It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๕

บทที่ ๑๕

วันรุ่งขึ้น ณ.บ้านแปดเซียนก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ ภัทรทราภรณ์และพวงทองเดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วและกำลังนั่งคุยกันกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะเอนกประสงค์ประจำบ้าน

ธิติมาพากันตาเข้ามาแนะนำให้เพื่อนๆ ทั้งหมดได้รู้จัก

“เพื่อนๆ นี่เจี๊ยบพวกแกคงเคยรู้จักกันแล้ว และนี่เพื่อนเรา คนนี้ไอ้ตีไม่ต้องแนะนำเพราะเรียนคณะเดียวกับเจี๊ยบ นั่นไอ้จันทร์หรือเราเรียกมันว่าไอ้เจ้าไม่ใช่จันทร์เจ้านะแต่มันเป็นลูกเจ้าตกกระป๋องอิอิ คนนี้ว่าที่คุณหมอกิ่งส่วนที่นั่งข้างๆ กันก็แป๊ดแฟนคุณหมอ คนผอมๆ ชื่อไอ้ต้า แต่เราเรียกมันว่าไอ้ปุ๊ก ไม่ต้องสับสนนะมาจากชื่อของมันเองพวงทอง ส่วนอีกคนสวยๆ หน่อยไอ้นก นั่งหัวโต๊ะนั่นไอ้จิน” ธิติมาแนะนำให้กันตารู้จักเพื่อนๆ ทั้งหมด

“บ้านแปดเซียนยินดีต้อนรับนะเจี๊ยบ” รตีในฐานะผู้อาวุโสที่สุดกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่

ทุกคนเคยทำข้อตกลงกันไว้แล้วว่าหากไม่ใช่คนพิเศษจริงๆ จะไม่พามาที่บ้าน วันนี้ธิติมาพากันตามาเยือนถึงถิ่นนั่นแสดงว่าธิติมายอมรับกันตาว่าเป็นคนพิเศษของเธอแล้ว และเพื่อนๆ ก็ต้องยอมรับกันตาและเห็นว่ากันตาเป็นคนพิเศษของเพื่อนๆ ด้วยเช่นกัน

“ธิให้ลูกไก่นั่งก่อนสิเดินมาเหนื่อยๆ กินน้ำหรือเปล่า” จินตนาบอกธิติมาที่ท่าทางเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก

“กินอะไรมาหรือยังวันนี้ไอ้จินทำข้าวต้มหมูกินสิฝีมือไอ้จินอร่อยมากๆ นะ” ชนกพรชักชวนกันตาเพราะคิดว่ากันตาคงเขินที่มีสายตาอีก ๗ คู่จ้องมองเธออยู่

ธิติมาให้กันตานั่งลงตรงเก้าอี้ประจำตำแห่งของเธอเพราะเก้าอี้ตัวอื่นไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว ถูกจับจองตามตำแหน่งจนครบ

“นั่งก่อนนะเดี๋ยวเราไปตักข้าวต้มมาให้” ธิติมาบอกกันตาและเดินเข้าไปในครัวตักข้าวต้มออกมาสองชาม

“ไอ้ธิแกนั่งนี่ก็ได้ฉันอิ่มแล้ว เดี๋ยวจะไปซักผ้าให้กิ่งด้วยตามสบายเลยแก” ฉันบอกให้ธิติมานั่งแทนที่ของฉันเพื่อไม่ให้เพื่อนต้องยืนกินข้าว

“ตกลงปลงใจกับน้องลูกเจี๊ยบแล้วเหรอไอ้ธิแกนี่ไวจริงๆ เลยนะ” จันทร์จิรากระเซ้าธิติมาเข้าให้

ธิติมาแทบจะสำลักข้าวต้มที่พึ่งจะเอาเข้าปากไปจนกันตาต้องลูบหลังและป้อนน้ำให้กับธิติมา

“แค๊กๆๆ ไอ้บ้าเจ้าใครเค้าจะเหมือนแกหละมองตาก็ท้องแล้ว ฉันไม่ใช่ปลาทองแบบแกนี่เว่ยจะได้ไวไฟ” ธิติมาสวนกลับทันที่ที่เธอหายสำลัก

“เออฉันมันพวกไวไฟ ไม่ใช่เครื่องดีเซลแบบแกนี่หว่าช้าตอนต้นแต่อึดตอนปลายฮ่าๆๆ” จันทร์จิราแกล้งแหย่ธิติมาเล่นเพราะเธอรู้ว่าธิติมานั้นแหย่เมื่อไหร่เป็นเครื่องติด

“ไอ้เจ้าแกก็แหย่ไอ้ธิมันอยู่ได้รู้ๆ อยู่ว่ามันเขินดูสิกล้าพูดกับใครเขาที่ไหนนั่งสวาปามไม่หยุดเลย” จินตนาพูดขัดจังหวะจันทร์จิรา

“นั่นสิไอ้เจ้าแกไปจัดการทำความสะอาดบ้านเลยวันนี้เวรแกกับไอ้ธิไม่ต้องมากความ” รตีเริ่มเร่งจันทร์จิราให้ทำงานบ้านเร็วๆ เพราะวันนี้ตอนบ่ายพวกเราจะไปเดินห้างซื้อของเข้าบ้านกันและเธอก็มีโปรแกรมไปดูหนังเรื่องใหม่ที่กำลังเข้าฉาย

“พวกแกไปรื้อผ้าปูที่นอนปลอกหมอนมาเลยนะ ฉันจะได้ซักไปเร็วเข้า แล้วเอาเสื้อผ้าชุดเมื่อวานกับรองเท้าผ้าใบของพวกมาด้วยฉันจะได้ทำทีเดียวจะได้ไม่ต้องเรื่องมาก” ฉันตะโกนบอกเพื่อนๆ จากหลังบ้านและทุกคนก็รีบจัดการห้องของตัวเองทันที

เราทั้งแปดคนตัดภัทรทราภรณ์และพวงทองออกไป มีหน้าที่ทำความสะอาดบ้านหรือมีหน้าที่รับผิดชอบในบ้านด้วยกันทุกคน

