It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เืรื่องสั้นแนวยูริ : ภาพเก่า

ภาพเก่า โดยผิงดาว

ชีวิตคนทำงานอย่างฉัน วันๆ ต้องตื่นเช้าเพื่อขึ้นรถเมล์จากบ้านที่ไกลแสนไกลไปทำงานและก็ต้องโดนโขกสับใช้งานที่ทำจนเคยชิน กับเจ้านายที่มีแต่เจ้าอารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง ฉันอยากจะลาออกจากงานวันละหลายร้อยหลายพันครั้ง

“คุณทำงานภาษาอะไร ทำมาจนจะแก่หัวหงอกแล้วเอาอะไรมาทำเอาอะไรมาคิด เรื่องแค่นี้ต้องให้ผมทำเองทุกเรื่องเลยหรือไง แล้วผมจะจ้างคุณมาทำงานหาสวรรค์วิมานอะไรกันทำเองทั้งหมดคนเดียวไม่ต้องจ้างพวกคุณให้เสียเวลาเปลืองเงินเดือนหรอกนะ ไปเอาไปแก้มาใหม่คราวหลังอย่าทำงานชุ่ยๆ แบบนี้มาส่งผมอีกนะ”

นายจ้างของฉันปาเอกสารที่ฉันส่งเข้าไปเสนอ ทิ้งกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ฉันรีบเก็บเอกสารเหล่านั้น หน้าตาเจื่อนๆ แล้วก็ตอบได้คำเดียวงว่า

“ค่ะดิฉันจะเอาไปแก้ไขเดี๋ยวนี้” แต่ในใจนั้นมันช่างหดหู่เสียเหลือเกิน

งานที่ฉันเสนอให้เจ้านาย เป็นงานที่ฉันนั่งคิดจนหัวจะระเบิดมาทั้งสัปดาห์แทบไม่ได้หลับได้นอน การเป็น Creative งานโฆษณาแบบฉันมันต้องใช้หัวสมองมากมายกว่าจะเริ่มคิดงานแต่ละอย่างออกไปได้

ไหนจะต้องทำ Model เมื่องานนั้นผ่าน ไหนจะต้องติดต่อลูกค้า และแย่งชิงกับบริษัทคู่แข่ง กว่าจะได้งานแต่ละงานออกมาจากหัวสมองอันน้อยนิดของฉันเลือดตาแทบกระเด็น

แถมยังพ่วงมาด้วยเพื่อนที่ทำงานที่แก่งแย่งชิงดีกันทุกวัน ทุบได้ทุบ ตืบได้ตืบ เผาได้เผา หากเลื่อยขาเก้าอี้กันได้ก็คงทำกันไปแล้ว วันไหนฉันพลาด วันนั้นคงเป็นวันที่เธอเหล่านั้นดีใจ สะใจที่ถล่มคนอย่างฉันให้ร่วงหล่นกองลงไปในถังขยะ

ใครที่เคยดูละครน้ำเน่าในหน้าจอทีวี ฉันว่าชีวิตจิริงของฉันนั้นยิ่งกว่า ต่อให้ใครจะมาเลื่อยขาเก้าอี้ที่ฉันนั่ง ต่อให้ใครจะสุมไฟใต้เก้าอี้ที่ฉันนั่งจนฉันร้อนไปหมด ฉันก็ไม่ยอมปล่อยเก้าอี้ตัวนี้ไปง่ายๆ หรอก

เพราะอะไรนะเหรอเพราะฉันก็ต้องอดทน บ้านก็พึ่งจะเอาเงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมดมาซื้อ แม้ว่ามันจะห่างไกลจากที่ทำงาน แม้ว่าบ้านจะไม่ใหญ่โตโก้หรูแบบบ้านของคนอื่น แต่บ้านหลังนี้ก็มาจากน้ำพักน้ำแรงที่ฉันเก็บหอมรอมริบ มาจากการทำงานที่แสนหนักหน่วง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ใครๆ ที่ทำงานของฉันเลือกที่จะซื้อรถหรูและเช่าอพาร์ตเม้นท์ราคาแพงๆ อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงาน แต่สำหรับฉันไม่ได้คิดแบบนั้น

“นี่นะเวลาเราไปพบลูกค้ามาดดีๆ เค้าเห็นรถเราเค้าจะได้เข้าใจว่าเราหรู ไม่ได้มาง้อเค้าให้มาทำโฆษณากับเรา วางมาดไว้ก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง” เพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งบอกกับฉัน

ฉันก็ไม่เข้าใจว่าการที่เราขับรถหรูๆ เข้าไปจอดในที่จอดรถแล้วก็รับบัตรจอดรถมา ลูกค้าจะเห็นว่าเราโก้หรือหรูได้ในตอนไหน แถมบางครั้งก็ทำให้เราไปพบลูกค้าช้าลงไปกว่าเดิมเพราะกะเวลาที่จะวนหาที่จอดรถในตึกสูงๆ ไม่ได้

ตอนนี้ที่จอดรถมีค่ายิ่งกว่าทองคำ แม้กระทั่งที่ทำงานของฉันเองก็หายากเย็น คนที่จะมีที่จอดรถส่วนตัวก็มีแต่พวกผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น ส่วนพวกฉันก็ต้องวนหาที่จอดกันเอง แถมยังต้องเสียค่าที่จอดเป็นรายเดือนให้กับตึกที่ทำงานอีกต่างหาก

ลองถ้าไม่ยอมเสียค่าที่จอดให้สิตึกมหาโหดแห่งนี้คิดค่าจอดรถชั่วโมงละสามสิบ ต่อให้ประทับตราว่ามาติดต่องานก็สามชั่วโมงแรกสิบบาท แล้วพวกฉันทำงานกันวันละแค่สามชั่วโมงหรอกหรือ หุหุ ฝันไปเถอะคะ พวกฉันทำงานวันละเกือบสิบสองชั่วโมง โอฟรีไม่มีรายได้เสริม แล้วใครจะไปยอมจ่ายชั่วโมงที่เหลือตั้งสามสิบ เก็บเงินไว้กินโรตีสายไหมเจ้าอร่อยดีว่า

