It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เืรื่องสั้นแนวยูริ : ภาพเก่า

ภาพเก่า โดยผิงดาว

ชีวิตคนทำงานอย่างฉัน วันๆ ต้องตื่นเช้าเพื่อขึ้นรถเมล์จากบ้านที่ไกลแสนไกลไปทำงานและก็ต้องโดนโขกสับใช้งานที่ทำจนเคยชิน กับเจ้านายที่มีแต่เจ้าอารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง ฉันอยากจะลาออกจากงานวันละหลายร้อยหลายพันครั้ง

“คุณทำงานภาษาอะไร ทำมาจนจะแก่หัวหงอกแล้วเอาอะไรมาทำเอาอะไรมาคิด เรื่องแค่นี้ต้องให้ผมทำเองทุกเรื่องเลยหรือไง แล้วผมจะจ้างคุณมาทำงานหาสวรรค์วิมานอะไรกันทำเองทั้งหมดคนเดียวไม่ต้องจ้างพวกคุณให้เสียเวลาเปลืองเงินเดือนหรอกนะ ไปเอาไปแก้มาใหม่คราวหลังอย่าทำงานชุ่ยๆ แบบนี้มาส่งผมอีกนะ”

นายจ้างของฉันปาเอกสารที่ฉันส่งเข้าไปเสนอ ทิ้งกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ฉันรีบเก็บเอกสารเหล่านั้น หน้าตาเจื่อนๆ แล้วก็ตอบได้คำเดียวงว่า

“ค่ะดิฉันจะเอาไปแก้ไขเดี๋ยวนี้” แต่ในใจนั้นมันช่างหดหู่เสียเหลือเกิน

งานที่ฉันเสนอให้เจ้านาย เป็นงานที่ฉันนั่งคิดจนหัวจะระเบิดมาทั้งสัปดาห์แทบไม่ได้หลับได้นอน การเป็น Creative งานโฆษณาแบบฉันมันต้องใช้หัวสมองมากมายกว่าจะเริ่มคิดงานแต่ละอย่างออกไปได้

ไหนจะต้องทำ Model เมื่องานนั้นผ่าน ไหนจะต้องติดต่อลูกค้า และแย่งชิงกับบริษัทคู่แข่ง กว่าจะได้งานแต่ละงานออกมาจากหัวสมองอันน้อยนิดของฉันเลือดตาแทบกระเด็น

แถมยังพ่วงมาด้วยเพื่อนที่ทำงานที่แก่งแย่งชิงดีกันทุกวัน ทุบได้ทุบ ตืบได้ตืบ เผาได้เผา หากเลื่อยขาเก้าอี้กันได้ก็คงทำกันไปแล้ว วันไหนฉันพลาด วันนั้นคงเป็นวันที่เธอเหล่านั้นดีใจ สะใจที่ถล่มคนอย่างฉันให้ร่วงหล่นกองลงไปในถังขยะ

ใครที่เคยดูละครน้ำเน่าในหน้าจอทีวี ฉันว่าชีวิตจิริงของฉันนั้นยิ่งกว่า ต่อให้ใครจะมาเลื่อยขาเก้าอี้ที่ฉันนั่ง ต่อให้ใครจะสุมไฟใต้เก้าอี้ที่ฉันนั่งจนฉันร้อนไปหมด ฉันก็ไม่ยอมปล่อยเก้าอี้ตัวนี้ไปง่ายๆ หรอก

เพราะอะไรนะเหรอเพราะฉันก็ต้องอดทน บ้านก็พึ่งจะเอาเงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมดมาซื้อ แม้ว่ามันจะห่างไกลจากที่ทำงาน แม้ว่าบ้านจะไม่ใหญ่โตโก้หรูแบบบ้านของคนอื่น แต่บ้านหลังนี้ก็มาจากน้ำพักน้ำแรงที่ฉันเก็บหอมรอมริบ มาจากการทำงานที่แสนหนักหน่วง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ใครๆ ที่ทำงานของฉันเลือกที่จะซื้อรถหรูและเช่าอพาร์ตเม้นท์ราคาแพงๆ อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงาน แต่สำหรับฉันไม่ได้คิดแบบนั้น

“นี่นะเวลาเราไปพบลูกค้ามาดดีๆ เค้าเห็นรถเราเค้าจะได้เข้าใจว่าเราหรู ไม่ได้มาง้อเค้าให้มาทำโฆษณากับเรา วางมาดไว้ก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง” เพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งบอกกับฉัน

ฉันก็ไม่เข้าใจว่าการที่เราขับรถหรูๆ เข้าไปจอดในที่จอดรถแล้วก็รับบัตรจอดรถมา ลูกค้าจะเห็นว่าเราโก้หรือหรูได้ในตอนไหน แถมบางครั้งก็ทำให้เราไปพบลูกค้าช้าลงไปกว่าเดิมเพราะกะเวลาที่จะวนหาที่จอดรถในตึกสูงๆ ไม่ได้

ตอนนี้ที่จอดรถมีค่ายิ่งกว่าทองคำ แม้กระทั่งที่ทำงานของฉันเองก็หายากเย็น คนที่จะมีที่จอดรถส่วนตัวก็มีแต่พวกผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น ส่วนพวกฉันก็ต้องวนหาที่จอดกันเอง แถมยังต้องเสียค่าที่จอดเป็นรายเดือนให้กับตึกที่ทำงานอีกต่างหาก

ลองถ้าไม่ยอมเสียค่าที่จอดให้สิตึกมหาโหดแห่งนี้คิดค่าจอดรถชั่วโมงละสามสิบ ต่อให้ประทับตราว่ามาติดต่องานก็สามชั่วโมงแรกสิบบาท แล้วพวกฉันทำงานกันวันละแค่สามชั่วโมงหรอกหรือ หุหุ ฝันไปเถอะคะ พวกฉันทำงานวันละเกือบสิบสองชั่วโมง โอฟรีไม่มีรายได้เสริม แล้วใครจะไปยอมจ่ายชั่วโมงที่เหลือตั้งสามสิบ เก็บเงินไว้กินโรตีสายไหมเจ้าอร่อยดีว่า

ฉันว่าการซื้อรถมันเป็นการลงทุนที่มีแต่จะลดลง ไหนจะค่าเสื่อมราคา ไหนจะค่าซ่อมบำรุง กว่าจะผ่อนหมด รถเป็นไทยเราเป็นเจ้าของก็ได้เวลาที่จะต้องขายรถในราคาถูกและไปซื้อรถคันใหม่มาขับอีก เพราะสู้ราคาค่าซ่อมไม่ไหว

หลังจากที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาทั้งวันฉันไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใจกลางเมือง มันไม่ไกลมากจากที่ทำงานของฉัน มีคนสูงอายุมาออกกำลังรำมวยจีน คนที่สนใจในเรื่องสุขภาพก็มาวิ่งออกกำลังกายกัน เคยเห็นโฆษณาเรื่องหนึ่งไหมคะ ที่คนวิ่งๆ กันบนลู่วิ่งแล้วมีเด็กคนหนึ่งถามว่า “เหนื่อยไหมค่ะ”

คนที่วิ่งอยู่ก็ตอบว่า “เหนื่อย” เด็กก็เริ่มสงสัยว่า “เหนื่อยแล้วทำไมยังวิ่งอยู่ล่ะคะ” ฉันดูโฆษณานั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ คนเราทำงานงกๆ และต้องจ่ายเงินแพงๆ เข้า Fitness ด้วยเพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ออกกำลัง แต่เมื่อไหร่ที่เสียเงินเป็นรายเดือนกลับต้องฝ่าฟันรถติดไปที่ Fitness แห่งนั้นให้ได้

ไม่ใช่เพราะกลัวว่าไม่ได้ออกกำลังหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะว่าเสียดายเงินที่จ่ายไปให้กับ Fitness แห่งนั้นต่างหาก

เพื่อนที่ทำงานฉันคนหนึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่หลงไปกับการออกกำลังบนลู่วิ่งเช่นกัน แรกๆ เธอก็ไปบ่อย เพราะมีสิ่งล่อตาล่อใจ ของแจกของแถม ทั้งกระเป๋าเป้ กระติกน้ำ ผ้าขนหนู หูฟังเวลาวิ่งบนลู่แล้วก็เสียบฟังรายการโทรทัศน์ ที่เหมือนโดนบังคับให้ดู

เข้าไปเล่นโยคะโยคับติ้ว ในห้องร้อนๆ แคบๆ เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เข้าไปอบไอน้ำเพราะไม่อยากวิ่งมันเหนื่อย แต่อยากให้มีเหงื่อออก แถมยังบอกว่าทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้น

แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร เธอคนนั้นสมัครสมาชิกไปสามปีติดต่อกัน เพราะคนขาย Pack gate ล่อตาล่อใจ สนนราคาค่าสมัครก็ถูกแสนถูก รายเดือนก็ไม่แพงอย่างที่คิดจนคุณเธอหลงไปกับคำเชื้อเชิญ เหล่านั้น แต่ฉันก็เห็นเธอไปได้แค่สองหรือสามเดือน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ย่างกรายเข้าไปที่ Fitness นั้นอีกเลย ฉันล่ะเสียดายเงินแทนเธอจริงๆ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่เงินของฉันนี่นา จริงมะ

ฉันใช้เวลายามเย็นๆ หลังจากที่ว่างจากการทำงาน มันไม่บ่อยนักที่จะมีเวลาว่างให้ฉันมาเดินปล่อยอารมณ์ในสวนสาธารณะแห่งนี้ ฉันถือว่าเป็นการออกกำลังกายเดินออกมาจากที่ทำงานไปเรื่อยๆ ให้ได้เหงื่อบ้างเล็กๆ น้อยๆ ถนนรถติดเหมือนเป็นที่จอดรถแห่งใหม่ จะผิดกันก็ตรงที่ว่ารถทุกคันติดเครื่องยนต์ไว้ ไม่ได้ดับเครื่องเหมือนเวลาไปจอดรถในชั้นจอดก็เท่านั้น

ฉันเห็นที่สวนแห่งนี้มีเด็กๆ วิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่น ชีวิตเด็กๆ ช่างมีความสุขไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ เวลากินก็ได้กิน เวลานอนก็ได้นอน มีคนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

“อย่าไปไกลๆ นะลูก เดี๋ยวมีคนบ้าจับไป” เสียงแม่ของเด็กส่งเสียงร้องบอกลูกชายตัวกระจ้อยให้วิ่งเล่นไม่ไกลจากเธอ

ในมือของแม่เด็กคนนั้นยังถือกล่องพลาสติกที่มีข้าวมื้อเย็นคอยป้อนลูกชายของเธออยู่ไม่ห่าง

ท่าทางเด็กคนนี้คงจะกินข้าวยากน่าดู เพราะเห็นแม่ของเด็กต้องคอยวิ่งวุ่น ตามลูกของเธอให้กินข้าวอยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้แม่ของเด็กคงจะเหนื่อยที่จะต้องวิ่งตามลูก ก็เลยส่งเสียงบอกให้อย่าไปไหนไกลเธอนัก

ไม่ไกลกันนักมีแม่ของเด็กฝรั่งอายุก็คงไล่เลี่ยกับเด็กไทยคนนั้น ดูเธอจะไม่ค่อยสนใจใยดีลูกของเธอเหมือนแม่คนไทย ลูกจะไปไหนก็ไป เธออ่านหนังสือ Pocket book ในมือไปเรื่อยๆ ฉันสังเกตเห็นที่หน้าอกของเด็กฝรั่งคนนั้นมีชื่อของเด็กตัวโตๆ และที่ตามมาน่าจะเป็นเบอร์โทรหรือที่อยู่อะไรสักอย่าง กลัดติดไว้ ฝรั่งกับคนไทยเลี้ยงลูกไม่เหมือนกันจริงๆ

ไม่นานนักเด็กฝรั่งก็วิ่งกลับมาหาแม่ และก็ดูเหมือนว่าจะหิวน้ำหิวข้าว แม่ก็หยิบอาหารออกมาจากกระเป๋าใบโตยื่นให้พร้อมกับขวดน้ำเล็กๆ ใสๆ เด็กคนนั้นดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว มีเสียงดุว่า ให้ช้าๆ หน่อย จากนั้นเด็กก็จัดการอาหารเอง ไม่ต้องให้แม่คอยเดินตามป้อน แบบเด็กชายไทยคนนั้น ที่ยังเล่นซนไม่เลิกรา

ฝรั่งเลี้ยงลูกดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ใส่ใจ ดูเหมือนไม่รักแต่ก็รัก เด็กฝรั่งนั่งกินขนมปังในมือเลอะเทอะไปหมดทั้งปาก แต่แม่ของเด็กก็ปล่อยให้กินเลอะๆ แบบนั้นไปเรื่อยๆ ลองมาคิดกันดูว่าถ้าเป็นเด็กไทย พ่อกับแม่ก็คงเช็ดสิ่งที่เลอะนั้นออก ตั้งแต่แรกเห็น แต่แม่ของเด็กฝรั่งคนนี้ยังปล่อยให้ลูกของเธอทำเลอะ จนเมื่อลูกบอกว่าอิ่มแล้ว เธอก็ถึงจะจัดการเช็ดสิ่งที่เลอะเทอะนั้นออกจากลูกของตัวเอง

จากนั้นเด็กก็ออกวิ่งซนต่อ ไม่มีเสียงสั่งว่า “อย่าไปไกลๆ คนบ้าจะมาจับ” แหม่มคนนั้นปล่อยให้ลูกวิ่งไปเรื่อยๆ ฉันเห็นเด็กฝรั่งล้มลง ไม่มีเสียงร้องทั้งๆ ที่หัวเข่านั้นเป็นรอยถลอกเลือดออกซิบๆ แม่ของเด็กก็ได้แต่มอง ไม่ได้ลุกไปอุ้มลูกของเธอให้ลุกขึ้น

ฉันเองเสียอีกที่นั่งดูอยู่กลับอยากที่จะลุกขึ้นไปอุ้มเด็กน้อยคนนั้นให้ลุกขึ้นมาและดูแลทำแผลให้ ไม่นานเด็กก็กลับมาหาแม่ และแหม่มที่เป็นแม่ก็เอาน้ำในขวดล้างที่หัวเข่าให้ลูกของเธอพร้อมกับเอากระดาษชำระเช็ดๆ ให้

นึกถึงสมัยฉันยังเป็นเด็กเมื่อฉันหกล้ม ยายของฉันจะเข้ามาประคองแล้วพูดว่า

“ไม่เป็นไรนะลูก โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้นะ ไหนๆ ใครทำให้ลูกเจ็บ พื้นนี้ใช่ไหม มายายจะตีพื้นให้นะลูกนะ” จากนั้นยายก็ตีฝ่ามือลงบนพื้นดินที่ฉันหกล้ม

“ยายทำโทษพื้นให้แล้วนะลูกไม่ต้องร้องแล้วนะคนดี โอ๋ๆๆ นิ่งซะน้าคนดีของยาย” ยายกอดฉันและเฝ้าปลอบไม่ให้ร้องไห้

ฉันนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ และจำมันได้อย่างแม่นยำ เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ฉันไม่ยอมลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง

ตั้งแต่เล็กจนโตฉันมักจะคิดเสมอว่าฉันมียาย มีแม่ มีพ่อ ที่คอยดูแลเมื่อยามที่ฉันล้ม กว่าจะรู้ตัวว่าท่านเหล่านั้นดูแลฉันไม่ได้ตลอดชีวิต ก็เมื่อฉันโตขึ้นต้องรับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบครอบครัว

ในวันนี้ยาแก่มากแล้ว ไม่ได้แข็งแรงคอยมาอุ้มฉันได้เหมือนเมื่อฉันยังเป็นเด็ก แม่ก็เริ่มปวดเข่าปวดหลัง พ่อที่เคยแข็งแรงที่สุดในบ้านก็เริ่มหมดเรียงแรงเดินเหินไปไหนก็ช้าลง

ฉันเติบโตขึ้นกลายเป็นคนในวัยเดียวกับแม่เมื่อยามที่แม่มีฉัน แม่สูงอายุขึ้นกลายเป็นคนวัยเดียวกับยายเมื่อฉันยังเล็ก

โลกมีการเปลี่ยนแปลง เวลาหมุนเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายๆ ปี

ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ตัวโปรด ในกระเป๋ามีรูปภาพที่ฉันเก็บไว้มานานแล้ว

รูปถ่ายของครอบครัวฉัน ยายนั่งอยู่ตรงกลางบนเก้าอี้ แม่ที่ยังหุ่นดีอุ้มฉันในวัยแบเบาะในอ้อมแขนของเธอ พ่อกับพี่สาวในวัยขวบกว่าๆ ยืนอยู่ไม่ห่างจากยาย

สีภาพที่ฉันเห็นอยู่ในมือตอนนี้ มันดูเก่าและกลายเป็นสีเหลืองไปหมดแล้ว แต่ภาพเหลืองๆ ใบนี้ก็ทำให้ฉันเป็นสุขใจทุกครั้งที่ได้มองเห็นมัน

อีกรูปที่เคียงข้างกันก็คือรูปของฉันและเธอ เมื่อสมัยยังเรียนมัธยมปลายด้วยกัน ฉันจำได้ว่าเธอเอามาให้ฉันในวันที่เราสองคนจะต้องจากกัน เธอจัดการตัดรูปของเราให้มีขนาดพอดีกับที่ฉันจะใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ แถมยังหากระดาษสีน้ำเงินเข้มๆ แข็งๆ มาปิดทับลายของกระดาษอัดรูป ทำให้น่าพกติดกระเป๋า

ฉันยังจำได้ไม่เคยลืมว่าเราสองคนทำตัวติดกันเป็นแม่เหล็กขั้วเหนือขั้วใต้ ฉันกับเธอไว้ผมเปียยาวๆ หางหมู เอ๊ยไม่ใช่หางเปียของเรายาวจนถึงเอว

“อ้อยรอเราด้วยสิ” เสียงหญิงสาววัยรุ่นที่วิ่งตามฉันมาส่งเสียงร้องดังๆ

“ก็รอแล้วนี่ไงจะให้เดินช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว” ฉันบอกกับเธอที่วิ่งหอบมาหยุดลงตรงหน้าฉัน

“จะรีบไปตามอะไรที่ไหน หรือว่ามีอะไรหายไปจากคอกหรือไง” เธอต่อว่าฉัน

“ไม่มีอะไรหายไปหรอกแต่เราหิวข้าว ชักช้าอยู่ได้ ตาลายจะเป็นลมแล้ว”

“มิน่ารู้สึกเย็นๆ ไงไม่รู้ อิอิ งั้นไปเถอะเดี๋ยวอ้อยเป็นลมเราคงอุ้มไม่ไหว”

ส้มเพื่อนสนิทคนเดียวของฉันเธอเป็นสาวร่างอวบอ้วนกระทัดรัดฉบับกระเป๋า (โดเรม่อน) หน้าอวบอูมๆ เห็นแล้วนึกถึงซาลาเปาลูกโตๆ เพราะแก้มของเธอจะเป็นสีแดงๆ เวลาที่โดนแดด ราวกับซาลาเปาแต้มสี ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไร ไม่ค่อยที่จะออกความเห็นอะไร ส่วนฉันเองกลับเป็นคนคิดอะไรหลายๆ อย่างแทนเธอ

ส่วนฉันสูงกว่าเธอหลายเซ็นเรียกว่าเป็นสิบเซ็นก็ว่าได้ แถมยังผอมเป็นไม้เสียบลูกชิ้น เวลาเดินไปไหนก็เหมือนกับเลขหนึ่งกับเลขศูนย์

“การบ้านอะส้มทำมาหรือยัง” ฉันทวงการบ้านที่ส้มจะเป็นคนทำในวิชาภาษาอังกษฤ ส่วนฉันจะทำในวิชาคำนวณทั้งหมดที่มี

“อะนี่แล้วเลขอะเสร็จยัง” เธอทวงกลับบ้าง

“อะเสร็จแล้วเอาไปแลกกัน”

เราสองคนนั่งลอกการบ้านกันอยู่ในห้องสมุดทุกเช้า หากวันไหนการบ้านเยอะ เราก็จะนั่งทำการบ้านกันในตอนเย็นๆ หากเสร็จแล้วก็ส่งให้กันลอกเป็นทอดๆ ไป เป็นอย่างนี้ประจำจนเป็นความเคยชินระหว่างฉันกับส้ม

ส้มเก่งมากเมื่อเธอเรียนในวิชาภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็ตาม แต่ส้มเป็นคนที่ไม่ชอบวิชาคำนวณใดๆ ทั้งสิ้น เธอเกลียดตัวเลขเข้ากระดูกดำ ผิดกับฉันที่เกลียดวิชาภาษาเข้ากระดูกดำเช่นกัน เราจึงเป็นเหมือนขั้วแม่เหล็กเหนือใต้ ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่เราก็คบกันมานานหลายปี

จนวันหนึ่งที่เราต้องไกลห่างกัน เธอบอกฉันว่าหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าความเป็นเพื่อนกันของสองเราจะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ส้มสอบได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ส่วนฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองไทยได้ เราสองคนขาดการติดต่อกันตั้งแต่ส้มไปเรียนที่โน่น นับเวลามาถึงตอนนี้ก็เกือบจะยี่สิบปี รูปเดิมๆ ใบเดิมๆ ที่ฉันนั่งเฝ้ามองเมื่อยามที่ฉันคิดถึงอดีตที่ผ่านมา

ฉันได้ยินข่าวว่าส้มเรียนต่อจนได้เพ็ดดีกรี หุหุ ไม่ใช่ค่ะได้ดีกี่ด๊อกเตอร์กลับมาบ้านเรา และทำงานใช้ทุนอยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง แม้ว่าจะรู้ว่าเธออยู่ไม่ไกลจากฉัน แต่มันก็ดูเหมือนจะห่างไกลกันเหลือเกิน เพราะการที่เราติดต่อกันไม่ได้ ยิ่งใกล้ก็เหมือนยิ่งไกล

มีคนเคยถามฉันว่าทำไมถึงยังไม่แต่งงานฉันก็ได้แต่นั่งหัวเราะขำกับคำถามนั้นและก็ตอบไปแบบเดิมทุกครั้ง

“เนื้อคู่คงยังไม่เกิดมั๊งพี่”

ฉันไม่เคยคิดว่าการแต่งงานจะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตคนเรา ฉันกลับคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้นของความยุ่งยากมากมาย เพื่อนๆ ของฉันแต่ละคนที่แต่งงานไปแล้วเมื่อเรากลับมาเจอกันเมื่อหลายปีก่อนต่างคนก็ต่างเอาเรื่องปวดหัวของเธอมาเล่าต่างๆ นานา

“แกเอ๊ยไอ้อ้อยแกไม่แต่งงานน่ะดีแล้วไม่ต้องมาปวดหัวกับพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายแหล่” ปอเพื่อนในกลุ่มเดียวกับฉันอุ้มลูกข้างหนึ่งมืออีกข้างหนึ่งก็คีบตะเกียบเอาอาหารบนโต๊ะจีนงานแต่งของเพื่อนอีกคนส่งเข้าปากลูกสาววัยสองขวบของเธอ พร้อมกับบ่นให้ฉันฟัง

ปอเป็นสาวมาดมั่นมากมายเมื่อตอนที่เธอยังอยู่ในวัยเรียน เธอคบกับสามีมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ และทั้งคู่ก็ตกลงใจที่จะแต่งงานกันเมื่อทั้งสองคนเรียนจบ ความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆ คิดเมื่อทั้งคู่ยังอยากที่จะเที่ยว อยากที่จะสังสรรคในหมู่เพื่อนฝูง

สามีของปอก็ยังทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเหมือนเดิม เมื่อมีครอบครัวก็ยังไม่เลิกนิสัยเดิมๆ จนวันหนึ่งปอตั้งท้องและกำลังใกล้จะคลอดก็จับได้ว่าสามีไปมีหญิงคนใหม่ เธอร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ทำใจไม่ได้เมื่อสามีไปมีอะไรนอกบ้าน เธอจับสามีไปตรวจเช็คเลือดว่ามีบวกหรือเปล่า เพราะเธอไม่ต้องการที่จะติดโรคหรืออะไรจากคนใกล้ตัว อีกอย่างปอกำลังท้องเธอก็เลยเป็นโรคขี้กังวลมากขึ้นกว่าเดิม

กว่าจะผ่านวันอันเลวร้ายมาได้ ปอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองกลับไม่มีความมั่นใจ และทะเลาะเบาะแว้งกับสามีอยู่เป็นประจำ สุดท้ายทั้งคู่ก็ต่างเลิกร้างกันไป ปอเอาลูกมาเลี้ยงเอง ไม่ยอมแม้กระทั่งรับค่าเลี้ยงดูจากสามี แต่เธอยึดทั้งบ้านทั้งรถ และทุกอย่างที่ร่วมสร้างกันมา

เธอบอกว่ามันเป็นของเธอและลูก สามีของเธอก็เลยต้องไปแต่ตัวกับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด ปอจัดการโอนทุกอย่างให้เป็นชื่อลูกของเธอ ต่อให้ใครหน้าไหนก็ไม่มีทางมาเอาทรัพย์สินเหล่านั้นไปจากลูกของเธอได้

เมื่อฉันเห็นชีวิตแต่งงานของเพื่อนแล้วก็รู้สึกขยาดๆ กับการแต่งงาน อีกอย่างก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้ใจของฉันหวันไหวได้เลยสักคนเดียว เคยมีเหมือนกันที่ฉันแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งแต่เมื่อลองคบๆ กันไปแล้วมันกลับกลายมาเป็นเพื่อนกันมากว่า เราสองคนก็เลยแยกทางกันด้วยดี

ฉันคงยังไม่พร้อมที่จะมีใครในตอนนี้ เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าฉันรักใคร หรือชอบใครจริงๆ จังๆ ได้อีกหรือเปล่า คนที่ฉันคิดถึงเสมอไม่เคยเปลี่ยนก็คือ “ส้ม” เพื่อนอ้วนเตี้ยคนเดียวของฉันเท่านั้น

ส้มจะรู้หรือไม่ว่า “ยายเสาไฟฟ้า” เพื่อนของเธอคนนี้ยังคิดถึงเธอเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ฉันเก็บกระเป๋าสตางค์ลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์แล้วก็เดินออกจากสวนสาธารณะเพื่อที่จะไปสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนี้มากนัก

ใจของฉันไม่อยากกลับบ้าน เพราะที่นั่นไม่มีใครที่จะมารอฉัน ไม่มีความรักความอบอุ่น ฉันเดินผ่านผู้คนมากมาย ที่แย่งกันขึ้นรถ แย่งกันซื้อของกิน ชีวิตของคนในเมืองหลวงจะมีอะไรมากไปกว่าการแก่งแย่งและช่วงชิง

ฉันเหงาเหลือเกินแล้ว เหงาอย่างบอกไม่ถูก

......................

ฉันเดินทางกลับบ้านด้วยรถตู้ระหว่างที่ยืนต่อแถวนั้นก็มีเด็กวัยรุ่นมาแทรกแถวที่ฉันยืนรออยู่ ทำหน้าตาเฉยไม่สนใจคนที่ยืนต่อคิวยาวเป็นหางว่าว จนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉันทนไม่ได้

“นี่น้องๆ ไปต่อคิวข้างหลังโน่นไม่เห็นหรือไงว่าพวกพี่ยืนรอคิวกันอยู่มาแทรกแบบนี้เสียมารยาท” เสียงชายวัยกลางคนพูดทำให้ฉันแอบสะใจอยู่ไม่น้อย

เด็กวัยรุ่นผู้ชายสองคนหันไปมองหน้าพี่ผู้ชายคนนั้นแล้วก็ทำนิ่งเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนสุดท้ายพี่ผู้ชายทนไม่ได้พูดขึ้นอีกว่า

“เออปล่อยหมามันไป เราเป็นคนหมามันฟังไม่รู้เรื่อง”

จากนั้นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิด เมื่อวัยรุ่นสองคนเข้ามารุมพี่ผู้ชายคนนั้นต่อหน้าต่อตาของฉัน แถมยังต่อยพี่เค้าไม่เลี้ยง จนคนที่ยืนรอต้องเข้ามาห้ามและรุมสกรัมวัยรุ่นทั้งคู่ให้นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ราวกับหมาข้างถนน

ใจฉันเต้นไม่เป็นระบบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คิดเลยว่าคนเราจะใจร้อนอะไรได้ถึงขนาดนี้ เมื่อตำรวจมาถึงพี่ๆ ที่ยืนต่อคิวก็ช่วยกันบอกว่าวัยรุ่นสองคนเมาอาละวาดก็เลยช่วยๆ กันห้าม ตำรวจดูท่าทางว่าจะหาคนผิดไม่ได้ก็เลยพาวัยรุ่นทั้งคู่เข้าโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ

“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจยาวๆ ใจยังคงเต้นแรง อยู่อย่างนั้น

การเดินทางด้วยรถตู้เป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุดเท่าที่ฉันคิดได้ เพราะเมื่อคนเต็มแล้ว รถตู้ก็จะมุ่งไปยังจุดหมายปลายทางทันทีไม่มีแวะป้ายไหนให้ผู้โดยสารที่รีบเร่งแบบฉันต้องมาเสียเวลา ฉันเลือกที่จะจ่ายแพงกว่านิดๆ หน่อยๆ ดีกว่าเสียเวลานั่งหรือยืนบนรถเมล์ที่คนแน่นเอี๊ยด

รถตู้พาฉันมาถึงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน ฉันทักทายพี่ยามที่ป้อมแล้วก็เดินไปเอารถจักรยานคันเดิมฉันเรียกเจ้ารถคันนี้ว่าสนิม เพราะเป็นจักรยานที่ตากแดดตากลมตากฝนจนสนิมขึ้นเต็มไปหมด ฉันปั่นเจ้าสนิมมาทิ้งไว้ที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านเมื่อตอนเช้าและกำลังจะปั่นกลับไปยังบ้านที่เงียบสงบของฉันหลังเดิม

ก่อนเข้าบ้านก็เหมือนทุกวันแวะร้านป้าขายของชำที่ทำปิ่นโตให้ฉัน ฉันผูกปิ่นโตกับป้าไว้เพราะมันเป็นการง่ายกว่าที่จะต้องมานั่งคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน ป้าร้านขายของชำจะทำกับข้าวในตอนเย็นของทุกวัน ฉันผูกไว้ด้วยราคาที่ไม่แพงมาก ข้าวหนึ่งกับข้าวสอง แกงอย่างผัดผักอีกอย่าง หากเหลือก็แช่ตู้เย็นไว้สำหรับกินในมื้อเช้าก่อนออกไปทำงาน และก็เอาปิ่นโตไปวางคืนไว้ที่หน้าร้านของป้าในตอนเช้า

“ป้าค่ะหนูแวะมาเอาปิ่นโตค่ะ” ฉันเดินเข้าไปในร้านและบอกกับป้าเจ้าของร้านที่ใจดีคนเดิม

“รอเดี๋ยวนะหนูอ้อย ป้าไปเอามาให้ ทำไมวันนี้กลับดึกจังเลย”

“วันนี้แวะไปเดินเล่นมาค่ะป้าก็เลยกลับบ้านดึกหน่อยขอโทษด้วยค่ะ ที่ทำให้ป้าต้องคอย”

“ไม่หรอกวันนี้ป้าก็ปิดดึก เพราะรอหลานสาวเห็นว่าจะมาเยี่ยม”

“เหรอคะ”

“หลานป้าเป็นด๊อกเตอร์เชียวน้าจะบอกให้” ป้าเจ้าของร้านพูดอวดหลานสาวของเธอให้ฉันฟัง ฉันก็ได้แต่ยิ้มๆ ก็แค่เรียนจบปริญญาโทมาฉันก็แทบจะตายไปแล้ว อย่าคิดเลยว่าฉันจะไปต่อด๊อกต้งด๊อกเตอร์ให้เสียเวลาทำมาหากิน

ฉันปั่นจักรยานออกมาจากร้านของป้า แต่ก็ได้ยินเสียงรถปิดประตูและเสียงของป้าเรียกชื่อหลานของเธอ

“อ้าวส้มมาแล้วเหรอลูก”

แต่ฉันก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมองเพราะฉันเริ่มอยากเข้าบ้านด้วยเพราะฉันเหนื่อยจริงๆ ในวันนี้

.........................

ฉันตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมและก็ยังคงทำกิจวัตรแบบเดิมๆ อุ่นข้าวแล้วก็นั่งกินเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนเพราะงานฉันเข้าเก้าโมงไปเร็วก็ไม่ได้ตำแหน่งพนังกงานดีเด่นอะไร ฉันหันไปพูดกับรูปของครอบครัว

“ไปทำงานแล้วนะพ่อแม่ยายบายๆๆ” จากนั้นก็ออกมาเข็นเจ้าสนิมออกมานอกบ้าน แต่ก็ต้องโมโหอีกครั้ง

“อ้าวสนิมทำไมทำกับแม่อย่างนี้ล่ะลุกจะยางแบนก็ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนเฮ้อ” เจ้าสนิมคันเดิมวันนี้เกเรทำให้ฉันต้องเสียแรงเดินแต่เช้าเลยนะ

ฉันเดินเอาปิ่นโตมาวางไว้ที่หน้าร้านเหมือนเช่นเคย ยังเห็นรถคันเล็กๆ ของหลานป้าผ่องเจ้าของร้านชำจอดอยู่ แล้วก็เดินมาเรื่อยๆ ระยะทางจากบ้านไปถึงหน้าหมู่บ้านถึงไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ หากมีเจ้าสนิมฉันคงผ่อนแรงไปได้มากกว่าการเดิน

“ปิ๊นๆ” เสียงแตรรถบีบไล่อะไรสักอย่าง คงเป็นฉันที่เดินอยู่ข้างทาง แต่ไม่น่าใช่เพราะฉันไม่ได้เดินขาวงทางรถนี่นา

“คุณคะขึ้นรถฉันไหมคะฉันจะไปส่งที่หน้าหมู่บ้านให้” เสียงเจ้าของรถที่ลดกระจกลงมาตะโกนถามฉัน

ฉันที่กะจะหันไปต่อว่าเจ้าของรถคันนั้นก็ชะงักเมื่อเห็นรถที่คุ้นตาว่าเป็นของหลานสาวป้าเจ้าของร้านชำเจ้าประจำ

“ขึ้นมาสิค่ะ” เจ้าของรถยังคงใจดีเรียกฉันอีกครั้งพร้อมกับผลักประตูรถให้เปิดออก

ฉันก้าวขึ้นไปนั่งบนรถและไม่ลืมที่จะบอกขอบคุณเธอ

“ขอบคุณค่ะคุณเอ่อ”

“ส้มค่ะเราชื่อส้ม” เธอแนะนำตัวเอง

“เราอ้อยค่ะยินดีที่ได้รู้จัก ขอบคุณนะคะที่กรุณาแวะรับเราขึ้นรถ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนบ้านกันเรื่องแค่นี้ไม่ถือเป็นบุญคุณอะไรหรอกคะ”

“คุณเป็นหลายสาวป้าผ่องหรือค่ะ”

“ค่ะฉันหลานสาวป้าผ่อง พอดีเมื่อวานแวะเอาการ์ดแต่งงานมาให้ป้าก็เลยของนอนค้างที่บ้านป้าผ่องคืนนึง”

“คงเป็นโชคดีของฉันที่ได้พบคุณ” รถแล่นมาถึงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านพอดีฉันก็เลยขอตัวลงตรงหน้าหมู่บ้าน

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กรุณารับฉันติดมาด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ฉันลงจากรถและเธอก็ขับรถออกไป ฉันรู้สึกว่ายังดีที่บนโลกใบนี้ยังมีคนใจดีแบบเจ้าของรถคนั้น เพราะนานๆ ครั้งจะมีคนใจดีแวะรับคนข้างทางให้ขึ้นรถมาด้วยสักครั้ง

การอยู่ในเมืองหลวงทำให้คนเราไม่ค่อยจะมีน้ำใจเผื่อแผ่กับเพื่อนร่วมโลก ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะมีน้ำใจ แต่เพราะมิจฉาชีพที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงมันมากมายเหลือเกิน จะมีน้ำใจกับใครสักคนต้องคิดแล้วคิดอีก

เมื่อก่อนฉันเคยให้ทานของทานเด็กที่แขนขาดขาขาดนั่งขอทานอยู่บนสะพานลอย แต่เมื่อดูข่าวแล้วรู้ถึงที่มาที่ไปของเด็กเหล่านั้นฉันก็รู้สึกสลดใจ ด้วยแก๊งค์เหล่านี้จะไปซื้อเด็กมาแล้วก็เอามาตัดแขนตัดขาทิ้ง บังคับให้มาขอทาน วันไหนไม่ได้เงินตามที่พวกมันต้องการก็ทำร้ายร่างกายเด็กๆ ที่ไม่มีทางต่อสู้ขัดขืน

ดูแล้วก็ยิ่งหดหู่ในหัวใจ แก๊งค์ตกชิงวิ่งราวก็มีมากมาย ในเมืองที่ใครหลายๆ คนอยากมาแสวงหาอาชีพ มาขุดทอง กันในเมืองที่มีชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศ เห็นได้จากปริมาณแท็กซี่ในเมือง เมื่อยามฤดูแล้งก็เห็นวิ่งกันให้เกลื่อนเมือง แต่เมื่อถึงฤดูทำนา รถแท็กซี่ก็หายากเย็นเหลือเกิน ยิ่งกว่าหาบ่อน้ำมันกลางทะเลด้วยซ้ำไป

เมื่อมาถึงที่ทำงานยังไม่ทันได้วางกระเป๋าเสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น เมื่อยกโทรศัพท์เครื่องจิ๋วของฉันขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นปอเพื่อนของฉันโทรเข้ามา

“ว่าไงปอมีอะไรโทรมาแต่เช้า”

“ไม่ว่าไงอ้อย แกยังจำส้มเพื่อนเราได้หรือเปล่าคนที่แกเคยติดกันเป็นตังเมเมื่อสมัยเรียนน่ะ”

“จำได้สิถามทำไมเหรอปอ”

“ก็วันนี้ฉันได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่งงานของส้ม เค้าจะแต่งงานแล้วกับเพื่อนเค้าที่เรียนมาด้วยกัน”

“เฮ้ยจริงเหรอ”

“จริงเค้าจะแต่งวันอาทิตย์นี้แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันไม่กล้าไปคนเดียว แล้วฉันจะไปรับแกที่บ้านนะ บายๆๆ แค่นี้ก่อนนะฉันต้องรีบเข้าประชุม” ปอวางสายแบบมัดมือชกฉัน ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้ตอบเธอไปแม้แต่คำเดียวว่าจะไปหรือไม่ไป

ฉันทบทวนคำบอกเล่าของปอแล้วก็เกิดอาการบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาทันที ฉันซบหน้าลงบนฝ่ามือของตัวเอง สิ่งที่ฉันหวังไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด ส้มไม่ได้มีใจกับฉันเหมือนที่ฉันมี ฉันที่เฝ้าเก็บงำทุกสิ่งไว้ในใจเพียงคนเดียว เฝ้ารอความหวังว่าสักวันคนที่ฉันรอจะกลับมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากใจของฉัน

ตอนนี้มันดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เธอกำลังจะแต่งงาน สร้างครอบครัวใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

ฉันหยิบรูปใบเก่า ใบเดิมออกมาจากกระเป๋าสตางค์ มองรูปนั้นจากที่แจ่มชัดก็พร่าเลือน เพราะน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจนไม่สามารถที่จะยับยั้งได้

“อ้อยเป็นอะไร” พี่ที่ทำงานเมื่อเห็นฉันนั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะทำงานก็เข้ามาทัก

ฉันปาดน้ำตาและตอบไปว่า “ปวดหัวนิดหน่อยค่ะพี่ ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ กินยาไปแล้ว”

“ปวดหัวจนร้องไห้แบบนี้เป็นไมเกรนหรือเปล่า งั้นนั่งพักนะวันนี้ไม่ต้องเข้าประชุมก็ได้”

“ไม่เป็นไรพี่อีกเดี๋ยวก็คงหาย”

“โอเค งั้นพักไปก่อนแล้วเจอกันในห้องประชุมก็แล้วกันนะ”

“ค่ะพี่”

ฉันเลือกที่จะทำงานเพียงเพื่อให้ลืมความเศร้าที่เกาะกินอยู่ในหัวใจ มากกว่าที่จะปล่อยให้ตัวเองอยู่เงียบๆ คนเดียว

.....................

ปอมารับฉันที่บ้านอย่างที่เธอบอกไว้ เราไปถึงโรงแรมหรูที่จัดงานวิวาห์ของส้มพร้อมๆ กัน

ส้มในวันนี้ไม่ใช่ยายหมูอ้วนหน้าแก้มซาลาเปาแบบเดิมเธอดูสวยและน่ารัก ตัวผอมลงไปเยอะและที่สำคัญเธอก็คือหลานสาวของป้าผ่อง

“อ้าวหนูอ้อย ไม่คิดว่าจะเจอในงานนี้ เป็นเพื่อนใครล่ะฝ่ายเจ้าบ่าวเหรอ”

“เปล่าค่ะป้าเป็นเพื่อนส้ม”

“เอ๊าตายจริงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหนูอ้อยเป็นเพื่อนส้ม นี่ถ้าป้ารู้มาก่อนนะ ป้าจะทำกับข้าวสุดฝีมือเลยเชียวล่ะ”

ฉันยังคิดในใจว่า แล้วที่ทุกวันนี้ป้าผ่องไม่ได้ทำกับข้าวสุดฝีมือใส่ปิ่นโตให้ฉันหรอกหรือ ตายแล้ว ฉันกินกับข้าวไม่อร่อยมาหลายปีได้อย่างไรกัน

ปอพาฉันไปนั่งที่โต๊ะจีนที่ปักป้ายชื่อโรงเรียนของเราเอาไว้ ก่อนที่จะทักทายเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่นั่งเรียงกันหน้าสะลอน

ฉันมองดูส้มในชุดเจ้าสาว ฉันคิดว่าเธอเหมาะสมแล้วที่จะแต่งงานมีครอบครัว ดูเธอสดใสเหมือนนางฟ้า ใช่นางฟ้าตัวน้อยๆ ของฉัน แม่ส้มจี๊ดสุดแสนจะเปรี้ยวเข็ดฟัน เธอเดินมาตามโต๊ะพร้อมกับเจ้าบ่าว บ่าวสาวควงแขนกันเดินทักทายแขกที่เชิญมาทั่วงาน และก็มายืนอยู่ที่โต๊ะของพวกฉัน เพื่อนหลายๆ คนเข้าไปกอดเธอแสดงความดีใจ

ส่วนฉันนั่งอยู่ที่เดิม มองดูความเปลี่ยนแปลงของเธอ

เธอสวยจริงๆ สวยมากๆ สวยจนฉันตะลึง มีคนเคยบอกว่าผู้หญิงเราจะสวยที่สุดก็วันแต่งงาน ฉันว่านี่ก็เป็นเรื่องจริง ส้มสวยแบบที่ส้มเป็น ส้มสวยทั้งกายสวยทั้งใจ ฉันไม่เคยปฏิเสธ

ฉันปล่อยให้ปอทักทายส้มไปเพียงลำพังส่วนฉันได้แต่นั่งเป็นหุ่นประดับโต๊ะ แม้กระทั่งฉันเธอก็จำไม่ได้ แล้วจะเสียเวลาที่จะไปรื้อฟื้นความทรงจำที่ถูกกลบลบเลือนหายไปทำไมกัน

มันไม่มีประโยชน์ที่แม่เสาไฟฟ้าอย่างฉันจะขุดมันขึ้นมาในวันแห่งความยินดีเช่นนี้ ส้มเดินมายืนข้างๆ ที่ปอกับฉันนั่งอยู่ แล้วก็พูดขึ้นว่า

“หวัดดีแม่เสาไฟฟ้า ทำเป็นจำเราไม่ได้เหรอ นั่งตะลึงเชียว”

ฉันยิ้มแหยๆ แล้วก็กล่าวสวัสดีเธอไป

“ลืมสัญญาของเราไปเถอะนะอ้อยเราขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้”

“สัญญาอะไร”

“ไปเปิดดูหลังรูปของเราแล้วตัวจะรู้”

จากนั้นเธอก็เดินจากไป ปล่อยให้ฉันนั่งงงอยู่คนเดียว และนึกถึงรูปคู่ของเราที่ถ่ายไว้ด้วยกัน

ฉันเปิดกระเป๋าสตางค์อีกครั้งและหยิบรูปนั้นออกมา จากนั้นก็ลอกกระดาษสีน้ำเงินที่ปิดทับด้านหลังรูปออก ข้างในมีข้อความเขียนไว้ว่า

“รักอ้อยที่สุดในโลกเป็นเจ้าสาวของส้มนะคนดี สัญญาได้ไหม”

ฉันอ่านข้อความนั้นแล้วก็ต้องตะลึง นี่เธอเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งๆ ที่ฉันก็เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ไปหลายใบ รูปใบนี้ก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ว่ากระเป๋าจะเปลี่ยนเป็นใบไหนก็ตาม

ฉันละเลยคนที่ฉันรัก ไม่พยายามติดตามหาเธอเมื่อยามที่เราต้องไกลกัน ไม่พยายามติดตามหาเธอเมื่อเธอกลับมาอยู่ใกล้ๆ แล้วฉันจะตีโพยตีพายไปเพื่ออะไรกัน ในเมื่อเธอได้เลือกทางเดินชีวิตของเธอเองแล้ว

ถึงตอนนี้ฉันจะเสียใจ แต่ก็คงไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่เธอเสียใจ เราต่างคนต่างผิดด้วยกันทั้งคู่

ภาพเก่าใบเดิมไม่มีอะไรปกปิดอีกต่อไป

ปอกลับมาส่งฉันที่บ้าน และกลับไปแล้ว ยังคงมีเพียงฉันที่นั่งเหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่มองไม่เห็นดาวสักดวง

ต่อจากนี้ไปฉันจะเปิดใจให้กับใครสักคนเข้ามาแทนที่เธอ

ฉันได้แต่สัญญากับตัวเองแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคนๆ นั้นเดินเข้ามา

เมื่อเอยเมื่อนั้น


... จบ ...






 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 10:15:57 น.
Counter : 445 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : สวมรอยเงาข้างใจ

สวมรอยเงาข้างใจ โดยผิงดาว

“เฮ้ยพี่ป่านวันนี้น้องมีของฝากพี่ป่านด้วยแวะมาเอาที่หอนะ” ปวีณาหลังจากที่กลับมาจากการท่องเที่ยวโทรบอกรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกันให้มารับของฝากจากใจ ถึงไม่มีราคาค่างวดอะไรแต่เธอก็ตั้งใจซื้อมาฝากรุ่นพี่ของเธอ

“เออตอนเย็นแวะไป ว่าแต่ว่าเที่ยวสนุกไหม” ป่านทอรุ่นพี่ที่แสนดีของปวีณารับคำและถามไถ่เรื่องการท่องเที่ยวของรุ่นน้องคนสนิท

“สนุกพี่ มีที่เที่ยวเยอะเลย แต่อาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่” ปวีณาบ่นเล็กๆ น้อยๆ

“เออไว้คุยกันพี่ไปทำงานก่อน” ป่านทอตัดบทเพราะเธอมีงานค้างอยู่บนโต๊ะมากมาย แล้วก็ตัดการสนทนาของทั้งคู่ลงอย่างง่ายดาย

ป่านทอและปวีณารู้จักกันในฐานะรุ่นพี่และรุ่นน้อง ทั้งสองคนตัวติดกันตั้งแต่ครั้งที่ป่านทออกหัก ปวีณาเองก็ไม่ได้แตกต่างกัน คนรักของเธอทั้งคู่ ต่างมาขอแยกทางกันไป คนละทิศละทาง


จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มสนิทกันมาเรื่อยๆ ด้วยความที่มีอุปนิสัยที่คล้ายกัน น้ำเสียงที่พูด คำพูดคำจา กริยาท่าทาง และการดำเนินชีวิต ทั้งคู่มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน จนหากว่าใครไม่สังเกตคงคิดว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา

ป่านทอแก่กว่าปวีณาสองปี แต่อายุของทั้งคู่ไม่ใช่ปัญหา ทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเป็นบุคคลพิเศษแบบเดียวกัน นั่นคือทั้งคู่เป็นหญิงรักหญิง ดังนั้นการคุยกันจึงเป็นเหมือนคนที่มีแนวทางเดียวกัน ปรึกษากันโดยไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเพื่อน หรือแม้แต่เรื่องความรัก

จนวันที่ป่านทอเรียนจบได้งานทำ ปวีณาก็แสนจะยินดีที่รุ่นพี่มีงานทำ เธอทั้งสองไปเลี้ยงฉลองการได้งานของป่านทอที่ผับแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พัก

“เฮ้ยณาพี่ว่าสาวคนนั้นสวยวะ” ป่านทอชี้ให้ปวีณาดูสาวสวยที่เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาในผับ ท่าทางดูดีมี Class เป็นอย่างมาก

“สีเลยพี่แบบนี้ต้องลอง” ปวีณาลุ้นรุ่นพี่ตัวโก่ง

“เอางั้นเลยเหรอ เออเอาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ด้วยน้ำเมาที่ดื่มเข้าไปได้สร้างภูมิคุ้มกันการอายเป็นทุนเดิมให้จางหายไป ความกล้าก็ปรากฏกับป่านทอขึ้นมาทันที

“สวัสดีค่ะคุณไม่ทราบว่าพอจะไปร่วมวงของพวกเราจะได้หรือไม่ ฉันมากับเพื่อนแค่สองคน แล้วตอนนี้ที่นี่ก็ไม่มีโต๊ะว่างแล้ว หากคุณจะไม่รังเกียจ เชิญที่โต๊ะของเราได้” ป่านทอแสดงความเป็นกันเองกับสาวนางนั้นจนปวีณาที่ยืนลุ้นอยู่แทบจะหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง

หญิงสาวสว่างวาบคนนั้นมองไปทั่วผับก็เห็นด้วยกับป่านทอ และมองไปที่โต๊ะของป่านทอก็เห็นปวีณายืนโบกไม้โบกมือ เธอคิดว่าไม่เสียหายอะไรที่เธอจะไปร่วมวงกับสองสาวนั้น และตอนนี้เธอก็อยากมีใครสักคนที่จะมาคุยด้วยคลายเหงาอยู่แล้ว

วิปุลาหญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะตามคำเชื้อเชิญของป่านทออย่างง่ายดาย ทั้งป่านทอและปวีณากุลีกุจอหาเก้าอี้ให้เจนจิราที่เข้ามาใหม่ได้นั่งเพราะในผับแห่งนี้

ถึงแม้ว่าจะมีโต๊ะแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเก้าอี้จะมีมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นการให้แขกที่เข้ามายืนกันเสียมากกว่าเพราะผับทั่วๆ ไปก็รู้ๆ กันอยู่ว่าขายดริงค์ มากกว่าตั้งใจจะขายอาหาร

ปวีณาได้เก้าอี้ทรงสูงมากมาให้กับแขกของป่านทอหนึ่งตัว และตนเองก็ยืนอยู่ด้านข้างเก้าอี้ทรงสูงของหญิงสาว โต๊ะทรงกลมพอมีพื้นที่สำหรับวางแก้วเหล้าเบียร์และอาหารได้นิดๆ หน่อยๆ ตอนนี้มีแก้วเหล้าถังน้ำแข็งและมิคเซอร์ที่เจนจิราสั่งมาสำหรับการดื่มเพื่อให้เมาจนลืมเรื่องเลวร้ายของเธอ

“เอ่อไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรค่ะ” ป่านทอเริ่มชวนคุยเมื่อแขกที่มาใหม่โดยเธอเองเป็นผู้เชื้อเชิญนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม

“เราชื่อปู คุณล่ะ” วิปุลาตอบคำถามแข่งกับเสียงเพลงที่ดังสนั่นหวั่นไหว

“เราป่านส่วนนี้รุ่นน้องเราชื่อวี” ป่านทอแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน และเธอก็บริการชงเหล้าให้กับวิปุลาอย่างเต็มที่

“On the rock” เสียงของวิปุลาบอกกับป่านทอ ทำเอาคนกำลังจะรินมิกเซอร์ถึงกับอึ้ง

“ดุจิงแฮะ” ป่านทอพึมพำกับตัวเองและรู้ดีว่าวิปุลาไม่มีทางได้ยินเสียงที่เธอพูดออกมาแน่ๆ เพราะเสียงเพลงที่ดั่งสนั่นนั้นขนาดตะโกนยังแทบไม่ได้ยิน

เสียงดนตรีดังกระหึ่มเสียงเบสที่กระแทกมาแต่ละครั้ง ทำเอาคนที่ยืนอยู่รู้สึกสั่นในอกไปหมด เนื่องจากแรงกระแทกของเสียงที่ปล่อยออกมาจากลำโพงขนาดมหึมา เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของผับแห่งนี้ดูจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก

แต่ก็ไม่เห็นจะมีลูกค้าคนไหนที่บ่นว่าเสียงเพลงในผับแห่งนี้ดังแต่อย่างใด ทุกคนสนุกสนานกับการเต้นยักย้ายส่ายสะโพกไปมาอยู่ตรงโต๊ะประจำของแต่ละคน

ผับแห่งนี้เป็นผับที่รับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ดังนั้นในวันหยุดประจำสัปดาห์ ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งรวมบุคคลพิเศษทางสังคมให้ได้มาพบปะกัน หากเกิดมี One night stand หรือที่ใครๆ มักเรียกว่ารักข้ามคืนเกิดขึ้นที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เมื่อเมาได้ที่วิปุลาก็ลุกขึ้นเต้น แต่จะเต้นข้างล่างอย่างที่ใครๆ ทำกัน ไม่มีทางแน่นอนวันนี้เป็นวันแห่งการปลดปล่อยอารณ์ของเธอ วิปุลาปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะกลมๆ แล้วก็เต้นอย่างไม่คิดชีวิต จนคนทั้งหลายหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน

ป่านทอและปวีณาต้องช่วยกันประคองโต๊ะกลมนั้นไม่ให้ล้มลงมาเพราะเธอทั้งสองกลัวว่าหากโต๊ะล้มขึ้นมาจริงๆ วิปุลาคงได้หัวร้างข้างแตกอย่างแน่นอน

“โหพี่ป่านแม่คนนี้ร้ายลึกเหมือนกันนะ” ปวีณาแอบกระซิบกับป่านทอ

“อืม” ป่านทอได้แต่ส่งเสียงในลำคอเพราะไม่คิดไม่ฝันว่า หญิงสาวสวย มาดดีๆ ท่าทางหยิ่งๆ คนที่เธอเคยเห็นในตอนแรก จะกลับกลายมาเป็นหญิงสาวที่กล้าบ้าบิ่นได้ถึงขนาดนี้

หากว่าเธอและปวีณาไม่ได้มายืนหรือร่วมวงดื่มด้วยคืนนี้หญิงสาวคนนี้จะเป็นอย่างไร มิโดนแร้งกาฉีดเนื้อเถือหนังไปแล้วหรือนี่

กว่าทั้งสามจะออกมาจากผับแห่งนั้นก็เกือบจะตีสอง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เพราะวิปุลาดูเหมือนจะไม่อยากจะไปไหนต่อเธอขอตัวขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ส่วนป่านทอกับปวีณาก็กลับที่พักของตัวเอง

“พี่ว่าแม่สาวคนนั้นเป็นไง”

“อืมแรกๆ ก็ดูดี ตอนนี้พอเห็นตอนเมาบอกตรงๆ นะหมดศรัทธาจริงๆ” ป่านทอบอกไปตามตรง เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยจะชื่นชอบผู้หญิงที่เมาแล้วคุมสติตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

เรื่องเม้าท์กระจายของรุ่นพี่รุ่นน้องในรถก็ไม่ได้ไปไหนไกลคงมีเพียงเรื่องของแม่สาวสว่างวาบและกลายเป็นราหูไปภายในคืนเดียวของหญิงสาวที่ทั้งคู่พึ่งรู้จักและแยกย้ายไปคนนั้น

....................

“เฮ้ยพี่ป่านมาดูนี่สิคนนี้หน้าคุ้นๆ นะพี่ป่าน” ปวีณาเรียกให้ป่านทอมาดู Hi 5 ของเธอที่มีคน Add เข้ามา และเธอก็รู้สึกคุ้นๆ กับรูปร่างหน้าตาของหญิงที่ Add เข้ามาคนนั้น

“เออคุ้นหน้าจริงๆ ด้วยสิ ไหนขอดูให้ชัดๆ หน่อยสิ” จากนั้นป่านทอก็นั่งลงที่หน้าเครื่องคอมของปวีณาและเริ่ม Click เข้าไปอ่านเรื่องราวต่างๆ ของผู้หญิงที่เธอและรุ่นน้องรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนนั้น

“เฮ้ยวีพี่ว่าพี่จำได้แล้ว แม่สาวสว่างวาบคนนั้นไง” ป่านทอที่พอมีเนื้อที่รอยหยักในหัวสมองของเธออยู่บ้างก็คิดออกว่าหญิงสาวที่ปรากฏรูปตรงหน้าของเธอคือใคร

“เออใช่ๆๆ พี่ป่านวีจำได้แล้ว” ปวีณาเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำของเธอได้เช่นกัน

“แล้วไงมาโผล่ที่นี่ได้แปลกจัง” ป่านทอถามปวีณาเมื่อเห็นข้อความใน Hi 5 ของรุ่นน้อง

“ไม่แปลกหรอกพี่ ในนี้มีคนที่เราไม่รู้จักเยอะไปหมดบางวัน Add มาเป็นร้อย มาจากไหนไม่รู้จนวีงง”

“เออนะคนเราชอบคุยอะไรไม่รู้ แถมยังไม่รู้ว่าเป็นใครก็ยังคุยกันในอินเตอร์เนทไปได้เรื่อยเปื่อย คุยได้คุยดี ระวังเถอะจะมีพวกชอบหลอกลวงมาคุย เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน” ป่านทอบ่นปวีณาที่คุยกับคนไปทั่ว ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันก็ยังคุย

“แหมพี่ Hi-tech หน่อยน่า เดี๋ยวนี้โลกเค้าพัฒนาไปไกลไหนต่อไหน จนจะไปดาวอังคารกันอยู่แล้ว แล้วนี่พี่รู้หรือเปล่าว่าดาวพลูโตไม่ได้เป็นดาวเคราะห์ของระบบสุริยะแล้ว”

“ไม่รู้มันหลุดไปจากวงโคจรหรือไง”

“ฮ่าๆๆ เชยระเบิดเลยพี่เรา ม่ายช่ายๆ เค้าบอกว่ามันเป็นดาวเคราะห์น้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นดาวเคราะห์” ปวีณาพยายามจะอธิบาย แต่ดูท่าทางของป่านทอแล้วเธอก็เลิกที่จะอธิบายจะดีกว่า เพราะขืนอธิบายไปคืนนี้ไม่ต้องหลับต้องนอนแน่ๆ

“เออพี่มันคนเชยไม่รับรู้ข่าวสารโลกภายนอก เฮ้ย มีคน Add Msn มาแนะจะรับหรือเปล่า” ป่านทอหันมาถามเมื่อเธอเห็นมีข้อความขอให้รับ Add

“รับไปเถอะพี่ ถ้าคุยแล้วไม่ได้เรื่องก็ Block Delete ไปเลยแล้วกัน” ปวีณาที่ตอนนี้เริ่มง่วงก็บอกกับป่านทอให้ทำอย่างที่เธอบอก

ป่านทอกดรับ Add แล้วก็มีข้อความส่งมาว่า

“สวัสดีคุณวี จำเราได้หรือเปล่าเราปูไง”

ป่านทอรู้สึกคุ้นๆ กับชื่อที่คนคุยอีกฝั่งบอกและเมื่อเห็นรูปที่โชว์อยู่ก็ทำให้เธอจำได้ว่าคนที่พูดกับเธอนั้นเป็นใคร

“อ๋อจำได้ค่ะคุณปู สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบกันตั้งนานยังเมาเละเหมือนเดิมหรือเปล่า”

ป่านทอสวมรอยเป็นปวีณาคุยกับวิปุลาไปทั้งๆ ที่เจ้าของ E-mail ตัวจริงหลับฝันดีเฝ้าพระอินทร์เพื่อรอขอหวยงวดใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะถึงอย่างไรพรุ่งนี้เธอก็ต้องเล่าเรื่องที่เธอคุยกันกับปวีณาฟังอยู่ดี

อีกอย่างเธอ Save การพูดคุยระหว่างเธอกับวิปุลาไว้ในเครื่องหากว่าปวีณาอยากรู้เรื่องที่เธอคุยก็คงไม่ยากอะไรที่จะ click ดูข้อความเหล่านั้น

“ยังเหมือนเดิมเลยคุณ เออนี่เรากลับไปที่ผับนั้นอีกก็ไม่เห็นคุณอีกเลยไม่ได้มาเที่ยวอีกหรือคะ”

“ไม่ได้ไปแล้วเพราะว่าพี่ป่านไม่ว่างทำงานงกๆ จนลืมพาน้องไปเที่ยว อีกอย่างช่วงนี้เราเรียนหนักการบ้านเยอะก็เลยไม่ได้ไป” ป่านทอที่สวมรอยอยู่ แอบต่อว่าตัวเองและพูดความจริงเรื่องที่ปวีณาเรียนหนัก

“เหรอมิน่าล่ะเราเลยไม่ได้พบคุณอีก”

“ทำไมล่ะอยากเจอเราเหรอ”

“อืมเราเหงาอะคุณ”

“เหงาแล้วต้องไปเที่ยวผับเหรอ”

“เปล่าเราแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวก็แค่นั้น คืนนี้คุณว่างหรือเปล่าต้องทำการบ้านหรือเปล่าเราสอนให้ได้นะ”

“ไม่ต้องหรอกคุณเราทำเสร็จแล้ว”

“งั้นคืนนี้คุณก็ว่างแล้วสิอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเราหน่อยเถอะเราเหงาจริงๆ”

“ได้เลยคุณคุยมาเราคุยกลับโอเคไหม”

“โอเค”

จากนั้นบทสนทนาของทั้งคู่ก็เริ่มต้นจากการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปตามเรื่องราว วิปุลาบอกว่าเธอกำลังตกงานเธอหางานใหม่อยู่ และด้วยวัยสามสิบกว่าๆ ของเธอทำให้หางานได้ยากกว่าเด็กๆ ที่จบมาใหม่ๆ เริ่มงานเงินเดือนน้อยๆ เธอไม่สามารถที่จะทำได้

จากการสนทนาทำให้ป่านทอรู้ว่าวิปุลาติดจะไฮโซ ใช้สินค้า Brand name แถมยังจบจากเมืองนอกเมืองนา เมื่อมาเทียบกับเธอและปวีณาแล้วทั้งสองคนไม่ติดฝุ่นของวิปุลาเลยสักนิดเดียว

วิปุลาเล่าว่าเธอรักกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็โดนผู้หญิงคนนั้นปอกลอกไปจนเธอแทบจะหมดตัว ป่านทอนึกในใจว่า ผู้หญิงคนนี้คงรักจนตาบอด ไม่มองไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเมื่อความรักบังตา

ป่านทอได้แต่ปลอบใจไปตามเรื่องตามราว เพราะเธอไม่แน่ในว่าเรื่องที่วิปุลาเล่าให้เธอได้อ่านจากหน้าจอคอมเครื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก แต่อย่างน้อยๆ เธอก็รู้แต่เพียงว่า วิปุลาเป็นเลสที่ค่อนไปทางดี้มากกว่าที่จะมาชอบเลสด้วยกันเอง

การพูดคุยมาจบลงตรงที่ป่านทอบอกว่าพรุ่งนี้เธอมีเรียนตอนเช้าคงต้องขอตัวไปนอนก่อน จากนั้นวิปุลาก็บอกราตรีสวัสดิ์และทั้งคู่ก็ปิดหน้าจอปิดเครื่องคอมไป

..................