รตีจะเป็นหัวเรือใหญ่ในเรื่องการจับจ่ายซื้อของเข้าบ้านรวมทั้งกับข้าวทุกมื้อ โดยที่เราทุกคนจะช่วยกันออกค่ากับข้าวและค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดให้กับรตีเป็นเดือนๆ แบ่งคนละเท่าๆ กัน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเช่นค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์รตีเป็นคนดูแล เพราะเธอก็เหมือนเหรัญญิกประจำบ้านแปดเซียน

หรือถ้าวันไหนมีรายงานเร่งๆ รตีจะเป็นมือพิมพ์ระดับชาติที่ฟ้าส่งมาให้ทำรายงานให้พวกเรา รตีมีความสามารถพิมพ์ดีดไทยและอังกฤษได้คล่องมากๆ เรียกว่าระดับเซียน เราจะใช้บริการจากรตีอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะรายงานที่ต้องรีบๆ ส่ง ดังนั้นวันไหนที่มีเวลาว่างระตีจะนั่งอยู่กับเครื่องพิมพ์ดีดทำรายงานให้เราทุกครั้ง

จินตนามีหน้าที่ทำกับข้าวในวันหยุดทุกมื้อและทุกคนก็ยอมรับในฝีมือทำกับข้าวของจินตนาเช่นกัน จินตนามีหน้าที่รองลงมาคือล้างจาน คล้ายๆ กับว่าใครทำใครก็ล้าง และจินตนาก็ชอบที่จะเก็บล้างเอง

เธอบอกเสมอๆ ว่าพวกฉันล้างไม่สะอาดและเก็บเครื่องครัวราคาแพงของเธอไม่ดี เดี๋ยวจะเสียหายหมด พวกเราก็เลยไม่ค่อยอยากจะไปยุ่มย่ามมากนัก เพราะจินตนารักการทำครัวเป็นชีวิตจิตใจ

ชนกพรมีหน้าที่หลักคือจัดกับข้าวที่รตีซื้อมาและตรวจดูข้าวของเครื่องใช้ว่าอะไรหมดบ้างและเป็นคนไปหาซื้อกลับมาให้ครบ ทั้งอาหารสดอาหารแห้ง ผงซักฟอก ยาสีฟัน สบู่ ใครใช้อะไรก็จดๆ เอาไว้ เมื่อจะหมดก็บอกกับชนกพร

โดยเฉพาะนมในตู้เย็นจะขาดไปไม่ได้สักวันเพราะถือว่าเป็นอาหารหลักประจำบ้านแค่พวกเราดื่มกันคนละแก้วเช้าและเย็นก็หมดแล้ว เพราะเราที่อยู่ประจำบ้านทั้งหกคนดื่มนมกันเหมือนเป็นน้ำ ชนกพรจึงมีหน้าที่หิ้วนมกลับบ้านมาวันละแกลลอน จากร้านขายของหน้าปากซอย

จันทร์จิรากับธิติมามีหน้าที่ทำความสะอาดบ้านทั้งบ้านและรอบๆ บริเวณบ้านรวมทั้งล้างห้องน้ำในวันหยุด ล้างตู้เย็นและมุ้งลวดทั้งบ้านเดือนละครั้งและเก็บกวาดเช็ดถูบริเวณส่วนกลางของบ้านทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดความสกปรกภายในบ้าน

ส่วนฉันมีหน้าที่ซักผ้ารีดผ้าของคนทั้งบ้านเป็นหลัก เสื้อผ้าของทุกคนฉันจะซักและรีดเกือบทุกวัน เพราะฉันถือว่าไม่เสียเวลามากนักอีกอย่างก็เหมือนเป็นการออกกำลังกายอบซาวน์น่าไปในตัวระหว่างการรีดผ้า และล้างจานบ้างในบางครั้งถ้าวันไหนที่จินตนาทำกับข้าว เพราะจานกะทะหม้อจะเยอะมากๆ จินตนาคนเดียวล้างไม่ไหวแน่นอน

พวกเรารับผิดชอบทำความสะอาดห้องนอนของพวกเราเอง ยกเว้นผ้าปู ผ้าม่านจะส่งมาให้ฉันซัก ซึ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไรเพราะเอาไปใส่เครื่อง เครื่องก็ปั่นให้เสร็จมีแต่เอาไปตากและเก็บเท่านั้นที่ต้องใช้แรงคน ลานซักล้างของบ้านเราจึงมีฉันเป็นเจ้าถิ่นอยู่เพียงคนเดียว

จะว่าไปการแบ่งงานกันทำของพวกเราก็ทำให้พวกเรามีหน้าที่ของเราเอง รับผิดชอบงานบ้านร่วมกันไม่มีการเกี่ยงกันว่าใครจะทำอะไร ทุกอย่างลงตัวในตัวของมันเอง ไม่มีใครบ่นว่างานของใครหนักว่าใคร เพราะมันคือหน้าที่ที่เราทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน

วันนี้ก็เหมือนกับวันหยุดทุกวันที่เรามี ทุกคนทำความสะอาดห้องของตัวเองกันตาช่วยธิติมาทำความสะอาดภายในบ้าน กระหนุงกระหนิงกันไปตามประสา ส่วนฉันก็นั่งซักรองเท้าผ้าใบอยู่หลังบ้านโดยมีภัทรทราภรณ์เป็นลูกมือช่วยล้างผงซักฟอกให้

กว่าพวกเราจะทำงานบ้านและอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็เกือบเที่ยง ได้เวลาชิมอาหารฝีมือของจินตนาพอดิบพอดี กันตาดูเหมือนว่าจะเข้ากับจันทร์จิราได้ดีทีเดียว ทั้งลูกรับลูกส่งมุขของทั้งสองคนเพื่อนๆ พอได้ยินก็ขำกลิ้งกันไปหมด

พื้นฐานของกันตาก็ดูว่าจะเป็นคนอารมณ์ดีอยู่มาก ถ้าตัดนิสัยแปลกๆ ที่ไม่ยอมพูดคุยกับผู้ชายกันตาถือว่าเป็นคนที่น่าคบมากๆ

