It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : สวมรอยเงาข้างใจ

สวมรอยเงาข้างใจ โดยผิงดาว

“เฮ้ยพี่ป่านวันนี้น้องมีของฝากพี่ป่านด้วยแวะมาเอาที่หอนะ” ปวีณาหลังจากที่กลับมาจากการท่องเที่ยวโทรบอกรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกันให้มารับของฝากจากใจ ถึงไม่มีราคาค่างวดอะไรแต่เธอก็ตั้งใจซื้อมาฝากรุ่นพี่ของเธอ

“เออตอนเย็นแวะไป ว่าแต่ว่าเที่ยวสนุกไหม” ป่านทอรุ่นพี่ที่แสนดีของปวีณารับคำและถามไถ่เรื่องการท่องเที่ยวของรุ่นน้องคนสนิท

“สนุกพี่ มีที่เที่ยวเยอะเลย แต่อาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่” ปวีณาบ่นเล็กๆ น้อยๆ

“เออไว้คุยกันพี่ไปทำงานก่อน” ป่านทอตัดบทเพราะเธอมีงานค้างอยู่บนโต๊ะมากมาย แล้วก็ตัดการสนทนาของทั้งคู่ลงอย่างง่ายดาย

ป่านทอและปวีณารู้จักกันในฐานะรุ่นพี่และรุ่นน้อง ทั้งสองคนตัวติดกันตั้งแต่ครั้งที่ป่านทออกหัก ปวีณาเองก็ไม่ได้แตกต่างกัน คนรักของเธอทั้งคู่ ต่างมาขอแยกทางกันไป คนละทิศละทาง


จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มสนิทกันมาเรื่อยๆ ด้วยความที่มีอุปนิสัยที่คล้ายกัน น้ำเสียงที่พูด คำพูดคำจา กริยาท่าทาง และการดำเนินชีวิต ทั้งคู่มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน จนหากว่าใครไม่สังเกตคงคิดว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา

ป่านทอแก่กว่าปวีณาสองปี แต่อายุของทั้งคู่ไม่ใช่ปัญหา ทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเป็นบุคคลพิเศษแบบเดียวกัน นั่นคือทั้งคู่เป็นหญิงรักหญิง ดังนั้นการคุยกันจึงเป็นเหมือนคนที่มีแนวทางเดียวกัน ปรึกษากันโดยไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเพื่อน หรือแม้แต่เรื่องความรัก

จนวันที่ป่านทอเรียนจบได้งานทำ ปวีณาก็แสนจะยินดีที่รุ่นพี่มีงานทำ เธอทั้งสองไปเลี้ยงฉลองการได้งานของป่านทอที่ผับแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พัก

“เฮ้ยณาพี่ว่าสาวคนนั้นสวยวะ” ป่านทอชี้ให้ปวีณาดูสาวสวยที่เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาในผับ ท่าทางดูดีมี Class เป็นอย่างมาก

“สีเลยพี่แบบนี้ต้องลอง” ปวีณาลุ้นรุ่นพี่ตัวโก่ง

“เอางั้นเลยเหรอ เออเอาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ด้วยน้ำเมาที่ดื่มเข้าไปได้สร้างภูมิคุ้มกันการอายเป็นทุนเดิมให้จางหายไป ความกล้าก็ปรากฏกับป่านทอขึ้นมาทันที

“สวัสดีค่ะคุณไม่ทราบว่าพอจะไปร่วมวงของพวกเราจะได้หรือไม่ ฉันมากับเพื่อนแค่สองคน แล้วตอนนี้ที่นี่ก็ไม่มีโต๊ะว่างแล้ว หากคุณจะไม่รังเกียจ เชิญที่โต๊ะของเราได้” ป่านทอแสดงความเป็นกันเองกับสาวนางนั้นจนปวีณาที่ยืนลุ้นอยู่แทบจะหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง

หญิงสาวสว่างวาบคนนั้นมองไปทั่วผับก็เห็นด้วยกับป่านทอ และมองไปที่โต๊ะของป่านทอก็เห็นปวีณายืนโบกไม้โบกมือ เธอคิดว่าไม่เสียหายอะไรที่เธอจะไปร่วมวงกับสองสาวนั้น และตอนนี้เธอก็อยากมีใครสักคนที่จะมาคุยด้วยคลายเหงาอยู่แล้ว

วิปุลาหญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะตามคำเชื้อเชิญของป่านทออย่างง่ายดาย ทั้งป่านทอและปวีณากุลีกุจอหาเก้าอี้ให้เจนจิราที่เข้ามาใหม่ได้นั่งเพราะในผับแห่งนี้

ถึงแม้ว่าจะมีโต๊ะแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเก้าอี้จะมีมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นการให้แขกที่เข้ามายืนกันเสียมากกว่าเพราะผับทั่วๆ ไปก็รู้ๆ กันอยู่ว่าขายดริงค์ มากกว่าตั้งใจจะขายอาหาร

ปวีณาได้เก้าอี้ทรงสูงมากมาให้กับแขกของป่านทอหนึ่งตัว และตนเองก็ยืนอยู่ด้านข้างเก้าอี้ทรงสูงของหญิงสาว โต๊ะทรงกลมพอมีพื้นที่สำหรับวางแก้วเหล้าเบียร์และอาหารได้นิดๆ หน่อยๆ ตอนนี้มีแก้วเหล้าถังน้ำแข็งและมิคเซอร์ที่เจนจิราสั่งมาสำหรับการดื่มเพื่อให้เมาจนลืมเรื่องเลวร้ายของเธอ

“เอ่อไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรค่ะ” ป่านทอเริ่มชวนคุยเมื่อแขกที่มาใหม่โดยเธอเองเป็นผู้เชื้อเชิญนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม

“เราชื่อปู คุณล่ะ” วิปุลาตอบคำถามแข่งกับเสียงเพลงที่ดังสนั่นหวั่นไหว

“เราป่านส่วนนี้รุ่นน้องเราชื่อวี” ป่านทอแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน และเธอก็บริการชงเหล้าให้กับวิปุลาอย่างเต็มที่

“On the rock” เสียงของวิปุลาบอกกับป่านทอ ทำเอาคนกำลังจะรินมิกเซอร์ถึงกับอึ้ง

“ดุจิงแฮะ” ป่านทอพึมพำกับตัวเองและรู้ดีว่าวิปุลาไม่มีทางได้ยินเสียงที่เธอพูดออกมาแน่ๆ เพราะเสียงเพลงที่ดั่งสนั่นนั้นขนาดตะโกนยังแทบไม่ได้ยิน

เสียงดนตรีดังกระหึ่มเสียงเบสที่กระแทกมาแต่ละครั้ง ทำเอาคนที่ยืนอยู่รู้สึกสั่นในอกไปหมด เนื่องจากแรงกระแทกของเสียงที่ปล่อยออกมาจากลำโพงขนาดมหึมา เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของผับแห่งนี้ดูจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก

แต่ก็ไม่เห็นจะมีลูกค้าคนไหนที่บ่นว่าเสียงเพลงในผับแห่งนี้ดังแต่อย่างใด ทุกคนสนุกสนานกับการเต้นยักย้ายส่ายสะโพกไปมาอยู่ตรงโต๊ะประจำของแต่ละคน

ผับแห่งนี้เป็นผับที่รับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ดังนั้นในวันหยุดประจำสัปดาห์ ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งรวมบุคคลพิเศษทางสังคมให้ได้มาพบปะกัน หากเกิดมี One night stand หรือที่ใครๆ มักเรียกว่ารักข้ามคืนเกิดขึ้นที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เมื่อเมาได้ที่วิปุลาก็ลุกขึ้นเต้น แต่จะเต้นข้างล่างอย่างที่ใครๆ ทำกัน ไม่มีทางแน่นอนวันนี้เป็นวันแห่งการปลดปล่อยอารณ์ของเธอ วิปุลาปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะกลมๆ แล้วก็เต้นอย่างไม่คิดชีวิต จนคนทั้งหลายหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน

ป่านทอและปวีณาต้องช่วยกันประคองโต๊ะกลมนั้นไม่ให้ล้มลงมาเพราะเธอทั้งสองกลัวว่าหากโต๊ะล้มขึ้นมาจริงๆ วิปุลาคงได้หัวร้างข้างแตกอย่างแน่นอน

