อนหน้าที่ฉันจะลง มีกิ่งไม่หรืออะไรสักอย่างไหลมาตามแม่น้ำ เป็นกิ่งที่ใหญ่มากมาชนแพในเที่ยวขากลับที่จะมารับกลุ่มพวกฉัน จึงทำให้แพที่ผูกไว้หลุด แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าจะอันตรายตรงไหนก็มันเห็นกันแค่เอื้อมนี่นาไม่ถึง 10 เมตร ก็จะถึงอีกฝั่งแล้ว

“ตูม” เสียงฉันตกน้ำ น้ำไหลแรงมากจนฉันตั้งตัวไม่ทัน ฉันไหลไปตามน้ำอีกหลายสิบเมตร จากที่คิดว่าอีกไม่ไกล มันกลับไกลมากจนฉันตั้งตัวไม่ได้ ด้วยเพราะกางเกงยีนส์ และรองเท้าที่ใส่ก็อาจเป็นได้ ฉันสำลักน้ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ใช่นะสิก็ฉันว่ายน้ำเป็นนี่นาแต่ทำไมถึงได้หมดท่าอย่างนี้ก็ไม่รู้

“เฮ้ยไอ้ติ่งตกน้ำ โว๊ย)))))))))))) พี่ช่วยไอ้ติ่งด้วยพี่” ฉันได้ยินเสียงของอุ๊ตะโกนบอกลูกหาบให้ช่วยฉัน

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวจะลอยตามน้ำไปขึ้นทางโน้น” ฉันตะโกนบอกเพราะพอตั้งตัวได้ก็รีบว่ายเข้าฝั่ง แต่กระแสน้ำมันเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่ฉันจะว่ายเข้าฝั่งได้ก็อยู่ไกลจากกลุ่มไปเกือบ 50 เมคร

เมื่อฉันขึ้นจากน้ำก็รู้ว่ารองเท้าฉันหายไปข้างนึง แล้วจะทำยังงัยหละที่นี้เดินป่าด้วยเท้าเปล่าข้างนึงเหรอ “เฮ้อเรา หำไมมันซวยอย่างนี้วะ ก่อนออกมาก็ว่าไหว้พระออกมาดีแล้วนี่หว่า” ฉันบ่นออกมาด้วยอาการที่บ่งบอกว่าเซ็งสุดขีด

ฉันเห็นอุ๊วิ่งมาถึงที่ๆฉันยืนอยู่แล้วก็กระโดดกอดฉัน จนฉันเกือบจะล้ม

“ไม่เป็นไรใช่ไม๊ ติ่ง ตกใจแทบแย่เนะ” อุ๊ ถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างมาก

“ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่จะเป็นก็ตอนแกกระโดดกอดเรานั่นแหละ เจ็บนะโว๊ยไอ้อุ๊ โห่ไอ้เพื่อนบ้า” ฉันยังไม่วายปากเสียว่าอุ๊ไปอีกทั้งๆ ที่รู้ว่าเพื่อนเป็นห่วงฉันมาก เพราะอะไรนะเหรอก็เพราะแววตาที่อุ๊มองฉันมันเป็นแววตาที่ดีใจที่ฉันปลอดภัย เหมือนแววตาที่เธอสอบได้เกรด A ทุกวิชาในเทอมที่ผ่านมาอย่างนั้นแหละ

“ยังจะมาพูดดีอีกรู้ไม๊ว่าเราเป็นห่วงแกแค่ไหน ก็บอกว่าให้จับเชือกไว้ก็ไม่จับ เห็นไม๊ตกน้ำเลย เป็นงัยหละสนุกไม๊ลงเล่นน้ำ ฮ่า ๆ ๆ ….อ้าว รองเท้าแกไปไหนหละติ่ง” เธอมองที่เท้าของฉันแล้วก็หยุดหัวเราะไปซะดื้อๆ อย่างนั้น

“ไปไหนก็ไม่รู้มันคงไม่อยากอยู่กับเราแล้วมั๊ง ไปตามน้ำซะแล้ว เออแกมีรองเท้าอีกคู่รึเปล่า” ฉันถามเพราะคิดว่าอุ๊ที่รอยครอบจะต้องพกรองเท้าไว้อีกคู่เสมอด้วยเพราะเธอเคยบอกว่า ต้องเตรียมตัวไว้ อีกอย่างตอนกลางคืนจะได้ไม่ต้องใส่รองเท้าผ้าใบใส่แตะสบายกว่า

“มีสิแต่แกจะใส่เดินป่าได้เหรอ มันจะลื่นนะ”

“ก็ดีกว่าใส่รองเท้าข้างเดียวเดินป่าแหละ เท้าเราไม่ได้ด้านนี่หว่าเกิดเหยียบกิ่งไม่เป็นแผลขึ้นมาจะว่างัย”

“โถ่ เป็นผู้ดีก็ไม่บอก ต้องตะแคงเดิน ฮ่าๆๆๆ เอ้า เดี๋ยวไปเอารองเท้าในเป้เราไป ไป”

แล้วเราก็เดินกลับไปยังจุดหมายด้านที่เพื่อนๆ ข้ามฟากถึงกันแล้วเพราะฉันเป็นคนสุดท้ายที่ข้ามแพมา เพื่อนๆ ต่างมองฉันด้วยแววตาที่ตลกขบขัน เพราะตัวที่เปียกปอน(ดีนะที่ฉันใส่เสื้อยืดไว้ข้างในอีกตัว) และรองเท้าข้างเดียวที่ใส่อยู่ก็มีน้ำขังอยู่ข้างในเต็มไปหมด เดินแล้วดัง ฟืบ ฟืบ คล้ายๆ รองเท้าเด็กที่เดินแล้วมีเสียเพื่อล่อให้เด็กที่สวมรองเท้านั้นเดินยังงัยยังงั้นเลย ฉันถอดเสื้อตัวนอกออกและบิดให้เสื้อแห้งจะได้ไม่หนาวมากนัก แต่ทุกกริยาที่ฉันทำหาได้รอดพ้นจากสายตาของอุ๊เลยแม่แต่วินาทีเดียว

………………………….

คณะของเราก็เลยต้องพักเพื่อทานข้าวเที่ยงกันที่ริมแม่น้ำนั้น ไปโดยปริยายเพราะว่ามันเลยเที่ยงมานานแล้ว พวกพี่ๆ ลูกหาบทำกับข้าวได้อร่อยมาก ทั้งๆ ที่เป็นไข่เจียวพวกเราก็ทานกันอย่างเอร็ดอร่อยคงเป็นเพราะพวกเราต้องตื่นเช้าและที่ทานกันในตอนเช้าก็คือขนมปัง ปาท่องโก๋กับกาแฟเท่านั้นเพราะพวกเรากลัวจุกตอนเดินเท้า จึงทำให้พวกเราหิวโซไปตามๆกัน

“อร่อยไม๊ ติ่ง แกไม่ถอดเสื้อออกพึ่งลมก่อนละจะได้ไม่เป็นหวัด เปลี่ยนเสื้อซะหน่อยก็ดีนะ” อุ๊แนะนำฉัน

“ก็ดีเหมือนกัน ชักจะหนาวๆแล้วสิตอนนี้ แกเอาเสื้อชั้นไปผึ่งให้หน่อยนะ เดี๋ยวจะเดินไปทางโน้นเปลี่ยนเสื้อซะหน่อย” แล้วฉันก็เดินไปหยิบเป้เพื่อเอาเสื้อตัวใหม่ออกมาเปลี่ยน เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวเพราะเริ่มรู้สึกหนาวๆเหมือนที่อุ๊บอกฉันเหมือนกัน และตบท้ายด้วยพารา 2 เม็ด กินกันไว้ก่อนที่ไข้จะขึ้น

“กินพารากันไว้ด้วยนะ” เสียงอุ๊ตะโกนบอกฉัน

“เออ กินแล้วไม่ต้องมาบอกหรอน่ารู้อยู่” ฉันตะโกนกลับไป

เมื่อเราเสร็จภาระกิจในการทานอาหารกลางวันแล้วเราก็เดินต่อไปยังจุดหมายที่จะตั้งแคมป์ในคืนวันนั้น ฉันเลือกที่จะนอนกับอุ๊และเพื่อนๆอีก 2 คน คือจิ้งหรีดและแอน เพราะสองคนนี้ตัวเล็ก ส่วนฉันและอุ๊ตัวโตพอๆ กัน เรามีเต็นท์มาจำนวนจำกัดจึงต้องนอนกัน เต็นท์ละ 4 – 5 คน ในคืนนั้นฉันเป็นไข้ มีอุ๊นี่แหละที่คอยช่วยเช็ดตัวให้ฉัน และเรียกฉันกินยาทุกๆ 4 ชั่วโมง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอุ๊รู้ได้ยังงัยว่าถึงเวลาที่ฉันต้องกินยาแล้ว

“ติ่ง กินยานะจะได้หาย” เสียงอุ๊กระซิบที่ข้างหูฉัน และประคองศรีษะฉันให้ลุกขึ้นมากินยาอย่างว่าง่าย แล้วฉันก็หลับไป แต่ก่อนจะหลับฉันรู้สึกว่ามีอ้อมกอดของใครบางคนกอดฉันไว้จากด้านหลังและฉันก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกว่าทำไม

............................................................

เมื่อถึงตอนเช้า ฉันยังคงรู้สึกเพลียๆ จากพิษไข้ที่เป็นเมื่อคืนนี้ แต่ฉันก็ยังคงต้องเดินไปเพื่อให้ถึง น้ำตกที่พวกเราใฝ่ฝันถึงนักหนา โดยมีอุ๊เดินประคองฉันไปตลอดทาง ส่วนเป้ของเราสองคนอุ๊บอกว่าฝากไว้ที่เต็นท์ จะดีกว่า เพราะพวกเราก็ต้องเดินกลับมาที่เต้นในวันถัดไปอยู่แล้ว เราก็เลยไม่ได้นำเป้ไปด้วย ฉันอยู่ในสภาพที่น่าหัวเราะเป็นอย่างมาก ก็ฉันใส่รองเท้าผ้าใบข้างนึง ส่วนอีกข้างฉันใส่รองเท้าแตะของอุ๊ด้วยเหตุผลที่ว่าผ้าใบเดินแล้วไม่ติดลงไปในดิน ก็เพราะรองเท้าแตะเมื่อเดินจมโคลนจะติดหนึบเหมือนกับมีใครเอากาวอย่างดีมาติดไว้อย่างนั้นแหละมันดึงเท้าไม่ขึ้นเอาเสียเลย

ถึงน้ำตกในเวลาเที่ยง เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ก็มันช่างสวยอะไรเช่นนี้ น้ำตกที่ไหลลงมาแรงมากฟองแตกกระจาย เป็นฝอยละออง ยืนอยู่ห่างตั้งเยอะก็ยังได้ไอละอองของน้ำที่กระเด็นเข้ามากระทบตัว พวกเราตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูป กันเสียยกใหญ่ อาจารย์ของเราก็อธิบายด้วยว่าน้ำตกเกิดได้เพราะอะไร จาการดันตัวและยุบตัวของเปลือกโลกที่ไม่เท่ากัน อะไรทำนอนนั้นฉันไม่ได้สนใจที่จะจำ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ขอซีร็อก อุ๊ก็ได้เพราะเธอเป็นเจ้าแม่ต้นฉบับอยู่แล้ว แล้วฉันก็ไปยืนตรงหน้าผาที่น้ำตกไหลลงไป เพื่อดูให้ชัดๆ

“เฮ้ยทำอะไรนะ เดี๋ยวก็ตกไปหรอก” ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากด้านหลัง

ฉันหันไปมองเสียงที่ได้ยินเพราะเสียงน้ำตกดังมากจนได้ยินไม่ถนัด

“ว่าอะไรนะ”

“บอกว่าเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอกมันอันตรายเดินเข้าว่า” ว่าแล้วอุ๊ ก็ดึงมือฉันให้เดินออกมาจากหน้าผานั้นเพราะเธอบอกว่าเธอกลัวฉันหล่นลงไป

ฉันทำตามเธออย่างว่าง่าย ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันตลอดระยะเวลาปีกว่าๆ ที่คบกัน ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่คณะนี้ ฉันกับอุ๊เหมือนลิ้นกับฟันกัดกันเป็นว่าเล่น แต่ในใจลึกๆ ของเรา กลับคิดว่าเราสนิทกันมากกว่าคำว่าเพื่อน จึงไม่ค่อยถือสาอะไรมากกับคำพูดที่แสนจะเจ็บแสบเวลาเราเถียงกัน และฉันก็ต้องเป็นฝ่ายง้ออุ๊มาตลอดเพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะเธอเป็นต้นฉบับของทุกวิชานะสิ อุ๊จดได้ละเอียดทุกคำพูดของอาจารย์ และแถมเขียนหนังสือสวยอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นใครเขียนได้สวยเท่าเธอ ซึ่งข้อนี้เพื่อนๆ จะรู้ดีกันทั้งเอก แถมยังพ่วงดีกรี เกรด A ทุกวิชาที่เรียนเหมือนอุ๊เข้าไปนั่งในใจของอาจารย์อย่างนั้นแหละว่าจะออกข้อสอบอะไร ส่วนฉันจะเรียนดีก็แค่วิชาคำนวณเท่านั้น นอกนั้นไม่ได้เรื่อง

เราเดินออกมาแล้วก็มานั่งพักที่ข้างๆที่ทำการอุทยานฯ รอเพื่อนๆ ที่ยังถ่ายรูปไม่เสร็จให้เดินลงมาสมทบกันที่นั่น อุ๊เอื้อมมือมาเตะหน้าผากฉัน

“ไม่มีไข้แล้วนี่ ดีขึ้นแล้วใช่ไม๊” อุ๊เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“อืม ดีขึ้นมากแล้วหละ ขอบใจมากนะ” ฉันจับมืออุ๊ที่แตะหน้าผากฉันมาไว้ที่อกของฉันแล้วกล่าวขอบคุณเธอหน้าอุ๊แดงเป็นลูกตำลึงทีเดียว

“เหนื่อยไม๊ เมื่อคืนคงไม่ค่อยได้นอนทั้งคืนสินะ” ฉันถามอุ๊เพราะเห็นหน้าตาเธอดูเซียวๆ เหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืน

“ไม่หรอก สนุกดีออก ท่าทางเพื่อนๆ จะมากันแล้วเดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็คงต้องเดินกลับแล้วหละนะ”

“อืม คืนนี้คงต้องค้างในป่าอีกคืน พรุ่งนี้ถึงเดินกลับกัน”

“ใช่ แล้วก็นอนแต่หัวค่ำหละ จะได้มีแรง” อุ๊เห็นด้วยกับฉัน

“ได้เราจะนอนแต่หัวค่ำ เราสัญญา” ฉันบอกอุ๊เพราะรู้สึกเพลียจริงๆ

……………………..

