It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : เพื่อนกันตลอดไป



เพื่อนกันตลอดไป

บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สดใส คณะของพวกเราเดินทางมาถึงชายป่าแห่งหนึ่ง นิสิตทุกคนต้องลงจากรถเพื่อเดินเท้าเข้าไปยังป่าที่แสนรกนั่นเป็นทางที่ต้องเดินเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย น้ำตกที่มีใครๆ บอกว่าสวยที่สุดในแถบนี้ ทีลอซูใครก็ไม่ทราบเคยแปลความให้ฉันฟังว่า ทีลอแปลว่าน้ำตก ซูแปลว่าใหญ่ นั่นคือเสียงเรียกเล่าขานนามของน้ำตกแห่งนั้นซึ่งพวกเราก็ไม่รู้ว่าแปลถูกกันรึเปล่า แต่ฉันก็เชื่อเขาและก็จำว่าที่ลอซูคือน้ำตกใหญ่มาโดยตลอด

“เอ้าพวกเธอลงรถได้แล้วสัมภาระ ของพวกเธอก็แบกติดตัวกันไปนะ เราต้องเดินเท้ากันอีกประมาณ 1 วัน เพื่อให้ไปถึงน้ำตก”

“โห...... จาน เดินไกลขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เสียงแอนเพื่อนในกลุ่มตะโกนถามมาจากด้านหลัง

“ใช่สิ เดินเพราะรถเราเข้าไปไม่ได้ เดินเท่านั้น ส่วนอาหารเดี๋ยวพวกลูกหาบจะช่วยกันขนไปให้พวกเธอเอง เร็วๆเข้าถ้าฝนตกจะเดินทางลำบากนะ” แล้วอาจารย์ก็ไล่พวกเราลงจากรถกะบะที่พาเรามาถึงชายป่าเพื่อให้เดินเข้าป่ากันอย่างเร่งรีบ

พวกเราเรียนในคณะที่ใครๆ ก็คิดว่า จบออกมาก็ไม่มีงานทำ เป็นวิชาที่ว่าด้วยการเรียนเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ พวกเราต้องออก TRIP เพื่อเก็บประสบการณ์กันในทุกเทอม และหลังจากออกแล้วเราก็ต้องกลับมาเขียนรายงานเกี่ยวกับวิชาที่ออกนั้นๆ ซึ่งตอนไปเราจะสนุกสนานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย แต่พอกลับก็ต้องมานั่นเทียนเขียนรายงานกันเป็นว่าเล่น

……………………..

ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน พวกเราต่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปน้ำตก ที่มีคนบอกว่าพึ่งพบและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในระยะเวลาไม่น่าเกินสี่ปี เราอยากออกมาเที่ยวเพื่อรับรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราต้องทำงานแล้วนั้นเราจะไม่มีโอกาสที่จะมาเที่ยวกันแบบนี้อีก

ในคณะของเราหมายถึงเอกของเรามีกันอยู่ 20 คน พอดิบพอดี เป็นหญิง 14 คน ชาย 6 คน ไม่ใช่ว่าจะมีจำนวนเท่านี้นะในตอนเรียนปีหนึ่ง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อเข้ามาแล้วไม่พอใจในคณะหรือสาขาวิชาที่เรียนก็ต้อง ENTRANCE ใหม่ ก็เหลือกันเท่าที่เรามีอยู่นั่นแหละ

พวกเราเข้าป่าในฤดูฝนเป็นช่วงกลางของเทอมแรกในปี 2 ประมาณเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีใครเข้าป่ากันเพราะน้ำฝนจะทำให้การเดินทางในป่าลำบากมากขึ้น ดินที่เคยแน่นก็จะเละ เดินติดรองเท้าจากเท้าที่เล็กๆ ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นตามลำดับและในที่สุดก็จะยกเท้าไม่ขึ้น แถมลื่นอีกต่างหาก

ทางเดินไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่ใครๆ คิด ต้องเดินผ่านเนินเขาหลายๆ ลูก เราสอบถามจากลูกหาบ ก็ได้ความว่าที่เราจะไปนั้นถ้าวัดเป็นระยะทางจนถึงจุดที่จะตั้งแคมป์ แห่งแรกก็ราวๆ 10 กิโลเมตร นั่นทำให้เราถึงกับท้อไม่อยากเดินกันอีกเลย แถมลูกหาบยังบอกว่า นี่เป็นทางที่ใกล้ที่สุดแล้วหากไปอีกทางจะไกลกว่านี้มาก แต่ในทางเดินไม่มีทากให้เป็นอุปสรรค์ในการเดินเราจึงโล่งใจกันเป็นอย่างมาก

“อีกไกลไม๊เนี่ย” ฉันบ่นออกมาเพราะรองเท้าผ้าใบที่ใส่มาเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วยขี้โคลนที่พอกพูนเต็มรองเท้าคู่โปรดของฉัน และนึกในใจว่า ดินพอกหางหมูก็คงแบบนี้นี่เอง

“เห็นพี่เค้าว่าอีกนิดเดียวเราก็จะถึงทางข้ามแม่น้ำแล้ว” อุ๊บอกฉัน ด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบไม่แต่ต่างกัน

“ใครวะ หาเรื่องมาดันอยากมากันไอ้พวกนี้ถ้ากลับไปได้เมื่อไหร่นะคอยดูชั้นจะเอาเรื่องให้หลาบจำกันจนวันตายทีเดียว” ฉันขู่อาฆาตเพื่อนๆ ที่เสนอที่จะมาออก TRIP นี้

“ก็ทุกคนแหละน่าไม่ต้องบ่น ก่อนจะมาก็อยากๆ พอมาแล้วก็มาบ่นๆ พวกแกนี่นะ.. อย่างนี้ทุกทีก็บอกแล้วว่าให้คิดให้ดีๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ” อุ๊ยังคงบ่นพวกเราอยู่ดี