บรรยากาศที่โต๊ะอาหารดูครื้นเครงกว่าทุกวันเพราะกันตาคอยจ้อเล่าโน่นเล่านี่ให้ทุกคนได้ฟัง ไม่ได้เงียบๆ หรือพูดน้อยแบบที่ใครหลายๆ คนเข้าใจ บางครั้งพวกเรานั่งฟังกันตาพูดจนลืมหายใจเพราะเธอรัวลิ้นจนพวกเราต้องอ้าปากค้างฟังไม่ทัน

“เจี๊ยบคือว่าช้าๆ หน่อยได้ไหมกิ่งฟังไม่ทัน” ภัทรทราภรณ์บอกกันตาระหว่างที่เรานั่งฟังกันตาเล่าเรื่องที่มหาวิทลัยให้พวกเราฟัง

“ขอโทษทีกิ่งเราไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครพอมีคนให้เราพูดด้วยเราก็เลยต้องรีบๆ พูด” กันตาอธิบายว่าสาเหตุของการพูดมากของเธอเป็นเพราะอะไร

“ไม่ต้องรีบมากก็ได้เจี๊ยบเราอยู่ฟังเจี๊ยบได้ทั้งวันเอางี้สิวันไหนเจี๊ยบว่างๆ ก็มานอนที่บ้านเราได้นะ เพราะเราไม่ค่อยได้นอนที่นี่หรอก เดี๋ยวให้จันทร์มานอนที่ห้องเรากับแป๊ดแล้วเจี๊ยบก็นอนกับธิที่ห้องก็ได้ ดีไหม” ภัทรทราภรณ์เสนอ

“จะดีเหรอ เราเกรงใจจันทร์ต้องกลายมาเป็นผีตองเหลืองย้ายไปย้ายมา” กันตาบอกท่าทางเกรงใจมากๆ

“ไม่เป็นไรหรอกอยู่กันหลายๆ คนสนุกดี อีกอย่างพวกเราก็จะได้ฟังเรื่องที่เจี๊ยบคุยด้วยไง ให้ธิฟังคนเดียวเดี๋ยวธิเค้าจะหูชาเปล่าๆ” ภัทรทราภรณ์มีแอบแซวธิติมาเล็กๆ

“เหรอก็ได้ ถ้าวันไหนเราว่างๆ เราจะมาก็แล้วกันนะ”

“จ้ามาได้เลยพวกเราอนุญาต ว่าแต่ได้เวลาไปช๊อปปิ้งกันแล้ว รวมพลได้เพื่อนๆ” รตีบอกทันทีเช่นกัน

พวกเรารีบเก็บจานชามไปล้างในครัวทันทีและเตรียมตัวช๊อปปิ้งในห้าง เราคิดว่าจะแบ่งกันออกไปเพราะฉันกับภัทรทราภรณ์กำลังจะนั่งซ้อนน้องแดงรถคู่ใจไปด้วยกัน ส่วนอีก ๗ คนที่เหลือจะอัดปลากระป๋องไปในรถของรตี แต่กันตาบอกว่าให้รอเธอสักครู่เธอจะกลับไปเอารถที่หอ เพราะจอดทิ้งไว้ไม่ค่อยได้ใช้

ฉันเลยเสนอให้ธิติมาพากันตานั่งซ้อนรถของฉันไปที่หอพักจะเร็วกว่า เมื่อรถของกันตามาจอดที่หน้าบ้านของพวกเรา เราก็รู้ทันทีว่ากันตาไม่ธรรมดาเลย เพราะรถคันหรูรุ่นแวนยี่ห้อตราดาวของเธอนั้นมันช่างใหญ่โตจนเรียกได้ว่าพวกเราทั้ง ๙ คนไปนั่งอัดเป็นปลากระป๋องในนั้นได้สบายๆ

กันตาบอกว่าพ่อเธอเอารถมาไว้ให้ใช้คันใหญ่คันและคันเล็กอีกคัน แต่เธอไม่ชอบที่จะขับรถเพราะเธอชอบที่จะเดินมากกว่า ทำให้พวกเรามองหน้ากันแล้วก็ทำตาปริบๆ คนรวยมักทำอะไรแปลกๆ แบบที่เราไม่คาดคิดเสมอๆ

ธิติมาเป็นสารถีโดยสมัครใจเพราะเธอไม่อยากรบกวนให้กันตาต้องมาทำหน้าที่ขับรถให้กับพวกเรานั่งแค่ให้พวกเราได้ติดรถมาด้วยก็เป็นบุญคุณใหย่หลวงแล้ว เพราะไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถหลายคัน

“แบบนี้เราก็ไปไหนมาไหนไกลๆ ได้สบายเลยนะเอารถของลูกไก่ไปไม่ต้องไปหลายคัน” จันทร์จิราพูดระหว่างที่เรานั่งรถไปด้วยกัน

“ไอ้เจ้าแกแค่ลูกไก่เค้าเอารถมาให้นั่งวันเดียวแกคิดไปไกลถึงขั้นไปเที่ยวแล้วเหรอหัดเกรงใจคนอื่นเค้าบ้างสิวะ” ชนกพรดุจันทร์จิราขึ้นมาทันทีเช่นกัน

“ไปได้นะเราก็อยากไปเที่ยวเหมือนกัน อาทิตย์หน้าเลยเป็นไงหยุดตั้งสามวันไปเที่ยวทะเลกัน ไปทางใต้ก็ได้ กิ่งกับต้าจะได้ไม่ต้องเข้ามากรุงเทพเราแวะไปรับตามรางทางและขากลับก็แวะส่งน่าสุกดีออก” กันตารีบสนับสนุนจันทร์จิราทันทีเช่นกัน เพราะเธอไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนตั้งแต่มาอยู่ที่กรุงเทพ

“เอางั้นเลยเหรอ กิ่งว่างหรือเปล่าต้องไปทำอะไรที่ไหนหรือเปล่า” ฉันภามภัทรทราภรณ์ที่นั่งติดๆ กัน

“ว่างไม่มีอะไรต้องรีบทำ อาทิตย์หน้าคนที่หอก็คงออกจากหอกันหมดหยุดยาวๆ แบบนี้ไม่ค่อยมีใครอยู่หรอก ไปก็ได้ดีเหมือนกันไม่ได้เที่ยวไกลๆ ด้วยกันมานานแล้ว” ภัทรทราภรณ์บอกกับฉันและเพื่อนๆ ทุกคน