ฉันว่าการซื้อรถมันเป็นการลงทุนที่มีแต่จะลดลง ไหนจะค่าเสื่อมราคา ไหนจะค่าซ่อมบำรุง กว่าจะผ่อนหมด รถเป็นไทยเราเป็นเจ้าของก็ได้เวลาที่จะต้องขายรถในราคาถูกและไปซื้อรถคันใหม่มาขับอีก เพราะสู้ราคาค่าซ่อมไม่ไหว

หลังจากที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาทั้งวันฉันไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใจกลางเมือง มันไม่ไกลมากจากที่ทำงานของฉัน มีคนสูงอายุมาออกกำลังรำมวยจีน คนที่สนใจในเรื่องสุขภาพก็มาวิ่งออกกำลังกายกัน เคยเห็นโฆษณาเรื่องหนึ่งไหมคะ ที่คนวิ่งๆ กันบนลู่วิ่งแล้วมีเด็กคนหนึ่งถามว่า “เหนื่อยไหมค่ะ”

คนที่วิ่งอยู่ก็ตอบว่า “เหนื่อย” เด็กก็เริ่มสงสัยว่า “เหนื่อยแล้วทำไมยังวิ่งอยู่ล่ะคะ” ฉันดูโฆษณานั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ คนเราทำงานงกๆ และต้องจ่ายเงินแพงๆ เข้า Fitness ด้วยเพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ออกกำลัง แต่เมื่อไหร่ที่เสียเงินเป็นรายเดือนกลับต้องฝ่าฟันรถติดไปที่ Fitness แห่งนั้นให้ได้

ไม่ใช่เพราะกลัวว่าไม่ได้ออกกำลังหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะว่าเสียดายเงินที่จ่ายไปให้กับ Fitness แห่งนั้นต่างหาก

เพื่อนที่ทำงานฉันคนหนึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่หลงไปกับการออกกำลังบนลู่วิ่งเช่นกัน แรกๆ เธอก็ไปบ่อย เพราะมีสิ่งล่อตาล่อใจ ของแจกของแถม ทั้งกระเป๋าเป้ กระติกน้ำ ผ้าขนหนู หูฟังเวลาวิ่งบนลู่แล้วก็เสียบฟังรายการโทรทัศน์ ที่เหมือนโดนบังคับให้ดู

เข้าไปเล่นโยคะโยคับติ้ว ในห้องร้อนๆ แคบๆ เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เข้าไปอบไอน้ำเพราะไม่อยากวิ่งมันเหนื่อย แต่อยากให้มีเหงื่อออก แถมยังบอกว่าทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้น

แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร เธอคนนั้นสมัครสมาชิกไปสามปีติดต่อกัน เพราะคนขาย Pack gate ล่อตาล่อใจ สนนราคาค่าสมัครก็ถูกแสนถูก รายเดือนก็ไม่แพงอย่างที่คิดจนคุณเธอหลงไปกับคำเชื้อเชิญ เหล่านั้น แต่ฉันก็เห็นเธอไปได้แค่สองหรือสามเดือน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ย่างกรายเข้าไปที่ Fitness นั้นอีกเลย ฉันล่ะเสียดายเงินแทนเธอจริงๆ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่เงินของฉันนี่นา จริงมะ

ฉันใช้เวลายามเย็นๆ หลังจากที่ว่างจากการทำงาน มันไม่บ่อยนักที่จะมีเวลาว่างให้ฉันมาเดินปล่อยอารมณ์ในสวนสาธารณะแห่งนี้ ฉันถือว่าเป็นการออกกำลังกายเดินออกมาจากที่ทำงานไปเรื่อยๆ ให้ได้เหงื่อบ้างเล็กๆ น้อยๆ ถนนรถติดเหมือนเป็นที่จอดรถแห่งใหม่ จะผิดกันก็ตรงที่ว่ารถทุกคันติดเครื่องยนต์ไว้ ไม่ได้ดับเครื่องเหมือนเวลาไปจอดรถในชั้นจอดก็เท่านั้น

ฉันเห็นที่สวนแห่งนี้มีเด็กๆ วิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่น ชีวิตเด็กๆ ช่างมีความสุขไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ เวลากินก็ได้กิน เวลานอนก็ได้นอน มีคนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

“อย่าไปไกลๆ นะลูก เดี๋ยวมีคนบ้าจับไป” เสียงแม่ของเด็กส่งเสียงร้องบอกลูกชายตัวกระจ้อยให้วิ่งเล่นไม่ไกลจากเธอ

ในมือของแม่เด็กคนนั้นยังถือกล่องพลาสติกที่มีข้าวมื้อเย็นคอยป้อนลูกชายของเธออยู่ไม่ห่าง

ท่าทางเด็กคนนี้คงจะกินข้าวยากน่าดู เพราะเห็นแม่ของเด็กต้องคอยวิ่งวุ่น ตามลูกของเธอให้กินข้าวอยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้แม่ของเด็กคงจะเหนื่อยที่จะต้องวิ่งตามลูก ก็เลยส่งเสียงบอกให้อย่าไปไหนไกลเธอนัก

ไม่ไกลกันนักมีแม่ของเด็กฝรั่งอายุก็คงไล่เลี่ยกับเด็กไทยคนนั้น ดูเธอจะไม่ค่อยสนใจใยดีลูกของเธอเหมือนแม่คนไทย ลูกจะไปไหนก็ไป เธออ่านหนังสือ Pocket book ในมือไปเรื่อยๆ ฉันสังเกตเห็นที่หน้าอกของเด็กฝรั่งคนนั้นมีชื่อของเด็กตัวโตๆ และที่ตามมาน่าจะเป็นเบอร์โทรหรือที่อยู่อะไรสักอย่าง กลัดติดไว้ ฝรั่งกับคนไทยเลี้ยงลูกไม่เหมือนกันจริงๆ

