It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๙

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๙

คุณว่าไหมชีวิตในวัยเรียนเป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่สนุกที่สุด ฉันเองก็เช่นกัน พวกเราแปดคนรวมหวานใจของเพื่อนอีกสองเป็นสิบคน ใช้ชีวิตในช่วงที่เรียนด้วยกัน กินนอนเที่ยวเล่นกันอย่างสุนกสนาน

ไม่ต้องให้บอกหรอกค่ะว่ามันสนุกมากแค่ไหน ปีนี้ฉันเรียนจบแล้วและกำลังสอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอก มันอาจจะเป็นสิ่งที่ใครๆ มักบอกว่าฉันฝันสูงไปหรือเปล่า แต่ฉันว่าไม่มีอะไรที่ไกลเกินฝัน

ฉันกับไปรยาสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอวันที่ต้นสังกัดจะติดต่อกลับมาว่าได้หรือไม่ได้ ขณะเดียวกันฉันกับไปรยาก็เข้าไปทำงานในบริษัทตรวจสอบบัญชีแห่งหนึ่ง เพื่อหาประสบการณ์ในการทำงานก่อนที่จะไปเรียนต่อ และก็รอเวลาที่จะรับปริญญาในกลางปีที่จะถึงนี้

ภัทรทราภรณ์คนรักของฉันเธอเริ่มจะฝึกงานและเรียนรู้ที่จะเป็นคุณหมออย่างเต็มตัว เวลาของเธอไม่ค่อยจะตรงกับฉันเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกันแต่การที่จะได้เจอและพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อนมันก็ดูยากเหลือเกิน

จันทร์จิราและชนกพรตัดสินใจเรียนต่อที่คณะเดิมเพราะทั้งคู่ยังไม่อยากที่จะกลับไปบ้าน อีกอย่างจันทร์จิราในตอนนี้เริ่มมีงานเล่นดนตรีเพิ่มมากขึ้น เธอรู้ว่าสิ่งที่เธออยากเป็นและอยากทำไม่ใช่การกลับไปสานต่ออำนาจของพ่อเธอ ฉันรู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการมันคืออะไร มันไม่ใช่การกลับบ้าน แต่มันคือการที่จันทร์จิราได้อยู่กับชนกพรต่างหาก

ป้าเจ้าของบ้านตัดสินใจขายบ้านที่เราเช่าอยู่ ด้วยวงเงินที่ฉันเห็นแล้วก็คิดว่าป้าเจ้าของบ้านคิดถูกที่ตัดสินใจขายบ้านและย้ายไปซื้อบ้านที่ใหม่ในราคาที่ถูกกว่าเป็นร้อยเท่า คนที่มาซื้อบ้านของป้าบอกว่าจะเอาไปสร้างอพาร์ตเม้นท์สูงลิบ ให้กำไรงามๆ กับป้า

รตีหาซื้อบ้านหลังใหม่ออกไปย่านชานเมืองราคาไม่แพงมากแต่การเดินทางก็ไกลเหลือเกิน พวกเราตัดสินใจกันว่าจะช่วยจ่ายค่าเช่าให้กับรตี เป็นการผ่อนแรงค่าผ่อนบ้านของรตี ที่ต้องทำงานเป็นเลขานายฝรั่งจอมโหด ด้วยค่าแรงพอสมน้ำสมเนื้อกับการทำงานที่โหดร้ายทารุนราวกับทาส เพราะรตีต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ นายไม่กลับไม่มีทางได้กลับบ้าน แถมยังเป็นฝรั่งจอมขี้หลีอีกต่างหาก

จินตนาเรียนต่อเนติบัณฑิต ความตั้งใจของจินตนาก็คือเป็นผู้พิพากษาฉันว่าจินตนามีแววที่จะเป็นผู้พิพากษาอย่างที่เธอตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

ธิติมาตัดสินใจหาทุนเรียนต่อเหมือนกับฉันและไปรยา เธอบอกว่าเรียนต่อเมืองนอกน่าจะมีอะไรที่น่าศึกษาค้นคว้ามากกว่าในเมืองไทย พวกเราเองก็สนับสนุนความคิดของเธอเช่นกัน ส่วนกันตาหวานใจของธิติมากลับไปทำงานที่ไร่ของเธอ และคอยเป็นกำลังใจให้ธิติมาเสมอๆ