“ช่าย... เราเห็นด้วย” จิ้งหรีด เพื่อนตัวเล็กที่สุดของฉันก็ร่วมกันเข้างอุ๊อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอก็ทำได้แค่เข้าข้างเท่านั้นเพราะเธอคงช่วยเหลืออะไรอุ๊ไม่ได้มากนักด้วยความที่เธอ ตัวเล็กเหลือเกินสูง 145 เซ็นติเมตรหนักเพียง 35 กิโลกรัม ส่วนฉันตัวโตกว่าเธอมากแค่ความสูงก็ชนะขาดแล้วเธอจึงไม่กล้าที่จะเป็นอริกับฉันโดยตรง

“จานเดินไปไกลแล้วหละ พวกแก รีบเดินหน่อยสิ” ฉันบอกกลุ่มของเราที่เดินรั้งท้ายให้เดินเร็วๆกว่านี้หน่อย

“ไม่หลงหรอกน่าแกก็กลัวไปได้รอยเท้าจานหย่าย...เป็นทางออกอย่างนั้น เดินตามรอยเท้าจานไปก็ถึงเองแหละ”

“นั่นนะดิ ไม่หลงหรอก แต่ถ้าเป็นไรไปใครจะมาดูพวกเราวะ รีบเดินเถอะ” เปียเพื่อนอีกคนออกความเห็น

พวกเราเดินกันไปจนถึงทางข้ามแม่น้ำ ซึ่งต้องลงแพที่พวกลูกหาบนำทางมาทำไว้คอยท่าเราอยู่แล้ว การข้ามแม่น้ำนั้นต้องเลือกทางที่มีกระแสน้ำไม่แรงมาก และแม่น้ำไม่กว้างมากถึงจะดี เพราะไม่อันตรายกับคณะที่เดินทางมาด้วย

พวกกลุ่มแรกที่ไปถึงได้ข้ามแม่น้ำกันไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนกลุ่มฉันรั้งท้ายจึงต้องไปเป็นกลุ่มสุดท้ายพร้อมๆ กับเสบียงและ สัมภารกเอ๊ย!! สัมภาระที่พวกเราขนมาเช่น เต็นท์ อาหาร กระเป๋า ไม่ใช่สิเป้ กล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ ฯลฯ การข้ามก็อย่างที่บอกต้องลงแพ แล้วก็ชักลากด้วยตัวเองเพราะผู้ที่นำทางจะทำเชือกขึงให้พวกเราดึงข้ามไปอีกฟากของแม่น้ำ ฉันให้เพื่อนๆลงไปก่อน แล้วจึงตามลงไป เพราะฉันอยากล้างเศษดินที่ติดรองเท้าออกสักหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้รองเท้าที่โตของฉันเล็กลงเท่าเดิม

กลุ่มของเพื่อนๆ ข้ามไปได้อย่างปลอดภัย ฉันกำลังจะข้ามและกระโดดลงแพ ฉันคิดรั้งท้ายเพราะมันคงทำให้ฉันหายเหนื่อยได้มากกว่าที่เป็นในขณะนี้ แล้วแพของฉันก็ข้ามมาถึงกลางแม่น้ำ ลืมบอกไปว่าแม่น้ำนั้นอยู่หางกันประมาณ 20 เมตรเห็นจะได้ กว่าจะข้ามมาถึงอีกฟากก็ใช้เวลาอย่างน้อย 10 – 15 นาที แต่มันช่างเป็นความโชคดีอะไรของฉันปานนั้น แพที่ผูกกันไว้อย่างแน่นหนาในตอนแรกบัดนี้ได้หลุดออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะในเที่ยวก่อนหน้าที่ฉันจะลง มีกิ่งไม่หรืออะไรสักอย่างไหลมาตามแม่น้ำ เป็นกิ่งที่ใหญ่มากมาชนแพในเที่ยวขากลับที่จะมารับกลุ่มพวกฉัน จึงทำให้แพที่ผูกไว้หลุด แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าจะอันตรายตรงไหนก็มันเห็นกันแค่เอื้อมนี่นาไม่ถึง 10 เมตร ก็จะถึงอีกฝั่งแล้ว

“ตูม” เสียงฉันตกน้ำ น้ำไหลแรงมากจนฉันตั้งตัวไม่ทัน ฉันไหลไปตามน้ำอีกหลายสิบเมตร จากที่คิดว่าอีกไม่ไกล มันกลับไกลมากจนฉันตั้งตัวไม่ได้ ด้วยเพราะกางเกงยีนส์ และรองเท้าที่ใส่ก็อาจเป็นได้ ฉันสำลักน้ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ใช่นะสิก็ฉันว่ายน้ำเป็นนี่นาแต่ทำไมถึงได้หมดท่าอย่างนี้ก็ไม่รู้

“เฮ้ยไอ้ติ่งตกน้ำ โว๊ย)))))))))))) พี่ช่วยไอ้ติ่งด้วยพี่” ฉันได้ยินเสียงของอุ๊ตะโกนบอกลูกหาบให้ช่วยฉัน

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวจะลอยตามน้ำไปขึ้นทางโน้น” ฉันตะโกนบอกเพราะพอตั้งตัวได้ก็รีบว่ายเข้าฝั่ง แต่กระแสน้ำมันเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่ฉันจะว่ายเข้าฝั่งได้ก็อยู่ไกลจากกลุ่มไปเกือบ 50 เมคร