ไม่นานนักเด็กฝรั่งก็วิ่งกลับมาหาแม่ และก็ดูเหมือนว่าจะหิวน้ำหิวข้าว แม่ก็หยิบอาหารออกมาจากกระเป๋าใบโตยื่นให้พร้อมกับขวดน้ำเล็กๆ ใสๆ เด็กคนนั้นดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว มีเสียงดุว่า ให้ช้าๆ หน่อย จากนั้นเด็กก็จัดการอาหารเอง ไม่ต้องให้แม่คอยเดินตามป้อน แบบเด็กชายไทยคนนั้น ที่ยังเล่นซนไม่เลิกรา

ฝรั่งเลี้ยงลูกดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ใส่ใจ ดูเหมือนไม่รักแต่ก็รัก เด็กฝรั่งนั่งกินขนมปังในมือเลอะเทอะไปหมดทั้งปาก แต่แม่ของเด็กก็ปล่อยให้กินเลอะๆ แบบนั้นไปเรื่อยๆ ลองมาคิดกันดูว่าถ้าเป็นเด็กไทย พ่อกับแม่ก็คงเช็ดสิ่งที่เลอะนั้นออก ตั้งแต่แรกเห็น แต่แม่ของเด็กฝรั่งคนนี้ยังปล่อยให้ลูกของเธอทำเลอะ จนเมื่อลูกบอกว่าอิ่มแล้ว เธอก็ถึงจะจัดการเช็ดสิ่งที่เลอะเทอะนั้นออกจากลูกของตัวเอง

จากนั้นเด็กก็ออกวิ่งซนต่อ ไม่มีเสียงสั่งว่า “อย่าไปไกลๆ คนบ้าจะมาจับ” แหม่มคนนั้นปล่อยให้ลูกวิ่งไปเรื่อยๆ ฉันเห็นเด็กฝรั่งล้มลง ไม่มีเสียงร้องทั้งๆ ที่หัวเข่านั้นเป็นรอยถลอกเลือดออกซิบๆ แม่ของเด็กก็ได้แต่มอง ไม่ได้ลุกไปอุ้มลูกของเธอให้ลุกขึ้น

ฉันเองเสียอีกที่นั่งดูอยู่กลับอยากที่จะลุกขึ้นไปอุ้มเด็กน้อยคนนั้นให้ลุกขึ้นมาและดูแลทำแผลให้ ไม่นานเด็กก็กลับมาหาแม่ และแหม่มที่เป็นแม่ก็เอาน้ำในขวดล้างที่หัวเข่าให้ลูกของเธอพร้อมกับเอากระดาษชำระเช็ดๆ ให้

นึกถึงสมัยฉันยังเป็นเด็กเมื่อฉันหกล้ม ยายของฉันจะเข้ามาประคองแล้วพูดว่า

“ไม่เป็นไรนะลูก โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้นะ ไหนๆ ใครทำให้ลูกเจ็บ พื้นนี้ใช่ไหม มายายจะตีพื้นให้นะลูกนะ” จากนั้นยายก็ตีฝ่ามือลงบนพื้นดินที่ฉันหกล้ม

“ยายทำโทษพื้นให้แล้วนะลูกไม่ต้องร้องแล้วนะคนดี โอ๋ๆๆ นิ่งซะน้าคนดีของยาย” ยายกอดฉันและเฝ้าปลอบไม่ให้ร้องไห้

ฉันนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ และจำมันได้อย่างแม่นยำ เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ฉันไม่ยอมลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง

ตั้งแต่เล็กจนโตฉันมักจะคิดเสมอว่าฉันมียาย มีแม่ มีพ่อ ที่คอยดูแลเมื่อยามที่ฉันล้ม กว่าจะรู้ตัวว่าท่านเหล่านั้นดูแลฉันไม่ได้ตลอดชีวิต ก็เมื่อฉันโตขึ้นต้องรับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบครอบครัว

ในวันนี้ยาแก่มากแล้ว ไม่ได้แข็งแรงคอยมาอุ้มฉันได้เหมือนเมื่อฉันยังเป็นเด็ก แม่ก็เริ่มปวดเข่าปวดหลัง พ่อที่เคยแข็งแรงที่สุดในบ้านก็เริ่มหมดเรียงแรงเดินเหินไปไหนก็ช้าลง

ฉันเติบโตขึ้นกลายเป็นคนในวัยเดียวกับแม่เมื่อยามที่แม่มีฉัน แม่สูงอายุขึ้นกลายเป็นคนวัยเดียวกับยายเมื่อฉันยังเล็ก

โลกมีการเปลี่ยนแปลง เวลาหมุนเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายๆ ปี

ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ตัวโปรด ในกระเป๋ามีรูปภาพที่ฉันเก็บไว้มานานแล้ว

รูปถ่ายของครอบครัวฉัน ยายนั่งอยู่ตรงกลางบนเก้าอี้ แม่ที่ยังหุ่นดีอุ้มฉันในวัยแบเบาะในอ้อมแขนของเธอ พ่อกับพี่สาวในวัยขวบกว่าๆ ยืนอยู่ไม่ห่างจากยาย

สีภาพที่ฉันเห็นอยู่ในมือตอนนี้ มันดูเก่าและกลายเป็นสีเหลืองไปหมดแล้ว แต่ภาพเหลืองๆ ใบนี้ก็ทำให้ฉันเป็นสุขใจทุกครั้งที่ได้มองเห็นมัน

อีกรูปที่เคียงข้างกันก็คือรูปของฉันและเธอ เมื่อสมัยยังเรียนมัธยมปลายด้วยกัน ฉันจำได้ว่าเธอเอามาให้ฉันในวันที่เราสองคนจะต้องจากกัน เธอจัดการตัดรูปของเราให้มีขนาดพอดีกับที่ฉันจะใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ แถมยังหากระดาษสีน้ำเงินเข้มๆ แข็งๆ มาปิดทับลายของกระดาษอัดรูป ทำให้น่าพกติดกระเป๋า