สำหรับพวงทองไม่ต้องพูดถึง พวงทองกลายเป็นศิลปินที่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เธอบอกว่าถ้าเรียนจบจะไปเรียนต่อที่อิตาลี ที่นั่นมีอะไรหลายๆ อย่างให้เธอศึกษาเกี่ยวกับการวาดรูป

ชนกพรได้ทำงานที่หนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งพร้อมๆ กับการตั้งใจที่จะลงเรียนภาคค่ำในคณะเดิมของเธอ เธอมักจะมาบ่นกับพวกฉันว่างานหนังสือพิมพ์เป็นงานที่เหนื่อยมากพอดู เธอได้ทำงานเป็นนักข่าวแถวๆ ทำเนียบ หาข่าวการเมืองไปวันๆ เอามาลงในคอลัมภ์ที่เธอเริ่มจะได้เขียนบ้าง

วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ชนกพรกลับมาที่บ้านและบอกกับพวกเราว่า

“อย่าไปที่สนามหลวงนะพวกแกเรื่องมันจะบานปลายใหญ่โตแล้ว”

“เอ๊ยจริงเหรอ ไหนว่าไปชุมนมกันไม่มีอาวุธไง ทำไมถึงมีเรื่องบานปลายได้” จันทร์จิราที่พอจะรับรู้เรื่องเราวการชุมนุมแถวๆ ราชดำเนินมาบ้างก็ท้วงขึ้น

“จริงๆ นะไอ้เจ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นๆ กันได้” ชนกพรยังยืนยันหนักแน่นในคำพูดของตัวเอง

เมื่อไม่นานมานี้มีการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจของรัฐบาลจากพิษเศรษฐกิจ ประเทศแทบไม่มีอะไรดีให้หลงเหลืออยู่ ฉันยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในตอนที่มีรัฐประหาร มีการพูดคุยกันจนหนาหูถึงเรื่องการทำรัฐประหาร ฉันก็ฟังหูไว้หู อีกอย่างแถวๆ สนามหลวงก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเดือนตุลาเมื่อยามที่ฉันยังเป็นเด็กตัวเท่าลูกแมว

เรื่องเล่าที่บอกต่อๆ กันมาว่าปีนี้จะเป็นเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนชักจะหนาหูมากขึ้น มีการประท้วงกันอยู่ที่ราชดำเนิน และทุกวันชนกพรก็จะเอาข่าวมาบอกพวกเราว่าความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

ฉันนั่งรถจากบ้านไปที่ทำงานย่านใจกลางเมืองในวันนั้นแต่สิ่งที่พบเห็นก็คือสภาพถนนที่ไฟแดงโดนทำลายแตกกระจายเกลื่อนพื้น รถติดยาวเหยียด ต้องมีตำรวจคอยช่วยเหลือทำตัวเป็นไฟแดงตามสี่แยกต่างๆ แทน

กว่าจะไปถึงที่ทำงานได้ก็เกือบจะสาย เมื่อไปถึงที่ทำงานพี่ๆ ที่ทำงานก็บอกว่าคงต้องหยุดงานสักหลายๆ วันเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะบานปลาย

จริงอย่างที่ชนกพรบอก และเย็นวันนั้นก็มีข่าวการเผารถเมล์ เผารถตำรวจแถวๆ สน.นางเลิ้ง เรื่องที่คิดว่าจะเป็นการรวมตัวกันแบบสงบๆ มันเริ่มลุกลาม ข่าวที่เห็นนักข่าวสาวโดนพานท้ายปืนตี

ข่าวที่เหล่าบรรดาผู้ชุมนุมประท้วง โดนไล่กวดโดยทหารที่พบอาวุธครบมือมีออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ สาเหตุของการประท้วงมาจากการสืบทอดอำนาจของผู้เป็นใหญ่ ฉันก็ไม่เข้าใจว่า สันติวิธีของใครบางคน ทำไมถึงได้เรียกเลือดของคนในชาติ และกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยคำว่า “อำนาจ เผด็จการ”

นักศึกษาชุมนุมประท้วนกันทั่วเมือง ตั้งแต่ย่านรามคำแหง ย่านจุฬา ย่านสนามหลวง เหตุการณ์ไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงได้ง่ายๆ เลย ยิ่งปราบปรามคนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ชนกพรเดินกลับมาที่บ้านในยามดึกด้วยท่าทางที่อ่อนล้า