“โหพี่ป่านแม่คนนี้ร้ายลึกเหมือนกันนะ” ปวีณาแอบกระซิบกับป่านทอ

“อืม” ป่านทอได้แต่ส่งเสียงในลำคอเพราะไม่คิดไม่ฝันว่า หญิงสาวสวย มาดดีๆ ท่าทางหยิ่งๆ คนที่เธอเคยเห็นในตอนแรก จะกลับกลายมาเป็นหญิงสาวที่กล้าบ้าบิ่นได้ถึงขนาดนี้

หากว่าเธอและปวีณาไม่ได้มายืนหรือร่วมวงดื่มด้วยคืนนี้หญิงสาวคนนี้จะเป็นอย่างไร มิโดนแร้งกาฉีดเนื้อเถือหนังไปแล้วหรือนี่

กว่าทั้งสามจะออกมาจากผับแห่งนั้นก็เกือบจะตีสอง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เพราะวิปุลาดูเหมือนจะไม่อยากจะไปไหนต่อเธอขอตัวขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ส่วนป่านทอกับปวีณาก็กลับที่พักของตัวเอง

“พี่ว่าแม่สาวคนนั้นเป็นไง”

“อืมแรกๆ ก็ดูดี ตอนนี้พอเห็นตอนเมาบอกตรงๆ นะหมดศรัทธาจริงๆ” ป่านทอบอกไปตามตรง เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยจะชื่นชอบผู้หญิงที่เมาแล้วคุมสติตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

เรื่องเม้าท์กระจายของรุ่นพี่รุ่นน้องในรถก็ไม่ได้ไปไหนไกลคงมีเพียงเรื่องของแม่สาวสว่างวาบและกลายเป็นราหูไปภายในคืนเดียวของหญิงสาวที่ทั้งคู่พึ่งรู้จักและแยกย้ายไปคนนั้น

....................

“เฮ้ยพี่ป่านมาดูนี่สิคนนี้หน้าคุ้นๆ นะพี่ป่าน” ปวีณาเรียกให้ป่านทอมาดู Hi 5 ของเธอที่มีคน Add เข้ามา และเธอก็รู้สึกคุ้นๆ กับรูปร่างหน้าตาของหญิงที่ Add เข้ามาคนนั้น

“เออคุ้นหน้าจริงๆ ด้วยสิ ไหนขอดูให้ชัดๆ หน่อยสิ” จากนั้นป่านทอก็นั่งลงที่หน้าเครื่องคอมของปวีณาและเริ่ม Click เข้าไปอ่านเรื่องราวต่างๆ ของผู้หญิงที่เธอและรุ่นน้องรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนนั้น

“เฮ้ยวีพี่ว่าพี่จำได้แล้ว แม่สาวสว่างวาบคนนั้นไง” ป่านทอที่พอมีเนื้อที่รอยหยักในหัวสมองของเธออยู่บ้างก็คิดออกว่าหญิงสาวที่ปรากฏรูปตรงหน้าของเธอคือใคร

“เออใช่ๆๆ พี่ป่านวีจำได้แล้ว” ปวีณาเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำของเธอได้เช่นกัน

“แล้วไงมาโผล่ที่นี่ได้แปลกจัง” ป่านทอถามปวีณาเมื่อเห็นข้อความใน Hi 5 ของรุ่นน้อง

“ไม่แปลกหรอกพี่ ในนี้มีคนที่เราไม่รู้จักเยอะไปหมดบางวัน Add มาเป็นร้อย มาจากไหนไม่รู้จนวีงง”

“เออนะคนเราชอบคุยอะไรไม่รู้ แถมยังไม่รู้ว่าเป็นใครก็ยังคุยกันในอินเตอร์เนทไปได้เรื่อยเปื่อย คุยได้คุยดี ระวังเถอะจะมีพวกชอบหลอกลวงมาคุย เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน” ป่านทอบ่นปวีณาที่คุยกับคนไปทั่ว ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันก็ยังคุย

“แหมพี่ Hi-tech หน่อยน่า เดี๋ยวนี้โลกเค้าพัฒนาไปไกลไหนต่อไหน จนจะไปดาวอังคารกันอยู่แล้ว แล้วนี่พี่รู้หรือเปล่าว่าดาวพลูโตไม่ได้เป็นดาวเคราะห์ของระบบสุริยะแล้ว”

“ไม่รู้มันหลุดไปจากวงโคจรหรือไง”

“ฮ่าๆๆ เชยระเบิดเลยพี่เรา ม่ายช่ายๆ เค้าบอกว่ามันเป็นดาวเคราะห์น้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นดาวเคราะห์” ปวีณาพยายามจะอธิบาย แต่ดูท่าทางของป่านทอแล้วเธอก็เลิกที่จะอธิบายจะดีกว่า เพราะขืนอธิบายไปคืนนี้ไม่ต้องหลับต้องนอนแน่ๆ

“เออพี่มันคนเชยไม่รับรู้ข่าวสารโลกภายนอก เฮ้ย มีคน Add Msn มาแนะจะรับหรือเปล่า” ป่านทอหันมาถามเมื่อเธอเห็นมีข้อความขอให้รับ Add

“รับไปเถอะพี่ ถ้าคุยแล้วไม่ได้เรื่องก็ Block Delete ไปเลยแล้วกัน” ปวีณาที่ตอนนี้เริ่มง่วงก็บอกกับป่านทอให้ทำอย่างที่เธอบอก

ป่านทอกดรับ Add แล้วก็มีข้อความส่งมาว่า

“สวัสดีคุณวี จำเราได้หรือเปล่าเราปูไง”

ป่านทอรู้สึกคุ้นๆ กับชื่อที่คนคุยอีกฝั่งบอกและเมื่อเห็นรูปที่โชว์อยู่ก็ทำให้เธอจำได้ว่าคนที่พูดกับเธอนั้นเป็นใคร

“อ๋อจำได้ค่ะคุณปู สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบกันตั้งนานยังเมาเละเหมือนเดิมหรือเปล่า”

ป่านทอสวมรอยเป็นปวีณาคุยกับวิปุลาไปทั้งๆ ที่เจ้าของ E-mail ตัวจริงหลับฝันดีเฝ้าพระอินทร์เพื่อรอขอหวยงวดใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะถึงอย่างไรพรุ่งนี้เธอก็ต้องเล่าเรื่องที่เธอคุยกันกับปวีณาฟังอยู่ดี

อีกอย่างเธอ Save การพูดคุยระหว่างเธอกับวิปุลาไว้ในเครื่องหากว่าปวีณาอยากรู้เรื่องที่เธอคุยก็คงไม่ยากอะไรที่จะ click ดูข้อความเหล่านั้น

“ยังเหมือนเดิมเลยคุณ เออนี่เรากลับไปที่ผับนั้นอีกก็ไม่เห็นคุณอีกเลยไม่ได้มาเที่ยวอีกหรือคะ”

“ไม่ได้ไปแล้วเพราะว่าพี่ป่านไม่ว่างทำงานงกๆ จนลืมพาน้องไปเที่ยว อีกอย่างช่วงนี้เราเรียนหนักการบ้านเยอะก็เลยไม่ได้ไป” ป่านทอที่สวมรอยอยู่ แอบต่อว่าตัวเองและพูดความจริงเรื่องที่ปวีณาเรียนหนัก

“เหรอมิน่าล่ะเราเลยไม่ได้พบคุณอีก”

“ทำไมล่ะอยากเจอเราเหรอ”

“อืมเราเหงาอะคุณ”

“เหงาแล้วต้องไปเที่ยวผับเหรอ”

“เปล่าเราแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวก็แค่นั้น คืนนี้คุณว่างหรือเปล่าต้องทำการบ้านหรือเปล่าเราสอนให้ได้นะ”

“ไม่ต้องหรอกคุณเราทำเสร็จแล้ว”

“งั้นคืนนี้คุณก็ว่างแล้วสิอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเราหน่อยเถอะเราเหงาจริงๆ”

“ได้เลยคุณคุยมาเราคุยกลับโอเคไหม”

“โอเค”