ฉันยังจำได้ไม่เคยลืมว่าเราสองคนทำตัวติดกันเป็นแม่เหล็กขั้วเหนือขั้วใต้ ฉันกับเธอไว้ผมเปียยาวๆ หางหมู เอ๊ยไม่ใช่หางเปียของเรายาวจนถึงเอว

“อ้อยรอเราด้วยสิ” เสียงหญิงสาววัยรุ่นที่วิ่งตามฉันมาส่งเสียงร้องดังๆ

“ก็รอแล้วนี่ไงจะให้เดินช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว” ฉันบอกกับเธอที่วิ่งหอบมาหยุดลงตรงหน้าฉัน

“จะรีบไปตามอะไรที่ไหน หรือว่ามีอะไรหายไปจากคอกหรือไง” เธอต่อว่าฉัน

“ไม่มีอะไรหายไปหรอกแต่เราหิวข้าว ชักช้าอยู่ได้ ตาลายจะเป็นลมแล้ว”

“มิน่ารู้สึกเย็นๆ ไงไม่รู้ อิอิ งั้นไปเถอะเดี๋ยวอ้อยเป็นลมเราคงอุ้มไม่ไหว”

ส้มเพื่อนสนิทคนเดียวของฉันเธอเป็นสาวร่างอวบอ้วนกระทัดรัดฉบับกระเป๋า (โดเรม่อน) หน้าอวบอูมๆ เห็นแล้วนึกถึงซาลาเปาลูกโตๆ เพราะแก้มของเธอจะเป็นสีแดงๆ เวลาที่โดนแดด ราวกับซาลาเปาแต้มสี ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไร ไม่ค่อยที่จะออกความเห็นอะไร ส่วนฉันเองกลับเป็นคนคิดอะไรหลายๆ อย่างแทนเธอ

ส่วนฉันสูงกว่าเธอหลายเซ็นเรียกว่าเป็นสิบเซ็นก็ว่าได้ แถมยังผอมเป็นไม้เสียบลูกชิ้น เวลาเดินไปไหนก็เหมือนกับเลขหนึ่งกับเลขศูนย์

“การบ้านอะส้มทำมาหรือยัง” ฉันทวงการบ้านที่ส้มจะเป็นคนทำในวิชาภาษาอังกษฤ ส่วนฉันจะทำในวิชาคำนวณทั้งหมดที่มี

“อะนี่แล้วเลขอะเสร็จยัง” เธอทวงกลับบ้าง

“อะเสร็จแล้วเอาไปแลกกัน”

เราสองคนนั่งลอกการบ้านกันอยู่ในห้องสมุดทุกเช้า หากวันไหนการบ้านเยอะ เราก็จะนั่งทำการบ้านกันในตอนเย็นๆ หากเสร็จแล้วก็ส่งให้กันลอกเป็นทอดๆ ไป เป็นอย่างนี้ประจำจนเป็นความเคยชินระหว่างฉันกับส้ม

ส้มเก่งมากเมื่อเธอเรียนในวิชาภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็ตาม แต่ส้มเป็นคนที่ไม่ชอบวิชาคำนวณใดๆ ทั้งสิ้น เธอเกลียดตัวเลขเข้ากระดูกดำ ผิดกับฉันที่เกลียดวิชาภาษาเข้ากระดูกดำเช่นกัน เราจึงเป็นเหมือนขั้วแม่เหล็กเหนือใต้ ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่เราก็คบกันมานานหลายปี

จนวันหนึ่งที่เราต้องไกลห่างกัน เธอบอกฉันว่าหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าความเป็นเพื่อนกันของสองเราจะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ส้มสอบได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ส่วนฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองไทยได้ เราสองคนขาดการติดต่อกันตั้งแต่ส้มไปเรียนที่โน่น นับเวลามาถึงตอนนี้ก็เกือบจะยี่สิบปี รูปเดิมๆ ใบเดิมๆ ที่ฉันนั่งเฝ้ามองเมื่อยามที่ฉันคิดถึงอดีตที่ผ่านมา

ฉันได้ยินข่าวว่าส้มเรียนต่อจนได้เพ็ดดีกรี หุหุ ไม่ใช่ค่ะได้ดีกี่ด๊อกเตอร์กลับมาบ้านเรา และทำงานใช้ทุนอยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง แม้ว่าจะรู้ว่าเธออยู่ไม่ไกลจากฉัน แต่มันก็ดูเหมือนจะห่างไกลกันเหลือเกิน เพราะการที่เราติดต่อกันไม่ได้ ยิ่งใกล้ก็เหมือนยิ่งไกล

มีคนเคยถามฉันว่าทำไมถึงยังไม่แต่งงานฉันก็ได้แต่นั่งหัวเราะขำกับคำถามนั้นและก็ตอบไปแบบเดิมทุกครั้ง

“เนื้อคู่คงยังไม่เกิดมั๊งพี่”

ฉันไม่เคยคิดว่าการแต่งงานจะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตคนเรา ฉันกลับคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้นของความยุ่งยากมากมาย เพื่อนๆ ของฉันแต่ละคนที่แต่งงานไปแล้วเมื่อเรากลับมาเจอกันเมื่อหลายปีก่อนต่างคนก็ต่างเอาเรื่องปวดหัวของเธอมาเล่าต่างๆ นานา

“แกเอ๊ยไอ้อ้อยแกไม่แต่งงานน่ะดีแล้วไม่ต้องมาปวดหัวกับพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายแหล่” ปอเพื่อนในกลุ่มเดียวกับฉันอุ้มลูกข้างหนึ่งมืออีกข้างหนึ่งก็คีบตะเกียบเอาอาหารบนโต๊ะจีนงานแต่งของเพื่อนอีกคนส่งเข้าปากลูกสาววัยสองขวบของเธอ พร้อมกับบ่นให้ฉันฟัง