“ดีเหมือนกันเราจะได้ไปวาดรูปทะเลอยากวาดมาหลายวันแล้ว ได้แต่นั่งมองรูปทะเลในนิตยสารแล้วก็วาดน่าเบื่อจะตายไป” พวงทองออกความเห็นบ้าง และก็เท่ากับว่าเสียงออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าอาทิตย์หน้าเราต้องไปเที่ยวทะเลกัน

รถของเราก็มาถึงที่หมายในห้างแถวๆ สยาม กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็วนกันขึ้นไปจนเกือบจะชั้นบนสุดของที่จอดรถห้าง วันหยุดแบบนี้ดูเหมือนว่าห้างสรรพสินค้าจะเป็นที่ชุมนุมผู้คนหลากหน้าหลายตา เราเดินไปยังซุปเปอร์มาเก็ตของห้างเป็นจุดหมายแรกในทันที

แผนกอาหารสดเป็นที่หมายของพวกเรา อันดับแรกที่คว้าก็คือไข่ไก่อาหารหลักประจำครอบครัว จากนั้นก็พวกเนื้อสัตว์ และตามด้วยของใช้ภายในบ้าน ที่ชนกพรจดมาอย่างละเอียดยิบ ว่ามีอะไรขาดไปบ้าง

ช๊อปเสร็จก็เอาของไปเก็บไว้ที่รถ จากนั้นก็เดินเที่ยวกันไปตามแผนกต่างๆ ของห้าง พวงทองมีที่เดียวที่เธอชอบไปก็คือแผนกเครื่องเขียนและร้านรับจ้างวาดรูปที่เธอมักไปยืนดูช่างวาดระบายดินสองหรือพูกันลงบนกระดาษ

ส่วนภัทรทราภรณ์ก็ร้านหนังสืออยู่ในนั้นได้เป็นวันๆ ถ้าไม่มีใครรีบร้อนไปไหน รตีร้านขายเสื้อผ้าเครื่องสำอางค์ ชนกพรชอบไปเดินแถวๆ ร้านวีดีโอดูหนังทั้งใหม่และเก่าซื้อมาเก็บไว้จนจะเต็มบ้าน จันทร์จิราชอบเดินเล่นที่ร้านเครื่องเสียงเธอบอกว่าเครื่องเสียงดีๆ จะทำให้กรรับฟังของคนเรามีจินตนาการไปด้วย

จินตนามักจะไปเกาะติดแถวๆ ร้านขายเครื่องครัวดูเครื่องครัวใหม่ๆ ของฝรั่ง กับร้านหนังสือแถวๆ ตำราทำอาหาร ธิติมาชอบไปแถวๆ แผนกเครื่องกีฬาทดลองเล่นเครื่องที่ทางห้างเอามาโชว์ไว้เสมอๆ จนพนักงานขายจำหน้าได้ และครั้งนี้ก็มีกันตาพ่ววติดไปด้วย

ส่วนฉันภัทรทราภรณ์ไปที่ไหนฉันก็ไปกันที่นั่น เพราะฉันเองก็ชอบร้านหนังสือเช่นกันแต่จะอยู่คนละแผนกกับภัทรทราภรณ์ ฉันมักจะอยู่ติดกับหนังสือนวนิยายเรื่องใหม่ๆ และยืนอ่านอยู่ครั้งละนานๆ จบจบเล่มไปก็มี (ถ้าทางร้านไม่ห่อด้วยถุงพลาสติค)

เมื่อแยกย้ายกันไปแล้ว เรานัดกันว่าจุดรวมพลก็คือรูปปั้นของเจ้าของห้างชั้นล่างของห้างแห่งนี้ พอถึงเวลาพวกเราก็ไปรวมพลอยู่ที่บริเวณรูปปั้น ขาดก็แต่จันทร์จิราคนเดียวที่หายไป เรารอแล้วรออีก เธอก็ยังไม่มาจนรตีฉุน

“นี่ไอ้เจ้ามันชักจะเหลวไหลใหญ่แล้วนะ นัดไม่เป็นนัด ฉันจะไปดูหนังมันหายหัวไปไหนนี่” รตีโมโหจันทร์จิราขึ้นมาทันทีเพราะเธอรอนานจนเมื่อไปหมด

“แกแน่ใจนะว่ามีรูปปั้นที่เดียวไอ้ตี” ธิติมาถามขึ้นมาเพราะเธอไม่ค่อยมั่นใจว่าสถานที่ตรงกันหรือเปล่า

รตีพึ่งจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าห้างนี้มีรูปปั้นสองที่

“ตายแล้วหรือว่าไอ้เจ้าไปนั่งรอที่ประตูโน้น” จากนั้นระตีก็พาพวกเราเดินไปที่ประตูเข้าห้างอีกฝั่งหนึ่งของห้าง

ภาพที่เราเห็นก็คือจันทร์จิรานั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่พื้น มองซ้ายมองขวาหาพวกเราและเมื่อเห็นพวกเราเธอก็ลุกขึ้นและรีบต่อว่าพวกเราทันทีเช่นกัน

“ไอ้พวกบ้าแกไปไหนมาวะปล่อยให้ฉันนั่งรอพวกแกอยู่ได้ตั้งเกือบสองชั่วโมง”

“ใจเย็นๆ จันทร์ เราเองก็รอเธอสองชั่วโมงเหมือนกันนึกว่าเธอเป็นอะไรไปแล้ว” ภัทรทราภรณ์เดินไปจับไหล่ของจันทร์จิราที่มีท่าทางฉุนเอามากๆ

“รอตรงไหนเราสิรอที่รูปปั้นนี่ก็นัดกันที่นี่แล้วไปรอเราที่ไหน” จันทร์จิราโวยวายและชี้ไปที่รูปปั้นต้นเรื่องที่ก่อให้เกิดการพลัดหลงกัน

“ก็ใช่พวกเราก็รอเธอที่รูปปั้นเหมือนกันแต่คนละฝั่งของห้างไง” ภัทรทราภรณ์พยายามจะอธิบายแต่จันทร์จิราก็ไม่ยอมฟัง

