It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๘

บทที่ ๑๘

หลังจากนั้นพวกเราก็ต่างแยกย้ายกันไปบ้านของใครก็ของคนนั้น ชีวิตที่บ้านดูจะราบเรียบไม่วุ่นวายเหมือนกับชีวิตในเมืองหลวง

ด้วยความที่ฉันเองเริ่มรู้สึกชินกับการอยู่กรุงเทพเที่ยงคืนตีหนึ่งก็ยังไม่หลับไม่นอน นั่งอ่านหนังสือบ้าง นั่งทำรายงานบ้าง เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อกับแม่ก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ปิดประตูบ้านลงกลอนหลับไปแล้ว ส่วนฉันยังคงหาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย

สุดท้ายก็ตัดสินใจโทรไปหาภัทรทราภรณ์ เบอร์โทรที่บ้านของเธอฉันยังจำได้อย่างแม่นยำ แม้จะไม่ได้โทรไปหาเธอที่บ้านมานานมากแล้วก็ตามที

รอสายสักพักก็มีเสียงคนรับโทรศัพท์

“สวัสดีค่ะขอโทษนะคะที่โทรมารบกวนตอนดึก แป๊ดขอสายกิ่งค่ะ” ฉันพูดไปอย่างเกรงใจเพราะเวลานี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว ชาวบ้านชาวช่องก็คงนอนกันหมดแล้ว ถ้าไม่มีละครน้ำเน่าในทีวีให้ดู คนต่างจังหวัดแบบฉันก็ล้มลงหัวถึงหมอนนอนหลับกันเป็นแถว

ปลายสายมีเสียงหัวเราะเบาๆ และพูดตอบกลับมาว่า

“ไม่เป็นไรแป๊ดเรากิ่งรับสายเอง กำลังรออยู่เชียวว่าแป๊ดจะโทรมาหรือเปล่า”

“แล้วไม่โทรมาหาเราล่ะกิ่งให้เราคิดถึงอยู่ได้” ฉันตัดพ้อหญิงที่ได้หัวใจของฉันไปทั้งดวง

“ก็แหมเราก็ต้องรอให้ที่รักโทรมาสิจ๊ะจะโทรไปเองได้ไงเสียฟอร์มหมด”

“กลัวเสียฟอร์มแต่ไม่กลัวเค้าเหงาเหรอตะเอง”

“ไม่กลัวเพราะรู้ดีว่าแป๊ดไม่มีทางเหงาได้หรอกกลับบ้านมีอะไรสนุกๆ ให้ทำตั้งเยอะ”

“แต่ตอนนี้เค้าเหงานะกิ่ง เออนี่กิ่งเราไปเที่ยวกันดีไหม ไปแจ้ซ้อนก็ได้ อยากไปแช่น้ำแร่เราชวนแม่ไว้แล้วว่าวันเสาร์นี่จะไปกัน แม่บอกว่าไปได้” ฉันเริ่มเข้าเรื่อง

“งั้นต้องโทรบอกพวกเราทุกคนเลยแล้วกัน จองบ้านพักก่อนก็ดี เผื่อว่าใครอยากจะนอนสบายๆ ส่วนพวกเรานอนเต็นท์กันดีกว่าสนุกดี” ภัทรทราภรณ์เสนอไอเดียเด็ดให้เข้าแล้ว

“ตกลงเอาตามนี้ พรุ่งนี้จัดการนัดเพื่อนๆ ได้เลย ไม่ต้องคิดมาก ฝันดีนะจ๊ะที่รักของแป๊ดจุ๊บๆ”

“ฝันดีคะแป๊ด”

หลังจากวางสายของภัทรทราภรณ์ฉันก็ล้มตัวลงนอนและคิดแผนการเที่ยวในความฝันไปตลอดคืน

..................................

จากที่คิดว่าจะเป็นเพียงขบวนการเที่ยวกลุ่มเล็กๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นกลุ่มใหญ่มหึมา เพราะทั้งพ่อและแม่ของพวกเราต่างฝ่ายต่างก็อยากไปเที่ยวกับพวกเราด้วย ภัทรทราภรณ์กับจันทร์จิราเสนอให้เอารถตู้ของที่บ้านพวกเธอไปแทนการขับรถไปเองหลายๆ คัน

ขนาดว่าเรามีรถตู้แล้วก็ยังไม่เพียงพอกับจำนวนคนที่ไปด้วย ดังนั้นก็เลยต้องมีรถตามขบวนไปอีก สองคันคือรถของภัทรทราภรณ์และของกันตา เรียกได้ว่ายกครอบครัวกันไปหมดทั้งแปดครอบครัว แถมพ่วงด้วยเหล่าพี่น้อง

พวกฉันจองห้องพักไว้แค่แปดหลังสำหรับพ่อกับแม่พวกเรา และพวกเราเองก็เอาเต็นท์หลังใหญ่ของบ้านชนกพรมากาง เต็นท์หลังนี้นอนได้หลายคน ทรงสูงจนยืนข้างในได้ เราเอามากางไว้หน้าบ้านพัก และคิดกันไว้ว่าเวลานอนก็คงไม่ได้นอนกันสักเท่าไรเนื่องจากเมื่อรวมพลกันแล้วเด็กๆ มีมากว่าสิบห้าคน

ไหนจะน้องของภัทรทราภรณ์ ไหนจะน้องของฉัน และน้องๆ ที่อยากมาเที่ยวด้วย ทำเอาพวกเราเหนื่อยที่จะวิ่งไล่ตามเด็กเหมือนจับปูใส่กระด้ง เราเลือกที่จะให้เด็กๆ นอนกับพ่อและแม่ของพวกเราดีกว่าการมานอนเต็นท์ เพราะกลัวว่าจะโดนยุงกัด

หลังจากหาที่หลับที่นอนให้พ่อแม่และน้องๆ ได้แล้วพวกเราก็ออกมากางเต็นท์ของเราเอง กลุ่มแปดเซียนเก้าคนจัดที่นอนกันเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปชวนพ่อกับแม่ไปนั่งแช่น้ำแร่กันที่บ่อ

