It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : นักเขียนเงา

นักเขียนเงา

ฉันนักเขียนไร้สังกัด หาเงินด้วยการเขียนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ส่งตามนิตยสารและสิ่งพิมพ์

ฉันเป็นนักเขียนไส้แห้งที่นานๆ ครั้งจะมีคนมาว่าจ้างให้ทำงาน

อาชีพหลักเป็นชาวเกาะ ฉันไม่ได้ทำสวนมะพร้าหรืออะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นชาวเกาะพ่อเกาะแม่ อาศัยพ่อแม่เลี้ยงดูปูเสื่อไปวันๆ รายได้หลักของฉันมาจากการเขียนหนังสือพอมีพอใช้สำหรับการอยู่ไปวันๆ แม้ไม่มากมายแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป

ฉันเขียนหนังสือมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น เขียนกลอนเปล่า เขียนเรื่องตลกส่งหนังสือการ์ตูนเล่มละไม่กี่บาท ค่าจ้างค่าออนก็ถูกแสนถูก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เรียนจนจบก็ตกงานย่ำต๊อกเตะฝุ่นไปตามเรื่องตามราว เมื่อหางานไม่ได้แหล่งพักพิงที่สุดท้ายก็คือบ้านอันแสนสุข

พ่อกับแม่ไม่ได้บ่นอะไร ก็แค่บอกว่าชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป ฉันเองก็เลยเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ งานการก็ช่วยพ่อกับแม่ทำบ้างไม่มากมายนัก สุดท้ายฉันบอกแม่ว่างานบ้านทั้งหมดแม่ไม่ต้องจ้างใครที่ไหนอีกแล้ว ฉันจะเป็นแม่บ้านให้แม่เอง แม่ก็เห็นดีเห็นงามไปกับฉันด้วย ดังนั้นครอบครัวเราก็เลยประหยัดค่าจ้างคนทำงานบ้านไปได้หลายบาท เพราะแม่เอาเงินส่วนนั้นมาเลี้ยงฉันลูกที่ไม่รู้จักโต

ฉันได้รับการติดต่อจากบอกอของหนังสือเล่มหนึ่งบอกฉันว่ามีดาราสาวคนหนึ่งต้องการที่จะทำหนังสือชีวประวัติของเธอ หากฉันสนใจที่จะเขียนเรื่องราวเหล่านั้นก็ให้ฉันติดต่อกับทางบอกอ และเมื่อโอกาสมาถึงทำไมฉันจะไม่คว้าเอาไว้ ฉันรีบติดต่อกลับไปทันที

ฉันมายืนอยู่หน้าสำนักพิมพ์มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งวันนี้จะมีการนัดสัมภาษณ์ดาราสาว เพื่อให้ฉันได้ไต่ถามเรื่องราวชีวิตแต่หนหลังของเธอในทุกแง่มุม เขียนออกมาเป็นเรื่องเล่า แนวตลกโปกฮา หรือแฝงไปด้วยสาระสอดแทรก ที่แน่ๆ ก็ต้องรู้ภูมิหลังของสาวเจ้าก่อนมาเป็นมาอย่างไร มาจากสังคมชนบทหรือมาจากสังคมไฮโซ

ฉันกับบอกอและดาราสาวสวยนั่นเป็นสามเส้ากันอยู่ใหนห้องรับรองแขกของบอกอสำนักพิมพ์แห่งนั้น

“ต้นรู้แล้วใช่ไหมว่าจะต้องเขียนอะไร” บอกอถามฉันที่กำลังหยิบเครื่องอัดเสียงตัวเล็กเท่านิ้วมือออกมาจากกระเป๋า

“รู้แล้วค่ะบอกอ”

“งั้นเชิญคุณสองคนตามสบายนะจะล้วงแคะแกะเกาแบบไหนก็ว่ากันเองก็แล้วกัน” บอกอพูดจบก็ปล่อยฉันและดาราสาวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

“ทำไมถึงอยากทำหนังสือคะ” ฉันเริ่มเป็นคำถามแรก

“ก็เพราะฉันอยากเล่าเรื่องราวในชีวิตของฉันให้กับคนทั่วไปได้รับรู้” ดาราสาวตอบฉันด้วยสีหน้าท่าทางสบายๆ

“ในลักษณะตีแผ่ทุกแง่มุมหรือว่าบางซอกหลืบเร้นลับคะ” ฉันจี้คำถามดาราสาวไปอีกครั้ง

“ทุกแง่มุมค่ะ ทั้งสนุกโปกฮา สุขเศร้า เคล้าน้ำตา”

“รวมถึงชีวิตรักที่พึ่งจบไปหมาดๆ นั่นด้วยหรือเปล่าคะ”

“แน่นอนค่ะเรื่องนี้เป็นไฮโลท์ของหนังสือเล่มนี้เลยก็ว่าได้”

“งั้นแสดงว่าคุณต้องการที่จะพูดถึงเรื่องความรักมากกว่าที่จะบอกว่าชีวิตแต่หนหลังนั้นเป็นแบบไหน”

“ก็ไม่เชิงค่ะ แค่ฉันอยากจะเกริ่นเรื่องว่าก่อนที่จะมาเข้าวงการนี้มันเป็นแบบไหนแล้วชีวิตหลังเข้าวงการเป็นอย่างไรคุณพอจะช่วยฉันให้เขียนเรื่องออกมาจะได้หรือเปล่า”

“ได้ค่ะแต่ฉันอาจจะซอกแซกถามคุณมากหน่อยก็เท่านั้น”

“ยินดีไม่มีปัญหาค่ะ แต่วันนี้ฉันมีคิวถ่ายละครตอนบ่ายสาม คุณจะไปด้วยหรือเปล่าคะ”

“ไปได้เหรอคะ”

“ไปได้สิคะ เดี๋ยวนิดจะบอกพี่ๆ ที่กองเองว่าคุณเอ่อ” ดาราสาวเจ้าบทบาทหยุดไปสักพักเหมือนพยายามนึกถึงชื่อของฉัน

“ต้นค่ะฉันชื่อต้น”