ปอเป็นสาวมาดมั่นมากมายเมื่อตอนที่เธอยังอยู่ในวัยเรียน เธอคบกับสามีมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ และทั้งคู่ก็ตกลงใจที่จะแต่งงานกันเมื่อทั้งสองคนเรียนจบ ความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆ คิดเมื่อทั้งคู่ยังอยากที่จะเที่ยว อยากที่จะสังสรรคในหมู่เพื่อนฝูง

สามีของปอก็ยังทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเหมือนเดิม เมื่อมีครอบครัวก็ยังไม่เลิกนิสัยเดิมๆ จนวันหนึ่งปอตั้งท้องและกำลังใกล้จะคลอดก็จับได้ว่าสามีไปมีหญิงคนใหม่ เธอร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ทำใจไม่ได้เมื่อสามีไปมีอะไรนอกบ้าน เธอจับสามีไปตรวจเช็คเลือดว่ามีบวกหรือเปล่า เพราะเธอไม่ต้องการที่จะติดโรคหรืออะไรจากคนใกล้ตัว อีกอย่างปอกำลังท้องเธอก็เลยเป็นโรคขี้กังวลมากขึ้นกว่าเดิม

กว่าจะผ่านวันอันเลวร้ายมาได้ ปอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองกลับไม่มีความมั่นใจ และทะเลาะเบาะแว้งกับสามีอยู่เป็นประจำ สุดท้ายทั้งคู่ก็ต่างเลิกร้างกันไป ปอเอาลูกมาเลี้ยงเอง ไม่ยอมแม้กระทั่งรับค่าเลี้ยงดูจากสามี แต่เธอยึดทั้งบ้านทั้งรถ และทุกอย่างที่ร่วมสร้างกันมา

เธอบอกว่ามันเป็นของเธอและลูก สามีของเธอก็เลยต้องไปแต่ตัวกับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด ปอจัดการโอนทุกอย่างให้เป็นชื่อลูกของเธอ ต่อให้ใครหน้าไหนก็ไม่มีทางมาเอาทรัพย์สินเหล่านั้นไปจากลูกของเธอได้

เมื่อฉันเห็นชีวิตแต่งงานของเพื่อนแล้วก็รู้สึกขยาดๆ กับการแต่งงาน อีกอย่างก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้ใจของฉันหวันไหวได้เลยสักคนเดียว เคยมีเหมือนกันที่ฉันแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งแต่เมื่อลองคบๆ กันไปแล้วมันกลับกลายมาเป็นเพื่อนกันมากว่า เราสองคนก็เลยแยกทางกันด้วยดี

ฉันคงยังไม่พร้อมที่จะมีใครในตอนนี้ เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าฉันรักใคร หรือชอบใครจริงๆ จังๆ ได้อีกหรือเปล่า คนที่ฉันคิดถึงเสมอไม่เคยเปลี่ยนก็คือ “ส้ม” เพื่อนอ้วนเตี้ยคนเดียวของฉันเท่านั้น

ส้มจะรู้หรือไม่ว่า “ยายเสาไฟฟ้า” เพื่อนของเธอคนนี้ยังคิดถึงเธอเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ฉันเก็บกระเป๋าสตางค์ลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์แล้วก็เดินออกจากสวนสาธารณะเพื่อที่จะไปสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนี้มากนัก

ใจของฉันไม่อยากกลับบ้าน เพราะที่นั่นไม่มีใครที่จะมารอฉัน ไม่มีความรักความอบอุ่น ฉันเดินผ่านผู้คนมากมาย ที่แย่งกันขึ้นรถ แย่งกันซื้อของกิน ชีวิตของคนในเมืองหลวงจะมีอะไรมากไปกว่าการแก่งแย่งและช่วงชิง

ฉันเหงาเหลือเกินแล้ว เหงาอย่างบอกไม่ถูก

......................

ฉันเดินทางกลับบ้านด้วยรถตู้ระหว่างที่ยืนต่อแถวนั้นก็มีเด็กวัยรุ่นมาแทรกแถวที่ฉันยืนรออยู่ ทำหน้าตาเฉยไม่สนใจคนที่ยืนต่อคิวยาวเป็นหางว่าว จนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉันทนไม่ได้

“นี่น้องๆ ไปต่อคิวข้างหลังโน่นไม่เห็นหรือไงว่าพวกพี่ยืนรอคิวกันอยู่มาแทรกแบบนี้เสียมารยาท” เสียงชายวัยกลางคนพูดทำให้ฉันแอบสะใจอยู่ไม่น้อย

เด็กวัยรุ่นผู้ชายสองคนหันไปมองหน้าพี่ผู้ชายคนนั้นแล้วก็ทำนิ่งเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนสุดท้ายพี่ผู้ชายทนไม่ได้พูดขึ้นอีกว่า

“เออปล่อยหมามันไป เราเป็นคนหมามันฟังไม่รู้เรื่อง”

จากนั้นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิด เมื่อวัยรุ่นสองคนเข้ามารุมพี่ผู้ชายคนนั้นต่อหน้าต่อตาของฉัน แถมยังต่อยพี่เค้าไม่เลี้ยง จนคนที่ยืนรอต้องเข้ามาห้ามและรุมสกรัมวัยรุ่นทั้งคู่ให้นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ราวกับหมาข้างถนน

ใจฉันเต้นไม่เป็นระบบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คิดเลยว่าคนเราจะใจร้อนอะไรได้ถึงขนาดนี้ เมื่อตำรวจมาถึงพี่ๆ ที่ยืนต่อคิวก็ช่วยกันบอกว่าวัยรุ่นสองคนเมาอาละวาดก็เลยช่วยๆ กันห้าม ตำรวจดูท่าทางว่าจะหาคนผิดไม่ได้ก็เลยพาวัยรุ่นทั้งคู่เข้าโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ

“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจยาวๆ ใจยังคงเต้นแรง อยู่อย่างนั้น