เมื่อฉันขึ้นจากน้ำก็รู้ว่ารองเท้าฉันหายไปข้างนึง แล้วจะทำยังงัยหละที่นี้เดินป่าด้วยเท้าเปล่าข้างนึงเหรอ “เฮ้อเรา หำไมมันซวยอย่างนี้วะ ก่อนออกมาก็ว่าไหว้พระออกมาดีแล้วนี่หว่า” ฉันบ่นออกมาด้วยอาการที่บ่งบอกว่าเซ็งสุดขีด

ฉันเห็นอุ๊วิ่งมาถึงที่ๆฉันยืนอยู่แล้วก็กระโดดกอดฉัน จนฉันเกือบจะล้ม

“ไม่เป็นไรใช่ไม๊ ติ่ง ตกใจแทบแย่เนะ” อุ๊ ถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างมาก

“ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่จะเป็นก็ตอนแกกระโดดกอดเรานั่นแหละ เจ็บนะโว๊ยไอ้อุ๊ โห่ไอ้เพื่อนบ้า” ฉันยังไม่วายปากเสียว่าอุ๊ไปอีกทั้งๆ ที่รู้ว่าเพื่อนเป็นห่วงฉันมาก เพราะอะไรนะเหรอก็เพราะแววตาที่อุ๊มองฉันมันเป็นแววตาที่ดีใจที่ฉันปลอดภัย เหมือนแววตาที่เธอสอบได้เกรด A ทุกวิชาในเทอมที่ผ่านมาอย่างนั้นแหละ

“ยังจะมาพูดดีอีกรู้ไม๊ว่าเราเป็นห่วงแกแค่ไหน ก็บอกว่าให้จับเชือกไว้ก็ไม่จับ เห็นไม๊ตกน้ำเลย เป็นงัยหละสนุกไม๊ลงเล่นน้ำ ฮ่า ๆ ๆ ….อ้าว รองเท้าแกไปไหนหละติ่ง” เธอมองที่เท้าของฉันแล้วก็หยุดหัวเราะไปซะดื้อๆ อย่างนั้น

“ไปไหนก็ไม่รู้มันคงไม่อยากอยู่กับเราแล้วมั๊ง ไปตามน้ำซะแล้ว เออแกมีรองเท้าอีกคู่รึเปล่า” ฉันถามเพราะคิดว่าอุ๊ที่รอยครอบจะต้องพกรองเท้าไว้อีกคู่เสมอด้วยเพราะเธอเคยบอกว่า ต้องเตรียมตัวไว้ อีกอย่างตอนกลางคืนจะได้ไม่ต้องใส่รองเท้าผ้าใบใส่แตะสบายกว่า

“มีสิแต่แกจะใส่เดินป่าได้เหรอ มันจะลื่นนะ”

“ก็ดีกว่าใส่รองเท้าข้างเดียวเดินป่าแหละ เท้าเราไม่ได้ด้านนี่หว่าเกิดเหยียบกิ่งไม่เป็นแผลขึ้นมาจะว่างัย”

“โถ่ เป็นผู้ดีก็ไม่บอก ต้องตะแคงเดิน ฮ่าๆๆๆ เอ้า เดี๋ยวไปเอารองเท้าในเป้เราไป ไป”

แล้วเราก็เดินกลับไปยังจุดหมายด้านที่เพื่อนๆ ข้ามฟากถึงกันแล้วเพราะฉันเป็นคนสุดท้ายที่ข้ามแพมา เพื่อนๆ ต่างมองฉันด้วยแววตาที่ตลกขบขัน เพราะตัวที่เปียกปอน(ดีนะที่ฉันใส่เสื้อยืดไว้ข้างในอีกตัว) และรองเท้าข้างเดียวที่ใส่อยู่ก็มีน้ำขังอยู่ข้างในเต็มไปหมด เดินแล้วดัง ฟืบ ฟืบ คล้ายๆ รองเท้าเด็กที่เดินแล้วมีเสียเพื่อล่อให้เด็กที่สวมรองเท้านั้นเดินยังงัยยังงั้นเลย ฉันถอดเสื้อตัวนอกออกและบิดให้เสื้อแห้งจะได้ไม่หนาวมากนัก แต่ทุกกริยาที่ฉันทำหาได้รอดพ้นจากสายตาของอุ๊เลยแม่แต่วินาทีเดียว

………………………….

คณะของเราก็เลยต้องพักเพื่อทานข้าวเที่ยงกันที่ริมแม่น้ำนั้น ไปโดยปริยายเพราะว่ามันเลยเที่ยงมานานแล้ว พวกพี่ๆ ลูกหาบทำกับข้าวได้อร่อยมาก ทั้งๆ ที่เป็นไข่เจียวพวกเราก็ทานกันอย่างเอร็ดอร่อยคงเป็นเพราะพวกเราต้องตื่นเช้าและที่ทานกันในตอนเช้าก็คือขนมปัง ปาท่องโก๋กับกาแฟเท่านั้นเพราะพวกเรากลัวจุกตอนเดินเท้า จึงทำให้พวกเราหิวโซไปตามๆกัน

“อร่อยไม๊ ติ่ง แกไม่ถอดเสื้อออกพึ่งลมก่อนละจะได้ไม่เป็นหวัด เปลี่ยนเสื้อซะหน่อยก็ดีนะ” อุ๊แนะนำฉัน

“ก็ดีเหมือนกัน ชักจะหนาวๆแล้วสิตอนนี้ แกเอาเสื้อชั้นไปผึ่งให้หน่อยนะ เดี๋ยวจะเดินไปทางโน้นเปลี่ยนเสื้อซะหน่อย” แล้วฉันก็เดินไปหยิบเป้เพื่อเอาเสื้อตัวใหม่ออกมาเปลี่ยน เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวเพราะเริ่มรู้สึกหนาวๆเหมือนที่อุ๊บอกฉันเหมือนกัน และตบท้ายด้วยพารา 2 เม็ด กินกันไว้ก่อนที่ไข้จะขึ้น