“อ่อโอเคคุณต้น ฉันจะบอกทางกองว่าคุณต้นเป็นเพื่อนอยากมาดูการถ่ายทำละคร”

“โอเคค่ะได้เลย ไปไหนไปกันฉันก็อยากเห็นการทำงานของคุนเหมือนกัน เออฉันถามอะไรสักนิดได้หรือเปล่าคะ”

“ว่ามาเลยค่ะ”

“ฉันถ่ายรูปคุณได้หรือเปล่า”

“นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายอะไร ถ่ายได้สิคะ ถ่ายเท่าที่คุณต้องการจะถ่าย ไม่ได้เสียหายอะไรนี่คะ”

“อืมค่ะโอเคงั้นต้นไปกับคุณนิดก็แล้วกันวันนี้ต้นฟรีอยู่พอดี”

ฉันติดสอยห้อยตามดาราสาวสวยไปที่กองถ่าย นั่งสังเกตกริยาอาการของดาราสาวคนนั้นอย่างใจเย็น ฉันว่าคนเป็นดาราค่อนข้างจะเก่งในเรื่องสร้างอารมณ์ ฉากรักหวานก็เล่นได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นฉากตบตีกันระหว่างนางเอกกับตัวอิจฉา

ถ้าเป็นฉันคงปรับอารมณ์ได้ไม่ทันแบบดาราเหล่านี้แน่ๆ เพราะมันทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย แสงแดดก็แรง ไฟก็ร้อน ทั้งตบหน้าซับมัน ทั้งต้องท่องบทให้ได้ ถ้าเทคหลายๆ ครั้งก็ต้องเกรงใจผู้กำกับว่าจะสิ้นเปลืองเทปไปมากขนาดไหน ค่าจ้างก็ไม่ได้ถูกๆ ตอนละตั้งหลายหมื่น

นิดเล่าว่าเมื่อก่อนที่เธอเข้าวงการใหม่ๆ เป็นบทนางเอกเธอนั้นได้ค่าจ้างที่แพงกว่านี้มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเด็กรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ นิดก็ตกกระป๋อง การที่จะให้คนดูจำได้เธอจึงต้องรับบทนางรองหรือผู้ช่วยนางเอก เมื่อเวลาผ่านไปบทแม่ก็เข้ามาเยือน และราคาค่าจ้างต่อเรื่องก็ถูกลง ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าดาราเก่าๆ แบบนิดนั้นเล่นเก่งไม่แข็งกระด้างเหมือนดราใหม่ๆ

แต่ก็อย่างว่าวงการมายาขายความสดใหม่ซิงและว่านอนสอนง่าย เด็กรุ่นใหม่เย่อหยิ่งจองหองอวดดี ข่มรุ่นพี่ทั้งๆ ที่ผ่านเทปมาหลายร้อยม้วน ผ่านการเดินไปมาหน้ากล้องมาตั้งแต่เด็กพวกนั้นยังพูดไม่ได้ ไม่แปลกอะไรที่ดารารุ่นเก่าๆ จะหายลับไปจากวงการไปทำอาชีพของตัวเอง และไม่กลับมาเข้าวงการอีก หรือหากเข้ามาก็วับๆ แวมๆ เรื่องสองเรื่องตอนสองตอน ค่าจ้างก็อาจจะถูกจนไม่พอกับค่าน้ำมันรถในการเดินทางมาเล่นละครแต่ละครั้งด้วยซ้ำไป

นิดเองก็เป็นเหมือนดาราเก่าๆ ทั่วไป เธอเคยโด่งดังจากการเล่นละคร ดังจนวงการต้องลือลั่นว่าตัวเธอนั้นเป็นดาราหน้าใหม่เจ้าบทบาท ค่าจ้างแต่ละตอนดาวน์รถได้ครึ่งคัน ฉันได้ยินค่าจ้างของเธอก็ถึงกับอึ้ง เพราะมันมากมายจนฉันอาจจะเปิดสำนักพิมพ์ได้สังแห่งเพื่อสนองตัณหาของตัวเอง

นิดกับฉันเราแลกเบอร์โทรของกันและกัน และฉันเองก็จะรู้ตารางเวลาที่เธอรับงานในแต่ละวัน เนื่องจากบางครั้งฉันเองก็ต้องไปพบเธอเพื่อขอข้อมูลในการเขียนเรื่องราวต่างๆ ของเธอ ยิ่งฉันเขียนได้มากเท่าไหร่ ฉันก็ได้เงินมากเท่านั้น ยิ่งฉันเขียนได้เหมือนว่าเป็นตัวนิดเขียนได้มากเท่าไหร่ ก็จะมีคนคิดว่านิดเป็นฉันและฉันเป็นได้มากเท่านั้น

ฉันต้องจับคำพูดของนิด สำนวนของนิด ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นการที่จะต้องพูดคุยกับนิดบ่อยๆ มันก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับฉัน ยิ่งคบก็ยิ่งรู้ว่านิดเป็นคนสองบุคลิก ยามที่นิดทำงานเธอจะทุ่มเททุกอย่างให้กับการทำงาน ไม่แปลกอะไรฉันเองก็เป็นเหมือนกัน ทุกคำพูดของนิดฉันต้องอัดเทปไว้ บางอย่างฉันก็ถอดเทปทำพูดของนิดออกมาทุกถ้อยคำ บางอย่างฉันก็เขียนเสริมเติมแต่งลงไป

นิดบอกฉันว่าจะทำหนังสือเป็นสองเล่ม เล่มแรกเป็นก่อนการเข้าวงการและตอนเข้าวงการใหม่ๆ ส่วนเล่มที่สองนิดจะพูดถึงเรื่องการวางตัวในวงการและการปรับตัวจนถึงเรื่องชีวิตรักของนิด เนื้อเรื่องไม่ต้องมากมายแต่จะเป็นเกี่ยวกับการเล่นละครแต่ละเรื่องของเธอ