เราเดินกลับกันระหว่างทางอาจารย์ชี้ให้เห็นว่าทางที่เราเดินเป็นทางที่ช้างจะออกมาหากินในเวลากลางคืน เพราะฉะนั้นห้ามพวกเราส่งเสียงดังอาจจะทำให้ช้างป่าในบริเวณนั้นได้ยินเสียเราแล้วเดินมาไล่เราออกจากทางของพวกมันได้

พวกเราจึงเดินกันเงียบๆ โดยที่ฉันกับอุ๊เดินจูงมือกันมาตลอดทางไม่รู้ทำไมเหมือนกันต้องเดินจูงมือกันอย่างนี้แต่ฉันรู้สึกดีที่ได้จับมือของอุ๊ไว้

ระหว่างทางลงเขากลุ่มพี่ๆ ลูกหาบที่นำทางได้ตัดไม้ไผ่ให้เราคนละท่อนเพื่อใช้พยุงเดินเนื่องจากขากลับฝนตกหนักทางลื่นมาก พี่ๆ ให้พวกเราเดินกลับอย่างระมัดระวัง แล้วรองเท้าของฉันก็เป็นเหตุ มันลื่นเอาซะจริงๆ เดินไปลื่นไปจนต้องปล่อยให้อุ๊เดินคนเดียว อุ๊เดินนำฉันไปข้างหน้า โดยที่ฉันเก็บภาพนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ และดอกข่าที่ขึ้นอยู่ตามทางเดิน

“โอ๊ย………” เสียอุ๊ร้อง

ภาพที่ฉันเห็นแทบทำให้ฉันหัวใจวาย อุ๊เดินล้มและไหลลงไปตามทางเกือบจะหล่นลงเขาอยู่แล้ว

“อุ๊ ๆ เอาไม้ยันไว้นะ อย่าหล่นลงไปหละ “ ฉันตะโกนบอกอุ๊ แล้วก็วิ่งไม่คิดชีวิตไปช่วยเธอ

อุ๊อยู่ในสภาพที่ต้องเอาไม้ไผ่ที่ตัดไว้มาค้ำตัวเองไม่ให้หลนลงไป ฉัน ปีนลงไปเพื่อดึงตัวเธอขึ้นมาอย่างทุลักทุเล โดยมีพี่ลูกหาบช่วยกันอีก 2 คน

“เป็นงัยบ้างเจ็บไม๊” ฉันถามอุ๊ด้วยความเป็นห่วงอุ๊อย่างมาก

“สงสัยข้อเท้าแพลงนะ เราเจ็บจังเลย” อุ๊บอกและมีสีหน้าเจ็บปวดมาก

“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเรานวดให้” ฉันนวดข้อเท้าอุ๊ แต่ก็ทำให้อุ๊เจ็บมากขึ้น

“สงสัยแกต้องขี่หลังเราไปแล้วหละอุ๊ แกคงเดินไม่ไหวแล้ว พี่คะ อีกไกลไม๊ค่ะกว่าจะถึงที่พัก” ฉันบอกอุ๊แล้วก็ หันไปถามพี่ลูกหาบ

“ไม่ไกลหรอดน้องอีกอึดใจแม้วก็ถึง” พี่ลูกหาบตอบ

“โห่ อึดใจแม้วกว่าจะถึงก็ค่ำพอดี เดินไหวไม๊อุ๊ ขี่หลังเรานะเพื่อน” แล้วฉันก็เอาอุ๊ขี่หลังกลับที่พัก กว่าจะถึงเล่นเอาเข่าอ่อนเหมือนกัน แต่ดูอุ๊จะมีความสุขมากที่ได้กลับที่พักโดยไม่ต้องเดิน แล้วก็ส่งเสียงบอกฉันตลอดทางที่เราเดินว่าต้องเดินตรงนั้นตรงนี้ เป็นที่สนุกสนานของอุ๊ แต่ฉันเดินจนเหงื่อตก และเกือบหมดแรง (ก็ฉันไม่ใช้ม้าไม่ใช่ลานี่นาเหนื่อยเป็นเน้อ)

……………………………

เมื่อถึงทีพัก ฉันให้อุ๊ไปอาบน้ำที่ลำธาร โดยที่ฉันยืนเฝ้าอยู่ ดูอุ๊จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฉันแอบดูอุ๊อาบน้ำเวลาที่อุ๊อาบน้ำช่างสวยอะไรอย่างนี้ ด้วยที่อุ๊เป็นคนมีเชื้อสายจีน ผิวของอุ๊จึงขาวกว่าผิวของฉัน ดูแล้วเหมือนนางไม้มากกว่าที่จะเป็นเพื่อนของฉัน

“นี่ติ่ง แกจะมองหาอะไรฮ้า หันไป เดี๋ยวเถอะเดี๋ยวเจ็บ” เสียงอุ๊ตะโกนดังลั่น

“จะบ้าเหรอไอ้อุ๊ ชั้นยืนดูแกกลัวว่าจะโดนใครมางาบต่างหากละไอ้บ้าเอ้ย”

“ไม่ต้องมาดูชั้นเลยแก หันไป เอะ!!!!! บอกว่าให้หันไปยังอีก” แล้วอุ๊ก็วักน้ำ ใส่ฉันเสียจนเปียกไปหมด

“โห่ไอ้เพื่อนบ้าหวังดีแล้วยังจะมาแกล้งกันอีก เชิญอาบไปคนเดียวก็แล้วกันนะ ระ….วัง ….ด้วย….ละ….กัน….. ข้าง……หลัง……..นะ………..5555 ไปหละ” ฉันแกล้งอุ๊ด้วยเสียงที่ยานครางเพื่อหลอกให้เธอกลัวเพราะนี่ก็เกือบสองทุ่มแล้ว

“ไอ้บ้า เอาไฟกลับมาด้วย ไอ้ติ่งบ้า” อุ๊ร้องตามเสียงปนสะอื้น

ฉันหันกลับไป เห็นอุ๊ยืนน้ำตาร่วงอยู่เพราะความกลัว ฉันลงไปในน้ำ เพราะรู้ว่าอุ๊เจ็บข้อเท้าอยู่ แล้วก็ดึงเธอเข้ามากอดปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะอุ๊ เราอยู่นี่” ยิ่งฉันปลอบก็ยิ่งทำให้อุ๊น้าตาไหลออกมากว่าเดิม

“จำ…ไว้ …เลยนะ …หึ ฮือ…ไอ้ติ่ง” อุ๊ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

ฉันไม่รู้จะปลอบอุ๊ยังงัยก็เลยจูบที่ปากของอุ๊เพื่อที่จะปืดปากอุ๊ไม่ให้ร้องไห้และว่าฉันอีก สักพักเราก็ล้มลงไปในลำธารแห่งนั้นพร้อมกัน สายน้ำแห่งนี้ทำให้ฉันและอุ๊รู้ใจตัวเองมากขึ้นว่า เราเป็นมากกว่าเพื่อนที่สนิทกันก็เพราะเรารักกันนะสิ เราจูบกันจนได้ยินเสียงเรียกจากแอนและกลุ่มเพื่อนๆ

“ไอ้ติ่ง ไอ้อุ๊ อยู่ไหนวะ” เสียงดังเข้ามาใก้ลทุกทีๆ

ฉันกับอุ๊ยังคงอยู่ในน้ำ เราสัมผัสได้ถึงความรักที่เรามีต่อกัน ความห่วงใย โหยหาที่ต้องการซึ่งกันและกัน อุ๊เป็นคนที่ผลักตัวฉันออก

“ปล่อยเราเถอะติ่ง แอนมาตามแล้ว” อุ๊พูดพร้อมกับกันตัวของฉันออกให้ห่างจากเธอ

“ไม่อยากปล่อยเลยอะ ขออีกนิดนะ” ว่าแล้วฉันก็จูบอุ๊อีกครั้ง เนิ่นนานและหวานกว่าครั้งแรกจนฉันจะอดใจไว้ไม่ไหวแล้วโอ๊ว…..อุ๊จ๋า ทำไมเธอถึงได้กระชากใจฉันได้ถึงเพียงนี้นะ

“เฮ้ย ทำอะไรกันวะ ไอ้อุ๊ ไอ้ติ่ง” เสียงแอนดังมาจากตลิ่ง

อุ๊กับฉันต้องปล่อยออกจากอ้อมแขนของกันและกันโดยปริยาย

“เออ จะกลับแล้วแกไม่ต้องรอเดี๋ยวเราสองคนกลับเองได้ไปก่อนเถอะ” ฉันตะโกนบอกแอน

“จานให้มาเรียกมีเรื่องจะคุยกับพวกเรานะ เร็วๆ เข้า จีบกันอยู่ได้ไอ้คู่นี้ พอกัดกันก็นะ อย่างกับหมา พอดีกัน น้ำตาลยังหวานไม่เท่า เออ ชั้นไปก่อนละกันเสร็จแล้วตามกันไปหละเร็วๆด้วย” แล้วแอนก็เดินจากไป

ฉันพยุงอุ๊ขึ้นจากน้ำแล้วให้อุ๊ขี่หลังฉันกลับที่พักเหมือนตอนขามา แต่คราวนี้ฉันรู้สึกว่าทั้งฉันและอุ๊อยากอยู่กันใกล้ชิดมากกว่านี้

เรากลับถึงที่พักและเปลี่ยนเสื้อผ้ากันในเต็นท์ ฉันให้อุ๊ปิดไฟเพราะกลัวคนข้างนอกจะเห็นว่าเรากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่มันดูไม่ไดี ขณะเดียวกันฉันก็แกล้งอุ๊ไปด้วย เพราะความมืดทำให้ฉันกล้าที่จะแตะเนื้อต้องตัวเธอมากขึ้น และอ้างว่ามองไม่เห็น มันเป็นมุขที่ฉันพึ่งคิดขึ้นได้เพื่อที่จะได้จับเนื้อต้องตัวเธอมากขึ้นก็เท่านั้น

……………….

อาจารย์ได้ให้พวกเรามานั่งรอบกองไฟเพื่อที่จะสอนเกี่ยวกับทฤษฎีบางอย่างของการเกิดป่า แต่ฉันกับอุ๊กลับไม่ได้ฟังอาจารย์พูดเลยแม้แต่น้อยนั่งมองหน้ากัน แล้วผลัดกันหน้าแดง จนแอนถามว่า

“เฮ้ยอุ๊ แกไม่จดเหรอวะ”

“ไม่หละ เดี๋ยวไปค้นที่ห้องสมุดเอา สมุดจดชั้นเปียกน้ำหมดจดไม่ได้” อุ๊บอกแอนอย่างนั้น แต่ฉันรู้ดีว่าทำไมอุ๊ไม่จด

“เออดีนะ แกมันเก่งนี่หว่า ไม่จดแกก็ตอบได้แล้วเอามาซีร๊อกบ้างนะเพื่อน”

……………………

เมื่ออาจารย์สอนเสร็จแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปนอน ดูนาฬิกาก็เกือบ 4 ทุ่ม ไม่น่าเชื่อว่าวันเวลาจะผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้

ฉันให้อุ๊นอนตรงกลางส่วนฉันนอนปิดประตูเต็นท์ไว้เพราะหากเกิดอะไรขึ้นฉันจะได้รับไว้ก่อนอย่างน้อยฉันก็ตัวโตที่สุดในเต็นท์นี้ พวกเราหลับกันแล้วเพราะเสียงคุยเริ่มเงียบ สักพักฉันได้ยินเสียงอุ๊พูดว่า

“หลับรึยัง” เป็นเสียงเหมือนกระซิบ

“ยัง นอนไม่หลับ” ฉันบอกอุ๊

“แกคิดยังงัยกับเรื่องเมื่อหัวค่ำ” อุ๊ถามฉันอีกครั้ง

“ไม่คิดงัย คิดจริงจัง เป็นแฟนเราไม๊” ฉันตอบออกมาจากใจจริง

“ไอ้บ้า แกกับชั้นนี่นะ” อุ๊ตกใจกับคำตอบของฉัน

“จุ๊ ๆ ๆ เบาๆ สิ เสียงดังไปได้” ฉันบ่น

“เฮ้ยพวกแกจะจีบกันก็ไว้พรุ่งนี้ได้ไม๊เพื่อนจะนอนโว๊ย” เสียงแอนงัวเงียพูดขึ้นมา

แล้วฉันกับอุ๊ก็หัวเราะพร้อมกันและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยก่อนหลับมีอุ๊อยู่ในอ้อมกอดของฉันนั่นเอง

………….

เมื่อเรากลับถึงมหาลัยในอีก 2 วันถัดมา ฉันอาสาไปส่งอุ๊ที่บ้านเพราะไม่ต้องการให้อุ๊ขึ้นแท๊กซี่กลับบ้านเองเพราะความเป็นห่วง บ้านของเธอกับฉันอยู่คนละเส้นทางกันแต่ฉันก็เต็มใจที่จะไปส่งอุ๊ ก็คนมันรักไปแล้วนี่นาจะทำงัยได้เมื่อถึงบ้านเธอ ฉันขโมยหอมแก้มเธอ 2 ที และก็โดนตีและทุบที่แขนทุกครั้ง

“Good night นะอุ๊ ฝันถึงเราบ้างหละ” ฉันบอก

“เรื่องอะไรต้องฝันถึงแกด้วยวะ ฝันชั้นคงฝันร้ายน่าดู ไปเถอะขับรถดีๆ นะอีกไกลกว่าจะถึงบ้าน ถึงแล้วโทรบอกเราด้วยหละเป็นห่วง” อุ๊สั่งฉัน

“เออ แล้วจะโทรมาบอกถ้าไม่ลืม” ฉันบอกแล้วก็ขับรถออกไปจากหน้าบ้านอุ๊

เมื่อถึงบ้านฉันก็โทรบอกอุ๊ว่าถึงแล้วและฉันก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

…………………….

ความสัมพันธ์ของเราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันนั้น จนฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อเราเรียนฉันก็ต้องให้เธอติวให้ฉันทุกวิชา จนเรียนจบ อุ๊ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ อุ๊บอกว่าให้ฉันฟังเพลงของนรินทร์ทร เพื่อนไม่ทิ้งกัน

“เพื่อนไม่เคยไม่เคยทิ้งกัน ไม่ว่าความฝันนั้นจะไกลสักเท่าไร จะหกล้มซมซานเมื่อใด เพื่อนคอยปลอบใจ”

ฉันจึงได้รู้ว่าเราเป็นได้เพียงเพื่อนกัน อุ๊ไปเรียน 4 ปี กลับมาพร้อมกับดีกรีดอกเตอร์ ส่วนฉันทำได้อย่างมากก็ ป.โท เพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เมื่ออุ๊กลับมาเธอมีคนรู้ใจของเธอกลับมาด้วยและพร้อมที่จะแต่งงานกันเสมอเมื่ออุ๊ตอบตกลง

อุ๊บอกฉันว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นไปไม่ได้ เราเป็นได้แค่เพียงเพื่อนกันเท่านั้น นั่นทำให้ฉันอึ้ง ไปพักใหญ่ แต่แล้วในที่สุด ฉันก็เข้าใจว่าทำไมอุ๊ต้องแต่งงาน ก็เพราะอุ๊เป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เป็นหลานคนเดียวในตระกูล ถึงแม้ว่าเราจะรักกันมากเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องได้ครองชีวิตร่วมกัน

ทุกวันนี้ฉันและอุ๊ก็ยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ฉันเฝ้าดูการเติบโตของอุ๊ และความก้าวหน้าของอุ๊อย่างยินดีและเป็นสุขที่เห็นอุ๊มีความสุขกับครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักของอุ๊ อุ๊มีลูกที่น่ารักสองคนเป็นฝาแฝด หญิงคนชายคน ฉันรับที่จะเป็นแม่ทูนหัวของลูกอุ๊ เพราะฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีโอกาสที่จะมีลูกเป็นของตัวเอง

…………………..

อุ๊กับฉันได้มีโอกาสที่จะกลับไปที่น้ำตกทีลอซูอีกครั้งหลังจากที่เคยไปมาแล้วเมื่อ 12 ปีก่อน แต่คราวนี้การเดินทางสะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก เข้าไปได้ด้วยรถโฟว์วิล ไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อน เพราะเราไปหน้าแล้งคือเดือนเมษายน

“อุ๊ ยังจำได้ไม๊ที่เราขึ้นไปยืนบนนั้นแล้วแกเรียกเราไว้ว่าอย่ายืนอันตรายนะ” ฮันเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งชี้มือไปยังลานกว้างบนน้ำตกสูงแห่งนี้

“จำได้สิ ตอนนั้น ชั้นยังคิดว่าแกคิดจะโดดซะอีก” อุ๊ตอบฉัน

“ไอ้บ้า เอ้ย ใครจะบ้าโดด ขืนโดดก็เจ็บแย่สิชั้นแค่อยากดูเท่านั้นว่ามองลงไปจะเหมือนน้ำตกเหวนรกที่เขาใหญ่รึเปล่าก็เท่านั้น” ฉันโวยวายกับความคิดของอุ๊ นึกได้นะเพื่อน

“ใครจะรู้หละว่าแกจะดูเฉยๆ ชั้นเป็นห่วงแกนะ และรักแกมากว่าที่เคยรักเพื่อนคนไหนๆ ในโลกนี้มาก่อน” อุ๊บอกฉันด้วยสายตาที่เศร้า

“ชั้นรู้อุ๊ ว่าแกรักชั้น แต่ความจริงบนโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง รึแกว่างัย”

“ใช่ เรากำหนดไม่ได้ เพราะเราเกิดมาต้องมีสังคม ชั้นดีใจนะที่แกยังเป็นเพื่อนชั้นนเหมือนเดิม ชั้นรักแกไอ้เพื่อนยาก” อุ๊หันมาสบตาฉัน

“ชั้นก็รักแกเหมือนกัน” ฉันตอบอุ๊ไปด้วยหัวใจที่ชื่นมื่น

เราสองคนนั่งมองตากันและถ่ายทอดความรู้สึกให้แก่กันและกันจนได้เวลาเราจึงเดินทางกลับ เพื่อที่จะมาเผชิญกับโลกของความเป็นจริงต่อไป

…….จบ…..


