It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๓



ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๓

กลับถึงบ้านฉันไม่ได้พูดอะไรกับพวงทองและทำตัวปกติเพราะคิดว่าพวงทองคงยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไร หรือไม่พวงทองอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องเมื่อตอนเย็น แต่สำหรับฉันเริ่มเห็นเค้าลางๆ จากเรื่องเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องที่อดไม่ได้หากว่าฉันไม่ปรึกษากับคนรัก

ฉันรอจนภัทรทราภรณ์อ่านหนังสือเสร็จและล้มตัวลงนอนฉันเองก็วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะข้างเตียงและปิดไฟหัวเตียงก่อนที่จะล้มตัวลงนอนข้างๆ เธอ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของตัวเอง และสอดแขนไปใต้หลังคอของเธอเพื่อให้เธอหนุนนอนและเธอก็จะพลิกตัวมากอดฉันด้วยแขนข้างเดียว มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำแบบนี้ทุกวัน จนกลายเป็นเรื่องที่ชินแล้วสำหรับเธอและฉัน

“กิ่งเรามีเรื่องจะปรึกษา”

“หืมเรื่องอะไรเหรอแป๊ด สำคัญมากหรือเปล่าเราเพลียจริงๆ วันนี้ รอพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า” เธอส่งเสียงอ่อนล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัดทั้งๆ ที่ยังหลับตาพริ้มซบอยู่ที่หัวไหล่ของฉัน

“เรื่องของกอล์ฟน่ะไม่เป็นไรกิ่งเพลียก็นอนเถอะ”

พอภัทรทราภรณ์ได้ยินชื่อของไปรยาจากปากฉันเท่านั้นเธอถึงกับทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงทันที ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เธอทำท่าเหมือนกับจะหมดแรง

“ไหนว่ามาสิแม่นั่นทำเรื่องอะไรอีก”

ฉันลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงตามเธอและโอบแขนไปที่ไหล่ของเธอและรั้งตัวเธอมาอยู่ในอ้อมกอดของฉันแต่เธอขัดขืน ฉันรู้แล้วว่าเธอคงจะมีอารมณ์หึงขึ้นหน้าอีกแล้วคนเก่งของฉัน

“เปล่ากอล์ฟไม่ได้ทำเรื่องอะไร แต่เราว่ากอล์ฟกับปุ๊กอาจจะชอบๆ กันอยู่”

“แล้วไงหึงหวงแม่นั่นเลยล่ะสิถึงได้นอนไม่หลับ” ท่าทางของเธอที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจฉันเอามากๆ

“บ้าเหรอกิ่งเรามีกิ่งทั้งคนเราจะไปหึงเพื่อนได้ไง เราไม่ได้เป็นแฟนกอล์ฟนี่จะได้ไปตามหึงตามหวง” ฉันรีบปฏิเสธจนลิ้นจะพันกันให้วุ่นวายไปหมด

“แล้วที่มาพูดๆ กับเราเพราะอะไร”

“ก็เรื่องของปุ๊กกับกอล์ฟ คืองี้กอล์ฟแอบชอบปุ๊ก และเราก็คิดว่ามันเป็นการดีที่สองคนนี้จะมาชอบพอกัน เราคิดว่าจะสนับสนุนให้สองคนชอบกันเรื่องอึมครึมมันจะได้จบๆ ไปสักที”

“นี่ว่าเราขี้หึงมากไปใช่ไหมแป๊ด” ภัทรทราภรณ์ตะหวาดฉันแว๊ดๆ พร้องกับทุบมาที่อกของฉันนับครั้งไม่ถ้วน จนฉันต้องรีบจับข้อมือของเธอไว้ เพราะฉันเริ่มรู้สึกเจ็บ

“กิ่งจ๋า อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่สิที่รัก เราชอบนะที่กิ่งหึงเรานั่นแสดงว่ากิ่งรักเรา และเราก็รู้ว่ากิ่งรักเรามากแค่ไหน กิ่งเองก็รู้ใช่ไหมว่าเราเองก็รักกิ่งเหมือนกัน แต่เรื่องอึมครึมที่เราว่ามันหมายถึงเพื่อนของเราสามคนจะได้ไม่ต้องมาสร้างบรรยากาศมาคุกันอีก กิ่งไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ที่เห็นไอ้เจ้ากับไอ้นก พยายามอยู่ห่างกันทั้งๆ ที่สองคนรักกันมากมาย”

ภัทรทราภรณ์เริ่มหยุดการรุกรานฉันด้วยกำปั้นน้อยๆ ของเธอและตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันพูดมากขึ้น

“กิ่งก็รู้ใช่ไหมว่าการที่เรารักใครสักคนแล้วแสดงออกไม่ได้มันทรมานแค่ไหน แล้วไอ้เจ้ากับไอ้นกมันก็ต้องเป็นแบบนั้น เราเคยแอบเห็นตอนที่ไอ้ปุ๊กไม่อยู่ ทั้งสองคนหวานต่อกันมากขนาดไหน แต่พอไอ้ปุ๊กมันปรากฏกายขึ้นมาในบ้านทั้งสองคนกลับทำตัวห่างเหินราวกับคนไม่เคยรู้จักกัน กิ่งชอบเหรอที่เพื่อนของเราเป็นแบบนี้”

ฉันหันไปมองเสี้ยวหน้าของเธอ ที่พอจะเห็นได้บ้างลางๆ กับแสงไฟถนนที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดม่านในห้องของเราสองคน