กลิ่นกำมะถันฉุนขึ้นจมูก น้ำพุร้อนเดือดปุ๊ดๆ เราทิ้งไข่ที่อยู่ในชะลอมลงไปหลายชะลอม รอเวลาให้ไข่สุกและเตรียมซอสที่มีสโลว์แกนว่าเอาสเต็คมาแลกก็ไม่ยอมพร้อมกับกระป๋องพริกไทยตราหัวแม่โป้งอีกหนึ่งกระป๋อง

จากนั้นก็นั่งกินกันอย่างอเร็ดอร่อย เด็กๆ ดูจะชอบมากกับการได้มานั่งกินไข่ต้มแม้จะกินเลอะเทอะเประเปื้อนโดยเฉพาะก้านน้องสาวของกิ่ง ท่าทางจะเลอะมากกว่าใครๆ

ฉันชอบแอบมองภัทรทราภรณ์เมื่อยามที่เธออยู่กับน้อง เธอจะเหมือนกับแม่ที่คอยดูแลลูก เพราะเธอกับก้านอายุต่างกันหนึ่งรอบพอดิบพอดี ฉันกับเธอเราอายุต่างกันเพียงไม่กี่เดือน

ฉันเกิดปีจอเดือนเจ็ด แต่ไม่ได้เกิดวันจันทร์ ส่วนภัทรทราภรณ์เกิดปีกุนเดือนสามอายุน้อยกว่าใครในกลุ่มของเรา แต่อายุไม่ได้เป็นอุปสรรค์อะไรเพราะเธอเป็นเด็กเรียนเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งรูปร่างหน้าตาก็ดี ฐานะทางครอบครัวก็ดีเพราะพ่อกับแม่ของเธอต่างเป็นหมอที่มีชื่อเสียงด้วยกันทั้งคู่ ก้านหรือภัครมัยเองก็ดูเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ชอบถามโน่นถามนี่

ส่วนน้องของฉันนะเหรอ ชื่อเปียค่ะ

เปียชื่อเต็มๆ ว่าอนุสราเป็นน้องสาวของฉันห่างจากฉันสองปี เปียกับฉันมีความคิดที่ต่างกันเปียชอบที่จะเป็นสาวชาวสวนแบบแม่ เธอบอกเสมอว่าเธอจะเรียนเกษตรแถวบ้านไม่อยากไปไหนไกลๆ แม่ เปียปลูกต้นไม้เมื่อไหร่ก็ขึ้น จะปลูกจะตัดปักชำหรือต่อกิ่งเปียทำได้หมด

ส่วนฉันทำทีไรต้นไม้ตายคามือ หรือไม่ก็เหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ยืนต้นตาย แม่บอกฉันเสมอๆ ว่าฉันมือร้อนปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นหรอก ฉันก็เลยเหมือนพ่อที่ทำอะไรเกี่ยวกับต้นไม้ไม่ค่อยได้ อย่างดีก็แค่ยืนให้กำลังใจแม่กับเปียปลูก หรือไม่ก็ช่วยเอาสายยางมาฉีดรดน้ำเท่านั้น

มาคราวนี้มีเด็กข้างบ้านเพื่อนของเปียมาอีกสามคน ตอนแรกเรากะไว้ว่าจะเอาเด็กๆ นั่งหลังกะบะท้ายโต้ลมมาเที่ยวแต่กิ่งบอกว่าอย่าไปทรมารเด็กๆ เลยให้นั่งรถสบายๆ มาจะดีกว่า ผลก็คือ ต้องเพิ่มรถมาอีกสองคัน เด็กๆ พาพ่อกับแม่ไปนั่งแช่น้ำแร่กันแล้ว ส่วนพวกฉันก็นั่งเก็บกวาดเปลือกไข่ที่เด็กๆ ทิ้งไว้เกลื่อน

จากนั้นพวกเราก็ตามพ่อแม่และเด็กๆ เข้าไปนั่งแช่น้ำแร่ร้อนๆ

“จ๊าก ร้อนๆๆๆ” จันทร์จิราร้องลั่นเมื่อเธอกระโดดลงไปในบ่อ

“เอ๊าไอ้เจ้าโดดลงไปแบบนั้นเดี๋ยวก็สุกทั้งตัวหรอ เค้าต้องค่อยๆ เอาน้ำในบ่อมาราดแบบนี้” ชนกพรสาธิตการอาบน้ำแร่ด้วยท่าทางสวยงาม แต่ก็ช้าไปเสียแล้วจันทร์จิราฉุดแขนของชนกพรให้ดำดิ่งลงมาในบ่อแช่น้ำแร่เรียบร้อย

“ไอ้บ้าเจ้าไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนใครใช้ให้แกล้งฉันแบบนี้วะ” ชนกพรที่พอตั้งตัวได้จากการดำดิ่งลงไปก้นบ่อแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อทะลึ่งตัวจากบ่อน้ำแร่ที่ร้อนแสนร้อนขึ้นมาได้ก็ใส่จันทร์จิราไม่เลี้ยง

“เออหนูนก แม่นะสอนแล้วแต่จันทร์นะสิลูกไม่ยอมเชื่อแม่ สงสัยเชื้อพ่อจะแรง”

แม่ของจันทร์จิรารีบออกตัวทันทีว่าสั่งสอนจันทร์จิรามาอย่างดีแล้วแต่ลูกของเธอไม่เชื่อฟังเธอเอง พ่อของจันทร์จิราทำหน้าปุเลี่ยนๆ เหมือนกับว่าการที่ลูกตัวเองห่ามๆ แบบนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ

ทำให้ชนกพรพึ่งรู้ตัวว่าเธอได้พูดอะไรผิดไปแล้วจนต้องร้อง “แหะๆ” และยกมือไหว้ของโทษพ่อกับแม่ของจันทร์จิรา

“หนูขอโทษคะแม่หนูลืมตัวแต่ไอ้เจ้ามันทำทุเรศจริงๆ นะคะแม่” ชนกพรได้ทีชี้มือฟ้องแม่ของจันทร์จิราที่ตอนนี้ก็ยังไม่เลิกกวักน้ำร้อนๆ ในบ่อมาสาดเธอ