“เป็นไงนกเกิดอะไรขึ้น” จันทร์จิราถามคนรักและเข้าไปช่วยชนกพรหอบหนังสือที่ชนกพรหยิบติดมือกลับมาบ้านด้วยและเอาไปวางไว้บนโต๊ะ

“ที่มอจันทร์เป็นไงบ้างล่ะ”

“อืมก็หึ่มๆ กันไปตามเรื่อง”

“แต่ที่ราชดำเนินหึ่มๆ ยิ่งกว่าที่ไหน”

“ระวังตัวด้วยแล้วกันเราห่วงนกนะรู้ไหม”

“จ้ารู้แล้วไม่ต้องห่วงเรามากนักหรอก อีกอย่างเราพกหลวงพ่อโกยไว้กับตัวไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นเข้าใจ๋สาวน้อย” ชนกพรยังคงพูดเล่นไปเรื่อยเปื่อย

“ขอให้โกยได้ทันเอะนก เราเป็นห่วง” จันทร์จิราส่งสายตาห่วงใยให้กับชนกพร เธอเริ่มรู้สึกเป็นห่วงชนกพรขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก

“เออเมื่อกี้เห็นรถทหารเข้ามาเยอะมากไม่รู้จะเอาไปปราบอะไรหรือเปล่า” รตีที่เดินออกมาจากห้องน้ำบอกกับพวกเรา

“เหรอเยอะขนาดไหน” ธิติมาที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ถามขึ้น

“ฉันว่ามาทั้งกองทัพเลยแก น่ากลัวฉิบ ถ้าไงพรุ่งนี้แกไม่ต้องไปทำงานดีกว่าไอ้นก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะยุ่ง ปืนมันไม่มีตา” รตีหันไปบอกชนกพรด้วยความเป็นห่วง

“เค้าคงไม่ทำอะไรนักข่าวมั๊งแก แต่ฉันจะระวังตัวไว้เพื่อน”

“อย่าชะล่าใจมากนักนะไอ้นก พวกเราเป็นห่วงแกทุกคน” จินตนาเสริมทัพความห่วงชนกพรขึ้นไปอีก

การสนทนาในคืนวันนั้นเรารู้ว่ายังไงชนกพรก็ไม่เชื่อ รุ่งเช้าชนกพรก็ยังออกไปทำข่าวของเธออยู่ดี

“เกิดเหตุยิงกันระหว่างประชาชนที่ไปชุมนุมประท้วงที่บริเวณถนนราชดำเนินกับเจ้าหน้าที่ จำนวนผู้บาดเจ็บยังไม่สามารถรายงานตัวเลขได้ในขณะนี้”

เราทุกคนเมื่อได้ยินข่าวสิ่งที่คิดได้ในตอนนี้และพูดออกมาพร้อมกันก็คือ

“ไอ้นก!!!!”

จันทร์จิราถึงกับมือสั่น เมื่อได้ดูข่าวในโทรทัศน์

“ออกไปตามไอ้นกกันเถอะ” รตีบอกกับจันทร์จิรา

“ทิ้งเอาไว้ที่นี่คนนึงหรือสองคนก็ได้ ไอ้ธิแกกับลูกไก่รออยู่ที่บ้านนะพวกฉันจะได้โทรเข้ามาถามเป็นระยะๆ ว่าไอ้นกติดต่อกลับมาที่บ้านบ้างหรือเปล่า”

“โอเคเพื่อนฉันอยู่โยงให้เอง”

“กริ๊งๆๆๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“ฉันรับเอง” รตีบอกและเดินไปรับโทรศัพท์

“สวัสดีค่ะ”

“ตีเหรอขอสายแป๊ดหน่อยสิเรากิ่งเอง” ปลายสายบอกรตี

“อ๋อกิ่งเหรอเดี๋ยวนะ แป๊ดโทรศัพท์แกจากกิ่ง” รตียื่นโทรศัพท์ในมือให้ฉัน

“ว่าไงกิ่งนี่เรากำลังจะออกไปหาไอ้นกกัน ดูข่าวทีวีแล้วเป็นห่วงมัน” ฉันบอกกับคนรัก

“อืมไม่ต้องไปหาแล้วไอ้นกอยู่กับเรา แป๊ดใครมีเลือดกรุ๊ปโอบ้างลองถามที่บ้านให้หน่อย” เสียงของเธอถามฉันอย่างร้อนรน

“เราไงกรุ๊ปโอ ว่าแต่ถามทำไมเหรอ”