รุ่งเช้าวันใหม่ป่านทอบอกกับปวีณาว่าเมื่อคืนอยู่คุยกับวิปุลาจนถึงตีสาม ถ้าวิปุลามาชวนคุยก็ให้ปวีณาเปิดอ่านข้อความที่เธอกับวิปุลาคุยกันไว้เองก็แล้วกัน จากนั้นป่านทอก็ออกไปทำงานปล่อยให้ปวีณานอนต่อ

ปวีณาตื่นขึ้นมาแล้วก็นึกได้ว่าเมื่อเช้าป่านทอบอกอะไรกับเธอไว้ เธอเปิดเครื่องคอมแล้วก็นั่งอ่านบทสนทนาของป่านทอกับวิปุลา อ่านไปแล้วก็นั่งขำที่ป่านทอปลอมตัวเป็นเธอจนคนที่อยู่อีกฝั่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเธอกับป่านทอนั้นเป็นคนละคนกัน

“อ้าวไหนว่ามีเรียนแต่เช้าคะ” อยู่ๆ ก็มีข้อความทักขึ้นมาใน Msn ทำเอาปวีณาถึงกับตกใจ เพราะเธอไม่รู้เลยว่าคนที่ทักเธอนั้นเป็นใคร เมื่อคืนพี่ป่านคงจะคุยกับใครสักคนแล้วบอกว่าวันนี้เธอมีเรียนตอนเช้า

“อ๋อเข้ามาเช็ค Mail ค่ะแต่กำลังจะไปเรียนแล้ว บายๆ นะคะ” จากนั้นปวีณาก็ Block ชื่อของคนที่ทักเธอทันที เป็นการตัดบทสนทนาที่เธอไม่รู้ว่าคนที่ทักนั้นมาเป็นใครกันแน่

แต่เมื่ออ่านบทสนทนาของป่านทอเมื่อคืนจนจบก็รู้ว่าคนที่ทักเธอนั้นก็คือวิปุลาหญิงสาวสองบุคลิกคนนั้น ปวีณาไม่ค่อยจะสนใจอะไรมากนักอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนจะดีกว่าเพราะเธอต้องรีบเอารายงานที่อาจารย์สุดโหดไปส่งก่อนที่จะหมดเวลาเส้นตายที่อาจารย์ของเธอได้ตั้งไว้

..................

ปวีณากลับมาจากเรียนเห็นป่านทอนั่งทำงานอยู่ก็ทักทายกันตามประสา

“เออพี่เมื่อเช้าเข้าเอ็มตกใจหมดเลย”

“ทำไมมีอะไรเหรอ”

“ก็ปูนะสิทักมาว่าทำไมไม่ไปเรียน งงเลยว่าเคยไปคุยกันเมื่อไหร่”

“ฮ่าๆๆ เหรอ เออเมื่อคืนพี่บอกไปว่าเรามีเรียนตอนเช้า”

“แล้วนี่พี่ไม่กลับบ้านเหรอ”

“ไม่อะขี้เกียจกลับเบื่อบ้าน”

“เอ๊าคนเรามีบ้านมีช่องก็ไม่กลับมาอยู่หอแคบๆ แบบนี้อยู่ได้”

“เอาน่าไว้ค่อยกลับตอนดึกๆ”

“เออดีเลยพี่ป่านวันนี้มีรายงานช่วยทำหน่อยสินะๆ” ปวีณาออดอ้อนรุ่นพี่คนเก่งของเธอ เพราะรายงานวันนี้ค่อนข้างจะเยอะและต้องใช้เวลามากๆ ในการทำหากมีคนช่วยเธอทำอีกคนก็จะช่วยทุ่นเวลาไปได้มาก

“ก็ได้รีบๆ ไปอาบน้ำแล้วมาทำรายงานดีกว่า” ป่านทอตัดบทเพราะหากว่ายิ่งถ่วงเวลาไปรายงานของปวีณาก็คงจะไม่เสร็จเร็วอย่างที่ปวีณาคิดแน่นอน

จากนั้นทั้งสองคนก็ง่วนทำรายงานกันแล้วก็มีข้อความทักมาว่า

“สวัสดีคุณวี เรียนเป็นไงบ้าง”

ปวีณาดูข้อความนั้นแล้วก็ตอบไปว่า

“ก็ดีค่ะ ขอตัวก่อนนะคะต้องรีบทำรายงาน”

“ให้เราช่วยได้นะมีอะไรบอกมาเลย” ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะยังตื้อไม่เลิก

“เราต้องทำรายงานจิตวิทยาน่ะคุณ คุณคงช่วยเราไม่ได้หรอก”

“ได้สิเราเป็นพหูสูต รู้หมดทุกเรื่องไหนขอหัวข้อมาสิเราจะช่วยทำให้”

จากนั้นปวีณาก็ส่งหัวข้อรายงานของเธอไปให้วิปุลา และเธอก็ได้รู้ว่าวิปุลาไม่ได้หลอกว่ารู้จริง เพราะเท่าที่ดูวิปุลาน่าจะเป็นคนที่มีความรู้มากมาย จนป่านทอยังอึ้งเมื่อเห็นตัวรายงานที่วิปลาส่งมาให้ปวีณา

“เก่งจริงๆ เลยนะผู้หญิงคนนี้” ป่านทอชมวิปุลา

“ใช่พี่เก่งจริงๆ ด้วยสิ อึ้งคับอึ้ง ฮ่าๆๆ” ปวีณาขำป่านทอที่ทำท่าทางไม่เชื่อ เพราะเธอสองคนนั่งทำรายงานกันแทบเป็นแทบตายแต่วิปุลากลับตอบได้เป็นฉากๆ ในเรื่องที่ทั้งคู่กำลังช่วยกันทำ จากนั้นการสนทนาก็เลยกลายเป็นการสอนการบ้านให้กับปวีณาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

กว่าทั้งสามคนจะได้หลับก็เมื่อรายงานฉบับนั้นของปวีณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นปวีณาก็บอกกับป่านทอ

“พี่ป่านวีไม่ไหวแล้วไปนอนก่อนนะพี่จะคุยกันต่อก็ตามสบายสวมรอยเป็นวีได้ตามสบาย” ปวีณาขอตัวไปนอนเพราะเธอเริ่มรู้สึกเหนื่อย และตาจะปิดอยู่แล้ว ด้วยว่าเธอนอนดึกมาหลายคืนติดยกเว้นเมื่อคืนที่ถึงแม้ว่าจะนอนเร็วแต่ก็เกือบๆ จะเที่ยงคืน เวลานอนมันดูเหมือนจะไม่พอ

“ไปนอนเถอะเดี๋ยวพี่คุยแทนให้” ป่านทอบอกกับปวีณาเพราะตอนนี้เธอกำลัง Print ตัวรายงานออกมาเป็นกระดาษให้กับปวีณา แต่เมื่อหันกลับไปก็เห็นรุ่นน้องหลับไปอีกแล้ว

“หุหุ สงสัยแบตเสื่อมชาร์ตไม่เข้าหลับเป็นตายเลยน้องตู” ป่านทอบ่นรุ่นน้องของเธอที่ล้มตัวลงนอนแล้วก็เหมือนจะหลับไป เพราะเธอได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของปวีณาได้อย่างชัดเจน

ป่านทอยังไม่ง่วงก็เลยคุยต่อกับวิปุลาไปเรื่อยๆ เหมือนเมื่อคืนเธอ save ข้อความทั้งหมดที่สนทนากันไว้ให้ปวีณาเช่นเดิม

ใจหนึ่งเธอก็อยากจะบอกกับวิปุลาว่าเธอไม่ใช่ปวีณาแต่อีกใจก็ไม่อยากให้คู่สนทนาต้องเสียความรู้สึก หากวิปุลารู้ว่าเธอกับปวีณารวมหัวกันหลอก วิปุลาคงไม่ชอบใจเอามากๆ ดังนั้นเธอก็คงต้องสวมรอยเป็นปวีณาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ปวีณาอยากจะบอกความจริงเธอจะเป็นฝ่ายที่บอกกับวิปุลาเอง

การสนทนาก็เป็นเช่นเดิมวิปุลาจะเล่าเรื่องราวของเธอในอดีตที่ผ่านมาให้กับป่านทอได้รับรู้ ตั้งแต่สมัยมีแฟนคนแรก จนกระทั่งคนสุดท้ายที่พึ่งจะเลิกร้างกันไป ป่านทอรู้สึกว่าผู้หญิงคนที่เธอคุยด้วยคนนี้ ดูเหมือนจะมีความเศร้าซ่อนเร้นในใจมากมาย กับการที่ต้องโดนหลายๆ คนหักอก กับการที่ต้องโดนหลายๆ คนหลอกใช้เป็นสะพานให้เดินข้ามไป

ป่านทอเริ่มรู้สึกสงสารวิปุลามากขึ้นเรื่อยๆ หากเรื่องที่วิปุลาเล่าเป็นเรื่องจริง วิปุลาคงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมากมาย ผู้หญิงอะไรจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมากมายขนาดนี้ เรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน อะไรจะขนาดนั้น

“วีคงต้องขอตัวไปนอนแล้วค่ะคุณปูไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะคะ” ป่านทอบอกกับวิปุลา เพราะเวลานี้เกือบจะตีสามอีกแล้ว

“วันหลังก็ต้องหันหลังคุยสิค่ะ คุยกันวันหน้าดีกว่าจะได้เห็นหน้าค่าตากันด้วย” วิปุลายังมีอารมณ์ขันล้อเล่นกับป่านทอ

“หุหุ วันไหนก็ได้ค่ะฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

“อรุณสวสดิ์ต่างหากบายๆ ค่ะ”

การสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ป่านทอปิดคอมปิดหน้าจอ ปิดไฟ แล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ รุ่นน้อง เธอเองก็ชักจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน อดนอนมาสองคืนติดๆ กันแบบนี้ แบตที่ชาร์ตไว้ก็เริ่มจะหมดตามรุ่นน้องไปด้วย

“ขอชาร์ตแบตก่อนนะคุณปูไม่ไหวจริงๆ” ป่านทอพูดกับตัวเองก่อนที่จะหลับตาลงอย่างช้าๆ ด้วยความง่วงงุน

……………

จากนั้นทุกๆ วันหน้าที่ของปวีณาก็คือต้องลุกขึ้นมาอ่านย้อนหลังบทสนทนาของป่านทอกับวิปุลา เพราะปวีณาจะเป็นคนคุยกับปวีณาในตอนกลางวัน ส่วนป่านทอจะรับช่วงต่อในตอนกลางคืน สองคนพี่น้องต่างรับ-ส่ง บทสนทนากันระหว่างพวกเธอสองคนกับวิปุลาได้อย่างแนบเนียน

วิปุลาบอกรักป่านทอที่เธอคิดว่าเป็นปวีณาทั้งๆ ที่เห็นหน้ากันได้เพียงครั้งเดียว ป่านทอได้แต่นิ่งเงียบ เธอตอบแทนปวีณาไม่ได้และเธอก็รู้ดีว่าปวีณาไม่มีทางที่จะชอบผู้หญิงแบบวิปุลาอย่างแน่นอน เพราะปวีณาไม่ชอบคนสูงอายุ แต่ยิ่งปฏิเสธวิปุลาก็ยิ่งรุกป่านทอมากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนจะเป็นทุกครั้งที่คุยกัน

“เราขอเบอร์โทรของวีด้วยสิ” วิปุลาเริ่มรุก

“ไม่ได้หรอกเราไม่มีโทรศัพท์”

“อย่ามาอำเราเลยวันนั้นที่ผับเรายังเห็นวีพกติดเอวอยู่เลย” ป่านทอเหมือนจะโดนตอกจนหน้าหงาย

“ตอนนั้นอะมีแต่ตอนนี้ไม่มีแล้วเราทำหายยังไม่ได้ขอเงินแม่มาซื้อเครื่องใหม่เลย” ป่านทอเลี่ยงไปเรื่อยๆ

“งั้นเราซื้อให้ใหม่เอามะ เอาที่อยู่มาเราจะได้ส่งเครื่องใหม่ไปให้”

“ไม่ต้องหรอกเรามีเงินแต่เรายังไม่อยากซื้อแต่นั้นเอง เก็บเงินของคุณไว้เถอะเราไม่อยากไปเบียดเบียนคุณตกงานอยู่ไม่ใช่เหรอ” ป่านทอปฏิเสธไปด้วยคิดว่าการทำแบบนี้ดูจะนุ่มนวลที่สุดแล้ว

“วีรู้ไหมไม่เคยมีใครปฏิเสธเราแบบวีมาก่อน มีแต่คนพร้อมจะให้ที่อยู่กับเรา พร้อมที่จะรับอะไรจากเรา เราโดนคนหลอกมามากแล้ว คงจะมีวีคนเดียวที่ไม่เคยหลอกลวงเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ ก็ตาม เพราะแบบนี้แหละเราถึงได้รักวี รักแบบที่ไม่มีเหตุผล”

เมื่อป่านทอได้อ่านข้อความนั้นแล้ว เธอก็ต้องรีบปลุกเจ้าของ E-mail ให้รีบลุกขึ้นมาอ่านข้อความทั้งหมดทันที และปวีณาก็ต้องงัวเงียขึ้นมาอ่านแต่เมื่ออ่านแล้วก็แทบจะนอนไม่หลับ

“พี่ป่านวีว่าเราบอกเธอไปเถอะว่าเราสองคนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน รู้สึกว่าคุณปูเธอจะมีความรู้สึกดีๆ กับปวีณาที่คุยตอนกลางคืนกับเธอมากกว่าปวีณาที่คุยกับเธอในตอนกลางวัน” ปวีณาบอกกับป่านทอเมื่อเธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันกำลังจะวุ่นวาย

“พี่ก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะวี แค่พี่ไม่กล้าบอกหรือว่าวีกล้า”

แทนคำตอบปวีณาส่ายศีรษะไปมา เพราะเธอเองก็ไม่กล้าเช่นกัน

“งั้นก็ปล่อยไปแบบนี้ก่อนไม่ต้องบอกเพราะไงซะชีวิตจริงเราสามคนก็คงไม่ได้เจอกันอยู่แล้วจริงไหม”

“มันก็จริงนะพี่ มันคงไม่บังเอิญที่จะได้เจอกันแบบวันนั้นอีกแล้ว งั้นปล่อยไปเถอะเน๊อะ”

ป่านทอพยักหน้าเป็นการตอบ เธอบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรเธอถึงกังวลกับเรื่องนี้มากมาย หรือเธอจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับวิปุลาผู้หญิงที่เคยเห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่คุยกันมาแรมเดือนคนนั้น

................

“วีไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”

“ไปไหนพี่”

“ไปเป็นไม้กันหมาให้พี่หน่อยไม่อยากไปเจอชีสองต่อสอง”

“ใครพี่สวยปะ”

“เออสวยไปนะไว้คุยให้ฟังในรถ” ป่านทอลากตัวปวีณาไปเป็นเพื่อนเธอเมื่อต้องไปเจอกับแฟนเก่าสมัยยังเรียนมัธยม

“เค้านัดพี่ทำไม”

“เค้าบอกว่าจะเอาการ์ดแต่งงานมาให้พี่”

“เอ๊าแค่แฟนเก่าเอาการ์ดแต่งงานมาให้ถึงกับต้องลากน้องมาด้วยเหรอพี่”

“ก็เออสิกลัวทำใจไม่ได้เว่ย”

“ฮั่นแน่แสดงว่ายังรักเค้าอยู่อะดี้โด่เอ๊ยทำมาฟอร์มพี่เรา”

“เอาน่าเฉยๆ แล้วกันนั่งเป็นกันชนให้พี่หน่อย”

“ก็ได้แต่ข้าวมื้อนี่พี่เลี้ยงวีนะ”

“เออไงก็ต้องเลี้ยงอยู่แล้ว เร็วๆ ถึงแล้วรีบๆ ลงไปเลย” ป่านทอไล่ปวีณาที่ยังนั่งนิ่งไม่ยอมลงจากรถเพราะตอนนี้รถของเธอได้มาถึงร้านอาหารที่ได้นัดกับแฟนเก่าเอาไว้แล้ว

ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเพราะก็เป็นเพียงแค่แฟนเก่าของป่านทอนัดมาพบกันและแจกการ์ดแต่งงานของเธอให้กับป่านทอก็เท่านั้น

“พี่ป่านนะพี่ป่านชอบตีตนไปก่อนไข้เรื่อยเลย”

“ก็คนมันกลัวนี่หว่า หรือว่าวีไม่กลัวเวลาเจอหน้าแฟนเก่า”

“แฮะๆๆ กลัวพี่”

“เอ๊าก็เหมือนกันละว้า แล้วทำมาพูดดี โด่เอ๊ย”

สองพี่น้องต่างพ่อต่างแม่หัวเราะกันครื้นเครง ในระหว่างทางที่กลับบ้าน และก็ต้องเตรียมตัวไปงานแต่งของแฟนเก่าของป่านทอด้วยกัน เพราะป่านทอบอกว่าไม่กล้าไปคนเดียว ต้องการผู้ช่วยอย่างปวีณาไปด้วย แต่เรื่องงานแต่งยังอีกยาวไกลนัก ตั้งเดือนกว่าๆ ถึงจะมีงาน จะให้คิดตอนนี้คงจะเร็วไป อีกอย่างปวีณาก็ใกล้จะสอบปลายภาค เธอกำลังจะจบแล้ว เรื่องอื่นๆ คงไม่สำคัญกับปวีณาเท่าการสอบครั้งสุดท้ายนี้เป็นแน่

.................................

“วีเราได้งานทำแล้วนะเราคงไม่ค่อยมีเวลามีคุยกับวีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

ครั้งนี้ปวีณาเป็นคนผู้คุยกับวิปุลาเองเธอรู้สึกดีใจที่วิปุลาเป็นฝ่ายบอกก่อนว่าจะไม่มีเวลามาคุยกับเธออีกแล้ว

“วีก็ไม่มีเวลาคุยเหมือนกันใกล้จะสอบแล้วค่ะคุณปู” เวลานี้ยังเป็นเวลากลางวัน ดังนั้นปวีณาที่ปกติไม่ค่อยจะคุยกับวิปุลาในตอนกลางวันอยู่แล้วจึงไม่เป็นสิ่งปกติอันใดที่วิปุลาจะจับได้ว่า ระหว่างปวีณาตอนกลางวันกับปวีณาตอนกลางคืนแตกต่างกันอย่างไร

“งั้นอ่านหนังสือสอบไปนะเด็กน้อย”

“ขอบคุณค่ะ” แล้วการสนทนาในตอนกลางวันก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น

จากนั้นวิปุลาก็หายไปไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน ไม่มีการสนทนาของวิปุลากับปวีณาอีก

“หายไปแล้วพี่ป่าน”

“ใครหาย”

“ก็คุณปู คุยกับวีครั้งสุดท้ายก็ที่วีเล่าให้พี่ฟังว่าเธอได้ทำงานแล้วก็หายไปเลย”

“ก็ดีแล้วนี่หายไปแล้วก็ดีแล้วเราสองคนจะได้ไม่ต้องลำบากใจเพราะไม่รู้จะบอกเรื่องที่เราเปลี่ยนตัวกันคุยเอ็มกับเธอได้ไง”

“ก็จริงเน๊อะ” ปวีณาพยักหน้าเห็นด้วยกับป่านทอเพราะหากยังคงคุยต่อกับวิปุลาไปเรื่อยๆ ทั้งเธอและป่านทอก็คงจะลำบากใจเพิ่มมากขึ้นทุกที

“แล้วสอบเป็นไงบ้างเราเสร็จหมดแล้วนี่” ป่านทอชวนรุ่นน้องคุยเรื่องอื่นเพราะเธอไม่อยากคุยเรื่องของวิปุลาอีกแล้ว

“ทำไมเหรอพี่ก็ดีสอบไปได้หมด สอบเสร็จอย่างกับยกภูเขาไฟออกจากอก”

“เข้าใจเปรียบเทียบนะไอ้น้องรัก ไปเที่ยวกันมะที่เดิม”

“จะดีเหรอถ้าเจอคุณปูอีกทำไง”

“ถ้าเจออีกก็ทำเนียนคุยไปแล้วกันพี่จะคอยเสริม”

“โอเคเอาไงเอากันพี่” รุ่นพี่รุ่นน้องสองคนแต่งตัวไปเที่ยวผับที่เดิม

ทั้งคู่ชอบผับแห่งนี้ เพราะเหมือนจะเป็นผับที่ได้ปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด การที่ได้อยู่ในสังคมที่มีคนที่เหมือนๆ กัน มีความชอบเหมือนๆ กัน ทำให้ทั้งคู่ไม่รู้สึกแปลกแยกไปจากคนรอบข้าง

ถึงแม้ว่าทั้งสองคนไม่ได้แสดงอาการบ่งบอกถึงความเป็นทอมบอยออกมาก็ตามที ทั้งคู่ยังเป็นผู้หญิงนุ่งกระโปรงไว้ผมยาว แต่หากจิตใจเท่านั้นที่แปลกแยก หากจะถามว่าเป็นเพราะอะไรทั้งคู่ก็คงตอบไม่ได้

หากจะถามว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็คงตั้งแต่จำความได้ เธอทั้งสองชอบที่จะเล่นกับเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย ไม่ชอบความกระด้างของผู้ชาย นั่นอาจจะเป็นคำตอบของคำถามมากมายก็ได้ว่าเหตุใดเธอถึงได้ชอบผู้หญิง

ป่านทอและปวีณาได้โต๊ะด้านในสุดไม่ติดเวที อยู่ในมุมที่เรียกได้ว่าเป็นมุมที่มืดที่สุดของผับแห่งนี้ ทั้งคู่หันหลังให้เวที ไหนๆ ก็อยู่ในมุมที่อับแล้วจะไปมองนักดนตรีเล่นอยู่ทำไม นั่งจิบเหล้ามองสาวๆ โต๊ะข้างๆ เต้นยั่วไปมาจะดีกว่า

และทั้งคู่ก็ต้องตกใจเมื่อมีสาวคนหนึ่งเซมาปะทะกับเธอทั้งคู่ท่าทางจะเมามากมาย แต่เมื่อเห็นหน้าของสาวคนนั้น ทั้งคู่ก็ต้องอุทานออกมาพร้อมกันว่า

“คุณปู” โลกมันช่างกลมจนทั้งคู่อยากจะวิ่งออกมาจากผับแห่งนั้น แต่ท่าทางของวิปุลาจะเมามากจนครองสติไม่อยู่ ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถละทิ้งวิปุลาไว้เพียงคนเดียวได้ อย่างน้อยในใจของทั้งคู่ก็ยังมีศีลธรรมมากพอที่จะไม่ทิ้งผู้หญิงเมาไม่ได้สติไว้ในผับคนเดียวอย่างแน่นอน

“พี่ป่านเอาไงดี” ปวีณาถามรุ่นพี่เพราะเธอก็ไม่คิดว่าจะเจอวิปุลาในสภาพเมามายมากมายขนาดนี้

“เดี๋ยวนะคิดก่อน พยุงไปนั่งเก้าอี้พิงผนังไว้ก่อนดีกว่า” ป่านทอบอกรุ่นน้องให้ช่วยกันอุ้มวิปุลาให้ลุกจากพื้นไปนั่งที่โต๊ะของตนและให้นั่งพิงผนังไว้ ดีกว่าที่จะให้มานอนกองกับพื้นแบบนี้

จากนั้นป้านทอก็เอาผ้าเช็ดหน้าของเธอชุบน้ำเย็นๆ ในถังน้ำแข็งเช็ดหน้าตาและคอให้กับคนเมาไม่ได้สติ ปวีณาไม่เข้าใจว่าทำไมป่านทอถึงได้ห่วงใยวิปุลามากมาย แถมยังดูเหมือนว่าอยากจะคอยปกป้องผู้หญิงเมาคนนี้อีกด้วย

“วีเรารักวีนะอย่าตัดทอนเราเลย” วิปุลาโวยวายลั่นจนได้ยิน

“เอาแล้วงานเข้าแล้วพี่ป่าน” ปวีณาบอกกับป่านทอ

“เอาน่าไงก็ให้ได้สติกลับมาก่อนก็แล้วกัน” ป่านทอบอกทั้งๆ ที่ใจเธอก็กังวลกับสิ่งที่ได้ยินเหมือนๆ กับที่ปวีณาได้ยินเช่นกัน

กว่าวิปุลาจะฟื้นคืนสติได้ก็นานพอสมควร วิปุลารู้สึกถึงความห่วงใยจากใครสักคนหนึ่งในสองคนที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าความรู้สึกและสติของเธอที่มีอยู่น้อยนิดรับรู้ได้ว่าใครคนใดคนหนึ่งดูแลเธอเป็นอย่างดี ทั้งเช็ดหน้าให้ ทั้งพยุงเธอให้มานั่งบนเก้าอี้ตัวนี้

ในใจของเธอคิดว่าคงเป็นปวีณาคนที่เธอคุยด้วยอยู่บ่อยๆ เธอคว้าคอของปวีณาเข้ามาใกล้ๆ เธอ และหอมแก้มของปวีณาเป็นการขอบคุณในน้ำใจ

ปวีณาได้แต่ยืนงงคนที่ช่วยวิปุลาไม่ใช่เธอแต่คือป่านทอรุ่นพี่ของเธอต่างหาก คนเมาคว้ามือถือของปวีณาที่เหน็บเอวไว้มากดเบอร์แล้วโทรออก จากนั้นก็ส่งคืนให้กับเจ้าของมือถือเครื่องน้อยนั้น และเธอก็เดินโซซัดโซเซออกจากโต๊ะ

“เมาจริงหรือเปล่าวะนี่” ปวีณาเริ่มได้สติหันกลับไปถามป่านทอ

“ไม่รู้สิ อย่าไปสนใจเลยกินเหล้าต่อดีกว่า” ป่านทอตัดบทเพราะตอนนี้เธอรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจมากมาย

....................

