It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑

บทที่ ๑

“ปรี๊ด........”

เสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันดังขึ้นพร้อมกับเสียงเชียร์โห่ร้องของกองเชียร์ที่เซ็งแซ่ไปทั้งสนาม กับการประลองชัยครั้งนี้ ระหว่างทีมสีเขียวกับทีมสีขาว ที่เริ่มขึ้นในรอบชิงชนะเลิศ

ดูเหมือนว่าทั้งสองทีมจะผลัดกันรุกและรับอย่างสนุกตื่นเต้นเร้าใจ ได้สองแต้มบ้าง สามแต้มบ้าง จนเกือบจะเสร็จสิ้นการแข่งขัน เหลือเพียงไม่กี่นาที ตอนนี้ทีมสีขาวนำอยู่ ๕๑ ต่อ ๔๙ แต้ม ซึ่งมองดูแล้วเป็นการชนะที่ไม่ขาดลอยสักเท่าไหร่นัก

“เอาเลยแป๊ด ไปดักหน้าเลย เดี๋ยวจะส่งให้ด้านซ้าย” เสียงของธิติมา ดังมาจากด้านหลัง

ฉันหันไปมองแล้วพยักหน้าเป็นการเข้าใจ พร้อมกับคว้าลูกกลมสีส้มที่ธิติมาส่งมาแล้วหันหลังกลับชู๊ตลูกกลมๆ สีส้มลงไปในห่วง

“ปรี๊ด” เสียงนกหวีดของกรรมการเป่าอีกรอบ พร้อมกับชูมือว่าฝ่ายสีเขียวของฉันได้อีก ๒ คะแนน นั่นหมายความว่าสีของฉันทำคะแนนตามมาได้ทันเพื่อตีเสมอ

การชิงชัยยังไม่ถึงกับหยุดชะงักลงอย่างแท้จริง เพราะเข้าใจว่ายังเหลือเวลาอีกไม่ถึง ๒ นาที จะเสมอเพื่อครองแชมป์คู่กับสีขาวหรือ ไม่มีทางพวกฉันจึงรีบแย่งชิงลูกสีส้มจากฝ่ายตรงข้ามมาเพื่อแย่งทำคะแนนให้ได้ และไม่ทันคาดคิด เมื่อลูกอยู่ในมือของฉัน มือของอีกฝ่ายมาจากไหนไม่รู้ ทำให้ฉันตกใจกับร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายที่มาสกัดตรงหน้า และฉันก็ล้มลงด้วยกำปั้นของอีกฝ่ายที่ทุบลงบนหัวฉันอย่างหนักหน่วง

“โอ้ว.....” ดาวกระจายเหมือนงานเลี้ยงสังสรรค์อะไรประมาณนั้น พร้อมกับร่างของฉันก็ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า

“ปรี๊ด....” เสียงนกหวีด ดังมาอีกรอบ คราวนี้ฝ่ายฉันได้ลูกโทษ

“เป็นงัยบ้างแป๊ดแกนะทำดีมากเพื่อน” ธิติมาและผองเพื่อนเดินเข้ามาฉุดฉันให้ลุกขึ้น

“ดีตรงไหนกันหละนี่นะฉันมึนจะแย่อยู่แล้วแกลองมาโดนบ้างไหมหละจะได้รู้” ฉันต่อว่าพร้อมโอดครวญและส่ายศรีษะไปมาให้หายมึน

“เออน่าเดี๋ยวชนะแล้วจะเลี้ยงเซเว่นเซ้นต์” ธิติมาพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง กับมุขที่ไม่ขำของตัวเธอเอง

เสียงตะโกนของกองเชียร์ฝ่ายสีเขียว ตะโกนว่า “ลง ลง ลง...............”

เสียงตะโกนของกองเชียร์ฝ่ายสีขาวตะโกนว่า “ไม่ลง ไม่ลง ไม่ลง.........”

ทั้งสองเสียงทำให้ฉันเกือบเสียสมาธิ เมื่อกรรมการถามว่าพร้อมไหมฉันพยักหน้าเป็นการรับรู้ และกรรมการก็เป่าปรี๊ดอีกรอบ ฉันจึงชู๊ตเพื่อคะแนน และเหมือนจะทำให้หัวใจวายตาย ลูกก็ดันวนรอบห่วง วนไปมาอยู่สัก ๒ รอบ และในที่สุดก็ลง “ชร๊วบ”

“เย่...............” เสียงเชียร์ของสีเขียวยิ่งดังขึ้นอีก เมื่อได้คะแนนนำสีขาว อีก ๑ แต้มเท่ากับว่าตอนนี้ เป็นสีเขียวที่ขึ้นนำ ๕๒ ต่อ ๕๑

“สีเขียว สู้ สู้ สีเขียว สู้ตาย สีเขียวไว้ลาย สู้ตาย สู้ สู้” เสียงกองเชียร์ และเชียร์ลีดเดอร์แสนสวยของฉัน ที่ส่งเสียงร้องดังๆ เพื่อเชียร์สีเขียวดังมาไม่หยุดหย่อน ในสนามก็กำลังขมักเขม้นกับการทำคะแนน

“ปรี๊ด........” ในที่สุดเสียงสวรรค์ของนกหวีดที่เป่าบอกว่าหมดเวลาก็มาถึง

สีเขียวของฉันชนะเลิศได้ครองเหรียญทอง ไม่แพ้ใคร มา ๓ ปีติดต่อกัน และปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายที่ฉันจะได้เล่นบาสให้กับกีฬาสีของโรงเรียน ตอนนี้ฉันอยู่ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ ของโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ

ฉันและเพื่อนร่วมทีม กำลังจะเดินขึ้นรับเหรียญรางวัลชนะเลิศบนแท่น สายตาของฉันก็หันไปเห็นสาวน้อยเชียร์ลีดเดอร์คนเดิม ส่งสายตาหวานหยดย้อยมาให้ฉัน และเหมือนเธอจะพูดแบบให้รู้กันเพียงสองเราว่า

“เก่งที่สุดคนดีของกิ่ง” และฉันก็พยักหน้ารับรู้

“ไป ไป เร็วเข้า ไปกินเซเว่นเซ้นต์ กัน มื้อนี้ไอ้แป๊ดเลี้ยงในฐานะผู้ชนะ” เสียงธิติมาหรือไอ้ธิ ของเพื่อนๆ ตะโกนดังขึ้นเพื่อบอกกับเพื่อนๆ ในกลุ่มของฉัน

“เฮ้ยไอ้ธิไหนแกบอกว่าแกจะเลี้ยงไหงเป็นฉันต้องมาเลี้ยงพวกแกวะ” ฉันสวนกลับในทันที

“อ้าว ก็แกดันมาทำให้พวกฉันใจตกอยู่ที่ตาตุ่มตอนชู๊ตลูกโทษเองนี่หว่าช่วยไม่ได้” ธิติมาทำท่าทางยกมือขึ้นทาบอกประกอบคำพูดและทำหน้าตาตกใจแล้วธิติมาก็หัวเราะร่ากับการแสดงของตนเอง

“อะไปกัน อีท ฮู อีท โป เต โต้” ฉันเย้าธิติมาที่ทำหน้าปุเลี่ยนๆ ประกอบท่าทางแป๊กๆ ของเพื่อน

“อะไรฟร่ะ พวกแกนี่ไม่ทำให้เจริญอาหารเลยสักนิดเดียว แล้วกินๆ ไปนี่ ไม่ต้องกลัวหรอกนะว่าจะต้องล้างถ้วยไอติม โน่น คนสวยเดินมาแล้ว เดี๋ยว เราให้คนสวยแฟนเจ้าแป๊ดเลี้ยงก็ได้” ด้วยความอดรนทนไม่ได้ของ นัยนาเพื่อนร่วมทีมอีกคนของฉัน ก็เลยตัดบทเพื่อเป็นตลกบริโภคอีกคน

“แล้วกิ่งเกี่ยวอะไรด้วยหละคะ แค่เชียร์นี่ก็เสียงแหบเสียงแห้งแล้วนะ จะต้องมาเสียตังค่าเลี้ยงไอติมอีกก็เห็นจะไม่ใช่ที่แล้วนะ” ภัทรทราภรณ์พูดแล้วก็ทำท่ายิ้มๆ ส่งสายตาหวานมาทางฉัน

“เอาน่ากิ่งงัยซะกิ่งก็ต้องพาพวกเราไปอยู่ดีนั่นแหละ เพราะว่าพวกเราไม่มีใครเอารถมา มีแต่กิ่งนะ ที่เอามาไปเถอะ ไปกินไอติมกัน แล้วค่อยว่าต่อไปว่าจะไปไหนต่อ อ๋อ แต่ก่อนไปขอความกรุณาด้วย ช่วยไปอาบน้ำกันก่อนนะ เดี๋ยว รถยนต์ของสุดสวยของฉันจะเหม็นเหงื่อพวกแก” ฉันว่าพรางก็หยิบกระเป๋าเพื่อเตรียบตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะไปหาอะไรทานเพื่อฉลองชัยชนะกัน

…………………

บนรถของภัทรทราภรณ์ที่เป็นรถเก๋งขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก ต้องมาบรรทุกเด็กสาวแรกรุ่นหุ่นพอไปวัดตอนสายๆ ได้ถึงแปดชีวิต อัดกันแน่นเป็นปลากระป๋อง เบาะข้างๆ คนขับอัดไปสอง ด้านหลังอีกห้า เมื่อถึงที่หมายต่างก็รีบเปิดประตูรถเพื่อกระจายตัวออกมาก่อนที่คนนั่งล่างสุดจะตายเพราะโดนทับบี้แบน กลุ่มสาวๆ ทั้งแปดเดินเรียงหน้ากระดานไปราวกับว่าถนนสายนี้เป็นของพวกเธอ

ร้านไอศครีมที่พวกเธอเลือกไปนั้นค่อนข้างจะหรูเพราะตั้งอยู่ภายในซุปเปอร์สโตร์ใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัด เสียงดังโหวกเหวกโวยวายของทีมบาสผู้ชนะเลิศ ดังออกมาจนถึงทางเดินด้านนอกโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง

พสุธากัมปนาทถูกสั่งมาหนึ่งถ้วยพร้อมกับวิปครีมปักด้วยเชอรี่ทั้งหมดแปดจุดทุกคนเลือกไอศครีมรสที่ตนถูกใจจากนั้นก็รอไอศครีมถ้วยโตไม่ใช่สิชามโตต่างหากให้มาวางกลางโต๊ะด้วยใจระทึก หลังจากที่พนักงานได้นำเอาพสุธากัมปนาทชามนั้นมาวางลงตรงหน้าเรียบร้อยแล้วทุกคนก็ร่วมส่งเสียงร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า