ฉันเขียนเรื่องนี้เพราะฉันคิดเสมอว่า ความเป็นเพื่อนไม่ได้ก่อเกิดเพียงแค่วันเดียว
และความเป็นเพื่อนก็ยังสะสมพอกพูนเหมือนดินที่พอกรองเท้าเวลาเดินป่า
เพื่อนคนนั้นจะยังคิดถึงฉันเสมอ แม้ว่าเราจะห่างไกลกัน
ความห่างไกลไม่ได้เป็นอุปสรรคของความเป็นเพื่อน
ถึงแม้เพื่อนจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่เมื่อนึกถึงครั้งใด

ใจก็เป็นสุขเสมอ........................



เพื่อน - ปวีณา ชารีฟสกุล
เมื่อตะวันจะลับฟ้า
พรุ่งนี้ใกล้จะมาถึง
เราคงต้องจากกันวันหนึ่ง วันซึ่งมีทางของตัว

แม้ว่าวันจะผันผ่านไป
ไม่เลือนหายในความรู้สึก
ยิ่งนานวันผูกพันล้ำลึก แนบผนึกใจไว้ด้วยกัน

กว่าจะมาคุ้นเคยกัน
ใช้คืนวันนานแค่ไหน
กว่าจะได้รู้จักรู้ใจ ก็ไม่เหลือเวลาอีกเลย

อยากจะหมุนเวลากลับไปอีกครั้ง
ตรงที่อยู่กันพร้อมหน้า
จะซึมซับทุกช่วงเวลาที่เราได้ร่วมสุขทุกข์กัน

เมื่อตะวันจะลับฟ้า
ใกล้หมดเวลาวันสุดท้าย
จะเก็บภาพฝากไว้ในใจไม่ให้ลืมร้างเลือน

แม้พรุ่งนี้เราต้องห่างไกล
แต่หัวใจยังอยู่ นานแค่ไหนขอให้เธอรู้
เพื่อนยังอยู่ในใจเสมอ




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2550    
Last Update : 2 เมษายน 2551 4:06:27 น.
Counter : 674 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : บังเอิญ




บังเอิญ

ฉันตัดสินใจจากบ้านมาเพื่อเข้ามาหาตัวตนของชีวิต หลังจากที่เรียนจบก็กลับไปทำงานที่บ้าน เมื่อกลับไปทุกอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม

ใช่สินะเพราะเพื่อนๆที่สนิทกันไม่มีใครกลับบ้าน ทุกคนต่างทำงานในสาขาที่เรียนมา ฉันไม่มีเพื่อนสนิทที่กลับมาทำงานยังบ้าง มีเพียงครอบครัวของฉันเท่านั้นที่อยู่ที่บ้าน

เด็กต่างจังหวัดทุกคนก็คงจะคล้ายๆกัน จากบ้านมาเพื่อเรียนหนังสือ และเมื่อเรียนจบก็กลับบ้าน แต่ฉันตัดสินใจจะกลับมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงอีกครั้งหลังจากที่ได้กลับบ้าน เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะความเหงา เพราะฉันเป็นแบบนี้ เป็น หญิงรักหญิง หากอยู่ที่บ้านทุกคนจะมองฉันเป็นตัวประหลาด เป็นสิ่งที่ครอบครัวบอกให้ฉันเลิก แต่ฉันเลิกรักเธอเหล่านันไม่ได้

ในอดีตฉันเคยมีคนรักที่เรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยมต้น เราคบกันหลายปี แต่ด้วยความรักที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และเธอเป็นลูกที่ดีของครอบครัว ทำให้เราต้องแยกจากกันโดยปริยาย

เธอเลือกครอบครัวของเธอ เมื่อเธอเรียนจบก็กลับบ้านฉันก็เช่นกัน กลับบ้านไปเพื่อให้รู้โดยชัดเจนว่าความรักของเรานั้นเป็นไปไม่ได้ ........เราจากกันด้วยดี และเรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ….

………………………….

ฉันเองก็เข้าทำงานในบริษัทแห่งนึงที่กรุงเทพหลังจากที่หางานมานาน จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 2 มกราคม เป็นวันแรกที่ฉันต้องเข้าไปทำงานในบริษัทแห่งนั้น และที่นั่นฉันรู้มาว่ามีรุ่นพี่ที่อยู่จังหวัดเดียวกันทำงานอยู่ด้วย ฉันจึงไปนั่งรอรุ่นพี่อยู่บนอาคารสำนักงานนั้น

“ขอโทษนะคะคุณ ไม่ทราบว่ารู้จัดคุณธิดาวรรณที่อยู่แผนกบัญชี รึเปล่าคะ?” ฉันถามหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินออกมาจากลิฟต์ และเข้าใจว่าเธอต้องทำงานในบริษัทนี้เนื่องจากเธอแต่งชุดฟอร์มของบริษัทที่ฉัน เข้ามาทำงานใหม่นี้

“ไม่รู้จักค่ะ” เธอตอบแล้วก็เดินหนีไป ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มอีกเลย

ฉันก็ได้แต่ยืนงง ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรท่าทางแปลกๆ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อมองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบจะ 8 โมงเช้าแล้ว ฉันเลยตัดสินใจขึ้นลิฟต์ไปชั้นของฝ่ายบุคคลเพื่อรายงานตัวว่าฉันมาทำงานแล้วนะ (ก็วันนี้เป็นวันแรกของฉันซะด้วยสิ จะช้าได้อย่างไรกัน)

“สวัสดีค่ะดิฉัน ลัดดาค่ะ มารายงานตัวค่ะ” ฉันบอกกับเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบุคคลแล้วก็ยื่นเอกสารที่ทางบุคคลบอกให้นำมาเมื่อมารายงานตัว เช่น TRANSCRIP รูปถ่าย

“อ้อค่ะ เชิญนั่งรอสักครู่นะคะ อ้อพี่ชื่อเบียร์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักน้องลัดดานะคะ” พี่เบียร์ทักทายฉันอย่างเป็นกันเอง แล้วก็หยิบแฟ้มมาเพื่อเก็บเอกสารของฉันและยื่นแฟ้มเอกสารให้

“นี่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทเรานะคะน้อง คร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำอย่างเป็นทางการนั่งอ่านไปก่อนนะคะ” พี่เบียร์ยื่นให้ฉัน แล้วก็เดินจากไป

ฉันนั่งอ่านเอกสารอยู่ตรงนั้นเกือบชั่วโมง พี่เบียร์ก็เข้ามาตามและบอกว่าจะแนะนะให้รู้จักกับหัวหน้างานฉันซึ่งอยู่ตึกถัดไป และเราก็เดินตามกันออกไปอย่างไม่รีบร้อน

ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับพี่ๆ ในแผนกทุกคน ซึ่งก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ฉันคิดว่าอยู่ๆไปก็จำกันได้เองแหละเพราะต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน แต่ไม่รู้ทำไมฉันอยากรู้จักผู้หญิงผมยาวตัวสูงผอมคนนั้นจังเลย เธอเป็นใครนะ!!! แล้วเธอวิ่งหนีฉันทำไมกัน ฉันเป็นตัวประหลาดรึงัยเนี่ย แต่ช่างเถอะหากบังเอิญได้เจอกันอีกฉันจะถามเธอให้ลุแก่ใจว่าเธอหนีทำไมกัน

ตอนเที่ยงวันนี้ฉันก็ได้เจอกับรุ่นพี่ลืมบอกไปว่าเธอชื่อนุ้ย พี่นุ้ยเป็นรุ่นพี่ที่ไม่ค่อยสนิทกันมากนักหรอกเมื่อยามอยู่ต่างจังหวัด แต่เราจะมาสนิทกันก็ตอนอยู่ที่กรุงเทพ ทำไมนะเหรอ ก็คงเป็นเพราะว่าความห่างไกลบ้างกระมังที่ทำให้คนที่เหงาและรู้สึกว่าไม่มีใครเป็นเพื่อนสนิทได้ เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นน้องแล้วก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน (เรียกง่ายๆก็บ้านนอกเหมือนกัน) ก็เลยสนิทกันอย่างรวดเร็ว เผื่อพึ่งพาอาศัยกันได้

“อ้าวเป็นงัยดา ทำงานวันแรกเป็นงัยบ้าง” พี่นุ้ยถามฉันอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เป็นงัยหละพี่ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย อ้อพี่เมื่อเช้าไปหาพี่ที่ตึกนะ ถามใครก็ไม่รู้ตัวผอมๆ สูงๆ ว่ารู้จักพี่รึเปล่าเค้าบอกไม่รู้จักแล้วก็วิ่งหนีไปเลย ยังงอยู่เลยเนี่ย” แล้วฉันก็ทำหน้างง ให้รู้ว่างงจริงๆ

“อ้อพี่รู้แล้ว หมึกบอกพี่เหมือนกันแหละว่ามีคนถามหาตอนเช้า” พี่นุ้ยพูดแล้วก็หัวเราะ

“อ้าวก็เมื่อเช้าเค้าบอกไม่รู้จักพี่นะ” ยิ่งทำหน้างงหนักกว่าเดิมอีก

“ก็หมึกเค้าปวดท้อง ท้องเสียตั้งแต่เมื่อวานแล้วกินส้มตำปลาร้า เค้าก็เลยรีบวิ่งไปนะสิ เห็นบอกว่าอั้นมาตั้งแต่อยู่ในรถแน่ะ” แล้วเสียงหัวเราะของฉันกับพี่นุ้ยก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน

“ไปๆ ไม่ต้องคิดมากพี่เลี้ยงข้าวเองวันนี้”

“ได้เลยพี่ จะถล่มซะให้เข็ด” แล้วเราก็ไปหาข้าวเที่ยงทานกันที่ร้านข้างๆบริษัทอย่างเอร็ดอร่อย

………………………..

เย็นวันนั้นเมื่อจะกลับบ้าน ฉันเจอผู้หญิงที่ชื่อหมึกอีกครั้ง คราวนี้เธอเดินคนเดียว เหมือนเดิม แต่ไม่รีบร้อนเหมือนเมื่อเช้าที่เราเจอกันฉันจึงเข้าไปทักเธอ

“สวัสดีคะ เมื่อเช้าต้องขอโทษด้วยนะคะที่ขัดจังหวะ” ฉันพูดแล้วอมยิ้มส่งให้เธอ

“หมึกสิคะต้องขอโทษคุณ…อ่าาาา คุณ..”

“ดาค่ะ เราชื่อดา”

“คะคุณดา พอดีหมึกปวดท้องมาก พูดยังจะพูดไม่ไหวเลย ต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำนะคะ จริงๆ พี่นุ้ยเป็นหัวหน้าของหมึกเองหละค่ะ ขอโทษจริงๆ นะคะ” เธอกว่าด้วยเสียรู้สึกสำนึกในความผิดจริงๆ

“ไม่เป็นไรหรอกคะ พี่นุ้ยบอกดาแล้วตั้งแต่ตอนเที่ยง คุณหมึกกลับบ้านยังงัยค่ะ”

“กลับรถเมล์อ่ะค่ะ บ้านอยู่แถวสุขาภิบาล 3 คะ ใกล้แค่นี้เอง” เธอตอบพร้อมกับยิ้มน่ารักส่งมาให้ฉัน

“ติดรถดาไปไม๊ค่ะ ดาต้องกลับบ้านทางนั้นพอดี” ฉันชวนเธอ

“เกรงใจอ่ะค่ะ ไม่ดีกว่าเผื่อคุณดาจะไปทีไหนต่อ” แล้วเราก็หยุดเดินและ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูของบริษัทพอดี

“ไม่ไปไหนหรอกค่ะ ต้องรีบกลับบ้าน เพราะต้องเตรียมของหลายอย่าง พึ่งมาจากต่างจังหวัดนะคะ ยังไม่ได้จัดข้าวของเลยคะ และถ้าเผื่อคุณปวดท้องอีกจะได้เลี้ยวเข้าปั๊มง่ายงัยค่ะ” ฉันตอบเธอ เพราะฉันต้องรีบกลับบ้านจริงๆ และด้วยความเป็นหว่งเธอด้วย

“คะก็ได้คะ ขอบคุณนะค่ะ” แล้วเราก็เดินไปที่รถขอฉัน

“รถรกหน่อยนะคะ ยังไม่ได้ขนของขึ้นบ้านเลยอ่ะค่ะมันหนัก” ฉันบอกเธอพร้อมๆกับจับของที่วางอยู่เกลื่อนรถโยนไปไว้เบาะหลังเพื่อให้เธอนั่งได้สะดวก

“ไม่เป็นไรคะเอางี้สิคะ ให้หมึกไปช่วยคุณขนของขึ้นบ้านไม๊ค่ะ เป็นการขอโทษที่หมึกเสียมารยาทกับคุณเมื่อเช้านี้” เธอยื่นข้อเสนอกับฉัน

“รบกวนเปล่าๆ ค่ะ ดาทำเองได้ค่ะ คงไม่หนักเท่าไรนักหรอกค่ะ ที่ห้องมันรกยิ่งกว่าในรถอีกอ่ะค่ะ อายนะอย่าดีกว่า ไว้วันหลังค่อยไปละกันนะคะให้จัดให้เรียบร้อยก่อน” ฉันบอกตามความคิดของฉันจริงๆ

“ค่ะ อ้อเดี๋ยวจอดป้ายนี้แหละค่ะ ถึงบ้านหมึกแล้ว” เธอชี้ให้ฉันจอดรถตรงป้ายรถเมล์

“ถึงแล้วเหรอคะ เร็วจังเลย บ้านดายังต้องไปอีกตั้งไกลแนะค่ะ”

“อยู่แถวไหนคะ”

“รังสิตน่ะค่ะ คงอีกกว่าชั่วโมง โชคดีนะคะ พักผ่อนเยอะๆ”

“ค๊ารับรองพักเยอะแน่นอนเพลียเหลือเกิน ขับรถดีๆนะคะ เป็นห่วง บายคะ” และยิ้มน่ารักให้ฉัน

“บายคะพรุ่งนี้เจอกันคะ” เธอลงรถไปแล้ว เธอจะรู้ไม๊นะว่าเธอได้กระชากหัวใจของฉันไปด้วยรอยยิ้มสดใสของเธอ

ดวงตาเป็นประกายสดใสคู่นั้น ทำให้ฉันขับรถกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์ นั่นสินะ เธอดูเป็นกันเองกับฉันมาก ฉันกลับไปจัดข้าวของที่ระเกะระกะที่บ้านและในรถจนเรียบร้อนในวันนั้นพร้อมกับเอารถไปล้างอัดฉีดกว่าจะกลับเข้ามานอนก็เกือบตีหนึ่ง และได้ยินเสียงโทรศัพท์ ใครโทรมานะ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว

“สวัสดีค่ะ” ฉันกรอกเสียงไปในโทรศัพท์

“สวัสดีคะ นี่หมึกนะค่ะ ขอโทษที่โทรมารบกวนคะ” เสียงของเธอช่างสดใสเหลือเกิน

“คะคุณหมึก ได้เบอร์มาจากไหนค่ะ?” ฉันถามด้วยความแปลกใจเป็นอย่างมาก

“ได้มาจากพี่นุ้ยคะ โทรขอแกมาคือ..... หมึกจะบอกว่าหมึกลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถคุณดานะคะ” ต้องขอโทษด้วย

“ตายหละหว่า คุณลืมไว้จริงๆเหรอค่ะ เมื่อกี้เอารถไปล้างอัดฉีดมา ไม่เห็นมีเลยอ่ะคะ” ฉันตกใจมากจริงๆนั่นแหละ

“เหรอค่ะ ไม่เป็นไรคะ เดี่ยวลองดูที่บ้านใหม่ค่ะว่าอยู่รึเปล่าเดี๋ยวหมึกโทรไปใหม่นะคะ” แล้วเธอก็วางสาย

ฉันสิรีบวิ่งไปที่รถ เปิดดูว่ายังคงมีกระเป๋าเธอหล่นอยู่ในรถหรือเปล่า หากมีก็ดีไปหากไม่มี ความซวยมาเยือนแล้วเรา เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราขโมยรึเปล่าก็ไม่รู้ ฉันค้นๆๆๆ ทุกซอกทุกมุมของรถ และในที่สุดก็เจอ มันตกอยู่ใต้เบาะ ด้านข้าง ดีใจอย่างกับลิงได้แก้ว แทบจะตะโกนออกมาดังๆ แต่ก็ด้วยว่าเห็นว่าเป็นเวลาดึกมากแล้วชาวบ้านเค้าจะเอากระถางต้นไม้ปาใส่หลังคาบ้านจึงไม่ได้ตะโกนออกไป

……………

เสียงโทรศัพท์ดังอีก

“คะ”

“หมึกไม่เจออ่ะค่ะคุณดา” เธอกรอกเสียงมาฟังแล้วเศร้าพิกล

“ดาเจอแล้วค่ะ คุณหมึก ในกระเป๋าคุณมีอะไรบ้างคะ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ มีเงินนิดหน่อย บัตรประชาชน บัตรพนักงาน บัตรเครดิต”

“เดี๋ยวดาดูให้นะคะว่ายังอยู่ครบหรือเปล่า”

“อะอย่าค่ะ อย่าเปิดค่ะ” ไม่ทันซะแล้ว ฉันเปิดกระเป๋าเธอ ฉันเห็นรูปของเธอกับผู้หญิงอีกคนนึง เพียงแค่เห็นแว๊บแรกก็รู้ทันที่ว่าเธอเป็นเหมือนฉัน หญิงรักหญิง โอ้พระเจ้า !!!!!