“กินพารากันไว้ด้วยนะ” เสียงอุ๊ตะโกนบอกฉัน

“เออ กินแล้วไม่ต้องมาบอกหรอน่ารู้อยู่” ฉันตะโกนกลับไป

เมื่อเราเสร็จภาระกิจในการทานอาหารกลางวันแล้วเราก็เดินต่อไปยังจุดหมายที่จะตั้งแคมป์ในคืนวันนั้น ฉันเลือกที่จะนอนกับอุ๊และเพื่อนๆอีก 2 คน คือจิ้งหรีดและแอน เพราะสองคนนี้ตัวเล็ก ส่วนฉันและอุ๊ตัวโตพอๆ กัน เรามีเต็นท์มาจำนวนจำกัดจึงต้องนอนกัน เต็นท์ละ 4 – 5 คน ในคืนนั้นฉันเป็นไข้ มีอุ๊นี่แหละที่คอยช่วยเช็ดตัวให้ฉัน และเรียกฉันกินยาทุกๆ 4 ชั่วโมง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอุ๊รู้ได้ยังงัยว่าถึงเวลาที่ฉันต้องกินยาแล้ว

“ติ่ง กินยานะจะได้หาย” เสียงอุ๊กระซิบที่ข้างหูฉัน และประคองศรีษะฉันให้ลุกขึ้นมากินยาอย่างว่าง่าย แล้วฉันก็หลับไป แต่ก่อนจะหลับฉันรู้สึกว่ามีอ้อมกอดของใครบางคนกอดฉันไว้จากด้านหลังและฉันก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกว่าทำไม

............................................................

เมื่อถึงตอนเช้า ฉันยังคงรู้สึกเพลียๆ จากพิษไข้ที่เป็นเมื่อคืนนี้ แต่ฉันก็ยังคงต้องเดินไปเพื่อให้ถึง น้ำตกที่พวกเราใฝ่ฝันถึงนักหนา โดยมีอุ๊เดินประคองฉันไปตลอดทาง ส่วนเป้ของเราสองคนอุ๊บอกว่าฝากไว้ที่เต็นท์ จะดีกว่า เพราะพวกเราก็ต้องเดินกลับมาที่เต้นในวันถัดไปอยู่แล้ว เราก็เลยไม่ได้นำเป้ไปด้วย ฉันอยู่ในสภาพที่น่าหัวเราะเป็นอย่างมาก ก็ฉันใส่รองเท้าผ้าใบข้างนึง ส่วนอีกข้างฉันใส่รองเท้าแตะของอุ๊ด้วยเหตุผลที่ว่าผ้าใบเดินแล้วไม่ติดลงไปในดิน ก็เพราะรองเท้าแตะเมื่อเดินจมโคลนจะติดหนึบเหมือนกับมีใครเอากาวอย่างดีมาติดไว้อย่างนั้นแหละมันดึงเท้าไม่ขึ้นเอาเสียเลย

ถึงน้ำตกในเวลาเที่ยง เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ก็มันช่างสวยอะไรเช่นนี้ น้ำตกที่ไหลลงมาแรงมากฟองแตกกระจาย เป็นฝอยละออง ยืนอยู่ห่างตั้งเยอะก็ยังได้ไอละอองของน้ำที่กระเด็นเข้ามากระทบตัว พวกเราตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูป กันเสียยกใหญ่ อาจารย์ของเราก็อธิบายด้วยว่าน้ำตกเกิดได้เพราะอะไร จาการดันตัวและยุบตัวของเปลือกโลกที่ไม่เท่ากัน อะไรทำนอนนั้นฉันไม่ได้สนใจที่จะจำ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ขอซีร็อก อุ๊ก็ได้เพราะเธอเป็นเจ้าแม่ต้นฉบับอยู่แล้ว แล้วฉันก็ไปยืนตรงหน้าผาที่น้ำตกไหลลงไป เพื่อดูให้ชัดๆ

“เฮ้ยทำอะไรนะ เดี๋ยวก็ตกไปหรอก” ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากด้านหลัง

ฉันหันไปมองเสียงที่ได้ยินเพราะเสียงน้ำตกดังมากจนได้ยินไม่ถนัด

“ว่าอะไรนะ”

“บอกว่าเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอกมันอันตรายเดินเข้าว่า” ว่าแล้วอุ๊ ก็ดึงมือฉันให้เดินออกมาจากหน้าผานั้นเพราะเธอบอกว่าเธอกลัวฉันหล่นลงไป

ฉันทำตามเธออย่างว่าง่าย ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันตลอดระยะเวลาปีกว่าๆ ที่คบกัน ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่คณะนี้ ฉันกับอุ๊เหมือนลิ้นกับฟันกัดกันเป็นว่าเล่น แต่ในใจลึกๆ ของเรา กลับคิดว่าเราสนิทกันมากกว่าคำว่าเพื่อน จึงไม่ค่อยถือสาอะไรมากกับคำพูดที่แสนจะเจ็บแสบเวลาเราเถียงกัน และฉันก็ต้องเป็นฝ่ายง้ออุ๊มาตลอดเพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะเธอเป็นต้นฉบับของทุกวิชานะสิ อุ๊จดได้ละเอียดทุกคำพูดของอาจารย์ และแถมเขียนหนังสือสวยอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นใครเขียนได้สวยเท่าเธอ ซึ่งข้อนี้เพื่อนๆ จะรู้ดีกันทั้งเอก แถมยังพ่วงดีกรี เกรด A ทุกวิชาที่เรียนเหมือนอุ๊เข้าไปนั่งในใจของอาจารย์อย่างนั้นแหละว่าจะออกข้อสอบอะไร ส่วนฉันจะเรียนดีก็แค่วิชาคำนวณเท่านั้น นอกนั้นไม่ได้เรื่อง