หลังจากคืนวันนั้นวิปุลาก็โทรหาปวีณาแต่วิปุลาไม่ได้รับสายเพราะเธอไม่รู้ว่าเป็นเบอร์โทรของใคร

“ทำไมไม่รับสายล่ะวี”

“เบอร์ใครก็ไม่รู้สงสัยจะโทรผิด”

“โทรผิดเหรอ Miss call เกือบร้อยสายนี่นะโทรผิด จงใจโทรมากกว่า” ป่านทอมองที่หน้าจอโทรศัพท์ของปวีณา จากนั้นก็กดรับสายที่ยังร้องเรียกนั้น

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีวีเราเองปู” เสียงจากปลายสายมีน้ำเสียงดีใจเป็นอย่างมากที่เธอกดรับสาย

“เอ่อ” ป่านทอกำลังจะบอกว่าเธอไม่ใช่ปวีณาแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้เมื่อปลายสายสวนกลับมา

“ถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอวีไม่ต้องตกใจเราจะโทรมาบอกว่าเราขอบใจที่วันนั้นช่วยให้เราสร่างเมา”

“ไม่เป็นไรแต่เอ่อ” ป่านทอกำลังจะพูดต่อก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“งั้นแค่นี้นะวีเราต้องไปทำงานแล้ว” ปลายสายบอกเพียงเท่านั้นก็กดวางสายไป

“ใครเหรอพี่ป่าน”

“คุณปู”

“อ่อ แสดงว่าวันนั้นเธอเอามือถือวีไปโทรหาเบอร์ของเธอเองนะสิ ร้ายนะยะคุณปู เออพี่เอาเครื่องนี้ของวีไปเลยแล้วกันวีว่าจะไปปิดแล้ว มันเป็นเบอร์เติมเงิน เงินหมดวันเหลือเพียบเอาไปเลยพี่ เผื่อคุณปูโทรมาวีไม่อยากรับสาย” ปวีณายกมือถือของเธอให้กับป่านทอเอาดื้อๆ

“เฮ้ยจะดีเหรอ”

“ไม่ต้องคิดมากน่าพี่ถ้าคิดมากก็เอาไปแต่ซิมแล้วกันมือถือคืนวีก็ได้อะ”

“ก็ได้ๆ หาเรื่องให้พี่จริงๆ ไอ้น้อง” ป่านทอส่ายหน้ากับความคิดของปวีณา เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

.............

ป่านทอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้หาโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องมาใส่ซิมของปวีณา เธอรับโทรศัพท์ของวิปุลาที่โทรมาในช่วงเย็นหลังเลิกงานทุกวัน และคุย MSN กับวิปุลาแทนปวีณาทุกวันเช่นกัน

ในที่สุดเธอก็ได้รู้เรื่องของวิปุลาว่าเหตุใดเธอถึงกับเกือบหมดตัวและต้องลาออกจากงานเก่า เมื่อวิปุลาได้เล่าเรื่องของเธอให้ฟังในการคุย MSN กันในครั้งนี้

“เราโดน Blackmail จากคนที่เรารัก”

“ทำไมล่ะ” ป่านทอพิมพ์ข้อความถามไปอย่างสนใจ

“เพราะเราแต่งงานแล้วนะสิ”

“หาอะไรนะ”

“จริงๆ เราแต่งงานแล้ว เราไม่อยากปิดวีหรอกนะ แต่เราไม่แน่ใจว่าที่เราจะบอกวีมันจะทำให้ความคุ้นเคยของเราหมดลงไปหรือเปล่า วันนี้เราตัดสินใจแล้วที่จะต้องบอกวี เราแต่งงานแล้วและกำลังจะหย่า เราฟ้องหย่ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเรา เราทั้งคู่ไปกันไม่รอด เราขยะแขยงผู้ชาย เรานอนกับผู้ชายไม่ได้ ทั้งๆ ที่พยายามแล้วนะวี”

“คุณแต่งงานมาแล้วกี่ปี”

“เกือบสิบปี”

“คุณไม่ได้รักเค้าตอนที่คุณแต่งงานด้วยหรอกเหรอ”

“ไม่เลยวี เราแต่งเพราะเราจำเป็นต้องแต่ง เราแต่งเพราะสังคม เพราะครอบครัว”

“แล้วทำไมถึงได้ฟ้องหย่ากัน ทำไมไม่อดทนกันต่อไป”

“เค้าไปมีคนอื่นเค้าทนไม่ได้ที่เราไม่มีอะไรกับเค้า และเราเองก็ทนไม่ได้ที่จะนอนกับเค้า เราสองคนเหมือนกับว่าไม่มีความรักต่อกันอีกต่อไป ความรู้สึกดีๆ ที่เรามีต่อกันมันหมดไป เค้าใช้กำลังข่มขื่นเรา เค้าบังคับเราให้นอนกับเค้า เราไม่มีทางออก เราพยายามหาสิ่งทดแทนด้วยการนอนกับผู้หญิงด้วยกัน แต่ทุกคนก็หวังที่จะได้เงินจากเรา หวังที่จะได้เฟอร์นิเจอร์และอะไรหลายๆ อย่างจากเรา เมื่อเราไม่ให้ก็หักหลังเราบอกว่าจะเอาเรื่องที่เรานอนกับเค้าไปบอกสามีเรา ตอนนั้นเราแทบบ้า เราต้องออกจากงาน หน้าที่การงานวุ่นวายไปหมด เราจมปลักอยู่กับความทุกข์อยู่หลายเดือนจนได้มาเจอวี วีเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีคนดีอยู่บนโลกนี้ ยังมีคนดีที่รักเราและไม่หวังผลตอบแทนหลงเหลืออยู่บ้าง”

ป่านทอนั่งมองข้อความที่วิปุลาค่อยๆ พิมพ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกข้อความมันตอกย้ำว่าเธอกำลังพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผิดหวังในความรัก ผู้หญิงคนที่ยอมบอกความจริงทุกอย่างให้กับเธอได้รับรู้ เธอต่างหากที่เป็นคนโกหก เธอต่างหากที่ไม่ได้เปิดเผยความจริงว่าเธอไม่ใช่ปวีณา

“คุณปูเรามีอะไรจะบอกคุณ” ป่านทอตัดสินใจบอกสิ่งที่เธอปิดบังมาเนิ่นนานให้กับวิปุลา

“คุณรับกล้องเราด้วย” ป่านทอตัดสินใจกดเปิดกล้อง Web cam ให้วิปุลาได้ดู

วิปุลากดรับการส่งกล้อง และภาพที่เธอได้เห็นก็ทำให้เธอถึงกับตะลึง ด้วยว่าคนที่พูดคุยกับเธอไม่ใช่ปวีณาคนที่เธอหลงรักมาตลอดเวลาหลายเดือน เธอตัดสินใจโทรไปหาปวีณาทันทีเช่นกัน

“สวัสดีคุณปู เราป่านนะไม่ใช่วี”

“ขอสายวีหน่อย”

“วีนอนไปแล้ว และคนที่คุณคุยด้วยทุกวันก็คือเราป่านทอ” จากภาพที่เห็นป่านทอกำลังรับสาย นั่นหมายถึงคนที่เธอพูดคุยในตอนเย็นเวลาขับรถกลับบ้านก็คือป่านทอ ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือการพูดคุย เธอจำได้แน่ๆ ว่านั่นคือคนๆ เดียวกันกับที่เธอคิดว่าคือปวีณา

วิปุลาตัวชาไปทั้งตัว เธอโดนคนหลอกลวงคนนี้หลอกลวงเธอมาตลอดเวลา ทำไมคนอย่างเธอถึงได้โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เราขอโทษนะคุณปู เรากับวีไม่ได้ตั้งใจที่จะหลอกคุณ แต่เราไม่มีโอกาสที่จะบอกไม่มีโอกาสที่จะพูด เราขอโทษจริงๆ”

“เราคงไม่ต้องคุยกันอีกต่อไปแล้วคนโกหก” จากนั้นวิปุลาก็ตัดสายและปิดการสนทนา MSN ลงไปในทันที

ป่านทอนั่งอึ้งอยู่นานกว่าจะตัดสินใจโทรกลับไปหาวิปุลา แต่ปลายสายก็ไม่รับ

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก This number you call is not connect” เสียงระบบของโทรศัพท์บอกตอบรับมาแบบนี้ ก็ทำให้ป่านทอต้องยกเลิกการโทรไปโดยปริยาย

.................

การติดต่อของป่านทอกับวิปุลาไม่มีต่อกันมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ป่านทอว้าวุ้นใจเป็นอย่างมาก เธอยอมรับว่าเธอผิด เธอคิดไปต่างๆ นานาว่าวิปุลาคงไปเมามายที่ไหน ปล่อยตัวปล่อยใจให้กับใครที่ไม่รู้จักคนอื่นมากเพียงใด

ป่านทอพยายามโทรไปหาวิปุลาอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับเช่นเคย วิปุลาคงปิดเบอร์นี้เพื่อหนีเธอ

ป่านทอและปวีณาไปงานแต่งงานของแฟนเก่าป่านทอ ในงานไม่มีอะไรมากมีเพื่อนเก่าๆ ที่มาร่วมงานไม่กี่คน นอกนั้นก็เป็นเพื่อนที่มาจากที่ทำงาน ป่านทอมองเห็นวิปุลาเดินเข้ามาในงานพร้อมกับชุดราตรีเปิดไหล่สีแดง

“พี่ป่านนั้นๆ คุณปู” ปวีณาสะกิดป่านทอให้ดูคนที่กำลังเดินเข้าประตูงานเข้ามา ทั้งป่านทอและปวีณารีบเดินเข้าไปหาวิปุลาทันที

ทางด้านวิปุลาเมื่อเธอเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอทั้งคู่ก็กำลังจะเดินหนี เพราะเธอเกลียดคนโกหกหลอกลวง

“คุณปูหยุดก่อนฟังพวกเราสองคนอธิบายก่อน” ปวีณาตะโกนตามหลังและมีป่านทอวิ่งเข้าไปคว้าข้อมือของวิปุลาไว้ได้ทัน

วิปุลาสะบัดแขนของเธอออกจากการเกาะกุมของป่านทอและหันไปมองหน้าป่านทอจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ

“ฉันไม่อยากคุยกับคนโกหก”

“หรือคุณไม่ได้โกหกพวกเรา หรือคุณจริงใจกับพวกเรามากกว่าที่พวกเราทำอยู่งั้นสิ” ปวีณาพูดขึ้นเพราะทนไม่ได้

“ฉันไม่ได้โกหกพวกคุณ”

“แล้วทำไมไม่บอกว่าคุณแต่งงานแล้ว”

“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันจะบอกหรือไม่บอกคุณก็ได้”

“นั่นก็เหมือนกัน เราสองคนจะบอกหรือไม่บอกคุณก็ได้เหมือนกันว่าใครเป็นคนคุยกับคุณ แต่คุณรู้ไหมว่าพี่ป่านเค้าเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน เค้ารอที่จะคุยปลอบใจคุณ ฉันก็รู้สึกไม่ดีนะ ถ้าคุณรู้ความจริง ตอนกลางคืนคุณร้องไห้กับพี่ป่าน เพราะคุณคิดว่าเป็นวี ตอนเช้าคุณก็มาขอบคุณวี ที่อยู่เคียงข้างคุณ วีสะอึกเลย นะเมื่อได้เห็นข้อความ เพราะพี่ป่านต่างหากที่คอยเป็นห่วงคุณตลอดเวลา คุณจะเป็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ จะงอนจะร้องไห้ พี่ป่านทั้งนั้นที่คอยเป็นห่วงคุณ ใช่มันเป็นความผิดของฉันกับพี่ป่านที่ไม่ได้บอกคุณตั้งแต่ครั้งแรกว่าเราเปลี่ยนกันคุย เรายอมรับผิดในข้อนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่าที่พี่ป่านพูดคุยกับคุณมันมาจากใจจริงของพี่ป่าน คนที่ไม่มีใจให้กันจะคอยปลอบใจกันแบบนั้นเหรอคุณปู”

ปูริดาหยุดฟังคำของปวีณาและเธอก็รับรู้ว่าหญิงสาวผมยาวตัวผอมสูงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ป่านทอเป็นคนที่เธอรู้สึกดีด้วยทุกครั้งที่ได้คุย สบายใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียง

ป่านทอจับมือของวิปุลาไว้และพูดว่า

“ป่านขอโทษนะคุณปู แต่ขอให้รู้ว่าทุกอย่างที่ป่านทำไปมันมาจากใจจริงของป่าน หากคุณไม่พอใจหรือไม่อยากที่จะคบพวกเราต่อไปก็ไม่เป็นไร ป่านขอโทษคุณอีกครั้ง และเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ป่านอยากจะบอกคุณว่าป่านรักคุณค่ะ”

ป่านทอพูดจบก็เดินจากมาปล่อยให้วิปุลายืนนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงสายตาของวิปุลาเท่านั้นที่มองตามแผ่นหลังของป่านทอไปด้วยจิตใจที่สับสนจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

..........................

หลังจากวันนั้นอีกหลายเดือนป่านทอก็พาปวีณามาสมัครงานที่บริษัทของเธอ และปวีณาก็ได้ทำงานที่เดียวกับรุ่นพี่ของเธอ และก็ได้ข่าวมาอีกว่าจะมีนายใหม่เข้ามารับงานในวันนี้เช่นกัน ทั้งป่านทอและปวีณาดูจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

“พี่ป่านนายใหม่จะใจดีหรือเปล่า”

“พี่จะไปรู้ได้ไงไม่เคยเห็นหน้า”

“อ้าวก็นึกว่าพี่รู้”

“ถ้ารู้เค้าจะเรียกนายใหม่เหรอไอ้น้อง”

“นี่ๆ ป่านเดี๋ยวพาน้องใหม่เข้าประชุมด้วยนะ วันนี้นายจะเรียกประชุมแนะนำตัวเอง” พี่สายคนเก่าแก่ของฝ่ายเดินมาบอกป่านทอและปวีณา

“ค่ะพี่”

จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าประชุมร่วมกันทั้งฝ่ายรออยู่เพียงคนเดียวก็คือเจ้านายคนใหม่ เมื่อถึงเวลาประตูเปิดออกก็พบกับเจ้านายคนใหม่ในชุดกางเกงและเสื้อสูทสีเทาเกล้าผมมวยไว้ด้านหลังดูเนี๊ยบแบบที่ใครหลายๆ คนมองแล้วถึงกับตะลึง แถมกระเป๋าใบใหญ่ที่หิ้วเข้ามาก็ดูรู้ว่าเป็นของ Brand name แท้ๆ

มีเพียงป่านทอและปวีณาเท่านั้นที่เห็นแล้วตกใจ เธอสองคนพอจะรู้ชะตากรรมของตัวเองในอนาคตอันใกล้แล้วว่า อยู่บริษัทนี้ต่อไปคงไม่รุ่งแน่ๆ เพราะนายคนใหม่ของพวกเธอก็คือ “วิปุลา”

หลังเลิกประชุมทุกคนออกจากห้องประชุมและวิปุลาเดินเข้ามาทักทายสองสาว

“สวัสดีคุณป่านคุณวี”

“สวัสดีค่ะ Boss” ทั้งสองคนทักตอบ

“คุณป่านเดี๋ยวเชิญที่ห้องฉันด้วยนะ” วิปุลาบอกกับป่านทอให้เดินตามเธอเข้าไปที่ห้องทำงาน

“ซวยแล้วตู” ป่านทอบ่นออกมาดังๆ ทำเอาปวีณาขนลุดขนพองตามไปด้วย

ป่านทอเดินตามวิปุลาเข้าไปในห้องทำงานแต่ก็ไม่ลืมมารยาทที่จะเข้าห้องของเจ้านายเธอจึงเคาะประตู

“ก๊อกๆ”

“เข้ามาได้ แล้วก็ล็อคประตูด้วย” เสียงตอบจากในห้องได้ยินชัดเจน

ป่านทอทำตามอย่างว่าง่าย เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องของผู้จัดการคนใหม่ ที่ตกแต่งไว้สวยหรู โต๊ะทำงานสีดำ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง มู่ลี่ถูกปิดไว้จนคนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น แต่เจ้าของเสียงที่อนุญาตเธอหายไปไหน ป่านทอเดินสั่นๆ เข้ามาข้างในจิตใจเหมือนกำลังคิดว่าตัวเองไปออกรบแถวชายแดน

การกระทำครั้งนี้ของป่านทอยิ่งกว่าการทำระเบิดพลีชีพตัวเองเสียอีก

“อะเฮ้ม ว่าไงคนเก่งทำไมถึงได้สั่นแบบนั้น” เจ้าของห้องที่ยืนอยู่หลังประตูเมื่อตอนที่ป่านทอเปิดเข้ามาและบังพอดิบพอดีเอ่ยขึ้น จนป่านทอสะดุ้งโหยง

“คือ Boss มีธุระอะไรให้รับใช้หรือคะ” ป่านทอพยายามทำใจดีสู้เสือ แถมเสือตัวนี้ดูท่าทางจะดุเอามากๆ ด้วย

“มีธุระเรื่องหัวใจจะปรึกษาจะได้ไหม” เสียงแผ่วเบาจากปากของเสือทำเอาป่านทอปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ถูก

“อะไรนะคะ”

“มีธุระเรื่องหัวใจจะปรึกษาไม่ทราบว่าคุณป่านพอมีเวลาให้ปรึกษาไหมคะ”

“เอ่อ..” ป่านทออ้ำอึ้ง

“คือฉันโสดแล้วเป็นไทยแล้ว และหลงรักคนที่เคยเป็นเงาของใครบางคน แล้วเค้าก็ไม่ยอมที่จะรับรักฉัน ฉันควรทำอย่างไรดีคะคุณป่าน” น้ำเสียงเปล่งออกจากริมฝีปากบางๆ นั้นดูนุ่มนวลเหลือเกิน ป่านทอมองริมฝีปากนั้นขยับไปมาพูดอะไรที่เธอไม่สามารถฟังได้ หูของเธออื้อไปหมด

ก่อนที่เธอจะคว้าร่างนั้นเข้ามากอดและประกบริมฝีปากของตัวเองประทับลงไป เพื่อดื่มชิมความหอมหวาน จากริมฝีปากนั้น ป่านทอไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป เธอรู้แต่เพียงว่าเธอคิดถึงแม่เสือสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอเหลือเกิน

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเธอติดต่อแม่เสือไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีทางติดต่อได้ เธอลงทุนโทรไปถามแฟนเก่าเพื่อที่จะสอบถามถึงเรื่องของแม่เสือคนนี้แต่ก็ได้ความว่าลาออกไปแล้ว ทั้งๆ ที่มาทำงานได้ไม่นานนัก

ป่านทอหมดกำลังที่จะตามหา เธอปล่อยให้เวลาผ่านไป และวันนี้เธอสามารถจับต้องแม่เสือได้ สามารถที่จะดอมดมกลิ่นหอมที่แม่เสือปล่อยออกมาได้ เธอจะละเว้นไปอย่างนั้นหรือ

เสือกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ อยู่ในอ้อมกอดของป่านทอ และลูกแมวตัวนี้ก็น่ารักน่าทะนุถนอมเหลือเกิน

“พอได้แล้วป่านไม่เอาแล้วเดี๋ยวทำงานไม่ได้”

“ไม่ได้ก็ไม่ต้องทำสิค่ะ” ป่านทอยังซุกซนไม่เลิก

“ไว้ไปทานข้าวเย็นที่บ้านเราดีกว่าไปคนเดียวนะไม่ต้องพาวีไปด้วยล่ะ” วิปุลาผลักป่านทอออกจากตัวเธอและยื่นข้อเสนอข้อใหม่ให้กับป่านทอ

“ตกลงค่ะ Boss” ป่านทอผละออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่และเช็ดปากที่เลอะลิปสติคของแม่เสือเชื่องๆ ตรงหน้าเธอออกจากปากของตัวเอง

“เย็นนี้เจอกันค่ะ” ก่อนที่จะเปิดประตูออกไป ป่านทอส่งจูบให้กับวิปุลา

ป่านทอกลับออกมาบอกกับปวีณาว่าเย็นนี้ให้กลับบ้านไปก่อนเอารถของเธอไปด้วย คืนนี้เธอไม่กลับบ้านเพราะเย็นนี้เธอมีนัด

... จบ ...







 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 10:14:59 น.
Counter : 825 Pageviews.  

เรื่องสั้น แนวยูริ : ประสบการณ์ (สปช.)

ประสบการณ์

เคยเห็นกันไหมคะเวลาที่มีประกาศรับสมัครงานในแต่ละแห่งเช่น

เจ้าหน้าที่บัญชี วุฒิ ฯลฯ บล๊าๆๆๆ จากนั้นก็ลงท้ายว่า ถ้ามีประสบการณ์จะรับพิจารณาเป็นพิเศษ

หรือพนักงานขาย วุฒิ อะไรก็ว่าไป และลงท้ายเหมือนเดิมว่า ถ้ามีประสบการณ์จะรับพิจารณาเป็นพิเศษ

ไม่ก็พนักงานขายหน้าร้าน ไม่จำกัดวุฒิ หากมีประสบการณ์ตรงจะรับพิจารณาเป็นพิเศษ

อุ๊ๆๆๆๆ เอาล่ะสิ

อ่านไปก็นึกไปว่า แล้วแบบนี้เด็กจบใหม่ อย่างฉันจะได้งานกับใครเขาหรือเปล่า ฉันพึ่งจบปริญญาตรีจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งหนึ่ง จากคณะบริหารธุรกิจ ที่ใครๆ ก็บอกว่าจบออกมาจะต้องเป็นนักบริหารที่ดี

ฉันเดินหางานจนรองเท้าส้นสูงสึกไปหลายคู่

ใครจะไปคิดล่ะคะว่างานสมัยนี้หายากหาเย็น การเรียนก็ยากเย็นแสนเข็ญอยู่แล้ว กว่าจะจบออกมาได้เลือดตาแทบกระเด็น อดตาหลับขับตานอน เวลากินไม่ได้นอน เวลานอนไม่ได้กินอยู่ถึงสี่ปี แถมยังค่าเล่าเรียนที่แพงแสนแพง ยิ่งกว่าขายวัวส่งกระบือเรียนซะอีก

“น้องคะรู้หรือเปล่าว่าที่นี่รับคนมีประสบการณ์เข้ามาทำงาน”

“รู้ค่ะ”

“รู้แล้วทำไมน้องยังจะมาสมัครเข้าทำงานที่นี่อีกล่ะค่ะ ก็น้องพึ่งจบใหม่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานเลยสักที่เดียวแถมยังไม่เคยฝึกงานที่ไหนมาก่อนด้วยแบบนี้พี่คงรับน้องเข้าทำงานไม่ได้หรอกนะคะ”

“แล้วถ้าพี่ไม่รับหนูเข้าทำงานหนูจะเอาประสบการณ์ในการทำงานมาจากไหนล่ะคะพี่”

“อ้าวนั่นมันก็เรื่องของน้องไม่เกี่ยวกับพี่แต่ตอนนี้พี่คงรับน้องเข้ามาทำงานไม่ได้หรอกนะ เพราะน้องไม่มีประสบการณ์จริงๆ”

ฉันเดินคอตกออกมาจากบริษัทแห่งนั้น ฝนก็ยังมากระหน้ำซ้ำเติม ราวกับจะตอกย้ำว่า ชาตินี้ทั้งชาติฉันก็ไม่สามารถหางานทำได้ นอกจากสายฝนที่เทกระหน่ำไม่ขาดสาย ผู้คนยังแก่งแย่งชิงกันขึ้นรถเมล์ที่แน่นไปด้วยผู้คนเหมือนห้างกำลังลดราคา แม้กระทั่งบันไดที่จะเดินขึ้นไปก็ยังมีคนห้อยโหน

ฉันเห็นภาพนั้นแล้วก็เลิกคิดที่จะเบียดเสียดขึ้นไปด้านบนรถปลากระป๋องคันนั้น

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด รถที่แล่นผ่านที่ป้ายรถเมล์ก็ดีดน้ำกระเด็นมาที่ตัวฉันจนเปียกไปหมด

เอกสารที่นำมาสมัครงานอยู่ในซองสีน้ำตาลใหญ่ก็เปียกแฉะ น้ำโคลนสีดำที่กระเซ็นมาโดนฉัน แม้จะอยากวิ่งเอารองเท้าส้นสูงของฉันไปเคาะกระจกรถที่ทำน้ำกระเด็นใส่เหล่าคนข้างถนน บริเวณป้ายรถเมล์เหลือเกินแต่ก็ทำไม่ได้

ฉันก็บ้าเหลือเกินนั่งรอรถเมล์ตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนตอนนี้เกือบสองทุ่ม รถเมล์ที่คิดว่าจะว่างก็ยังไม่ว่าง ฉันกำลังสงสัยว่ารถเมล์ที่ปล่อยออกมาจากต้นสายคงมีคนขึ้นเต็มมาตั้งแต่ออกจากอู่รถแล้วกระมัง

แล้วรถที่ไปหน้ารามจากแถวนี้ก็มีแค่สายเดียว ทำไมไม่เพิ่มอีกสักสองสามสายก็ไม่รู้ หากว่าจะขึ้นรถไปต่อรถที่อื่นก็แสนจะเสียดายเงินที่มีติดตัวอยู่น้อยนิดก็เลยต้องรอขึ้นรถเมล์ปลากระป๋องคันเดิมต่อไป

กว่าจะตัดสินใจเบียดเสียดผู้คนขึ้นไปบนรถเมล์สาย ๑๑๕ ได้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

“ชิดในหน่อยพี่ชิดในหน่อย” เสียงกระเป๋ารถเมล์ดังมาจากบริเวณประตูทางขึ้นตรงกลางรถ

ฉันอยากจะตะโกนกลับไปว่า “นี่ฉันก็ชิดกันจนจะท้องแล้ว” ก็ไม่ให้คิดแบบนั้นได้อย่างไร แต่ละคนยืนเบียดกันจนแทบจะติดเป็นปาท่องโก๋กันอยู่แล้ว

หากว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันทั้งหน้าและหลังเป็นผู้ชายทั้งหมด ฉันคงท้องและคลอดลูกบนรถไปแล้ว แต่นี่โชคดีนิดหน่อยที่ทั้งด้านหน้าด้านหลังและด้านข้างล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงทั้งนั้น การเกิดและคลอดลูกบนรถเมล์ของฉันก็เลยรอดไปไม่ได้เป็นไปตามที่คิด

รถเมล์เลี้ยวขวาไปถนนพระรามสี่ คนทั้งรถที่ยืนห้อยตัวอยู่ก็เอนไปตามแรงเหวี่ยงของรถที่ทิ้งโค้งไปตามการเลี้ยว จากนั้นคนทั้งหมดก็เด้งกลับมายืนตัวตรงเหมือนสปริงที่เด้งดึ๊ง เป็นปลากระป๋องยืดหยุน จะซิ่งกันไปไหนน้อ ถึงซิ่งไปก็ไม่ได้ช่วยให้รถที่ติดมันไปได้เร็วกว่าเดิมหรอกน่าโด่เอ๊ย

อดทนกับการขับแบบซิ่งของรถเมล์ที่ขับซิกไปแซกมา ราวกับว่ารถเมล์ที่ฉันขึ้นไปนั้นเป็นเพียงรถมอเตอร์ไซด์คันจิ๋ว พี่ท่านเล่นซ้ายทีขวาที ทั้งๆ ที่ป้ายรถเมล์ก็อยู่ไม่ไกล จากขาวสุดไปซ้ายสุด ช่างกล้าเน๊อะ ฉัลล่ะกลัวใจรถที่ตามหลังมาจริงๆ ว่าหากเกิดเบรคไม่ทันคงได้เกิดอุบัติเหตุกันบ้างในสักวัน

สภาพแวดล้อมบนรถเมล์ที่ฉันเห็นก็คือ คนแก่คนท้องเด็กๆ ต้องยืน แต่ผู้ชายที่ได้นั่งมาจากไหนก็ไม่รู้ หลับกรนน้ำลายยืด สัปหงกโอนเอนไปมา ร้อนก็ร้อน เหม็นกลิ่นเหงื่อไคลก็เหม็น แต่คุณชายทั้งหลายก็อดทนให้คนท้องคนแก่และเด็กๆ ยืน

หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างที่ฉันยืนอยู่เธอเห็นหญิงชราเดินเบียดผู้คนขึ้นมาท่าทางเดินกระย่องกระเย่ง หญิงคนนั้นไม่รอช้าลุกขึ้นและเรียกหญิงชราทันที

“ยายค่ะนั่งที่นี่ได้ค่ะ” ในใจฉันคิดว่าเธอช่างเป็นหญิงที่มีน้ำใจงามจริงๆ เพราะระหว่างทางที่หญิงชราคนนั้นพยายามที่จะเดินเข้ามาผ่านดงสุภาพบุรุษนักฝันมาหลายคน ฉันว่าคุณยายคนนั้นช่างโชคดีเมื่อเดินมาจนถึงด้านหลังรถก็มีนางฟ้าลุกให้คุณยายได้นั่งลงไป

แต่ด้วยความสูงของเธอคนนั้นทำให้ไม่สามรถที่จะยื่นมือขึ้นมาจับราวรถเมล์ที่สูงได้เธอก็เลยเลือกที่จะจับราวที่ติดอยู่กับเบาะนั่งในรถนั้นแทนการยื่นมือจับราวเป็นลิงเล่นยิมนาสติกแบบฉัน

เสียงคนคุยกันจากด้านหลังสุดของรถทำให้สมองของฉันเริ่มหลั่งสารแห่งความโมโหออกมา ก็เรื่องที่คุยเหล่านั้นจะคุยให้เบากว่านี้ก็ไม่ได้หรือไงนะ เล่นคุยหลังรถดังไปถึงหน้ารถแบบนี้

“นี่ตะเองอย่าบอกเค้านะว่าตะเองไม่ไปดูหนังกะเค้าวันเสาร์นี้” เสียงฝ่ายหญิงตัดพ้อต่อว่าฝ่ายชายที่นั่งริมหน้าต่าง ช่างเข้าใจเลือกที่นั่งจังเลยนะพ่อหนุ่ม เอาสตรีเป็นเกาะกำบังการเสียสละ นับถือๆ จริงๆ ให้ดิ้นตายสิ

“ก็เค้าไม่ว่างนะตะเอง เค้านัดเพื่อนไปเตะบอล” หุหุ เสียงฝ่ายชายที่ตอบกลับทำเอาฉันอึ้ง นี่สองคนมีนัดดูหนังแต่ฝ่ายชายสนใจลูกบอลมากกว่าหรอกหรือ