“ไม่มีอะไรถ้ามีเลือดกรุ๊ปโอออกมาหาเราที่โรงพยาบาลหน่อยสิเราต้องการ”

“เดี๋ยวนะเดี๋ยวถามก่อน”

“เฮ้ยพวกแกใครมีเลือดกรุ๊ปโอบ้าง”

“ฉันมีแต่ตอนนี้แดงเดือดวะ” ธิติมาตอบ

“ฉันก็โอ” รตีอีกเช่นกัน

“มีแค่นี้เหรอไอ้เจ้าแกกรุ๊ปอะไร”

“กรุ๊ปเอ” จันทร์จิราตอบแบบซังกะตายเพราะใจของเธอกำลังห่วงชนกพรมากกว่า

“เราก็น่าจะโอนะเพราะพ่อกับแม่เราโอ” กันตาเองไม่แน่ใจในกรุปเลือดของตัวเองตอบเหมือนกัน

“โอเคกิ่งตอนนี้มีสี่คนที่กรุ๊ปโอ ว่าแต่กิ่งจะเอาไปทำอะไร”

“พอดีมีคนที่นี่ต้องการเลือดด่วน พวกแป๊ดจะออกมาจากบ้านตอนนี้เลยได้หรอเปล่า”

“ได้สิไปกันหมดนี่เลยหรอ”

“อืมใช่มากันให้หมดบ้านนั่นล่ะ เออบอกจันทร์ด้วยว่านกอยู่กับเราไม่ต้องห่วง”

“โอเคเราจะบอกให้”

“รีบๆ ออกมาเลยนะแป๊ด”

“จ้าแม่จะรีบไปเดี๋ยวนี้” หลังจากวางสายของภัทรทราภรณ์ฉันก็บอกข้อความทั้งหมดที่เธอฝากบอกเพื่อนๆ และพวกเราก็นั่งรถของกันตาไปยังโรงพยาบาลที่ภัทรทราภรณ์อยู่

“ไอ้นกมันไปทำข่าวที่โรงพยาบาลหรือไงวะ ทำไมไปอยู่กับกิ่งได้” รตีเริ่มการสนทนาที่พวกเราเองก็ตอบไม่ได้

“นั่นสิ หรือว่าไปทำข่าวคนที่บาดเจ็บหรือไม่ก็คงไปเก็บข้อมูลของคนบาดเจ็บมั๊ง” ธิติมาเดาไปเรื่อยเปื่อย

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลดูโกลาหลไปหมด เพราะเต็มไปด้วยคนที่บาดเจ็บจากการชุมนุม ฉันเดินไปที่ประชาสัมพันธ์ถามหาภัทรทราภรณ์ที่นั่นและก็ได้รับคำตอบว่าเธอทำงานอยู่ในห้องฉุกเฉิน เรารออยู่ที่หน้าห้องไม่นานภัทรทราภรณ์ก็เดินออกมา

“ไปแป๊ดไปคลังเลือดกันไปเร็วๆ เข้า” ท่าทางของภัทรทราภรณ์ดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

เธอเดินนำพวกฉันไปที่คลังเลือดและทุกคนก็เจาะเลือดของตัวเอง ในที่สุดทุกคนก็ได้บริจาคเลือดกันหมด ยกเว้นธิติมาคนเดียวเท่านั้นที่แดงเดือดและไม่สามารถที่จะบริจาคเลือดได้ ฉันเห็นภัทรทราภรณ์ไปบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่คลังเลือดสักพักเธอก็เดินมาบอกฉันว่า

“เดี๋ยวเสร็จแล้วแป๊ดรอเราอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินนะอย่าไปไหนอย่าไปไหนนะ” ภัทรทราภรณ์ย้ำคำว่า “อย่าไปไหนถึงสองครั้ง” จนฉันเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง

ในความคิดของฉันตอนนี้กลับนึกถึงชนกพรในครั้งหนึ่งสมัยเรียนมอหกตอนพวกเราเรียน รด. ในชั่วโมงสุดท้ายกันและเราไม่อยากที่จะไปพัฒนาคูคลอง ฉันกับชนกพรจึงเลือกที่จะไปบริจาคเลือดแทน

“ไปไอ้แป๊ดไปบริจาคเลือดกัน”