เราเดินออกมาแล้วก็มานั่งพักที่ข้างๆที่ทำการอุทยานฯ รอเพื่อนๆ ที่ยังถ่ายรูปไม่เสร็จให้เดินลงมาสมทบกันที่นั่น อุ๊เอื้อมมือมาเตะหน้าผากฉัน

“ไม่มีไข้แล้วนี่ ดีขึ้นแล้วใช่ไม๊” อุ๊เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“อืม ดีขึ้นมากแล้วหละ ขอบใจมากนะ” ฉันจับมืออุ๊ที่แตะหน้าผากฉันมาไว้ที่อกของฉันแล้วกล่าวขอบคุณเธอหน้าอุ๊แดงเป็นลูกตำลึงทีเดียว

“เหนื่อยไม๊ เมื่อคืนคงไม่ค่อยได้นอนทั้งคืนสินะ” ฉันถามอุ๊เพราะเห็นหน้าตาเธอดูเซียวๆ เหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืน

“ไม่หรอก สนุกดีออก ท่าทางเพื่อนๆ จะมากันแล้วเดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็คงต้องเดินกลับแล้วหละนะ”

“อืม คืนนี้คงต้องค้างในป่าอีกคืน พรุ่งนี้ถึงเดินกลับกัน”

“ใช่ แล้วก็นอนแต่หัวค่ำหละ จะได้มีแรง” อุ๊เห็นด้วยกับฉัน

“ได้เราจะนอนแต่หัวค่ำ เราสัญญา” ฉันบอกอุ๊เพราะรู้สึกเพลียจริงๆ

……………………..

เราเดินกลับกันระหว่างทางอาจารย์ชี้ให้เห็นว่าทางที่เราเดินเป็นทางที่ช้างจะออกมาหากินในเวลากลางคืน เพราะฉะนั้นห้ามพวกเราส่งเสียงดังอาจจะทำให้ช้างป่าในบริเวณนั้นได้ยินเสียเราแล้วเดินมาไล่เราออกจากทางของพวกมันได้

พวกเราจึงเดินกันเงียบๆ โดยที่ฉันกับอุ๊เดินจูงมือกันมาตลอดทางไม่รู้ทำไมเหมือนกันต้องเดินจูงมือกันอย่างนี้แต่ฉันรู้สึกดีที่ได้จับมือของอุ๊ไว้

ระหว่างทางลงเขากลุ่มพี่ๆ ลูกหาบที่นำทางได้ตัดไม้ไผ่ให้เราคนละท่อนเพื่อใช้พยุงเดินเนื่องจากขากลับฝนตกหนักทางลื่นมาก พี่ๆ ให้พวกเราเดินกลับอย่างระมัดระวัง แล้วรองเท้าของฉันก็เป็นเหตุ มันลื่นเอาซะจริงๆ เดินไปลื่นไปจนต้องปล่อยให้อุ๊เดินคนเดียว อุ๊เดินนำฉันไปข้างหน้า โดยที่ฉันเก็บภาพนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ และดอกข่าที่ขึ้นอยู่ตามทางเดิน

“โอ๊ย………” เสียอุ๊ร้อง

ภาพที่ฉันเห็นแทบทำให้ฉันหัวใจวาย อุ๊เดินล้มและไหลลงไปตามทางเกือบจะหล่นลงเขาอยู่แล้ว

“อุ๊ ๆ เอาไม้ยันไว้นะ อย่าหล่นลงไปหละ “ ฉันตะโกนบอกอุ๊ แล้วก็วิ่งไม่คิดชีวิตไปช่วยเธอ

อุ๊อยู่ในสภาพที่ต้องเอาไม้ไผ่ที่ตัดไว้มาค้ำตัวเองไม่ให้หลนลงไป ฉัน ปีนลงไปเพื่อดึงตัวเธอขึ้นมาอย่างทุลักทุเล โดยมีพี่ลูกหาบช่วยกันอีก 2 คน

“เป็นงัยบ้างเจ็บไม๊” ฉันถามอุ๊ด้วยความเป็นห่วงอุ๊อย่างมาก

“สงสัยข้อเท้าแพลงนะ เราเจ็บจังเลย” อุ๊บอกและมีสีหน้าเจ็บปวดมาก

“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเรานวดให้” ฉันนวดข้อเท้าอุ๊ แต่ก็ทำให้อุ๊เจ็บมากขึ้น

“สงสัยแกต้องขี่หลังเราไปแล้วหละอุ๊ แกคงเดินไม่ไหวแล้ว พี่คะ อีกไกลไม๊ค่ะกว่าจะถึงที่พัก” ฉันบอกอุ๊แล้วก็ หันไปถามพี่ลูกหาบ

“ไม่ไกลหรอดน้องอีกอึดใจแม้วก็ถึง” พี่ลูกหาบตอบ

“โห่ อึดใจแม้วกว่าจะถึงก็ค่ำพอดี เดินไหวไม๊อุ๊ ขี่หลังเรานะเพื่อน” แล้วฉันก็เอาอุ๊ขี่หลังกลับที่พัก กว่าจะถึงเล่นเอาเข่าอ่อนเหมือนกัน แต่ดูอุ๊จะมีความสุขมากที่ได้กลับที่พักโดยไม่ต้องเดิน แล้วก็ส่งเสียงบอกฉันตลอดทางที่เราเดินว่าต้องเดินตรงนั้นตรงนี้ เป็นที่สนุกสนานของอุ๊ แต่ฉันเดินจนเหงื่อตก และเกือบหมดแรง (ก็ฉันไม่ใช้ม้าไม่ใช่ลานี่นาเหนื่อยเป็นเน้อ)