การเดินทางด้วยรถตู้เป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุดเท่าที่ฉันคิดได้ เพราะเมื่อคนเต็มแล้ว รถตู้ก็จะมุ่งไปยังจุดหมายปลายทางทันทีไม่มีแวะป้ายไหนให้ผู้โดยสารที่รีบเร่งแบบฉันต้องมาเสียเวลา ฉันเลือกที่จะจ่ายแพงกว่านิดๆ หน่อยๆ ดีกว่าเสียเวลานั่งหรือยืนบนรถเมล์ที่คนแน่นเอี๊ยด

รถตู้พาฉันมาถึงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน ฉันทักทายพี่ยามที่ป้อมแล้วก็เดินไปเอารถจักรยานคันเดิมฉันเรียกเจ้ารถคันนี้ว่าสนิม เพราะเป็นจักรยานที่ตากแดดตากลมตากฝนจนสนิมขึ้นเต็มไปหมด ฉันปั่นเจ้าสนิมมาทิ้งไว้ที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านเมื่อตอนเช้าและกำลังจะปั่นกลับไปยังบ้านที่เงียบสงบของฉันหลังเดิม

ก่อนเข้าบ้านก็เหมือนทุกวันแวะร้านป้าขายของชำที่ทำปิ่นโตให้ฉัน ฉันผูกปิ่นโตกับป้าไว้เพราะมันเป็นการง่ายกว่าที่จะต้องมานั่งคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน ป้าร้านขายของชำจะทำกับข้าวในตอนเย็นของทุกวัน ฉันผูกไว้ด้วยราคาที่ไม่แพงมาก ข้าวหนึ่งกับข้าวสอง แกงอย่างผัดผักอีกอย่าง หากเหลือก็แช่ตู้เย็นไว้สำหรับกินในมื้อเช้าก่อนออกไปทำงาน และก็เอาปิ่นโตไปวางคืนไว้ที่หน้าร้านของป้าในตอนเช้า

“ป้าค่ะหนูแวะมาเอาปิ่นโตค่ะ” ฉันเดินเข้าไปในร้านและบอกกับป้าเจ้าของร้านที่ใจดีคนเดิม

“รอเดี๋ยวนะหนูอ้อย ป้าไปเอามาให้ ทำไมวันนี้กลับดึกจังเลย”

“วันนี้แวะไปเดินเล่นมาค่ะป้าก็เลยกลับบ้านดึกหน่อยขอโทษด้วยค่ะ ที่ทำให้ป้าต้องคอย”

“ไม่หรอกวันนี้ป้าก็ปิดดึก เพราะรอหลานสาวเห็นว่าจะมาเยี่ยม”

“เหรอคะ”

“หลานป้าเป็นด๊อกเตอร์เชียวน้าจะบอกให้” ป้าเจ้าของร้านพูดอวดหลานสาวของเธอให้ฉันฟัง ฉันก็ได้แต่ยิ้มๆ ก็แค่เรียนจบปริญญาโทมาฉันก็แทบจะตายไปแล้ว อย่าคิดเลยว่าฉันจะไปต่อด๊อกต้งด๊อกเตอร์ให้เสียเวลาทำมาหากิน

ฉันปั่นจักรยานออกมาจากร้านของป้า แต่ก็ได้ยินเสียงรถปิดประตูและเสียงของป้าเรียกชื่อหลานของเธอ

“อ้าวส้มมาแล้วเหรอลูก”

แต่ฉันก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมองเพราะฉันเริ่มอยากเข้าบ้านด้วยเพราะฉันเหนื่อยจริงๆ ในวันนี้

.........................

ฉันตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมและก็ยังคงทำกิจวัตรแบบเดิมๆ อุ่นข้าวแล้วก็นั่งกินเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนเพราะงานฉันเข้าเก้าโมงไปเร็วก็ไม่ได้ตำแหน่งพนังกงานดีเด่นอะไร ฉันหันไปพูดกับรูปของครอบครัว

“ไปทำงานแล้วนะพ่อแม่ยายบายๆๆ” จากนั้นก็ออกมาเข็นเจ้าสนิมออกมานอกบ้าน แต่ก็ต้องโมโหอีกครั้ง

“อ้าวสนิมทำไมทำกับแม่อย่างนี้ล่ะลุกจะยางแบนก็ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนเฮ้อ” เจ้าสนิมคันเดิมวันนี้เกเรทำให้ฉันต้องเสียแรงเดินแต่เช้าเลยนะ

ฉันเดินเอาปิ่นโตมาวางไว้ที่หน้าร้านเหมือนเช่นเคย ยังเห็นรถคันเล็กๆ ของหลานป้าผ่องเจ้าของร้านชำจอดอยู่ แล้วก็เดินมาเรื่อยๆ ระยะทางจากบ้านไปถึงหน้าหมู่บ้านถึงไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ หากมีเจ้าสนิมฉันคงผ่อนแรงไปได้มากกว่าการเดิน

“ปิ๊นๆ” เสียงแตรรถบีบไล่อะไรสักอย่าง คงเป็นฉันที่เดินอยู่ข้างทาง แต่ไม่น่าใช่เพราะฉันไม่ได้เดินขาวงทางรถนี่นา

“คุณคะขึ้นรถฉันไหมคะฉันจะไปส่งที่หน้าหมู่บ้านให้” เสียงเจ้าของรถที่ลดกระจกลงมาตะโกนถามฉัน

ฉันที่กะจะหันไปต่อว่าเจ้าของรถคันนั้นก็ชะงักเมื่อเห็นรถที่คุ้นตาว่าเป็นของหลานสาวป้าเจ้าของร้านชำเจ้าประจำ

“ขึ้นมาสิค่ะ” เจ้าของรถยังคงใจดีเรียกฉันอีกครั้งพร้อมกับผลักประตูรถให้เปิดออก

ฉันก้าวขึ้นไปนั่งบนรถและไม่ลืมที่จะบอกขอบคุณเธอ

“ขอบคุณค่ะคุณเอ่อ”