“ไม่เอาเว่ยกลัวเข็ม” ฉันรีบปฏิเสธไปทันทีเหมือนกัน เพราะใจนั้นกลัวเข็มมาแต่ไหนแต่ไร

“ไปเถอะน่าแกก็ดีกว่าลงน้ำ” ชนกพรรุนหลังฉันที่ออกท่าทางกลัวเข็มจนหน้าซีด

“เลือดกรุ๊ปโอนะคะ” พยาบาลบอกกับฉันและชนกพรเมื่อเจาะเลือดที่ปลายนิ้วของเราทั้งสองไปตรวจเรียบร้อย

ฉันจำได้ว่าขาของฉันสั่นไปหมด เพราะเมื่อเห็นเข็มอันโตๆ และเลือดที่ไหลลงไปในถุง มันเป็นเหมือนกับถุงเลือดหมูที่แม่ค้าตามตลาดเค้าเอามาขาย

“หนีเสือปะจระเข้หรือเปล่าวะไอ้นก” ฉันสะกิดชนกพรที่เธอเองก็สั่นไม่แพ้กับฉัน

“นั่นสิแก เอาวะเป็นไงเป็นกันเสียเลือดดีกว่าเสียแรง” ชนกพรตอบแบบตัดใจ ทั้งๆ ที่เธอเองก็กลัวเข็มอันโตนั้นเหมือนกับฉันเช่นกัน

ความหลังครั้งวันวานนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ฉันจำฝังใจอยู่ตลอดไม่มีวันลืม เพราะมันเป็นวันที่ฉันเสียเลือดแบบมีประโยชน์ครั้งแรกในชีวิตและเมื่อมีครั้งต่อมาเรื่อยๆ ฉันก็ไม่เคยกลัวเข็มบริจาคเลือดอีกเลย

ที่สำคัญทำไมภัทรทราภรณ์ต้องการเลือดกรุ๊ปโอ และทำไมถึงเจาะจงแต่เลือดกรุ๊ปนี้ หรือว่ามีใครเป็นอะไรมากมายถึงขนาดที่จะต้องใช้เลือดด่วนแบบนี้

สิ่งที่พวกเราค้างคาใจก็ได้ถูกเฉลยเมื่อภัทรทราภรณ์พาพวกเราไปรออะไรสักอย่างที่หน้าห้องผ่าตัด

“มาทำไมที่นี่กิ่ง” จันทร์จิราที่ทนไม่ไหวถามขึ้นมา

“มาให้กำลังใจนกกันนะเพื่อนๆ ช่วยกันภาวนาให้นกปลอดภัยกับการผ่าตัดครั้งนี้” เสียงของภัทรทราภรณ์สั่นเครือ

“อะไรนะไอ้นกเป็นอะไร” จันทร์จิราจับต้นแขนของภัทรทราภรณ์เขย่าย่างแรง จนตัวของภัทรทราภรณ์เซ

“นกเค้าโดนยิงจากด้านหลังทะลุท้อง แต่ไม่ต้องห่วงนะเพื่อนอาจารย์หมอกำลังช่วยอยู่”

“พูดอกมาได้ไงกิ่งว่าไม่ต้องห่วงใช่สินกไม่ใช่แป๊ดแฟนกิ่งนี่กิ่งจะได้ไม่ต้องห่วง ลองมาเป็นไอ้แป๊ดบ้างสิกิ่งจะห่วงมันแค่ไหน ทำไมนะทำไมไม่เป็นฉันแทนที่จะเป็นนก ทำไมแกบอกฉันสิว่าทำไม ทำไมเมื่อเช้าฉันไม่ฉุดนกไว้แล้วบอกว่าอย่าไปเลยฉันหวงมัน ฉันนี่มันแย่มากๆ เป็นแฟนที่แย่มากๆ แค่เลือดฉันก็ให้คนรักของฉันไม่ได้ ฉันมันไม่เอาไหนเลยเกิดมาเสียชาติเกิด ฮือๆๆ” จันทร์จิราระเบิดอารมณ์ของเธอใส่ภัทรทราภรณ์อย่างบ้าคลั่ง และร้องไห้ออกมาเหมือนกับคนบ้า

“ไอ้เจ้าสงบสติอารมณ์หน่อยสิแกไอ้หมอมันไม่ผิดนะแก มันช่วยไอ้นกนะเว่ยแกไปว่ามันได้ไง” รตีจับจันทร์จิราที่ตีอกชกหัวตัวเองอยู่ให้หยุดทำร้ายตัวเองธิติมาก็เข้าไปช่วยรตีจับจันทร์จิราเช่นกัน