ไหนเลยชนกพรจะทนไหวจากนั้นศึกเล่นน้ำก็ปะทุขึ้นในบ่อนั้น จากที่เปิดศึกแค่สองคน ก็กลับกลายเป็นศึกสำหรับเด็กๆ ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อกับแม่ก็เล่นกันอย่างสนุกสนานลืมวัย

ความสุขเล็กๆ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่แม้กระทั้งโรงอาบน้ำแร่รวม

......................
ตกลางคืนพวกเรานั่งเล่นกันอยู่ในเต็นท์ ร้องรำทำเพลงไปตามเรื่องตามราว เด็กถูกพ่อกับแม่เรียกตัวให้เข้าไปนอนแล้วตั้งแต่สองทุ่ม ทุกคนทำท่าไม่อยากจะนอนเพราะยังเห็นพวกเราเปิดไฟฉายร้องเพลงกันอยู่ อีกอย่างในบ้านพักก็ไม่มีทีวีให้ดู เด็กๆ ก็เลยไม่อยากจะไปนอน

แต่ก็ขัดใจพ่อกับแม่ไม่ได้ ภัครมัยไม่ยอมห่างกายของภัทรทราภรณ์นั่งกอดแขนพี่สาวร้องเพลงไปกับชนกพร จนพวกเราจะนอนก้านบอกว่าอยากจะนอนด้วยภัทรทราภรณ์ไม่อยากจะขัดใจน้องสาวของเธอก็เลยนอนกอดน้องหลับไป ฉันนะสิที่อดใจไว้ไม่ไหวกอดภัทรทราภรณ์นอนอีกรอบ

กลายเป็นภัทรทราภรณ์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างภัครมัยกับฉัน จู่ๆ ภัครมัยก็ลุกขึ้นมากลางดึก

“พี่กิ่งหนูปวดฉี่” เสียงของภัครมัยดังขึ้น

ภัทรทราภรณ์งัวเงียตื่นขึ้นมาและพาภัครมัยไปห้องน้ำในบ้านพัก ฉันเดินไปส่งทั้งสองคนด้วยเพราะหากภัครมัยอยากจะนอนกับพ่อแม่ภัทรทราภรณ์คงต้องเดินกลับมานอนที่เต็นท์คนเดียว

และก็จริงอย่างที่ฉันคาดไว้ภัครมัยเธอนอนที่ห้องพ่อกับแม่จริงๆ เหลือฉันกับภัทรทราภรณ์ที่เดินจูงมือกันกลับเต็นท์

“กิ่งสนุกไหม”

“สนุกสิแป๊ดนานๆ พวกเราจะได้มารวมพลครอบครัวแบบนี้สักครั้ง แล้วแป๊ดล่ะ”

“ที่ไหนมีกิ่งที่นั่นก็สนุกไปหมดทุกที่แหละ”

“ปากหวานจริงๆ นะแป๊ด”

“ลองชิมหรือยังถึงรู้ว่าหวาน” ฉันขยับกายให้เข้าไปใกล้เธอมากขึ้น จับต้นแขนของเธอเพื่อให้ตัวเธอหันมามองหน้าฉันเต็มๆ

“พระจันทร์คืนนีสวนนะกิ่ง แต่สวยไม่เท่ากับกิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรา คิดถึงจังเลยที่รัก” ฉันโนมตัวลงสัมผัสกับริมฝีปากของเธอ ราวกับโหยหิวอาหารทิพย์

เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องดังอยู่ทั่วทั้งป่าเป็นเหมือนเสียงเพลงบรรเลงเพลงรักของฉันและภัทรทราภรณ์ให้ดังกึกก้องไปทั่วแนวไพร โดยไม่แคร์ว่าพระจันทร์และดวงดาวจะมองฉันสองคนหรือไม่

แต่ที่สำคัญฉันไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ของเราสองคนต่างก็เห็นภาพของเราด้วยกันทั้งคู่ หมอเฉวงและหมอนิภามองภาพลูกสาวของตัวเองและหันมามองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าลูกสาวของตนรักกับอรุณวิลัยมานานแล้ว แต่ก็ยังคงทำใจไม่ได้ที่จะยอมรับว่าลูกของตนเองไม่เหมือนกับลูกของคนทั่วไป และที่สำคัญลูกสาวคนโตของทั้งคู่กำลังจะเป็นหมอในไม่ช้าไม่นานนี้

ทั้งๆ ที่รู้ว่าการรักเพศเดียวกันมันไม่ใช่โรคร้ายแรง เป็นเพียงรสนิยมของมนุษย์ธรรมดาเดินดินที่สามารถรักและชอบอะไรก็ได้ แต่คุณหมอทั้งคู่ก็ทำใจรับกับภาพตรงหน้าไม่ได้ หากเปลี่ยนจากอรุณวิลัยเด็กสาวที่พวกเขาเห็นไปเป็นชายหนุ่มคนไหนสักคน ภาพนั้นก็คงจะดูดีกว่าที่ทั่งคู่ได้เห็น

“คุณจะปล่อยไว้แบบนี้หรือคะคุณเฉวง”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกกำลังเรียนรู้การใช้ชีวิตบนโลกใบกว้างไม่แน่เวลาผ่านไปลูกอาจคิดได้ว่าควรเลือกทางไหนก็ได้นะคุณ ไปนอนเถอะพรุ่งนี้ต้องเที่ยวต่อนี่” หมอเฉวงตัดบทและเดินไปล้มตัวลงนอนกอดภัครมัยลูกสาวคนเล็ก

เขาไม่มีวันรู้หรอกว่าอนาคตของลูกสาวตัวเองจะเป็นอย่างไร หากว่าเขาเข้าไปหักดิบ หักด้ามพร้าด้วยเข่าในตอนนี้ลูกสาวคนโตของเขาเองอาจจะกู่ไม่กลับ หรืออาจเตลิดเปิดเปิงไปเพราะโดนขัดใจจากพ่อแม่