ข้อมูลของนิดถูกบรรจุในหัวสมองน้อยๆ ของฉันจนเต็มไปหมด ในตอนนี้ฉันกินเดินนอนฝันถึงนิดตลอดเวลาเพราะฉันต้องถ่ายทอดตัวเป็นๆ ของนิดลงเป็นตัวหนังสือ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจนฉันที่กำลังสมองแล่นฉิวต้องตกใจด้วยว่าเวลานี้เกือบๆ จะตีสามแล้วไม่น่าจะมีใครต้องการจะติดต่ออะไรกับฉันอีกแล้ว

“ใครโทรมาวะขัดจังหวะจริง” ฉันบ่นกับเจ้าโทรศัพท์เครื่องโบราณที่ชาร์ตแบตเข้าบ้างไม่เข้าบ้างของฉันเอง

แต่เมื่อเห็นหน้าจอว่าเป็นสายเรียกข้าวของใครฉันก็ยิ้มออก

“สวัสดีนิดทำไมโทรมาซะดึกเชียว”

“มารับเราหน่อยสิต้นเราอยู่โรงถ่ายแถวๆ บ้านต้น” เสียงปลายสายบ่งบอกถึงความอึดอัดอะไรบางอย่าง

“อ้าวไม่ได้เอารถมาเหรอแล้วมาแถวบ้านเราได้ไง แล้วทำไมเสียงดูไม่จืดแบบนั้นล่ะ”

“อืมวันนี้รถเราเสีย พรุ่งนี้ถึงจะได้ แล้วพี่ๆ เค้าก็ลืมเราทิ้งเราอยู่ที่กองคนเดียว”

“จะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์เรามาได้เหรอคุณดาราใหญ่”

“ทำไมจะไม่ได้เรื่องแค่นี้สบายมาก”

“งั้นรอเราที่กองเดี๋ยวเราออกไปรับ” ฉันวางสายแล้วก็คว้าหมวกกันน็อคซิ่งน้องตุ่นมอเตอร์ไซด์คู่ใจไปที่โรงถ่ายที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของฉันเท่าไหร่นักเพื่อไปรับดาราใหญ่เจ้าบทบาท

จะว่าไปตั้งแต่ฉันมาเขียนหนังสือให้กับนิดฉันก็เริ่มจะสนิทสนมกับนิดมากยิ่งขึ้น และตั้งแต่ฉันเข้ามาในชีวิตของนิดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นนิดข้องแวะกับผู้ชายคนไหนหลังจากที่นิดมีข่าวการหย่าร้างกับดาราใหญ่สามีของเธอเมื่อปลายปีที่แล้ว

ฉันเคยอ่านข่าวของนิดในหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงแบบผ่านๆ ตาว่าครอบครัวของเธอนั้นมีมือที่สามเข้ามาสวมรอย ฉันก็ไม่เข้าใจว่าคนสวยๆ อย่างนิดทำไมถึงได้มีมือที่สามเข้ามาป่วนในชีวิตคู่ได้อย่างไร เพราะทั้งสามีของนิดและตัวนิดเองก็หน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่ ตอนที่ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันนั้นใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่เป็นกิ่งทองใบหยกของวงการ เหมาะสมกันทั้งชาติตระกูล ฐานะ รูปร่างหน้าตาและหน้าที่การงาน

ถ้าเรื่องที่มีมือที่สามไม่เป็นความจริงทำไมนิดถึงได้เลิกกับสามีของเธอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ติดค้างคาใจของฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นนักเขียนเงาของนิด หากไม่รู้เรื่องลึกๆ ก็ไม่สามารถเขียนเล่มที่สองของนิดได้ ไหนๆ วันนี้ฉันจะเจอนิดอยู่แล้วฉันก็จะเอาต้นฉบับเล่มแรกให้นิดได้อ่านก่อนที่จะส่งให้บอกอเพื่อแก้ไขและจัดพิมพ์เป็นเล่มหลังจากที่นิดได้อ่านเรื่องของเธอจบแล้ว

“สวัสดีนิด” ฉันจอดน้องตุ่นและเดินไปหานิดที่ยืนอยู่คนเดียวหน้าโรงถ่ายละครเรื่องล่าสุดของนิด

“สวัสดีต้น” นิดเดินมาหาฉันพร้อมกับรอยยิ้ม

“รถเป็นอะไรเหรอ”

“ไม่รู้สิสตาร์ทไม่ติดสงสัยแบตจะหมด”

“ทำไมหมดได้ล่ะไหนให้เราดูหน่อยได้ไหม”

“อย่าเลยต้นไว้พรุ่งนี้เราค่อยให้อู่มาลากไปซ่อมดีกว่า” นิดปฎิเสธความหวังดีของฉัน

“ก็ได้งั้นไปบ้านเราก็แล้วกัน” เมื่อนิดไม่ต้องการให้ฉันดูรถให้เธอ ฉันก็จำใจเดินนำเธอไปที่น้องตุ่นของฉันเพื่อนำเธอไปที่บ้านของฉันที่อยู่ห่างจากโรงถ่ายแห่งนี้ไม่ถึงสามกิโลเมตร

“ทำไมเลิกถ่ายดึกจังเลย” ฉันถามนิดระหว่างทางที่เราสองคนกำลังผ่านดงสวนผลไม้ริมข้างทางกลับบ้านของฉัน

“พอดีวันนี่มีซีนถ่ายกลางคืนเก็บไว้หลายตอนก็เลยเลิกดึกไปหน่อย”

“เป็นดารานี่ก็เหนื่อยเหมือนกันเน๊อะ”

“เหนื่อยสิใครว่าสบาย ไหนจะต้องตากหน้าสู้แสงไฟ ไหนจะต้องท่องบทให้ขึ้นใจ ไหนจะต้องทำอารมณ์ให้ได้ตามบทที่เราเล่น ถ้าเดือนไหนวุ่นๆ รับสองสามเรื่องพร้อมๆ กัน ปรับอารมณ์แทบจะไม่ทัน เช้าเรื่องกลางวันเรื่องเย็นอีกเรื่องวุ่นวายไปหมด” นิดอธิบายให้ฉันที่กำลังควบน้องตุ่นกลับไปบ้านของตัวเอง