……………………………

เมื่อถึงทีพัก ฉันให้อุ๊ไปอาบน้ำที่ลำธาร โดยที่ฉันยืนเฝ้าอยู่ ดูอุ๊จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฉันแอบดูอุ๊อาบน้ำเวลาที่อุ๊อาบน้ำช่างสวยอะไรอย่างนี้ ด้วยที่อุ๊เป็นคนมีเชื้อสายจีน ผิวของอุ๊จึงขาวกว่าผิวของฉัน ดูแล้วเหมือนนางไม้มากกว่าที่จะเป็นเพื่อนของฉัน

“นี่ติ่ง แกจะมองหาอะไรฮ้า หันไป เดี๋ยวเถอะเดี๋ยวเจ็บ” เสียงอุ๊ตะโกนดังลั่น

“จะบ้าเหรอไอ้อุ๊ ชั้นยืนดูแกกลัวว่าจะโดนใครมางาบต่างหากละไอ้บ้าเอ้ย”

“ไม่ต้องมาดูชั้นเลยแก หันไป เอะ!!!!! บอกว่าให้หันไปยังอีก” แล้วอุ๊ก็วักน้ำ ใส่ฉันเสียจนเปียกไปหมด

“โห่ไอ้เพื่อนบ้าหวังดีแล้วยังจะมาแกล้งกันอีก เชิญอาบไปคนเดียวก็แล้วกันนะ ระ….วัง ….ด้วย….ละ….กัน….. ข้าง……หลัง……..นะ………..5555 ไปหละ” ฉันแกล้งอุ๊ด้วยเสียงที่ยานครางเพื่อหลอกให้เธอกลัวเพราะนี่ก็เกือบสองทุ่มแล้ว

“ไอ้บ้า เอาไฟกลับมาด้วย ไอ้ติ่งบ้า” อุ๊ร้องตามเสียงปนสะอื้น

ฉันหันกลับไป เห็นอุ๊ยืนน้ำตาร่วงอยู่เพราะความกลัว ฉันลงไปในน้ำ เพราะรู้ว่าอุ๊เจ็บข้อเท้าอยู่ แล้วก็ดึงเธอเข้ามากอดปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะอุ๊ เราอยู่นี่” ยิ่งฉันปลอบก็ยิ่งทำให้อุ๊น้าตาไหลออกมากว่าเดิม

“จำ…ไว้ …เลยนะ …หึ ฮือ…ไอ้ติ่ง” อุ๊ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

ฉันไม่รู้จะปลอบอุ๊ยังงัยก็เลยจูบที่ปากของอุ๊เพื่อที่จะปืดปากอุ๊ไม่ให้ร้องไห้และว่าฉันอีก สักพักเราก็ล้มลงไปในลำธารแห่งนั้นพร้อมกัน สายน้ำแห่งนี้ทำให้ฉันและอุ๊รู้ใจตัวเองมากขึ้นว่า เราเป็นมากกว่าเพื่อนที่สนิทกันก็เพราะเรารักกันนะสิ เราจูบกันจนได้ยินเสียงเรียกจากแอนและกลุ่มเพื่อนๆ

“ไอ้ติ่ง ไอ้อุ๊ อยู่ไหนวะ” เสียงดังเข้ามาใก้ลทุกทีๆ

ฉันกับอุ๊ยังคงอยู่ในน้ำ เราสัมผัสได้ถึงความรักที่เรามีต่อกัน ความห่วงใย โหยหาที่ต้องการซึ่งกันและกัน อุ๊เป็นคนที่ผลักตัวฉันออก

“ปล่อยเราเถอะติ่ง แอนมาตามแล้ว” อุ๊พูดพร้อมกับกันตัวของฉันออกให้ห่างจากเธอ

“ไม่อยากปล่อยเลยอะ ขออีกนิดนะ” ว่าแล้วฉันก็จูบอุ๊อีกครั้ง เนิ่นนานและหวานกว่าครั้งแรกจนฉันจะอดใจไว้ไม่ไหวแล้วโอ๊ว…..อุ๊จ๋า ทำไมเธอถึงได้กระชากใจฉันได้ถึงเพียงนี้นะ

“เฮ้ย ทำอะไรกันวะ ไอ้อุ๊ ไอ้ติ่ง” เสียงแอนดังมาจากตลิ่ง

อุ๊กับฉันต้องปล่อยออกจากอ้อมแขนของกันและกันโดยปริยาย

“เออ จะกลับแล้วแกไม่ต้องรอเดี๋ยวเราสองคนกลับเองได้ไปก่อนเถอะ” ฉันตะโกนบอกแอน

“จานให้มาเรียกมีเรื่องจะคุยกับพวกเรานะ เร็วๆ เข้า จีบกันอยู่ได้ไอ้คู่นี้ พอกัดกันก็นะ อย่างกับหมา พอดีกัน น้ำตาลยังหวานไม่เท่า เออ ชั้นไปก่อนละกันเสร็จแล้วตามกันไปหละเร็วๆด้วย” แล้วแอนก็เดินจากไป

ฉันพยุงอุ๊ขึ้นจากน้ำแล้วให้อุ๊ขี่หลังฉันกลับที่พักเหมือนตอนขามา แต่คราวนี้ฉันรู้สึกว่าทั้งฉันและอุ๊อยากอยู่กันใกล้ชิดมากกว่านี้

เรากลับถึงที่พักและเปลี่ยนเสื้อผ้ากันในเต็นท์ ฉันให้อุ๊ปิดไฟเพราะกลัวคนข้างนอกจะเห็นว่าเรากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่มันดูไม่ไดี ขณะเดียวกันฉันก็แกล้งอุ๊ไปด้วย เพราะความมืดทำให้ฉันกล้าที่จะแตะเนื้อต้องตัวเธอมากขึ้น และอ้างว่ามองไม่เห็น มันเป็นมุขที่ฉันพึ่งคิดขึ้นได้เพื่อที่จะได้จับเนื้อต้องตัวเธอมากขึ้นก็เท่านั้น

……………….