จากนั้นบทสนทนาของทั้งคู่ก็เริ่มต้นจากการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปตามเรื่องราว วิปุลาบอกว่าเธอกำลังตกงานเธอหางานใหม่อยู่ และด้วยวัยสามสิบกว่าๆ ของเธอทำให้หางานได้ยากกว่าเด็กๆ ที่จบมาใหม่ๆ เริ่มงานเงินเดือนน้อยๆ เธอไม่สามารถที่จะทำได้

จากการสนทนาทำให้ป่านทอรู้ว่าวิปุลาติดจะไฮโซ ใช้สินค้า Brand name แถมยังจบจากเมืองนอกเมืองนา เมื่อมาเทียบกับเธอและปวีณาแล้วทั้งสองคนไม่ติดฝุ่นของวิปุลาเลยสักนิดเดียว

วิปุลาเล่าว่าเธอรักกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็โดนผู้หญิงคนนั้นปอกลอกไปจนเธอแทบจะหมดตัว ป่านทอนึกในใจว่า ผู้หญิงคนนี้คงรักจนตาบอด ไม่มองไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเมื่อความรักบังตา

ป่านทอได้แต่ปลอบใจไปตามเรื่องตามราว เพราะเธอไม่แน่ในว่าเรื่องที่วิปุลาเล่าให้เธอได้อ่านจากหน้าจอคอมเครื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก แต่อย่างน้อยๆ เธอก็รู้แต่เพียงว่า วิปุลาเป็นเลสที่ค่อนไปทางดี้มากกว่าที่จะมาชอบเลสด้วยกันเอง

การพูดคุยมาจบลงตรงที่ป่านทอบอกว่าพรุ่งนี้เธอมีเรียนตอนเช้าคงต้องขอตัวไปนอนก่อน จากนั้นวิปุลาก็บอกราตรีสวัสดิ์และทั้งคู่ก็ปิดหน้าจอปิดเครื่องคอมไป

..................

รุ่งเช้าวันใหม่ป่านทอบอกกับปวีณาว่าเมื่อคืนอยู่คุยกับวิปุลาจนถึงตีสาม ถ้าวิปุลามาชวนคุยก็ให้ปวีณาเปิดอ่านข้อความที่เธอกับวิปุลาคุยกันไว้เองก็แล้วกัน จากนั้นป่านทอก็ออกไปทำงานปล่อยให้ปวีณานอนต่อ

ปวีณาตื่นขึ้นมาแล้วก็นึกได้ว่าเมื่อเช้าป่านทอบอกอะไรกับเธอไว้ เธอเปิดเครื่องคอมแล้วก็นั่งอ่านบทสนทนาของป่านทอกับวิปุลา อ่านไปแล้วก็นั่งขำที่ป่านทอปลอมตัวเป็นเธอจนคนที่อยู่อีกฝั่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเธอกับป่านทอนั้นเป็นคนละคนกัน

“อ้าวไหนว่ามีเรียนแต่เช้าคะ” อยู่ๆ ก็มีข้อความทักขึ้นมาใน Msn ทำเอาปวีณาถึงกับตกใจ เพราะเธอไม่รู้เลยว่าคนที่ทักเธอนั้นเป็นใคร เมื่อคืนพี่ป่านคงจะคุยกับใครสักคนแล้วบอกว่าวันนี้เธอมีเรียนตอนเช้า

“อ๋อเข้ามาเช็ค Mail ค่ะแต่กำลังจะไปเรียนแล้ว บายๆ นะคะ” จากนั้นปวีณาก็ Block ชื่อของคนที่ทักเธอทันที เป็นการตัดบทสนทนาที่เธอไม่รู้ว่าคนที่ทักนั้นมาเป็นใครกันแน่

แต่เมื่ออ่านบทสนทนาของป่านทอเมื่อคืนจนจบก็รู้ว่าคนที่ทักเธอนั้นก็คือวิปุลาหญิงสาวสองบุคลิกคนนั้น ปวีณาไม่ค่อยจะสนใจอะไรมากนักอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนจะดีกว่าเพราะเธอต้องรีบเอารายงานที่อาจารย์สุดโหดไปส่งก่อนที่จะหมดเวลาเส้นตายที่อาจารย์ของเธอได้ตั้งไว้

..................

ปวีณากลับมาจากเรียนเห็นป่านทอนั่งทำงานอยู่ก็ทักทายกันตามประสา

“เออพี่เมื่อเช้าเข้าเอ็มตกใจหมดเลย”

“ทำไมมีอะไรเหรอ”

“ก็ปูนะสิทักมาว่าทำไมไม่ไปเรียน งงเลยว่าเคยไปคุยกันเมื่อไหร่”

“ฮ่าๆๆ เหรอ เออเมื่อคืนพี่บอกไปว่าเรามีเรียนตอนเช้า”

“แล้วนี่พี่ไม่กลับบ้านเหรอ”

“ไม่อะขี้เกียจกลับเบื่อบ้าน”

“เอ๊าคนเรามีบ้านมีช่องก็ไม่กลับมาอยู่หอแคบๆ แบบนี้อยู่ได้”

“เอาน่าไว้ค่อยกลับตอนดึกๆ”

“เออดีเลยพี่ป่านวันนี้มีรายงานช่วยทำหน่อยสินะๆ” ปวีณาออดอ้อนรุ่นพี่คนเก่งของเธอ เพราะรายงานวันนี้ค่อนข้างจะเยอะและต้องใช้เวลามากๆ ในการทำหากมีคนช่วยเธอทำอีกคนก็จะช่วยทุ่นเวลาไปได้มาก

“ก็ได้รีบๆ ไปอาบน้ำแล้วมาทำรายงานดีกว่า” ป่านทอตัดบทเพราะหากว่ายิ่งถ่วงเวลาไปรายงานของปวีณาก็คงจะไม่เสร็จเร็วอย่างที่ปวีณาคิดแน่นอน

จากนั้นทั้งสองคนก็ง่วนทำรายงานกันแล้วก็มีข้อความทักมาว่า

“สวัสดีคุณวี เรียนเป็นไงบ้าง”

ปวีณาดูข้อความนั้นแล้วก็ตอบไปว่า

“ก็ดีค่ะ ขอตัวก่อนนะคะต้องรีบทำรายงาน”

“ให้เราช่วยได้นะมีอะไรบอกมาเลย” ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะยังตื้อไม่เลิก

“เราต้องทำรายงานจิตวิทยาน่ะคุณ คุณคงช่วยเราไม่ได้หรอก”

“ได้สิเราเป็นพหูสูต รู้หมดทุกเรื่องไหนขอหัวข้อมาสิเราจะช่วยทำให้”

จากนั้นปวีณาก็ส่งหัวข้อรายงานของเธอไปให้วิปุลา และเธอก็ได้รู้ว่าวิปุลาไม่ได้หลอกว่ารู้จริง เพราะเท่าที่ดูวิปุลาน่าจะเป็นคนที่มีความรู้มากมาย จนป่านทอยังอึ้งเมื่อเห็นตัวรายงานที่วิปลาส่งมาให้ปวีณา

“เก่งจริงๆ เลยนะผู้หญิงคนนี้” ป่านทอชมวิปุลา

“ใช่พี่เก่งจริงๆ ด้วยสิ อึ้งคับอึ้ง ฮ่าๆๆ” ปวีณาขำป่านทอที่ทำท่าทางไม่เชื่อ เพราะเธอสองคนนั่งทำรายงานกันแทบเป็นแทบตายแต่วิปุลากลับตอบได้เป็นฉากๆ ในเรื่องที่ทั้งคู่กำลังช่วยกันทำ จากนั้นการสนทนาก็เลยกลายเป็นการสอนการบ้านให้กับปวีณาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

กว่าทั้งสามคนจะได้หลับก็เมื่อรายงานฉบับนั้นของปวีณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นปวีณาก็บอกกับป่านทอ

“พี่ป่านวีไม่ไหวแล้วไปนอนก่อนนะพี่จะคุยกันต่อก็ตามสบายสวมรอยเป็นวีได้ตามสบาย” ปวีณาขอตัวไปนอนเพราะเธอเริ่มรู้สึกเหนื่อย และตาจะปิดอยู่แล้ว ด้วยว่าเธอนอนดึกมาหลายคืนติดยกเว้นเมื่อคืนที่ถึงแม้ว่าจะนอนเร็วแต่ก็เกือบๆ จะเที่ยงคืน เวลานอนมันดูเหมือนจะไม่พอ