“แล้วแป๊ดจะทำอะไรให้ปุ๊กมีคนใหม่เพื่อให้ลืมนกเหรอมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“มันไม่ง่ายนะสิเพราะท่าทางปุ๊กไม่ได้ชอบกอล์ฟเลย แต่กอล์ฟนะสิดูจะชอบปุ๊กมากๆ” และจากนั้นเรื่องราวของไปรยาที่หลงรักหลงชอบพวงทองที่ไปรยาบอกกล่าวมากับฉันก็ได้พรั่งพรูจากปากฉันถ่ายทอดให้ภัทรทราภรณ์ได้รับรู้

และดูเหมือนภัทรทราภรณ์จะคิดเรื่องนี้มากพอๆ กันกับที่ฉันคิด เราสองคนรวมหัวกันคิดระดมสมองเรื่องของเพื่อนเราว่าจะจับมามัดมือชกกันให้รู้แล้วรู้แรดไป หรือว่าจะปล่อยให้เลยตามเลย กาลเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ใจของคนสองคนได้

มันคงยากที่จะให้พวงทองที่รักชนกพรมานานปี เลิกรักได้ง่ายๆ และมันก็คงยากเช่นกันที่จะทำให้คนสองคนที่พึ่งจะเจอกันได้ไม่นานมาชอบพอกันแบบที่เราอยากให้เป็น เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันและภัทรทราภรณ์ก็ค่อยๆ เลื้อยลงมานอนราบ และหลับตาลงด้วยความง่วงงุน

พร้อมๆ กับปิดสมองที่อ่อนล้าจนไม่สามารถสั่งการใดๆ

..........................................

จนเมื่อถึงวันเกิดของฉันในเดือนเจ็ด ฉันก็มีความคิดว่าเราจะต้องไปทำบุญกันที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แถวๆ แยกตึกชัย ภัทรทราภรณ์บอกว่าใกล้บ้านเราด้วยไปไหนมาไหนก็สะดวก

พวกเราโทรจองวันที่จะไปเลี้ยงข้าวเด็กๆ และฉันก็คิดได้ว่าต้องชวนไปรยาไปด้วยเพื่อให้เพื่อนๆ ของเราทั้งหลายได้ดูตัวของไปรยา ว่าที่แฟนของพวงทองที่ฉันกับภัทรทราภรณ์ช่วยลุ้นกันจนคอโก่ง ยิ่งกว่าไก่ขันตอนเช้าเสียอีก

เรารวมพลครั้งใหญ่อีกครั้งในวันอาทิตย์เพราะเราจองวันได้ในวันนั้น ไปรถสองคัน เพราะเรามีข้าวของมากมายทั้งนมกล่องหลายลัง ขนม ตุ๊กตาที่ฉันกับภัทรทราภรณ์ซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปซื้อมาจากแถวๆ เยาวราชถุงใหญ่ ต้องขอบใจไปรยาที่ทำให้ฉันรู้จักเส้นทางในเมืองมากขึ้นกว่าเดิมไปไหนมาไหนโดยไม่หลงทาง

เมื่อมาถึงสถานรับเลี้ยงเด็กยังไม่ถึงเวลาที่เด็กๆ จะกินข้าวเที่ยง ครูที่ดูแลพาเราไปยังบ้านต่างๆ ที่แบ่งแยกเด็กๆ ออกไปตามลำดับอายุ ตลอดรายทางมีรูปของเด็กๆ ที่ถูกขอไปเลี้ยงจากพ่อแม่บุญธรรมจากต่างประเทศ

คนเหล่านั้นมีลูกไม่ได้ และต้องการช่วยเหลือเด็กที่ไม่มีใครอุปการะ เมื่อทั้งหมดไปเติบโตที่ต่างประเทศ นานๆ ครั้งจะกลับมาเมืองไทย พ่อกับแม่บุญธรรมก็ยังไม่ลืมที่จะพาเด็กๆ เหล่านั้นกลับมาเยี่ยมบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้

เด็กๆ เหล่านั้นดูหน้าตาสดใสเหมือนๆ กับเด็กๆ ทั่วไป ครูที่ดูแลเล่าว่า นับวันเด็กๆ กำพร้าที่โดนทิ้งจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และอีกต่อไปคงต้องขยับขยายไปที่อื่น เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่พร้อมที่จะรับเด็กๆ จำนวนมากมายได้อีก

รูปร่างหน้าตาของเด็กๆ มีทั้งหน้าไทยแท้ หน้าลูกครึ่ง ไทย จีน แขก ฝรั่ง เรียกได้ว่านานาชาติ ฉันอยากรู้จังเลยว่าใครนะที่ทิ้งลูกของตัวเองได้แบบนี้ เขาเหล่านั้นยังมีจิตใจเป็นคนอยู่หรือเปล่า หรือว่าแค่เพียงมาอาศัยเกิดเป็นมนุษย์แต่จิตใจต่ำยิ่งกว่าเดรัจฉาน

แม้กระทั่งหมาข้างถนนยังรักลูกของตัวเอง ให้นมลูกและหาอาหารมาให้ แต่คนกลับทิ้งลูกของตัวเองที่อุ้มท้องมาถึงเก้าเดือน ทำได้อย่างไรกัน สายใยของแม่กับลูกไม่มีให้แก่กันและกันบ้างเชียวหรือ

เมื่อเดินดูเด็กๆ ไปเรื่อยๆ ฉันก็นึกถึงไปรยาขึ้นมาได้ว่าเธอจะตามมาสมทบภายหลัง ฉันก็เลยให้พวงทองยืนไปรอไปรยาที่จะมาสมทบพวกเราในภายหลัง เนื่องจากว่าไปรยาบอกว่าเธอจะนั่งรถเมล์มาเอง และก็ไม่มีใครเหมาะสมเท่าพวงทองที่จะต้องเป็นคนไปรอรับไปรยา