ในหัวสมองของพวกเราตอนนี้มีแต่ภาพของชนกพรเต็มไปหมด พวงทองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับจันทร์จิรา ภาพการสนทนาของจันทร์จิรากับชนกพรเมื่อเช้ายังคงติดอยู่ในหัวสมองของพวงทอง

“ระวังตัวด้วยแล้วกันเราห่วงนกนะรู้ไหม”

“จ้ารู้แล้วไม่ต้องห่วงเรามากนักหรอก อีกอย่างเราพกหลวงพ่อโกยไว้กับตัวไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นเข้าใจ๋สาวน้อย”

ทั้งๆ ที่คนทั้งบ้านไม่มีใครออกไปไหน ทั้งๆ ที่คนทั้งบ้านกลัวตายกลัวจะเกิดเรื่องแต่ชนกพรไม่กลัว เธอออกจากบ้านไปพร้อมๆ กับคำทัดทานของเพื่อนๆ ให้ระวังตัวให้ดี

จากวิถีกระสุนที่ภัทรทราภรณ์บอกแสดงว่าชนกพรโดนยิงขณะที่พยายามจะวิ่งหนี พวงทองเริ่มอยากที่จะรู้ว่าใครกันนะที่ใจคอโหดเหี้ยม ชั่วช้าถึงขนาดยิงกราดผู้หญิงที่วิ่งหนีได้ คนเหล่านั้นไม่มีลูกเมียพ่อแม่พี่น้องบ้างหรืออย่างไรกัน และจิตใจทำด้วยอะไร

ชนกพรเป็นคนน่ารักนิสัยดีมองโลกในแง่ดีมาตลอด ทำไมถึงได้โดนอะไรแบบนี้

พวกเราได้แต่สวดมนต์ให้กับชนกพรขอให้พระคุ้มครองให้เธอรอดปลอดภัย ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งทางใจให้กับพวกเราได้มากกว่าขอให้พระคุ้มครองชนกพรเพื่อนที่แสนดีของเรา

....................

หลังจากที่โภคินและจารวีรู้ข่าวของลูกสาวตนเองจากภัทรทราภรณ์ ก็รีบบึ่งรถลงมาจากเมืองเหนือเข็มไมล์ของรถมีเท่าไหร่โภคินเหยียบมาจนมิด ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวของตนเอง ระยะทางหกร้อยกิโลเมตรกับการเดินทางสี่ชั่วโมงกว่าๆ หากใครรู้ก็คงคิดว่าโภคินเหาะมาอย่างแน่นอน

สองชั่วโมงแล้วที่ชนกพรอยู่ในห้องผ่าตัด

เมื่อโภคินมาถึงหมอก็ออกมาพร้อมกับภัทรทราภรณ์ เขารีบตรงไปบอกกับหมอว่า

“เอาเลือดผมไหมครับ เอาเลือดผมให้ลูกผมไหมครับหมอ”

“คุณไม่ได้พักผ่อนเลือดคงให้ไม่ได้หรอกครับ แล้วตอนนี้การผ่าตัดของเราก็เรียบร้อยแล้วกระสุนที่ฝังอยู่ก็เอาออกมาเรียบร้อยแล้วครับคนไข้ปลอดภัยดี ตอนนี่เราขอให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อนสักระยะพรุ่งนี้สายๆ อาจจะเข้าเยี่ยมได้”

“ผมแค่อยากเห็นหน้าของลูกสาวผมเท่านั้นครับหมอ”

“ตอนนี้คงยังไม่ได้ครับ คนไข้ยังไม่พร้อมที่จะพบใครใจเย็นๆ นะครับพรุ่งนี้ได้เจอแน่ๆ ผมรับรองกลับไปพักผ่อนเถอะครับคุณ มาใหม่วันพรุ่งนี้ หมอต้องขอตัวก่อนนะครับมีคนไข้รายอื่นรออยู่”

“แม่ค่ะพ่อค่ะกลับไปพักที่บ้านก่อนดีกว่าค่ะดึกแล้วด้วย” รตีเข้ามาบอกกับคุณโภคินและคุณจารวีที่ยังคงยืนเกาะประตูไม่ห่างไปไหน

“แม่คงนอนไม่หลับหรอกลูกรตีแม่ห่วงนก” คุณจารวีเดินท่าทางเหมือนจะอ่อนแรงมานั่งที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด

“นกเป็นคนดีค่ะแม่นกต้องปลอดภัย” พวงทองให้กำลังใจคุณจารวี และยังคงนั่งเอายาดมให้กับคุณจารวีดม เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าคุณจารวีจะเป็นอะไรไปอีกคน

“ขอให้นกหายเถอะลูกขอให้นกปลอดภัยแม่สัญญาว่าถ้านกหายนกอยากได้อะไรนกอยากทำอะไรแม่จะยอมทุกอย่างแล้ว แค่ขอให้นกปลอดภัยก็พอแล้วจริงๆ นะเติ้ล ให้แม่เจ็บปวดแทนนกได้แม่จะทำแล้วลูก”

“ค่ะแม่เติ้ลเข้าใจ เติ้ลรู้ค่ะแม่” พวงทองส่งผ่านความรักของเธอให้กับแม่ของเพื่อนรักที่ตอนนี้ดูเหมือนจะอยากเจ็บอยากป่วยแทนลูกของตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด

จันทร์จิรานั่งพิงผนักเก้าอี้เหม่อลอยราวกับคนไม่มีสติ พวกเราได้แต่มองจันทร์จิราและสงสารจับใจ

....................

รุ่งขึ้นในตอนเช้าหมออนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมชนกพรได้ คุณโภคินและคุณจารวีรีบเข้าไปก่อนใคร เพราะเข้าเยี่ยมได้ครั้งละสองคน ทั้งสองท่านเข้าไปนานมากจนพวกเราเริ่มเป็นห่วงอาการของชนกพร

“กิ่งนกเป็นไงบ้าง”

“นกฟื้นแล้วแต่ยังขยับไม่ได้มาก กระสุนมันฝังที่กระดูกสันหลังกว่าจะเอาออกมาได้เห็นอาจารย์หมอบอกว่าใช้เวลามาก โชคดีนะที่ไม่ตัดเส้นประสาทโล่งอกไปหน่อยนึง ตอนนี้นกต้องการพักผ่อนมากๆ พวกแป๊ดกลับบ้านไปก่อนเถอะ เอาจันทร์กลับไปด้วยถึงอยู่เราก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้หรอก”

“งั้นกิ่งช่วยบอกพ่อกับแม่ด้วยนะว่าพวกเรากลับก่อนแล้วเย็นๆ เราจะกลับมาใหม่” รตีบอกกับภัทรทราภรณ์

“ได้ตีเราจะบอกให้ไม่ต้องห่วงทางนี้นะเราดูแลให้เอง”

พวกเราช่วยกันประคองจันทร์จิรากลับบ้าน อาการเหม่อลอยของจันทร์จิราทำให้พวกเป็นห่วงมากยิ่งกว่าชนกพรที่อยู่โรงพยาบาลมากมายนัก จันทร์จิราไม่กินไม่นอนไม่ขยับไปไหนนั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกไม่ขยับไปไหน ราวกับเป็นก้อนอะไรสักอย่างที่เราจับวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น

“ไอ้เจ้าท่าจะเป็นหนักมากเลยนะพวกแก” ธิติมาบุ้ยปากไปที่จันทร์จิรา

“ก็เข้าใจมันนะว่ารักมากก็ห่วงมากแต่ฉันกลัวว่ามันเป็นแบบนี้ตัวมันเองจะทรุดมากกว่าไอ้นกนะสิแก” รตีออกความเห็นบ้าง

“ไอ้เจ้ากินนมอุ่นๆ สักนิดเถอะแก อย่านั่งซึมแบบนี้เลยแก ถ้าไอ้นกมันเห็นแกแบบนี้มันจะต้องเสียใจมากๆ เลยนะแก” จินตนายื่นแก้วนมที่เธออุ่นมาแล้วส่งให้จันทร์จิราแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับหรือปฏิเสธจากจันทร์จิราแต่อย่างใด

“ไอ้แป๊ดโทรไปถามกิ่งสินกดีขึ้นหรือยัง” จันทร์จิราหันมาบอกฉันแทนที่จะรับนมจากในมือของจินตนา

ฉันลุกไปโทรศัพท์ฝากข้อความไว้เพื่อให้ภัทรทราภรณ์โทรกลับ จากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจันทร์จิรารีบลุกไปรับโทรศัพท์ทันที

“ไอ้หมอนกเป็นไงบ้าง”