“ไม่ทันแล้วค่ะดาเปิดแล้ว”

“ไม่เป็นไรคะ คือหมึกไม่อยากให้ใครเห็นรูปก็เท่านั้น เห็นแล้วก็ไม่เป็นไรคะ แล้วของครบไม๊ค่ะ”

จากนั้นเราก็เช็คของในกระเป๋าสตางค์ของเธอ โดยที่เธอจะเป็นคนบอกฉันว่ามีอะไรบ้าง ยังโชคดีที่อยู่ครบ ไม่หายไปแม้แต่อย่างเดียว และที่สำคัญ ฉันได้รู้ว่าเธอก็ชอบผู้หญิงเหมือนที่ฉันชอบ (เค้าว่ากันว่าสาวบัญชีละเอียดรอบครอบนี่ท่าทางจะจริงที่เดียวหละ) เราจบการสนทนากันโดยที่ฉันเป็นคนบอกเธอว่าดึกแล้วต้องขอตัวนอนก่อนเพราะฉันต้องตื่นเช้า เราจึงราตรีสวัสดิ์กันในคืนนั้นอย่างง่วงมาก

……………………….

ฉันและหมึกเราคบกันในฐานะเพื่อนได้มาเกือบ 2 ปี โทรคุยกันทุกวัน เธอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็จะมาปรับทุกข์กับฉันเสมอ ทั้งเรื่องงานเรื่องแฟนของเธอที่ดูเหมือนจะระหองระแหงกันหนักขึ้นทุกวัน จนฉันเริ่มที่จะคิดว่าฉันเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเธอมากเกินไปหรือเปล่า เมื่อฉันบอกเธอ เธอกลับบอกว่าไม่หรอกถ้าไม่มีฉันเธอก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร

ฉันได้แต่เก็บงำความรู้สึกของฉันที่มีให้เธอเป็นความลับมาโดยตลอดทั้งๆที่เราสองคนมีความใกล้ชิดกันมาก แต่เพราะเธอมีเจ้าของแล้ว และฉันไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเพราะกลัวว่าเธอจะไม่ยอมคบกับฉันอีก และจะหนีฉันไปเพราะตอนนี้ฉันรักเธอมากเหลือเกิน

แล้ววันนึงเธอได้บอกกับฉันว่า

“ดา เราน่ะเลิกกับพี่เค้าแล้วนะ พี่เค้าไปมีคนใหม่ เค้าขอเลิกกับเรา เพราะเราไม่ใช่คนที่เค้ารัก เราแย่มากเลยนะ มาบอกเธอทำไมไม่รู้ แต่เราต้องบ้าแน่เลยถ้าไม่ได้บอกเธอ” เธอพูดเสียเครือ และฉันเข้าใจว่าเธอกำลังร้องไห้

“หมึก เราไปหาเธอที่บ้านนะ อย่าคิดมากรอเราสักชั่วโมงนะ เดี๋ยวเราไปหา” แล้วฉันก็วางสาย

ขณะที่ขับรถไป ก็ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้เธอคิดสั้น อย่าเป็นอะไรนะ เธอยังมีฉันที่เฝ้ารักเธอมาโดยตลอด เพียงแต่ฉันไม่กล้าบอกเธอเหมือนคนของเธอก็เท่านั้น อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเป็นอะไร

เมื่อถึงหน้าบ้านเธอ ฉันรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนโดยที่สวัสดีพ่อกับแม่ของเธอพอเป็นพิธีเท่านั้นแล้วก็วิ่งขึ้นไปข้างบนเลย เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปเห็นเธอนั่งอยู่บนเตียงมืดๆ ไม่พูดจากับฉันสักคำ ฉันนั่งมองเธออยู่นาน นานจนสามารถเก็บเอาความรู้สึกเสียใจของเธอไว้ในใจฉันได้

ฉันเอื้อมมือไปจับมือของเธอลูบมือนั้นอย่างแผ่วเบา โอบกอดเธอให้มาอยู่ในอ้อมกอดฉัน เธอร้องไห้ สั่นระริกในอ้อมกอดของฉัน ไม่มีเสียงพูดของเราทั้งสองคน แต่เรารับรู้ถึงความรู้สึกเป็นห่วงกันและกันได้จากสัมผัส และสายตาที่เราส่งให้กัน เธอหยุดร้องไห้แล้ว

ฉันอยากจูบเธอ และปลอบเธอมากกว่าที่ทำอยู่อย่างนี้ แต่ไม่สามารถทำได้ และแล้วเธอก็ผละออกจากอ้อมกอดฉัน เรามองตากันเนิ่นนาน ฉันอดทนต่อไปไม่ได้แล้ว ดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดฉันอีกครั้งจูบที่หน้าผากเธอ และบอกเธอว่า

“หมึกเรารักเธอนะ อย่าคิดสั้น อย่าเป็นอะไรนะ เรารักเธอตั้งแต่แรกเห็นในวันแรกที่เราได้เจอกัน เราไม่รู้ว่าจะบอกเธอได้ยังงัย เพราะเธอมีเจ้าของอยู่แล้ว เราเก็บมันมานานมากแล้วหมึก อยู่กับเรานะ อย่าจากเราไปไหน ตอนนี้เธอไม่มีใครแล้วเธอจะรับรักเราได้ไม๊ หมึก” ฉันพูด พูด และพูด ในสิ่งที่ฉันเก็บงำเอาไว้นาน

และเธอสนองตอบฉันด้วยการที่กอดฉันแน่นขึ้นกว่าเดิม ฉันจูบที่เปลือกตาของเธออย่างแผ่วเบา ดวงตานั้นยังมีคราบน้ำตาที่ยังคงไหลอยู่ตลอด ฉันจูบไล้ไปเรื่อยๆ ทั้งดวงหน้าของเธอ และในที่สุด ฉันก็ได้ลิ้มรสความหวานของปากสีชมพูของเธออย่างแผ่วเบา ดูดดื่ม ให้สมกับที่ฉันเฝ้ารอมานานเหลือเกิน และคืนนั้น เธอก็นอนอยู่ในอ้อมกอดของฉันทั้งคืน รุ่งขึ้นเราสองคนโทรลาป่วยและฉันพาเธอไปทะเล ฉันบอกเธอว่าไปเปิดสมองให้โล่ง จะได้ไม่ต้องคิดมากอีก

…………………….

เราสองคน เดินกอดกันอยู่ริมทะเล โดยไม่ต้องมีคำพูดจากปากเราทั้งสองคนเลย เราเพียงส่งคำพูดกันด้วยสายตา สัมผัส และหัวใจของเราเท่านั้น

เราเดินมาถึงโขดหินแห่งนึง และเราก็นั่งบนนั้น ดวงตะวันจะลับขอบฟ้าแล้วทะเลเป็นสีแสด ตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้า ลงไปทีละน้อย ทีละน้อย จนในที่สุดก็จมลงไปในทะเล

“หมึก เห็นดวงอาทิตย์นั่นไม๊ มันมีวันตกและก็มีวันขึ้น ก็เหมือนกับชีวิตเราทั้งสองนั่นแหละนะ เมื่อมีวันที่เสียใจก็ต้องมีวันที่สุขใจจริงไม๊” ฉันมองตาเธอด้วยสายตาที่หวานหยดย้อย

“จริงค่ะ แล้วตอนนี้ ใจในหมึกก็มีดวงอาทิตย์ดวงใหม่ขึ้นในใจแล้วหละ” เธอพูดยิ้มๆ

“ใครเอ่ย บอกได้ไม๊” ฉันแกล้งถามเธอ

“ก็ดางัยคะ ดาเป็นเพื่อนที่ดีของหมึกมานาน และเราก็จะเป็นเพื่อนคู่ใจที่เราจะเดินไปด้วยกันตลอดชีวิต สัญญากับหมึกได้ไม๊ค่ะว่าดาจะอยู่กับหมึกตลอดไป”

“ดาไม่สัญญานะคะ แต่ดาจะให้หมึกดูจากการกระทำของดาต่อจากนี้ไปต่างหากค่ะ ว่าจะทำได้รึเปล่า หมึกรู้ไม๊ ต้องขอบคุณความบังเอิญนะที่เราได้รู้จักกัน ถ้าวันนั้นหมึกไม่บังเอิญเดินออกมาจากลิฟต์ เราก็ไม่ได้ทักทายกัน เราก็ไม่มีเรื่องคุยกัน หมึกก็ไม่ได้ขึ้นรถเรา ไม่บังเอิญลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถเรา และเราก็จะไม่รู้ว่าหมึกชอบผู้หญิงเหมือนเรา ถ้าเราไม่บังเอิญเปิดกระเป๋าสตางค์ของหมึกจริงไม๊”

“ก็จริงนะ (((ขอบคุณความบังเอิญ)))” เธอตะโกนออกไปในท้องทะเล

“ขอบคุณมากกกกกกกกกกกก” ฉันตะโกนบอกอีกครั้ง

แล้วเราก็นั่งลงมองท้องทะเลที่มืดสนิทลงทุกที

“เราจะรักกันตลอดไปนะหมึก”

“ค่ะ เราจะรักกันตลอดไป”

…….จบ……
ฉันเขียนเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้วอีกเช่นกัน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
วันที่ฉันไปนั่งเล่นที่ริมทะเลแล้วมองนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวสมัยยังเป็นเด็กเริ่มทำงาน
ฉันคิดเสมอว่าชีวิตมีแต่เดินไปข้างหน้าเสมอ ไม่มีใครหยุดวันเวลาได้
และความบังเอิญก็เกิดขึ้นได้เสมอ หากความบังเอิญเกิดในด้านดีเค้าก็เรียกว่าบังเอิญแต่หากความบังเอิญเกิดในด้านลบ เค้าก็มักจะเรียกกันว่าอุบัติเหตุ

ใครที่กำลังอกหักรักคุด หรือไม่สมหวังในรัก ก็ให้ถือซะว่ากำลังเกิดอุบัติเหตุรัก
และพยายามเยียวยารักษาแผลรักให้หาย หากได้ยาดี หมอรักษาที่ดีก็คงหายเร็ว
หากไม่มียาไม่มีหมอรักษาก็หลบเลียแผลใจอยู่เงียบๆ
เวลาเหล่านั้นจะช่วยท่านได้ค่ะ

ฉันเชื่อเช่นนั้น.....




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2550    
Last Update : 1 ธันวาคม 2550 13:38:20 น.
Counter : 421 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ เรื่องฟ้าดาวและทะเล






ฟ้าดาวและทะเล


รถสีแดงเพลิงขับมาด้วยความเร็วสูง ในถนนสายเปลี่ยว ด้วยความเร่งรีบของผู้ขับ ที่ต้องรีบกลับบ้านเนื่องจากเป็นเวลาตี 3 กว่าแล้ว

“ติ๊ดๆๆๆๆๆ” เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“ใครโทรมานะ ดึกป่านนี้” เจ้าของรถสีแดงบ่นท่ามกลางความมือ และควานหาโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังเครื่องดังกล่าว

“เอ อยู่ไหนนะ ว่าวางอยู่แถวนี้นี่นา” พร้อมก้มลงหา

ทันใดนั้น รถมอเตอร์ไซด์ คันจิ๋วก็ขับปาดหน้า

“เอี๊ยด …….โคร่ม……..” เสียงรถสีแดงที่หักหลบรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นขับชนต้นไม้ข้างทางอย่างจังๆ
……………….

“รีบนำคนป่วยออกจากรถด่วนด้วยนะ หน่วยกู้ภัย วอสอง ” เสียงเจ้าหน้าที่กู้ภัยทำงานประสานกันอย่างรีบเร่ง เพื่อนำเจ้าของรถสีแดงไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

“งัดออกมานะ เอาเครื่องมือง้าง ด้วย...ยังหายใจยังไม่ตาย เร็วเข้าเร็ว ติดต่อโรงพยาบาลด่วนด้วย คนเจ็บเสียเลือดมาก” เสียงเจ้าหน้าที่หลายสิบคน กระวีกระวาดช่วยเหลือคนเจ็บให้ออกจากรถที่มีสภาพเละจนไม่น่าเชื่อว่าคนขับยังจะมีชีวิตอยู่

……………..

ณ.โรงพยาบาลแถวชานเมืองกรุงเทพแห่งหนึ่ง

“คนป่วยเสียเลือดมากนะคุณ ติดต่อขอเลือดด่วน ปั๊มหัวใจ ใช้เครื่อง refill ด้วย เคลีย “

“ปิ๊ป …… เคลีย …… ปิ๊ป ….. เคลีย …….. ปิ๊ป” เสียงเครื่องปั๊มหัวใจในมือหมอทำงาน

“เต้นแล้ว ขอ adenaline 0.5 cc ด่วน” หมอและพยาบาลพยายามช่วยคนป่วยอย่างเต็มที่ ในที่สุด เธอคนนั้นก็ยังมีชีวิตรอด

…………….

“ติดต่อ ญาติคนไข้ได้ไม๊คะ คุณ” เสียงหมอสาวถามขึ้นหลังจากได้ปฏิบัติภาระกิจช่วยชีวิตคนป่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ได้แล้วครับ สักพักคงมา” เจ้าหน้าที่กู้ภัยบอกกับหมอเจ้าของไข้

“เราต้องการเลือดด่วนนะค่ะ ตอนนี้” สีหน้าของหอมดูเป็นกังวล

“ครับ จะฝากประกาศทาง จส.110 ให้”

…………

“ลูกดิฉันเป็นยังงัยบ้างค่ะคุณหมอ” หญิงสาวสูงอายุท่าทางภูมิฐานท่านหนึ่งดังขึ้นอย่างเป็นกังวล

“ปลอดภัยค่ะคุณ แต่ตอนนี้เธอเสียเลือดมา และสมองบวม มีเลือดคั่งในสมอง เราต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน และต้องขอบริจาคเลือดจากผู้มีจิตศรัทธาค่ะ”

“เอาเลือดดิฉันค่ะ ลูกดิฉัน เลือดกรุ๊ปเดียวกัน” หญิงสูงอายุ เสนออย่างไม่ต้องรอความคิดเห็นจากใคร

“ค่ะ พยาบาลค่ะ ช่วยพาคุณไป bleed เลือดด้วยค่ะ …… เอาคนป่วยเข้า OR ด้วย ด่วนนะ” คุณหมอคนสวยสั่งอย่างชำนาญ และเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด

…………

“สามชั่วโมงแล้วนะพ่อ ลูกเราจะเป็นงัยบ้าง” หญิงสูงอายุยังคงนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดอย่างใจจดใจจ่อ

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ทำใจดีดี ว้ ลูกเราต้องไม่เป็นไร ลูกเราเป็นคนดีพระย่อมคุ้มครอง” ชายสูงอายุ ท่าทางอิดโรยหันกลับไปบอกกับหญิงสูงอายุท่านนั้น

“ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกเราให้ปลอดภัยด้วยเถอะ เจ้าประคู๊ณ”

ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก โดยแรงผลักของหมอสาว

“คุณหมอค่ะลูกดิฉันเป็นยังงัยบ้างค่ะ”

“ปลอดภัยแล้วค่ะ แต่ต้องรอดูอาการอีกสักระยะ เพราะสมองของเธอกระทบกระเทือนมาก มีเลือดคั่งในสมอง และ เรายังไม่ทราบว่าจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรบ้าง คงต้องดูอาการอีกสักพักจึงจะตอบได้…… ขอตัวนะค่ะ ตอนนี้ยังไม่สามารถเยี่ยมได้นะค่ะต้องให้อยู่ในห้อง ICU ไปก่อนนะค่ะ” แล้วหมอสาวก็เดินจากไป

………….