พวงทองยืนมองที่ป้ายรถเมล์ มีรถเมล์สายแล้วสายเล่าที่ผ่านมาแต่ก็ไม่มีไปรยาลงมาจากรถเมล์ และเธอก็ต้องผิดคาดระคนกับประหลาดใจ เมื่อไปรยานั่งซ้อนท้ายมาพร้อมกับรถไอติมตัก

ไปรยาลงทุนลงจากรถเมล์เมื่อเห็นรถไอติมกำลังปั่นมาเรื่อยๆ บนท้องถนน และดักรอที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้าเพื่อที่จะเหมารถไอติมตักมาจากถนนหลานหลวง

ไปรายเล่าว่าเธอถามคนขายไอติมว่าถ้าเหมาไอติมทั้งคันราคาเท่าไหร่ สงสัยเธอจะดูโฆษณาบัตรเครดิตยี่ห้อหนึ่งมากไป ที่ถามว่าทั้งร้านเท่าไหร่ เมื่อตกลงราคากันได้ เธอก็จ่ายค่ามัดจำให้กับพี่ไอติมไปก่อนจากนั้นก็นั่งซ้อนท้ายรถพี่ไอติมที่ค่อยๆ ปั่นมาเรื่อยๆ บนนถนน

พี่รถไอติมก็ใจดีแสนดีให้ไปรยานั่งซ้อนรถไอติมมาจนถึงสถานรับเลี้ยวเด็กกำพร้าแห่งนี้ พวงทองเห็นไปรยาซ้อนท้ายรถไอติมเข้ามาก็ขำไปรยาจนท้องคัดท้องแข็ง

“ขำอะไรเรานักหนาเติ้ลไม่เคยเห็นคนนั่งซ้อนรถไอติมเหรอ”

“ก็ไม่เคยนะสิแล้วพี่ไอติมให้ยายหมวยนั่งซ้อนมาได้ไงนี่พี่ไม่หนักเหรอ” พวงทองหันไปถามเจ้าของรถไอติมที่เหงื่อไหลไคลย้อยลงมาจนเต็มหน้าไปหมด

“ไม่หรอกครับเมียกับลูกผมหนักว่านี้อีก” พี่ไอติมยิ้มไปพร้อมๆ กับตอบคำถามของพวงทองและล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบผ้าขนหนูผืนยาวๆ ที่เสียบไว้ออกมาเช็ดหน้า

“แต่หนูดูท่าทางพี่จะเหนื่อยกว่าตอนที่พี่เอาลูกกับเมียพี่มาซ้อนท้ายอีกนะพี่ สงสัยยายหมวยเกี๋ยนี่จะหนักน่าดูเลยนะพี่” พวงทองยังเล่นไม่เลิก

พี่ไอติมได้แต่หัวเราะหึหึ อยู่ในลำคอ และปล่อยให้สองสาวต่างเชื้อชาติ ยืนพูดคุยกันไปเรื่อยๆ จนไปรยาต้องบอกกับพี่ไอติมว่า

“พี่ค่ะรอจนเด็กๆ มากินข้าวแล้วพี่ค่อยตักไอติมให้น้องๆ นะคะพี่ หนูเหมาพี่ทั้งคันเลยนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ตัง” ไปรยาบอกกับพี่ไอติม จากนั้นก็เดินตามพวงทองไปที่บ้านเด็กอ่อน

ในบ้านเด็กอ่อนเด็กๆ ถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาอาบน้ำ ผู้ช่วยที่ทำงานเหล่านั้นก็แบ่งกันเป็นคู่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มแปดเซียน ทั้งหลายต่างโกลาหลเมื่อเด็กๆ ร้องจ้าไม่ยอมอาบน้ำ แถมยังลงไปเล่นในอ่างน้ำสำหรับตักอาบกันจนคนช่วยอาบเปียกปอนไปตามๆ กัน

เสร็จจากภาระกิจอาบน้ำก็เป็นการช่วยเด็กน้อยแต่งตัว เด็กบางคนเกาะภัทรทราภรณ์เป็นลูกลิงเหมือนกับว่าภัทรทราภรณ์ คือความอบอุ่นของเด็กๆ ภัทรทราภรณ์กอดเด็กและช่วยประแป้งแต่งตัวให้ ฉันเรียกน้องคนที่เกาะภัทรทราภรณ์ไม่ปล่อยว่าน้องข้าวนอกนา ตามแบบละครที่เล่นกัน

ภัทรทราภรณ์หันมาดุฉันว่าอย่าไปเรียกเด็กแบบนั้นมันจะเป็นการทำให้เด็กรู้สึกว่าแปลกแยกไปจากคนอื่น ภัทรทราภรณ์เรียกน้องที่หัวหยิกคนนั้นว่าน้องคนสวย ซึ่งก็ทำให้น้องคนนั้นเกาะติดภัทรทราภรณ์ มากยิ่งขึ้น เรียกว่าจะไปไหนก็ต้องกระเตงน้องติดเอวไปด้วยตลอด

แต่เหตุการณ์ไม่ได้มีเพียงแค่น้องคนสวยคนเดียวเท่านั้นที่อยากให้อุ้ม ยังมีน้องอื่นๆ อีกหลายคนที่อยากให้อุ้มดังนั้นภัทรทราภรณ์ต้องอุ้มเด็กสองคนกระเดียดเอวไปไหนมาไหน