เหมือนกับที่ภัทรทราภรณ์เคยมาปรึกษาเรื่องพวงทองเพื่อนรักของลูกสาวที่เพื่อนๆ ต้องพยายามกันแทบแย่กว่าจะฉุดพวงทองให้ขึ้นมาจากขุมนรกสีเทานั้นได้ เขาอาจจะต้องสุญเสียลูกสาวที่ดีและน่ารักไปอย่างไม่มีทางที่จะย้อนเวลากลับไปได้

เพียงแค่ตอนนี้ภัทรทราภรณ์เป็นลูกที่ดีเชื่อฟังพ่อแม่และตั้งใจเรียนจนจบ พ่ออย่างเขาก็พอใจแล้วมิใช่หรือ

ทางด้านพ่อกับแม่ของอรุณวิลัยที่ยังนอนไม่หลับเพราะสะดุ้งตื่นจากเสียงเดินเสียงพูดคุยของบ้านข้างๆ ลุกขึ้นมายืนมองพระจันทร์กันสองคนก็ได้เห็นภาพของลูกสาวตัวเองกับลูกสาวของหมอ ทำให้ทั้งคู่อดคิดไม่ได้ว่าหมอทั้งสองคนจะคิดอย่างๆรหากมาได้เห็นภาพที่พวกเขาเห็นเช่นกัน

“พ่อว่าคุณหมอเค้าจะว่าไงถ้าได้มาเห็นอะไรแบบที่เราเห็น”

“นั่นสิ พ่อก็ตอบไม่ได้ แต่ลูกเราก็ออกแสดงโจ่งแจ้งแล้วนี่ว่าชอบผู้หญิงมาแต่ไหนแต่ไร เรารับลูกเราได้แต่คุณหมอจะรับได้หรือเปล่าพ่อไม่แน่ใจ อีกอย่างสองคนนี้ก็เรียนด้วยกันมานานมาก มันจะคิดอะไรเกินเลยกันไปก็คงไม่แปลก กิ่งน่ารัก แป๊ดก็ดูแลกิ่งอย่างดี แม่ก็เห็นเวลาที่สองคนอยู่ด้วยกัน”

“ใช่สิพ่อ แม่ล่ะกลัวใจคุณหมอจริงๆ บ้านเราก็จนกว่า ลูกเราก็ไม่ได้เก่งไปเทียบเทียบลูกเค้าได้เลย แม่อดห่วงแป๊ดไม่ได้ว่ามันจะอกหักนะพ่อ”

“อกหักเราก็ดามให้ลูกสิแม่ แม่เก่งออกเรื่องติดตาต่อกิ่ง เรื่องอกหักแม่ก็น่าจะดามได้”

“ไอ้ดามต้นไม้น่ะแม่ทำได้ แต่เรื่องดามกิ่งที่เป็นคนแม่ทำไม่ได้หรอกพ่อ” สองสามีภรรยายืนคุยกันไปหัวเราะกันไป เพราะถึงอย่างไรก็คงไปห้ามปรามอารมณ์ของลูกสาวที่เปรียบเสมือนน้ำเชี่ยวที่กำลังไหลแรงพัดพาเอาตะกอนดินและชะตลิ่งไปทุกที่ของลูกตนเองไม่ได้

หากต้องรอให้วันนั้นมาถึง ไม่ว่าจะเป็นวันแห่งความชื่นชม หรือวันแห่งน้ำตา พ่อกับแม่ก็มีอ้อมกอดแห่งความรักและความเข้าใจให้กับลูกของตนเสมอ

..............................

วันกลับกันตาบอกว่าจะเลยกลับบ้านของเธอที่เชียงราย เพราะหากย้อนกลับไปที่ลำปางก็คงจะไม่สะดวกเท่าใดนัก ธิติมาขอตามไปด้วยเพราะเธอเองก็อยากที่จะทำความรู้จักกับครอบครัวของกันตาเช่นกัน

ดังนั้นเด็กๆ ที่เคยนั่งรถของกันตาก็เลยต้องมารวมตัวกันในรถตู้ ภัทรทราภรณ์ก็เลยเสนอว่าเธอจะไปนั่งรถตู้เองให้พ่อกับแม่ของเธอและพ่อกับแม่ของฉันขับรถกลับบ้านไปด้วยกันจะได้ไม่ต้องมานั่งเบียดกับพวกเราซึ่งเป็นเด็ก

รถตู้ของเด็กๆ ก็เลยมีแต่เด็กทั้งคันรถ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วสนุกสนาน โดยมีจันทร์จิราเป็นจ่าฝูงลิงทั้งโขลง ไม่ใช่สิ ทั้งฝูง เล่นกันจนรถโยกไปมาตลอดทาง

“คุณดูเด็กๆ สิคะเล่นกันจนรถไหวแล้ว” หมอนิภาพูดกับสามีของเธอ

“เด็กๆ ก็แบบนี้แหละคุณไม่รู้หรอกว่าอะไรร้อนอะไรหนาว เล่นกันไปวันๆ”

“แต่ฉันกลัวแป๊ดจะขับรถไม่มีสมาธิสิคะคุณ” หมอนิภายังแย้งสามีเช่นเคย

“ผมว่าแป๊ดเค้ามีความรับผิดชอบมากพอนะคุณนิภา ไม่เชื่อถามคุณหิรัญดูสิจริงไหมครับคุณปลัด” หมอเฉวงมองกระจกหลังถามปลัดหิรัญบิดาของอรุณวิลัย

ปลัดหิรัญได้แต่หัวเราะในลำคอไม่ได้โต้ตอบอะไรหมอเฉวง เพราะเขายังคงมีเรื่องค้างคาใจจากภาพที่ได้เห็นลูกสาวของตนจูบกับลูกสาวของหมอ มันเหมือนเป็นความผิดของตัวเขาด้วยที่เลี้ยงลูกไม่ดีไปทำให้ลูกสาวบ้านอื่นต้องมาตกกระไดพลอยโจนไปด้วยกันกับลูกสาวของตน