“แตะอยู่นั่นล่ะบอลมันดีตรงไหนกันนะ บอกมาเดี๋ยวนี่นะตะเองไปแตะบอลหรือไปทำประตูที่ไหน”

“ไม่มีจริงๆ นะตะเองเค้าอะรักตะเองจะตายอยู่แล้วไม่ไปนอกลู่นอกทางที่ไหนหรอกน่า อย่างี่เง่านักเลย”

“นี่มาหาว่าฉันงี่เง่าเหรองั้นไม่ต้องมาพูดกันเลยนะจะไปไหนก็ไปเลยไปอย่ามายุ่งกับฉัน” ฝ่ายหญิงแผดเสียงดังลั่นไปทั้งรถเมล์ พร้อมๆ ไปกับการทุบที่ไหล่และแขนของฝ่ายชายไม่ยั้ง แม้ฝ่ายชายจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น เพราะด้วยการเลือกที่นั่งด้านที่ติดหน้าต่างการหลบหลีกจึงทำอะไรได้ไม่มากมายนัก

“สมน้ำหน้า” ฉันได้แต่คิดในใจไม่กล้าที่จะพูดออกมาหรอกค่ะเพราะฉันก็กลัวโดนตืบอยู่เหมือนกัน

ทุกคนบนรถเมล์เริ่มหันไปมองคนคู่นั้นเป็นตาเดียวกัน ส่วนในใจฉันก็คิดอีกว่า

“ละครสดจะมาแสดงให้ดูในรถเมล์สายนี้แล้วเร็วๆ ช่วยๆ กันดูหน่อยละครดูฟรีไม่เสียค่าไฟค่าตั๋ว เร็ว เร๊ว รีบๆ ดูเข้าเร๊ว ก่อนละครจะจบฉาก”

“ก็เพราะแบบนี้นะสิถึงไม่ได้ไปดูหนัง งี่เง่าจริงๆ ด้วยแหละเฮ้อ” สมองฉันยังคิดได้เรื่อยๆ

โชคดีที่เมื่อถึงพระโขนงคนก็เริ่มลงกันจนผู้คนในรถเริ่มบางตา และนักแสดงคนเก่งในรถก็ลงที่ป้ายนี้ด้วย

“เฮ้อ...” ฉันถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก

โชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องนั่งดูละครสดช่วงโดนบังคับช่องนั้นต่อไปอีกไม่อย่างนั้นคนทั้งรถคงเกิดอยากมีส่วนร่วมลงขันตืบคนทั้งสองตามไปด้วยเพราะเริ่มอินกับบทละครที่ทยอยเล่นกันเป็นฉากๆ ของดาราเจ้าบทบาททั้งสองคน

เหลือที่นั่งที่เดียวมีคนยืนอยู่สองคน ฉันและนางฟ้าคนที่ลุกให้หญิงชราคนนั้นได้นั่ง

เราสองคนมองหน้ากันและฉันก็ส่งสายตาไปเป็นการบอกว่าให้เธอนั่งเถอะส่วนฉันขอยืนต่อเองก็แล้วกัน ไหนๆ เธอก็เสียสละให้คนแก่ได้นั่งไปแล้ว

เธอก้มหน้าน้อยๆ เป็นการขอบคุณฉัน และส่งรอยยิ้มมาให้ แค่นี้คนอย่างฉันก็ยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อเธอนั่งเรียบร้อยแล้วก็หันมาถามฉันที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่นั่งของเธอว่า

“ช่วยถือของไหมค่ะจะได้ยืนถนัดๆ”

“คะ อะไรนะคะ”

“ถามว่าช่วยถือของให้ไหมคะจะได้ยืนถนัดๆ”

“อ๋อค่ะขอบคุณค่ะ” ฉันยื่นซองเอกสารหนาเป็นนิ้วสีน้ำตาลเลอะๆ ให้เธอ และเธอก็รับไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอยังคุยกับฉันอีก

โอ้ว นางฟ้าแสนใจดี ยังมีน้ำใจถือเอกสารให้ฉันด้วย ฉันยังคงยืนไปตลอดทางจนถึงป้ายที่จะต้องลง ฉันเห็นเธอขยับและหันมาถามว่าจะนั่งไหมพร้อมกับยื่นเอกสารของฉันคืนให้

“จะลงป้ายนี้เหมือนกันค่ะ”

“อ้าวเหรอคะยืนไกลๆ แบบนี้เมื่อยแย่เลยเน๊อะๆ”

“เมื่อยเหมือนกันค่ะ แต่ก็ชินแล้ว” ฉันเห็นเจ้าชายนิทราตื่นขึ้นมาและวิ่งลงจากรถเมล์มาพร้อมๆ กับพวกฉัน

ฉันรอที่จะข้ามถนนมาอีกฝั่งโดยมีนางฟ้าเดินตามมาด้วย เป้าหมายของฉันก็คือรถสองแถวที่มีสภาพไม่แตกต่างอะไรกับรถเมล์คันที่ฉันพึ่งจะลงมา

นางฟ้าคนนั้นเดินเข้าไปยืนด้านในสุด แต่ฉันไม่ได้เดินเข้าไป เพราะความสูงเป็นข้อจำกัดในการยืนก้มคอไปตลอดทาง และแถมด้วยรองเท้าส้นสูงคู่นี่อีก ที่ทำให้ฉันตัดสินใจยืนแถวๆ บันไดทางขึ้นจะดีกว่า แม้ว่ามันจะอันตรายก็ตามเถอะ

ฉันกดกริ่งเมื่อรถสองแถวพาฉันมาถึงหอพักแถวๆ ประตูหลังราม จากนั้นก็แวะร้านเจ็ดซื้อของกินก่อนที่จะขึ้นห้อง

ตอนนี้ท้องของฉันทั้งหิวทั้งโหยอาหาร เคยได้ยินเพลง แด่น้องผู้หิวโหยไหมคะ “แต่ฉันหิว เสียงท้องร้องลั่น มีข้าวของแบ่งปันให้ท้องฉันนั่นหาย เพื่อนเดียจฉันท์ อยู่ใกล้มันน่าอายเพราะฉันเป็นโรคร้าย เป็นโรคขาดอาหาร”

ใช่ค่ะ ตอนนี้ฉันเป็นโรคขาดสารอาหารอย่างแรง เพราะเริ่มที่จะร้องโครกคราก ครืดคราด ดังลั่นจนฉันคิดว่าหากมีใครมาได้ยินเสียงท้องของฉันตอนนี้ฉันคงอายจนต้องเอาหน้ามุดท่อระบายน้ำหน้าหอพักไปแล้ว

ฉันรูดบัตรเข้าหอพักและได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขึ้นมาจากด้านหลังเมื่อประตูเข้าหอพักกำลังจะปิดลง

“รอด้วยค่ะ” ฉันเอี้ยวตัวเอามือข้างที่ว่างอยู่จับประตูไม่ให้ดีดกลับไปปิดลงเช่นเดิม

“อ้าวคุณอยู่หอนี้เหมือนกันเหรอคะ” สิ่งที่ฉันเห็นก็คือนางฟ้าใจดีคนนั้นรีบวิ่งดุ๊ดดิ๊กมาเพื่อให้ทันฉันที่ยืนคว้าประตูเอาไว้

“ขอบคุณนะค่ะ บังเอิญจังเลยที่ได้เจอคุณอีก ฉันอยู่หอนี้แหละค่ะชั้นเจ็ด”

“อ้าวจริงหรือคะเราก็ชั้นเจ็ดเหมือนกันแต่ไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน ฉันอยู่ห้อง ๗๐๑ คุณล่ะคะ” ฉันหยิบยื่นไมตรีให้กับหญิงสาวตัวเล็กๆ ตรงหน้าอย่างยินดี

“อ้าวเหรอคะฉันอยู่ห้อง ๗๐๒ ค่ะ ไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเหมือนกัน มาอยู่ใหม่หรือเปล่า”

“เปล่าค่ะฉันอยู่มาสี่ปีกว่าแล้ว”

“เอาเหมือนกันเลยนะค่ะ แหมแย่จริงๆ อยู่ที่เดียวกันห้องตรงข้ามกันแท้ๆ ไม่เคยรู้จักกันเลย”

เราสองคนมายืนอยู่หน้าลิฟท์และกดรอเพื่อไปยังสถานที่เดียวกันแต่คนละปีกของตึก

“นั่นสิชีวิตคนเมืองก็แบบนี้เน๊อะไม่เคยพูดจากับคนแปลกหน้า ที่ถ้าไม่บังเอิญได้พบกันบนรถเมล์เราสองคนก็คงไม่รู้จักกัน อะลิฟท์มาแล้วไปเถอะค่ะฉัวหิวแล้วก็เหนื่อยจะแย่แล้ว” ฉันกดลิฟท์ให้ค้างประตูไว้และให้เธอเดินเข้าไปก่อน

ไม่ต้องบอกว่าอยู่ชั้นไหน เพราะเราสองคนอยู่ชั้นเดียวกัน ไม่ต้องบอกว่าเลี้ยวทางไหนเพราะเราสองคนอยู่ห้องตรงข้ามกัน เราแยกทางกันตรงหน้าห้องเช่า และเข้ามาในห้องของตัวเอง ฉันรีบอาบน้ำเพราะเหนียวตัวจนอยากจะโดดลงอ่างแช่น้ำ แต่ที่หอแห่งนี้ไม่มีแม้กระทั่งถังรองน้ำ ทุกอย่างเปิดจากก๊อก

น้ำฝักบัวไหลผ่านเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะของฉันชำระล้างเหงื่อไคลที่ไหลย้อยมาตั้งแต่เช้า ยามนี้ใต้สายน้ำที่ฉ่ำเย็นฉันไม่รีบร้อนอะไรปล่อยตัวตามสบายไปกับสายน้ำกลิ่นแชมพู และกลิ่นสบู่หอมได้ใจจริงๆ

เสร็จจากการอาบน้ำก็คือการจัดการกับอาหารที่ได้ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ ชีวิตคนเมืองกรุงทุกอย่างหาได้ด้วยเงิน

หลังอาหารแม้ว่าจะเหนื่อยอย่างไรก็นอนไม่หลับ ฉันเปิดคอมพิวเตอร์และเข้าเวปที่ฉันเคยเข้าเป็นประจำ ยามเหงาฉันมีคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าๆ ของฉันเป็นเพื่อนตลอดเวลา ทั้งเล่นเกมส์ ดูทีวีผ่านอินเตอร์เนทและหาอะไรมีสาระและไม่มีสาระอ่านไปเรื่อยๆ

ฉันกวาดสายตาไปทั่วเวปที่เคยชิน และสายตาก็มาสะดุดกับข้อความหนึ่งที่โพสไว้ว่า

“เลสขี้เหงาไม่เคยมีประสบการณ์อยากหาเพื่อนคุย” แถมยังมีอีแมวแปะทิ้งท้ายไว้ให้

“อะแบบนี้ต้องคุยด้วยหน่อยแล้ว” ฉันรู้สึกฮึกเหิมที่จะลอง Add เธอไป เพราะคำว่าอะไรนะเหรอ ก็คำนี้ไง “ไม่มีประสบการณ์” คำๆ นี้ทำฉันแห้วจากงานที่ไปสมัครมาแล้วเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา

และเธอก็รับ Add ฉันอย่างง่ายดาย

“ตายแล้วแม่คนนี้ใจง่ายจริงๆ เลยวุ้ย จะโดนหลอกหรือเปล่าหว่าว่า “ไม่มีประสบการณ์” ฉันบ่นกับตัวเอง

และแอบขำที่เธอคนนั้นซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ขึ้นหัว MSN ว่า “คนไร้ประสบการณ์”

“เอาวะเป็นไงเป็นกัน” ฉันพูดกับตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะบรรจงเคาะนิ้วลงไปบนแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้า

“สวัสดีค่ะ เราชื่อเอส ขอ Add คุณไว้นะคะเป็นเพื่อนคุยยามเหงา เพราะเราก็ไร้ประสบการณ์เช่นกัน” ข้อความของฉันถูกส่งไปด้วยการกด Enter

จากนั้นก็ได้รับข้อความส่งกลับมาว่า

“ยินดีเช่นกันค่ะ เพราะฉันเองก็เหงาเหลือเกิน ฉันชื่อวาย”

เราสองคุนคุยกันจนเกือบจะรุ่งสาง ทั้งๆ ที่เมื่อวานฉันเหนื่อยจนแทบจะสลบ แต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมถึงได้คุยกับคนแปลกหน้าได้มากมายและมาราทอนขนาดนี้ หรือแพราะเธอเป็นคนแปลกหน้าสำหรับฉันและฉันเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ เราสองคนจึงได้คุยกันโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย

เธอถามฉันว่าฉันรู้ได้อย่างไรว่าชอบผู้หญิง ซึ่งมันเป็นคำถามที่ฉันเองก็ตอบไม่ได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน จนเรียนจบและหางานฉันก็ยังไม่เคยมีแฟนกับใครๆ เขาสักที

เมื่อฉันถามกลับเธอเองก็ตอบฉันไม่ได้เช่นกัน เธอบอกแค่เพียงว่า

“เรารู้สึกดีเมื่ออยู่ใกล้ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย” คำตอบของเธอมันเหมือนฉัน

ฉันเล่าให้เธอฟังถึงการเดินทางเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมาจากนั้นก็เล่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟังจนหมด แต่ไม่ได้เล่าว่าฉันอยู่หอพักเดียวกับนางฟ้าคนนั้น

เธอบอกฉันว่าเธอเองก็เจอเหตุการณ์แบบที่ฉันเจอมาเช่นเดียวกัน จากนั้นฉันก็บ่นว่าเหนื่อยอยากพักสายตา เธอก็บอกว่าให้ฉันออกมายืนที่หน้าระเบียงห้องสิจะได้มองออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าเพราะเธอเองก็กำลังจะออกไปดูเช่นเดียวกัน

จากนั้นการสนทนาของเราทั้งสองก็จบลงแต่ฉันยังไม่ได้ปิด MSN ของฉันแต่อย่างใด ฉันทำตามที่เธอบอกอย่างว่าง่ายเดินไปที่ระเบียงหลังห้องมองหาพระอาทิตย์ แต่ก็มองไม่เห็นเพราะพระอาทิตย์ขึ้นด้านที่เป็นผนังห้องของฉันพอดี ครั้นจะชะโงกหน้าออกดูก็เกรงใจตัวเองกลัวจะตกจากชึ้นเจ็ดลงไปตาย

ฉันตัดสินใจเปิดประตูเพื่อที่จะเดินออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าตรงบันไดหนีไฟบริเวณทางเดิน แต่ก็ต้องตกใจเพราะนางฟ้าของฉันก็เปิดประตูออกมาเกือบจะพร้อมๆ กัน

“อ้าวคุณ” เราทั้งคู่อุทานเป็นเสียงเดียวกัน

“ตื่นเช้าจังนะค่ะ” ฉันทักทายเธอ

“ยังไม่ได้นอนต่างหากค่ะกำลังจะไปไหนคะ” เธอตอบฉันและมองฉันที่ใส่ชุดนอนขาสั้นเสื้อแขนกุด

“จะออกมาดูพระอาทิตย์ตอนเช้าค่ะ เพื่อนบอกว่าให้ลองออกมาดูพระอาทิตย์ตอนเช้าบ้างจะได้สบายตา”

“เหรอค่ะ เพื่อนฉันก็บอกเหมือนกันก็เลยออกมาดู ดีจังเช้านี้มีเพื่อนดูพระอาทิตย์ด้วย”

จากนั้นเราสองคนก็ยืนดูพระอาทิตย์ด้วยกันแบบไร้เสียงพูดคุย จนแสงของพระอาทิตย์แก่กล้าเกินกว่าที่จะมองเราทั้งคู่ก็เดินกลับห้องของตัวเอง

ฉันยังเห็นเพื่อนใหม่ On MSN อยู่ก็เลยทักกลับไปว่า

“ยังไม่นอนอีกหรือ”

“พึ่งกลับเข้ามาไปดูพระอาทิตย์แบบที่บอกกับคุณ”

“เหมือนกันเลยเราก็พึ่งกลับเข้ามาเหมือนกัน แต่คิดว่าจะไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะ”

“ต้องอรุณสวสดิ์สิคะ ตอนนี้เช้าแล้ว ราตรีไปเที่ยวไหนแล้วก็ไม่รู้”

“ค่ะงั้นอรุณสวัสดิ์กับเช้าวันไหม บั๊บบาย”

เราสองคนล่ำลากันเรียบร้อยฉันก็ปิดคอมและล้มตัวลงนอนจากนั้นต่อให้พระอาทิตย์จะเคลื่อนคล้อยไปทิศทางไหน ฉันก็ไม่สนเพราะแบตฉันหมดไปแล้วไม่มีทางที่จะเปิดเครื่องขึ้นมาได้อีกหากไม่ได้หลับแบบสบายๆ อย่างในตอนนี้

………………….


จากนั้นฉันกับสาวขี้เหงาก็คุยกันมาเรื่อยๆ ในทุกๆ วันประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ แต่เราก็ไม่ได้คุยกันจนเช้าเหมือนที่เคยคุยในครั้งแรก ยกเว้นว่าจะเป็นวันหยุด เพราะว่าบางวันฉันก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปสมัครงาน บางวันเธอก็บอกว่าเธอไม่ว่างติดธุระ

ฉันบอกกับเธอว่าฉันได้งานทำแล้วบริษัทอยู่ในซอยแถวๆ หน้าราม เธอร่วมแสดงความยินดีกับฉันแต่ฉันก็ไม่ได้ยินดีกับงานนี้เท่าไหร่นัก เพราะเงินเดือนที่แสนจะน้อยนิดที่ฉันได้รับมันน้อยกว่าที่พ่อกับแม่ส่งให้ฉันใช้ตอนเรียนเสียอีก

เมื่อนำมาจ่ายค่าเช่าหอ ค่ารถเมล์แล้ว วันหนึ่งๆ ฉันมีเงินใช้เฉพาะค่าข้าวกับค่าขนมอีกนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แต่ที่ฉันต้องทนทำงานนี้ไปเรื่อยๆ เพราะต้องการหาประสบการณ์ในการทำงาน

หากมีบริษัทไหนมาถามฉันอีกว่าฉันเคยทำงานที่ไหนมากอนหรือเปล่าฉันจะได้ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า “เคยค่ะ”

เธอกับฉันเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่า คนที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่เคยพูดคุยกันแบบได้ยินเสียง ไม่เคยเห็นหน้ากับแบบตัวเป็นๆ ทำไมถึงได้รู้สึกสนิทใจที่จะพูดคุยกัน

เราสองคนไม่เคยที่จะขอเบอร์โทร ไม่เคยที่จะถามว่าชื่อจริงๆ ของเราคืออะไร มีเพียงความห่วงกันผ่านการสื่อสารบนอิตเตอร์เนทเท่านั้น

เธอให้ฉันเข้าไปอ่านนิยายหลายๆ เรื่องที่เธอชอบอ่าน แนะนำหนังสือดีๆ ที่เธอซื้อมาอ่านแล้ว ส่งรูปสถานที่ท่องเที่ยวที่เธอไปเที่ยวมาให้ฉันดู

เราสองคนคบกันแบบเพลงที่บอกว่า “ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ” มาเป็นเวลาสองปี ตอนนี้ฉันเปลี่ยนงานใหม่ ได้งานที่ไกลจากหอพักและฉันก็คิดว่าฉันคงต้องย้ายหอพักตามที่ทำงาน การเช่าที่อยู่มันก็ง่ายที่จะย้ายไปไหนต่อไหน เมื่อเราไม่ต้องการที่จะอยู่

ฉันแวะไปบอกนางฟ้าว่าฉันจะย้ายหอแล้วเพราะได้งานใหม่ที่ไกลจากหอพักแห่งนี้มากๆ ฉันไม่อยากเดินทางไกลๆ เพราะเข็ดที่จะต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนและแย่งกันเพื่อขึ้นรถเมล์ เธอบอกว่าดีใจด้วยที่ฉันได้งานใหม่

“ดีใจด้วยนะ ที่ได้งานใหม่ เราไปหาอะไรกินกันก่อนไหมก๋วยเตี๋ยวหน้าหอก็อร่อยดีนะเราเลี้ยงเธอเอง”

“ไม่ต้องหรอกอเมริกันแชร์ดีกว่า เกรงใจ” ฉันบอกกับนางฟ้าและเราสองคนก็ลงไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่หน้าหอ เป็นแค่เพียงการกินข้าวกันเท่านั้นสำหรับฉันและนางฟ้า

เพราะใจของฉันมีเพียงเธอที่รอฉันเพื่อที่จะคุย MSN เท่านั้น

แปลกแต่จริง

กับคนที่สามารถจับต้องได้ฉันกลับไม่เผลอใจให้กับนางฟ้า เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะฉันไม่รู้ว่านางฟ้าจะชอบผู้หญิงแบบฉันบ้างหรือเปล่า ฉันไม่อยากหน้าแตก เพราะฉันกลัวที่จะต้องเปิดตัวเองให้ใครต่อใครรู้ว่าฉันมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน

ทางเดียวที่ฉันจะบอกกับใครๆ ให้รู้ได้ก็คือ เวปที่เกี่ยวกับหญิงรักหญิง เมื่ออยู่ในโลกออนไลน์และเป็นกลุ่มคนที่เป็นพวกเดียวัน ฉันกล้าที่จะเปิดใจมากขึ้นกว่าเดิม ฉันเริ่มคุยกับวายมากขึ้น ฉันไม่รู้หรอกว่าชื่อ วาย เป็นชื่อจริงหรือชื่อที่เธออุปโหลกขึ้นมา เพราะฉันเองก็ใช้ชื่อในโลกออนไลน์นั้นว่า เอส เช่นกัน

นางฟ้าจับไหล่ของฉันเขย่า

“สุ สุ ได้ยินที่เราพูดหรือเปล่า” ฉันสะดุ้งสุดตัว

“วะ ว่าอะไรนะหยุม” ฉันถามกลับเพราะว่าฉันมัวแต่คิดถึงวายไม่ได้ฟังที่หยุมพูดกับฉัน

“เราถามว่าสุจะกินอะไรอีกหรือเปล่าไม่กินเราจะกลับขึ้นห้องแล้ว”

“อ๋อ ไม่กินแล้ว ปะจ่ายเงินแล้วกลับห้องกัน” ฉันบอกกับนางฟ้าแล้วเราสองคนก็จ่ายเงินกลับขึ้นห้อง

“เราช่วยเก็บของย้ายหอเอามะ” นางฟ้าบอกฉัน

“เอาสิ” ฉันยอมรับไมตรีจากนางฟ้าทันทีเหมือนกัน เพราะฉันเองมีเวลาที่จะเก็บของไม่นานมากนัก ฉันกลับมาเปิดประตูห้องของตัวเองที่รกรุงรังไปหมด เนื่องจากฉันวางกล่องพลาสติกใบใหญ่สหรับเก็บของไว้ระเกะระกะไปหมด

“รกจังเลยเน๊อะ” นางฟ้าเห็นห้องฉันแล้วบ่นลอยๆ

“ก็ใช่นะสิไม่คิดว่าจะรกแบบนี้ แต่ก็อย่างว่านะอยู่มีตั้งเกือบเจ็ดปี ของมันก็เริ่มมากขึ้นๆ ตอนแรกที่เราเก็บของนะ อันนี้ก็อยากเก็บไว้ อันโน้นก็อยากเก็บไว้ ตอนนี้เลยยังตัดใจทิ้งอะไรไม่ได้สักที”

“อย่าว่าแต่ห้องสุเลย ห้องเราถ้าต้องย้ายหอก็คงรกแบบห้องสุเหมือนกัน”

“เหรอนั่นสินะ ตั้งแต่เรารู้จักกันมาเราไม่เคยเข้าห้องหยุมเลยสักครั้งเดียว”

“มันก็ไม่ต่างอะไรกับห้องของสุหรอกรกเหมือนกันนั่นล่ะ”

“งั้นเราขอไปดูห้องรกๆ ของหยุมหน่อยสิอยากรู้เหมือนกันว่ารกแบบห้องเราหรือเปล่า” ฉันหันไปมองห้องรกๆ ของตัวเองแล้วก็ถอนใจ

“งั้นเราเก็บของให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าแล้วคืนนี้สุไปนอนห้องเรา รกแบบนี้คงนอนไม่ได้หรอกนะ” นางฟ้าเสนอและฉันก็คิดว่าคืนนี้ฉันคงนอนห้องนี้ไม่ได้จริงๆ อย่างที่เธอบอก

“คอมจะเก็บเลยหรือเปล่า” นางฟ้าถามฉัน

“ยังก่อน เราจะออนเอ็มรอเพื่อน”

“อ๋อเหรอ คงเป็นเพื่อนที่สำคัญมากๆ เลยนะ”

“ใช่เพื่อนคนสำคัญของเรา”

“งั้นเก็บของอย่างอื่นก่อนก็แล้วกันนะจะทำอะไรก็ตามสบายเถอะ”

จากนั้นฉันก็ไปเปิดเครื่องคอมเพื่อที่จะรอ วายมาออนเอ็มเพราะฉันจะรอบอกวายว่าฉันจะย้ายหอพักแล้ว แต่รออย่างไรวายก็ไม่มาออน จนฉันเก็บข้าวของทั้งหมดลงกล่องพลาสติกที่ซื้อมาเพื่อเก็บข้าวของสำคัญ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหนังสือหนักๆ จากชั้นวางหนังสือของฉัน กับเสื้อผ้าจากในตู้เสื้อผ้า

มันยังมีชุดนักศึกษาของฉันและชุดครุยที่ฉันตัดสินใจตัดแทนที่จะเช่า เพราะฉันคิดว่าเก็บไว้จะดีกว่า มันคงเป็นความทรงจำที่ฉันจะจำไปตลอดชีวิต

ฉันเก็บเสื้อผ้าลงกล่องแล้วก็นั่งพักอยู่ครู่ใหญ่

“เหนื่อยเลยสิท่า ไปอาบน้ำก่อนปะแล้วไปนอนห้องเราได้แล้ว”

“ก็ดีเหมือนกันเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้วตอนนี้” ฉันบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบออกจากร่างกายและหันมองไปที่เครื่องคอม พยายามมองว่ามีแถบสีเหลืองๆ ส้มๆ ของการทักทายจากการคุย MSN จากวายหรือไม่ แต่ก็ไร้วี่แวว

“งั้นเดี๋ยวไปเคาะประตูห้องเราก็แล้วกันนะ” นางฟ้าบอกกับฉันและเดินออกไปจากห้องของฉันกลับไปที่ห้องของเธอ

ฉันทำธุระของตัวเองเสร็จแล้วก็ปิดประตูห้องตัวเองเคาะประตูห้องของนางฟ้า

“ก๊อกๆๆ”

นางฟ้าเปิดประตูรับฉันเธอคงอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

“เร็วเหมือนกันนะสุ วิ่งผ่านน้ำหรือว่าอาบน้ำกันนี่”

“อาบน้ำสิ ไม่เชื่อดมดูสิว่าหอมรึเปล่า” ฉันยกแขนข้างหนึ่งให้กับนางฟ้าดม

“แหวะ นี่เหรออาบน้ำแล้ว ยังเหม็นอยู่เลย”

“จริงดิ ไม่มั๊ง” ฉันยกแขนข้างที่ยื่นให้นางฟ้าดมขึ้นมาดมซ้ำ

“ก็หอมดีนี่”

“อิอิแค่นี้ก็เชื่อนะสุ หลอกง่ายจริงๆ เลย”

“อ้าวเป็นงั้นไป”

“เข้าห้องเถอะเปิดประตูไว้แบบนี้ยุงเข้ามาหามคืนนี้แน่ๆ เลย” นางฟ้าเร่งฉันให้เข้าไปในห้องของเธอ

“แล้วพรุ่งนี้นัดรถมาเอาของกี่โมง”

“เก้าโมงเช้า”

“เร็วจังเราคงกลับจากทำงานไม่ทันงั้นคงต้องลากันคืนนี้เลยแล้วกันเน๊อะ เพราะพรุ่งนี้เราคงไม่ได้ส่งสุ”

“ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้ก็ขอบใจมากๆ แล้ว”

“เราเพื่อนกันนะสุ เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ”

“นั่นสิเน๊อะ เราเพื่อนกันนี่เน๊อะ” จากคำที่นางฟ้าบอกฉัน นั่นเป็นการแสดงให้ฉันได้รับรู้แล้วว่า นางฟ้าไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับฉัน เหมือนที่ฉันนั้นเคยคิดอะไรเกินเลยกับเธอ

ช่างโชคดีที่ฉันไม่ได้ปล่อยไก่ทั้งเล้า จะบอกเธอว่าฉันชอบเธอ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงอับอายขายหน้า จนมองหน้านางฟ้าไม่ติดอย่างแน่นอน

ห้องของนางฟ้าไม่ได้รกอย่างที่เธอบอกฉัน ห้องของเธอเรียบร้อยกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ด้วยขนาดห้องสี่เมตรคูณสี่เมตร ที่เหมือนๆ กันกับห้องฉัน หนังสือมากมายจัดเป็นระเบียบอยู่บนชั้นวาง นางฟ้าคงชอบอ่านหนังสือเอามากๆ เพราะฉันสังเกตได้ว่าหนังสือบนชั้นวางมีหนังสือที่หลากหลาย

ทั้งนิยายแนวต่างๆ มากมาย หนังสือเกี่ยวกับสารคดีท่องเที่ยว หนังสือเบาสมองเช่นการ์ตูน แถมยังมีหนังสือแนวหนักๆ พวกวิชาการปะปนอยู่ด้วย

“หยุมชอบอ่านหนังสือเหมือนกันเน๊อะ”

“อืมเราชอบอ่านหนังสือ มันทำให้เรามีความรู้ใหม่ๆ มีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น ที่ไหนที่เราไม่เคยไป เราก็ไปได้ด้วยการอ่าน อะไรที่เราไม่เคยรู้ก็รู้ได้จากการอ่าน สุลองอ่านหนังสือของเราบ้างไหม” นางฟ้ากำลังจะหยิบหนังสือที่ชั้นวางหนังสือของเธอมาให้ฉัน

“ไม่เอาหรอกคราวที่แล้วเราไปงานสัปดาห์หนังสือซื้อมาเยอะไปหมดเรายังอ่านไม่จบเลย”

“เหรอ เสียดายนะถ้าเราสองคนมาแลกหนังสือกันอ่านคงไม่ต้องเสียเงินค่าหนังสือเยอะๆ แบบนี้หรอก”

“อืมนั่นสิ เราดูๆ แล้วหนังสือของหยุมซ้ำกับที่เราซื้อหลายเล่มอยู่เหมือนกัน”

“ใช่ตอนที่เราช่วยสุเก็บหนังสือ เราก็จะพูดเหมือนกันว่าหนังสือของเราสองคนซ้ำกัน โอ๊ยจะตีสองแล้วนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราตื่นสาย” นางฟ้าเห็นนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะคอมของเธอแล้วก็พูดขึ้น

“โอเคงั้นฝันดีนะหยุม”

“ฝันดีสุ”

ฉันนอนหลับในห้องของนางฟ้าและฝันดีถึงวายของฉันทั้งคืน ทั้งๆ ที่คืนนี้ไม่ได้มาการสนทนาของฉันกับวาย

ในความฝันกลิ่นหอมของวายยังติดอยู่ที่ปลายจมูกของฉัน ฝันที่เหมือนจริงราวกับวายมาอยู่ใกล้ๆ ฉัน แต่ความฝันก็ต้องสะดุดลงเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกของหยุมดังขึ้น ฉันรู้สึกขัดใจเมื่อฝันหวานนั้นสะดุดลงโดยไม่สามารถที่จะต่อความฝันนั้นติด

“สุเราจะไปทำงานแล้วนะถ้าสุออกจากห้องเราล๊อคประตูให้เราด้วยนะ โชคดีนะเพื่อน” ฉันได้ยินเสียงของหยุมบอกฉันเมื่อเธอกำลังจะออกจากห้องไปทำงาน

“อือ” ฉันครางตอบกลับไปด้วยความรู้สึกง่วงและเสียดายความฝันของฉัน

...............