จันทร์จิราโดนน้องๆ ขึ้นขี่หลัง เล่นเป็นม้าหรือวัว เด็กๆ วัยไม่ถึงสองขวบเกาะติดชนกพรและรตีที่นั่งลงใส่เสื้อผ้าจับปูใส่กระโด้ง ครูประจำบ้านลุกขึ้นมาปรบมือและเรียกๆ เด็กๆ ให้เข้าแถว เด็กๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากพวกเรา เหมือนกับว่าพวกเราเป็นแหล่งพักพิงที่ดีที่สุด

“ลูกๆ ใครไม่เข้าแถวไม่ได้กินข้าว ถ้าหิวอย่ามาร้องไห้ตอนบ่ายๆ นะ” ครูสั่งให้เด็กๆ เข้าแถว จากนั้นแถวลูกเป็ดก็เดินเกาะบ่ากันไปที่โรงอาหาร ผ่านบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง

ครูบอกพวกเราว่าเด็กๆ ไม่สามารถที่จะมากินข้าวพร้อมๆ กันได้ทุกบ้านเพราะว่าจำนวนเด็กๆ มากเกินกว่าที่โรงอาหารจะรับได้ จึงต้องทะยอยกันมาทีละบ้าน เมื่อเด็กๆ กินข้าวเรียบร้อยก็ถึงคิวกินไอติม เด็กๆ ท่าทางจะชอบกันมากๆ กินกันเลอะเทอะไปหมด

เมื่อกินเสร็จ เด็กๆ ก็ร้องเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการล้างมือ น่าเสียดายที่ฉันจำไม่ได้ว่าเพลงนั้นร้องอย่างไร แต่เด็กทุกคนเอาสบู่ก้อนมาล้างมือ และบ้วนปากก่อนที่จะเดินกลับไปที่บ้านของตัวเอง และเด็กอีกบ้านก็เดินเข้ามาที่โรงอาหารแทนที่เป็นเช่นนี้สามถึงสี่หน

ฉันยืนมองลูกเป็ดทั้งหลายเดินจากโรงอาหารไปที่บ้านของตัวเอง และในใจก็คิดว่าหากเด็กๆ เหล่านี้เติบโตขึ้น สภาพจิตใจของเด็กๆ เหล่านี้จะเป็นอย่างไร จะอยากได้หรือโหยหาความรักมากแค่ไหน อ้อมกอดของใครจะอบอุ่นเท่าอ้อมกอดของผู้เป็นแม่

หลังจากป้อนข้าวน้องๆ เรียบร้อย พวกเราก็แยกย้ายไปตามบ้าน ไปช่วยครูปูที่นอนให้น้องๆ ที่ไม่สามารถที่จะทำเองได้ หลังจากที่ปูที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว พวงทองก็ลงไปนอนเล่านิทานให้น้องๆ ฟังเพื่อให้เด็กๆหลับ

ไปรยานอนฟังไปอย่างเพลิดเพลินน้ำเสียงของพวงทองมีทั้งเสียงสูงเสียงต่ำเล่าเรื่องราวของลูกหมูสามตัว นกกระสากับหมาป่า และอีกหลายๆ เรื่องเล่าไปเรื่อยๆ จนเด็กๆ รวมถึงไปรยาหลับลงไป

พวงทองเห็นพี่ไอติมมายืนด้อมๆ มองๆ ก็ให้นึกแปลกใจว่ามาทำอะไรเธอจึงเดินออกไปหาพี่ไอติม

“ทำไมหรือค่ะพี่”

“คือว่างี้ครับคุณ คือน้องเค้ายังไม่ได้จ่ายค่าไอติมผมเลยครับคุณ” พี่ไอติมตอบเสียงอ้อมแอ้ม

“อ้าวตายแล้วนี่ยายหมวยขี้ลืมขนาดนี้เลยเหรอนี่ เท่าไหร่ค่ะพี่” พวงทองตกใจระคนกับขำยายหมวยขี้ลืม

“น้องเค้าให้ผมมาแล้วห้าร้อย ขาดไปอีกสามร้อยครับ”

“ค่ะๆ พี่เอานี่ไปเลย ขอโทษด้วยนะคะ” พวงทองรีบล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงของเธอส่งให้พี่ไอติม พร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ ดีออกคุณผมไม่ต้องปั่นไปไหนไกลๆ ขายเหมาแบบนี้ผมก็สบาย ถ้าพวกคุณจะเลี้ยงเด็กแบบนี้บอกผมได้นะครับ นี่เบอร์โทรที่ร้านเจ้าของไอติม โทรไปบอกได้ผมชื่อหาญบอกเจ๊ว่าจะให้ผมมาที่ไหนผมปั่นไปได้ครับ” พี่ไอติมยื่นเบอร์โทรและชื่อของเขาที่เขียนด้วยลายมือสวยและกดหนักจนกระดาษนูน ส่งให้กับพวงทอง

พวงทองรับกระดาษแผ่นเล็กๆ นั้นมาและเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ของเธออย่างดี พร้อมกับบอกพี่ไอติมว่า

“รับรองเลยพี่ครั้งต่อไปถ้าจะเลี้ยงอีกพวกหนูจะเรียกใช้บริการพี่แน่ๆ แถมจะโทรไปบอกเจ๊เจ้าของล่วงหน้าสักสองสามวันเลยนะพี่โชคดีนะคะพี่ปั่นดีๆ ล่ะ รถเมล์มันแรงฮ่าๆๆ” พวงทองตบปากรับคำและเดินไปส่งพี่ไอติมที่ส้มหล่นเพราะยายหมวยไปรยาขี้ลืมที่นอนหลับอุตุอยู่กับเด็กๆ ไปแล้ว