ร่างกายของเธอตอนนี้ยังคงนอนไม่ได้สติ แต่ทำไมเธอเห็นตัวเธอหละแล้วใครมาทำอะไรที่นี่ โอ้วไม่นะ นี่กี่วันแล้วเรามาทำอะไรที่นี่

“ยังไม่ฟื้นเลยคะคุณหมอ เกือบ 2 อาทิตย์แล้ว” เสียงผู้เป็นแม่ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“คะคงต้องใช้เวลา นี่ยังดีนะคะที่คนป่วยร่างกายแข็งแรงตั้งแต่ต้น ไม่งั้นคงแย่กว่านี้อีกเยอะ ใจเย็นๆนะค่ะคุณแม่ …. หมอจะมาดูเป็นระยะๆ นะคะ ขอตัวก่อนค่ะ” เธอก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงดูเป็นห่วงเป็นใยคนไข้รายนี้นัก เพราะอะไรนะ

“ลูกแม่... ตื่นเสียทีสิลูก... ใจแม่จะขาดอยู่แล้วนะลูก” น้ำตาของความเป็นแม่ไหลออกมาไม่หยุด ตั้งแต่ลูกสาวคนเดียวของเธอ เข้าโรงพยาบาลหลังจากประสพอุบัติเหตุทางรถยนต์เธอก็ไม่เป็นอันทำงาน มานั่งเฝ้าอาการถึงแม้ว่าจะเข้าเยี่ยมไม่ได้เธอก็ยังเฝ้าอยู่ตรงหน้าห้องนั้นไม่ไปไหน ร่างกายของเธอดูซูบซีดลงไปมากหากมีคนสังเกตุเห็น มีเพียงหมอสาวเท่านั้นที่เข้ามาพูดคุยเป็นระยะๆ และดูแลเธอเมื่อเธอเป็นลมโดยไม่ได้รังเกียจอะไรเธอ ส่วนสามีของเธอต้องวิ่รอกระหว่างโรงพยาบาลกับที่ทำงานทุกวันเพราะเป็นห่วงภรรยาและลูกสาว แต่เพราะธุรกิจที่ทำอยู่ไม่สามารถที่จะทิ้งได้ เขาจึงต้องวิ่งไปวิ่งมาตลอด

“คุณเป็นใคร” เสียงหญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ถามหญิงสาวในชุดสีขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ฉันเป็นใคร โอ๊ย…… ปวดหัว” เธอว่าแล้วกุมขมับแสดงอาการปวดหัวรุ่นแรง

“ขอ pethitine 0.5 cc นะค่ะ แล้วก็ valuim .05 cc ด้วย ฉีดเข้าเส้นนะ….อ้อ แล้วแจ้งญาติ คนไข้ด้วยว่าคนไข้ฟื้นแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง …….. คุณประสบอุบัติเหตุทางรถค่ะ นอนเป็นเจ้าหญิงนิททรามา 3 อาทิตย์แล้วคะ เป็นงัยค่ะ” เสียงใสๆของหมอยังคงพูดต่อไป และประโยคหลังหันมาพูดกับฉันที่นอนปวดหัวอยู่บนเตียงคนไข้

“ปวดหัวคะ โอ๊ย…. ปวดมากอะ ช่วยที ช่วยด้วย………” ฉันยังคงร้องโอดโอยอยู่ที่เดิม

“ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวก็หายนะค่ะคนดี พักผ่อนเถอะคะตื่นมาจะได้ดีขึ้น นะค่ะ”

สิ้นเสียงนั้นแล้วฉันก็หลับไปด้วยอาการง่วงงุน คงเป็นเพราะฤทธิ์ยา

………….

“ดีใจจังคะคุณหมอที่น้องปานฟื้นซะที ขอบพระคุณนะค่ะคุณหมอที่ช่วยชีวิตน้องปานไว้ ดิฉันจะไม่ลืมพระคุณคุณหมอเลยชั่วชีวิตนี้” คุณระจิตหญิงสาวมารดาของปานหทัยขอบอกขอบใจคุณหมอสาวผู้แสนใจดีและน่ารัก คุณหมอดารา ผู้ใจดี และมีเมตตา

“คะ ไม่เป็นไรคะดาวยินดีรับใช้คะคุณจิต” และยิ้มให้อย่างมีเมตตา

“คงต้องรอดูอาการอีกสักระยะ อย่างที่ดาวเคยเรียนคุณน้าจิตไว้นะค่ะ ว่าต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาการยังคงน่าเป็นห่วงอยู่”

“คะ คุณหมอดาวขอบคุณจริงๆนะค่ะ ดิฉันไม่มีอะไรตอบแทนคุณหมอได้เลย ต้องขอบคุณจากใจจริงอีกครั้งคะ ดิฉันมีลูกคนเดียว ถ้าเสียเค้าไปดิฉันคงอยู่ไม่ได้” น้ำตาของผู้เป็นแม่ซึมออกมาอีกครั้ง

“คะ ช่วงปีใหม่ก็อย่างนี้แหละคะ อุบัติเหตุเกิดเยอะหมอเองก็ทำงานไม่ได้หยุดเหมือนกัน ปี 2000 นี่ ดุจังนะค่ะ” แล้วหมอคนสวยก็ยิ้มส่งเป็นกำลังใจให้กับญาติคนป่วย

“ขอตัวนะค่ะ”

“คะ ไม่ส่งนะค่ะคุณหมอ”

……………

ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ใครกันนะ ผู้หญิงคนนั้น แล้วนี่ใครกัน นั่งอยู่ข้างเตียง

“ตื่นแล้วหรือลูก” คุณระจิตถ้าด้วยเสียงตื่นเต้น

“คุณเป็นใคร มาทำอะไร” ฉันจำไม่ได้จริงๆผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน

“แม่งัยคะลูก นี่แม่นะลูกปาน ฮือๆๆๆ….. ทำไมลูกจำแม่ไม่ได้หรือค่ะลูก” เสียคุณระจิตสะอื้นหนักขึ้น

“ไม่ใช่ คุณเป็นใคร” ฉันเสียงเขียว ฉันลืมหมดทุกอย่างที่เคยมีในอดีต ลืมแม้กระทั่งตัวเองว่าเป็นใคร จำชื่อตัวเองไม่ได้ โอ๊ย ฉันปวดหัว ใครเอาอะไรมาไว้ในหัวฉัน เอาออกไปที

“ช่วยด้วย……. ปวดหัว ใคร โอ๊ย …… ฉันเป็นใคร” ฉันยังคงร้องอยู่เช่นนั้น และดิ้นทุรนทุรายจนผ้าปูที่นอนหลุดรุ่ย เอามือทั้งสองข้างจับศรีษะไว้ ใช้ขาทั้งสองข้างถีบที่นอนอย่างรุนแรง

“คุณพยาบาลค่ะ ช่วยด้วยคะ...........”คุณระจิต กดอ๊อดเรียกพยาบาลเพื่อให้เข้ามาดูอาการของลูกสาวเธอ

“อาละวาดใหญ่แล้วคะ จำอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งดิฉัน ทำงัยดีค่ะ คุณหมอดาวอยู่ไม๊ค่ะ”

“คุณหมอดาราเธอออกเวรไปแล้วคะคุณ”พยาบาลตอบแล้วก็วิ่งออกไปเรียกหมออีกท่านมาเพื่อดูอาการ

…………..

ฉันยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นอีกเป็นเดือน เพราะโรคความจำเสื่อมของฉัน ที่เกิดจากอุบัติเหตุ หมอลงความเห็นว่าฉันควรที่จะได้อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกเพื่อสมองของฉันจะได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ พ่อกับแม่จึงตัดสินใจว่า จะให้ฉันไปอยู่บ้านที่เมืองชลเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

หมอดาราคนสวยยังคงเป็นหมอเจ้าของไข้ของฉัน แต่ฉันต้องตื่นขึ้นมาด้วยอาการจำได้บ้างไม่ได้บ้าง และร่างกายที่ผอมลง กล้ามเนื้อที่ลีบลงเพราะการนอนบนเตียงมาโดยตลอดของฉัน

ฉันต้องไปฝึกทำกายภาพบำบัด อยู่ตลอด เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ฉันเริ่มจำแม่และพ่อ รวมถึงคุณหมอดาราได้เพราะเราเจอกันทุกวัน แม้กระทั้งเสาร์-อาทิตย์คุณหมอดาราก็เข้ามาดูอาการของฉัน แม่บอกว่าคุณหมอใจดีมาก ยังโสด ฉันจำได้เพียงแค่นั้นนอกนั้นฉันจำไม่ได้

ฉันต้องเรียน เขียน เรียนอ่าน ใหม่หมด เหมือนเด็กหัดใหม่ นี่ดีแค่ไหนที่ยังจำว่าต้องพูดภาษาไทยได้ สื่อสารกันรู้เรื่องหมดดาราบอกกับฉันว่าคนป่วยบางคน แม้กระทั้งการพูดยังไม่เข้าใจว่าต้องพูดอย่างไรแต่ฉันยังพูดได้ คงเป็นเพราะสมองส่วนที่เป็นการพูดของฉันไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนไปด้วยกระมัง

ทุกวันเมื่อแม่ของฉันกลับบ้านไป หมอดาราจะเข้ามาคุยกับฉัน ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ทุกวันจนเราสนิทกัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึก อยากพูดอยากคุยกับหมอดารานักหนา รู้แต่เพียงว่า ฉันอยากใกล้ชิดกับหมอ หมอสอนให้ฉันดูดาว เพราะว่าจะได้ทำให้ฉันคลายกังวล

ฉันเคยแซวหมอว่าให้ฉันดูหมอดาราบนท้องฟ้าหรืองัยกัน

“ใช่สิค่ะ หากคุณคิดถึงหมอก็ดูดาวบนท้องฟ้า หมอจะคอยดูคุณหากไม่ทานยาตรงตามเวลา ไม่ยอมนอนพัก ไม่ยอมเรียน หมอจะได้มาดุคุณได้งัยค่ะ” เธอพูดเล่นได้แสนน่ารัก

“อีกสองวันคุณก็กลับบ้านได้แล้วหละคุณปาน แล้วมาตรวจตามที่หมอนัดนะค่ะ”

“ยังไม่อยากกลับบ้านเลยคะ ที่นั่นมีใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก แล้วปานจะคุยกับเค้ารู้เรื่องไม๊ค่ะ” ฉันถามด้วยความกังวล

“รู้เรื่องสิค่ะต้องรู้คุณปานเก่งจะตาย หมอเอาใจช่วยนะค่ะ แล้วมีอะไรหมอให้เบอร์โทรไว้ที่คุณน้าจิตแล้ว โทรหาหมอได้นะ หมอขอตัวนะค่ะ ต้องไปตรวจคนไข้ต่อ ”

“ประโยคนี้อีกแล้วคุณหมอขอตัวก่อน ทิ้งใจไว้นะ เราจะเก็บไว้อิอิ”

“นะคุณ แสดงว่าหายดีแล้ว กลับบ้านได้ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะค่ะหลับฝันดีนะ” หมอพูดพลางเดินเข้ามาพยุงฉันขึ้นนอนบนเตียงและห่มผ้าให้ ฉันมีความรู้สึกเหมือนหมอดาราคนนี้เป็นเหมือนแม่ของฉัน ซึ่งหลังจากที่ฉันเข้าโรงพยาบาล ท่านก็มีอาการไม่สู้ดีนัก เพราะท่านเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ระยะหลังๆ แม่ของฉันก็ไม่ค่อยได้มา ฉันรู้สึกเป็นห่วงท่าน พรุ่งนี้ฉันจะต้องกลับบ้าน รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องจากที่นี่ไป ก็จะทำไมหละ ฉันจำไม่ได้จริงๆ ว่าฉันเป็นใคร

………………….

พ่อกับแม่ พยายามให้ฉันเจอกับเพื่อนสมัยที่เรียนด้วยกัน เอารูปเก่าๆ มาให้ดู แต่ฉันจำไม่ได้ ในที่สุด ท่านก็ต้องเลิกราไป

ฉันไปพักฟื้นที่บ้านเมือชล ที่นั่นมีดาวให้ฉันดู ฉันเริ่มศึกษาเรื่องดาว อ่านหนังสือเกี่ยวกับดวงดาว เพราะอะไรนะ เพราะหมอดาวใช่ไม๊ หมอจะรู้ไม๊นะว่าฉันคิดถึง ฉันเฝ้าดูดาวทุกวันโทรหาหมอทุกวัน จนเป็นเรื่องปกติของฉันที่ต้องทำ

“หมอดูดาวอะไรอยู่คะตอนนี้” ฉันส่งเสียงตามสายไปหาหมอที่แสนดีของฉัน

“กลุ่มดาวนายพรานค่ะ ดูอยู่หรือเปล่าค่ะ”

“ค่ะ ดูอยู่ที่นี่เห็นชัดมากทะเลมืด ไม่มีแสงจันทร์ ปานกำลังเดินอยู่ริมทะเล รับลมค่ะ”

“นะค่ะ น่าอิจฉาจังเลย ตอนนี้หมออยู่ที่ระเบียงบ้าน นอนดูดาวอิจฉาคนอยู่ริมทะเลจัง อย่านอนดึกนะค่ะ เป็นห่วง อ้อ……. ปาน ทานยาหรือยัง อย่าบอกนะว่าลืม”

“แฮะๆๆ ลืมจริงๆ ด้วย”

“กลับบ้านเลย ไปทานยาเดี๋ยวก็ไม่หายหรอก” เสียหมอเป็นกังวลอย่างยิ่ง

“จ้าคุณแม่ ……อิอิ” แล้วบทสนทนาก็จบลงเพราะฉันต้องวิ่งกลับบ้านไปทานยา

…………………….

ความสัมพันธ์ของฉันกับหมอดาราเป็นไปด้วยดีตลอดสองปี ฉันมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ หมอดารามักจะลางานมาอยู่เป็นเพื่อนฉันที่บ้านชลบุรี บ่อยๆ ฉันเริ่มรู้สึกกว่านี่เป็นความรัก

ฉันเคยถามแม่ว่า ฉันเป็นแบบนี้ท่านจะโกรธไม๊ “แม่ไม่เคยโกรธปานหรอกลูกแค่มีปานอยู่กับแม่ แม่ก็ดีใจแล้ว อีกอย่างที่ลูก ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะหนูดาว หากปานจะรักหนูดาวแม่ก็ไม่ว่า แต่หนูดาวสิเค้าจะรักลูกของแม่ หรือเปล่า เธอออกสวยปานนั้น คงมีคนรักเธอมากมาย แล้วลูกแม่จะเสียใจเปล่าๆ นะลูก เผื่อใจไว้บ้างลูกแม่” แม่ฉันยังคงเป็นแม่ที่น่ารัก จะเหมือนเดิมหรือเปล่าฉันก็ไม่รู้เพราะ ความทรงจำของฉัน มันมีแค่ปี 2000 เท่านั้น ต่อให้พยายามที่จะจำอย่างไร ก็ทำไม่ได้ เพราะ ฉันจะปวดหัวทุกครั้งที่พยายามคิด

ฉันเหมือนคนไม่มีอดีต และไม่มีใครบอกว่าอดีตฉันเป็นอย่างไร ไม่มีใครรื้อฟื้นมัน ทั้งๆ ที่ฉันพยายามถามว่าฉันเป็นอย่างไรเมื่อก่อน ฉันเห็นรูปถ่ายของฉันตอนเด็กๆ ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนเดียว จึงมีรูปถ่ายเต็มไปหมด

ฉันรื้อๆ รูปที่ถ่ายออกมาดู ทีละใบๆ และได้พบกับรูปที่ยืนถ่ายกับหญิงสาวคนนึง ใบหน้านคล้ายๆ กับหมอดาว เป็นรูปสมัย มัธยมต้น ฉันก็ไม่รู้ว่า ม.อะไร แต่สังเกตจากชุดนักเรียนที่ใส่ ยังเป็นผูกไทด์แขนสั้น แสดงว่า ม.ต้น ก็เท่านั้น แต่เป็นรูปที่ถ่ายไกลมาก ฉันตัดผมสั้นจะเรียกว่าซอยก็ได้ ส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้ผมเปียยาวสองข้างผูกด้วยโบว์สีน้ำเเงิน เรายืนกอดกันเหมือนๆ กับจะรักกันมากเสียด้วย

“ใช่จริงๆ แหละ หมอดาว ใช่ ๆๆๆๆๆ “ ฉันตะโกนออกมาด้วยความดีใจ

“หมอ!!!!! ปานเจอรูปถ่ายใบนึง ยืนกอดกับเด็กผู้หญิงผมเปีย น่ารักมาก” ฉันหยั่งเชิงคุยกับหมอดาวเมื่อมีโอกาสได้คุยกันทางโทรศัพท์

“เหรอแล้วจำอะไรได้ไม๊ปาน…..” เสียงเธอเหมือนจะดีใจที่ฉันพูดถึงเรื่องนี้

“ไม่เลยหมอ แต่เด็กคนนั้นหน้าเหมือนหมอยังกับแกะแนะ ว่างๆ หมอมาดูด้วยกันสินะหมอนะ แล้วบอกปานด้วยว่า ใช่หมอหรือเปล่า”