“ว่าไงครับคุณปลัด” หมอเฉวงถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

“ครับแป๊ดมีความรับผิดชอบมากพอผมเชื่ออย่างนั้น” ปลัดหิรัญตอบเสียวดังฟังชัด

“รวมถึงจะรับผิดชอบชีวิตลูกสาวผมด้วยหรือเปล่าคุณปลัด” หมอเฉวงถามทีเล่นทีจริง

ทำเอาปลัดหิรัญนั่งแทบไม่ติดเบาะรถดูจะร้อนๆ ขึ้นมาทันตาเห็น รู้สึกได้ถึงพระอินทร์เมื่อยามเวลาร้อนอาสน์หากเกิดเภทภัยขึ้นบนโลกมนุษย์

“คิดว่าอย่างนั้นครับคุณหมอ”

“เมื่อคืนผมเห็นลูกของเราสองคน ใจหนึ่งผมก็อยากเข้าไปกระชากลูกของคุณออกมาจากลูกของผมแล้วก็ต่อยให้ล้มคว่ำลงไป แต่อีกใจหนึ่งผมก็ทำไม่ได้ ผมคิดว่าคุณเองก็เช่นเดียวกัน” หมอเฉวงเริ่มเข้าเรื่องที่เขาองก็อยากจะให้พ่อแม่ของอรุณวิลัยรู้เช่นเดียวกับที่เขาและภรรยาได้รับรู้

“ผมเข้าใจครับคุณหมอว่าเวลาที่พ่อแม่เห็นลูกตัวเองกำลังเดินไปในทางที่เราไม่อยากให้พวกเขาเดินไปมันเป็นอย่างไร ผมเองต้องขอโทษคุณหมอด้วยที่เลี้ยงลูกมาไม่ดีพอ ต้องทำให้คุณหมอต้องเดือดเนื้อร้อนใจ อีกอย่างผมคงไม่ค่อยมีเวลาอบรมดูแลลูกมากพอ ปล่อยให้ลูกผิดไปจากคนอื่นๆ ผมขอโทษจริงๆ ครับคุณหมอ” ปลัดหิรัญกล่าวขอโทษแทนลูกสาวของตน

“ไม่หรอกครับคุณปลัด เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับลูกสาวของผมด้วยหากกิ่งไม่เล่นด้วยแป๊ดก็คงจะไม่ทำอะไรกิ่งหรอกครับ ผมเห็นเด็กสองคนนี้มานานมากๆ นานพอที่จะรู้ว่าเค้าทั้งคู่รักกันมากแค่ไหน แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาลงเอยแบบนี้ เห็นเล่นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนตอนนี้เท่าฝาบ้านกับไปแล้ว” หมอเฉวงยังมีอารมณ์นึกสนุกคุยเล่นไปเรื่อยๆ

“นั่นสิครับ เด็กแปดคนนี้วีรกรรมไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย จะว่าไปทั้งหมดก็เป็นเพื่อนรักกันดีนะครับ ผมเองยังแอบอิจฉาลูกที่มีเพื่อนที่รักกันแบบนี้”

“ต้องขอชมครูทัศนานะคะแบบนี้ สอนลูกๆ เรามาได้ดีมากๆ” หมอนิภาเอ่ยชมครูประจำชั้นหกปีซ้อนของลูกสาวตน

“จริงค่ะคุณหมอฉันยังจำได้เมื่อตอนที่พวกกลุ่มลูกๆ แทบจะเผาโรงเรียนตอนที่ช่วยกันทำความสะอาดและกวาดใบไม้มากองเป็นทางยาวๆ แถมยังจุดพร้อมกัน ควันตลบไปทั่วโรงเรียนจนใครๆ คิดว่าโรงเรียนไฟไหม้ ตอนนั้นครูทัศนาบอกฉันว่าอย่าไปดุไปตีลูกเพราะเค้ายังเด็กไม่รู้เรื่องแค่นี้ก็เป้นบทเรียนกับลูกๆ ของเรามากพอแล้ว” นีรชาแม่ของอรุณวิลัยออกความเห็นขึ้นมาบ้าง

“จริงค่ะคุณปุ้มฉันเห็นด้วย นี่สงสัยต้องหาซื้อของขวัญให้กิ่งเอาไปให้ครูทัศนาบ้างแล้วล่ะสิคะ ไม่รู้ว่าครูจะเป็นไงบ้างเพราะตั้งแต่กิ่งจบออกมาฉันก็ไม่ได้ติดต่อกับครูอีกเลย ฉันนี่แย่จังเลยลืมคนสำคัญของลูกไปได้” หมอนิภาบ่นตัวเอง

“ก็ดีเหมือนกันคะ งั้นเดี๋ยวกลับบ้านไปต้องให้แป๊ดเอาผลไม้ไปเยี่ยมครูทัศนาสักหน่อยก็ท่าจะดี หรือพ่อว่าไง” นีรชาหันไปถามปลัดหิรัญที่นั่งอยู่เบาะหน้าของตัวรถคู่กับหมอเฉวงที่เป็นคนขับรถ

“อืมแล้วแต่แม่แล้วกันพ่อไม่มีความเห็นหรอกถ้าเห็นว่าดีแล้วจะทำอะไรก็ทำเถอะแม่”

“พึ่งรู้ว่าคุณปลัดเกรงใจภรรยามเหมือนกันนะครับ” หมอเฉวงแอบแซว

“ไม่ได้เกรงใจครับคุณหมอผมให้เกียรติภรรยาเราตกลงกันตั้งแต่แต่งงานแล้วว่าเรื่องเล็กๆ ให้ปุ้ยเค้าจัดการผมไม่ต้องทำ และตั้งแต่แต่งงานกันมาจะสามสิบปีไม่เคยเลยที่จะมีเรื่องใหญ่ๆ ให้ผมต้องจัดการ ทุกเรื่องเลยไม่เคยถึงมือของผม เพราะมันเป็นเรื่องเล็กไปซะหมดสำหรับปุ้ย คิดแล้วก็ดีครับกลับบ้านผมไม่ต้องคิดไม่ต้องทำอะไรนอกจากเดินดูกล้วยไม้กับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์”