พวงทองเดินกลับมาที่ห้องนอนของเด็กๆ และนั่งลงข้างๆ ไปรยาที่นอนหลับอยู่ มีเส้นผมปรกที่ใบหน้าขาวอมชมพูนั้น เธอนั่งมองและตัดสินใจเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้านั้นออก จากนั้นเธอล้วงไปที่กระเป๋าด้านหลัง หยิบสมุดเล่มเล็กๆ ที่เธอมักพกติดตัวเป็นประจำออกมา

ลงมือวาดลายเส้นภาพของคนที่นอนหลับไม่รู้ตัวลงไปในสมุดเล่มเล็กๆ นั้นหลายๆ รูปอย่างใจเย็น เพราะต่อให้วาดไปกี่รูปยายหมวยขี้เซาก็คงยังไม่ตื่น

“ท่าทางจะเหนื่อยซ้อนรถพี่ไอติมมาล่ะสิยายหมวยขี้เซา” พวงทองบ่นกับตัวเอง แต่ก็ยังคงร่างลายเส้นลงในสมุดต่อไป และเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจของพวงทองอย่างเงียบๆ

.....................................

จันทร์จิรากับชนกพรสองคนก็เช่นกัน เมื่อเด็กๆ มาถึงบ้านก็ช่วยครูพาเด็กๆ นอน ดูเหมือนเด็กผู้ชายจะติดจันทร์จิรามากว่าเด็กผู้หญิง และเด็กผู้หญิงก็ติดชนกพรมากกว่า จนครูต้องบอกเสียงดุๆ ว่าให้เด็กๆ นอนได้แล้ว เด็กๆ ถึงได้ปล่อยให้จันทร์จิรากับชนกพรปลีกตัวออกมาได้

ทั้งสองคนในตอนนี้นั่งพิงผนังห้องมองเด็กๆ ที่กำลังหลับลงไปที่ละคน

“น่ารักเน๊อะ” จันทร์จิราพูดขึ้นมาเมื่อเธอหันมามองชนกพรเต็มๆ ตา

“อืมน่ารักมากๆ เลย น่าสงสารด้วยต้องมาขาดแม่ขาดพ่อ”

“เปล่าเราหมายถึงนกต่างหากที่น่ารักจังเลยวันนี้”

“บ้าไปแล้วไอ้เจ้ามาพูดไรงี้เขินนะเว่ย” ชนกพรหน้าแดงขึ้นจนจันทร์จิราสังเกตเห็น

“ก็มันจริงนี่นกน่ารักจังเลยวันนี้” จันทร์จิรายังพูดย้ำประโยคเดิม

“คนเรามันสวยมาตั้งแต่เกิดก็งี้แหละช่วยไม่ได้” ชนกพรสะบัดหน้าไปมาจนปลายผมที่เธอรวบไว้ตีหน้าตัวเองไปมา

“หางนะเอาลงบ้างพี่มันสูงไปแล้ว”

ชนกพรจับผมของตัวเองที่รวบเป็นหางม้าไว้ทางด้านหลังแล้วก็หันไปมองจันทร์จิรา มันจะแปลกตรงไหนกันก็เธอทำผมทรงนี้ทุกวัน ทำไมวันนี้มันสูงไปมากว่าเดิมหรืออย่างไร

“ไม่ใช่หมายถึงผม เราหมายถึงนกยกหางตัวเองมากเกินไปแล้ว ไม่ได้เชียวนะ พอยอเข้าหน่อยทำกระดิกหางระริกระรี้ พันธุ์อะไรบางแก้วหลังอานเหรออวดใหญ่เชียว”

“ไอ้เจ้าบ้าทุเรศมาว่าฉันเป็นหมาเหรอ” ชนกพรลืมตัวตะหวาดแว๊ดใส่จันทร์จิราเสียงดัง จนทำให้เด็กๆ บางคนสะดุ้งตื่น

จันทร์จิรายกมือขึ้นปิดปากชนกพร และขู่ไปว่า

“ถ้าไม่หยุดโวยวายจะไม่ใช่มือปิดปากแล้วนะแต่จะใช้อย่างอื่นแทน”

ชนกพรรู้และเข้าใจว่าจันทร์จิราหมายถึงอะไร เพราะสิ่งที่จันทร์จิราบอกว่าจะใช้ปิดปากของเธอมันปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว และเท่านั้นเองชนกพรเงียบกริบ เพราะสิ่งที่จันทร์จิราขู่ไม่ใช่เพียงงคำขู่แต่จันทร์จิราได้ปฏิบัติไปแล้วจริงๆ

....................

ฉันภัทรทราภรณ์ ธิติมา กันตา รตีและจินตนา เราหกคนแยกมาอีกบ้าน เพราะเป็นเด็กๆ ที่โตกว่าบ้านไหนๆ อายุประมาณห้าขวบกว่าๆ ที่บ้านนี้เด็กๆ จะต้องทำกิจกรรมก่อนที่จะไปดื่มนมตอนบ่ายสอง

พวกเราพยายามทำตามที่ครูสอนเด็กๆ เพราะเราไม่เคยเห็นเด็กเยอะแยะมากมาก และไม่เคยสัมผัสกับเด็กๆ ที่ไม่ใช่ญาติอย่างใกล้ชิดแบบนี้ พวกเราก็เลยทำตัวไม่ถูก

เราแยกย้ายกันไปสอนเด็กๆ วาดรูป หัวข้อของเด็กๆ ก็คือ “บ้านในจินตนาการ” เด็กๆ ต่างลงมือวาดรูป บ้านของพวกเขา สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ เด็กๆ เหล่านี้ วาดรูปบ้านที่เหมือนกับบ้านที่พวกเด็กเหล่านี้อยู่มันคือตึกใหญ่ๆ มีสนามหญ้ากว้างๆ มีเสาธงอยู่ตรงกลาง ดูใหญ่โตแต่ขาดซึ่งความอบอุ่น