“อืม” ฉันได้แต่ครางในลำคอเพราะฉันคิดว่าฉันเองคงทำไม่ได้เหมือนกับที่นิดทำแค่อยู่ต่อหน้ากล้องฉันก็คงพูดไม่ออกกลายเป็นใบ้ไปแล้ว

น้องตุ่นค่อยๆ วิ่งปุเลงๆ ไปเรื่อยๆ จนมาถึงตัวบ้านไม้ทรงไทยสมัยคุณทวดเก่าๆ ของฉัน

“บ้านต้นน่าอยู่จังเลยนะ”

“เหรอเก่าจะตายไปบ้านหลังนี้มันนานมากแล้ว”

“นี่ถ้าเอามาทำเป็นฉากบ้านโบราณๆ เราว่าคงสวยน่าดู”

“เราไม่คิดแบบนั้นนะเราว่าคนที่มาคงวิ่งป่าราบเพราะกลัวผีมากกว่า”

“อิอิ” นิดดูจะขำคำพูดของฉัน

“ทำเป็นขำไปได้บ้านเก่าๆ แบบนี้มันมีตำนานนะนิด” ฉันแกล้งคนที่ยืนขำอยู่ตรงบันไดทางขึ้นบ้านโทรมๆ ของฉัน

ดูเหมือนว่าคำพูดของฉันมันจะได้ผลทำเอานิดรีบเดินมาเกาะแขนฉันที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดบ้านหน้าดูเจื่อนๆ ลงไปเยอะกว่าตอนแรก

“กลัวเหรอ” ฉันถามคนที่เกาะแขนฉันแน่น

“มาพูดอะไรตอนนี้เล่าใกล้รุ่งสางแบบนี้เค้าห้ามพูด” นิดบอกพร้อมกับวิ่งตึงๆ ขึ้นบ้าน

“เดินเบาๆ หน่อยเดี๋ยวผีบ้านผีเรือนตื่นขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ” ฉันขู่อีกรอบทำเอานิดที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดเปลี่ยนเป็นค่อยๆ เดินขึ้นบ้านมากับฉัน

“จะอาบน้ำหรือนอนเลยล่ะนิด”

“เราอาบน้ำมาจากกองถ่ายแล้วต้นขอนอนเลยดีกว่า”

“งั้นนอนที่เตียงเราก็ได้ โชคดีนะที่เราพึ่งเปลี่ยนผ่าปูที่นอนไปไม่งั้นล่ะก็คันยิบๆ แน่เลย”

“โห่ไม่มีเวลาถึงขนาดไม่ยอมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเลยเหรอต้น” นิดถึงกับตาโตเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน

“ก็ไม่เชิงหรอกเราไม่ค่อยได้นอนเตียงไม่ได้นอนหลับสบายๆ หรอกนะ เพราะโดยส่วนใหญ่ก็หลับคาหน้าเครื่องคอมนี่แหละ” ฉันชี้ไปที่เก้าอี้ตัวโตที่ฉันใช้นั่งพิมพ์งานหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์และใช้แทนเตียงนอนเมื่อยามที่ง่วงงุนจนโงหัวไม่ขึ้น

“เป็นนักเขียนนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะต้น”

“จริงๆ ก็ไม่ลำบากมากนักหรอกถ้าเขียนออก แต่ถ้าวันไหนเขียนไม่ออก ทั้งบีบทั้งเค้นจนจะเป็นผงมันก็เขียนไม่ได้แถมเรื่องไหนที่เราเขียนได้ดีๆ เราอ่านแล้วว่าเราเขียนดีทางสำนักพิมพ์ก็ไม่รับเรื่องที่เราเขียนซะงั้น” ฉันบอกความในใจกับนิดโดยไม่ปิดบัง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องบอกกับนิด

“นิดนอนเถอะเราขอเขียนอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก่อนสมองกำลังแล่นเลยก่อนที่นิดจะโทรมา” ฉันเลิกผ้าห่มที่ผับไว้อย่างดีตรงปลายเตียงให้กับนิด

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะต้นที่เรากวนเวลาต้นทำให้เขียนหนังสือไม่ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกนิดดีซะอีกนิดมานอนบ้านเรา เราจะได้ไม่ต้องจินตนาการหน้าของนิดตอนเราเขียนเรื่องของนิดเพราะเรามีนิดตัวเป็นๆ ให้มองตอนเขียนเรื่อง”

“ทำอย่างกับว่าเราเป็นตัวจินตนาการของต้นอย่างนั้นแหละ”

“ไม่ใช่ตัวจินตนาการแต่เป็นตัวดำเนินเรื่องเลยต่างหากเพราะเรื่องที่เราเขียนเป็นเรื่องของนิดไง ทำไงได้เรามันก็แค่นักเขียนเงาจะใช้นามปากกาของเราเองก็ไม่ได้เรื่องมันคงขายไม่ดีเท่าไหร่นักหรอก ของแบบนี้ใครๆ ก็อยากได้ยอดขายดีติดอันดับท็อปเท็นกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเอาเงินแสนมาดองเก็บไว้รอเวลาขายได้ทีละเล่มสองเล่มหรอกนิดก็รู้นี่”

“มันก็จริงนะต้น งั้นเราขอนอนก่อนนะง่วงจริงๆ พรุ่งนี้ถ้าต้นยังไม่นอนปลุกเราตอนสิบโมงเช้านะเรามีถ่ายตอนสิบเอ็ดโมง”

“ก็ได้นิดนอนเถอะ” ฉันเดินกลับมาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวเก่าโบราณของตัวเองและปิดไฟให้กับนิด เปิดเพียงไฟที่โต๊ะคอมสำหรับเขียนหนังสือของฉันเท่านั้น

เช้านี้ฉันเขียนได้มากกว่าที่เคยเขียนอาจเพราะว่ามีเจ้าของเรื่องมานอนอยู่ในชายคาเดียวกับฉันก็เป็นได้ เรื่องทุกอย่างพร่างพรูออกมาเป็นฉากๆ คำพูดของนิดที่ฉันรับฟังมาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ แม้การเขียนไม่ใช่การแกะถอดถ้อยคำของนิดแต่ก็คล้ายๆ กัน กว่าฉันจะวางมือที่พรมลงบนแป้นคียบอร์ดก็เกือบๆ จะได้เวลาที่นิดต้องตื่นไปกองถ่าย