“ส้มค่ะเราชื่อส้ม” เธอแนะนำตัวเอง

“เราอ้อยค่ะยินดีที่ได้รู้จัก ขอบคุณนะคะที่กรุณาแวะรับเราขึ้นรถ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนบ้านกันเรื่องแค่นี้ไม่ถือเป็นบุญคุณอะไรหรอกคะ”

“คุณเป็นหลายสาวป้าผ่องหรือค่ะ”

“ค่ะฉันหลานสาวป้าผ่อง พอดีเมื่อวานแวะเอาการ์ดแต่งงานมาให้ป้าก็เลยของนอนค้างที่บ้านป้าผ่องคืนนึง”

“คงเป็นโชคดีของฉันที่ได้พบคุณ” รถแล่นมาถึงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านพอดีฉันก็เลยขอตัวลงตรงหน้าหมู่บ้าน

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กรุณารับฉันติดมาด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ฉันลงจากรถและเธอก็ขับรถออกไป ฉันรู้สึกว่ายังดีที่บนโลกใบนี้ยังมีคนใจดีแบบเจ้าของรถคนั้น เพราะนานๆ ครั้งจะมีคนใจดีแวะรับคนข้างทางให้ขึ้นรถมาด้วยสักครั้ง

การอยู่ในเมืองหลวงทำให้คนเราไม่ค่อยจะมีน้ำใจเผื่อแผ่กับเพื่อนร่วมโลก ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะมีน้ำใจ แต่เพราะมิจฉาชีพที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงมันมากมายเหลือเกิน จะมีน้ำใจกับใครสักคนต้องคิดแล้วคิดอีก

เมื่อก่อนฉันเคยให้ทานของทานเด็กที่แขนขาดขาขาดนั่งขอทานอยู่บนสะพานลอย แต่เมื่อดูข่าวแล้วรู้ถึงที่มาที่ไปของเด็กเหล่านั้นฉันก็รู้สึกสลดใจ ด้วยแก๊งค์เหล่านี้จะไปซื้อเด็กมาแล้วก็เอามาตัดแขนตัดขาทิ้ง บังคับให้มาขอทาน วันไหนไม่ได้เงินตามที่พวกมันต้องการก็ทำร้ายร่างกายเด็กๆ ที่ไม่มีทางต่อสู้ขัดขืน

ดูแล้วก็ยิ่งหดหู่ในหัวใจ แก๊งค์ตกชิงวิ่งราวก็มีมากมาย ในเมืองที่ใครหลายๆ คนอยากมาแสวงหาอาชีพ มาขุดทอง กันในเมืองที่มีชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศ เห็นได้จากปริมาณแท็กซี่ในเมือง เมื่อยามฤดูแล้งก็เห็นวิ่งกันให้เกลื่อนเมือง แต่เมื่อถึงฤดูทำนา รถแท็กซี่ก็หายากเย็นเหลือเกิน ยิ่งกว่าหาบ่อน้ำมันกลางทะเลด้วยซ้ำไป

เมื่อมาถึงที่ทำงานยังไม่ทันได้วางกระเป๋าเสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น เมื่อยกโทรศัพท์เครื่องจิ๋วของฉันขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นปอเพื่อนของฉันโทรเข้ามา

“ว่าไงปอมีอะไรโทรมาแต่เช้า”

“ไม่ว่าไงอ้อย แกยังจำส้มเพื่อนเราได้หรือเปล่าคนที่แกเคยติดกันเป็นตังเมเมื่อสมัยเรียนน่ะ”

“จำได้สิถามทำไมเหรอปอ”

“ก็วันนี้ฉันได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่งงานของส้ม เค้าจะแต่งงานแล้วกับเพื่อนเค้าที่เรียนมาด้วยกัน”

“เฮ้ยจริงเหรอ”

“จริงเค้าจะแต่งวันอาทิตย์นี้แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันไม่กล้าไปคนเดียว แล้วฉันจะไปรับแกที่บ้านนะ บายๆๆ แค่นี้ก่อนนะฉันต้องรีบเข้าประชุม” ปอวางสายแบบมัดมือชกฉัน ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้ตอบเธอไปแม้แต่คำเดียวว่าจะไปหรือไม่ไป

ฉันทบทวนคำบอกเล่าของปอแล้วก็เกิดอาการบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาทันที ฉันซบหน้าลงบนฝ่ามือของตัวเอง สิ่งที่ฉันหวังไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด ส้มไม่ได้มีใจกับฉันเหมือนที่ฉันมี ฉันที่เฝ้าเก็บงำทุกสิ่งไว้ในใจเพียงคนเดียว เฝ้ารอความหวังว่าสักวันคนที่ฉันรอจะกลับมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากใจของฉัน

ตอนนี้มันดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เธอกำลังจะแต่งงาน สร้างครอบครัวใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

ฉันหยิบรูปใบเก่า ใบเดิมออกมาจากกระเป๋าสตางค์ มองรูปนั้นจากที่แจ่มชัดก็พร่าเลือน เพราะน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจนไม่สามารถที่จะยับยั้งได้

“อ้อยเป็นอะไร” พี่ที่ทำงานเมื่อเห็นฉันนั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะทำงานก็เข้ามาทัก

ฉันปาดน้ำตาและตอบไปว่า “ปวดหัวนิดหน่อยค่ะพี่ ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ กินยาไปแล้ว”

“ปวดหัวจนร้องไห้แบบนี้เป็นไมเกรนหรือเปล่า งั้นนั่งพักนะวันนี้ไม่ต้องเข้าประชุมก็ได้”

“ไม่เป็นไรพี่อีกเดี๋ยวก็คงหาย”

“โอเค งั้นพักไปก่อนแล้วเจอกันในห้องประชุมก็แล้วกันนะ”

“ค่ะพี่”

ฉันเลือกที่จะทำงานเพียงเพื่อให้ลืมความเศร้าที่เกาะกินอยู่ในหัวใจ มากกว่าที่จะปล่อยให้ตัวเองอยู่เงียบๆ คนเดียว

.....................