ฉันนั่งดูแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ เพราะเมื่อตอนที่พวกฉันเป็นเด็กๆ บ้านในจินตนาการของพวกฉันนั้นจะเป็นบ้านรูปทรงเหมือนๆ กับกระท่อม ที่มีภูเขาเป็นฉากหลัง มีแม่น้ำเป็นส่วนประกอบ มีนกบินอยู่บนท้องฟ้า มีดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาเป็นทางยังหลังคาบ้าน มีทุ่งนา มีสายรุ้ง ต้นไม้อยู่สองข้างของรูป ฯลฯ

แต่เด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้ใช้จินตนาการของเด็กๆ มันเหมือนถูกกักกันโดยรั้วใหญ่และบ้านหลังนี้ จินตนาการที่ถูกลบล้างด้วยความเหงาความอ้างว้าง

“พี่ค่ะบ้านของพวกพี่เป็นแบบไหน” เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งถามรตีที่กำลังช่วยเธอวาดรูป

“บ้านพี่เหรอเป็นร้านขายผ้า ข้างล่างมีกองผ้าเป็นพับๆ เยอะไปหมด ข้างบนก็เป็นห้องนอนของพวกพี่ บ้านพี่มีสามชั้น”

“เหรอแบบบ้านของพวกหนูเลยเน๊อะ บ้านของพวกหนูก็มีสองชั้น เรานอนกันข้างบนนี่ไงพี่ มีเตียงด้วย บ้านพี่มีเตียงหรือเปล่า” เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปที่รูปที่วาดของเธอและก็ยังคงถามรตีไปเรื่อยๆ

“มีสิค่ะ พวกพี่มีเตียงนอนไม่ได้นอนพื้นหรอก”

“ดีจังเลยแล้วเตียงของพี่เหม็นฉี่แบบเตียงของหนูอะเป่าค๊า”

“ทำไมล่ะทำไมต้องเหม็นด้วยก็พี่ไม่ได้ฉี่รดที่นอนนี่ค่ะ” รตีเลิกคิ้วดกดำของเธอถามเด็กหญิงที่ตั้งคำถามแปลกๆ กับเธอ

“ก็เตียงของหนูมันไกลห้องน้ำ พอกลางคืนหนูไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำ ก็เลยฉี่รดที่นอนบ่อยๆ ไง” เด็กหญิงอธิบายความเป็นมาของกลิ่นฉี่บนเตียงของเธอ

“แบบนี้นี่เองพี่ไม่กลัวค่ะพี่ก็เลยลุกไปเข้าห้องน้ำได้ จริงๆ แล้วไม่ต้องกลัวหรอกนะ มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยห้องน้ำตอนกลางคืน ลุกไปเข้าห้องน้ำได้นะจะได้ไม่ต้องนอนทับฉี่เหม็นจะตายไป”

“น่ากลัวจริงๆ นะค๊าพี่ เพื่อนๆ บอกว่าในนั้นมีผีด้วยเค้าเคยได้ยินกัน” เด็กน้อยจีบปากจีบคอทำท่าทางจริงจังเล่าไปเรื่อยๆ

“งั้นเอาคาถาปราบผีพี่ไปเอาไหม” จินตนาที่นั่งฟังอยู่พูดขึ้น

“คาถาอะไรค๊า” เด็กน้อยหันไปถาม

“คาถานี้มีอยู่ว่า “อัตตาหิอัตโนนาโถ” รับรองผีกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ แล้วแถมไม่ฉี่รดที่นอนด้วยคืนนี้ท่องไปเลยนะก่อนที่จะเดินจากเตียงไปห้องน้ำเชื่อพี่สิ ไม่มีผีแถมไม่มีฉี่ด้วย” จินตนาทำสีหน้าขึงขังตอบเด็กน้อยคนนั้นไป

“บ้าแล้วจินนั่นมันคาถาที่ไหนกันมันแปลว่าตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” รตีกัดฟันพูดขณะที่หันไปกระซิบกับจินตนา

“นั่นแหละคาถานี้รับรองเวลาเจอผีต่อให้แขวนหลวงพ่ออะไรก็ช่วยไม่ได้นอกจากหลวงพ่อโกยไง” จินตนายังคงนึกสนุกไม่เลิก แต่ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะตั้งหน้าตั้งตาท่องคำว่า “อัตตาหิอัตโนนาโถ” จริงๆ จังๆ

“บ้าจินเห็นไหมน้องเค้าท่องใหญ่แล้ว” รตีบ่นอีกรอบ

“คำก็บ้า สองคำก็บ้า อะยอมเป็นคนบ้า” จินตนาเอียงคอเอาศรีษะของตนเองพิงไหล่ของรตีต่อหน้าต่อตาเด็กๆ

“ฮ่าๆ เอาน่าถึงบ้ายังไงก็รัก อุ้ย” รตีดูเหมือนจะนึกขึ้นได้รีบหยุดปากของตัวเอง

“เมื่อกี้ตีว่าอะไรนะ”

“เปล่าบอกว่าเอาน่าถึงบ้าไงก็บ้าอยู่ดี” รตีแก้เก้อตัวเองที่พลั้งปากออกไปเรื่อยเปื่อย

“เหรอเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้ยินแบบนี่เลยเน๊อะ หรือหูเราไม่ดีไม่รู้” จินตนาทำท่าจะแคะหูของตัวเอง ก็โดนรตีเอามือมาตีมือเธอ แล้วบอกว่า