“นิดๆ ตื่นเถอะเดี๋ยวไปถ่ายละครสาย” ฉันปลุกนิดที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนของฉัน

“เช้าแล้วเหรอนี่ไม่อยากตื่นเลย” นิดงัวเงียพูดกับฉันทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

“เช้าแล้วสายแล้วด้วยอีกต่างหาก” ฉันบอกคนที่นอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงท่าทางสบายๆ และเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่หอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มให้กับนิด

“อะนี่ผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำเถอะจะได้สดชื่น”

นิดรับผ้าเช็ดตัวจากฉัน “แล้วห้องน้ำอยู่ตรงไหนล่ะต้น”

“เดินไปหลังบ้านซ้ายมือบ้านเราอาบน้ำจากตุ่มนะไม่มีฝักบัวอาบได้หรือเปล่า”

“ได้สิบ้านเราที่บ้านนอกก็อาบแบบนี้แหละ”

“สงสัยเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวแล้วเรื่องสมัยเด็กๆ ของนิด ไว้นิดว่างก่อนก็แล้วกันเราค่อยคุย”

“มะรืนนี้เราปิดกล้องเรื่องสุดท้ายแล้วถ้าต้นว่าไปบ้านเรากันไหม”

“บ้านที่นี่นะเหรอไปทำไม” ฉันข้องใจนิดเหมือนกันว่าจะมาชวนฉันไปบ้านหรูๆ ของเธอทำไมกัน

“เปล่าไปบ้านเราที่บ้านนอกต่างหากต้นจะได้รู้ว่าบ้านเราเป็นแบบไหน เราโตมาแบบไหนจะได้หายข้องใจชีวิตในวัยเด็กของเราไง”

“อ๋อเข้าใจแล้วแต่ตอนนี้นิดไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวไปทำงานสายจะโดนเม้าท์แหลกอีกรอบ”

“น่าเบื่อจังนะชีวิตไม่ได้เป็นของตัวเองเลยเราอยากมีชีวิตแบบต้นบ้าง ทำอะไรก็ได้ตามใจที่อยากจะทำ”

“แต่ไส้แห้งนะนิดบางวันต้องไปเก็บกระถิ่นริมรั้ว เก็บดอกแคข้างบ้านมาลวกมาจิ้มน้ำพริก” ฉันแกล้งเย้านิด

“ไส้แห้งแต่เป็นตัวของตัวเองมันก็สบายใจไปอีกแบบนะต้น ไม่พูดแล้วดีกว่าเราไปอาบน้ำก่อนนะต้น เออต้นเราคงต้องขอรบกวนต้นให้ช่วยไปส่งเราที่กองถ่ายด้วยนะถ้าไม่รบกวนมากจนเกินไป”

“ได้สิรับมาก็ต้องส่งกลับอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา” ฉันตอบรับคำของของนิดอย่างง่ายดายก่อนที่นิดจะไปอาบน้ำ และฉันก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโตตัวโปรดของฉันเอง

.......................

ตลอดสองข้างทางมีแต่ทุ่งนาเขียวขจี นกกระยางบินโฉบไปมาร่อนลงมาโฉบจิกปลาในนาที่ว่ายวนอยู่ระหว่างกอข้าว ปีกที่ถลาลมก่อนที่จะร่อนลงมานั้นมันเป็นภาพที่สวยงาม ชีวิตชนบทกับธรรมชาติมันดูจะแตกต่างกับชีวิตในเมืองกับทุ่งคอนกรีตมากมายนัก

นิดชวนฉันให้มาที่บ้านต่างจังหวัดของเธอ ฉันตอบรับอย่างง่ายดายเพราะฉันเองก็ต้องการที่จะรู้เรื่องลึกๆ ของนิดอยู่เหมือนกัน มันจะง่ายกว่าเดิมถ้าฉันได้มาเห็นอะไรที่นิดเคยอยู่และเคยทำเมื่อสมัยก่อนที่นิดจะเข้าวงการ แน่นอนฉันอาจจะต้องเปลี่ยนเรื่องที่เคยเขียนแล้ว แต่มันจะแปลกอะไรกับการที่นักเขียนอย่างฉันต้องมาแก้ไขต้นฉบับเป็นว่าเล่น เพราะเรื่องเหล่านั้นฉันเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

บ้านของนิดดูมีฐานะเป็นโรงสีรับจำนำข้าวรับสีข้าวให้กับชาวนาในละแวกนั้น แม้จะไม่ได้ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของจังหวัดแต่ก็ใหญ่ที่สุดในอำเภอแห่งนี้ นิดพาฉันเข้าไปไหว้อาม่าอากง อากู๋ อาโก ญาติๆ ที่ร่วมอยู่ในกงสีของโรงสีแห่งนี้ ก่อนที่จะพาไปที่บ้านหลังเล็กๆ ของนิดที่อยู่ในอาณาบริเวณรั้วเดียวกันกับโรงสี

“ทำไมบ้านมันเยอะแบบนี้ล่ะนิด” ฉันถามเมื่อเห็นบ้านหลากหลายรูปแบบหลังใหญ่หลังเล็กเต็มไปหมดด้านหลังโรงสีของครอบครัวนิด

“ก็ทุกคนพอมีครอบครัวก็แยกบ้านออกมาอยู่อีกหลัง กงกับม่าเรามีลูกสามคน แล้วทั้งสามคนก็มีลูกๆ อีกคนละสามคน ต่างคนก็ต่างแยกครอบครัวออกมาอยู่กันเอง แต่กงกับม่าไม่ให้ออกไปอยู่นอกบ้านพวกเราก็เลยต้องสร้างบ้านกันในรั้วนี้”