“ไปนอนเถอะเดี๋ยวพี่คุยแทนให้” ป่านทอบอกกับปวีณาเพราะตอนนี้เธอกำลัง Print ตัวรายงานออกมาเป็นกระดาษให้กับปวีณา แต่เมื่อหันกลับไปก็เห็นรุ่นน้องหลับไปอีกแล้ว

“หุหุ สงสัยแบตเสื่อมชาร์ตไม่เข้าหลับเป็นตายเลยน้องตู” ป่านทอบ่นรุ่นน้องของเธอที่ล้มตัวลงนอนแล้วก็เหมือนจะหลับไป เพราะเธอได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของปวีณาได้อย่างชัดเจน

ป่านทอยังไม่ง่วงก็เลยคุยต่อกับวิปุลาไปเรื่อยๆ เหมือนเมื่อคืนเธอ save ข้อความทั้งหมดที่สนทนากันไว้ให้ปวีณาเช่นเดิม

ใจหนึ่งเธอก็อยากจะบอกกับวิปุลาว่าเธอไม่ใช่ปวีณาแต่อีกใจก็ไม่อยากให้คู่สนทนาต้องเสียความรู้สึก หากวิปุลารู้ว่าเธอกับปวีณารวมหัวกันหลอก วิปุลาคงไม่ชอบใจเอามากๆ ดังนั้นเธอก็คงต้องสวมรอยเป็นปวีณาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ปวีณาอยากจะบอกความจริงเธอจะเป็นฝ่ายที่บอกกับวิปุลาเอง

การสนทนาก็เป็นเช่นเดิมวิปุลาจะเล่าเรื่องราวของเธอในอดีตที่ผ่านมาให้กับป่านทอได้รับรู้ ตั้งแต่สมัยมีแฟนคนแรก จนกระทั่งคนสุดท้ายที่พึ่งจะเลิกร้างกันไป ป่านทอรู้สึกว่าผู้หญิงคนที่เธอคุยด้วยคนนี้ ดูเหมือนจะมีความเศร้าซ่อนเร้นในใจมากมาย กับการที่ต้องโดนหลายๆ คนหักอก กับการที่ต้องโดนหลายๆ คนหลอกใช้เป็นสะพานให้เดินข้ามไป

ป่านทอเริ่มรู้สึกสงสารวิปุลามากขึ้นเรื่อยๆ หากเรื่องที่วิปุลาเล่าเป็นเรื่องจริง วิปุลาคงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมากมาย ผู้หญิงอะไรจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมากมายขนาดนี้ เรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน อะไรจะขนาดนั้น

“วีคงต้องขอตัวไปนอนแล้วค่ะคุณปูไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะคะ” ป่านทอบอกกับวิปุลา เพราะเวลานี้เกือบจะตีสามอีกแล้ว

“วันหลังก็ต้องหันหลังคุยสิค่ะ คุยกันวันหน้าดีกว่าจะได้เห็นหน้าค่าตากันด้วย” วิปุลายังมีอารมณ์ขันล้อเล่นกับป่านทอ

“หุหุ วันไหนก็ได้ค่ะฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

“อรุณสวสดิ์ต่างหากบายๆ ค่ะ”

การสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ป่านทอปิดคอมปิดหน้าจอ ปิดไฟ แล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ รุ่นน้อง เธอเองก็ชักจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน อดนอนมาสองคืนติดๆ กันแบบนี้ แบตที่ชาร์ตไว้ก็เริ่มจะหมดตามรุ่นน้องไปด้วย

“ขอชาร์ตแบตก่อนนะคุณปูไม่ไหวจริงๆ” ป่านทอพูดกับตัวเองก่อนที่จะหลับตาลงอย่างช้าๆ ด้วยความง่วงงุน

……………

จากนั้นทุกๆ วันหน้าที่ของปวีณาก็คือต้องลุกขึ้นมาอ่านย้อนหลังบทสนทนาของป่านทอกับวิปุลา เพราะปวีณาจะเป็นคนคุยกับปวีณาในตอนกลางวัน ส่วนป่านทอจะรับช่วงต่อในตอนกลางคืน สองคนพี่น้องต่างรับ-ส่ง บทสนทนากันระหว่างพวกเธอสองคนกับวิปุลาได้อย่างแนบเนียน

วิปุลาบอกรักป่านทอที่เธอคิดว่าเป็นปวีณาทั้งๆ ที่เห็นหน้ากันได้เพียงครั้งเดียว ป่านทอได้แต่นิ่งเงียบ เธอตอบแทนปวีณาไม่ได้และเธอก็รู้ดีว่าปวีณาไม่มีทางที่จะชอบผู้หญิงแบบวิปุลาอย่างแน่นอน เพราะปวีณาไม่ชอบคนสูงอายุ แต่ยิ่งปฏิเสธวิปุลาก็ยิ่งรุกป่านทอมากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนจะเป็นทุกครั้งที่คุยกัน

“เราขอเบอร์โทรของวีด้วยสิ” วิปุลาเริ่มรุก

“ไม่ได้หรอกเราไม่มีโทรศัพท์”

“อย่ามาอำเราเลยวันนั้นที่ผับเรายังเห็นวีพกติดเอวอยู่เลย” ป่านทอเหมือนจะโดนตอกจนหน้าหงาย

“ตอนนั้นอะมีแต่ตอนนี้ไม่มีแล้วเราทำหายยังไม่ได้ขอเงินแม่มาซื้อเครื่องใหม่เลย” ป่านทอเลี่ยงไปเรื่อยๆ

“งั้นเราซื้อให้ใหม่เอามะ เอาที่อยู่มาเราจะได้ส่งเครื่องใหม่ไปให้”

“ไม่ต้องหรอกเรามีเงินแต่เรายังไม่อยากซื้อแต่นั้นเอง เก็บเงินของคุณไว้เถอะเราไม่อยากไปเบียดเบียนคุณตกงานอยู่ไม่ใช่เหรอ” ป่านทอปฏิเสธไปด้วยคิดว่าการทำแบบนี้ดูจะนุ่มนวลที่สุดแล้ว

“วีรู้ไหมไม่เคยมีใครปฏิเสธเราแบบวีมาก่อน มีแต่คนพร้อมจะให้ที่อยู่กับเรา พร้อมที่จะรับอะไรจากเรา เราโดนคนหลอกมามากแล้ว คงจะมีวีคนเดียวที่ไม่เคยหลอกลวงเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ ก็ตาม เพราะแบบนี้แหละเราถึงได้รักวี รักแบบที่ไม่มีเหตุผล”

เมื่อป่านทอได้อ่านข้อความนั้นแล้ว เธอก็ต้องรีบปลุกเจ้าของ E-mail ให้รีบลุกขึ้นมาอ่านข้อความทั้งหมดทันที และปวีณาก็ต้องงัวเงียขึ้นมาอ่านแต่เมื่ออ่านแล้วก็แทบจะนอนไม่หลับ

“พี่ป่านวีว่าเราบอกเธอไปเถอะว่าเราสองคนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน รู้สึกว่าคุณปูเธอจะมีความรู้สึกดีๆ กับปวีณาที่คุยตอนกลางคืนกับเธอมากกว่าปวีณาที่คุยกับเธอในตอนกลางวัน” ปวีณาบอกกับป่านทอเมื่อเธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันกำลังจะวุ่นวาย

“พี่ก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะวี แค่พี่ไม่กล้าบอกหรือว่าวีกล้า”

แทนคำตอบปวีณาส่ายศีรษะไปมา เพราะเธอเองก็ไม่กล้าเช่นกัน

“งั้นก็ปล่อยไปแบบนี้ก่อนไม่ต้องบอกเพราะไงซะชีวิตจริงเราสามคนก็คงไม่ได้เจอกันอยู่แล้วจริงไหม”

“มันก็จริงนะพี่ มันคงไม่บังเอิญที่จะได้เจอกันแบบวันนั้นอีกแล้ว งั้นปล่อยไปเถอะเน๊อะ”

ป่านทอพยักหน้าเป็นการตอบ เธอบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรเธอถึงกังวลกับเรื่องนี้มากมาย หรือเธอจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับวิปุลาผู้หญิงที่เคยเห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่คุยกันมาแรมเดือนคนนั้น

................

“วีไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”

“ไปไหนพี่”

“ไปเป็นไม้กันหมาให้พี่หน่อยไม่อยากไปเจอชีสองต่อสอง”

“ใครพี่สวยปะ”

“เออสวยไปนะไว้คุยให้ฟังในรถ” ป่านทอลากตัวปวีณาไปเป็นเพื่อนเธอเมื่อต้องไปเจอกับแฟนเก่าสมัยยังเรียนมัธยม

“เค้านัดพี่ทำไม”

“เค้าบอกว่าจะเอาการ์ดแต่งงานมาให้พี่”

“เอ๊าแค่แฟนเก่าเอาการ์ดแต่งงานมาให้ถึงกับต้องลากน้องมาด้วยเหรอพี่”

“ก็เออสิกลัวทำใจไม่ได้เว่ย”

“ฮั่นแน่แสดงว่ายังรักเค้าอยู่อะดี้โด่เอ๊ยทำมาฟอร์มพี่เรา”

“เอาน่าเฉยๆ แล้วกันนั่งเป็นกันชนให้พี่หน่อย”

“ก็ได้แต่ข้าวมื้อนี่พี่เลี้ยงวีนะ”

“เออไงก็ต้องเลี้ยงอยู่แล้ว เร็วๆ ถึงแล้วรีบๆ ลงไปเลย” ป่านทอไล่ปวีณาที่ยังนั่งนิ่งไม่ยอมลงจากรถเพราะตอนนี้รถของเธอได้มาถึงร้านอาหารที่ได้นัดกับแฟนเก่าเอาไว้แล้ว

ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเพราะก็เป็นเพียงแค่แฟนเก่าของป่านทอนัดมาพบกันและแจกการ์ดแต่งงานของเธอให้กับป่านทอก็เท่านั้น

“พี่ป่านนะพี่ป่านชอบตีตนไปก่อนไข้เรื่อยเลย”

“ก็คนมันกลัวนี่หว่า หรือว่าวีไม่กลัวเวลาเจอหน้าแฟนเก่า”

“แฮะๆๆ กลัวพี่”

“เอ๊าก็เหมือนกันละว้า แล้วทำมาพูดดี โด่เอ๊ย”

สองพี่น้องต่างพ่อต่างแม่หัวเราะกันครื้นเครง ในระหว่างทางที่กลับบ้าน และก็ต้องเตรียมตัวไปงานแต่งของแฟนเก่าของป่านทอด้วยกัน เพราะป่านทอบอกว่าไม่กล้าไปคนเดียว ต้องการผู้ช่วยอย่างปวีณาไปด้วย แต่เรื่องงานแต่งยังอีกยาวไกลนัก ตั้งเดือนกว่าๆ ถึงจะมีงาน จะให้คิดตอนนี้คงจะเร็วไป อีกอย่างปวีณาก็ใกล้จะสอบปลายภาค เธอกำลังจะจบแล้ว เรื่องอื่นๆ คงไม่สำคัญกับปวีณาเท่าการสอบครั้งสุดท้ายนี้เป็นแน่

.................................

“วีเราได้งานทำแล้วนะเราคงไม่ค่อยมีเวลามีคุยกับวีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

ครั้งนี้ปวีณาเป็นคนผู้คุยกับวิปุลาเองเธอรู้สึกดีใจที่วิปุลาเป็นฝ่ายบอกก่อนว่าจะไม่มีเวลามาคุยกับเธออีกแล้ว

“วีก็ไม่มีเวลาคุยเหมือนกันใกล้จะสอบแล้วค่ะคุณปู” เวลานี้ยังเป็นเวลากลางวัน ดังนั้นปวีณาที่ปกติไม่ค่อยจะคุยกับวิปุลาในตอนกลางวันอยู่แล้วจึงไม่เป็นสิ่งปกติอันใดที่วิปุลาจะจับได้ว่า ระหว่างปวีณาตอนกลางวันกับปวีณาตอนกลางคืนแตกต่างกันอย่างไร

“งั้นอ่านหนังสือสอบไปนะเด็กน้อย”

“ขอบคุณค่ะ” แล้วการสนทนาในตอนกลางวันก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น

จากนั้นวิปุลาก็หายไปไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน ไม่มีการสนทนาของวิปุลากับปวีณาอีก

“หายไปแล้วพี่ป่าน”

“ใครหาย”

“ก็คุณปู คุยกับวีครั้งสุดท้ายก็ที่วีเล่าให้พี่ฟังว่าเธอได้ทำงานแล้วก็หายไปเลย”

“ก็ดีแล้วนี่หายไปแล้วก็ดีแล้วเราสองคนจะได้ไม่ต้องลำบากใจเพราะไม่รู้จะบอกเรื่องที่เราเปลี่ยนตัวกันคุยเอ็มกับเธอได้ไง”

“ก็จริงเน๊อะ” ปวีณาพยักหน้าเห็นด้วยกับป่านทอเพราะหากยังคงคุยต่อกับวิปุลาไปเรื่อยๆ ทั้งเธอและป่านทอก็คงจะลำบากใจเพิ่มมากขึ้นทุกที

“แล้วสอบเป็นไงบ้างเราเสร็จหมดแล้วนี่” ป่านทอชวนรุ่นน้องคุยเรื่องอื่นเพราะเธอไม่อยากคุยเรื่องของวิปุลาอีกแล้ว

“ทำไมเหรอพี่ก็ดีสอบไปได้หมด สอบเสร็จอย่างกับยกภูเขาไฟออกจากอก”

“เข้าใจเปรียบเทียบนะไอ้น้องรัก ไปเที่ยวกันมะที่เดิม”

“จะดีเหรอถ้าเจอคุณปูอีกทำไง”

“ถ้าเจออีกก็ทำเนียนคุยไปแล้วกันพี่จะคอยเสริม”

“โอเคเอาไงเอากันพี่” รุ่นพี่รุ่นน้องสองคนแต่งตัวไปเที่ยวผับที่เดิม

ทั้งคู่ชอบผับแห่งนี้ เพราะเหมือนจะเป็นผับที่ได้ปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด การที่ได้อยู่ในสังคมที่มีคนที่เหมือนๆ กัน มีความชอบเหมือนๆ กัน ทำให้ทั้งคู่ไม่รู้สึกแปลกแยกไปจากคนรอบข้าง

ถึงแม้ว่าทั้งสองคนไม่ได้แสดงอาการบ่งบอกถึงความเป็นทอมบอยออกมาก็ตามที ทั้งคู่ยังเป็นผู้หญิงนุ่งกระโปรงไว้ผมยาว แต่หากจิตใจเท่านั้นที่แปลกแยก หากจะถามว่าเป็นเพราะอะไรทั้งคู่ก็คงตอบไม่ได้

หากจะถามว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็คงตั้งแต่จำความได้ เธอทั้งสองชอบที่จะเล่นกับเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย ไม่ชอบความกระด้างของผู้ชาย นั่นอาจจะเป็นคำตอบของคำถามมากมายก็ได้ว่าเหตุใดเธอถึงได้ชอบผู้หญิง

ป่านทอและปวีณาได้โต๊ะด้านในสุดไม่ติดเวที อยู่ในมุมที่เรียกได้ว่าเป็นมุมที่มืดที่สุดของผับแห่งนี้ ทั้งคู่หันหลังให้เวที ไหนๆ ก็อยู่ในมุมที่อับแล้วจะไปมองนักดนตรีเล่นอยู่ทำไม นั่งจิบเหล้ามองสาวๆ โต๊ะข้างๆ เต้นยั่วไปมาจะดีกว่า

และทั้งคู่ก็ต้องตกใจเมื่อมีสาวคนหนึ่งเซมาปะทะกับเธอทั้งคู่ท่าทางจะเมามากมาย แต่เมื่อเห็นหน้าของสาวคนนั้น ทั้งคู่ก็ต้องอุทานออกมาพร้อมกันว่า