“สกปรก แคะๆ ล้วงๆ อะไรแถวนี้เดี๋ยวเด็กก็ทำตามหรอกจิน” สิ้นคำรตี จินตนาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้มีแค่เธอกับรตีสองคน ยังคงมีสายตาของเด็กๆ อีกนับสิบคนที่มองพวกเธอตาไม่กระพริบ เมื่อรตีเห็นดังนั้นก็รีบผลักศีรษะของจินตนาให้ออกไปจากหัวไหล่เธอ

“เด็กๆ วาดเสร็จหรือยังค่ะไหนๆ ให้พี่ๆ ดูหน่อยสิคะ โอ้วโห สวยจังเลย แล้วนี่จะลงสีอะไรเอ่ย ไหนๆ มาลงสีให้พี่ดูหน่อย” รตีรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันไปสนใจเด็กๆ แทน เพราะเธอกำลังจะหัวใจวายเนื่องจากสัมผัสที่จินตนากำลังโอบหลังเธอและลูบไล้ไปอย่างเบามือ จินตนาส่งสายตาที่ทำให้รตีกับเธอเท่านั้นที่รู้กันเพียงสองคน

.......................

จนได้เวลาที่เด็กๆ ต้องไปดื่มนม ฉันกับเพื่อนๆ เอานมกล่องที่พวกเราซื้อมาและแจกให้กับเด็กๆ ทุกคนโดยมีข้อแม้ว่าใครดื่มนมหมดก่อนให้เอากล่องนมมาแลกตุ๊กตาตัวน้อยจากพวกฉันไป

“ใครดื่มนมหมดกล่องมาเอาตุ๊กตาไปได้เลย ใครที่ดื่มหมดคนแรก มาเอาตัวใหญ่ที่สุดไปเลย” ภัทรทราภรณ์ตั้งเงื่อนไข ขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง

เด็กๆ ดูเหมือนจะพอใจเมื่อมีสิ่งล่อใจกับการดื่มนมให้หมดกล่อง ต่างคนต่างรีบเจาะนทกล่องนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเราแจกเสร็จ

“เดี๋ยวๆ อย่าพึ่งดูด พอพี่นับหนึ่งถึงสามค่อยเริ่ม เอานะพร้อมหรือยังค่ะ” ธิติมาส่งเสียงห้ามปรามเด็กที่ได้รับนมกล่องไปก่อน และกำลังจะยกหลอดขึ้นจ่อที่ปาก

“พร้อมค่า/ พร้อมค๊าบ” เด็ก ประสานเสียงตอบกันอย่างพร้อมเพรียง

“เอ๊า นับหนึ่ง นับสอง นับสาม เริ่มได้” สิ้นเสียงของธิติมา เด็กๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาดูดนมจากกล่องอย่างเอาเป็นเอาตาย จนได้ยินเสียง

“ซร๊วบๆๆๆ” ดังลั่นห้องไปหมด เสียงนั้นเป็นเสียงของหลอดที่ดูดนมในกล่องจนหมด และเด็กคนที่ดูดหมดกล่องคนแรกก็คือเจ้าตุ้ยนุ้ยแก้มอิ่ม ปุ๊กลุก ชูมือหราพร้อมกับกล่องนมที่ว่างเปล่า และเด็กผู้หญิงอีกคนที่รูปร่างเล็กๆ

“อ้าวน้องผู้ชายคนนั้นเลย ชูมือคนแรก ลุกมานี่เลยค่ะเอากล่องนมมาด้วย” กันตาเรียกเด็กชายปุ๊กลุกคนนั้นที่ได้อันดับหนึ่งให้ออกไปหน้าห้อง

เด็กชายปุ๊กลุกลุกขึ้นทันทีที่สื้นเสียงของกันตา และรีบวิ่งออกไปหน้าห้องอย่างรวดเร็ว ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่เด็กสาวตัวน้อยทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะเธอแพ้ไปเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น และตอนนี้ก็กำลังเริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมาที่ขอบตาของเธอ

เมื่อเด็กชายรับตุณกตาขนฟูตัวโตจากมือของจินตนาไปแล้ว ก็เดินไปที่โต๊ะของเด็กหญิงตัวน้อยยื่นตุ๊กตาตัวโตให้และเอ่ยขึ้นว่า

“อะเอาไปเถอะเราเป็นผู้ชายเราไม่เล่นตุ๊กตาถึงแม้ว่ามันจะสวยมากก็ตามเถอะ”

เด็กหญิงตัวน้อยปาดน้ำตาและรับตุ๊กตาจากมือของเด็กชายปุ๊กลุกคนนั้นด้วยท่าทางยินดี พวกเราทั้งหกคนยืนมองภาพนั้นแล้วบ่อน้ำตามันก็รื้อขึ้นมาทันทีเช่นกัน

แม้กระทั่งกับเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น แต่เด็กเหล่านี้ก็รู้จักที่จะเสียสละและให้ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีค่าให้กับเพื่อนๆ ที่เห็นว่าสิ่งนั้นมาค่ากว่า มิตรภาพในวัยเยาว์ของเด็กทั้งสองคนค่อยๆ เติบโตไปเรื่อยๆ และอาจจะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมจิตใจดวงน้อยๆ ที่เหี่ยวเฉาของเหล่าเด็กๆ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและอดทนต่อไป