“แบบนี้เค้าเรียกภรรยาธิปไตยครับคุณปลัด” หมอเฉวงแอบออกความเห็นบ้าง

“ผมเคยจะหือเธออยู่ครั้งนึงครับคุณหมอ” ปลัดหิรัญเล่า

“ตอนไหนครับคุณปลัด”

“ก็ตอนที่เค้าใช้ให้ผมไปซักผ้าอ้อมลูกเพราะเค้าลุกไม่ถนัด ไอ้เรารึก็ออกท้องที่มาเหนื่อยๆ จะให้พักบ้างไม่มีซะล่ะ”

“แล้วคุณปลักทำไงครับ”

“ก็หือไปว่าโธ่เว่ยคนกลับมาเหนื่อยๆ ไหนล่ะกาละมังกับแฟ๊บซักผ้านะพ่อจะได้รีบๆ ซัก” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังลั่นรถเพราะความอารมณ์ดีของปลัดหิรัญที่อรุณวิลัยรับเอาส่วนนี้ของบิดาไปเต็มๆ

“ผมพึ่งรู้ว่าคุณปลัดอารมณ์ดีแบบนี้นี่เอง เห็นมากขรึมๆ นึกว่าจะดุ ที่ไหนได้กลับน่ารักมิน่าล่ะคุณนีถึงไม่ไปไหน” หมอเฉวงพูดปนเสียงหัวเราะ

“จะว่าไปก็ถ้าให้ภรรยาเป็นใหญ่แล้วครอบครัวเป็นสุขผมก็ยินดีครับคุณหมอ” ปลัดหิรัญพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังลั่นรถ

สองภรรยาที่นั่งด้านหลังค้อนให้สามีของตัวเองวงใหญ่ เพราะดูเหมือนว่าสามีของพวกเธอกำลังนินทาพวกเธออยู่โดยที่ไม่สามารถจะโต้แย้งได้เลย

.....................

ทางด้านธิติมาและกันตาเมื่อไปถึงบ้านสวนของกันตาธิติมาก็ดูเหมือนตัวเองจะดูด้อยค่าลงไปมาก พ่อเลี้ยงธนาบิดาของกันตาออกมาต้อนรับลูกสาวของตัวเองและเพื่อนคนใหม่ของลูกด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

กันตาปิดตัวเองออกจากครอบครัวนานมากแล้วเท่าที่พ่อเลี้ยงธนาจำได้ หลังจากที่ภรรยาของเขาได้ตายจากไป กันตาไม่ยอมพูดกับใครๆ อยู่หลายปี ต้องไปพบจิตแพทย์ทุกเดือน จนสุดท้ายเขาตัดสินใจที่จะให้ลูกสาวสุดที่รักของเขาเข้าไปอยู่กินนอนที่หอพักของโรงเรียน

เขาไม่รู้หรอกว่าจะทำถูกหรือทำผิด เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ลูกสาวของเขามีสังคมกับคนอื่นๆ บ้าง เมื่อลูกสาวของเขาโทรมาบอกว่าจะกลับมาบ้านพร้อมกับเพื่อนอีกหนึ่งคนเขาเต็มใจที่จะต้อนรับเพื่อนของลูกเป็นอย่างดี

เพราะตลอดเวลากันตาไม่เคยมีเพื่อนสนิทคนไหนที่จะพามาที่บ้าน ไม่เคยพูดถึงเพื่อนคนไหนให้คนเป็นพ่ออย่างเขาได้ยินหรือได้ฟัง แต่ระยะหลังๆ กันตาจะโทรมาเล่าเรื่องราวของเธอกับเพื่อนใหม่อยู่บ่อยๆ จะมีก็เพียงหญิงสาวผมสั้นรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของเขาคนนี้ที่ชื่อธิติมา ที่กันตาลูกสาวของเขาเปิดใจที่จะพูดคุยและสนิทสนมด้วย

กันตาโผเข้ากอดพ่อของเธอและหอมแก้มพ่อฟอดใหญ่

“คิดถึงจังเลยค่ะพ่อไหนดูสิลงพุงไปมากไหม” กันตาจับพุงของพ่อตัวเองขย้ำเล่นจนพ่อเลี้ยงธนาหัวเราะหึหึในลำคอ

“ลงพุงก็ดีแล้วตอนนี้พ่อว่าจะไว้หนวดถือไม้ตะพดเผื่อว่าใครมาจีบลูกสาวคนสวยของพ่อจะได้เอาไม่ตะพดไล่ออกจากบ้านไปเลย” พ่อเลี้ยงธนาพูดทีเล่นทีจริงกับลูกสาวของตัวเอง

“ไม่ทันแล้วพ่อ นี่ไงแฟนเจี๊ยบชื่อธิจ๊ะพ่อ” กันตาหันมาแนะนำธิติมาให้กับบิดาของตนได้รู้จัก

ทั้งพ่อเลี้ยงธนาและธิติมาต่างคนต่างอึ้งกับการแนะนำตัวของกันตาให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน

พ่อเลี้ยงธนาอึ้งไปเพราะไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองถึงแม้ว่ากันตาลูกสาวของเขาจะไม่ยอมสุงสิงกับผู้ชายคนไหนแต่เขาก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ ว่ากันตาจะกลับมาใช้ชีวิตปกติแบบคนทั่วไปได้บ้าง แต่ตอนนี้ความหวังของเขาได้จบสิ้นลงไปแล้ว

ส่วนธิติมาอึ้งไปเพราะไม่อยากจะเชื่อว่ากันตาจะกล้าหาญชาญชัยแนะนำว่าเธอเป็นแฟนของกันตาเนื่องจากเธอดูแล้วว่าพ่อเลี้ยงธนาออกจะหวงและห่วงลูกสาวอยู่มาก