ฉันพยักหน้ารับรู้สิ่งที่นิดเล่า มันคงไม่แปลกอะไรที่ครอบครัวของนิดจะเป็นครอบครัวขยายแต่เป็นเชิงเดี่ยวฟังดูอาจจะพิลึก แต่มันก็เป็นจริงๆ ทุกคนอยู่มีรั้วเดียวกันแต่แยกกันอยู่ เมื่อถึงเวลากินก็ไปรวมกันที่บ้านใหญ่ ที่มีทั้งอากงอาม่า อาอี้อาซิ่มอาแปะ สารพัดที่นิดจะเอ่ยนามออกมาฉันเองก็แปลไม่ออกหรอกว่าที่นิดพูดๆ มานั้นหมายถึงใครบ้าง แต่ที่แน่ๆ นิดเป็นคนญาติเยอะแถมยังสวยที่สุดในบ้านอีกด้วย

นิดแนะนำฉันให้กับญาติๆ ของเธอได้รู้จักว่าฉันเป็นนักเขียนทุกคนก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้และรับไหว้ฉันก่อนที่นิดจะพาฉันออกไปยังหลังโรงสีที่เป็นที่นาของทางครอบครัวของนิดเอง เราสองคนเดินไปตามคันนา เหมือนนิดจะเดินได้คล่องและเก่งหว่าฉันที่พยายามเดินทรงตัวไปบนคันนาแคบๆ ตามเธอไป นิดถือถุงของกินมากมายและปิ่นโตเถาใหญ่ติดมือมาด้วยเพราะเธอบอกว่าอยากจะไปนั่งเล่นนอนเล่นที่กระท่อมปลายนาที่สมัยเด็กๆ เธอกับน้องๆ มาวิ่งเล่นซุกซนกันอยู่แถวนั้น

เมฆฝนครึ้มมาตั้งแต่เราเดินทางมาถึง ท้องฟ้าสีดำตัดกับทุ่งนาสีเขียวที่พึ่งลงกล้าปักดำต้นสั้นๆ หุ่นไล่กาทำหน้าที่ไล่นกได้เหมือนอย่างที่คนโบราณเคยทำเอาไว้ เม็ดฝนลงมาแล้วปรอยๆ นิดเดินนำฉันมาที่กระท่อมที่อยู่ตรงกลางนากว้างใหญ่แห่งนั้น

“ไปหลบฝนกันในนั้นก่อนดีกว่าต้นเดี๋ยวฝนหยุดแล้วเราค่อยกลับบ้านกัน” นิดฉุดมือของฉันให้เข้าไปในกระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าและมีฝาขัดแตะด้วยไม่ไผ่ง่ายๆ สภาพโทรมๆ เพราะอาจจะใช้งานมานานแล้ว

เสียงฟ้าร้องครืนๆ ประสานเสียงของกบเขียดร้องระงม วันนี้ฝนคงจะตกหนักและอีกนานกว่าจะหยุด ฉันกำลังจะหยิบผ้าเช็ดดหน้าออกมาเช็ดเนื้อตัวที่เปียกปอนไปด้วยเม็ดฝน แต่ก็ช้ากว่านิดที่หยิบกระดาษทิสชูยื่นมาให้ฉันก่อน

“ไม่เป็นไรเรามีผ้าเช็ดหน้าขอบใจนะนิด” ฉันปฏิเสธนิดพร้อมๆ กับหยิบผ้าเช็ดหน้าให้นิดดู นิดไม่ได้พูดอะไรต่อเธอจัดการเช็ดใบหน้าและแขนของเธอและฉันเองก็ทำแบบเธอเช่นกัน

“หิวไหมต้น”

“ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกแล้วนิดล่ะหิวไหม”

“ไม่เหมือนกันเรากินข้าวไม่เป็นเวลามานานมากแล้ว”

“อืม”

“เราจะเล่าเรื่องตอนเด็กๆ ให้ต้นฟังใหม่เอาไหม”

“เอาสิ” ฉันพยักหน้าและหยิบเครื่องอัดเสียงจากกระเป๋ากางเกงออกมาตั้งท่าจะอัดเสียง

“ฟังด้วยใจไม่ได้เหรอต้นเราไม่อยากให้มันมีหลักฐานอะไรมากมายนัก” นิดเอื้อมมือมาจับมือของฉันที่กำลังจะกดเครื่องอัดเสียง มือของนิดนั้นทั้งเย็นและสั่น

“ก็ได้เราจะฟังเรื่องทั้งหมดด้วยใจของเรา”

“เราเกิดมาในครอบครัวของคนจีนแน่นอนเราเป็นลูกสาวคนโตของพ่อที่เป็นลูกชายคนโตของบ้าน เราเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่นักหรอก ตอนเด็กๆ เราต้องช่วยพ่อกับแม่ทำงานทำพวกบัญชีรับจ่ายข้าวดูแลเรื่องในบ้านแทนแม่ที่ต้องออกไปโรงสีทุกวัน สมัยเด็กๆ เราวิ่งเล่นแถวนี้” นิดชี้ไปที่ทุ่งนานเวิ้งว้างนั้น

“เราโตมาโดยมีความรักของแม่คอยดูแลเราตลอดแม่ไม่เคยจะว่าเราสักครั้งมีแต่ให้กำลังใจเรามาโดยตลอด และเมื่อตอนที่เราต้องเสียแม่ไปชีวิตทุกอย่างก็พังครืน” นิดมีน้ำตารื้อขึ้นมานิดๆ ในดวงตาคู่สวยของเธอ

“สมัยเราเรียนเราเคยมีแฟนคนหนึ่งพี่เค้าดีมากๆ เลยนะต้นดีกับเราทุกอย่างเรารักพี่นกมากกว่าชีวิตของเราเองด้วยซ้ำไป เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เราอยู่ด้วยกันจนกระทั่งเราเรียนจบเราก็มารู้ความจริงว่าพี่นกมีแฟนแล้ว และที่สำคัญแฟนของพี่นกก็เป็นคนที่เราสนิทและนับถือเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเราเองด้วยซ้ำไป เราทำอะไรไม่ถูกเลยต้น ตอนนั้นเราแทบจะฆ่าตัวตายแม่เราปลอบใจเรา” นิดหยิบกระดาษทิสชูขึ้นมาซับน้ำตาของเธอ