“มีอีกฝั่งตรงไหนกัน ฉันเห็นมันมีที่เดียว” จันทร์จิราแย้งทันที

“มีสิอยู่ฝั่งทางโน้นไม่เชื่อไปดูด้วยกัน” รตีฉุดมือจันทร์จิราไปยังสถานที่ที่พวกเราพึ่งเดินจากมาทันที

และภาพที่จันทร์จิราเห็นก็ทำให้เธอจ๋อยไปได้ถนัดตา เพราะรูปปั้นที่เหมือนกันราวกับแกะได้ปรากฏให้เธอเห็นต่อหน้าต่อตา

“เออจริงด้วยว่ะ” จันทร์จิราพูดเสียงอ่อยทันที

“แล้วคราวหลังก็หัดฟังให้มันชัดๆ นะไอ้เจ้าว่าเค้านัดกันที่รูปปั้นฝั่งไหน ฟังไม่ดีแล้วยังจะมาโทษชาวบ้านเค้า แกนี่มันจริงๆ เล๊ย” รตีเริ่มอีกรอบ

“ก็ใครจะไปตรัสรู้หละวะว่ามันมีสองที่ก็เคยเห็นแต่ทางฝั่งโน้นไม่เคยเดินมาฝั่งนี้สักที ก็พวกแกไม่บอกให้ชัดนี่หว่าว่ามันอยู่ตรงไหน”

“ทำไมฉันจะไม่พอ ฉันบอกแล้วว่ารูปปั้นฝั่งโตคิวเว่ยพวกฉันได้ยินกันชัดทุกคน นี่แกต้องเอาหูแกไปล้างใหม่เลยนะ พอดีกันฉันไม่ต้องไปดูแล้วหนังเรื่องใหม่ต้องมายืนรอแกนี่แหละเสียเวลาชะมัด ทำไมนะไอ้เจ้าแกถึงได้ชุ่ยแบบนี้ทำเพื่อนเสียเวลานานสองนานเพราะต้องยืนรอแกคนเดียว” รตีต่อว่าจันทร์จิราค่อนข้างรุนแรงทำให้พวกเราต้องรีบห้ามทัพกลัวศึกจะยืดเยื้อ

“ใจเย็นๆ หนังไม่ได้ดูวันนี้ก็ไปดูวันอื่นได้ วันนี้ไปหาอะไรเย็นๆ กินดับความร้อนในใจพวกแกดีกว่า เจอกันแล้วก็ดีแล้วอย่าไปเถียงกันอีกเลย” จินตจนาพยายามหาอะไรมาชดเชยความโกรธของเพื่อนทั้งสองคนและสิ่งที่เธอคิดได้ก็มีเพียงเรื่องของกินเท่านั้น

“ไปๆๆ ไปกินไอติมกันจะได้ใจเย็นๆ” พวงทองตบบ่ารตีกับจันทร์จิราและจูงมือของทั้งสองคนขึ้นบันไดเลื่อนไปที่ร้างไอศกรีมร้านโปรดของพวกเราที่ชั้นสองของห้าง

จากนั้นพสุธากัมปนาทก็ถูกสั่งมาอีกครั้งด้วยมือของพวงทอง สองชามใหญ่ยักษ์ วางลงตรงหน้าของพวกเราทุกคน ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเราเมื่อครั้งยังอยู่ที่บ้านไอสกรีมเจ้านี้มันช่างเย้ายวนใจไม่ว่าเมื่อไรที่ได้เห็นว่ามันวางอยู่ตรงหน้าต้องยอมสิโรราบตักมันเข้าปากทุกครั้งไป

อาวุธคู่กายของทุกคนถูกหยิบขึ้นมาและระดมตักก้อนเย็นๆ สีสวยๆ ในถ้วยเข้าปากกันแบบไม่ยั้งมือ แม้ว่าความเย็นจะทำให้การกินลดความเร็วลง แต่ความเร็วในการตักก็ไม่ได้น้อยลง ตักค้างไว้ในช้อนก่อนเพื่อดักไม่ให้ข้าศึกมาช่วงชิงความหวานและเย็นตรงหน้าไปได้

ใครเร็วก็ได้มากใครช้าก็อดไป แบบนี้เสมอเมื่อยามมีอาหารของโปรดมาอยู่ตรงหน้า รตีกับจันทร์จิราก็เช่นกัน อาวุธในมือกระทะกระทั่งกันบ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะทั้งคู่ต้องการดับความร้อนด้วยสิ่งที่เรียกว่าไอติมรสหวานละมุนลิ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย

จากความโกรธแปลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่พร้อมจะแย่งชิงไอติมคำสุดท้ายกันแบบเอาเป็นเอาตาย เมื่อจันทร์จิราตักได้ รตีก็เขี่ยลง เมื่อรตีตักได้จันทร์จิราก็เขี่ยลง

จันทร์จิราและรตีใช้อาวุธของตัวเองเขี่ยไอติแหล่งสุดท้ายมาไว้ที่ตัวเองอยู่นานจนจะเละไปหมด และจู่ๆ ก็มีอาวุธของอีกคนโผล่เข้ามาแย่งชิงไอติมช้อนสุดท้ายที่อยู่ในระหว่างศึกแย่งชิงการเขี่ยไปมาแถมยังเอาเข้าปากไปหน้าตาเฉย จนทั้งจันทร์จิราและรตีมองหน้ากันเองแล้วหัวเราะเบาๆ

“ไอ้ปุ๊กแกทำไมทำแบบนี้ฉันกับไอ้ตีแย่งกันแทบตายไม่ได้กินแกมาจากไหนว่ะมาแย่งไปหน้าตาเฉย” จันทร์จิราหันไปต่อว่าพวงทองตัวต้นเหตุแห่งการสูญเสียไอติมของเธอ

“เอ๊าก็ใครจะไปรู้หละเห็นเขี่ยกันไปมาก็นึกว่าไม่กินดูสิเละหมดแล้วจะอร่อยได้ไงว่ะ” พวกทองพูดหน้าตาเฉย