อาจารย์ได้ให้พวกเรามานั่งรอบกองไฟเพื่อที่จะสอนเกี่ยวกับทฤษฎีบางอย่างของการเกิดป่า แต่ฉันกับอุ๊กลับไม่ได้ฟังอาจารย์พูดเลยแม้แต่น้อยนั่งมองหน้ากัน แล้วผลัดกันหน้าแดง จนแอนถามว่า

“เฮ้ยอุ๊ แกไม่จดเหรอวะ”

“ไม่หละ เดี๋ยวไปค้นที่ห้องสมุดเอา สมุดจดชั้นเปียกน้ำหมดจดไม่ได้” อุ๊บอกแอนอย่างนั้น แต่ฉันรู้ดีว่าทำไมอุ๊ไม่จด

“เออดีนะ แกมันเก่งนี่หว่า ไม่จดแกก็ตอบได้แล้วเอามาซีร๊อกบ้างนะเพื่อน”

……………………

เมื่ออาจารย์สอนเสร็จแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปนอน ดูนาฬิกาก็เกือบ 4 ทุ่ม ไม่น่าเชื่อว่าวันเวลาจะผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้

ฉันให้อุ๊นอนตรงกลางส่วนฉันนอนปิดประตูเต็นท์ไว้เพราะหากเกิดอะไรขึ้นฉันจะได้รับไว้ก่อนอย่างน้อยฉันก็ตัวโตที่สุดในเต็นท์นี้ พวกเราหลับกันแล้วเพราะเสียงคุยเริ่มเงียบ สักพักฉันได้ยินเสียงอุ๊พูดว่า

“หลับรึยัง” เป็นเสียงเหมือนกระซิบ

“ยัง นอนไม่หลับ” ฉันบอกอุ๊

“แกคิดยังงัยกับเรื่องเมื่อหัวค่ำ” อุ๊ถามฉันอีกครั้ง

“ไม่คิดงัย คิดจริงจัง เป็นแฟนเราไม๊” ฉันตอบออกมาจากใจจริง

“ไอ้บ้า แกกับชั้นนี่นะ” อุ๊ตกใจกับคำตอบของฉัน

“จุ๊ ๆ ๆ เบาๆ สิ เสียงดังไปได้” ฉันบ่น

“เฮ้ยพวกแกจะจีบกันก็ไว้พรุ่งนี้ได้ไม๊เพื่อนจะนอนโว๊ย” เสียงแอนงัวเงียพูดขึ้นมา

แล้วฉันกับอุ๊ก็หัวเราะพร้อมกันและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยก่อนหลับมีอุ๊อยู่ในอ้อมกอดของฉันนั่นเอง

………….

เมื่อเรากลับถึงมหาลัยในอีก 2 วันถัดมา ฉันอาสาไปส่งอุ๊ที่บ้านเพราะไม่ต้องการให้อุ๊ขึ้นแท๊กซี่กลับบ้านเองเพราะความเป็นห่วง บ้านของเธอกับฉันอยู่คนละเส้นทางกันแต่ฉันก็เต็มใจที่จะไปส่งอุ๊ ก็คนมันรักไปแล้วนี่นาจะทำงัยได้เมื่อถึงบ้านเธอ ฉันขโมยหอมแก้มเธอ 2 ที และก็โดนตีและทุบที่แขนทุกครั้ง

“Good night นะอุ๊ ฝันถึงเราบ้างหละ” ฉันบอก

“เรื่องอะไรต้องฝันถึงแกด้วยวะ ฝันชั้นคงฝันร้ายน่าดู ไปเถอะขับรถดีๆ นะอีกไกลกว่าจะถึงบ้าน ถึงแล้วโทรบอกเราด้วยหละเป็นห่วง” อุ๊สั่งฉัน

“เออ แล้วจะโทรมาบอกถ้าไม่ลืม” ฉันบอกแล้วก็ขับรถออกไปจากหน้าบ้านอุ๊

เมื่อถึงบ้านฉันก็โทรบอกอุ๊ว่าถึงแล้วและฉันก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

…………………….

ความสัมพันธ์ของเราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันนั้น จนฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อเราเรียนฉันก็ต้องให้เธอติวให้ฉันทุกวิชา จนเรียนจบ อุ๊ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ อุ๊บอกว่าให้ฉันฟังเพลงของนรินทร์ทร เพื่อนไม่ทิ้งกัน

“เพื่อนไม่เคยไม่เคยทิ้งกัน ไม่ว่าความฝันนั้นจะไกลสักเท่าไร จะหกล้มซมซานเมื่อใด เพื่อนคอยปลอบใจ”

ฉันจึงได้รู้ว่าเราเป็นได้เพียงเพื่อนกัน อุ๊ไปเรียน 4 ปี กลับมาพร้อมกับดีกรีดอกเตอร์ ส่วนฉันทำได้อย่างมากก็ ป.โท เพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เมื่ออุ๊กลับมาเธอมีคนรู้ใจของเธอกลับมาด้วยและพร้อมที่จะแต่งงานกันเสมอเมื่ออุ๊ตอบตกลง

อุ๊บอกฉันว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นไปไม่ได้ เราเป็นได้แค่เพียงเพื่อนกันเท่านั้น นั่นทำให้ฉันอึ้ง ไปพักใหญ่ แต่แล้วในที่สุด ฉันก็เข้าใจว่าทำไมอุ๊ต้องแต่งงาน ก็เพราะอุ๊เป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เป็นหลานคนเดียวในตระกูล ถึงแม้ว่าเราจะรักกันมากเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องได้ครองชีวิตร่วมกัน

ทุกวันนี้ฉันและอุ๊ก็ยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ฉันเฝ้าดูการเติบโตของอุ๊ และความก้าวหน้าของอุ๊อย่างยินดีและเป็นสุขที่เห็นอุ๊มีความสุขกับครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักของอุ๊ อุ๊มีลูกที่น่ารักสองคนเป็นฝาแฝด หญิงคนชายคน ฉันรับที่จะเป็นแม่ทูนหัวของลูกอุ๊ เพราะฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีโอกาสที่จะมีลูกเป็นของตัวเอง

…………………..