“อืม ได้แล้วว่างๆ จะไป วันนี้ทานยาหรือยังค่ะ”

“ทานแล้วไม่ลืมหรอกจ๊า คุณหมอคนสวย ฮ่าๆๆๆๆ ฝันดีนะหมอสุดที่รัก รักหมอม๊าก มากอิอิ”

“กวนนะเดี๋ยวนี้ พอหายดีแล้วกวนหมอนะ รู้งี้ไม่ช่วยซะก็ดีหรอกคนอะไร”

“โห หมอใจร้าย รู้งี้ไม่รักซะก็ดีหรอก”

“ไม่รักก็อย่ารักสิ ใครง้อ” เสียงขุ่นมาเลยคราวนี้

“ก็อิฉันรักไปแล้วอะ เปลี่ยนใจไม่ทันแล้วอิอิ ฝันดีนะหมอแล้วฝันถึงปานบ้างนะ คนดี”

“คะฝันดีนะ”

…………

ได้แต่ฝันหวาน ได้แต่เพ้อไป ว่าหัวใจแอบรักใครคนหนึ่ง เขาดูคมเข้าบาดใจรักตรึง ฝันรำพึงฝากรอยซึ้งใจ

เสียงเพลงดังแผ่วๆ จากเครื่องเสียงในห้องนอนของหมอดารา

“ปานเมื่อไหร่เธอจะจำเราได้ซะทีนะเธอจะรู้ไม๊ว่าเรารักเธอแค่ไหน เธอเคยสัญญาว่าจะไม่ลืม ท้องฟ้า ดาว และทะเลของเรางัยปาน ทำไมนะปาน ทำไม” เสียงพึมพำพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงจากดวงตาคมคู่นั้นและร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ และจับสร้อยรูปดาวดวงเล็กๆ ที่ห้อยคอของเธอตลอดเวลา

………………

เมื่อ 12 ปีก่อน

“ดาว เราไปเที่ยวทะเลกันนะ ก่อนที่ตัวจะย้ายไปนะ เรามีอะไรจะให้ตัวด้วย” เสียงเด็กน้อยวัยแรกรุ่นน่ารักคนหนี่งพูดขึ้น

“ได้สิ เราจะขอแม่ไปเที่ยวบ้านปานนะ ก่อนที่เราจะย้ายไป เราไปตอนสอบปลายภาคเสร็จนะปาน”

“อืมเราไปกัน แล้วเรามีอะไรจะให้ดาวที่นั่นด้วยนะ”

“ตกลง ไว้ค่อยนัดกันนะ” มิตรภาพเพื่อนสองคนที่รักกัน กำลังจะต้องจบลงเพราะเพื่อนอีกคนต้องย้ายไปอยู่แดนไกล ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่สามารถที่จะยับยั้งการจากันครั้งนี้ได้ เพราะดาวต้องย้ายตามครอบครัวของเธอไปอยู่ต่างประเทศ

……………..

“ท้องฟ้า ดวงดาวและทะเลของเรานะ ดาวเราให้เธอ” ปานพูดพร้อมทำมือผายออกไปเบื้องหน้า และวาดมือกลับมากุมมือดาวไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างล้วงไปในกระเป๋ากางเกงขาสั้น หยิบกล่องสีแดงเล็กๆน่ารักออกมาใบหนึ่ง

ภายในกล่องใบนั้น มีสร้อยเส้นเล็กๆ ห้อยจี้รูปดาวห้าแฉก สีทองฝังเพชร เล็กๆ น่ารัก ปานบรรจงหยิบสร้อยเส้นนั้น และสรวมให้กับดาวเพื่อนรัก

“เราให้ดาวนะเป็นที่ระลึก ให้นึกถึงเราเสมอ หากวันใดที่ดาวเหงา ดาวจะมีเราอยู่เป็นเพื่อนตลอดไปนะ”

“เราจะคิดถึงปานทุกวัน”

เด็กสองคนยืนจับมือและมองตากันด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและอาทร

“รักเอย จริงหรือที่ว่าหวาน หรือทรมานใจคน
ความรักร้อยเล่ห์กล รักเอยลวงล่อใจคน หลอกจนตายใจ
รักนี้มีสุขทุกข์เคล้าไป ใครหยั่งถึงเจ้าได้ คงไม่ช้ำ ฤดี
รักเอยรักที่ปรารถนา รักมาประดับชีวี
หวั่นในฤทัยเหลือที่ แกรงรักลวงฤดีรักแล้วขยี้ใจ
ขืนห้ามความรักคงไม่ได้ กลัวหมองไหม้ ใจสิ้นสุขเอย”

“เราจะรักกันเราจะไม่ลืมกันนะดาว สัญญากับเรานะ เราจะยืนดูดาวทุกวันเพื่อคิดถึงเธอ”

“ใช่เราจะยืนมองดาวด้วยกัน ดาวจะดูท้องฟ้าและดวงดาวจากที่โน่น เมื่อเราคิดถึงกัน เพื่อให้เราไม่ลืมกัน”

“ตกลง สัญญา” ทั้งสองเกี่ยวก้อยเป็นพันธะสัญญากันอย่างแท้จริง

…………..

“หมอ ดีใจจังที่หมอมาได้ วันนี้ปานมีรูปมาให้หมอดูด้วยนะ นี่งัยหมอรูปที่ว่า” พร้อมกับยื่นรูปของเด็กสวาสองคนให้หมอดาวดู

“นั่นเป็นรูปของดาวเองแหละปาน เราถ่ายรูปนี้กันก่อนที่เราจะไปอยู่เมืองนอก”

“ฮ้า!!! จริงอะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนนี้เหรอหมอ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงตกใจจริงๆ

“ใช่เราเคยรู้จักกัน เราเคยเป็นเพื่อนที่รักกัน แต่ด้วยความห่างไกล และเรายังเด็ก เราเลยไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่เราไม่เคยลืมปานนะ”

“เราสิหมอ จำไม่ได้ แต่เราสัญญานะว่า…..”

“ไม่ต้องสัญญาปาน เราไม่อยากได้คำสัญญาอีกแล้ว” พูดพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากฉันไว้

“เราอยากได้ความจริงใจและ ความรักจากปาน เดี๋ยวนี้ เวลานี้” พลางโน้มตัวฉันเข้าไปกอด

“เราเข้าใจ หมอ เรารู้ว่าเรารักหมอ ทั้งๆ ที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้”

“ใครบอกปานว่าเป็นไปไม่ได้ เรารู้สึกคุ้นหน้าปานตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้าปานอยู่บนเตียงคนไข้แล้ว แต่ปานโตขึ้นมาก และเราก็นึกรักปาน คนที่เราเฝ้าตามหามานาน เราเลือกที่จะกลับเมืองไทย มาเป็นหมอที่นี่ เพราะเราจะมาตามหาปาน มาตามหาหัวใจของเรา เรารักปานนะ”

“หมอถึงแม้ความทรงจำของเราจะไม่มีอดีตนะ แต่ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะมีหมอดาวที่แสนดีของเราอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป เราจะไม่สัญญา แต่เราจะทำให้หมอเห็นว่าเราทำได้อย่างที่พูดจริงๆ”

“ปานเราขออะไรอย่างได้ไม๊ เรียกเราว่าดาวเถอะ ถึงเราจะเป็นหมอในสายตาของใครแต่เราจะขอเป็นดาวประดับในใจปานคนดีของเราได้ไม๊”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ สุดที่รักของปาน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ มีความสุขจริงงงงงง”

“งั้นเราขอบ้างนะดาว เราขอให้ดาวเป็นของเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฮ่าๆๆๆๆ” พูดจบฉันก็อุ้มดาวดวงน้อยของฉันเข้าบ้าน จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ คิดเองสิค่ะท่าน ผู้อ่าน ฮ่าาาาา

………………
-จบ-


เรื่องนี้ ฉันเขียนขึ้นเมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว จากการรู้จักพี่คนหนึ่งในเวปปิงฟ้าวิลันดาพี่ทะเล (ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอคือใคร) พี่เค้าประสบอุบัติเหตุ ความจำเสื่อมและทุกวันเค้าต้องรื้อความจำใหม่

เหมือนหนังฝรั่งเรื่อง 50 เฟิร์สเดท อะไรทำนองนั้น พี่เค้าเล่าเรื่องต่างๆ ผ่านทางเอ็มเอสเอ็นและในห้องแชต ฉันเกิดประทับใจและนำเรื่องของพี่ทะเลมาเขียน เป็นนิยาย

ฉันกับพี่ทะเลชอบดูดาว เหมือนกันก็เลยมีเรื่องคุยกันให้สนุกสนาน ถึงแม้จะนานมาแล้วแต่ความทรงจำเก่าๆ ก็ยังไม่เคยลบเลือน

****แด่ความทรงจำที่ดีของฉัน*****




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 1 ธันวาคม 2550 0:42:21 น.
Counter : 409 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : เรื่อง วันเหงา






วันเหงา...... ตอนที่ 1
แสงแดดยามเย็นสาดส่องเข้ามายังพื้นห้อง แสงอ่อนๆสีส้มแดงสวยงามจนคนที่นั่งมองยังคงจ้องผ่านหน้าต่าง วิวที่สงบและบรรยากาศภายนอกทำให้รู้สึกเหงา คงเพราะความเงียบงันบนเกาะที่ค่อนข้างไร้ผู้คน ใช่สินะ ที่นี่เป็นเกาะที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาสักเท่าไรนัก ฉันนั่งมองแสงแดดและดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า ดวงตะวันสีส้มกลมโตที่กำลังจะตกลงสู่ท้องทะเล

ณ ขอบฟ้าอันกว้างไกล คงเหมือนหัวใจของฉันตอนนี้ที่คล้ายกับตะวันที่กำลังใกล้ลับขอบฟ้าเสียเต็มประดา นานเท่าไรแล้วที่ฉันไม่ได้ มาเที่ยวทะเล ไม่ได้มานั่งมองทะเลสีคราม ตะวันลับขอบฟ้าแบบนี้ เพราะอะไรนะหรือเพราะว่าฉันมัวแต่ใช้ชีวิตอยู่กับงานกองโตที่สุมลงมาบนโต๊ะทำงานของฉัน ทุกๆวันกว่าฉันจะเคลียร์งานเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่ม การนอนดึกตื่นเช้าไปทำงานกลายเป็นเรื่องปกติของฉันที่ต้องทำเป็นกิจวัตร และในวันหยุด ก็ ยังต้องยุ่งกับงานบ้าน เสื้อผ้ากองโตที่สุมๆ กันไว้ทั้งสัปดาห์ เพราะว่าไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะเคลียร์กองผ้า ขอแค่ได้อาบน้ำแล้วซุกตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มๆ สะอาดๆ ก็ พอใจแล้ว หึหึ

ชีวิตประจำวันอันแสนน่าเบื่อ ฉันน่าจะลาพักร้อนมาท่องเที่ยวแบบนี้นานแล้วนะ นี่ฉันไปหลงอยู่กับงานพวกนั้นทำไมนานนักนะ ฉันลืมไปได้อย่างไรว่า ยังมีชีวิต อีกมุมหนึ่งที่สามารถจะมีได้

ฉันเดินออกมาที่ชายหาดเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว เห็นพรายน้ำระยิบระยับ ที่สะท้อนแสงเดือนครึ่งเสี้ยว ยังพอมีแสงดาวให้เห็นบ้างฝั่งตรงข้ามกับจันทร์ครึ่งเสี้ยวนั่นเอง ท้องฟ้าในฤดูหนาว ไม่ใช่สิ ปลายฝนต้นหนาวนี้ช่างสว่างดีนักเชียว สวยเหลือเกิน

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงหวีดร้องดังขึ้นมาท่ามกลางความมืดและเงียบสงบของบรรยากาศ

“เฮ้ยยยยยยยยยย เสียงอะไรนะ” ฉันร้องด้วยความตกใจ และวิ่งไปที่ต้นเสียงที่ฉันได้ยิน

ภาพตรงหน้าคือหญิงร่างสูง ยืนอยู่บริเวณชายทะเลและกำลังเดินลงไปในทะเลอย่างช้าๆ

“คุณ อย่าคิดสั้นนะค่ะ” ฉันตะโกนไปอย่างสุดเสียงเช่นกัน และ รีบวิ่งเข้าไป ด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ฉันสามารถจะวิ่งได้

เธอคนนั้นหยุดชะงัก และหันหลังกลับมา ไม่ทันเสียแล้วฉันโถมเข้าไปดึงตัวเธอเข้ามาและกอดไว้อย่างเต็มแรงและล้มลงไปในน้ำทะเลพร้อมกัน ลิ้นได้รสความเค็มของน้ำทะเลเข้าไปเต็มๆ เธอคนนั้นสะบัดฉันออก

“นี่คุณ จะบ้าเหรอ มาทำอะไรฉัน”

“อ้าว ก็คิดว่าคุณจะฆ่าตัวตายนะสิ”

“ใครจะฆ่าตัวตายยย” เธอ มองหน้าฉันด้วยสีหน้าแสดงความตกใจ

“อ้าว ใครจะไปรู้หละ ก็ ได้ยินเสียงคุณร้องกรี๊ดด แล้วก็เดินลงทะเล เป็นใครก็ต้องคิดว่าคุณจะฆ่าตัวตาย” ฉันพูดตามที่ตัวเองคิด และเหมือนเป็นการแก้ตัวด้วย

“นี่คุณคะ ฉันนะแค่ เครียด แล้วก็คลายความเครียดด้วยการตะโกนออกไปที่ทะเล แล้วก็เดินเล่นน้ำทะเลเท่านั้นเองไม่ได้ คิดฆ่าตัวตายหรอก อะไรกันใครจะคิดฆ่าตัวตายคะ โลกยังสวยงามอีกเยอะนะ ฉันไม่คิดอะไรสั้นๆ แบบนั้นหรอก”

“อ้อ งั้น งั้น และ แล้ว ปะ ไป คะ ค่ะ ตอนแรกนึกว่าคะ คุณจะฆ่าตัวตาย เลยเข้ามาช่วย ปรื้ออออออออออ” ฉันพูด ด้วยเสียงสั่นเพราะความหนาวของอากาศ และสายลมที่พัด มาปะทะตัวฉัน ก็จะไม่ให้หนาวได้อย่างไรกัน ลมออกแรงปานนี้ และนี่ก็ค่อนข้างดึกแล้วกระมังเพราะสังเกตจากพระจันทร์ ที่กำลังจะอยู่กลางศรีษะแล้ว

“แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้คะ ดึกแล้วนะนี่ ออกมาคนเดียว ดู สิ ฮ่า....... หน้าซีดเชียว สงสัยจะหนาวละสิ คุณพักที่ไหนคะ เดี๋ยวฉันเดินไปส่งค่ะ ที่พัก ฉันอยู่แถวนี้เอง หรือจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องฉันก่อนดีไม๊คะ อ้อ ฉัน แอนคะคุณหล่ะค่ะชื่ออะไร”

“แจนคะ ไม่เป็นไรหรอกคะฉันพัก ยู่อีกด้านของเกาะคะ ตะ ตะ แต่ เดินกลับไปเองได้คะ ไม่ต้องห่วง” ฉันยังคงเสียงสั่นเพราะความหนาว

“อย่าดีกว่าคะ แอนก็..หนาวเหมือนกันคะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแอนดีกว่า แอนอยู่คนเดียวคะไม่มีใครอยู่ด้วย”

แล้วฉันก็ เดินตามเธอไปใจยังนึกแปลกๆใจที่เดินตามเธอไปได้ อย่างไร เมื่อถึงห้อง เธอก็ หยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ฉันและบอกว่า ให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนที่จะเป็นหวัด ฉันก็ทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อฉันจัดการกับตัวเองเรียบร้อยเธอก็ เข้าไปอาบน้ำบ้าง ฉันนั่งอยู่ในห้องเธอ และหากุญแจห้องพักของฉันที่ติดตัวออกมา ฉันจำได้ว่าเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงนี่นา หายไปไหนได้นะ

“หาอะไรค่ะคุณแจน” เสียงทักขึ้นจากด้านหลัง

“หากุญแจค่ะ กุญแจห้องพักค่ะ ไม่รู้หายไปไหนแล้วหาไม่เจอเลยนะคะ”

“สงสัยจะหายไปตอนลงไปในน้ำกระมังค่ะ งั้นคุณนอนที่นี่เลยก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องเดินกลับไปทางฝากโน้น คุณนอนที่บนเตียงแล้วกันคะส่วนแอนนอนที่โซฟา”

“อุ้ยไม่ได้คะคุณแอน แจนนอนที่โซฟาเองดีกว่า แจนมากวนคุณนะคะ แค่นี้ก็ เกรงใจแล้ว ยังไงคืนนี้ต้องขอรบกวนนะคะ ไว้ฟ้าสางเมื่อไรแจนจะออกไปคะ ไม่กวนคุณมากหรอกคะ” ฉัน กล่าวออกไปด้วยความเกรงใจสุดๆ

แล้วฉันก็ ล้มตัวลงนอนที่โซฟาอย่างอ่อนแรง และหลับไป โดยไม่ฝันอะไรเลย

.....................................................................................