“นี่ไงพวกแกนะเป็นตาอินกะตานาแย่งไอติมกันส่วนไอ้ปุ๊กมันเป็นตาอยู่ได้กินไปฟรีๆ ไม่ต้องเสียเวลาแย่งกับใครเป็นไงหละสมน้ำหน้าไอ้พวกมากเรื่องวางมาดดีนัก” ชนกพรที่นั่งมองพฤติกรรมของทั้งสามคนอยู่นานก็พูดขึ้นทำให้พวกเราทั้งโต๊ะหัวเราะขึ้นมาพร้อมๆ กัน

จะว่าไปในถ้วยของพวกฉันออกจะดูถ้อยทีถ้อยอาศัยในเวลากินมากกว่าเพราะเราสี่คนมีฉันกับภัทรทราภรณ์และธิติมากับกันตา ผลัดกันป้อนไปมาไม่ได้เกิดศึกแย่งชิงกันเหมือนกับอีกถ้วย

จะมีจินตนากับชนกพรมาแจมบ้างก็ต่อเมื่อเธอเห็นไอติมรสโปรดได้ถูกแหวออกมาเผชิญหน้าบนโลก และก็ถูกตักเข้าปากไป โดยที่เราสี่คนก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เพราะไอติมไม่ได้หวานเท่ากับความรู้สึกที่ดีๆ ที่เรามีให้กับคนรักของเรา

แม้ว่าตาอินกับตานาจะโดนตาอยู่แย่งชิงไอติมไปแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรตาอยู่ เพราะเมื่อเห็นตาอยู่กินได้นอนหลับทั้งตาอินและตานาก็รู้สึกดีใจ ที่เพื่อนของทั้งคู่ไม่ได้หลงกลับไปยึดเอาสิ่งเสพติดเข้าไปในร่างกายอีกแล้ว

ต่อให้ต้องสูญเสียของกินไปมากมายแค่ไหนหากจะได้เพื่อนคนเดิมกลับมาทั้งจันทร์จิราและรตีก็ยินยอมเสมอ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราไม่รู้ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

......................

ธิติมายังคงไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับหอพักของกันตา เพราะเมื่อเธอเสร็จจากการออกกำลังกายทั้งสองคนก็จะกลับมาแวะที่บ้านก่อน

พวกเราจะชอบมากหากว่าวันไหนกันตาแวะมาที่บ้าน เพราะเธอจะมีขนมติดไม้ติดมือมาเสมอ จะว่าพวกเราเห็นแก่กินก็ไม่ใช่ แต่เพราะขนมที่กันตาหิ้วติดมือมานั้นต่างหากที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ

จบจากรายการอาหารมื้อค่ำแล้วก็ตามด้วยขนมของกันตาล้างปากกันเป็นทิวแถว พวกเราดูจะเจริญอาหารกันทั่วหน้า และก็เป็นหน้าที่ของจินตนาในการล้างจาน ตอนนี้กันตามักจะเป็นลูกมือของจินตนาในการช่วยล้างจานอยู่บ่อยๆ

“ลุกไก่ไม่ต้องซื้อขนมมาให้พวกเรากินทุกวันก็ได้พวกเราเกรงใจลูกไก่นะ” จินตนาบอกกับกันตาเมื่อทั้งสองคนยืนช่วยกันล้างจาน

“นั่นสิลูกไก่เราเกรงใจลูกไก่จริงๆ ที่ต้องแวะซื้อขนมมาให้พวกเราทุกวัน”

รตีช่วยเสริมจินตนาเพราะพวกเราคิดว่าการที่กันตาต้องมาเสียเงินเสียทองในการซื้อขนมมาทุกวันมันไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับกันตาเท่าไรนัก ครั้นพอรตีจะช่วยออกค่าขนมกันตาเองก็ไม่เคยจะรับ บอกแต่ว่าลองชิมสิขนมเจ้านี้อร่อยแค่นั้นเอง

“เราสิต้องเกรงใจเราหรอกเราสิต้องเป็นฝ่ายเกรงใจพวกเธอให้เรากินข้าวด้วยทุกวันจนเราจะเป็นหมูไปแล้ว เราก็ต้องหาอะไรมาช่วยเสริมพลังงานกลับคืนบ้างเป็นการแลกเปลี่ยนไง” กันตาบอกเหตุผลของเธอ เพราะว่าเธอเองก็รู้สึกเกรงใจในน้ำใจของแปดเซียนเช่นกัน

“พอกันเลยเกรงใจกันไปเกรงใจกันมาคนกลางอย่างเราก็อิ่มหมีพีมันไปตามน้ำ” ธิติมาขัดคอเพื่อนและคนรักของเธอบ้าง

“เอาน่าอดทนหน่อยอีกหน่อยก็ชินไปเอง” กันตาหันบอกคนรัก

“อดทนกินไม่ค่อยเท่าไหร่แต่ตอนอิ่มจนท้องจะแตกนี้สิเป็นเรื่อง ออกกำลังกายเท่าไหร่ก็ไม่ลงสักทีไอ้พุงกางๆ ของเรานี่” ธิติมาบ่นอุบเพราะเธอในตอนนี้เริ่มจะเลี้ยงพุงน้อยๆ ไว้บ้างแล้ว ทั้งๆ ที่ยังคงวิ่งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

“น่านะอ้วนไงเราก็รักหรอกนะธิต่อให้ธิอ้วนเป็นหมูดุดเราก็รักธิอยู่ดีแหละ” กันตาช่างเปรียบเทียบ

“อะไรคือหมูดุดนะลูกไก่เราไม่รู้จัก” จินตนาถามกับคำเรียกขานแปลกๆ ของกันตา

“อ๋อหมูดุดก็คือพยูนไงจินคนทางเมืองจันเค้าเรียกพยูนว่าหมูดุด หรือใครๆ เค้าเรียกกันว่าช้างน้ำไง” กันตาอธิบายที่มาที่ไปของคำว่าหมูดุด

“เออดีนะ คนนึ่งเป็นลูกไก่ อีกคนเป็นหมูดุดช่างเข้ากันได้จริงๆ ต่อไปเราก็เรียกไอ้ธิว่าไอ้ดุดดีไหม เออจะได้เรียกให้ติดปาก ไอ้ดุดๆๆๆ” จันทร์จิรานั่งขำกับความคิดของตัวเอง