“แปดพลังสายฟ้าฟาด พสุธากัมปนาทโย่ว” สิ้นเสียงก็มีการระดมช้อนตักไอศครีมในชามแก้วใบโต และเสียงเหมือนอัศวินกำลังรบทัพจับศึก ปานประหนึ่งว่าไอศกรีมชามโตใบนั้นเป็นสนามรบ ที่ต้องทำศึกเพื่อแย่งชิงมาซึ่งไอศครีมที่หอมหวานและเย็นชื่นใจ

“จ๊าก...พวกแกทำงี้ได้งัยนั่นฉันเป็นคนสั่งนะ” ชนกพรส่งเสียงลั่นพร้อมใช้ช้อนเป็นอาวุธไล่ฟาดฟันช้อนอื่นที่จะมารุกล้ำอธิปไตยของไอศครีมรสที่เธอสั่งเอาไว้

“ฮู ฟาส ฮู กีฟ เฟ้ย ไอ้นก” เสียงธิติมาร้องตอบ พร้อมเริ่มทำศึกในสังเวียนเหนือชามไอศกรีมใบเขื่องนั้นไม่ได้หยุด เพราะใครเร็วคนนั้นก็ได้กิน

ทุกคนตักไอศกรีมรสของตัวเองเข้าปากอย่างรวดเร็ว ความเย็นของสิ่งที่อยู่ในปากทำให้ไม่สามารถที่จะโต้เถียงกันได้อีกต่อไป มีเพียงใบหน้าที่บูดเบี้ยวและจะกลืนก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ดี เพราะหากกลืนก็จะเย็นไปทั่วปากและลำคอ หากคายออกมาก็จะเสียเชิงที่อุตส่าห์แย่งชิงไอศครีมลูกนั้นมาได้

“คริก คริก” เสียงภัทรทราภรณ์หัวเราะเบาๆ

“ขำอะไรเหรอกิ่ง” ฉันหันไปถามภัทรทราภรณ์ที่นั่งหัวเราะพฤติกรรมของเพื่อนๆ ฉัน

“ก็ไม่ให้ขำได้งัยหละคะ ก็ดูสิ เหมือนกำลังทำสงครามกันเลยนะนี่ กิ่งก็บอกแล้วว่าสั่งคนละถ้วยจะได้ไม่ต้องตีกัน นี่อะไรกันดูสิเลอะเทอะไปหมดเลยแทนที่จะได้กินดีๆ หมดกันเละเป็นโจ๊ก” แล้วภัทรทราภรณ์ก็ชี้ไปที่ถ้วยไอศกรีมที่มีแต่น้ำข้นๆ สีช้ำเลือดช้ำหนอง เพราะการแย่งชิงของช้อน ๘ คัน เมื่อสักครู่

“ใครว่าเสียของนี่งัย มันยังกินได้” พร้อมคำพูดจินตนาก็ยกถ้วยไอศกรีมใบโต เข้าปากและซดน้ำไอศครีมในนั้นเสียจนหมด ปานประหนึ่งว่าอร่อยจนหยดสุดท้ายและพร้อมกับเสียงประกอบ

“เอ่อ.....”

“ตุ๊บ ตั๊บ ตุ๊บ ปึ๊ก ปั๊ก” เสียงกำปั้นที่ช่วยกันรุมทุบไปที่ไหล่ของจินตนาจนฟังไม่ออกว่ามาจากมือไหนบ้าง

“ไอ้จินบ้าแกทำพวกฉันขายหน้าอีกแล้วนะ” เสียงชนกพรและธิติมา ที่เอามือทุบและบ่นว่าจินตนาไม่ขาดปาก

“ก็ดีกว่าฉันผายลมแถวนี้แล้วกันแหละพวกแก” จินตนาบ่นกลับบ้างเพราะเธอคิดว่าเธอไม่ผิดที่เก็บอาหารเหลือมากิน เพราะเท่ากับว่าเธอจะช่วยลดขยะให้กับโลกใบนี้ไปด้วย

“แหวะ... แกนะ น่าเกลียดที่สุดเลยยัยจิน นี่พวกฉันคบแกได้งัยกันเนี่ย” ธิติมาบ่นพร้อมทำท่าทางสะอิดสะเอียนขยะแขยงกับการกระทำและคำบอกเล่าของจินตนา

“โด่เอ๊ยพวกแกนี่นะถ้าไม่มีฉันพวกแกก็ต้องเสียของใช่มะ นี่ดีนะที่พวกแกมีฉันเป็นเทศบาลเก็บกวาดให้ ของก็ไม่เสีย และหมดเกลี้ยงไม่ต้องทิ้งให้เป็นขยะให้กับสังคม มีเพื่อนดีแบบนี้แล้วยังไม่ขอบใจอีกเหรอ ฮึ!!!!” จินตนาอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง

“เออ นั่นสิ ไอ้จินดีขนาดนี้ พวกเรามองข้ามความดีมันได้งัยวะนี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้วทุกคนก็หัวเราะกันทั้งโต๊ะ โดยไม่ได้สนใจเลยว่า โต๊ะข้างๆ จะ สนุกกับพวกเราหรือไม่หรือว่าเสียงของเราจะดังทำความรำคาญให้กับใครๆ แต่ด้วยมิตรภาพของ ๘ เซียน ทำให้โลกสดใสได้ในสายตาของฉัน

........................

ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วว่า ๘ เซียน หรือ ๘ อภินิหารประจำโรงเรียนนั่นก็คือชื่อกลุ่มของฉัน ที่เป็นปลื้มกับชื่อกลุ่มที่พวกเราตั้งขึ้นเองความเซียนนั้นก็มีทั้งด้านดีและด้านร้ายโดยมี

ฉันอรุณวิลัยหรือที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า ไอ้แป๊ด เป็นหัวโจกในเรื่องต่างๆ ทั้งด้านดีและไม่ดี

ธิติมา หรือไอ้ธิ มีความสามารถทางด้านกีฬาทุกชนิด

ชนกพร หรือไอ้นก มีความสามารถทางด้านร้องรำทำเพลง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแสดง

จินตนา หรือไอ้จิน มีความสามารถทางด้านการกิน แต่เป็นที่จับตามองของเพื่อนๆ มาก ว่าเหตุใดไอ้จินถึงกินแล้วไม่เคยอ้วนแบบใครๆ เขาสักที

ภัทรทราภรณ์ หรือกิ่ง มีความสามารถ ทางด้านชักนำจิตใจผู้คน หรือเรียกง่ายๆ ว่าโน้มน้าวใจคน ให้คล้อยตาม และเรียนเก่งเป็นต้นฉบับการบ้านที่เกี่ยวกับเลขและวิชาที่ว่าด้วยวิทยาศาสตร์ทั้งฟิสิค เคมี ชีวะของพวกเราในกลุ่ม

รตี ก็คือรตี มีความสามารถทางภาษาเป็นอย่างมากเนื่องจากรตีเป็นหนึ่งเดียวที่เคยผ่านเมืองนอกมาแล้ว เธอเป็นคนเดียวในโรงเรียนของเราที่ไปเรียนที่อินเดียมา ๖ ปีทีเดียว เธอเคยเล่าว่าอินเดียสนุกมาก แต่ต้องกลับมาอยู่เมืองไทยเพราะทางบ้านเกิดไฟไหม้บ้าน จริงๆ แล้วรตีแก่กว่าพวกเรา ๑ ปี แต่ต้องกลับมาเรียนซ้ำอีกเพราะเธอกลัวว่าจะจำภาษาไทยไม่ได้ (อันนี้ฉันก็งงว่าทำไมไม่เรียนอินเตอร์ ไปเลย)

พวงทอง หรือไอ้ปุ๊ก จริงๆ แล้วเธอไม่ได้ชื่อปุ๊ก แต่พวกเราตั้งให้เรียกกันจนเคยชินว่าปุ๊ก เพราะภาษาทางเหนือคำว่าพวงก็คือปุ๊ก ปุ๊ก จะเก่งทางด้านศิลปะ วาดรูป เขียนแบบ ใครอยากได้รูปการ์ตูน สวยๆ น่ารัก ไว้จีบใคร ติดต่อ ปุ๊กได้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง

สุดท้ายของพวกเรา เจ้าจันทร์ที่ใครๆ ก็มักจะเรียกจันทร์ว่าเจ้าจันทร์เพราะว่าจันทร์มีเชื้อของเจ้าทางเหนือผสมมาเล็กๆ น้อยๆ บ้านของจันทร์จิราเป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่พวกเราดูแล้วก็น่าจะสร้างมาเกือบๆ ร้อยปี ห้องด้านล่างมีลูกกรงสำหรับขังอะไรสักอย่าง แถมไม่พอด้านบนบ้านยังมีไม่กระดานที่เปิดปิดได้ให้ส่งของขึ้นลงอีกด้วย จันทร์จิรา เพื่อนฉันคนนี้ มีความสามารถทางด้านดนตรีเรียกว่าหาตัวจับได้ยากไปไหน ให้เจ้าจันทร์หยิบกีตาร์ไปด้วย มีไอ้นกตามไปอยู่กันได้ทั้งวันทั้งคืน คนหนึ่งร้อง คนหนึ่งเต้น เป็นความมันส์ที่สุดจะบรรยาย

……………………………

“ไปตามกลุ่มแปดเซียนมาพบครูหน่อยสิ” ทัศนาหญิงสาวที่เป็นครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนหญิงล้วนแห่งนี้บอกกับนักเรียนที่นั่งอยู่หน้าห้องพักของเธอให้ไปตามกลุ่มของเด็กสาวที่เฮี้ยวที่สุดในโรงเรียนมาพบเธอซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเด็กกลุ่มนี้ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง

ทัศนานั่งรออยู่ครู่ใหญ่เด็กสาวทั้งหกคนก็ทยอยกันเข้ามายืนรออยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของทัศนา

“มากันครบหรือยังหล่ะแม่ตัวดีทั้งหลาย” ทัศนาเอ่ยถามทั้งๆ ที่รู้ว่ายังขาดไปอีกสองคน

“ยังค่ะไอ้แป๊ดกับกิ่งยังมาไม่ถึงค่ะครู พวกมันไปพบซิสเตอร์ค่ะ เห็นว่าจะให้ไปสอบอะไรสักอย่างที่เชียงใหม่ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมาเมื่อไหร่” จินตนารายงานความคืบหน้าให้กับทัศนาได้รับรู้