เมื่อฟ้าสาง ฉันเดินออกจากห้องพักของแอนด้วยเสียงที่เงียบกริบ เพราะกลัวว่าเจ้าของห้องจะต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของฉัน เมื่อออกมาแล้ว ฉันเดินลัดเลาะชายหาดกลับไปยังที่พัก ระหว่างทางฉันมองดู แสงดาวและจันทร์ครึ่งเสี้ยว ที่เมื่อคืนนี้ยังไม่ทันได้ดูอย่างเต็มตาก็มีเสียงของแอนร้องขึ้นมาเสียก่อน สวยจริงๆนะ ธรรมชาติ ฉันเริ่มคิดว่า อีก 7 วันที่ฉันต้องอยู่ที่เกาะนี้ ฉันจะทำอะไรบ้าง จะเดินเที่ยวตามชายหาด จะเล่นน้ำ จะนอนอ่านหนังสือ และอีกหลายๆ อย่างที่อยากทำ ฉันยังมีความคิดติดในหัวอยู่ว่าทำไมแอนต้องร้องกรี๊ดถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ปากหนักไม่ได้ถามเรื่องรายละเอียด และขำตัวเองที่ ไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งโร่เข้าไปกระชากแอนถึงขนาดนั้น

ฉันไปติดต่อเจ้าหน้าที่ของบังกะโลเพื่อ บอกว่ากุญแจห้องของฉันหาย และได้กุญแจใหม่มาอีกดอกหนึ่ง เมื่อเข้าไปที่ห้องพักฉันก็ต้องตกใจเพราะว่าของกระจัดกระจายโดนรื้อค้นทั้งห้อง ฉันรีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ของบังกะโลว่าโดนรื้อของซึ่งก็ไม่ได้ รับคำตอบอะไรว่าจะได้ของคืนหรือไม่ สรุปว่าของที่หายนั้นคงไม่ได้คืน แล้วฉันจะทำอะไรได้หละนี่ กระเป๋าตังและของที่เอามาได้หายไปหมดแล้ว ฉันกลับไปที่ห้องพักและเก็บของทั้งหมดแจ้งบังกะโลว่าจะขอเช็คเอ๊าท์ ไม่ได้คิดเอาความอะไรกับทางที่พัก และเดินคอตกออกมานี่นะหรือ วันพักร้อนที่ฝันไว้ ยังโชคดีที่บัตรเครดิตที่อยู่นอกกระเป๋าไม่โดนฉกไปด้วย ฉันจึงยังพอจะจ่ายเงินค่าที่พักได้ แต่ที่สำคัญเงินสดนี่นะสิ !!!! จะเอาที่ไหน ในความคิดตอนนี้ คิดถึงแอนผู้หญิงที่ได้ พบกันเมื่อคืนนี้ เธอคงช่วยเหลือฉันได้

ฉันเดินกลับไปยังทางเดิมที่เดินเมื่อเช้า ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว แล้วแอนจะช่วยเหลือฉันรึเปล่านะ คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยจะช่วยฉันรึ

เมื่อถึงหน้าห้องพักของแอนฉันตัดสินใจเคาะประตู

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

“คุณแอนค่ะ คุณแอน รบกวนหน่อยคะ”

สักพักใหญ่ ประตูก็เปิดออก และฉันก็เห็น แอน เดินเหมือนคนง่วงนอนมาเปิดประตูให้

“มีอะไรคะ แจน ทำไม กลับมาเร็วจังหละคะ”

“ก็ที่ห้องนะคะ โดนงัดแล้วข้าวของของแจนก็หายหมดค่ะ นี่ยังดีนะค่ะที่ยังเหลือเสื้อผ้าไว้ให้ แต่อย่างอื่นไปหมดแล้วคะ ถ้าเอ่อ.. ถ้า.. แจนจะขอรบกวนคุณ ไห้ไหมคะ จนกว่าจะมีเรื่อมารับกลับไป บนฝั่งนะคะ”

“ได้คะคุณแจน ไม่เป็นไรหรอกคะ แอนนะเต็มใจมากเลยที่จะช่วยคุณ แล้วสรุป ของทำไมหายค่ะ”

แล้วฉันก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับแจนฟังทั้งหมด ตั้งแต่ ฉันออกจากที่พักของแอน และกลับไปเห็นข้าวของกระจายเต็มห้อง จนสุดท้าย ฉันก็นึกถึงแอนที่พึ่งที่สุดท้ายบนเกาะแห่งนี้

“ดีแล้วคะที่คิดถึงแอนไม่งั้นคุณแย่ แน่ๆเลยคะคุณแจน”

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจในครั้งนี้นะคะ แจนจะไม่มีวันลืมเลยคะคุณแอนไว้ถึงฝั่งแล้ว แจนจะ ตอบแทนพระคุณของคุณอย่างงามเลยคะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะเราคนไทยด้วยกันอย่าคิดมากเลยค่ะคุณ เที่ยวให้สนุกค่ะแล้วกลับไปค่อยคิดที่หลัง”

“คะ ขอบคุณมาก”

ฉันจ้องไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอย่างซึ้งในน้ำใจของแอนอย่างมาก ฉันอยากโอบกอดแอนไว้ด้วย 2 มือ ของฉัน แต่.. ทำได้อย่างไรหล่ะเราสองคนเหมือนคนแปลกหน้า ฉันมาที่นี่เพราะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ แต่.. สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้ การมาเที่ยวครั้งนี้เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

ฉันเล่าเรื่องราวต่างๆ ของฉันให้กับแอนฟัง ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันฉันถึงได้เล่า เหมือนกับฉันได้รู้จักแอนมานานแสนนาน คงเพราะความเหงาที่เกาะอยู่ในจิตใจ ประกอบกับฉันไม่มีใครมาพูดคุยกัน แบบนี้นานแล้ว เพราะฉันปิดกั้นตัวเอง อย่างนั้นรึ? หรือเพราะแอนคือคนแปลกหน้า? ฉันถึงได้กล้าเล่าเรื่องให้แอนฟัง

“แอนคะแจนรักผู้หญิง แจนเคยมีคนรักเป็นผู้หญิง เราคบกันตั้งแต่เรายังเรียนมัธยม เรามีความหวังความฝันด้วยกัน แต่สุดท้าย... เราก็ต้องจากกันเพราะว่าเธอต้องแต่งงานเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ แล้วแจนก็ทำใจไม่ได้ จนเดี่ยวนี้แจนปิดตัวเองนั่งทำงานหามรุ่งหามค่ำใครให้ทำอะไรทำหมดไม่เกี่ยงงอน ทำจนรู้สึกว่าไม่ไหว แจนเลยขอพักร้อนมาเที่ยวที่นี่ เพราะเป็นเกาะในฝันที่อยากมาเที่ยวมาก และ รู้ว่าเกาะนี้ นาน ๆ ถึงจะมีเรือมาสักลำ จึงตัดสินใจเลือก เพราะต้องการความเงียบสงบจริงๆเท่านั้นเอง”

“งั้นก็ คงคล้ายๆ กันคะแอนเองก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากแจน แต่เรากลับกันเท่านั้นแอนแต่งงานแล้ว แต่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้รักกับสามีแอนมีลูกน่ารัก 1 คน น้องอ๊อบไม่ได้รู้อะไรเลยว่าแม่เป็นแบบนี้ เราสองคนมีปากเสียงมากขึ้นทุกวัน หลังจากที่เค้าจับได้ว่าแอนมีอะไรกับเพื่อนแอน เมื่อก่อนเค้าคิดว่า แอนกับคนรักของแอนเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่... พอเค้ารู้ความจริง สามีแอนก็รับไม่ได้เริ่มออกเที่ยวทุกวัน เริ่มไม่กลับบ้าน น้องอ๊อบถามแอนเสมอว่าคุณพ่อไปไหน คุณพ่ออยู่ที่ไหนแอนตอบลูกไม่ได้คะ แอนรู้สึกผิดที่เป็นแบบนี้ แอนไม่โทษเค้าที่เค้าจะรู้สึกรังเกียจแอน แต่แอนทำใจไม่ได้ที่เค้าไม่ใส่ใจที่จะดูแลลูก มันเป็นคาวมผิดของแอนเองคะ ผิดตรงที่แอนไม่เคยรักเค้าเลย... แอนยังลืม แฟนเก่าของแอนไม่ได้” แล้วน้ำตาก็ ไหลพร่างพรูออกมาจากดวงตากลมโตของเธอ

ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมาเช็ดน้ำตาให้เธอ ฉันพึ่งรู้ว่าการที่คนเราตัดสินใจแต่งงานนั้นมันก็ไม่ได้จะหมายความว่ามีความสุขมากไปกว่าฉันที่โดนคนรักทิ้งไป เราคุยกันในเรื่องราวต่างๆ อีกมากมาย คุยถึงเรื่องแฟนเก่าฉัน เรื่องแฟนเก่าเธอ เรื่องลูกของเธอ และก็ทำให้เราสองคนเหมือน สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม

ฉันบอกเธอว่าคงต้องขอพึ่งเธอไปก่อนจนกว่าจะกลับไปถึงฝั่งได้ เธอบอกว่าไม่เป็นไรไม่มีปัญหา ส่วนฉันนั้นก็พยายามติดต่อกับเพื่อนที่อยู่ในจังหวัดที่เราจะไปขึ้นเรือ แต่เกาะนี้ไม่มีสัญญาณมือถือเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนเราโดนปล่อยเกาะ ใช่สินะ!!!!! เราโดนปล่อยเกาะ จริงๆ

“ไม่เป็นไรหรอกคะเจน ไม่ต้องกังวลหรอกเรื่องแค่นี้เอง แอนไม่คิดว่าเจนจะมารบกวนอะไรแอนหรอกค่ะ ดีซะอีก แอนจะได้มีเพื่อน แอนเหงาค่ะ เหงามาก”

ฉันโอบเธอไว้ในอ้อมแขน และรู้สึกถึงความอบอุ่นจากตัวเธอที่แทรกเข้ามาในอ้อมแขนของฉัน จนฉันกลัวเผลอใจที่จะทำอะไรเกินเลย จึงได้ปล่อยอ้อมแขนจากตัวเธอ

.......................................................................................................

ฝนตก ฉันนอนมองสายฝนที่พรั่งพรูลงมาผ่านทางหน้าต่างของห้องนอน เป็นเวลา หลายเดือนแล้วที่ฉันและแอนต่างแยกย้ายกันออกมาจากเกาะ และถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่ได้มีโอกาสคืนค่าใช้จ่ายที่ขอยืมแอนมาใช้ในช่วงที่ฉันโดนขโมยขึ้นห้องพักที่เกาะ และหลังจากที่เราได้ แยกกัน ณ.ท่าเรือ จิตใจฉันก็ กระวนกระวาย คิดถึงแต่แอนสาวผู้ใจดี ป่านนี้จะเป็นอย่างไรป่านนี้จะ ยังคงคิดถึงฉันเหมือนที่ฉันคิดถึงหรือเปล่า ครุ่นคิดอยู่นานและพยายามที่จะโทรไปหาแอนแรก ๆ ก็โทรติดบ้าง ระยะหลังๆ แอนคงปิดมือถือ และคงระงับการใช้เบอร์เก่าไปแล้ว ฉันไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใดแต่สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้คือ แอนคงจะ หนีฉัน แต่จะหนีทำไม คิดจนหัวจะระเบิด ก็ ไม่ได้ คำตอบที่ฉันต้องการสักเพียงครั้งเดียว และในวันนี้ ฉันยังคงเหงากับความคิดถึงสาวสวยบนเกาะ ทำไมนะ เมื่อก่อนฉันไม่เคยเป็นได้ถึงเพียงนี้ ฉันมีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ร้อนรุ่ม ไม่ทุรนทุราย แต่คราวนี้ฉันเปลี่ยนไป ฉันโหยหา แอนสาวในอ้อมกอดในคืนสุดท้ายบนเกาะ

วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ที่น่าเบื่อ หลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมา ฉันก็ ต้องทำความสะอาดบ้านเป็นแจ๋วประจำบ้าน ซึ่งทำรกรุงรังไว้ทั้งสัปดาห์เส้นผมเกลื่อนไปทั่วบ้าน ผมฉันร่วงเยอะกว่าที่เป็นอาจเพราะคิดมากก็ได้ แล้วนี่ฉันจะหัวล้านไหมนี่ ฉันเก็บโน่นกวาดนี่ และก็พบว่าของใช้ในบ้านหมดเกือบทุกอย่าง

“สงสัยต้องไปห้างแล้วเรา” ฉันรำพึงกับตัวเอง

“อะไรหมดบ้างหว่านี่”

ฉันจดรายการของที่จะต้องใช้ทั้งหมดลงในกระดาษและจับพับเก็บไว้ ในกระเป๋าเสื้อ และตั้งใจไปห้างสรรพสินค้าที่มีผู้คนมากมาย

“โอ๊ยทำไมรถมันติดแบบนี้ นี่จะไปไหนไม่เป็นกันบ้างหรืองัยฮึ !!!!! ทำไมต้องมาห้างเหมือนกับเราด้วยนี่ คนกรุงเทพนี่ มันงัยกันนะ” ฉันบ่นอีกหลายร้อยรอบกับการเผาน้ำมันเล่นของคนกรุงเพราะรถที่ติดตรงทางเข้าห้างสรรพสินค้าเหมือนห้างแจกของฟรีแล้วต่อคิวกันเข้าไปรับของแจก

หลังจากที่หาที่จอดอย่างยากลำบากฉันก็ลงไปเดินช๊อปปิ้ง ท่ามกลางผู้คนที่หนาตา และฉันก็ได้พบกับแอน เดินจูงมือเด็กชายคนหนึ่ง ฉันเดาว่าต้องเป็นลูกของเธอ ด้านหลังมีชายรูปร่างสูงผอมเดินตามมาติดๆ ฉันจะเข้าไปทักแต่ไม่กล้า จด ๆ จ้องๆ อยู่นาน

“แอน มีคนมองคุณนะ คุณรู้จักเค้าไม๊”

“ไหนใครคะ”

“โน่นงัย ทางโน้น ผมเห็นเค้ามองมาทางคุณนานแล้ว”

“อืม ค่ะ” แอนมองมาที่ฉัน

ฉันผงกศรีษะให้แอนนและกล่าวสวัสดี เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับแอน หลังจากที่เราเจอกันและฉันคิดว่าแอนคงจำฉันได้ ฉันเดินเข้าไปทักทาย

“สวัสดีคะแอนจำแจนได้ไม๊ค่ะเราเคยพบกันที่เกาะ” นี่นะรึคำทักทายของคนที่คิดถึงมาเป็นเวลานาน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะ ทักแอนแบบไหนดีนี่นา

“สวัสดีคะแจน จำได้สิค่ะคุณแอน ใครจะจำลูกหนี้ตัวเองไม่ได้เนอะ จริงไม๊” แอนหัวเราะอย่างสนุกสนาน

“เออ จริงสิคะ แจนติดหนี้คุณนี่นาเนอะ โอเคคะเตรียมไว้ให้แล้ว” พูดพลางฉันก็ ล้วงกระเป๋า หยิบธนบัตรออกมาและยื่นส่งให้แอน

“ไม่หรอกคะ คุณ แอนไม่รับหรอก ถือซะว่า เป็นน้ำใจจากเพื่อนคนนึง อ้อ... ลืมไปค่ะแจน แจนคะ นี่ คุณพลอดีตสามีแอนค่ะ แล้วนี่น้องอ๊อบ อ๊อบครับสวัสดีคุณ น้า เอ... หรือคุณป้าคะ สวัสดีสิครับลูก”

“สวัสดีครับคุณน้า หรือคุณป้าครับ หรือคุณป้าน้า อิอิ” น้องอ๊อบ ทักทายฉันและล้องเลียน

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ นั่นสินะ เป็นคุณน้าหรือคุณป้าดีหละนี่ งั้นเป็นป้าก็ แล้วกันเนอะ ดูแก่ดีมาครับขอป้าหอมแก้มหน่อยได้ไม๊ครับผม” ว่าพลางฉันก็ จับน้องอ๊อบมาหอมให้ฟอดใหญ่