“จริง ด้วยสิเรียกมันว่าไอ้ดุดก็น่ารักดีนะ” ชนกพรรีบตอบรับสรรพนามใหม่ของธิติมาในทันที

จากนั้นพวกเราก็ลงความเห็นว่าชื่อใหม่ของธิติมาที่กันตาเผลอพูดออกมานั้นเป็นชื่อของธิติมาไปโดยปริยาย ฉันเองที่นั่งรีดผ้าอยู่ก็นั่งขำไปกับสรรพนามใหม่ของเพื่อนไปด้วย

ส่วนธิติมาไม่ค่อยปลื้มเท่าไรนักกับสรรพนามใหม่ของเธอที่คนรักตั้งให้หมาดๆ เพราะนั่นมันหมายความว่าเธอได้กลายเป็นช้างน้ำในสายตาของคนรักไปแล้วนั่นเอง

“เอ๊าพวกแกมาเอาเสื้อผ้าของพวกแกไปได้แล้วฉันจะไปอาบน้ำนอนแล้ว” ฉันที่รีดเสื้อผ้าของเพื่อนๆ เสร็จก็บอกให้ทุกคนเรียงแถวมาหยิบเสื้อผ้าของตัวเองไปเก็บในห้อง

“แป๊ดเก่งจังนะรีดเสื้อผ้าตั้งเยอะเร็วน่าดูเลย” กันตาเอ่ยชมฉัน

“ไม่หรอกถ้าเราทำอะไรทุกๆ วันมันจะชินอีกอย่างเสื้อของไอ้พวกนี้รีดง่ายจะตายไป รีดทับๆ ไปสองสามทีก็เรียบแล้ว กระโปรงก็ไม่ต้องรีดมาก มันรีดง่ายๆ อยู่แล้ว ถ้าเราสบัดตากให้ดีตอนรีดก็ไม่ยากเย็นอะไรนัก ยกเว้นของไอ้ตี ย้วยระย้ามาไม่ต้องรีดมากแค่รีดซับในก็พอแล้วขืนไปรีดของมันพังไปมีหวังไม่มีตังกินข้าวแน่ๆ แต่ละตัวแพงหูฉี่” ฉันบ่นเสื้อผ้าของรตีเพราะแต่ละตัวช่างแพงจับใจและก็อินเทรนด์ทั้งนั้น

“ทำบ่นนะไอ้แป๊ดแค่นิดๆ หน่อยๆ ทำมาบ่น” รตีแขวะฉัน

“แกก็ลองมารีดของแกเองไหมหละไอ้ตีถ้าไม่ไหม้แบบวันก่อนฉันให้แกเตะได้เลย”

ฉันแขวะกลับบ้าง เพราะเมื่อหลายวันก่อนรตีพยายามที่จะรีดเสื้อชุดใหม่ของเธอ แต่เธอไม่ได้ดูว่าผ้าของเธอนั้นใช้ไฟเตารีดร้อนๆ ไม่ได้ พอวางลงไปก็ไหม้เป็นรูโหว่ว รตีนั่งซึมเพราะชุดใหม่ของเธอราคาแพงเอาการ เธอได้แต่บ่นว่าไม่น่ารีดเองเลย ชุดนี้ไม่เคยใส่มาก่อนด้วย

ฉันกับเพื่อนๆ ก็ได้แต่บอกว่าคราวหลังก็อย่าทำเองก็แล้วกันฉันจะทำให้หน้าที่ใครก็หน้าที่มัน

...........................

ธิติมาออกไปกับกันตาแล้วเหมือนเช่นทุกวันกินข้าวเสร็จก็ออกไปส่งบ้างไปนอนค้างกับกันตาบ้างถ้าวันไหนไม่มีเรียนเช้าๆ หรือไม่มีรายงานด่วนที่จะต้องรีบทำ

“ดูๆ ไป ไอ้ธิกับลูกไก่ก็สมกันดีนะ” จันทร์จิราที่มองตามหลังธิติมาและกันตาเมื่อยามที่เดินออกจากบ้านไปเอ่ยขึ้น

“ไงแกไอ้เจ้าแกอิจฉาไอ้ธิมันเหรอไอ้เจ้าที่มันมีแฟน” รตีแขวะเพื่อนอีกแล้ว

“เปล่าฉันแค่อยากจะรู้ว่าคู่ของฉันเกิดหรือยังเป็นหญิงหรือชายก็แค่นั้น” จันทร์จิราพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง

“นั่นสินะ เกิดหรือยังก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ ถ้าแกไม่มีแฟนฉันก็ยังอยู่หวะ เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อนอยู่แล้ว” ชนกพรบอกกับจันทร์จิราและตบบ่าจันทร์จิราเป็นการให้กำลังใจเพื่อนของเธอ

“ฉันไปนอนก่อนนะเริ่มง่วงแล้ว” จันทร์จิราขอตัวไปนอนและเดินเข้าห้องไป

ชนกพรบอกกับจันทร์จิราแบบนั้นเพราะเธอเองก็เช่นเดียวกันเธอมีสิทธิจะคิดไม่ใช่หรือเพื่อนกันย่อมไม่ทิ้งเพื่อนไม่ใช่หรือ ทั้งๆ ที่เธอรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจของตัวเองว่าเธอแอบชอบจันทร์จิราและจันทร์จิราเองก็แอบชอบเธอเช่นกัน

คนสองคนรู้ทั้งรู้ว่าชอบกันและกัน แต่ไม่สามารถพูดหรือบอกกล่าวกันได้ หากไม่แน่ใจในตัวเองทั้งสองก็ไม่อยากจะเสียคำว่า “เพื่อนที่ดี” ไปจากชีวิต การที่มีเพื่อนดีๆ สักคนในชีวิตหาได้ยากกว่าการมีแฟนสักคน

ทั้งสองคนยังทิ้งความห่างระหว่างกันและกันให้เป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา ใช่ว่าจะไม่รู้ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจกันและกัน แต่ความเป็นไปได้ในการครองคู่มันช่างลางเลือน