“แล้วชีวิตเราก็ผกผันได้เข้ามาในวงการ เรารู้ดีว่าการมาอยู่ในวงการมายานั้นมันจะไม่เป็นตัวของตัวเองมันจะสูญเสียความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่เราก็เลือกที่จะเข้ามาเพราะเราอยากที่จะลืมพี่นกให้หมดไปจากใจของเรา เราใช้ความผิดหวังมาเป็นแรงผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้าให้เรามีกำลังเดินไปโดยที่ไม่ได้คิดที่จะหันหลังกลับไปเดินในทางที่ผิดที่จะแย่งแฟนของคนอื่นอีก”

“แล้วนิดก็ทำได้ดีด้วยสิ” ฉันให้กำลังใจดาราสาวสวยตรงหน้า

“มันก็จริงนะเราทำได้และทำได้ดี แต่เราเองก็เหงาจนเมื่อไตรเข้ามาในชีวิตของเรา เราตัดสินใจที่จะเลือกไตรเป็นที่พึ่งของเราเอง แต่เราไม่รู้ตัวเองหรอกว่าเราเลือกทางเดินที่ผิด”

“คุณไตรไม่ดีกับนิดหรือไง”

“ไม่ใช่หรอกต้นไตรดีมากๆ แต่เราสิไม่ดีกับไตร เราไม่ได้รักเค้าเราเอาเค้ามาปิดบังความจริงในใจของเราต่างหาก เมื่อไตรรู้ความจริงเรื่องของเราไตรก็ทำใจไม่ได้เค้าตัดสินใจที่จะเดินจากเราไป เราเลิกกันเพราะความผิดของเราเอง”

“ทำไมเหรอนิดทำไมนิดต้องบอกว่าตัวเองผิดทั้งๆ ที่ไตรไปมีคนใหม่แท้ๆ”

“เพราะเราบกพร่องในหน้าที่ของภรรยาที่ดีนะสิต้น”

“บกพร่อง?” เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นบนใบหน้าฉันทันทีที่ได้ยินคำนั้น

“ใช่เราบกพร่องในหน้าที่ของภรรยาที่ดี ตั้งแต่เรากับไตรแต่งงานกันมาเรานอนกับไตรนับครั้งได้ เราตอบตามตรงเราสะอิดสะเอี้ยนการนอนร่วมห้องกับผู้ชาย”

“หมายความว่า”

“ใช่เราไม่ชอบผู้ชายเราทนไม่ได้ที่จะต้องนอนร่วมกับผู้ชายเราทนไม่ได้ที่จะต้องเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ความใคร่ของผู้ชาย ไตรไม่มีอารัมภบทไม่เคยปลุกอารมณ์เรามีแต่ความกระหายจาบจ้วง เราเจ็บทุกครั้งแต่ก็ต้องเสแสร้งว่ามีความสุข”

“แล้วกับพี่นกทำไมนิดถึงได้มีความสุข”

“เพราะพี่นกเป็นผู้หญิงนะสิต้น”

“หาอะไรนะนิดพี่นกเป็นผู้หญิงเหรอ” ฉันตกใจอีกครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวลึกๆ ของนิด

“ใช่พี่นกเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เรารัก เราไม่เคยบอกใครนอกจากพ่อกับแม่ของเรา ต้นเป็นคนแรกที่ได้รู้เรื่องนี้”

“แล้วนิดมาเล่าให้เราฟังนิดไม่กลัวเหรอว่าเราจะเอาไปบอกต่อ”

“เราไม่กลัวหรอกเราไว้ใจต้น”

“ไว้ใจคนแปลกหน้าแบบเรานี่นะ”

“ใช่เราไว้ใจต้นว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวของเราออกมาโดยไม่ผิดไปจากเรื่องจริงของเรา”

“หมายความว่าเรื่องที่นิดเล่าให้เราฟังทั้งหมดนิดจะให้เราเอาไปเขียนลงในหนังสือของนิดเหรอ”

“ใช่ต้นคิดถูกแล้ว”

“แต่ว่าชื่อเสียงของนิดจะป่นปี้บี้แบนไปหมดเลยนะ”

“มันจะสำคัญอะไรต้นอีกไม่นานเราก็ต้องตายจากโลกนี้ไปแล้วให้ชีวิตของเราเป็นอุทธาหรณ์กับเด็กๆ ก็จะดีด้วยซ้ำไป อีกอย่างเราก็ไม่อยากให้คนที่ตกอยู่ในสภาพแบบเราต้องมากล้ำกลืนฝืนทนกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ เราว่ายังมีคนอีกมากมายนักที่ไม่รู้ใจตัวเองยังเลือกเดินทางของตัวเองไม่ถูก อาจเพราะว่าสังคมของเรามันยังไม่ยอมรับคนรักเพศเดียวกันเห็นคนประเภทเราเป็นคนชั้นสองหรือชั้นสามในสังคม แต่มีใครจะรู้บ้างว่าคนที่เดินๆ กันบนท้องถนนอาจจะมีคนประเภทเดียวกับเราต้องอดทนเพื่อให้อยู่ในสังคมโดยที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ จะต้องมีผู้หญิงอีกเท่าไหร่ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของคำว่าสังคม ทั้งๆ ที่สังคมไม่เคยช่วยให้เรามีข้าวกินมีเงินใช้ แล้วเราจะไปอายทำไมในเมื่อเราไม่เคยขอใครกินจริงไหมต้น”

“มันก็จริงอย่างที่นิดบอก” ฉันเข้าใจในสิ่งที่นิดพูดและเข้าใจเป็นอย่างดีด้วยซ้ำไปเพราะฉันก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่นิดพูดถึง

นิดมองหน้าฉันและฉันก็มองหน้าเธอเราสองคนจ้องตากันอยู่อย่างนั้น ฉันสื่อความหมายในความเข้าใจให้กับนิดและนิดเองก็สื่อความหมายในใจของเธอมาให้ฉัน ฉันจับมือของเธอไว้ในมือของฉัน มือของนิดยังคงเย็นเหมือนเดิม ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้นิดมาขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ตัวฉํนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

“หนาวเหรอนิด”