“โห่คุณป้าน้าคร๊าบ เดี๋ยวอ๊อบก็ขายไม่ออกหรอกคร๊าบ... คุณป้าน้ามาหอมกันกลางห้างแบบนี้อ๊อบก็แย่สิคร๊าบ”

“อ้าวววว ฮ่า นั่นสินะ เดี๋ยวหนุ่มก็ขายไม่ออกพอดี ขอโทษครับผมป้าไม่ได้ตั้งใจ” ฉํนขำกับสรรพนามเรียกตัวฉันจากปากคำของน้องอ๊อบเด็กวัย 6 ขวบ ที่ยืนซุกซนอยู่ตรงหน้า

“ไม่มีปัญหาครับ คุณแม่ครับผมไปเดินทางโน่นกับคุณพ่อนะครับ เดี๋ยวมาคุณพ่อสัญญาว่าจะซื้อของเล่นให้อ๊อบนะครับคุณแม่”

“ไปสิครับ”

“คุณพล ฝากลูกด้วยนะค่ะ” ชายผู้นั้น พยักหน้ารับคำ แล้วก็ จูงน้องออ๊อบ เดินจากไป

“คุณแนะนำว่าอดีตสามี ทำไมหละคะ”

“ก็ตั้งแต่กลับไปคราวนั้น เราหมายถึงแอนกับคุณพลก็ตัดสินใจได้ว่า เราคงต้องจบกันเพียงแค่นี้เรามีอะไร หลายอย่างที่ไม่ตรงกัน อีกอย่างคุณพลเค้าก็ทราบว่าแอนไม่ได้รักเค้าเลย เราแต่งกันเพราะสังคม ตอนนี้เค้าก็มีภรรยาใหม่ไปแล้วคะ เราแยกทางกันด้วยสันติไม่มีบาดหมางกัน เค้าจะมาพาลูกไปเที่ยว เดือนละครั้ง แต่ครั้งนี้น้องอ๊อบบอกว่า อยากให้คุณแม่กับคุณพ่อมาด้วยกันเค้าคงอยากให้แอนคืนดีกับคุณพลกระมังค่ะ แต่แอนไม่สามารถทำได้หรอกคะ”

“อืมคะแจนพยายามโทรหาคุณแต่โทรไม่ได้นะคะ แจนจะเอาเงินคืนคุณ เลยติดต่อไม่ได้เลยนะคะ”

“อ้อคะพอดีแอนเปลี่ยนโปรโมชั่นนะคะ เลยเปลี่ยนเบอร์ไปด้วย ขอโทษด้วยนะคะ ที่ไม่ได้ แจ้งให้ทราบว่าเปลี่ยน เพราะแอนลืมจดเบอร์คุณไว้ก่อนที่จะยกเลิกเบอร์โทรนะคะ ขอโทษ อย่างแรงค่ะ”

“อืมค่ะ โอเค.. งั้น.. ขอเบอร์ ใหม่นะคะจะให้แจนไม๊ค่ะ”

“ได้สิคะงั้นจดไปเลยค่ะ 084 –XXX-XXXX โอเคนะค่ะ ไว้เราค่อยคุยกันเดี๋ยวน้องอ๊อบจะรอ นานโวยวายมาอีกจะวุ่นคะ”

“โอเคคะงั้นบายตรงนี้นะคะ”

“บายคะ” ฉันเห็นแอน เดินไปทางด้านที่น้องอ๊อบและคุณพล เดินไป มองตามด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังอันเลือนราง ว่าความรักครั้งนี้ของฉันจะเป็นอย่างไร จะสมหวังหรือไม่ ฉันไม่อยาก เห็นแอนหญิงที่ฉันเฝ้ารอคอยนั้นต้องมีปัญหา ฉันมองเบอร์โทรของแอนที่จดใส่ มือของฉัน จะเป็นไรนะ ทำไมมือที่แอนจับมือฉันถึงได้เย็นขนาดนี้ ฉันมีความรู้สึกช้าไปรึฉันเข้าใจและสัมผัสได้ ถึงอาการสั่นของมือที่เอื้อมมาจับมือฉันไปจดข้อความ หรืออาจเป็นไปได้ว่า อากาศในห้างจะเย็นจนสั่น ไม่สินะ เป็นไปไม่ได้ ก็ ฉันเองยังเดินแล้วร้อนเพราะผู้คนมากมายเลยนี่นา หลังจากจับจ่ายของเสร็จฉันก็ขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

...........................................................

หลังจากที่ได้ เจอกันกับแอนโดยบังเอิญ ฉันได้โทรติดต่อ กับแอนอยู่ ทุกวัน จนน้องอ๊อบ ที่บางครั้งก็ มารับสายฉันบ้างในบ้างวัน ถามฉันว่า

“คุณป้าน้าคร๊าบจะมาจีบคุณแม่ผมหรือครับคุณแม่ผมนะสวยน้า อย่าจีบเลย”

ฉันสะอึกกับคำพูดของเด็ก ที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสา แต่ฉันก็รู้ว่านี่แหละเรื่องจริงที่ต้องเผชิญ เพราะแอนเคยมีครอบครัวแล้ว และที่สำคัญแอนมีลูกฉันจึงต้องวางตัวให้เหมือนกับเพื่อน ที่พยายามเป็นได้แค่เพื่อน วันนี้ก็เช่นกัน ฉันพาแอนและน้องอ๊อบมาเที่ยวทะเลที่ฉันชอบ ฉันคิดว่าเราเป็นเหมือนครอบครัว ที่มาเที่ยวพักตากอากาศ แต่กลับกันตรงที่ ฉันไม่ใช่ผู้ชายและฉันดูแววตาของแอนก็รู้ว่าแอนคิดอย่างไร นี่กระมังที่ทำให้ฉันเริ่มมีความหวังมากขึ้น ถึงแม้ว่าการแสดงออกของเราทั้งสองคน จะเป็นเหมือนเพื่อน แต่เราสองคนก็รู้ว่า มันมีอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อนสำหรับเรา

ฉันมานั่งปล่อยอารมณ์คิดไปต่างๆนานา อยู่ตรงริมชายหาด หน้าบ้านพัก ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาจากด้านหลังจึงหันไปดู

“อ้าว แอน น้องอ๊อบหลับไปแล้วหรือคะ”

“คะเล่นมาทั้งวันหลับไปแล้วคะ แจน แอนขอบคุณมากนะคะ ที่พาเราสองคนมาเที่ยวน้องอ๊อบสนุกมากคะ ที่ได้มาเที่ยวครั้งนี้”

“ไม่เป็นไรคะ แจนเองก็อยากจะมาเที่ยวคะถือซะว่าเรามาพักผ่อนด้วยกันก็ได้นะไม่ต้องคิดมากหรอก”

ฉันเอื้อมมือไปจับมือของแอนมากุมไว้

“แอน แอนรู้ใช่ไม๊คะ ว่าแจนคิดยังงัยกับแอน แอนตอบแจนได้ไม๊คะว่าแอน คิดแบบที่แจนคิดหรือเปล่า”

“บ้า แจน ลามก”

“เอ้ย แจนไม่ได้ คิดอะไรนะ แอนนะคิดอะไร แจนแค่จะบอกว่า แจนรักแอนนะคะไม่ได้ มีอะไร”

“บ้า ใครจะไปรู้ ก็ เห็นตางี้หวานเยิ้มเราก็นึกว่าลามกนะสิ”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นั่นสินะ มิน่า หละ” แล้วฉันก็โดน ตุ๊บไปหลายตุ๊บ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ ทำอะไรเลย

“เอ้ย!!!! อย่างนี้ต้องหนีแล้ว ไม่ไหวแล้วมือหนักชะมัด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” ฉันวิ่งไปตามชายหาด หันหลังกลับมาดู บ้างว่าแอนวิ่งตามฉันทันหรือเปล่า แต่กลับไร้ร่องรอยของแอน

“เอ้ย แอน........คุณอยู่ไหน” ฉันมองหา แล้ววิ่งกลับไปทางเดิมที่วิ่งมา เห็นแอนนอนฟุบอยู่กับพื้นทราย ฉันวิ่งเข้าไปคว้าตัวแอน เขย่าๆๆ

“แอน คุณเป็นอะไร แอน แอนนนนนนนนนนนนนนนน อย่าเป็นอะไรนะ ได้โปรด” ฉันอุ้มแอน มาที่รถ ไม่ลืมที่จะ ปลุกน้องอ๊อบออกมาด้วยกัน

ฉันขับรถอย่างไม่คิดชีวิตพาแอนไปโรงพยาบาล “คุณหมอค่ะ เพื่อนดิฉันเป็นอย่างไรบ้างค่ะ”

“หมอจะพยายามเต็มที่นะครับ รอตรงนี้นะครับ คุณเป็นญาติของคนไข้ใช่ไม๊ครับ หากมีอะไร ต้องรบกวนอาจต้องผ่าตัด คุณเซ็นได้มีครับ”

“ดิฉันเป็นเพื่อนนะคะ แต่เดี๋ยวจะโทรตามญาติให้นะคะ”

“ครับดีครับ ติดต่อ ญาติมาเลยนะครับ เพื่อนคุณเส้นเลือดในสมองแตกนะครับ ตอนนี้เรากำลังจะทำการผ่าตัด”

“ค่ะ” ฉันยืนงงเป็นไก่ตาแตก ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแอน ก็ ยังดีๆ แล้วทำไม ถึงได้ เป็นอะไรปุ๊ปปั๊ป แบบนี้
“น้องอ๊อบครับ มีเบอร์โทรของคุณตาคุณยายไม๊ครับ” ฉันนึกขึ้นได้ ถามน้องอ๊อบที่นั่งงัวเงียอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด

“มีครับป้าน้า อยู่ในมือถือของแม่นะครับ เดี๋ยวอ๊อบดูให้นะ”

“ครับอ๊อบ”

เมื่ออ๊อบหาเบอร์โทรได้ ฉันก็ ได้แจ้งกับพ่อและแม่ของแอนว่าเราอยู่ที่ไหน รพ.อะไรพ่อและแม่ของแอนให้ฉันดำเนินการได้เลย เพราะคิดว่าจะไม่ทันเวลา หากรอช้ากว่านี้ และท่านจะเดินทางมาในภายหลัง

ฉันแจ้งข้อความดังกล่าวกับหมอเจ้าของไข้ แต่ทางรพ. บอกว่าอาจทำการผ่าตัดไม่ได้ เพราะว่า ฉันไม่ใช่ญาติที่แท้จริง และน้องอ๊อบที่เป็นลูกก็ ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะยังเด็กเกินไป ทางรพ.จึงได้ แต่ทำการรักษาให้เพียงเบื้อต้นเท่านั้น ฉันร้อนรน เป็นอย่างมาก แต่อีก 2 ชม พ่อกับแม่แอนก็มาถึง และได้ทำการผ่าตัดแอนฉันนั่งภาวนาว่าแอนคงปลอดภัย ทำไมนะ!!!! แอนทำไมต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ด้วย ฉันร้องไห้จนไม่มีน้ำตา กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพาะฉันไม่ใช่ญาติฉันไม่มีสิทธิ์อะไร ในการกระทำใดๆ กับคนรักของฉันเลยอย่างนั้นรึ เพราะอะไร

………………………………..

หลังจากนั่งรอหน้าห้องผ่าตัด เป็นเวลาหลายชั่วโมง หมอก็ออกมาที่หน้าห้อง

“หมอคะ เพื่อนดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ เธอจะหายดีไม๊คะ” ฉันถามอย่างร้อนรน

“ตอนนี้หมอยังตอบอะไรไม่ได้นะครับ ต้องรอ คนไข้ได้สติแล้วฟื้นตัวก่อน”

“ค่ะขอบคุณค่ะ”

“คุณหมอคะ ถ้าเราจะย้ายคนป่วยกลับ กรุงเทพต้องทำเรื่องยังงัยค่ะ” แม่ของแอนถามหมอ

“ก็ ติดต่อ ทางโรงพยาบาลที่กรุงเทพแล้วทางเราก็ จะทำเรื่องส่งตัวให้เลยครับ แต่ผมว่ารอคนไข้ฟื้นอก่อนดีกว่าไม๊ครับจะได้ไม่กระทบกระเทือนมากนัก”

“คะ”

“หมอขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะหมอ”

…………………………………………………………………

ฉันพาแม่และพ่อของแอนและน้องอ๊อบ มายังโรงแรมใกล้โรงพยาบาล เรายังโชคดีเพราะเวลานี้ไม่ใช่วันหยุดเลยยังพอหาโรงแรมได้อยู่บ้าง และโชคดีที่เราไม่ได้ไปไหนไกลจากผู้คนจึงยังพอมีโรงพยาบาลที่ทันสมัยพอที่จะรักษาแอนได้ไม่อย่างนั้นฉันคงจะโทษว่าเป็นความผิดของฉันไปจนวันตายถ้าแอนมาเป็นอะไรไปเพราะฉัน เรารออยู่ดูอาการของแอนอีก 2 วันแอนจึงฟื้นขึ้นมาแต่ไม่สามารถจำอะไรได้ นั่นหมายความว่าแอนจำฉันไม่ได้ แม่แอนพาแอนกลับไปรักษาที่ กรุงเทพเพราะคิดว่า อยู่ที่โรงพยาบาลนี้ก็ คงจะช่วยอะไรไม่ได้

เมื่อแอนกลับไปอยู่ที่บ้าน แอนพยายามที่จะฟื้นความทรงจำ แอนเดินได้ไม่แข็งนั ต้องพยุงเดินฉันพยายามนวดเฟ้นแอนทุกวัน ฉันขอแม่แอนมาอยู่ด้วยเพื่อดูแลแอนอย่างใกล้ชิด แต่แอนเหมือนไม่รับรู้อะไร หมอบอกว่า เส้นเลือดที่แตก อยู่ตรงบริเวณที่เป็นสมองสั่งการทำให้แอนเดินไม่ค่อยได้ แข่งขาจะหมดแรง และแน่นอนความทรงจำของแอนก็ไม่สามารถฟื้นได้อย่างรวดเร็วแอนจำพ่อและแม่ได้ เริ่มแรกก็ จำน้องอ๊อบไม่ได้ แต่สักพักใหญ่ๆ ก็จำได้ แต่แอนลืมฉันแอนจำฉันไม่ได้ แอนเพียงคิดว่าฉันเป็นเพียงเพื่อนคนนึงที่คอยดูแลแอนมาตลอด จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา 2 ปี ฉันเลือกที่จะดูแลแอน เพราะแอนต้องการฉันยิ่งกว่าใครและเมื่อมาถึงวันนี้ ฉันได้รู้ว่า

“ความรักไม่จำเป็นต้องได้สิ่งตอบแทน
ความรักไม่จำเป็นต้องได้รักตอบ
ความรักคือการเสียสละและมั่นคง”

ถึงวันนี้ แอนก็ ยังเป็นแอนที่ทำอะไร เดินไปไหนก็ เตะโน่นเตะนี่ ขาเขียวเพราะแอนไม่มีแรงเดิน ขาแอนอ่อนแรง และยังจำไม่ได้ว่าฉันรักแอนแค่ไหน แต่ฉันก็ยังคงอยู่ดูแล เพราะแอนคือคนที่ทำให้วันเหงาในชีวิตของฉันหมดไปเมื่อมีแอนเข้ามาในชีวิตของฉัน

ฉันอยากจะบอกคนทั้งโลกว่า ต่อไปนี้ฉันไม่มีวันเหงาอีกแล้ว

........................................................จบ...................................................



ฉันเขียนเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน ตอนไปเที่ยวเกาะสมุย และเห็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย
ฉันเคยคิดว่าประเด็นหญิงรักหญิงจะมีการแต่งงานกันได้บ้างไหมน้อ เพื่อนของฉันเธอโชคดีได้แต่งงานกับคนที่เธอรักและอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศ แต่ประเทศเราคงอีกนานที่จะมีกฎหมายมารองรับ

ต่อให้เป็นชายหญิงก็เถอะ ประเด็นเรื่องทะเบียนสมรสซ้อนก็ยังแก้ไขไม่ได้ ต้องรอให้เพิกถอนหึหึ แล้วใครจะรู้ว่าชายที่ตนแต่งด้วยเคยจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนกับใคร เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา นั้นสินะ!!!!!! ปลงเถอะ ตราบใดที่ยังมีคอรัปชั่นและความเห็นแก่ตัวของคนบางกลุ่ม

****ไม่ต้องการอะไรมากมายเพียงแค่ความจริงใจจากใครสักคน********




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 12:57:34 น.
Counter : 335 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.