“คุณปู” โลกมันช่างกลมจนทั้งคู่อยากจะวิ่งออกมาจากผับแห่งนั้น แต่ท่าทางของวิปุลาจะเมามากจนครองสติไม่อยู่ ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถละทิ้งวิปุลาไว้เพียงคนเดียวได้ อย่างน้อยในใจของทั้งคู่ก็ยังมีศีลธรรมมากพอที่จะไม่ทิ้งผู้หญิงเมาไม่ได้สติไว้ในผับคนเดียวอย่างแน่นอน

“พี่ป่านเอาไงดี” ปวีณาถามรุ่นพี่เพราะเธอก็ไม่คิดว่าจะเจอวิปุลาในสภาพเมามายมากมายขนาดนี้

“เดี๋ยวนะคิดก่อน พยุงไปนั่งเก้าอี้พิงผนังไว้ก่อนดีกว่า” ป่านทอบอกรุ่นน้องให้ช่วยกันอุ้มวิปุลาให้ลุกจากพื้นไปนั่งที่โต๊ะของตนและให้นั่งพิงผนังไว้ ดีกว่าที่จะให้มานอนกองกับพื้นแบบนี้

จากนั้นป้านทอก็เอาผ้าเช็ดหน้าของเธอชุบน้ำเย็นๆ ในถังน้ำแข็งเช็ดหน้าตาและคอให้กับคนเมาไม่ได้สติ ปวีณาไม่เข้าใจว่าทำไมป่านทอถึงได้ห่วงใยวิปุลามากมาย แถมยังดูเหมือนว่าอยากจะคอยปกป้องผู้หญิงเมาคนนี้อีกด้วย

“วีเรารักวีนะอย่าตัดทอนเราเลย” วิปุลาโวยวายลั่นจนได้ยิน

“เอาแล้วงานเข้าแล้วพี่ป่าน” ปวีณาบอกกับป่านทอ

“เอาน่าไงก็ให้ได้สติกลับมาก่อนก็แล้วกัน” ป่านทอบอกทั้งๆ ที่ใจเธอก็กังวลกับสิ่งที่ได้ยินเหมือนๆ กับที่ปวีณาได้ยินเช่นกัน

กว่าวิปุลาจะฟื้นคืนสติได้ก็นานพอสมควร วิปุลารู้สึกถึงความห่วงใยจากใครสักคนหนึ่งในสองคนที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าความรู้สึกและสติของเธอที่มีอยู่น้อยนิดรับรู้ได้ว่าใครคนใดคนหนึ่งดูแลเธอเป็นอย่างดี ทั้งเช็ดหน้าให้ ทั้งพยุงเธอให้มานั่งบนเก้าอี้ตัวนี้

ในใจของเธอคิดว่าคงเป็นปวีณาคนที่เธอคุยด้วยอยู่บ่อยๆ เธอคว้าคอของปวีณาเข้ามาใกล้ๆ เธอ และหอมแก้มของปวีณาเป็นการขอบคุณในน้ำใจ

ปวีณาได้แต่ยืนงงคนที่ช่วยวิปุลาไม่ใช่เธอแต่คือป่านทอรุ่นพี่ของเธอต่างหาก คนเมาคว้ามือถือของปวีณาที่เหน็บเอวไว้มากดเบอร์แล้วโทรออก จากนั้นก็ส่งคืนให้กับเจ้าของมือถือเครื่องน้อยนั้น และเธอก็เดินโซซัดโซเซออกจากโต๊ะ

“เมาจริงหรือเปล่าวะนี่” ปวีณาเริ่มได้สติหันกลับไปถามป่านทอ

“ไม่รู้สิ อย่าไปสนใจเลยกินเหล้าต่อดีกว่า” ป่านทอตัดบทเพราะตอนนี้เธอรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจมากมาย

....................

หลังจากคืนวันนั้นวิปุลาก็โทรหาปวีณาแต่วิปุลาไม่ได้รับสายเพราะเธอไม่รู้ว่าเป็นเบอร์โทรของใคร

“ทำไมไม่รับสายล่ะวี”

“เบอร์ใครก็ไม่รู้สงสัยจะโทรผิด”

“โทรผิดเหรอ Miss call เกือบร้อยสายนี่นะโทรผิด จงใจโทรมากกว่า” ป่านทอมองที่หน้าจอโทรศัพท์ของปวีณา จากนั้นก็กดรับสายที่ยังร้องเรียกนั้น

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีวีเราเองปู” เสียงจากปลายสายมีน้ำเสียงดีใจเป็นอย่างมากที่เธอกดรับสาย

“เอ่อ” ป่านทอกำลังจะบอกว่าเธอไม่ใช่ปวีณาแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้เมื่อปลายสายสวนกลับมา

“ถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอวีไม่ต้องตกใจเราจะโทรมาบอกว่าเราขอบใจที่วันนั้นช่วยให้เราสร่างเมา”

“ไม่เป็นไรแต่เอ่อ” ป่านทอกำลังจะพูดต่อก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“งั้นแค่นี้นะวีเราต้องไปทำงานแล้ว” ปลายสายบอกเพียงเท่านั้นก็กดวางสายไป

“ใครเหรอพี่ป่าน”

“คุณปู”

“อ่อ แสดงว่าวันนั้นเธอเอามือถือวีไปโทรหาเบอร์ของเธอเองนะสิ ร้ายนะยะคุณปู เออพี่เอาเครื่องนี้ของวีไปเลยแล้วกันวีว่าจะไปปิดแล้ว มันเป็นเบอร์เติมเงิน เงินหมดวันเหลือเพียบเอาไปเลยพี่ เผื่อคุณปูโทรมาวีไม่อยากรับสาย” ปวีณายกมือถือของเธอให้กับป่านทอเอาดื้อๆ

“เฮ้ยจะดีเหรอ”

“ไม่ต้องคิดมากน่าพี่ถ้าคิดมากก็เอาไปแต่ซิมแล้วกันมือถือคืนวีก็ได้อะ”

“ก็ได้ๆ หาเรื่องให้พี่จริงๆ ไอ้น้อง” ป่านทอส่ายหน้ากับความคิดของปวีณา เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

.............

ป่านทอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้หาโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องมาใส่ซิมของปวีณา เธอรับโทรศัพท์ของวิปุลาที่โทรมาในช่วงเย็นหลังเลิกงานทุกวัน และคุย MSN กับวิปุลาแทนปวีณาทุกวันเช่นกัน

ในที่สุดเธอก็ได้รู้เรื่องของวิปุลาว่าเหตุใดเธอถึงกับเกือบหมดตัวและต้องลาออกจากงานเก่า เมื่อวิปุลาได้เล่าเรื่องของเธอให้ฟังในการคุย MSN กันในครั้งนี้

“เราโดน Blackmail จากคนที่เรารัก”

“ทำไมล่ะ” ป่านทอพิมพ์ข้อความถามไปอย่างสนใจ

“เพราะเราแต่งงานแล้วนะสิ”

“หาอะไรนะ”

“จริงๆ เราแต่งงานแล้ว เราไม่อยากปิดวีหรอกนะ แต่เราไม่แน่ใจว่าที่เราจะบอกวีมันจะทำให้ความคุ้นเคยของเราหมดลงไปหรือเปล่า วันนี้เราตัดสินใจแล้วที่จะต้องบอกวี เราแต่งงานแล้วและกำลังจะหย่า เราฟ้องหย่ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเรา เราทั้งคู่ไปกันไม่รอด เราขยะแขยงผู้ชาย เรานอนกับผู้ชายไม่ได้ ทั้งๆ ที่พยายามแล้วนะวี”

“คุณแต่งงานมาแล้วกี่ปี”

“เกือบสิบปี”

“คุณไม่ได้รักเค้าตอนที่คุณแต่งงานด้วยหรอกเหรอ”

“ไม่เลยวี เราแต่งเพราะเราจำเป็นต้องแต่ง เราแต่งเพราะสังคม เพราะครอบครัว”

“แล้วทำไมถึงได้ฟ้องหย่ากัน ทำไมไม่อดทนกันต่อไป”