ธิติมานอบตัวและยกมือไหว้สวัสดีพ่อเลี้ยงธนาอย่างนอบน้อม เธอนึกของคุณครูทัศนาที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้กลุ่มพวกเธอฝึกหัดมารยาทที่ดีของหญิงไทย ดังนั้นการไหว้เพื่อสวัสดีทักทายพ่อเลี้ยงธนาในครั้งนี้เธอจึงทำไปด้วยมารยาทของหญิงไทยแท้ๆ ไม่กระโดกกระเดกและไม่เก้อเขิน

พ่อเลี้ยงธนาเห็นท่าทางของธิติมาแล้วก็ให้รู้ว่าไม่ธรรมดา ดูจะเป็นหญิงที่สุภาพเรียบร้อย แต่เมื่อดูจากท่าทางภายนอกแม้ว่าจะเหมือนทอมบอยแต่ก็ละมุนละไม ไม่แข็งกระด้างด้านชาแบบทอมบอยทั่วไป พ่อเลี้ยงธนานึกดีใจอยู่บ้างที่ลูกสาวของเธอเลือกคบคนถูก

ความประทับใจครั้งแรกพบเป็นหนทางไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีงามที่จะตามมาเรื่อยๆ

.......................................

พ่อเลี้ยงธนานั่งจิบเบียร์อยู่ที่ชานเรือนไม้หลังใหญ่ ภรรยาใหม่ของเขาพาลูกเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว จะมีก็แต่กันตาที่นั่งกินลมชมดาวอยู่กับพ่อเลี้ยงธนา

สองคนพ่อลูกถามไถ่ถึงทุกข์สุขของกันและกันตามประสา

“เรียนเป็นไงบ้างลูกยากไหม”

“ไม่หรอกค่ะพ่อก็เรื่อยๆ”

“แล้วหนูธิเค้าดีกับลูกไหม” พ่อเลี้ยงธนาถามลูกสาวของเขาด้วยน้ำเสียงแห่งความเอื้ออาทร

“ธิเค้าดีมากๆ เลยคะพ่อ ดีจนเจี๊ยบเองยังกลัวว่าหากวันไหนธิเค้าไม่ดีเหมือนวันนี้เจี๊ยบคงแย่ เจี๊ยบอยากจะรู้จังเลยพ่อว่ามีอะไรไหมที่ทำให้คนเราไม่เปลี่ยนไป และจะรักเราได้นานๆ เหมือนวันแรกที่เคยรักกัน”

“ความรักมันบอกมันได้หรอกลูกว่าอะไรเป็นตัวทำให้เรายังรักคนอีกคนอยู่หรือเปล่า หากจะถามพ่อว่ายังรักแม่ของลูกอยู่ไหม พ่อก็ตอบได้ว่ายังรักและรักแม่ของลูกไม่เปลี่ยนแปลง”

“พ่อยังรักแม่แล้วทำไมพ่อถึงแต่งงานใหม่ล่ะคะ”

“มันคงเป็นเพราะความเหงาของพ่อเองและอ้อยเค้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อีกอย่างคนแก่อย่าพ่อจะมีเมียเด็กมันก็ไม่เสียหายตรงไหน”

“มันไม่เสียหายหรอกค่ะพ่อถ้าพี่อ้อยไม่ใช่พี่เลี้ยงของเจี๊ยบมาก่อน เจี๊ยบจะไม่เสียใจเลย”

กันตาพูดถึงเกสราพี่เลี้ยงของเธอที่คอยมาดูแลเธอเมื่อยามที่แม่ของเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว เกสราเป็นพยาบาลที่คอยดูแลกันตาให้กินให้นอนอยู่ถึงสองปีเต็มๆ เมื่อยามที่กันตาต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน

จะว่าไปเกสราก็เป็นคนที่นิสัยดี น่ารัก แต่กันตาก็ยังมีความหวงพ่อของเธอ เพราะเมื่อแม่จากไปเธอก็มีเพียงพ่อคนเดียวเท่านั้นที่เป็นที่พักพิงของหัวใจที่บอบช้ำจากการเสียแม่ไปต่อหน้าต่อตา

“พ่อขอโทษนะลูกเจี๊ยบที่พ่อทำอะไรลงไปโดยไม่ได้ปรึกษาลูก ในตอนนั้นพ่อเหงามาก พ่อไม่เคยต้องไกลจากแม่ของลูกมาก่อน เมื่อไม่มีแม่ของลูกพ่อเหงามากพ่อขอโทษนะลูก” พ่อเลี้ยงธนากอดลูกสาวของตัวเอง นานๆ ครั้งกันตาถึงจะกลับมาให้เขากอดทั้งๆ ที่เขารักลูกสาวคนนี้สุดหัวใจ

กันตาและพ่อเลี้ยงธนานับจากวันที่แม่ของกันตาตายไปไม่เคยที่จะเปิดใจพูดคุยกัน กันตาปิดตัวเองจากโลกภายนอกไม่พูดคุยกับใคร แม้กระทั่งพี่ชายและพี่สาวของกันตาเอง พ่อเลี้ยงธนากลุ้มใจกับลูกสาวของเขามาก พาไปพบจิตแพทย์ พาไปบำบัดจิต รวมถึงพยายามให้ลูกเข้าสังคมพบปะพูดคุยแต่ก็ไร้ผล

กันตาไม่พูดกับใครอยู่นานแม้จะให้ไปอยู่หอพักที่มีแต่เด็กผู้หญิง เพราะเมื่อยามที่กันตาเห็นผู้ชายเธอจะมีอาการหวาดกลัวจนเห็นได้ชัด ตัวสั่นและหลบซ่อนตัวเอง ยามที่กันตานอนหลับก็จะละเมอถึงแม่ของเธอ เขาซึ่งเป็นพ่อเมื่อเห็นลูกของตัวเองเป็นแบบนั้น หัวใจของพ่ออย่างเขาแทบจะขาด

ใช่ว่าเขาเองจะไม่เสียใจที่ภรรยาเก่าได้ตายจากไปในวัยที่ไม่สมควร เขาเฝ้าแต่โทษตัวเองเสมอว่าเป็นต้นเหตุให้ภรรยาเก่าต้องตายจากไป ถ้าเขาไม่ห่วงงานในไร่มากกว่าลูกและเมีย ภรรยาของเขาก็คงจะไม่ตาย เขาเองเลี้ยงกันตาได้แต่เพียงร่างกาย พยายามจะเยียวยารักษากันตาด้วยความรักของพ่อที่มีต่อลูก