อุ๊กับฉันได้มีโอกาสที่จะกลับไปที่น้ำตกทีลอซูอีกครั้งหลังจากที่เคยไปมาแล้วเมื่อ 12 ปีก่อน แต่คราวนี้การเดินทางสะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก เข้าไปได้ด้วยรถโฟว์วิล ไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อน เพราะเราไปหน้าแล้งคือเดือนเมษายน

“อุ๊ ยังจำได้ไม๊ที่เราขึ้นไปยืนบนนั้นแล้วแกเรียกเราไว้ว่าอย่ายืนอันตรายนะ” ฮันเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งชี้มือไปยังลานกว้างบนน้ำตกสูงแห่งนี้

“จำได้สิ ตอนนั้น ชั้นยังคิดว่าแกคิดจะโดดซะอีก” อุ๊ตอบฉัน

“ไอ้บ้า เอ้ย ใครจะบ้าโดด ขืนโดดก็เจ็บแย่สิชั้นแค่อยากดูเท่านั้นว่ามองลงไปจะเหมือนน้ำตกเหวนรกที่เขาใหญ่รึเปล่าก็เท่านั้น” ฉันโวยวายกับความคิดของอุ๊ นึกได้นะเพื่อน

“ใครจะรู้หละว่าแกจะดูเฉยๆ ชั้นเป็นห่วงแกนะ และรักแกมากว่าที่เคยรักเพื่อนคนไหนๆ ในโลกนี้มาก่อน” อุ๊บอกฉันด้วยสายตาที่เศร้า

“ชั้นรู้อุ๊ ว่าแกรักชั้น แต่ความจริงบนโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง รึแกว่างัย”

“ใช่ เรากำหนดไม่ได้ เพราะเราเกิดมาต้องมีสังคม ชั้นดีใจนะที่แกยังเป็นเพื่อนชั้นนเหมือนเดิม ชั้นรักแกไอ้เพื่อนยาก” อุ๊หันมาสบตาฉัน

“ชั้นก็รักแกเหมือนกัน” ฉันตอบอุ๊ไปด้วยหัวใจที่ชื่นมื่น

เราสองคนนั่งมองตากันและถ่ายทอดความรู้สึกให้แก่กันและกันจนได้เวลาเราจึงเดินทางกลับ เพื่อที่จะมาเผชิญกับโลกของความเป็นจริงต่อไป

…….จบ…..


ฉันเขียนเรื่องนี้เพราะฉันคิดเสมอว่า ความเป็นเพื่อนไม่ได้ก่อเกิดเพียงแค่วันเดียว
และความเป็นเพื่อนก็ยังสะสมพอกพูนเหมือนดินที่พอกรองเท้าเวลาเดินป่า
เพื่อนคนนั้นจะยังคิดถึงฉันเสมอ แม้ว่าเราจะห่างไกลกัน
ความห่างไกลไม่ได้เป็นอุปสรรคของความเป็นเพื่อน
ถึงแม้เพื่อนจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่เมื่อนึกถึงครั้งใด

ใจก็เป็นสุขเสมอ........................



เพื่อน - ปวีณา ชารีฟสกุล
เมื่อตะวันจะลับฟ้า
พรุ่งนี้ใกล้จะมาถึง
เราคงต้องจากกันวันหนึ่ง วันซึ่งมีทางของตัว

แม้ว่าวันจะผันผ่านไป
ไม่เลือนหายในความรู้สึก
ยิ่งนานวันผูกพันล้ำลึก แนบผนึกใจไว้ด้วยกัน

กว่าจะมาคุ้นเคยกัน
ใช้คืนวันนานแค่ไหน
กว่าจะได้รู้จักรู้ใจ ก็ไม่เหลือเวลาอีกเลย

อยากจะหมุนเวลากลับไปอีกครั้ง
ตรงที่อยู่กันพร้อมหน้า
จะซึมซับทุกช่วงเวลาที่เราได้ร่วมสุขทุกข์กัน

เมื่อตะวันจะลับฟ้า
ใกล้หมดเวลาวันสุดท้าย
จะเก็บภาพฝากไว้ในใจไม่ให้ลืมร้างเลือน

แม้พรุ่งนี้เราต้องห่างไกล
แต่หัวใจยังอยู่ นานแค่ไหนขอให้เธอรู้
เพื่อนยังอยู่ในใจเสมอ



Create Date : 01 ธันวาคม 2550
Last Update : 2 เมษายน 2551 4:06:27 น. 1 comments
Counter : 675 Pageviews.

 
ความเป็นเพื่อนงดงามค่ะ
เรื่องนี้ก็งดงามเช่นเดียวกัน

ไม่น่าเชื่อว่า
คนหนึ่งคนจะรักคนหนึ่งคน
โดยปราศจากความรู้สึกครอบครอง
ได้สวยงามปานนี้

จริงสิ
ฉันคิดว่าจริง
เพราะฉันเองก็มี ความรักที่เอื้อมไม่ถึง
เพราะคำว่าเพื่อนเช่นเดียวกัน



โดย: บี (bewae1001 ) วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:17:38:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.