กว่ารถที่ฉันจ้างวานไว้มารับฉันก็ปาเข้าไปเกือบๆ จะสิบโมงเช้า

“ทำไมมาช้าจังพี่” ฉันต่อว่าคนขับรถและลูกน้องของเขา

“โทษทีน้องพอดีรถพี่ยางแตกไม่รู้ใครเอาแผ่นเหล็กมาปิดท่อไว้พอขับไปทับยางก็เลยแตก กว่าจะเปลี่ยนล้อเสร็จก็นานโข”

“อืมค่ะพี่ งั้นเร็วๆ หน่อยแล้วกันพี่เจ้าของหอบอกว่าจะมีคนเข้าใหม่ย้ายมาอยู่ตอนบ่ายๆ เดี๋ยวหนูโดนเจ้เจ้าของหอว่าเอา”

“ครับๆ เฮ้ยเอ็งไปช่วยน้องเค้ายกของเอารถเข็นไปด้วยเร็วเข้า” พี่เจ้าของรถเร่งลูกน้องให้รีบๆ ช่วยกันขนของจากห้องของฉัน

ฉันยืนมองห้องเก่าที่ว่างเปล่ารู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องจากห้องแห่งนี้ไป แม้มันจะเป็นเพียงห้องเช่า แต่ฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับมัน อยู่จนเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่ต้องเปิดไฟ เข้าห้องโดยไม่ต้องมองทาง เพราะความเคยชินที่ฉันสร้างขึ้นเองกับห้องเช่าแห่งนี้

หอพักแห่งใหม่อยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฟ้า เพราะฉันกะเอาไว้ว่าไปไหนมาไหนด้วยรถไฟฟ้าคงสะดวกและรวดเร็วกว่าการไปยืนรอรถเมล์เพื่อที่จะเดินทางเพราะรถเมล์มาไม่เป็นเวลา และคาดเดาไม่ได้ว่ารถจะติดมากน้อยแค่ไหน

ที่ทำงานใหม่ของฉันอยู่ห่างไปแค่เพียงสองสถานีรถไฟฟ้าค่าเดินทางเที่ยวละยี่สิบบาท ไม่มากไม่มายเมื่อคิดว่าฉันสามารถที่จะเดินทางเพียง สี่นาที รวมๆ แล้วฉันตื่นสายได้ ทำงานแปดโมงตื่นเจ็ดโมงทันเหลือแหล่ เงินซื้อความสะดวกสบายให้ฉัน

ฉันได้เข้าทำงานที่ใหม่ ได้เงินเดือนมากว่าเดิมเกือบสองเท่า เพียงเพราะฉันมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น ฉันคิดว่าการมีประสบการณ์ก็ดีแบบนี้นี่เอง ทำให้ฉันมีเงินเพิ่มขึ้น ได้ย้ายที่อยู่ใหม่ มีสังคมใหม่ๆ

แต่ฉันกับวายก็ยังคงติดต่อกันเหมือนเดิม เราเริ่มส่งโปสการ์ดให้กันโดยส่งไปที่บริษัทของเราทั้งคู่ เหมือนๆ พวกเราจะไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเรา

ฉันกับนางฟ้านัดกินข้าวเย็นกันที่สยาม เพราะเธอบอกว่าวันนี้เธอมาพบลูกค้าแถวนั้น ลูกค้าของนางฟ้าทำงานอยู่แถวๆ สีลม การเดินทางมาก็เลยไม่ยากเย็นเพราะเดินทางมาด้วยวิธีขึ้นรถไฟฟ้าแบบที่ฉันทำ

ฉันไม่ลังเลที่จะไปพบกับนางฟ้า เพราะเราไม่ได้พบกันมานานหลายเดือน แถมพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดของเราทั้งสองคนจะกลับดึกไปสักนิดก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร

จะว่าไปนางฟ้าเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีอยู่ในชีวิตจริง เพราะเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันต่างแยกย้ายกันไปจนตอนนี้ติดต่อกันไม่ได้แล้ว

บางคนไปเรียนต่อเมืองนอกบางคนไปแต่งงานมีครอบครัว กับบางคนก็กลับบ้านเดิม เพื่อนของฉันส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่แปลกอะไรเลยที่เมื่อเรียนจบก็ต้องกลับไปช่วยงานครอบครัวที่บ้านและพวกเราก็ห่างกันไปโดยปริยาย

“ผอมลงไปหรือเปล่าหยุม” ฉันทักนางฟ้าเมื่อเราได้เจอหน้ากันหน้าศูนย์การค้าไฮโซแถวๆ สยาม

“คงไม่มั๊งน้ำหนักเท่าเดิม คงเพราะเราทำผมทรงใหม่หรือเปล่า แต่สุไม่เปลี่ยนเลยนะเหมือนเดิมเลย ขาวขึ้นนิดหน่อย”

“เหรอ เราว่าเราก็เหมือนเดิมแหละ ผมยาวกว่าเก่านิดหน่อยไม่มีเวลาไปตัดผมเลย งานเราเยอะมาก”

“งานเยอะก็ดีแล้วจะได้ไม่มีเวลาฟุ้งซ่าน” นางฟ้าว่า

“ก็จริงนะตั้งแต่ทำงานเยอะๆ ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอะไรเลย”

“ทำงานเยอะๆ แบบนี้เงินก็เยอะตามไปด้วย อย่าคิดมากเลย”

“มันก็ดีตรงที่เรามีเงินโอที แต่ที่ไม่ดีก็คือไม่มีเวลาหายใจ”

“อย่าบอกนะว่าจนป่านนี้ยังไม่มีใครมาจีบ” นางฟ้าพูดติดหัวเราะ

“แหะๆๆ ก็ยังนะสิ มีเวลาไปมองใครที่ไหนเล่าหยุมก็ แล้วหยุมล่ะมีใครมาจีบบ้างหรือยัง” ฉันถามกลับบ้าง

“อุ้ยหยาบคาย มาพูดแบบนี้เดี๋ยวก็โดนสวนกลับหรอก มีสิเรานะมีคนมาจีบแต่เราไม่แน่ใจเพราะเราสองคนคุยกันทางอินเตอร์เนท”

“โอ้วผู้ชายคนไหนนะที่กล้าจีบหยุมทางอินเตอร์เนท”

“นั่นสิเน๊อะ ไม่กลัวโดนเราหลอกบ้างหรือไงก็ไม่รู้” นางฟ้าพูดไปก็หัวเราะไปจนฉันคิดว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นเรื่องล้อเล่น

“หิวหรือยัง” ฉันตัดบทนางฟ้าเพราะตอนนี้ท้องของฉันเริ่มร้องโครกคราก

เราสองคนเดินเข้าไปหาร้านอาหารแปลกๆ ที่เราเองก็ไม่เคยที่จะเข้ามากิน เพราะเมื่อเห็นราคาก็แทบสลบ อาหารแต่ละจานดูเหมือนไม่แพงแต่ก็แพงแสนแพง เมื่อเที่ยบกับร้านอาหารทั่วไปที่อยู่ด้านนอกห้างไฮโซแห่งนี้

“แพงเน๊อะ” นางฟ้าบอกฉันเมื่อเธออ่านเมนูอาหารในมือ

“ไม่เป็นไรเราเลี้ยงเอง” ฉันบอกกับนางฟ้า

“ไม่หรอกเหมือนเดิมดีกว่าแชร์กันสบายใจกว่ากันเยอะ”

“โอเคได้เลยหยุม จะได้สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย” จากนั้นเราก็สั่งอาหารมากิน และพูดคุยเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับที่ทำงานของเราเอง เมื่อกินเสร็จฉันชวนเธอไปดูหนังสือ

ฉันเห็นโปสการ์ดและยืนมองดูอยู่นาน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อมาสองใบ

ฉันไปจ่ายเงินและยืนรอนางฟ้าอยู่ที่หน้าร้าน ฆ่าเวลาด้วยการเขียนโปสการ์ดใบหนึ่งให้กับนางฟ้า

“ให้หยุมเป็นที่ระลึกการมากินข้าวในห้างไฮโซที่แพงแสนแพง
จาก
สุ”

ฉันยืนโปสการ์ดใบที่เขียนให้นางฟ้าเรียบร้อยแล้วให้กับเธอ

“อะเราให้เป็นที่ระลึก” นางฟ้ารับโปสการ์ดแผ่นนั้นไปและมองดูรูป

“เราซื้อมาสองใบ ใบนึงให้หยุมอีกใบเราจะส่งให้เพื่อนเรา”

“ขอบใจนะ” แต่เมื่อนางฟ้าพลิกไปอ่านข้อความด้านหลังที่ฉันเขียนให้เธอก็หน้าซีดลงจนฉันสังเกตเห็น

“หยุมเป็นอะไร” ฉันเข้าไปประคองเธอและถามเพราะคิดว่านางฟ้ากำลังจะเป็นลม

“เราไม่เป็นอะไรเอส” ชื่อที่เธอเรียกฉันเปลี่ยนไป แต่ฉันเองต่างหากที่สะดุ้งกับชื่อที่เธอเรียก

“เมื่อกี้หยุมเรียกเราว่าอะไรนะ” ฉันถามกลับ

“เอส สุคือเอสใช่ไหม” คำถามของเธอทำให้ฉันตกใจอีกครั้ง

“หยุมรู้ได้ไงว่าชื่อเราคือเอส”

“ก็ตัวหนังสือของสุ ลายมือของสุมันเป็นสิ่งที่เราคุ้นตามากที่สุด”

“อะไรนะอย่าบอกนะว่าหยุมก็คือ...”

“ใช่เราคือวาย คนที่คุย MSN กับเอสมาเกือบสามปี”

คำตอบของนางฟ้าทำเอาฉันอึ้งไปพักใหญ่ วาย คนที่ฉันเฝ้าฝันหามานานก็คือเพื่อนสนิทคนเดียวของฉันหรอกหรือ

“ทำไมเราไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยว่าหยุมคือวาย” ฉันพูดเหมือนเพ้อกับตัวเอง

“ใช่ทำไมเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเอสคือสุ” นางฟ้าก็ดูท่าทางไม่ได้แตกต่างจากฉันเช่นกัน

เราสองคนยืนมองหน้ากันอยู่ที่หน้าร้านหนังสือ

“ใกล้เกลือกินด่างกันจริงๆ เลยเน๊อะเราสองคน” ฉันพูดติดหัวเราะกับนางฟ้า

“นั่นสินะ”

“ไปเที่ยวผับต่อกันมะหยุม เค้าว่าแถวๆ หลังสวนมีผับเลสอยู่ที่นึง เราอยากไปมานานแล้วแต่เราไม่กล้าเพราะไม่มีเพื่อนไป ไหนๆ หยุมก็เผยตัวเองแล้วเราไปเที่ยวกันดีกว่า” ฉันจุดประกายความคิดนี้ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้

“ไปสิไหนๆ เราก็เปิดตัวกันแล้วไปไหนไปกัน” นางฟ้าตอบตกลงในทันทีเช่นกัน

จากนั้นเราสองคนก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ร้านเป้าหมาย แต่รู้สึกว่าเราสองคนมาเร็วเกินไป ข้าวก็กินมาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราสั่งมาก็คือเบียร์ขวดเล็กๆ และเมื่อมีกระแสของน้ำเมาอยู่ในเลือดแล้วเราก็กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น เครื่องดื่มที่เป็นเพียงแค่ดีกรีน้อยๆ ก็กลายมาเป็นดีกรีที่แรงขึ้นกว่าเดิม

เราลุกยืนเต้นข้างๆ โต๊ะเมื่อมีวงดนตรีหญิงล้วนออกมาแสดง แถมยังเกาะคอกันเต้นอยู่สองคน การมาผับแห่งนี้จะว่าดีก็ดีค่ะ ที่ดีก็คือไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ชายคนไหนมาเจ๊าะเจ๊ะ แต่สิ่งที่ไม่ได้แตกต่างกันก็คือมีสาวๆ มาเกาะแกะเราสองคนแทน ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกนะคะ ชอบแต่ไม่อยากกระโต๊กกระต๊าก (อิอิ)

กว่าผับจะปิดเราสองคนก็เมาดาวกระจายอ๊วกกระเจิงกันทั้งคู่

“ทามมายโลกมานหนุนแบบนี้อะสุ”

“น่านเซ่ทามมายมานหนุนๆ ติ้วๆ แบบนี้อ้า”

ก่อนที่สติทั้งหมดของฉันจะหมดลงฉันเรียกแท็กซี่เพื่อพาเราสองคนกลับไปที่หอของฉัน เพราะฉันคิดอะไรไม่ออกสมองที่มีน้ำเมาอยู่ด้วยช่างมึนจนไม่สามารถคิดอะไรออกจริงๆ

แท๊กซี่พาฉันและนางฟ้ามาที่หอพัก เราสองคนกอดคอกันเดินเซไปเซมาขึ้นไปพักที่ห้องของฉัน

“หยุมเข้าห้องน้ำก่อนหรือเปล่า”

“อืมม์” เสียงเธอตอบแบบเมาจนไม่ได้สติ ส่วนฉันเข้าห้องน้ำไปเอาของเก่าออกมาจนหมดใส้หมดพุงแล้วและจัดการอาบน้ำสระผมเพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองเหม็นกลิ่นบุหรี่ติดที่ผมของตัวเอง

“หยุมตื่นเถอะไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำหน่อยก็ยังดี” ฉันปลุกนางฟ้าและเธอก็ทำตามที่ฉันบอกอย่างง่ายดาย

แต่ฉันรอแล้วรอเล่านางฟ้าก็ไม่ออกมาจากห้องน้ำก็เลยตัดสินใจเคาะประตูห้องน้ำ ฉันเคาะไปได้สองสามทีประตูห้องน้ำก็เปิดออกตามแรงเคาะ

“เอ๊าไม่ได้ล๊อคประตูห้องน้ำหรอกหรือนี่” ฉันบ่นนางฟ้าที่สับเพร่าลืมปิดประตู

แต่สิ่งที่ฉันเห็นทำให้ฉันตะลึงยิ่งกว่าประตูที่เปิดได้เอง นางฟ้าร่างเปล่าเปลือยนั่งหลับอยู่ในอ่างอาบน้ำ แถมตัวยังไม่โดนน้ำเลยสักหยด

“จะปล่อยให้นอนแบบนี้ดีหรือเปล่านะ” เสียงในสมองของฉันถามขึ้น

“ไม่ได้นะเดี๋ยวปอดบวมตาย” อีกเสียงตอบกลับมาทันที

“อย่าไปทำอะไรเค้านะเกิดเค้าตื่นขึ้นมาจะมาว่าเราได้ว่าไปปล้ำเค้าทำไง” สองเสียงที่ค้านกันเองในสมองของฉันสั่งการไปมาอยู่อย่างนั้น

สุดท้ายฉันตัดสินใจปลุกเธออีกครั้งเพราะอย่างไรเสียนางฟ้าก็ต้องอาบน้ำ ถ้าไม่อาบคงนอนไม่สบาย เปิดฝักบัวให้สายน้ำอุ่นๆ ไหลรินลงมา ฉันค่อยๆ ราดรดไปปบนร่างของเธอ ถูสบู่อย่างเบามือ และล้างฟองสบู่ออกจนเรียบร้อย เอาผ้าเช็ดตัวห่มให้เธอพยายามที่จะอุ้มเธอให้ลุกจากอ่างอาบน้ำแต่ก็ไม่ไหว

“หยุมตื่นหน่อยสิเรายกหยุมไม่ไหวนะ อึ๊บ ทำไมหนักแบบนี้นะ” ฉันพูดกับตัวเอง เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้นางฟ้าทำหลังฉันแทบหัก

เธอลุกขึ้นและเดินตามฉันมานอนแปะอยู่บนเตียงทั้งๆ ที่ตัวยังเปียก ฉันจัดการเช็ดตัวเธอและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางฟ้าจนเรียบร้อย

“โอ๊ยเหนื่อยคนอะไรไม่รู้ตัวหนักจริงๆ” ฉันบ่นก่อนที่จะ ล้มตัวลงนอนลงข้างๆ เธอ

“เรารักเอสนะเอสรู้ไหม” เสียงละเมอที่ฉันได้ยินทำเอาฉันใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

นางฟ้าก่ายแขนทั้งแขนมาวางบนอกของฉัน มือของเธอที่เย็นจากการโดนฉันอาบน้ำเริ่มแปะป่ายไปตามตัวฉันเรื่อยเปื่อย

“เอสรักเราไหม” ฉันหันไปมองหน้าเธอและสิ่งที่ได้เห็นก็คือคนเมานอนลืมตาแป๋วจ้องฉัน

“นี่แกล้งเมาเหรอ” ฉันหันไปพูดกับคนแกล้งเมาจนหลับตรงหน้า

“ถ้าไม่แกล้งจะรู้เหรอว่าสุเป็นคนดีแค่ไหน ไม่คิดจะล่วงเกินอะไรเราเลยสักนิด หรือว่าคนอย่างเราเซ็กซี่ไม่พอที่จะทำให้สุตะบะแตกได้”

“เปล่าหรอกเราไม่อยากทำอะไรคนที่เมาไม่ได้สติ อีกอย่างเราไม่เคยมีประสบการณ์ก็เลยทำไม่เป็น” ฉันตอบนางฟ้าไปตามความเป็นจริง

และสิ่งที่นางฟ้ากำลังลงมือทำกับฉันในตอนนี้ มันสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตแบบใหม่ที่ฉันไม่เคยได้รับมาจากที่ไหน

วิชา สปช. แบบนี้ไม่เคยเรียนในโรงเรียนแห่งไหนและฉันจะไม่ลืมครูคนแรกที่สอนวิชา สปช. คนนี้ไปตลอดชีวิต

ประสบกาม เอ๊ย ไม่ใช่ ประสบการณ์ที่แสนจะหอมหวานกับนางฟ้าสุดสวยห้องตรงข้าม

หากใครมาถามฉันตอนนี้ว่าฉันเคยมีประสบการณ์หรือไม่

คำตอบเดียวที่ฉันจะตอบในตอนนี้ก็คือ

“เคยค่ะ” และประทับใจมากด้วยสิ

๐๒-๐๗-๒๕๕๑

ผิงดาว ณ คืนไร้เดือน

แก้ไข ๐๓-๐๗-๒๕๕๑




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 8:56:03 น.
Counter : 741 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๓๐ บทสุดท้าย

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๓๐ บทสุดท้าย

ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงเมื่อเห็นคุณจารวีเข้ากลับเข้ามาอีกครั้ง แม้ทั้งหมดจะยืนอยู่ที่ปลายเตียงแต่ก็เชื่อว่าสิ่งที่จันทร์จิรากับชนกพรกำลังทำอยู่นี้คุณจิราพรต้องเห็นอย่างแน่นอน

“แม่กลับมาเอากระเป๋าตังน่ะเห็นกระเป๋าตังแม่ไหมแป๊ด” คุณจารวีทำลายความเงียบโดยหันไปถามถึงกระเป๋าถือของตนเองที่วางอยู่บนโซฟาปลายเตียงคนไข้

จันทร์จิราหันไปมองหน้าคุณจารวีด้วยความตกใจไม่แพ้กับเพื่อนๆ ที่ยืนตะลึงมองคุณจารวีกันเป็นแถว จันทร์จิราตัดสินใจแล้วว่าในวันนี้เธอจะพูดในสิ่งที่เธอเก็บเอาไว้มานานแสนนาน กว่าจันทร์จิราจะตั้งสติ สั่งสมองให้อ้าปากก็นานโข จนคุณจารวีเดินออกไปถึงประตูและกำลังจะออกไปจากห้อง จันทร์จิราก็เอ่ยออกมาว่า

“แม่ค่ะหนูรักลูกของแม่ค่ะ นกเป็นเหมือชีวิตของหนูยกนกให้หนูเถอะนะคะ”

คุณจารวีไม่ได้พูดอะไรมองหน้าจันทร์จิราและเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ในใจของจารวีตอนนี้มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เธอไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

ปุริมพี่ชายของโภคินเป็นคนที่มีอิทธิพลมากมายในจังหวัด และสมัชชาพ่อของจันทร์จิราเองก็ไม่ได้แตกต่างกัน แล้วไหนจะทรงพลอีกล่ะ

เรื่องแบบนี้มันเกินกว่าเธอจะเป็นคนตัดสินใจ หากว่าเธอเป็นอริกับคนในตระกูลนี้เรื่องเล็กๆ อาจจะเป็นเรื่องใหญ่โตจนจบไม่ลง

เธอยังจำงานหมั้นของจันทร์จิรากับทรงพลได้เป็นอย่างดี งานนั้นมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านมาร่วมงาน แล้วไหนจะญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่าย เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าลูกของตัวเองไปลงเอยกับจันทร์จิราผลลัพท์ที่ออกมาจะเป็นเช่นใด

สิ่งที่อยู่ในใจของคุณจารวีเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถปรึกษากับโภคินสามีของเธอได้ เพราะตอนนี้นอกจากเรื่องของลูก เธอคิดว่าโภคินแทบจะไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว และเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกเธอเอง

ความเป็นแม่ทำให้ต้องเก็บงำเรื่องราวต่างๆ ไว้ในใจเพียงลำพัง เธอได้แต่หวังว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจณ์ความรักของจันทร์จิรา ที่กล้าเอ่ยปากของลูกสาวของเธอไปเป็นคนรัก และหวังว่าพี่ชายของสามีเธอจะไม่เอาเรื่องเอาราวกับจันทร์จิราและลูกสาวของเธอเอง

เมื่อเวลานั้นมาถึงอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพียงแต่เวลานี้ของให้ลูกของเธอปลอดภัยกลับมาเป็นลูกคนเดิมเธอก็พอใจแล้ว

.............................

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับวันนั้นอีกเลย ชนกพรหายดีอาจจะมีเสียวแปล๊บๆ ที่แผลผ่าตัดบ้างแต่เธอก็ยังคงเป็นนักข่าวอยู่ที่เดิม แต่ตอนนี้มีจันทร์จิราคอยไปรับไปส่งชนกพรทำงานทุกวัน จันทร์จิราลงทุนซื้อรถมือสองคันเล็กๆ ไว้สำหรับรับและส่งจินตนาโดยเฉพาะ

“มันจะเปลืองไปหรือเปล่าจันทร์ แล้วตัวจะส่งไหวเหรอ” ชนกพรเคยทัดทานจันทร์จิราที่ซื้อรถมาโดยไม่บอกกล่าวเธอก่อน

“ไม่หรอกนกเราสัญญากับแม่ของนกแล้วว่าเราจะดูแลลูกสาวของแม่อย่างดีที่สุดเราต้องทำตามสัญญาสิ อีกอย่างส่งเดือนละแค่สามพันกว่าๆ ไม่หนักเกินไปหรอกรถมันไม่ได้แพงอะไรมากมาย เราซื้อต่อมาจากเพื่อนมันไม่ได้ใช้สมบุกสมบันอะไรไม่ต้องซ่อมมากมาย ไม่เปลืองหรอกเราซื้อเครื่องเสียงยังแพงกว่านี้ตั้งมากมายเพื่อคนที่เรารักให้เราทำอะไรก็ได้นก ขอให้นกมีความสุขสะดวกสบายเท่านั้นพอ”

สิ่งที่จินตนาบอกเล่าให้กับชนกพรได้รับรู้ทำให้เธอรู้แล้วว่านอกจากพ่อและแม่ของเธอเองยังมัจันทร์จิราอีกคนที่ยังรักและห่วงใยเธอเสมอมา ความรักที่งอกเงยมาแต่ครั้งยังเป็นเด็ก เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รักจันทร์จิรา คนที่เคยแกล้งเธอมาตั้งแต่เล็กจนโตได้มากมายถึงเพียงนี้

หรือว่าการที่จันทร์จิราไปปัสาวะใส่กล่องดินสอของเธอเมื่อสมัยยังเด็ก มันคือการจองหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอให้เป็นของจันทร์จิราแต่เพียงผู้เดียว

พวกเราเตรียมตัวที่จะรับปริญญาในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้า หลังจากที่ได้ไปลองชุดครุยกันเรียบร้อย พวงทองของให้พวกเราถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความทุกข์มากแค่ไหน ต้องทุ่มเทให้กับการเรียนมากเพียงใดกว่าจะได้ใบปริญญามาหนึ่งใบ

“ใบปริญญาแค่ใบเดียวทำเอาพวกเราแทบแย่เลยนะ” พวงทองบ่น

“ใช่สิ แค่ใบเดียวทำเอาป่วนไปสี่ปีเต็มๆ ชีวิตไร้รสชาติสิ้นดี” จินตนาบ่นตาม

“อย่างแกนะเหรอไอ้จินไร้รสชาติ เค้าเรียกว่าเพิ่มรสชาติให้การกินของแกมากกว่า ตั้งแต่ฉันคบกับแกมาไม่เคยเห็นวันไหนแก ไม่กินเลยสักวัน” รตีบ่นจินตนาไปตามเรื่อง

“โอ๊ยไอ้ตีแกก็รู้นี่หว่าว่าฉันเกิดมาเพื่อกินและกินและกิน” จินตนาโอดครวญ

“ก็เพราะงี้นะสิทำไม๊ทำไมแกไม่ไปเรียนทำกับข้าวให้รู้แล้วรู้แรดไปเลยวะ มาเรียนทำไมนิติศาสตร์”

“เอ๊าก็ฉันสอบติดนี่หว่าไม่ให้เรียนแล้วให้ไปทำอะไรเล่าแม่คุ๊ณ” จินตนาเถียงไม่ลดละ

“อ๋อเดี๋ยวนี้กล้าเถียงเหรอ กล้าขึ้นเสียงกับฉันเหรอ” รตีแกล้งโมโหจินตนา

“โอ๊ยแม่จ๋าจินกลัวแล้วอย่าทำอะไรจินเลยนะ คนรักเค้าก็ไม่รักจินแล้ว แม่อย่าทำร้ายร่างกายจินเหมือนกับคนรักของจินทำร้ายจิตใจจินเลยนะจ๊ะแม่จ๋า” จินตนาแกล้งอ้อนกลับ ทำเอาพวกเราทุกคนขำกับท่าทางเล่นๆ ของคนทั้งคู่

ถึงแม้ว่าพวกเราเกือบทุกคนจะได้รับปริญญากันหมดในปีนี้ แต่ก็มีเว้นพวงทองกับภัทรทราภรณ์เท่านั้นที่ไม่ได้รับปริญญาเพราะพวกเธอยังต้องเรียนต่อ ฉันกับไปรยาได้รับจดหมายตอบรับการสอบไปเรียนต่อจากต้นสังกัดเรียบร้อย และเราจะเดินทางกันหลังจากงานรับปริญญาเพียงสองวันเท่านั้น

“เอ๊าพวกแกยืนดีๆ สิวะ” พวงทองจัดท่าทางของพวกเราที่ยืนกระจายไม่ยอมรวมกลุ่มกันสักที เพราะเธอรอนานแล้วที่จะถ่ายรูปหมู่

“ใครรู้ตัวเป็นบัณฑิตยืนให้เรียบร้อยหน่อยเว่ย” จากนั้นบัณฑิตจบใหม่ก็เรียงหน้ากระดานให้พวงทองถ่ายรูป เป็นทิวแถว เหมือนจะรู้ตัวว่าหันด้านไหนสวยก็ยึดด้านนั้นเป็นท่าโพสประจำ

จากนั้นพวงทองก็ตั้งเวลาถ่ายไว้ก่อนที่จะวิ่งเข้ามารวมกลุ่มกันกับพวกเราที่ยืนรอพวงทองอยู่ เราถ่ายรูปกันมากมายจนหมดฟิล์มไปหลายม้วน ยังดีที่เรามีฟิล์มสำรองไว้มากมาย

เราทั้งหมดใส่ชุดครุยของพวกเราไปถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกที่พุทธมณฑล และสถานที่อื่นๆ อีกมากมายก่อนวันรับปริญญาจริงๆ เพราะเรารู้ดีว่าเมื่อรับปริญญาเรียบร้อย ก็ถึงวันที่ฉันต้องเดินทางไปเรียนต่อ ฉันกับไปรยาเป็นแนวหน้าลุยไปก่อนและอีกไม่กี่เดือนธิติมาก็จะตามฉันมาติดๆ

..................