แต่ทุกอย่างก็ต้องพังครืนลงอีกครั้งเมื่อเขาแต่งงานกับเกสราภรรยาคนใหม่ กันตาเริ่มที่จะปลีกตัวออกไปจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ และทักจะทำตัวประหลาดๆ ให้ได้เห็นอยู่เสมอ

“แล้วเรื่องของหนูธิล่ะลูกเจี๊ยบ ลูกคิดดีแล้วหรือที่ไปคบกัน พ่อยังนึกไม่ออกเลยว่ารักแบบนี้มันจะไปได้สักกี่น้ำ” พ่อเลี้ยงธนาเริ่มจะซักถามลูกสาวของตนบ้าง

“คิดดีแล้วค่ะพ่อ เจี๊ยบคิดรอบคอบแล้วเรื่องของธิ ถึงจะไปได้ไม่สักกี่น้ำ ไปได้ไม่กี่ปีเจี๊ยบก็จะรักธิคะพ่อ เพราะธิเป็นคนเดียวที่เจี๊ยบรักและแอบรักเค้ามาโดนตลอด ธิเป็นคนเดียวที่เจี๊ยบยอมพูดคุยและเปิดใจกับเค้าหลังจากแม่ตาย พ่อก็รู้นี่ค่ะว่าเจี๊ยบรักแม่มากแค่ไหน เจี๊ยบขยะแขยงผู้ชายแค่ไหน แค่ได้กลิ่นหรืออยู่ใกล้เจี๊ยบยังแทบสลบ” กันตาพยายามจะอธิบายเหตุผลของตัวเธอเองให้พ่อของเธอได้รับรู้

“พ่อไม่อยากถามเหตุผลของลูกหรอกนะว่าทำไม แต่พ่อก็จะพยายามเข้าใจลูกเหมือนที่ลูกพยายามเข้าใจพ่อ เราสองคนมาสัญญากันไหมลูกว่าเราพยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน”

พ่อเลี้ยงธนายกนิ้วก้อยของตัวเองยื่นไปให้กับลูกสาวเหมือนกับลูกสาวของเขายังเป็นเด็กเล็ก ที่ต้องได้รับสัญญาเกี่ยวก้อยตอนที่ตกลงกันว่าหากเรียนได้คะแนนแปดสิบขึ้นไปจะได้ตุ๊กตาตัวโตๆ เป็นรางวัล

“ค่ะพ่อ” กันตายกนิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วของพ่อที่ดูแข็งแรงและมั่นคง

“อ้าวธิมาพอดีเลยพ่อจะให้เราสัญญาว่าจะพยายามทำความเข้าใจกัน” กันตาเอ่ยทักธิติมาที่เดินตามเกสราเข้าไปหยิบไวน์ขึ้นชื่อที่สุดของไร่พ่อเลี้ยงธนาออกมาจากในบ้าน

“แม่เลี้ยงอ้อยให้ธิเอาไวน์มาชิมนะค่ะพ่อเลี้ยง” ธิติมาบอกกับพ่อเลี้ยงธนาและรินไวน์แดงที่ผลิตจากองุ่นในไร่ของพ่อเลี้ยงธนาเอง

“ไวน์นี้อร่อยนะธิไม่เชื่อลองดื่มดูสิ” พ่อเลี้ยงธนาเอ่ยชวนธิติมาให้ชิมไวน์

กันตาหยิบขวดไวน์จากในถังแช่ไวน์ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งขึ้นมารินไวน์ใส่แก้วทรงสูงให้กับธิติมาและพยักหน้าให้ ธิติมายกไวน์ในแก้วขึ้นดมและจิบชิมกลั้วไปทั่วทั้งลิ้น

“ดีค่ะไม่ฝาดอย่างที่คิดไว้” ธิติมาเอยชมไวน์ในแก้วของเธอ

“ดีๆๆ ดื่มให้กับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของพ่อกับลูกและสัญญาแห่งความเข้าใจของเรา เอ้าดื่มๆๆ” พ่อเลี้ยงธนายกแก้วของตนเองชูไว้กลางอากาศเพื่อรอรับการชนแก้วตามประเพณีแบบฝรั่ง

แก้วไวน์สามแก้วกระทบกันดัง “กริ้ง”

“ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกพ่อว่าพ่อเลี้ยงแล้วนะธิเรียกว่าพ่อก็พอแล้ว ว่าแต่ธิจะเป็นลูกเขยหรือลูกสะใภ้ของพ่อดีล่ะ” พ่อเลี้ยงพูดติดตลกถามธิติมา

“ให้ธิเป็นลูกสาวของพ่ออีกคนก็ได้ค่ะเพราะธิก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะเป็นลูกเขยหรือลูกสะใภ้ของพ่อ รู้แต่ว่าธิรักลูกสาวของพ่อแค่นั้นคะพ่อ”

ธิติมาตอบจากใจจริงเพราะเธอก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะเป็นอะไร เธอรู้แต่เพียงว่ากันตาคือคนที่เธอรัก เธอไม่เคยจะระบุว่าตัวเธอเป็นอะไร สถานะของเธอกับกันตาคืออะไร และรู้เพียงว่าเธอกับกันตารักกัน

แม้จะไม่รู้ในวันนี้ว่าความสัมพันนี้จะเนิ่นนานแค่ไหน แต่ในตอนนี้ทั้งสามคนรับรู้ว่าการที่เปิดใจที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ ให้เข้ามาในชีวิตนั้นดีเพียงใด

เพราะอย่างน้อยๆ กันตาก็นอนหลับอย่างเป็นสุขมากว่าทุกคืนในอ้อมกอดของธิติมา

..... จบบทที่ ๑๘ ....



Create Date : 15 มิถุนายน 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:05:43 น. 0 comments
Counter : 336 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.