“เค้าไปมีคนอื่นเค้าทนไม่ได้ที่เราไม่มีอะไรกับเค้า และเราเองก็ทนไม่ได้ที่จะนอนกับเค้า เราสองคนเหมือนกับว่าไม่มีความรักต่อกันอีกต่อไป ความรู้สึกดีๆ ที่เรามีต่อกันมันหมดไป เค้าใช้กำลังข่มขื่นเรา เค้าบังคับเราให้นอนกับเค้า เราไม่มีทางออก เราพยายามหาสิ่งทดแทนด้วยการนอนกับผู้หญิงด้วยกัน แต่ทุกคนก็หวังที่จะได้เงินจากเรา หวังที่จะได้เฟอร์นิเจอร์และอะไรหลายๆ อย่างจากเรา เมื่อเราไม่ให้ก็หักหลังเราบอกว่าจะเอาเรื่องที่เรานอนกับเค้าไปบอกสามีเรา ตอนนั้นเราแทบบ้า เราต้องออกจากงาน หน้าที่การงานวุ่นวายไปหมด เราจมปลักอยู่กับความทุกข์อยู่หลายเดือนจนได้มาเจอวี วีเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีคนดีอยู่บนโลกนี้ ยังมีคนดีที่รักเราและไม่หวังผลตอบแทนหลงเหลืออยู่บ้าง”

ป่านทอนั่งมองข้อความที่วิปุลาค่อยๆ พิมพ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกข้อความมันตอกย้ำว่าเธอกำลังพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผิดหวังในความรัก ผู้หญิงคนที่ยอมบอกความจริงทุกอย่างให้กับเธอได้รับรู้ เธอต่างหากที่เป็นคนโกหก เธอต่างหากที่ไม่ได้เปิดเผยความจริงว่าเธอไม่ใช่ปวีณา

“คุณปูเรามีอะไรจะบอกคุณ” ป่านทอตัดสินใจบอกสิ่งที่เธอปิดบังมาเนิ่นนานให้กับวิปุลา

“คุณรับกล้องเราด้วย” ป่านทอตัดสินใจกดเปิดกล้อง Web cam ให้วิปุลาได้ดู

วิปุลากดรับการส่งกล้อง และภาพที่เธอได้เห็นก็ทำให้เธอถึงกับตะลึง ด้วยว่าคนที่พูดคุยกับเธอไม่ใช่ปวีณาคนที่เธอหลงรักมาตลอดเวลาหลายเดือน เธอตัดสินใจโทรไปหาปวีณาทันทีเช่นกัน

“สวัสดีคุณปู เราป่านนะไม่ใช่วี”

“ขอสายวีหน่อย”

“วีนอนไปแล้ว และคนที่คุณคุยด้วยทุกวันก็คือเราป่านทอ” จากภาพที่เห็นป่านทอกำลังรับสาย นั่นหมายถึงคนที่เธอพูดคุยในตอนเย็นเวลาขับรถกลับบ้านก็คือป่านทอ ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือการพูดคุย เธอจำได้แน่ๆ ว่านั่นคือคนๆ เดียวกันกับที่เธอคิดว่าคือปวีณา

วิปุลาตัวชาไปทั้งตัว เธอโดนคนหลอกลวงคนนี้หลอกลวงเธอมาตลอดเวลา ทำไมคนอย่างเธอถึงได้โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เราขอโทษนะคุณปู เรากับวีไม่ได้ตั้งใจที่จะหลอกคุณ แต่เราไม่มีโอกาสที่จะบอกไม่มีโอกาสที่จะพูด เราขอโทษจริงๆ”

“เราคงไม่ต้องคุยกันอีกต่อไปแล้วคนโกหก” จากนั้นวิปุลาก็ตัดสายและปิดการสนทนา MSN ลงไปในทันที

ป่านทอนั่งอึ้งอยู่นานกว่าจะตัดสินใจโทรกลับไปหาวิปุลา แต่ปลายสายก็ไม่รับ

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก This number you call is not connect” เสียงระบบของโทรศัพท์บอกตอบรับมาแบบนี้ ก็ทำให้ป่านทอต้องยกเลิกการโทรไปโดยปริยาย

.................

การติดต่อของป่านทอกับวิปุลาไม่มีต่อกันมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ป่านทอว้าวุ้นใจเป็นอย่างมาก เธอยอมรับว่าเธอผิด เธอคิดไปต่างๆ นานาว่าวิปุลาคงไปเมามายที่ไหน ปล่อยตัวปล่อยใจให้กับใครที่ไม่รู้จักคนอื่นมากเพียงใด

ป่านทอพยายามโทรไปหาวิปุลาอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับเช่นเคย วิปุลาคงปิดเบอร์นี้เพื่อหนีเธอ

ป่านทอและปวีณาไปงานแต่งงานของแฟนเก่าป่านทอ ในงานไม่มีอะไรมากมีเพื่อนเก่าๆ ที่มาร่วมงานไม่กี่คน นอกนั้นก็เป็นเพื่อนที่มาจากที่ทำงาน ป่านทอมองเห็นวิปุลาเดินเข้ามาในงานพร้อมกับชุดราตรีเปิดไหล่สีแดง

“พี่ป่านนั้นๆ คุณปู” ปวีณาสะกิดป่านทอให้ดูคนที่กำลังเดินเข้าประตูงานเข้ามา ทั้งป่านทอและปวีณารีบเดินเข้าไปหาวิปุลาทันที

ทางด้านวิปุลาเมื่อเธอเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอทั้งคู่ก็กำลังจะเดินหนี เพราะเธอเกลียดคนโกหกหลอกลวง

“คุณปูหยุดก่อนฟังพวกเราสองคนอธิบายก่อน” ปวีณาตะโกนตามหลังและมีป่านทอวิ่งเข้าไปคว้าข้อมือของวิปุลาไว้ได้ทัน

วิปุลาสะบัดแขนของเธอออกจากการเกาะกุมของป่านทอและหันไปมองหน้าป่านทอจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ

“ฉันไม่อยากคุยกับคนโกหก”

“หรือคุณไม่ได้โกหกพวกเรา หรือคุณจริงใจกับพวกเรามากกว่าที่พวกเราทำอยู่งั้นสิ” ปวีณาพูดขึ้นเพราะทนไม่ได้

“ฉันไม่ได้โกหกพวกคุณ”

“แล้วทำไมไม่บอกว่าคุณแต่งงานแล้ว”

“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันจะบอกหรือไม่บอกคุณก็ได้”

“นั่นก็เหมือนกัน เราสองคนจะบอกหรือไม่บอกคุณก็ได้เหมือนกันว่าใครเป็นคนคุยกับคุณ แต่คุณรู้ไหมว่าพี่ป่านเค้าเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน เค้ารอที่จะคุยปลอบใจคุณ ฉันก็รู้สึกไม่ดีนะ ถ้าคุณรู้ความจริง ตอนกลางคืนคุณร้องไห้กับพี่ป่าน เพราะคุณคิดว่าเป็นวี ตอนเช้าคุณก็มาขอบคุณวี ที่อยู่เคียงข้างคุณ วีสะอึกเลย นะเมื่อได้เห็นข้อความ เพราะพี่ป่านต่างหากที่คอยเป็นห่วงคุณตลอดเวลา คุณจะเป็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ จะงอนจะร้องไห้ พี่ป่านทั้งนั้นที่คอยเป็นห่วงคุณ ใช่มันเป็นความผิดของฉันกับพี่ป่านที่ไม่ได้บอกคุณตั้งแต่ครั้งแรกว่าเราเปลี่ยนกันคุย เรายอมรับผิดในข้อนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่าที่พี่ป่านพูดคุยกับคุณมันมาจากใจจริงของพี่ป่าน คนที่ไม่มีใจให้กันจะคอยปลอบใจกันแบบนั้นเหรอคุณปู”

ปูริดาหยุดฟังคำของปวีณาและเธอก็รับรู้ว่าหญิงสาวผมยาวตัวผอมสูงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ป่านทอเป็นคนที่เธอรู้สึกดีด้วยทุกครั้งที่ได้คุย สบายใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียง

ป่านทอจับมือของวิปุลาไว้และพูดว่า

“ป่านขอโทษนะคุณปู แต่ขอให้รู้ว่าทุกอย่างที่ป่านทำไปมันมาจากใจจริงของป่าน หากคุณไม่พอใจหรือไม่อยากที่จะคบพวกเราต่อไปก็ไม่เป็นไร ป่านขอโทษคุณอีกครั้ง และเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ป่านอยากจะบอกคุณว่าป่านรักคุณค่ะ”

ป่านทอพูดจบก็เดินจากมาปล่อยให้วิปุลายืนนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงสายตาของวิปุลาเท่านั้นที่มองตามแผ่นหลังของป่านทอไปด้วยจิตใจที่สับสนจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

..........................