“ครูก็จะพูดเรื่องเดียวกันนี่แหละงั้นครูเกริ่นก่อนก็แล้วกันนะ ไม่ต้องรออรุณวิลัยกับภัทรทราภรณ์ก็ได้ เพราะครูต้องการให้พวกเธอไปแข่งขันโต้วาทีกับโรงเรียนในเครือ มีแข่งขันภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ดนตรี ศิลปะครูเห็นว่าพวกเธอมีคุณสมบัติเหมาะสม อีกอย่างก็เป็นการกระชับไมตรีของโรงเรียนในเครือของเราด้วย พวกเธอจะว่าไง ตกลงหรือไม่ตกลง” ทัศนามองหน้าเหล่าลูกศิษย์ตัวแสบทั้งหลายของเธอ

แม้ว่าเด็กเหล่านี้จะเฮี้ยวไปสักนิดในสายตาใครต่อใคร แต่ทัศนารู้ว่าในความเฮี้ยวเหล่านี้เต็มไปด้วยความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวของแต่ละคน และความสามารถเหล่านี้จะต้องถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาไม่เช่นนั้นจะสูญเปล่าไปโดยไม่ได้ใช้

“ว่าไงพวกเธอจะตกลงหรือไม่ตกลง” ทัศนาถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าทั้งหกคนไม่มีเสียตอบ

“พวกเราขอคิดูก่อนได้หรือเปล่าคะครู เพราะยังไม่รู้เลยว่าไอ้แป๊ดกับกิ่งจะตอบรับซิสเตอร์ไปหรือเปล่า” จินตนาที่ทำหน้าที่ตัวแทนของกลุ่มเสนอตัวตอบคำถามแทนเพื่อนๆ ที่กำลังคิดหนักเรื่องที่คุณครูทัศนาคนสวยเสนอไว้

“งั้นครูให้เวลาพวกเธอไปปรึกษากันก่อน เย็นนี้ค่อยมาบอกครูก็แล้วกัน พวกเธอออกไปได้แล้ว” ทัศนาตัดบทเพราะใกล้เวลาที่เธอจะต้องไปสอนแล้ว

ทั้งหมดทยอยเดินเรียงแถวออกมาจากห้องพักครูและมุ่งตรงไปที่ห้องเรียนของพวกเธอทั้งหมด เรื่องที่ทั้งกลุ่มพูดคุยกันก็ไม่พ้นเรื่องต้องไปเชียงใหม่ ไปแข่งขันอะไรที่พวกเธอไม่ชอบไป

“เอ๊ยพวกแกว่าไงไปหรือไม่ไป” รตีที่มีความคิดแปลกแยกเริ่มต้นถามขึ้นมาก่อนเพื่อน

“ไม่ไปวะ ฉันไม่ชอบไปเจอคนแปลกหน้า แบบว่าฉันเขินนะแก” พวงทองตอบด้วยท่าทางเขินๆ เล็กน้อย ด้วยตัวของพวงทองค่อนข้างจะเงียบขรึมมีโลกส่วนตัวเป็นของตัวเอง

“แล้วแกจะไปหรือเปล่าไอ้เจ้าจัน” รตีชี้ไปที่จันทร์จิราที่นั่งทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอย่างหนัก

“แกจะให้ฉันไปทำอะไรวะไอ้รตี ฉันทำอะไรเป็นนอกจากเล่นดนตรี”

“เออนั่นสิแกจะไปทำอะไรวะไอ้เจ้าฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ” รตีตอบเพื่อนไปเพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจันทร์จิราจะไปทำอะไรได้

“พวกแกฉันมีอะไรมานำเสนอ” ฉันเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกันภัทรทราภรณ์ ในห้องมีแต่เสียงคุยแข่งขันกันดังลั่นไปจนถึงบันไดทางขึ้น

“แกว่ามามีอะไรไอ้แป๊ด” รตีเริ่มคำถามค้างคาใจ

“อะแฮ้ม” ฉันเดินไปยืนหน้าห้องพร้อมกับเก๊กท่าสวยไปด้วย

กระดาษปั้นเป็นก้อนถูกเขวี้ยงจากมือเพื่อนๆ มายังตัวฉันทำให้ต้องกระโดดหลบจนเกือบจะเสียหลักล้มอยู่หน้าห้องเรียน

“ไอ้แป๊ดแกนะทำเก๊กจะพูดอะไรก็พูดมาสิวะ เพื่อนๆ รออยู่” จันทร์จิราเริ่มทนฉันไม่ไหวกะโกนบอกออกมาดังลั่น

“เออก็ได้วะ คืออย่างนี้เพื่อนๆ ทุกคนเงียบแล้วฟังแป๊ดสุดสวยจะบอกรายละเอียด” ฉันนิ่งไปพักใหญ่เพื่อให้เสียงของเพื่อนๆ ซาลง และฉันก็ลบกระดานเขียนข้อความบางอย่างลงไปด้วยลายมือโย้เย้

“ประกวดความสามารถนักเรียนเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในงานโรงเรียนในเครือ”

ข้อความดังกล่าวถูกเขียนจบลงฉันก็บอกกับเพื่อนๆ ร่วมชั้นว่า

“ฟังๆ เพื่อนๆ โรงเรียนของพวเราจะต้องคัดนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมตามหัวข้อนี้ เพื่อที่จะแข่งขันกับโรงเรียนในเครือทั้งหมดในภาคเหนือที่เชียงใหม่ หัวข้อที่เค้าจะแข่งกันก็มีเกี่ยวกับ วาดรูป ดนตรี ร้องเพลง ทำอาหาร ภาษาทุกอย่างทั้งอังกฤษ จีน ยุ่น แข่งขันตอบปัญหาทางด้านวิทยาศาสตร์ มีโต้วาทีด้วย และทางโรงเรียนก็ได้คัดเลือกนักเรียนดังรายชื่อต่อไปนี้” ฉันยกกระดาษที่เขียนรายชื่อไว้ขึ้นมาอ่าน