ทั้งจันทร์จิราและชนกพรทั้งสองคนต่างก็เป็นลูกคนเดียวของพ่อและแม่ ครอบครัวของจันทร์จิรามีหน้ามีตาในสังคมที่บ้านเกิด หากจันทร์จิราคิดจะรักกับผู้หญิงด้วยกันเองคนแถวนั้นก็ต้องพูดกันปากต่อปาก ชนกพรไม่อยากให้จันทร์จิราต้องมามีประวัติด่างพร้อย

พ่อแม่ของจันทร์จิราต้องการให้จันทร์จิรากลับไปสืบสานอำนาจต่อจากพวกท่านที่ได้ปูทางเอาไว้ ทั้งการเมืองในระดับท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติ

ชนกพรเองก็เช่นเดียวกันเธอต้องกลับไปสืบสานงานโรงพิมพ์เล็กๆ ที่บ้าน โรงพิมพ์ท้องถิ่นที่พ่อกับแม่ของเธอช่วยกันสร้างมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย ที่เธอเองตัดสินใจเข้าเรียนคณะสื่อสารก็เพราะเธอต้องการกลับไปทำหน้าที่สานต่องานของพ่อกับแม่

ทั้งๆ ที่เธอชอบที่จะร้องเพลง ชอบเวลาที่จันทร์จิราเล่นดนตรีและมีเธอเป็นคนร้อง ชอบมองเวลาที่จันทร์จิราลงมือจรดนิ้วลงบนเปียโนหลังใหญ่และนิ้วของจันทร์จิราเล่นเพลงไปตามตัวโน๊ตต่างๆ ออกมาเป็นท่วงทำนอง

สองคนมีใจตรงกันแต่เหมือนมีฉากบางๆ ของหน้าที่ลูกที่ดีของตัวเองเป็นฉากกั้นความสัมพันธ์ที่กำลังจะก่อรากฐานขึ้นมาโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว

จินตนาเคยพูดกับชนกพรแบบเปิดใจในครั้งหนึ่งว่า

“ไอ้นกฉันรู้นะว่าแกชอบไอ้เจ้ามาตั้งแตสมัยเด็กๆ แต่แกทำไมไม่บอกมันไปวะว่าแกรักมัน แกมัวมานั่งอมพนำไว้ทำไมว้า เดี๋ยวเกิดมอคอปดดอแกจะกุนนะเว่ย”

“ต่อให้มีมากกว่าปีกุนเพิ่มเป็นปีกระบือฉันก็ต้องยอมเป็นควายในสายตาของใครต่อใครที่ยอมโง่ปล่อยไอ้เจ้าไป แกก็รู้ว่าเราสองคนเป็นไปไม่ได้มากกว่าใครทั้งหมดใช่ไหมไอ้จิน ฉันไม่อยากจะเจ็บไปมากกว่านี้ไม่อยากเอาตัวเข้าไปผูกมัดไอ้เจ้าไว้ หากไอ้เจ้ามีใครที่ดีกว่ามีทางเดินที่เริดหรูฉันก็ไม่อยากเอาตัวไปขวาง ใครจะว่าไงฉันไม่สนฉันขอเป็นแค่เพื่อนที่ดีของไอ้เจ้ามันตลอดไปก็แล้วกันไอ้จิน”

“ฉันเข้าใจแกวะไอ้นกและก็เข้าใจไอ้เจ้าด้วย สรปว่าแกก็จะเป็นเพื่อนกับไอ้เจ้าไปตลอดกาลไม่ยอมเป็นอย่างอื่นอีกแล้วใช่ไหม”

“ใช่ไอ้จินเพื่อนอยู่ได้นานกว่าไม่เจ็บปวดเท่าไหร่ถ้าเราเลิกคบกัน แต่ถ้าเป็นแฟนแกก็รู้แกก็เคยเห็นเมื่อตอนที่ไอ้แป๊ดกับกิ่งต้องอดทนไม่รักกัน ว่ามันทรมารใจมากแค่ไหน แกเข้าใจฉันใช่ไหมไอ้จินและถ้าเกิดว่าวันแห่งการพลัดพรากมาถึงฉันก็คงจะไม่เจ็บปวดมากอย่างคนอื่นๆ เพราะอย่างน้อยฉันก็เป็นได้แค่เพื่อนของไอ้เจ้าเท่านั้น”

เป็นครั้งแรกที่ชนกพรยอมเปิดใจพูดเรื่องความในใจของเธอให้กับเพื่อนได้รับรู้ และมันจะเป็นครั้งสุดท้ายของการพูดคุยเรื่องนี้กับคนอื่น

ชนกพรยืนมองจันทร์จิราเดินเข้าห้องไปอยู่เงียบๆ แผ่นหลังของคนที่เธอรักแผ่นหลังของเพื่อนรักของเธอ น้ำตาของเธอไหลออกมาเธออยากจะบอกจันทร์จิราเหลือเกินว่าหันหลังมาสิเพื่อนหันหลังกลับมากอดฉันแต่เธอก็พูดไม่ได้และต้องเก็บงำความลับนี้ไว้กับตัวเองจนกว่าจะตายจากกัน ทั้งๆ ที่ใจอยากจะบอกมากมายเหลือเกิน

ท่องเอาไว้ชนกพร “เพื่อนกันเราเป็นเพื่อนกัน” คำๆ นี้เป็นสิ่งเดียวที่ชนกพรบอกกับตัวเองทุกครั้งเมื่อยามที่หัวใจของเธอเริ่มที่จะไม่ทำตามที่หัวสมองสั่งการ

..... จบบทที่ ๑๕ ....



Create Date : 08 มิถุนายน 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:07:15 น. 2 comments
Counter : 408 Pageviews.

 
เศร้าน่าดูเลยครับ อยากบอกว่ารัก แต่บอกรักไม่ได้ เป็นข้าวคงอึดอัดใจตายแน่ๆ เลย

"บอกคำว่า รักให้เค้ารับรู้อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียใจภายหลังว่าเราไม่ได้พยายามอะไรเลย เพื่อความรักของตัวเอง"


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:23:28:18 น.  

 
สบายดีไหมคุณข้าว

ฉันว่าบางครั้งบางเรื่องก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้นะคะ

ช่วงนี้งดเขียนนะคะ อาจนานสัก สามสี่วัน ไม่ว่าอันนะจ๊ะ

อิอิ


โดย: รันหณ์ วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:11:07:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.