ในวันงานรับปริญญาทุกคนดูมีความสุขมากมาย ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มมีปรากฏให้เห็นตลอดทั้งงาน ครอบครัวแต่ละครอบครัวก็เดินทางเข้ามาหาลูกๆ ของตัวเอง มาร่มแสดงความยินดีให้กับลูกๆ

ครูทัศนาคนดีของพวกเราก็มาในงานของพวกเราด้วย ครูลงทุนหนั่งรถทัวร์มาในตอนกลางคืนเพื่อให้มาเช้าที่กรุงเทพและมางานรับปริญญาของพวกเรา

ถึงแม้ว่างานของพวกเราจะมีสองวันเพราะเราอยู่คนละมหาวิทยาลัย แต่ครูก็มางานและรอจนเรารับเสร็จเรียบร้อยค่อยเดินทางไปขึ้นรถทัวร์เที่ยวสุดท้ายกลับไปสอนต่อในตอนเช้า

“ทำไมคณุไม่นอนค้างกับพวกเราสักคืนล่ะค่ะ” รตีถามครูทัศนาเมื่อเธอขับรถมาส่งครูที่สถานีขนส่ง

“ไม่ดีกว่าเพราะว่าพรุ่งนี้ครูมีสอนแต่เช้า”

“แบบนี้ครูก็เหนื่อยแย่สิค่ะ”

“ไม่เหนื่อยหรอกรตีครูดีใจและปลื้มใจแทนคุณพ่อคุณแม่ของพวกเธอด้วยซ้ำไป ที่มีลูกดีๆ อย่างพวกเธอ”

“ครูแน่ใจหรือค่ะว่าพวกผิดเพศแบบพวกหนูเป็นคนดี” จันทร์จิราที่นั่งมาตอนหลังของรถเอ่ยถามครูทัศนา

“ดีสิ พวกเธอทุกคนเป็นคนดีของสังคม ขยันเรียนถ้าพวกเธอไม่ดี แล้วเกียรตินิยมที่พวกเธอได้มามันก็ต้องไม่ดีด้วยสิจริงไหม ครูเชื่อว่าสักวันครอบครัวและสังคมจะต้องยอมรับพวกเธอมากยิ่งขึ้น ครูมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น เชื่อครูสิจันทร์ เธออย่าทิ้งความดีที่เธอเคยทำมา อย่าละทิ้งอุดมการณ์ที่พวกเธอเคยตั้งไว้ แล้วสักวันเมื่อพวกเธอไปถึงจุดนั้นได้ สิ่งที่พวกเธอคิดว่ามันเป็นปมด้อยของพวกเธอเองมันก็จะมะลายหายไปในพริบตา เชื่อครูเถอะนะ”

ครูทัศนาเหมือนจะเทศนาเราแต่เปล่าเลยสิ่งที่ครูพูดล้วนมาจากใจที่บริสุทธิ์ที่จะคอยสั่งสอนพวกเราไปตลอด และพวกเราไม่มีวันลืมบุญคุณครูทัศนาที่แสนดีของพวกเราไปตลอดชีวิต

.....................................

พวงทองดูจะเศร้ามากกว่าใครๆ เพราะเธอรู้สึกว่าไม่อยากให้ไปรยาจากไปไหน แต่เพื่ออนาคตเธอเองก็ต้องจำใจลาจากกันเพียงชั่วคราวกับคนรักของเธอ

“รีบเรียนให้จบเร็วๆ เข้านะรู้ไหมมีคนรออยู่” พวงทองกระซิบบอกกับคนรักของเธอ

“ขอให้จริงเถอะเติ้ลไม่ใช่พอลับหลังเราไปแล้วแอบไปควงสาวที่ไหนโดยที่เราไม่ร้นะ แล้วอยางให้รู้เชียวว่ามีไม่อย่างนั้นเราเอาตายแน่ๆ”

“หมวยก็เหมือนกันไปทางโน้นอย่างไปมองแหม่มที่ไหนล่ะ ยิ่งหมวยๆ แบบนี้ฝรั่งยิ่งชอบ แล้วอย่างให้รู้เชียวว่าไปติดต่อกับต่องอีกจะบินไปควักหัวใจออกมาล้างทันทีเลยคอยดูสิ”

“ทำอย่างกับค่าตั๋วบาทสองบาทอย่างนั้น”

“อะๆ อย่ามาดูถูกศิลปินนะไม่ได้ไส้แห้งอย่างที่คิดนะขอบอก”

“จ้ารู้ๆ แม่ศิลปินเป๋าตุง เก็บเงินไว้เถอะเราไปไม่นานก็กลับมาแล้ว”

“จ้าที่รัก” พวงทองล้วงกระเป๋าหยิบอะไรบางอย่างสีขาวสะท้อนแสงออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ

“จองไว้แล้วจะเอาตัวไปให้คราวหลัง” สิ่งที่ไปรยาได้รับจากคนรักของเธอมันเปรียบเสมือนการที่เธอได้รับความรักทั้งหมดที่มีจากคนรัก ทั้งสองคนสวมกอดกันแนบแน่น โดยไม่แคร์สายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือแม้แต่สายตาของคนในครอบครัวของเธอเอง ตรงในบริเวณประตูทางเข้าผู้โดยสารขาออก

“กิ่งดูแลตัวเองดีๆ นะ อีกไม่ถึงสองปีก็เรียนจบแล้ว เราเองก็จะดูแลตัวเองให้ดีเท่าๆ กับที่กิ่งเคยดูแลเราเช่นกัน” ฉันบอกกับภัทรทราภรณ์ที่มายืนส่งฉันพร้อมๆ กับเพื่อนๆ และคนในครอบครัว

“จ้าไม่ต้องห่วงเราหรอกแป๊ด ไปทางโน้นขาดเหลืออะไรก็โทรมาบอกเรา เราจะสงไปให้”

“ไม่ต้องหรอกปริมบอกว่าทางโน้นไม่ได้อดอยากแบบที่เราคิด มีอะไรกินเหมือนกับที่บ้านเรามีนั่นล่ะ”

“ก็ดี อย่าให้รู้ว่าอดไม่ยอมกินอะไรเพราะกลัวไม่มีเงินใช้นะ”

“จ้าแม่”

“เออไอ้แป๊ด น้ำพริกที่ฉํนทำให้แกมันเก็บดีหรือเปล่าวะ” จินตนายังคงถามเรื่องของกินอยู่นั่นเอง

“ดีเก็บไว้อย่างดีแล้วท่านไม่ต้องห่วง”

“แน่นเว่ยต้องดูอีกรอบหรือเปล่า”

“ไปดูที่ไหนเล่าไอ้จินฉันโหลดลงท้องเครื่องไปตั้งแต่เมื่อตะกี้แล้วทำไมไม่ถามก่อนที่จะโหลดลงไปวะได้นี่”

“เอ๊าก็คนมันลืมนี่หว่าพึ่งนึกขึนได้เมื่อตะกี้เหมือนกัน”

“แล้วลืมว่าไอ้ตีมันเป็นแฟนแกด้วยเปล่าวะ” ฉันแซวจินตนาเล่นๆ แต่ท่าทางของจินตนาจะกลัวรตีจนออกนอกหน้าไปแล้ว

“บ้าไอ้นี่ใครจะไปลืมแม่เสือของฉันได้เล่าแกก็” จินตนาตอบเสียงอ่อย โดยเฉพาะคำว่า “แม่เสือ” เพราะเรารู้กันดีว่าเมื่อยามใดที่รตีโมโห เธอจะแปลงร่างจากแมวเชื่องๆ เป็นเสือสมิงในทันที

“เข้าไปเถอะแป๊ด ต้องไปต่อคิวกรอกเอกสารที่ตอมออีกนะเดี๋ยวจะขึ้นเครื่องไม่ทัน” ภัทรทราภรณ์เตือนสติฉัน

“จ้าแม่แล้วเค้าจะเขียนจดหมายมาหาบ่อยๆ นะ”

“ไปเถอะแป๊ดโชคดี”

ฉันกอดภัทรทราภรณ์ กอดแม่พ่อน้องและเพื่อนๆ ทุกคน ก่อนที่จะเดินจากมา เพราะฉันต้องการสร้างอนาคตของตัวเองให้เทียบเคียงกับคนรัก อีกไม่นานฉันจะกลับมาเมืองไทยแผ่นดินแม่ของฉัน

แม่เอาดินบริเวณศาลพระภูมิที่บ้านใส่หลอดเลี่ยมทองให้ฉันแขวนคอเอาไว้ แม่บอกว่าคนโบราณถือว่าไปต่างบ้านต่างเมืองให้เอาดินของบ้านเราติดตัวไปด้วย แม่พระธรณีจะป้องป้องคุ้มครองฉันจากอันตรายทั้งปวงที่จะแผ้วพาน

ฉันไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็ทำตามที่แม่บอกอย่างว่าง่าย เพราะหากฉันเป็นอะไรในต่างแดน ฉันก็ยังดีใจที่มีดินของบ้านเราไว้กลบหน้าตัวเอง แม้จะเพียงน้อยนิดก็ยังดี

...........................

“ที่รัก คิดถึงจังเลย
ที่นี่เริ่มหนาวแล้ว เรากับกอล์ฟ แทบจะสั่นตายเมื่อออกจากเครื่องมาครั้งแรก ใครจะคิดว่าหน้าฝนแบบนี้จะหนาวยะเยือกได้ถึงปานนี้ เราได้ที่พักแล้วนะตามที่เค้ากำหนดไว้ให้ ไม่ได้ออกไปไหนไกลๆ ที่เรียนมากนักหรอกเพราะเรากลัวหลง

ออกมาที่ซุปเปอร์แถวๆ ที่พักนี่แหละ พรุ่งนี้เราจะเริ่มเรียนปรับพื้นฐานภาษาแล้ว ไม่ต้องห่วง อีกสองเดือนจะพูดให้คล่องบร๋อเลย ไม่เชื่อเราจะโทรไปคุยภาษามะขามเปรี้ยวปรี๊ดให้กิ่งฟังดีไหม รับรองมือไม่เป็นระวิงแบบที่แล้วมาอย่างแน่นอน

อ๋อ นอนบ้างนะอย่าเอาแต่อ่านหนังสือ เดี๋ยวเรากลับไปจะเห็นคนสวยแพนด้าแล้วแอบไปมีคนใหม่ไม่รู้ด้วยน้า
รักค่ะ
แป๊ด”

“ที่รัก
เค้าได้เข้าเรียนแล้วนะเร็วกว่าที่คิดเพราะเค้าเอาผลมอง Tofel จากที่บ้านเราไปยื่นให้ ทางมหาลัยบอกว่างั้นก็เข้าเรียนได้เลย โปรแกรมที่นี่เรียนแปลกๆ นะกิ่งเหมือนจะโหดแต่ก็ไม่โหด เห็นเพื่อนๆ ร่วมคณะบอกว่าเรียนจริงๆ ปีกว่าๆ ก็จบแล้ว เราจะรีบเรียนให้จบเร็วๆ จะกลับไปบ้านเราไปหากิ่งให้เร็วที่สุด
รักค่ะ
แป๊ด”

“ที่รัก
ฝนที่นี่ตกไม่เป็นเวล่ำเวลาเลยนะคิดจะตกเมื่อไหร่ก็ตกลงมาไม่บอกไม่กล่าว ขนาดว่าเราดูพยากรณ์อากาศแล้วนะว่ามันจะไม่มีฝนปรากฏว่าก็ยังตกอยู่ดี

นึกถึงเรื่องโจ๊กของฝรั่งเรื่องนึงขึ้นมาได้ เมื่อสมัยก่อนมีพวกพยากรณ์อากาศเค้าว่ากันว่าพวกอินเดียนแดงเป็นพวกที่รู้ดีว่าฝนฟ้าจะตกเมื่อไหร่ เมื่อเห็นอินเดียนแดงขนไม้ฝืนมาเก็บในค่ายเมื่อไหร่แสดงว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลง

จากนั้นไม่นานอินเดียนแดงก็รีบเก็บข้าวของใหญ่โต นักเดินทางคนหนึ่งก็ไปถามหัวหน้ากรมพยากรณ์ว่า

“คุณครับทำไมถึงรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนฤดูกาลในไม่ช้านี้”

หัวหน้ากรมพยากรณ์ก็ตอบว่า

“ผมส่องกล้องส่องทางไกลเห็นอินเดียนแดงเก็บฝืนไปสะสมแล้วสิครับก็เลยประกาศว่าจะมีกาลเปลี่ยนฤดูภายในสองสามวันนี้”

นักเดินทางคนนั้นพยักหน้าเข้าใจเรื่องที่หัวหน้าพยากรณ์ได้บอกกับเขา แตค่เขาเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางข้ามภูเขาลูกนี้ให้ได้เร็วที่สุดก่อนฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงและอากาศแปรปรวน

เมื่อนักเดินทางเดินทางไปถึงยังทีตั้งของชนเผ่าอินเดียนแดง ก็เกิดนึกถึงคำพูดของหัวหน้ากรมพยากรณ์ขึ้นมาได้จึงถามหัวหน้าเผ่าว่า

“คุณครับทำไมถึงรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนฤดูกาลในไม่ช้านี้”

แต่สิ่งที่นักเดินทางได้ยินกลับทำให้เขาถึงกับตะลึงเมื่อหัวหน้าเผ่าตอบว่า

“ผมฟังมาจากรายงานพยากรณ์อากาศของกรมพยากรณ์อากาศนะสิคุณ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่จะมีฝนเล่าก็ต้องอาศัยฟังจากวิทยุนั้นล่ะ”

เป็นไงไม่ขำล่ะสิกิ่งนะเส้นลึกจริงๆ แฟนใครน้า วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ เราต้องไปนอนแล้ว พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาฟังข่าวพยากรณ์อากาศต่อไป
รักนะ
แป๊ด”

ภัทรทราภรณ์อ่านจบหมายในมือของเธอซ้ำไปซ้ำมาหลานรอบ อดจำกับการเล่าเรื่องราวต่างๆ ของคนรักไม่ๆด้ จดหมายของคนรักหลายฉบับถูกส่งมาถึงมือของเธอเมื่อยามที่เธอกลับบ้านของรตี อรุณวิลัยช่างขยันเขียนจดหมายมาถึงเธอทุกวัน แต่เธอเองกลับไม่ค่อยจะมีเวลาเขียนจดหมายตอบกลับไป

จะมีบางครั้งที่เธอคิดถึงมากๆ และโทรไปหา ทางโน้นกลับตอบว่าเปลืองเงินเดี๋ยวโทรกลับมาเองดีกว่า และการคุยในแต่ละครั้งก็กินเวลายาวนานจนเธอต้องบอกให้เก็บเงินเอาไว้บ้าง แต่คนรักของเธอบอกว่านาทีละไม่กี่บาทถูกกว่าเธอโทรไปตั้งหลายเท่า เธอก็เลยยอมที่จะคุยกับคนรักนานๆ จนหายคิดถึง

ถึงแม้ว่าในบางครั้งเธอจะคิดถึงแขนของอรุณวิลัยที่โอบกอดเธอยามหลับ แต่อรุณวิลัยก็ซื้อตุ๊กตาตัวโตให้เธอกอดแทนตัวแถมยังตั้งชื่อเจ้าตัวขนปุยว่า “แป๊ดน้อย”

ใครๆ ก็มักจะมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เมื่อต้องเดินทางไผฝึกงานที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัด ว่าหมอคนนี้ดูท่าทางเด็กเหลือเกินไปไหนมาไหนติดตุ๊กตาด้วย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำนินทาเหล่านั้น เพราะนี่คือความสุขเพียงอย่างเดียวในชีวิตของเธอที่ได้คิดถึงคนที่เธอรักแม้ในยามหลับฝันก็ยังดี

ต้นปีหน้าเธอก็จะเรียนจบเป็นหมอสมใจแล้ว อรุณวิลัยบอกว่าตอนที่เธอรับปริญญาเป็นช่วงเวลาปิดเทอมพอดี และคนรักของเธอจะเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีด้วย

ถึงตอนนี้อรุณวิลัยไปเรียนต่อได้ปีกว่าๆ แล้วคิดรวมๆ กันในช่วงเวลาที่เธอรับปริญญาก็อาจจะเป็นเวลาที่คนรักของเธอเกือบจะเรียนจบ เธออาจจะไปอยู่กับคนรักสักเดือนครึ่งเดือนก่อนที่จะไปทำงานใช้ทุนที่เธอร่ำเรียนมาถึงหกปี

แต่กว่าวันนั้นจะมาถึงยังอีกไกลไม่ใช่หรือ ภัทรทราภรณ์พับจดหมายทุกฉบับใส่ซองและวางเก็บไว้ใต้หมอนของเธอราวกับว่าจดหมายของอรุณวิลับคนรักเป็นของมีค่าที่สุดในชีวิตของหมอสาวคนนี้

........................

พวงทองได้ทุนเรียนต่อทางด้านศิลปะที่โรม เธอรีบรับทุนนั้นทันทีเช่นกันเพราะเธอต้องการที่จะไปเรียนต่อที่นั่นอยู่แล้ว ใครๆ ที่เรียนทางด้านศิลปะก็อยากที่จะไปเรียนในดินแดนของศิลปินชื่อดังกันทั้งนั้น

ไปรยาดีใจมากที่พวงทองได้มาเรียนใกล้ๆ กับเธอ แม้จะไม่ใกล้มากไม่ได้อยู่แระเทศเดียวกัน แต่ก็ยังดีกว่าที่จะต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาเมืองไทยเพื่อให้ได้พบกัน

ไปรยาอวดรูปที่เธอไปถ่ายในสถานที่ต่างๆ ของเธอกับพวงทองให้ฉันดู ฉันเห็นเมืองเวนิสแล้วอดคิดถึงภัทรทราภรณ์ไม่ได้

“ในชีวิตของเรานะแป๊ดมีอยู่ไม่กี่ที่ที่เราอยากไป”

“ที่ไหนบ้างล่ะกิ่ง”

“ก็พระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า กรุงไคโรอียิปต์ เวนิสอีตาลี และที่สำคัญขาดไม่ได้เลย”

“ที่ไหนเหรอ” ฉันก้มหน้าลงไปถามคนที่นอนหนุนแขนของตัวเองและส่งเสียงเจื้อยเจ้ว

“ก็ในใจแป๊ดไง เราจะไปดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นหรือเปล่า” คนสวยในอ้อมแขนฉันเดี๋ยวนี้ชักจะพลิ้วมากขึ้นทุกที ฉันว่าเธอคงไปลับฝีปากมาจากห้องผ่าตัดที่เธอเข้าไปฝึกงานมาแน่ๆ

ความคิดถึงของฉันคงฝากลมฝากดาวฝากพระจันทร์ไปบอกกับเธอให้ได้รับรู้บ้างไม่มากก็น้อย

“ที่รัก
คืนนี้ดาวสวยจังเลยกิ่งเห็นดาวเหมือนที่เค้าเห็นรึเปล่า หรือว่าไม่ได้มีเวลามองเดือนมองตะวันจันทรากับใครเขาเลย

พักสายตาบ้างนะคนดี หลับลงที่กลางใจของเค้า ที่ๆ มีเรามรกันและกัน

คืนนี้คิดถึงที่รักเหลือเกินแล้ว หนาวจังเลยอยากมีคนกอดให้อุ่นในอ้อมแขน หลับฝันดีนะคะคนดี
รักเหลือเกินแล้วจ้า
แป๊ด”

จดหมายฉบับนี้มาถึงมือภัทรทราภรณ์ก่อนที่จะได้เจอเจ้าของจดหมายเพียงวันเดียว

อรุณวิลัยลากกระเป๋าเข้ามาใจบ้านราวๆ หกโมงเช้าของวันอาทิตย์ เธอไขกุญแจเข้ามาเองและไม่ได้บอกให้ใครไปรับ เพราะคิดว่าเป็นการรบกวนเพื่อนๆ มากกว่า และที่สำคัญคุณหมอคนสวยคงยังไม่กลับมาจากต่างจังหวัด

แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนของเธอและคุณหมอเข้าไป ก็พบกับร่างของคุณหมอคนสวยนอนหลับสบายๆ กอดน้องแป๊ดน้อยในอ้อมแขน

“แป๊ดน้อยวันนี้ไม่ต้องทำงานแล้วนะพ่อมาเปลี่นมือแล้วลูก” ฉันหยิบตุ๊กตาขนฟูออกจากอ้อมแขนของภัทรทราภรณ์จนเธอสะดุ้งสุดตัว

“ใครนะ” เสียงสะลึมสะลือปนตกใจของภัทรทราภรณ์ดังออกมาจากปาก

“เจ้าของหัวใจกิ่งไง” ฉันตอบ

“แป๊ด ดีใจจังเลยกลับมาทำไมไม่บอกเรา รู้ไหมว่าคิดถึงแค่ไหน” เธอผวากอดฉันและซบหน้าลงบนไหล่ของฉันร้องไห้สะอึกสะอื้น

“โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องนะคนดีเค้ากลับมาแล้วไงเราไม่ต้องไกลกันแล้วนะที่รัก นิ่งซะน้าคนดีโอ๋ๆ” ฉันปลอบประโลมเธอด้วยการลูบไล้เส้นผม ของเธออย่างแผ่วเบา

ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดๆ จากปากของฉันและเธอเพราะว่ามันไม่ว่างมากพอที่จะพูด สิ่งที่จะพูดกันของฉันและเธอในตอนนี้ก็มีเพียงภาษากายและภาษาใจของเท่านั้น

.........................

ฉันกลับมารับราชการใช้ทุนด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดอยู่ในเมืองหลวง ภัทรทราภรณ์หลังจากจบก็เรียนต่อที่กรุงเทพอีกหลายปี จากนั้นเราสองคนก็ตัดสินใจว่าเราจะกลับบ้านของเรา ฉันและเธอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่บ้านสวนของฉันเอง

พวงทองย้ายไปอยู่อิตาลีและเธอกับไปรยาก็ใช้ชีวิตด้วยกันอยู่ที่โน่นนานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยสักครั้ง

ธิติมาย้ายไปอยู่กับกันตาที่เชียงรายช่วยเหลือครอบครัวของกันตาทำสวนทำไร่องุ่นจนมีชื่อเสียง และไวน์ของไร่กันตาก็ติดอันดับหนึ่งในสิบไวน์รสชาติดีของไทย

จินตนาได้เป็นผู้พิพากษาหญิงสมใจ ส่วนรตีออกมาทำกิจการของตัวเองเพราะเธอสั่งสมประสบการณ์มากมายจากการที่ยอมเป็นลูกน้องนายฝรั่งขี้หลีอยู่หลายปี จนเรียนรู้งานต่างๆ ได้และออกมาทำธุรกิจส่วนตัวของเธอเอง

จันทร์จิรายังอยู่ที่เมืองหลวงและไม่ยอมกลับมาแต่งงานกับพี่ทรงพล ยังคงสนุกกับการทำงานที่แสนจะอิสระของเธอเอง

ส่วนพี่ทรงพลก็ย้ายไปทำกิจการกับพี่อรรณพที่เชียงใหม่ รับเหมาก่อสร้างถนนหนทาง ตามแต่จะยื่นแบบเสอนราคาได้ โดยส่วนใหญ่ก็ได้งานมาจากการประมูลกับหน่วยงานราชการ ที่พ่อของพี่ทรงพลได้วางอำนาจไว้

ชนกพรยังคงเป็นนักข่าวหัวเห็ดเช่นเดิม เธอเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อทำข่าวโดยมีจันทร์จิราติดตามเป็นเงาตามตัว เพราะงานของจันทร์จิราสบายๆ เขียนเพลงส่งค่ายเพลง เล่นดนตรีบ้าง เป็นนักร้องก์บ้างตามเรื่องตามราว ทั้งคู่ดูจะมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตแบบนี้

ฉันนั่งเปิดดูอัลบั้มรูปถ่ายของพวกเราอยู่ในสวนหลังบ้าน อ้อมแขนข้างหนึ่งของฉันมีภัทรทราภรณ์อยู่ในนั้น

เราสองคนมองภาพถ่ายเหล่านั้นและก็ยื้มไปหัวเราะไป

รูปสมัยยังเป็นเด็กๆ วิ่งเล่นบาส รูปตอนแข่งว่ายน้ำ รูปตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับโรงเรียน รูปของพวกเราแปดเซียนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ ถูกนำมาใส่เรียงไว้ในอัลบั้มภาพเต็มไปหมด

แม้รูปเหล่านั้นจะซีดจาง แต่มันยังคงมีกลิ่นของความสุขและความเฮฮาของพวกเราทุกคนอยู่ในนั้น และเราก็จะไม่มีวันลืมภาพเหล่านั้นไปจากสมองและหัวใจของเราได้เลย ตราบนานเท่านาน

“ครั้งวันวานครานั้นช่างตรึงจิต
ความเป็นมิตรของเพื่อนไม่จางหาย
หากไม่มีวันวานผันผ่านไป
แล้วไฉนจะมีวันนี้เอย”

..... จบบทสุดท้าย ครั้ง วัน วาน ....




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 13:55:38 น.
Counter : 452 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๙

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๙

คุณว่าไหมชีวิตในวัยเรียนเป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่สนุกที่สุด ฉันเองก็เช่นกัน พวกเราแปดคนรวมหวานใจของเพื่อนอีกสองเป็นสิบคน ใช้ชีวิตในช่วงที่เรียนด้วยกัน กินนอนเที่ยวเล่นกันอย่างสุนกสนาน

ไม่ต้องให้บอกหรอกค่ะว่ามันสนุกมากแค่ไหน ปีนี้ฉันเรียนจบแล้วและกำลังสอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอก มันอาจจะเป็นสิ่งที่ใครๆ มักบอกว่าฉันฝันสูงไปหรือเปล่า แต่ฉันว่าไม่มีอะไรที่ไกลเกินฝัน

ฉันกับไปรยาสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอวันที่ต้นสังกัดจะติดต่อกลับมาว่าได้หรือไม่ได้ ขณะเดียวกันฉันกับไปรยาก็เข้าไปทำงานในบริษัทตรวจสอบบัญชีแห่งหนึ่ง เพื่อหาประสบการณ์ในการทำงานก่อนที่จะไปเรียนต่อ และก็รอเวลาที่จะรับปริญญาในกลางปีที่จะถึงนี้

ภัทรทราภรณ์คนรักของฉันเธอเริ่มจะฝึกงานและเรียนรู้ที่จะเป็นคุณหมออย่างเต็มตัว เวลาของเธอไม่ค่อยจะตรงกับฉันเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกันแต่การที่จะได้เจอและพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อนมันก็ดูยากเหลือเกิน

จันทร์จิราและชนกพรตัดสินใจเรียนต่อที่คณะเดิมเพราะทั้งคู่ยังไม่อยากที่จะกลับไปบ้าน อีกอย่างจันทร์จิราในตอนนี้เริ่มมีงานเล่นดนตรีเพิ่มมากขึ้น เธอรู้ว่าสิ่งที่เธออยากเป็นและอยากทำไม่ใช่การกลับไปสานต่ออำนาจของพ่อเธอ ฉันรู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการมันคืออะไร มันไม่ใช่การกลับบ้าน แต่มันคือการที่จันทร์จิราได้อยู่กับชนกพรต่างหาก

ป้าเจ้าของบ้านตัดสินใจขายบ้านที่เราเช่าอยู่ ด้วยวงเงินที่ฉันเห็นแล้วก็คิดว่าป้าเจ้าของบ้านคิดถูกที่ตัดสินใจขายบ้านและย้ายไปซื้อบ้านที่ใหม่ในราคาที่ถูกกว่าเป็นร้อยเท่า คนที่มาซื้อบ้านของป้าบอกว่าจะเอาไปสร้างอพาร์ตเม้นท์สูงลิบ ให้กำไรงามๆ กับป้า

รตีหาซื้อบ้านหลังใหม่ออกไปย่านชานเมืองราคาไม่แพงมากแต่การเดินทางก็ไกลเหลือเกิน พวกเราตัดสินใจกันว่าจะช่วยจ่ายค่าเช่าให้กับรตี เป็นการผ่อนแรงค่าผ่อนบ้านของรตี ที่ต้องทำงานเป็นเลขานายฝรั่งจอมโหด ด้วยค่าแรงพอสมน้ำสมเนื้อกับการทำงานที่โหดร้ายทารุนราวกับทาส เพราะรตีต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ นายไม่กลับไม่มีทางได้กลับบ้าน แถมยังเป็นฝรั่งจอมขี้หลีอีกต่างหาก

จินตนาเรียนต่อเนติบัณฑิต ความตั้งใจของจินตนาก็คือเป็นผู้พิพากษาฉันว่าจินตนามีแววที่จะเป็นผู้พิพากษาอย่างที่เธอตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

ธิติมาตัดสินใจหาทุนเรียนต่อเหมือนกับฉันและไปรยา เธอบอกว่าเรียนต่อเมืองนอกน่าจะมีอะไรที่น่าศึกษาค้นคว้ามากกว่าในเมืองไทย พวกเราเองก็สนับสนุนความคิดของเธอเช่นกัน ส่วนกันตาหวานใจของธิติมากลับไปทำงานที่ไร่ของเธอ และคอยเป็นกำลังใจให้ธิติมาเสมอๆ

สำหรับพวงทองไม่ต้องพูดถึง พวงทองกลายเป็นศิลปินที่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เธอบอกว่าถ้าเรียนจบจะไปเรียนต่อที่อิตาลี ที่นั่นมีอะไรหลายๆ อย่างให้เธอศึกษาเกี่ยวกับการวาดรูป

ชนกพรได้ทำงานที่หนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งพร้อมๆ กับการตั้งใจที่จะลงเรียนภาคค่ำในคณะเดิมของเธอ เธอมักจะมาบ่นกับพวกฉันว่างานหนังสือพิมพ์เป็นงานที่เหนื่อยมากพอดู เธอได้ทำงานเป็นนักข่าวแถวๆ ทำเนียบ หาข่าวการเมืองไปวันๆ เอามาลงในคอลัมภ์ที่เธอเริ่มจะได้เขียนบ้าง

วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ชนกพรกลับมาที่บ้านและบอกกับพวกเราว่า

“อย่าไปที่สนามหลวงนะพวกแกเรื่องมันจะบานปลายใหญ่โตแล้ว”

“เอ๊ยจริงเหรอ ไหนว่าไปชุมนมกันไม่มีอาวุธไง ทำไมถึงมีเรื่องบานปลายได้” จันทร์จิราที่พอจะรับรู้เรื่องเราวการชุมนุมแถวๆ ราชดำเนินมาบ้างก็ท้วงขึ้น

“จริงๆ นะไอ้เจ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นๆ กันได้” ชนกพรยังยืนยันหนักแน่นในคำพูดของตัวเอง

เมื่อไม่นานมานี้มีการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจของรัฐบาลจากพิษเศรษฐกิจ ประเทศแทบไม่มีอะไรดีให้หลงเหลืออยู่ ฉันยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในตอนที่มีรัฐประหาร มีการพูดคุยกันจนหนาหูถึงเรื่องการทำรัฐประหาร ฉันก็ฟังหูไว้หู อีกอย่างแถวๆ สนามหลวงก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเดือนตุลาเมื่อยามที่ฉันยังเป็นเด็กตัวเท่าลูกแมว

เรื่องเล่าที่บอกต่อๆ กันมาว่าปีนี้จะเป็นเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนชักจะหนาหูมากขึ้น มีการประท้วงกันอยู่ที่ราชดำเนิน และทุกวันชนกพรก็จะเอาข่าวมาบอกพวกเราว่าความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

ฉันนั่งรถจากบ้านไปที่ทำงานย่านใจกลางเมืองในวันนั้นแต่สิ่งที่พบเห็นก็คือสภาพถนนที่ไฟแดงโดนทำลายแตกกระจายเกลื่อนพื้น รถติดยาวเหยียด ต้องมีตำรวจคอยช่วยเหลือทำตัวเป็นไฟแดงตามสี่แยกต่างๆ แทน

กว่าจะไปถึงที่ทำงานได้ก็เกือบจะสาย เมื่อไปถึงที่ทำงานพี่ๆ ที่ทำงานก็บอกว่าคงต้องหยุดงานสักหลายๆ วันเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะบานปลาย

จริงอย่างที่ชนกพรบอก และเย็นวันนั้นก็มีข่าวการเผารถเมล์ เผารถตำรวจแถวๆ สน.นางเลิ้ง เรื่องที่คิดว่าจะเป็นการรวมตัวกันแบบสงบๆ มันเริ่มลุกลาม ข่าวที่เห็นนักข่าวสาวโดนพานท้ายปืนตี

ข่าวที่เหล่าบรรดาผู้ชุมนุมประท้วง โดนไล่กวดโดยทหารที่พบอาวุธครบมือมีออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ สาเหตุของการประท้วงมาจากการสืบทอดอำนาจของผู้เป็นใหญ่ ฉันก็ไม่เข้าใจว่า สันติวิธีของใครบางคน ทำไมถึงได้เรียกเลือดของคนในชาติ และกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยคำว่า “อำนาจ เผด็จการ”

นักศึกษาชุมนุมประท้วนกันทั่วเมือง ตั้งแต่ย่านรามคำแหง ย่านจุฬา ย่านสนามหลวง เหตุการณ์ไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงได้ง่ายๆ เลย ยิ่งปราบปรามคนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ชนกพรเดินกลับมาที่บ้านในยามดึกด้วยท่าทางที่อ่อนล้า

“เป็นไงนกเกิดอะไรขึ้น” จันทร์จิราถามคนรักและเข้าไปช่วยชนกพรหอบหนังสือที่ชนกพรหยิบติดมือกลับมาบ้านด้วยและเอาไปวางไว้บนโต๊ะ

“ที่มอจันทร์เป็นไงบ้างล่ะ”

“อืมก็หึ่มๆ กันไปตามเรื่อง”

“แต่ที่ราชดำเนินหึ่มๆ ยิ่งกว่าที่ไหน”

“ระวังตัวด้วยแล้วกันเราห่วงนกนะรู้ไหม”

“จ้ารู้แล้วไม่ต้องห่วงเรามากนักหรอก อีกอย่างเราพกหลวงพ่อโกยไว้กับตัวไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นเข้าใจ๋สาวน้อย” ชนกพรยังคงพูดเล่นไปเรื่อยเปื่อย

“ขอให้โกยได้ทันเอะนก เราเป็นห่วง” จันทร์จิราส่งสายตาห่วงใยให้กับชนกพร เธอเริ่มรู้สึกเป็นห่วงชนกพรขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก

“เออเมื่อกี้เห็นรถทหารเข้ามาเยอะมากไม่รู้จะเอาไปปราบอะไรหรือเปล่า” รตีที่เดินออกมาจากห้องน้ำบอกกับพวกเรา

“เหรอเยอะขนาดไหน” ธิติมาที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ถามขึ้น

“ฉันว่ามาทั้งกองทัพเลยแก น่ากลัวฉิบ ถ้าไงพรุ่งนี้แกไม่ต้องไปทำงานดีกว่าไอ้นก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะยุ่ง ปืนมันไม่มีตา” รตีหันไปบอกชนกพรด้วยความเป็นห่วง

“เค้าคงไม่ทำอะไรนักข่าวมั๊งแก แต่ฉันจะระวังตัวไว้เพื่อน”

“อย่าชะล่าใจมากนักนะไอ้นก พวกเราเป็นห่วงแกทุกคน” จินตนาเสริมทัพความห่วงชนกพรขึ้นไปอีก

การสนทนาในคืนวันนั้นเรารู้ว่ายังไงชนกพรก็ไม่เชื่อ รุ่งเช้าชนกพรก็ยังออกไปทำข่าวของเธออยู่ดี

“เกิดเหตุยิงกันระหว่างประชาชนที่ไปชุมนุมประท้วงที่บริเวณถนนราชดำเนินกับเจ้าหน้าที่ จำนวนผู้บาดเจ็บยังไม่สามารถรายงานตัวเลขได้ในขณะนี้”

เราทุกคนเมื่อได้ยินข่าวสิ่งที่คิดได้ในตอนนี้และพูดออกมาพร้อมกันก็คือ

“ไอ้นก!!!!”

จันทร์จิราถึงกับมือสั่น เมื่อได้ดูข่าวในโทรทัศน์

“ออกไปตามไอ้นกกันเถอะ” รตีบอกกับจันทร์จิรา

“ทิ้งเอาไว้ที่นี่คนนึงหรือสองคนก็ได้ ไอ้ธิแกกับลูกไก่รออยู่ที่บ้านนะพวกฉันจะได้โทรเข้ามาถามเป็นระยะๆ ว่าไอ้นกติดต่อกลับมาที่บ้านบ้างหรือเปล่า”

“โอเคเพื่อนฉันอยู่โยงให้เอง”

“กริ๊งๆๆๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“ฉันรับเอง” รตีบอกและเดินไปรับโทรศัพท์

“สวัสดีค่ะ”

“ตีเหรอขอสายแป๊ดหน่อยสิเรากิ่งเอง” ปลายสายบอกรตี

“อ๋อกิ่งเหรอเดี๋ยวนะ แป๊ดโทรศัพท์แกจากกิ่ง” รตียื่นโทรศัพท์ในมือให้ฉัน

“ว่าไงกิ่งนี่เรากำลังจะออกไปหาไอ้นกกัน ดูข่าวทีวีแล้วเป็นห่วงมัน” ฉันบอกกับคนรัก

“อืมไม่ต้องไปหาแล้วไอ้นกอยู่กับเรา แป๊ดใครมีเลือดกรุ๊ปโอบ้างลองถามที่บ้านให้หน่อย” เสียงของเธอถามฉันอย่างร้อนรน

“เราไงกรุ๊ปโอ ว่าแต่ถามทำไมเหรอ”

“ไม่มีอะไรถ้ามีเลือดกรุ๊ปโอออกมาหาเราที่โรงพยาบาลหน่อยสิเราต้องการ”

“เดี๋ยวนะเดี๋ยวถามก่อน”

“เฮ้ยพวกแกใครมีเลือดกรุ๊ปโอบ้าง”

“ฉันมีแต่ตอนนี้แดงเดือดวะ” ธิติมาตอบ

“ฉันก็โอ” รตีอีกเช่นกัน

“มีแค่นี้เหรอไอ้เจ้าแกกรุ๊ปอะไร”

“กรุ๊ปเอ” จันทร์จิราตอบแบบซังกะตายเพราะใจของเธอกำลังห่วงชนกพรมากกว่า

“เราก็น่าจะโอนะเพราะพ่อกับแม่เราโอ” กันตาเองไม่แน่ใจในกรุปเลือดของตัวเองตอบเหมือนกัน

“โอเคกิ่งตอนนี้มีสี่คนที่กรุ๊ปโอ ว่าแต่กิ่งจะเอาไปทำอะไร”

“พอดีมีคนที่นี่ต้องการเลือดด่วน พวกแป๊ดจะออกมาจากบ้านตอนนี้เลยได้หรอเปล่า”

“ได้สิไปกันหมดนี่เลยหรอ”

“อืมใช่มากันให้หมดบ้านนั่นล่ะ เออบอกจันทร์ด้วยว่านกอยู่กับเราไม่ต้องห่วง”

“โอเคเราจะบอกให้”

“รีบๆ ออกมาเลยนะแป๊ด”

“จ้าแม่จะรีบไปเดี๋ยวนี้” หลังจากวางสายของภัทรทราภรณ์ฉันก็บอกข้อความทั้งหมดที่เธอฝากบอกเพื่อนๆ และพวกเราก็นั่งรถของกันตาไปยังโรงพยาบาลที่ภัทรทราภรณ์อยู่

“ไอ้นกมันไปทำข่าวที่โรงพยาบาลหรือไงวะ ทำไมไปอยู่กับกิ่งได้” รตีเริ่มการสนทนาที่พวกเราเองก็ตอบไม่ได้

“นั่นสิ หรือว่าไปทำข่าวคนที่บาดเจ็บหรือไม่ก็คงไปเก็บข้อมูลของคนบาดเจ็บมั๊ง” ธิติมาเดาไปเรื่อยเปื่อย

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลดูโกลาหลไปหมด เพราะเต็มไปด้วยคนที่บาดเจ็บจากการชุมนุม ฉันเดินไปที่ประชาสัมพันธ์ถามหาภัทรทราภรณ์ที่นั่นและก็ได้รับคำตอบว่าเธอทำงานอยู่ในห้องฉุกเฉิน เรารออยู่ที่หน้าห้องไม่นานภัทรทราภรณ์ก็เดินออกมา

“ไปแป๊ดไปคลังเลือดกันไปเร็วๆ เข้า” ท่าทางของภัทรทราภรณ์ดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

เธอเดินนำพวกฉันไปที่คลังเลือดและทุกคนก็เจาะเลือดของตัวเอง ในที่สุดทุกคนก็ได้บริจาคเลือดกันหมด ยกเว้นธิติมาคนเดียวเท่านั้นที่แดงเดือดและไม่สามารถที่จะบริจาคเลือดได้ ฉันเห็นภัทรทราภรณ์ไปบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่คลังเลือดสักพักเธอก็เดินมาบอกฉันว่า

“เดี๋ยวเสร็จแล้วแป๊ดรอเราอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินนะอย่าไปไหนอย่าไปไหนนะ” ภัทรทราภรณ์ย้ำคำว่า “อย่าไปไหนถึงสองครั้ง” จนฉันเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง

ในความคิดของฉันตอนนี้กลับนึกถึงชนกพรในครั้งหนึ่งสมัยเรียนมอหกตอนพวกเราเรียน รด. ในชั่วโมงสุดท้ายกันและเราไม่อยากที่จะไปพัฒนาคูคลอง ฉันกับชนกพรจึงเลือกที่จะไปบริจาคเลือดแทน

“ไปไอ้แป๊ดไปบริจาคเลือดกัน”

“ไม่เอาเว่ยกลัวเข็ม” ฉันรีบปฏิเสธไปทันทีเหมือนกัน เพราะใจนั้นกลัวเข็มมาแต่ไหนแต่ไร

“ไปเถอะน่าแกก็ดีกว่าลงน้ำ” ชนกพรรุนหลังฉันที่ออกท่าทางกลัวเข็มจนหน้าซีด

“เลือดกรุ๊ปโอนะคะ” พยาบาลบอกกับฉันและชนกพรเมื่อเจาะเลือดที่ปลายนิ้วของเราทั้งสองไปตรวจเรียบร้อย

ฉันจำได้ว่าขาของฉันสั่นไปหมด เพราะเมื่อเห็นเข็มอันโตๆ และเลือดที่ไหลลงไปในถุง มันเป็นเหมือนกับถุงเลือดหมูที่แม่ค้าตามตลาดเค้าเอามาขาย

“หนีเสือปะจระเข้หรือเปล่าวะไอ้นก” ฉันสะกิดชนกพรที่เธอเองก็สั่นไม่แพ้กับฉัน

“นั่นสิแก เอาวะเป็นไงเป็นกันเสียเลือดดีกว่าเสียแรง” ชนกพรตอบแบบตัดใจ ทั้งๆ ที่เธอเองก็กลัวเข็มอันโตนั้นเหมือนกับฉันเช่นกัน

ความหลังครั้งวันวานนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ฉันจำฝังใจอยู่ตลอดไม่มีวันลืม เพราะมันเป็นวันที่ฉันเสียเลือดแบบมีประโยชน์ครั้งแรกในชีวิตและเมื่อมีครั้งต่อมาเรื่อยๆ ฉันก็ไม่เคยกลัวเข็มบริจาคเลือดอีกเลย

ที่สำคัญทำไมภัทรทราภรณ์ต้องการเลือดกรุ๊ปโอ และทำไมถึงเจาะจงแต่เลือดกรุ๊ปนี้ หรือว่ามีใครเป็นอะไรมากมายถึงขนาดที่จะต้องใช้เลือดด่วนแบบนี้

สิ่งที่พวกเราค้างคาใจก็ได้ถูกเฉลยเมื่อภัทรทราภรณ์พาพวกเราไปรออะไรสักอย่างที่หน้าห้องผ่าตัด

“มาทำไมที่นี่กิ่ง” จันทร์จิราที่ทนไม่ไหวถามขึ้นมา

“มาให้กำลังใจนกกันนะเพื่อนๆ ช่วยกันภาวนาให้นกปลอดภัยกับการผ่าตัดครั้งนี้” เสียงของภัทรทราภรณ์สั่นเครือ

“อะไรนะไอ้นกเป็นอะไร” จันทร์จิราจับต้นแขนของภัทรทราภรณ์เขย่าย่างแรง จนตัวของภัทรทราภรณ์เซ

“นกเค้าโดนยิงจากด้านหลังทะลุท้อง แต่ไม่ต้องห่วงนะเพื่อนอาจารย์หมอกำลังช่วยอยู่”

“พูดอกมาได้ไงกิ่งว่าไม่ต้องห่วงใช่สินกไม่ใช่แป๊ดแฟนกิ่งนี่กิ่งจะได้ไม่ต้องห่วง ลองมาเป็นไอ้แป๊ดบ้างสิกิ่งจะห่วงมันแค่ไหน ทำไมนะทำไมไม่เป็นฉันแทนที่จะเป็นนก ทำไมแกบอกฉันสิว่าทำไม ทำไมเมื่อเช้าฉันไม่ฉุดนกไว้แล้วบอกว่าอย่าไปเลยฉันหวงมัน ฉันนี่มันแย่มากๆ เป็นแฟนที่แย่มากๆ แค่เลือดฉันก็ให้คนรักของฉันไม่ได้ ฉันมันไม่เอาไหนเลยเกิดมาเสียชาติเกิด ฮือๆๆ” จันทร์จิราระเบิดอารมณ์ของเธอใส่ภัทรทราภรณ์อย่างบ้าคลั่ง และร้องไห้ออกมาเหมือนกับคนบ้า

“ไอ้เจ้าสงบสติอารมณ์หน่อยสิแกไอ้หมอมันไม่ผิดนะแก มันช่วยไอ้นกนะเว่ยแกไปว่ามันได้ไง” รตีจับจันทร์จิราที่ตีอกชกหัวตัวเองอยู่ให้หยุดทำร้ายตัวเองธิติมาก็เข้าไปช่วยรตีจับจันทร์จิราเช่นกัน

ในหัวสมองของพวกเราตอนนี้มีแต่ภาพของชนกพรเต็มไปหมด พวงทองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับจันทร์จิรา ภาพการสนทนาของจันทร์จิรากับชนกพรเมื่อเช้ายังคงติดอยู่ในหัวสมองของพวงทอง

“ระวังตัวด้วยแล้วกันเราห่วงนกนะรู้ไหม”

“จ้ารู้แล้วไม่ต้องห่วงเรามากนักหรอก อีกอย่างเราพกหลวงพ่อโกยไว้กับตัวไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นเข้าใจ๋สาวน้อย”

ทั้งๆ ที่คนทั้งบ้านไม่มีใครออกไปไหน ทั้งๆ ที่คนทั้งบ้านกลัวตายกลัวจะเกิดเรื่องแต่ชนกพรไม่กลัว เธอออกจากบ้านไปพร้อมๆ กับคำทัดทานของเพื่อนๆ ให้ระวังตัวให้ดี

จากวิถีกระสุนที่ภัทรทราภรณ์บอกแสดงว่าชนกพรโดนยิงขณะที่พยายามจะวิ่งหนี พวงทองเริ่มอยากที่จะรู้ว่าใครกันนะที่ใจคอโหดเหี้ยม ชั่วช้าถึงขนาดยิงกราดผู้หญิงที่วิ่งหนีได้ คนเหล่านั้นไม่มีลูกเมียพ่อแม่พี่น้องบ้างหรืออย่างไรกัน และจิตใจทำด้วยอะไร

ชนกพรเป็นคนน่ารักนิสัยดีมองโลกในแง่ดีมาตลอด ทำไมถึงได้โดนอะไรแบบนี้

พวกเราได้แต่สวดมนต์ให้กับชนกพรขอให้พระคุ้มครองให้เธอรอดปลอดภัย ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งทางใจให้กับพวกเราได้มากกว่าขอให้พระคุ้มครองชนกพรเพื่อนที่แสนดีของเรา

....................

หลังจากที่โภคินและจารวีรู้ข่าวของลูกสาวตนเองจากภัทรทราภรณ์ ก็รีบบึ่งรถลงมาจากเมืองเหนือเข็มไมล์ของรถมีเท่าไหร่โภคินเหยียบมาจนมิด ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวของตนเอง ระยะทางหกร้อยกิโลเมตรกับการเดินทางสี่ชั่วโมงกว่าๆ หากใครรู้ก็คงคิดว่าโภคินเหาะมาอย่างแน่นอน

สองชั่วโมงแล้วที่ชนกพรอยู่ในห้องผ่าตัด

เมื่อโภคินมาถึงหมอก็ออกมาพร้อมกับภัทรทราภรณ์ เขารีบตรงไปบอกกับหมอว่า

“เอาเลือดผมไหมครับ เอาเลือดผมให้ลูกผมไหมครับหมอ”

“คุณไม่ได้พักผ่อนเลือดคงให้ไม่ได้หรอกครับ แล้วตอนนี้การผ่าตัดของเราก็เรียบร้อยแล้วกระสุนที่ฝังอยู่ก็เอาออกมาเรียบร้อยแล้วครับคนไข้ปลอดภัยดี ตอนนี่เราขอให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อนสักระยะพรุ่งนี้สายๆ อาจจะเข้าเยี่ยมได้”

“ผมแค่อยากเห็นหน้าของลูกสาวผมเท่านั้นครับหมอ”

“ตอนนี้คงยังไม่ได้ครับ คนไข้ยังไม่พร้อมที่จะพบใครใจเย็นๆ นะครับพรุ่งนี้ได้เจอแน่ๆ ผมรับรองกลับไปพักผ่อนเถอะครับคุณ มาใหม่วันพรุ่งนี้ หมอต้องขอตัวก่อนนะครับมีคนไข้รายอื่นรออยู่”

“แม่ค่ะพ่อค่ะกลับไปพักที่บ้านก่อนดีกว่าค่ะดึกแล้วด้วย” รตีเข้ามาบอกกับคุณโภคินและคุณจารวีที่ยังคงยืนเกาะประตูไม่ห่างไปไหน

“แม่คงนอนไม่หลับหรอกลูกรตีแม่ห่วงนก” คุณจารวีเดินท่าทางเหมือนจะอ่อนแรงมานั่งที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด

“นกเป็นคนดีค่ะแม่นกต้องปลอดภัย” พวงทองให้กำลังใจคุณจารวี และยังคงนั่งเอายาดมให้กับคุณจารวีดม เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าคุณจารวีจะเป็นอะไรไปอีกคน

“ขอให้นกหายเถอะลูกขอให้นกปลอดภัยแม่สัญญาว่าถ้านกหายนกอยากได้อะไรนกอยากทำอะไรแม่จะยอมทุกอย่างแล้ว แค่ขอให้นกปลอดภัยก็พอแล้วจริงๆ นะเติ้ล ให้แม่เจ็บปวดแทนนกได้แม่จะทำแล้วลูก”

“ค่ะแม่เติ้ลเข้าใจ เติ้ลรู้ค่ะแม่” พวงทองส่งผ่านความรักของเธอให้กับแม่ของเพื่อนรักที่ตอนนี้ดูเหมือนจะอยากเจ็บอยากป่วยแทนลูกของตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด

จันทร์จิรานั่งพิงผนักเก้าอี้เหม่อลอยราวกับคนไม่มีสติ พวกเราได้แต่มองจันทร์จิราและสงสารจับใจ

....................

รุ่งขึ้นในตอนเช้าหมออนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมชนกพรได้ คุณโภคินและคุณจารวีรีบเข้าไปก่อนใคร เพราะเข้าเยี่ยมได้ครั้งละสองคน ทั้งสองท่านเข้าไปนานมากจนพวกเราเริ่มเป็นห่วงอาการของชนกพร

“กิ่งนกเป็นไงบ้าง”

“นกฟื้นแล้วแต่ยังขยับไม่ได้มาก กระสุนมันฝังที่กระดูกสันหลังกว่าจะเอาออกมาได้เห็นอาจารย์หมอบอกว่าใช้เวลามาก โชคดีนะที่ไม่ตัดเส้นประสาทโล่งอกไปหน่อยนึง ตอนนี้นกต้องการพักผ่อนมากๆ พวกแป๊ดกลับบ้านไปก่อนเถอะ เอาจันทร์กลับไปด้วยถึงอยู่เราก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้หรอก”

“งั้นกิ่งช่วยบอกพ่อกับแม่ด้วยนะว่าพวกเรากลับก่อนแล้วเย็นๆ เราจะกลับมาใหม่” รตีบอกกับภัทรทราภรณ์

“ได้ตีเราจะบอกให้ไม่ต้องห่วงทางนี้นะเราดูแลให้เอง”

พวกเราช่วยกันประคองจันทร์จิรากลับบ้าน อาการเหม่อลอยของจันทร์จิราทำให้พวกเป็นห่วงมากยิ่งกว่าชนกพรที่อยู่โรงพยาบาลมากมายนัก จันทร์จิราไม่กินไม่นอนไม่ขยับไปไหนนั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกไม่ขยับไปไหน ราวกับเป็นก้อนอะไรสักอย่างที่เราจับวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น

“ไอ้เจ้าท่าจะเป็นหนักมากเลยนะพวกแก” ธิติมาบุ้ยปากไปที่จันทร์จิรา

“ก็เข้าใจมันนะว่ารักมากก็ห่วงมากแต่ฉันกลัวว่ามันเป็นแบบนี้ตัวมันเองจะทรุดมากกว่าไอ้นกนะสิแก” รตีออกความเห็นบ้าง

“ไอ้เจ้ากินนมอุ่นๆ สักนิดเถอะแก อย่านั่งซึมแบบนี้เลยแก ถ้าไอ้นกมันเห็นแกแบบนี้มันจะต้องเสียใจมากๆ เลยนะแก” จินตนายื่นแก้วนมที่เธออุ่นมาแล้วส่งให้จันทร์จิราแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับหรือปฏิเสธจากจันทร์จิราแต่อย่างใด

“ไอ้แป๊ดโทรไปถามกิ่งสินกดีขึ้นหรือยัง” จันทร์จิราหันมาบอกฉันแทนที่จะรับนมจากในมือของจินตนา

ฉันลุกไปโทรศัพท์ฝากข้อความไว้เพื่อให้ภัทรทราภรณ์โทรกลับ จากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจันทร์จิรารีบลุกไปรับโทรศัพท์ทันที

“ไอ้หมอนกเป็นไงบ้าง”

“นกได้สติแล้วกินอาหารอ่อนๆ ได้แล้วจันทร์ ตัวเธอเองก็รีบๆ กินอะไรเข้าไปบ้างแล้วกัน เย็นนี้แต่งตัวสวยๆ หอมๆ มาเยี่ยมนกนะจันทร์”

“ได้ๆ เราจะกินเราจะอาบน้ำเดี๋ยวนี่แหละไอ้หมอขอบใจมากนะเพื่อน”

“ไม่เป็นไรจันทร์ เราเพื่อนกัน”

หลังจากจันทร์จิราวางสายของภัทรทราภรณ์ก็รีบไปอาบน้ำ และลงมากินนมในแก้วที่จินตนาวางเอาไว้ให้ จันทร์จิราเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเยี่ยมชนกพรตั้งแต่รับโทรศัพท์ของภัทรทราภรณ์ นั่งรอเวลาที่พวกเราจะไปโรงพยาบาล

กว่าเราจะมาถึงโรงพยาบาลก็ราวๆ บ่ายเศษๆ จันทร์จิรารีบเปิดประตูรถและวิ่งลงไปตั้งแต่รถของกันตายังไม่ถึงประตูโรงพยาบาล ฉันรีบวิ่งตามจันทร์จิราไปติดๆ เพราะกลัวว่าจันทร์จิราจะทำอะไรแปลกๆ อีกหากเห็นสภาพจริงๆ ของชนกพรไม่เป็นไปตามที่จันทร์จิราคาดเดาเอาไว้

แต่เมื่อมาถึงห้องของชนกพรฉันก็ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง เพราะชนกพรฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ จันทร์จิราเจ้าไปจับมือของชนกพรบีบให้กำลังใจ

“นกรู้ไหมว่าเราห่วงนกมากแค่ไหน ต่อไปนี้อย่าไปทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีกนะเข้าใจไหมนก”

ชนกพรพยักหน้าตอบรับจันทร์จิรา แววตาของเธอสดใสเหมือนเช่นที่เคยมา จันทร์จิราอยากที่จะก้มลงจูบแก้มซีดๆ ของชนกพรเหลือเกินติดแต่อยู่ที่คุณโภคินและคุณจารวีพ่อกับแม่ของชนกพรยังนั่งเฝ้าลูกสาวอยู่ที่ปลายเตียง

ทั้งสองคนสื่อสารกันด้วยสายตาแห่งความรักและความห่วงใย จนกระทั่งเพื่อนๆ ทั้งหมดเดินเข้ามาในห้อง จากห้องที่ดูใหญ่เมื่อสักครู่กลายเป็นห้องที่เล็กลงไปถนัดตา

เมื่อทักทายคนป่วยที่นอนยิ้มแป้นกันหมดทุกคนแล้ว พวงทองก็เข้าไปถามคุณโภคินกับคุณจารวีว่า

“พ่อกับแม่ทานอะไรหรือยังคะ”

“ยังเลยลูก มัวแต่ห่วงนกก็เลยกินอะไรไม่ลง” โภคินตอบพวงทองเพราะเขากับภรรยายังไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรทั้งนั้นตั้งแต่เมื่อคืน

“งั้นไปหาอะไรกินกับเติ้ลก่อนดีไหมค่ะ ทางนี้เดี๋ยวเพื่อนๆ ดูแลให้เอง”

“ก็ดีเหมือนกันเติ้ล แม่ฝากนกไม่เดี๋ยวนะจันทร์เดี๋ยวแม่กับพ่อมา”

“ค่ะแม่”

หลังจากที่พวงทองภาคุณโภคินและคุณจารวีออกจากห้องไป จันทร์จิราก็ก้มลงกอดชนกพรแบบหลวมๆ เพราะกลัวว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงจะเป็นอะไรไป

“คราวหลังไม่ทำแล้วนะงานแบบนี้ ไม่ต้องทำงานอะไรเลยก็ได้เราเลี้ยงนกได้สบายมาก”

“ไม่เอาหรอกจันทร์ถ้าไม่ทำงานอะไรเลยมันก็เหมือนเป็นตัวถ่วงจันทร์ ไม่เอาดีกว่าเราทำงานดีกว่า”

“ไม่ได้สิก็นกไม่สบายนกไม่ต้องทำงานหรอกเราจะทำเองนกเป็นแม่บ้านให้เราเป็นทุกอย่างให้เรา รู้ไหมนกถ้านกเป็นอะไรขึ้นมาเราจะอยู่ได้ไงถ้าไม่มีนก”

“จันทร์เรารู้ว่าจันทร์รักเรา แต่เราขอเถอะนะถ้าเกิดเราเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จันทร์ต้องอยู่ต่อเราไม่อยากให้จันทร์ต้องอยู่กับความทุกข์ ในวันที่ไม่มีเรา”

“ไม่นะนกอย่าพูดแบบนี้”

ชนกพรกำลังจะเถียงจันทร์จิราแต่ปากที่ซีดเซียวของชนกพรก็ถูกประกบด้วยปากของจันทร์จิรา และไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของคนทั้งคู่อีก

แต่แล้วประตูห้องก็เปิดเข้ามา คุณจารวีที่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์และกลับเข้ามาได้เห็นภาพที่เธอเองไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น คู่หมั้นของหลานชายสามี เพื่อนคนสนิทของลูกสาวจูบกัน ทำเอาคุณจารวีแทบเข่าอ่อน มันเกิดอะไรกับลูกสาวเธอและเพื่อนสนิทคนนี้ โดยที่เธอไม่เคยรับรู้

..... จบบทที่ ๒๙ ....




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 12:03:23 น.
Counter : 310 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.