“เดี๋ยวนะขอดูปั๊กกะตืนก่อนเน้อเพื่อนๆ อะเห็นแล้วหนึ่ง นางสาวชนกพร หทัยราษฎร์ ส่งเข้าแข่งขันประกวดร้องเพลง ให้ไปติดต่อกับครูจรรยาภายในเย็นนี้ สองนางสาวจินตนา สิงห์วิมล ส่งเข้าแข่งขันทำอาหารให้ไปติดต่อครูจิตราพรที่ห้องพักครูในวันพรุ่งนี้เช้า สามนางสาวรตี โซยาน่าส่งเข้าแข่งขันตอบปัญหาทางด้านภาษาอังกฤษ ติดต่อมาสเตอร์เช็งโดยด่วนก่อนที่มาสเตอร์จะกลับไปพม่า ฮ่าๆๆๆๆ” กระดาษก้อนโตปามาใส่ศีรษะฉันอีกครั้ง จนฉันทนไม่ไหว

“อะไรวะ ใครวะซ่า เดี๋ยวปั๊ด” ฉันทำท่าจะหาเรื่องเจ้าของกระดาษภัทรทราภรณ์ก็เข้ามาห้ามไว้ก่อน

“นี่แป๊ดเธอนะทำเป็นเล่นบอกเพื่อนให้หมดก่อนก็แล้วกันค่อยเล่น” แล้วภัทราพรก็แย่งกระดาษจดลายมือโย้วของฉันไปยืนอ่านต่อ

“ลายมือบ้าบออะไรหละนี่อ่านไม่ออกสักตัว แล้วที่อ่านมาเมื่อตะกี้นี้นะตกลงอ่านออกเหรอยะแป๊ด” ภัทรทราภรณ์หันมาถามฉันเพราะเมื่อเธอไม่สามารถที่จะอ่านอะไรออกเลยจากลายมือบนแผ่นกระดาษนั้นและในตอนนี้ภัทรทราภรณ์ต้องการรู้รายละเอียดของเรื่องที่ฉันบอกเล่าเมื่อสักครู่

“เปล่าอะเค้าก็อ่านไม่ออก พอดีจำได้นะว่าใครต้องไปแข่งอะไร” ฉันยิ้มแหยๆ ออกไปเพราะท่าทางของภัทรทราภรณ์ในตอนนี้ดูจะอ่านเอาเรื่องจริงๆ แต่ไม่ได้เอาเรื่องที่อ่านหรอกนะ จะมาเอาเรื่องฉันคนลายมือสมัยขอมต่างหากเล่า

“ไอ้บ้าแป๊ด” สิ้นเสียงของภัทรทราภรณ์ฉันก็วิ่งไปรอบห้องผลักโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากแม่เสือสาวคนดีที่หนึ่งของฉัน

“หยุดนะพวกเธอทำอะไรกัน” เสียงที่ดูจะคุ้นหูพวกฉันก็ดังขึ้นจากประตูห้องเรียน ทุกคนเงียบกริบเหมือนไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น โต๊ะเก้าอี้ที่ฉันทำล้มลงไปถูกจัดวางเก็บที่เดิมอย่างเป็นระเบียบภายในพริบตา เหมือนทุกคนในชั้นเรียนจะรู้ชะตาตัวเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราในเวลาไม่กี่อึดใจนี้

“ครูถามว่าพวกเธอทำอะไรกัน” เสียงผู้พิภาคษาคนเดิมเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง

“ไม่ได้ทำอะไรค่ะครูเราคุยกันเรื่องที่จะส่งตัวแทนไปแข่งขันงานในเครือก็เท่านั้นค่ะ” ภัทรทราภรณ์เป็นตัวแทนของนักเรียนทั้งห้องตอบครูทัศนาไปเพราะในตอนนี้มีเพียงภัทรทราภรณ์คนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่หน้าชั้นเรียน เพราะตัวฉันนะหรือหลบลี้หนีหน้าในช่วงชุลมุนอย่างรวดเร็วมายืนอยู่ที่โต๊ะประจำของฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“อ่อ คุยกันแล้วส่งเสียงดังไปถึงบันได ทำให้เพื่อนห้องอื่นๆ ไม่เป็นอันร่ำเรียนกันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน อรุณวิลัยออกมาหน้าชั้นเดี๋ยวนี้” เสียงเฉียบขาดของครูทัศนาสั่งฉันให้ออกไปหน้าห้อง

“หูนทำผิดอะไรคะครู ถึงต้องเรียกไปหน้าห้องด้วย” ฉันเริ่มเถียงเพราะไม่คิดว่าครูทัศนาจะรู้ว่าฉันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด

“จะไม่รู้ได้ไงก็ลายมือเธอมันโชว์หลาอยู่หน้าห้องที่กระดานดำนี่ ถ้าฉันไม่รู้ก็เป็นครูเธอไม่ได้สิ” ครูทัศนาใช้ไม้เรียวชี้ไปที่กระดานดำหน้าห้อง