“ปรบมือให้น้องอะไรนะครับ” กันตาที่เรียกสติได้ก่อนใคร รีบถามชื่อของเด็กชาย

“ไตรภพครับ” เด็กชายตอบเสียงดังฟังชัด

“เอ๊าเพื่อนๆ ปรบมือให้กับไตรภพหน่อย ฮี่โร่ของพวกเราวันนี้” สิ้นเสียงของกันตาเด็กๆ ทุกคนก็ปรบมือให้ไตรภพเด็กชายตัวปุ๊กลุก ที่ใหญ่ทั้งตัวและใหญ่ทั้งน้ำใจ จากนั้นพวกเราก็แจกตุ๊กตาตัวน้อยๆ ราคาไม่แพงมาก เล่นได้ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย กับเด็กทุกคน

กว่าเราจะออกมาจากบ้านเด็กก็เมื่อพวกเราช่วยคุณครูป้อนข้าวมื้อเย็นให้กับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว ถึงจะเหนื่อยแต่พวกเราก็มีความสุข ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตในเมืองหลวงที่ใครๆ ก็ปรารถนาที่จะเข้ามาแสวงโชค จะมีอีกหลายชีวิตที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างอ้างว้างโดยปราศจากความรัก

หากว่าคนเราพัฒนาเพียงแต่วัตถุไม่พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น จะมีเด็กๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในสังคมบ้านเราอีกสักเท่าไหร่ ฉันนึกถึงคำพูดของใครสักคนที่ว่า “รักสนุกทุกข์สงัด” ได้โดยไม่ต้องรื้อจากลิ้นชักสมองอันน้อยนิดของฉันออกมามากมาย

จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าปผลของการรักสนุกของตัวเองจะทำให้อีกหนึ่งชีวิตต้องลำบากมากเพียงไหน และเด็กๆ เหล่านี้ทำไมถึงต้องมารับผลกรรมที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ ต่อให้จะมีใครมาโอบอุ้มพวกเขามากเพียงใดสนใจมากเพียงไหนก็คงไม่มีใครอยากได้เท่าๆ กับอ้อมกอดของแม่ที่เด็กๆ ปรารถนา

ฉันเชื่อเช่นนั้นจริงๆ

..... จบบทที่ ๒๓ ....


เขียนในวันที่นึุกถึงน้องๆ ในบ้านเด็กที่เคยอุ้ม และกอดเขาเหล่านั้น ป่านนี้คงโตเป็นสาวกันแล้ว และคงย้ายออกจากบ้านเด็กไปอยู่ที่บ้านอื่นเพราะฉันไม่ได้ไปบ้านเด็กมาเกือบสี่ปีแล้ว โชคดีนะคะน้องๆ ฉันฟังเพลงนี้ครั้งใดก็อดจะร้องไห้ไม่ได้ทุกทีั ไม่รู้ทำไมเหมือนกันสิ

เพลง เรียงความเรื่องแม่ - เรียงความเรื่องแม่

น่า นา นา น๊า นา น๊า นา น่า นา น่า นา นา น๊า นา น๊า นา น่า นา
คุณครูสั่งให้เขียน เรียงความเรื่องแม่ฉัน บอกให้ส่งให้ทันวันพรุ่งนี้
มันยากจังทำไม่ไหว หนูแม่ไม่มี แล้วจะเขียนให้ดียังไง
*เป็นห่วงก็ไม่รู้ ดูแลก็ไม่คุ้น กอดแม่อุ่นจริงๆมันจริงไหม
พร้อมหน้ากันทานอาหาร เคยมีแค่ฝันไป ไม่มีเพลงกล่อมใดไม่มี
**ห่มผ้าไม่เคยอุ่นเลย กอดหมอนไม่เคยอุ่นใจ นอนหลับไปอย่างเดียวดายทุกที
ไม่มีอะไรจะเขียน ให้ครูได้อ่านพรุ่งนี้ บนหน้ากระดาษก็เลอะน้ำตา

*** ถ้าแม่ฟังอยู่ไม่ว่าแม่อยู่ไหน ไม่ว่าแม่เป็นใคร
ช่วยส่งรักกลับมาถ้าแม่ฟังอยู่คิดถึงหนูหน่อยหนา หนูขอสัญญาว่าหนูจะเป็นเด็กดี




Create Date : 23 มิถุนายน 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 21:22:40 น. 4 comments
Counter : 318 Pageviews.

 
คนแรกๆ เย้ๆ


โดย: ดินสอ IP: 119.42.71.20 วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:16:12:55 น.  

 
คนที่2 เย้ๆ เล่นด้วยๆ อิอิ
คุณรัณหณ์มาเชียร์สเปนด้วยกันมั้ยคะ
ใจดีๆ ก็ช่วยลงต่ออีกสักตอนละกัน


โดย: ไอ IP: 203.107.203.220 วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:18:28:54 น.  

 
โดนชิงตำแหน่งไปซะแล้ว ว้า

สวัสดีตอนเช้าค่ะ


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.164.81 วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:8:55:39 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณๆ

สบายดีปะค่ะ

คุณดินสอ เรียนเป็นอย่างไรบ้าง หนักไหม เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ

คุณไอ

เอามาลงให้อีกตอนแล้วค่ะ ติดได้เลย หากว่าไม่สนุก ตอนนี้ทีมโปรดของฉันตกรอบไปหมดแล้วค่ะ

คิดว่าจะเชียร์รัสเซีย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตกรอบเพราะสเปนของคุณหรือเปล่า

คุณต้นรัง

โดนแย่งที่หนึ่งอีกแล้วหรือค่ะ สู้ๆๆ ค่ะ เอาใจช่วย

โย่วๆๆๆๆๆๆๆ

รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะคุณๆ ส่วนฉันเองก็จะรักษาสัขภาพของตัวเองเช่นกัน

บั๊ยบาย


โดย: รันหณ์ วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:16:31:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.