ปอมารับฉันที่บ้านอย่างที่เธอบอกไว้ เราไปถึงโรงแรมหรูที่จัดงานวิวาห์ของส้มพร้อมๆ กัน

ส้มในวันนี้ไม่ใช่ยายหมูอ้วนหน้าแก้มซาลาเปาแบบเดิมเธอดูสวยและน่ารัก ตัวผอมลงไปเยอะและที่สำคัญเธอก็คือหลานสาวของป้าผ่อง

“อ้าวหนูอ้อย ไม่คิดว่าจะเจอในงานนี้ เป็นเพื่อนใครล่ะฝ่ายเจ้าบ่าวเหรอ”

“เปล่าค่ะป้าเป็นเพื่อนส้ม”

“เอ๊าตายจริงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหนูอ้อยเป็นเพื่อนส้ม นี่ถ้าป้ารู้มาก่อนนะ ป้าจะทำกับข้าวสุดฝีมือเลยเชียวล่ะ”

ฉันยังคิดในใจว่า แล้วที่ทุกวันนี้ป้าผ่องไม่ได้ทำกับข้าวสุดฝีมือใส่ปิ่นโตให้ฉันหรอกหรือ ตายแล้ว ฉันกินกับข้าวไม่อร่อยมาหลายปีได้อย่างไรกัน

ปอพาฉันไปนั่งที่โต๊ะจีนที่ปักป้ายชื่อโรงเรียนของเราเอาไว้ ก่อนที่จะทักทายเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่นั่งเรียงกันหน้าสะลอน

ฉันมองดูส้มในชุดเจ้าสาว ฉันคิดว่าเธอเหมาะสมแล้วที่จะแต่งงานมีครอบครัว ดูเธอสดใสเหมือนนางฟ้า ใช่นางฟ้าตัวน้อยๆ ของฉัน แม่ส้มจี๊ดสุดแสนจะเปรี้ยวเข็ดฟัน เธอเดินมาตามโต๊ะพร้อมกับเจ้าบ่าว บ่าวสาวควงแขนกันเดินทักทายแขกที่เชิญมาทั่วงาน และก็มายืนอยู่ที่โต๊ะของพวกฉัน เพื่อนหลายๆ คนเข้าไปกอดเธอแสดงความดีใจ

ส่วนฉันนั่งอยู่ที่เดิม มองดูความเปลี่ยนแปลงของเธอ

เธอสวยจริงๆ สวยมากๆ สวยจนฉันตะลึง มีคนเคยบอกว่าผู้หญิงเราจะสวยที่สุดก็วันแต่งงาน ฉันว่านี่ก็เป็นเรื่องจริง ส้มสวยแบบที่ส้มเป็น ส้มสวยทั้งกายสวยทั้งใจ ฉันไม่เคยปฏิเสธ

ฉันปล่อยให้ปอทักทายส้มไปเพียงลำพังส่วนฉันได้แต่นั่งเป็นหุ่นประดับโต๊ะ แม้กระทั่งฉันเธอก็จำไม่ได้ แล้วจะเสียเวลาที่จะไปรื้อฟื้นความทรงจำที่ถูกกลบลบเลือนหายไปทำไมกัน

มันไม่มีประโยชน์ที่แม่เสาไฟฟ้าอย่างฉันจะขุดมันขึ้นมาในวันแห่งความยินดีเช่นนี้ ส้มเดินมายืนข้างๆ ที่ปอกับฉันนั่งอยู่ แล้วก็พูดขึ้นว่า

“หวัดดีแม่เสาไฟฟ้า ทำเป็นจำเราไม่ได้เหรอ นั่งตะลึงเชียว”

ฉันยิ้มแหยๆ แล้วก็กล่าวสวัสดีเธอไป

“ลืมสัญญาของเราไปเถอะนะอ้อยเราขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้”

“สัญญาอะไร”

“ไปเปิดดูหลังรูปของเราแล้วตัวจะรู้”

จากนั้นเธอก็เดินจากไป ปล่อยให้ฉันนั่งงงอยู่คนเดียว และนึกถึงรูปคู่ของเราที่ถ่ายไว้ด้วยกัน

ฉันเปิดกระเป๋าสตางค์อีกครั้งและหยิบรูปนั้นออกมา จากนั้นก็ลอกกระดาษสีน้ำเงินที่ปิดทับด้านหลังรูปออก ข้างในมีข้อความเขียนไว้ว่า

“รักอ้อยที่สุดในโลกเป็นเจ้าสาวของส้มนะคนดี สัญญาได้ไหม”

ฉันอ่านข้อความนั้นแล้วก็ต้องตะลึง นี่เธอเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งๆ ที่ฉันก็เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ไปหลายใบ รูปใบนี้ก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ว่ากระเป๋าจะเปลี่ยนเป็นใบไหนก็ตาม

ฉันละเลยคนที่ฉันรัก ไม่พยายามติดตามหาเธอเมื่อยามที่เราต้องไกลกัน ไม่พยายามติดตามหาเธอเมื่อเธอกลับมาอยู่ใกล้ๆ แล้วฉันจะตีโพยตีพายไปเพื่ออะไรกัน ในเมื่อเธอได้เลือกทางเดินชีวิตของเธอเองแล้ว

ถึงตอนนี้ฉันจะเสียใจ แต่ก็คงไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่เธอเสียใจ เราต่างคนต่างผิดด้วยกันทั้งคู่

ภาพเก่าใบเดิมไม่มีอะไรปกปิดอีกต่อไป

ปอกลับมาส่งฉันที่บ้าน และกลับไปแล้ว ยังคงมีเพียงฉันที่นั่งเหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่มองไม่เห็นดาวสักดวง

ต่อจากนี้ไปฉันจะเปิดใจให้กับใครสักคนเข้ามาแทนที่เธอ

ฉันได้แต่สัญญากับตัวเองแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคนๆ นั้นเดินเข้ามา

เมื่อเอยเมื่อนั้น


... จบ ...






Create Date : 08 กรกฎาคม 2551
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 10:15:57 น. 0 comments
Counter : 446 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.