หลังจากวันนั้นอีกหลายเดือนป่านทอก็พาปวีณามาสมัครงานที่บริษัทของเธอ และปวีณาก็ได้ทำงานที่เดียวกับรุ่นพี่ของเธอ และก็ได้ข่าวมาอีกว่าจะมีนายใหม่เข้ามารับงานในวันนี้เช่นกัน ทั้งป่านทอและปวีณาดูจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

“พี่ป่านนายใหม่จะใจดีหรือเปล่า”

“พี่จะไปรู้ได้ไงไม่เคยเห็นหน้า”

“อ้าวก็นึกว่าพี่รู้”

“ถ้ารู้เค้าจะเรียกนายใหม่เหรอไอ้น้อง”

“นี่ๆ ป่านเดี๋ยวพาน้องใหม่เข้าประชุมด้วยนะ วันนี้นายจะเรียกประชุมแนะนำตัวเอง” พี่สายคนเก่าแก่ของฝ่ายเดินมาบอกป่านทอและปวีณา

“ค่ะพี่”

จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าประชุมร่วมกันทั้งฝ่ายรออยู่เพียงคนเดียวก็คือเจ้านายคนใหม่ เมื่อถึงเวลาประตูเปิดออกก็พบกับเจ้านายคนใหม่ในชุดกางเกงและเสื้อสูทสีเทาเกล้าผมมวยไว้ด้านหลังดูเนี๊ยบแบบที่ใครหลายๆ คนมองแล้วถึงกับตะลึง แถมกระเป๋าใบใหญ่ที่หิ้วเข้ามาก็ดูรู้ว่าเป็นของ Brand name แท้ๆ

มีเพียงป่านทอและปวีณาเท่านั้นที่เห็นแล้วตกใจ เธอสองคนพอจะรู้ชะตากรรมของตัวเองในอนาคตอันใกล้แล้วว่า อยู่บริษัทนี้ต่อไปคงไม่รุ่งแน่ๆ เพราะนายคนใหม่ของพวกเธอก็คือ “วิปุลา”

หลังเลิกประชุมทุกคนออกจากห้องประชุมและวิปุลาเดินเข้ามาทักทายสองสาว

“สวัสดีคุณป่านคุณวี”

“สวัสดีค่ะ Boss” ทั้งสองคนทักตอบ

“คุณป่านเดี๋ยวเชิญที่ห้องฉันด้วยนะ” วิปุลาบอกกับป่านทอให้เดินตามเธอเข้าไปที่ห้องทำงาน

“ซวยแล้วตู” ป่านทอบ่นออกมาดังๆ ทำเอาปวีณาขนลุดขนพองตามไปด้วย

ป่านทอเดินตามวิปุลาเข้าไปในห้องทำงานแต่ก็ไม่ลืมมารยาทที่จะเข้าห้องของเจ้านายเธอจึงเคาะประตู

“ก๊อกๆ”

“เข้ามาได้ แล้วก็ล็อคประตูด้วย” เสียงตอบจากในห้องได้ยินชัดเจน

ป่านทอทำตามอย่างว่าง่าย เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องของผู้จัดการคนใหม่ ที่ตกแต่งไว้สวยหรู โต๊ะทำงานสีดำ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง มู่ลี่ถูกปิดไว้จนคนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น แต่เจ้าของเสียงที่อนุญาตเธอหายไปไหน ป่านทอเดินสั่นๆ เข้ามาข้างในจิตใจเหมือนกำลังคิดว่าตัวเองไปออกรบแถวชายแดน

การกระทำครั้งนี้ของป่านทอยิ่งกว่าการทำระเบิดพลีชีพตัวเองเสียอีก

“อะเฮ้ม ว่าไงคนเก่งทำไมถึงได้สั่นแบบนั้น” เจ้าของห้องที่ยืนอยู่หลังประตูเมื่อตอนที่ป่านทอเปิดเข้ามาและบังพอดิบพอดีเอ่ยขึ้น จนป่านทอสะดุ้งโหยง

“คือ Boss มีธุระอะไรให้รับใช้หรือคะ” ป่านทอพยายามทำใจดีสู้เสือ แถมเสือตัวนี้ดูท่าทางจะดุเอามากๆ ด้วย

“มีธุระเรื่องหัวใจจะปรึกษาจะได้ไหม” เสียงแผ่วเบาจากปากของเสือทำเอาป่านทอปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ถูก

“อะไรนะคะ”

“มีธุระเรื่องหัวใจจะปรึกษาไม่ทราบว่าคุณป่านพอมีเวลาให้ปรึกษาไหมคะ”

“เอ่อ..” ป่านทออ้ำอึ้ง

“คือฉันโสดแล้วเป็นไทยแล้ว และหลงรักคนที่เคยเป็นเงาของใครบางคน แล้วเค้าก็ไม่ยอมที่จะรับรักฉัน ฉันควรทำอย่างไรดีคะคุณป่าน” น้ำเสียงเปล่งออกจากริมฝีปากบางๆ นั้นดูนุ่มนวลเหลือเกิน ป่านทอมองริมฝีปากนั้นขยับไปมาพูดอะไรที่เธอไม่สามารถฟังได้ หูของเธออื้อไปหมด

ก่อนที่เธอจะคว้าร่างนั้นเข้ามากอดและประกบริมฝีปากของตัวเองประทับลงไป เพื่อดื่มชิมความหอมหวาน จากริมฝีปากนั้น ป่านทอไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป เธอรู้แต่เพียงว่าเธอคิดถึงแม่เสือสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอเหลือเกิน

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเธอติดต่อแม่เสือไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีทางติดต่อได้ เธอลงทุนโทรไปถามแฟนเก่าเพื่อที่จะสอบถามถึงเรื่องของแม่เสือคนนี้แต่ก็ได้ความว่าลาออกไปแล้ว ทั้งๆ ที่มาทำงานได้ไม่นานนัก

ป่านทอหมดกำลังที่จะตามหา เธอปล่อยให้เวลาผ่านไป และวันนี้เธอสามารถจับต้องแม่เสือได้ สามารถที่จะดอมดมกลิ่นหอมที่แม่เสือปล่อยออกมาได้ เธอจะละเว้นไปอย่างนั้นหรือ

เสือกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ อยู่ในอ้อมกอดของป่านทอ และลูกแมวตัวนี้ก็น่ารักน่าทะนุถนอมเหลือเกิน

“พอได้แล้วป่านไม่เอาแล้วเดี๋ยวทำงานไม่ได้”

“ไม่ได้ก็ไม่ต้องทำสิค่ะ” ป่านทอยังซุกซนไม่เลิก

“ไว้ไปทานข้าวเย็นที่บ้านเราดีกว่าไปคนเดียวนะไม่ต้องพาวีไปด้วยล่ะ” วิปุลาผลักป่านทอออกจากตัวเธอและยื่นข้อเสนอข้อใหม่ให้กับป่านทอ

“ตกลงค่ะ Boss” ป่านทอผละออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่และเช็ดปากที่เลอะลิปสติคของแม่เสือเชื่องๆ ตรงหน้าเธอออกจากปากของตัวเอง

“เย็นนี้เจอกันค่ะ” ก่อนที่จะเปิดประตูออกไป ป่านทอส่งจูบให้กับวิปุลา

ป่านทอกลับออกมาบอกกับปวีณาว่าเย็นนี้ให้กลับบ้านไปก่อนเอารถของเธอไปด้วย คืนนี้เธอไม่กลับบ้านเพราะเย็นนี้เธอมีนัด

... จบ ...







Create Date : 08 กรกฎาคม 2551
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 10:14:59 น. 1 comments
Counter : 825 Pageviews.

 
สุดยอด...............จิง นายแน่นมาก


โดย: สวยหลังเขา2010 IP: 118.175.195.9 วันที่: 9 กันยายน 2553 เวลา:12:01:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.