“อืม” นิดครางในลำคอและแอนตัวมาซบที่ไหล่ของฉัน

ฉันโอบกอดนิดให้เธอคลายหนาว ฝนข้างนอกยังคง ตกกระหน่ำลมพัดแรงเหมือนกับพายุกำลังจะเข้ามา ฉันไม่ได้ฟังข่าวพยากรณือากาศจึงไม่รู้ว่าวันนี้จะมีพายุเข้ามีฝนตกหนัก มันเหมือนๆ กัยพายุอารมร์ของฉันในตอนนี้ ที่กำลังก่อขึ้นมาโดยที่ฉันเองไม่รู้ตัว

ฉันอยากจะบอกนิดว่าออกไปให้ไกลๆ จากฉันเถอะก่อนที่เรื่องจะเกิด ก่อนที่ฉันจะห้ามใจของตัวเองไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ

“เปรี้ยง”

เสียงฟ้าผ่าต้นตาลข้างๆ คันนาดังมาเป็นระยะๆ ฟ้าคงพิโรธเมื่อเห็นเราสองคนกอดกัน แต่ตอนนี้ใจฉันไม่สนไรทั้งนั้นต่อให้ฟ้าจะพิโรธโกรธเกรี้ยวสักปานใด

ฉันก็จะกอดผู้หญิงในอ้อมกอดคนนี้ไปเรื่อยๆ นิดเองเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าก็กลับกอดฉันแน่นยิ่งขึ้น

ใจสองใจดูเหมือนว่าจะตรงกัน ฉันลูบไล้แผ่นหลังของนิดอย่างแผ่วเบาเหมือนอย่างที่ใจอยากให้ทำ เหมือนอย่างที่ใจอยากให้เป็น ร่างกายอของนิดมันหอมจนฉันอดใจไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปสูดดมความหอมหวานจากตัวของเธอ และนิดก็ไม่ได้ขัดขืนฉันเธอปล่อยให้ฉันรุกรานตัวเธอไปทั้งตัว

จากความหนาวกลายเป็นความร้อนกรุ่นในกาย ไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ ได้ยินแต่เสียงอื้ออึงในหัวใจว่า

“หวานเหลือเกิน หอมเหลือเกินแล้วนิดจ๋า”

เสื้อผ้ายีนส์แขนยาวของนิดถูกปลดไปเมื่อไหร่ฉันเองก็ไม่รู้ร่างเปลือยเปล่าในท่อนบนของนิดมันยั่วยวนตาฉันเหลือเกินแล้ว

ดอกบัวตูมสองดอกที่ชูช่อยั่วน้ำลายให้แมลงอย่างฉันลงไปลิ้มลองความหอมหวานยังยวนยั่วให้ฉันลงไปดื่มกิน ก่อนที่ฉันจะผลักให้นิดล้มตัวลงนอนบนพื้นไม้ไผ่ฉํนเอาเสื้อของนิดปูรองไว้เพื่อกันไม่ให้เธอต้องเจ็บแผ่นหลังขาวเนียนนั้น

บทเพลงบรรเลงไปทั้งแผ่วเบาและดุดัน เสียงครางของเราสองแข่งกับสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดระยะ ความอิ่มเอมในรสรักความชื่นใจที่ได้ลิ้มลองความหอม ทำให้ฉันแทบจะสำลักความสุขตายไปต่อหน้าต่อตาของนิด

หากฉันตายไปตอนนี้คงมีข่าวหน้าหนึ่งลงว่า

“เลสเบี้ยนตายคาอกดาราสาวกลางทุ่งนาท่ามกลางพายุ” เป็นแน่

และฉันก็ยังไม่อยากจะตายตอนนี้เพราะนิดยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้ฉันต้องค้นหาตัวเธอไปตลอดทั้งค่ำคืน

..................

หนังสือของนิดทั้งสองเล่มขายดีจนต้องพิมพ์เพิ่มอีกหลายครั้ง การตีแผ่ชีวิตของนิดในครั้งนี้เป็นที่ฮือฮาในวงการมายาเป็นอย่างมาก

นิดเองตัดสินใจที่จะออกจากวงการขายเงาเรื่องที่เธอแสดงเป็นเรื่องสุดท้ายเป็นที่จับตาของบรรดาแฟนละคร มีเรทติ้งเป็นอันดับหนึ่งในขณะนั้น จนผู้จัดละครอยากจะยืดออกอีกหลายๆ ตอนเพราะการขายโฆษณานั้นได้เงินมาท่วมท้น แต่นิดไม่รับงานแสดงอะไรอีกต่อไปแล้ว

นิดมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่บนดอยทำไร่ปลูกพืชขายเป็นสาวชาวไร่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง

ฉันเองก็ตามนิดมาด้วยแน่นอนหลังจากหนังสือของนิดขายดี ฉันก็เขียนหนังสือนิยายอีกหลายๆ เล่มในแนวหญิงรักหญิงออกมาขาย ตีแผ่เปลือกนอกเปลือกในของชีวิตของหญิงรักหญิงออกมาให้กับสายตาของสังคมได้รับรู้

แม้ว่าหนังสือของฉันจะขายได้ไม่ดียอดขายไม่ถล่มทะลายแบบเรื่องของนิดแต่มันก็ทำรายได้ให้กับฉันมากกว่าที่ฉันเคยเขียนเรื่องทั่วไป

ใครๆ อาจจะว่าฉันเกาะนิดเพื่อความดังมีเพียงฉันและนิดเท่านั้นที่รู้ว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ พูดกัน เราสองคนใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่ท่ามกลางป่าเขาและดอยสูง

เพราะฉันรู้ดีว่าฉันก็แค่นักเขียนเงาคนหนึ่งที่มีตัวตนที่แท้จริงอยู่กับเจ้าของเรื่องก็เท่านั้น

… จบ ...



Create Date : 13 สิงหาคม 2551
Last Update : 13 สิงหาคม 2551 18:52:15 น. 1 comments
Counter : 2838 Pageviews.

 
สนุกดี


โดย: อยากมีรัก IP: 1.47.193.217 วันที่: 18 ตุลาคม 2558 เวลา:6:52:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.