ใช่จริงๆ ด้วยลายมือโย้เย้ของฉันปรากฏต่อหน้าสายตาประชาชีบ่งบอกว่านั่นแหละฉันเองที่เป็นตัวต้นเหตุของเสียงดังลั่นห้องในครั้งนี้

“จะออกมาดีๆ หรือจะให้เอาไม้เรียวไปเชิญออกมาอรุณวิลัย”

ฉันเดินออกไปหน้าห้อง ไม่ได้กลัวขำขู่ของครูทัศนาหรอกนะแต่ฉันกลัวโดนล้อว่าไม่แน่จริงมากกว่า เพราะคนอย่างฉันถือว่าฆ่าได้หยามไม่ได้ จับได้คาหนังคาเขาถึงจะยอมรับ หากจับไม่ได้ก็ไหลลื่นไปตามระเบียบ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามอรุณวิลัยคนนี้บ่อยั้น ยกเว้นเรื่องเดียวเท่านั้น กุ๊กๆ กู๊ เรื่องนี้อรุณวิลัยตาขาวเสียยิ่งกว่าใคร เปิดแนบไปตั้งแต่ลมยังไม่เริ่มพัด กลิ่นยังไม่มา หมายังไม่หอนเสียด้วยซ้ำไป

ครูทัศนาสั่งให้ฉันยืนกอดอกและเลิกกระโปรงขึ้นฉันก็หันไปมองหน้า

“อ้าวครูไม่ติก้นเหรอคะ” คำถามเกิดที่หัวสมองของฉัน

“ไม่หล่ะวันนี้ครูจะตีน่อง ยกกระโปรงขึ้นเดี๋ยวนี้”

ฉันทำท่าอิดออดแน่หล่ะสาเหตุก็เพราะสมุดเล่มหนาที่ฉันเอามารองไว้ที่ก้นไม่ได้ใช้งาน แต่น่องเรียวสวยของฉันจะต้องเป็นริ้วรอยด่างดวงเป็นทางยาว เวลาใส่กางเกงขาสั้นจะเห็นชัดกว่าใคร แถมใครๆ ก็รู้ว่าฉันชอบนุ่งขาสั้นเป็นชีวิตจิตใจ และถ้าเมื่อใดที่เห็นฉันนุ่งกางเกงวอล์มนั่นแสดงว่าฉันถูกทำโทษด้วยการโดนตีมา และเป็นที่หน้าอับอายสำหรับฉันเป็นอย่างมาก

กระโปรงถูกถกขึ้น ไม้เรียวฝาดลงมาที่น่องเจ็บไม้ละสองขา กี่ทีก็คูณสอง ฉันกระเด้งตัวหนีเสียงไม้เรียวที่ฟาดผ่านอากาศมาก่อนจะถึงน่องสวยของฉันเป็นการช่วยผ่อนแรงของไม้เรียวที่ฟาดลงมาร่วมสิบที เจ็ดเซียนที่เหลือต่างหรี่ตาดูและสูดปาดดังซี๊ดกันเป็นทิวแถว เพราะต่างเคยรับรู้ถึงรสชาติของไม้เรียวในมือของครูทัศนาคนสวยมาด้วยกันทั้งสิ้น จะมากจะน้อยแล้วแต่กิจกรรมของใครของมัน

“ไปนั่งที่ได้แม่ตัวแสบ” ครูทัศนาบอกฉันเมื่อทำโทษเสร็จเรียบร้อย

ฉันเดินมานั่งลงที่โต๊ะของตัวเองภัทรทราภรณ์หยิยเอายาหม่องยื่นให้ฉัน ปากขมุบขมิบว่า “ทาซะ” ฉันรับมาอย่างว่าง่ายและเริ่มต้นทายาหม่องก่อนที่ความชาจะหายไป หากความชาหายไปแล้วจะยิ่งเจ้บมากกว่าเดิมหลายเท่านัก

“เรื่องที่จะส่งตัวแทนไปแข่งตอนนี้ทุกคนรู้แล้วหรือยังว่าใครไปบ้าง”

“ยังค่ะคุณครู” นักเรียนในห้องประสานเสียงกันช่วยตอบ

“รายชื่อนักเรียนทั้งหมดครูจะติดบอร์ดไว้ว่ามีใครจะไปที่ไหนบ้าง หัวหน้าออกมาเอาไปติดบอร์ด อ่อ แล้วอย่าให้ได้ยินเสียงอีกนะว่าใครส่งเสียงโวยวายลั่นห้อง คราวนี้ตียกชั้นแน่” ครูทัศนายื่นกระดาษให้หัวหน้าชั้นติดประกาศก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องเรียน

นักเรียนชั้น ม.๖/๑ ทุกคนค่อยๆ เดินมาอ่านรายละเอียดชื่อของตัวแทนโรงเรียนที่ถูกส่งไปงานโรงเรียนในเครือ ซึ่งฉันเองก็มีรายชื่อติดอยู่ในนั้นด้วบเช่นกัน ทุกคนทำปากเบ้ เพราะบางคนไม่ชอบเดินทาง และนี่ก็ใกล้จะสอบไล่ปลายภาคที่ใครๆ ก็ไม่อยากไปไหน เด็กห้องฉันชอบที่จะเรียนมากกว่าทำกิจกรรม ทุกคนหมกมุ่นกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีเพียงกลุ่มของฉันเท่านั้นที่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย

ติดก็ติดไม่ติดก็หาที่เรียนใหม่ เอ็นเล็กในครั้งที่ผ่านมาเพื่อนบางคนสอบเข้าได้คณะดีๆ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีแต่พวกฉันบางคน ซึ่งนั่นก็หมายรวมถึงฉันด้วยที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยได้ตั้งไว้ ในแปดเซียนมีภัทรทราภรณ์ และรตีเท่านั้นที่สอบติด นอกนั้นไม่มีใครสอบได้เลย

จนแล้วจนรอดทุกคนก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปแข่งขันกับเพื่อนต่างโรงเรียน ลำพังจะเอาตัวเองให้รอดก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า

จันทร์จิราถูกส่งให้ไปเรียนเพิ่มเติมทางด้านโน้ตเพลงและจังหวะเพลง เพื่อให้จันทร์จิราได้ชำนาญมากยิ่งขึ้น ในครั้งนี้ทุกคนลงความเห็นว่าจันทร์จิราควรที่จะแข่งขันแซ๊กซ์โซโฟน เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่จันทร์จิราถนัดที่สุด

จินตนาต้องลงมือเรียนทำอาหารทุกอย่างที่ครูสอน ทุกๆ วันหลังเที่ยงเพื่อนๆ จะได้กินขนมที่จินตนาทำและขนมเหล่านั้นก็อร่อยซะด้วยสิ เพื่อนอิ่มเปรมและจินตนาก็สุขใจ

พวงทองลงมือวาดรูปสีน้ำมันภาพไม่ใหญ่มาก เธอขอให้เพื่อนๆ มาเป็นแบบให้เธอวาด พวงทองใช้เวลาไม่นานนักก็วาดรูปเพื่อนๆ ออกมาได้อย่างมาน่าเชื่อว่าฝีมือของพวงทองจะก้าวล้ำนำหน้าไปไกลกว่าที่เคยผ่านมา

ชนกพรต้องซ้อมร้องเพลงทุกวันหลังเลิกเรียนจนเสียงเป็นเป็ดเทศร้องก๊าบๆ แหบเสน่ห์อย่างชนกพรก็เร้าใจพอดู จนเมื่อครูสอนให้ชนกพรต้องร้องเพลงออกมาจากกระบังลม และต้องออกไปวิ่งทุกวันชนกพรก็เริ่มจะดีขึ้นเสียงมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ไม่มีใครในโรงเรียนที่จะติดฝุ่นของชนกพรในเรื่องน้ำเสียงและลูกคอได้เลยสักคนเดียว

รตีตั้งแต่ไปเรียนกับมาสเตอร์เช็งก็ดูเหมือนว่าภาษาของระตีจะเก่งกว่าเดิมมากทั้งไวยากรทั้งการสนทนา เพื่อนๆ หลายคนแอบแซวรตีว่าสำเนียงเหมือนหลุดมาจากโลกทางตะวันตกเลยทีเดียว

ภัทรทราภรณ์ต้องเอาข้อสอบเก่าๆ มานั่งทำและแก้โจทย์อยู่ทุกวัน บางครั้งแค่ภัทรทราภรณ์เห็นเพียงคำถามก็สามารถตอบได้เป็นฉากๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป คำตอบได้ถูกประมวลผลแล้วในหัวสมองของภัทรทราภรณ์เรียบร้อยก่อนจะถูกเขียนลงในกระดาษคำตอบด้วยซ้ำไป

ธิติมาซ้อมเทควันโดทุกวันสายน้ำตาลที่ติดเอวของธิติมาก็เป็นที่ประจักษ์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าในเวลาไม่นานที่ธิติมาได้เรียนเทควันโดเมื่อตอนอยู่ ม.๑ จนถึงตอนนี้ธิติมามีพัฒนาการทางด้านการกีฬารุดหน้าไปไกลกว่าที่ใครๆ คิดเอาไว้หลายเท่านัก

ส่วนฉันไม่ได้ทำอะไรมากมายก็แค่วิ่งวุ่นกับการหาข้อมูลเพื่อไปโต้วาทีวาทะอะไรกับโรงเรียนอื่นๆ เขาและก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องอะไรต้องอาศัยการปรับตัวเป็นจิ้งจกแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปตามสถานการณ์เท่านั้น

และแล้ววันแห่งการเริ่มต้นเข้าแข่งขันกับโรงเรียนในเครือก็เหลืออีกไม่นานนัก ทุกคนต้องเตรียมใจอย่างมากที่ต้องไปเผชิญกับโลกกว้าง บนเวทีเล็กๆ ที่เรียกว่า “การแข่งขันความสามารถของนักเรียนโรงเรียนในเครือ”

......จบบทที่ ๑....



Create Date : 03 พฤษภาคม 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:16:56 น. 3 comments
Counter : 357 Pageviews.

 
คนแรกค่ะ ทุกท่าน แล้วหายไปไหนกันหมดค่ะ


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.166.131 วันที่: 4 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:31:33 น.  

 
มารายงานตัวแล้วคร้าบ ดีค่ะคุณต้นรัง ได้อ่านเรื่องของคุณแล้วนะ ดีมากเลย ขอบอก


โดย: Dinsor IP: 119.42.64.188 วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:13:37 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณต้นรัง คุณดินสอ ตามมาอ่านด้วยเช่นกันค่ะ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัย วันรุ่นนะคะ


โดย: ทาย IP: 58.137.154.195 วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:40:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.