“นกได้สติแล้วกินอาหารอ่อนๆ ได้แล้วจันทร์ ตัวเธอเองก็รีบๆ กินอะไรเข้าไปบ้างแล้วกัน เย็นนี้แต่งตัวสวยๆ หอมๆ มาเยี่ยมนกนะจันทร์”

“ได้ๆ เราจะกินเราจะอาบน้ำเดี๋ยวนี่แหละไอ้หมอขอบใจมากนะเพื่อน”

“ไม่เป็นไรจันทร์ เราเพื่อนกัน”

หลังจากจันทร์จิราวางสายของภัทรทราภรณ์ก็รีบไปอาบน้ำ และลงมากินนมในแก้วที่จินตนาวางเอาไว้ให้ จันทร์จิราเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเยี่ยมชนกพรตั้งแต่รับโทรศัพท์ของภัทรทราภรณ์ นั่งรอเวลาที่พวกเราจะไปโรงพยาบาล

กว่าเราจะมาถึงโรงพยาบาลก็ราวๆ บ่ายเศษๆ จันทร์จิรารีบเปิดประตูรถและวิ่งลงไปตั้งแต่รถของกันตายังไม่ถึงประตูโรงพยาบาล ฉันรีบวิ่งตามจันทร์จิราไปติดๆ เพราะกลัวว่าจันทร์จิราจะทำอะไรแปลกๆ อีกหากเห็นสภาพจริงๆ ของชนกพรไม่เป็นไปตามที่จันทร์จิราคาดเดาเอาไว้

แต่เมื่อมาถึงห้องของชนกพรฉันก็ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง เพราะชนกพรฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ จันทร์จิราเจ้าไปจับมือของชนกพรบีบให้กำลังใจ

“นกรู้ไหมว่าเราห่วงนกมากแค่ไหน ต่อไปนี้อย่าไปทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีกนะเข้าใจไหมนก”

ชนกพรพยักหน้าตอบรับจันทร์จิรา แววตาของเธอสดใสเหมือนเช่นที่เคยมา จันทร์จิราอยากที่จะก้มลงจูบแก้มซีดๆ ของชนกพรเหลือเกินติดแต่อยู่ที่คุณโภคินและคุณจารวีพ่อกับแม่ของชนกพรยังนั่งเฝ้าลูกสาวอยู่ที่ปลายเตียง

ทั้งสองคนสื่อสารกันด้วยสายตาแห่งความรักและความห่วงใย จนกระทั่งเพื่อนๆ ทั้งหมดเดินเข้ามาในห้อง จากห้องที่ดูใหญ่เมื่อสักครู่กลายเป็นห้องที่เล็กลงไปถนัดตา

เมื่อทักทายคนป่วยที่นอนยิ้มแป้นกันหมดทุกคนแล้ว พวงทองก็เข้าไปถามคุณโภคินกับคุณจารวีว่า

“พ่อกับแม่ทานอะไรหรือยังคะ”

“ยังเลยลูก มัวแต่ห่วงนกก็เลยกินอะไรไม่ลง” โภคินตอบพวงทองเพราะเขากับภรรยายังไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรทั้งนั้นตั้งแต่เมื่อคืน

“งั้นไปหาอะไรกินกับเติ้ลก่อนดีไหมค่ะ ทางนี้เดี๋ยวเพื่อนๆ ดูแลให้เอง”

“ก็ดีเหมือนกันเติ้ล แม่ฝากนกไม่เดี๋ยวนะจันทร์เดี๋ยวแม่กับพ่อมา”

“ค่ะแม่”

หลังจากที่พวงทองภาคุณโภคินและคุณจารวีออกจากห้องไป จันทร์จิราก็ก้มลงกอดชนกพรแบบหลวมๆ เพราะกลัวว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงจะเป็นอะไรไป

“คราวหลังไม่ทำแล้วนะงานแบบนี้ ไม่ต้องทำงานอะไรเลยก็ได้เราเลี้ยงนกได้สบายมาก”

“ไม่เอาหรอกจันทร์ถ้าไม่ทำงานอะไรเลยมันก็เหมือนเป็นตัวถ่วงจันทร์ ไม่เอาดีกว่าเราทำงานดีกว่า”

“ไม่ได้สิก็นกไม่สบายนกไม่ต้องทำงานหรอกเราจะทำเองนกเป็นแม่บ้านให้เราเป็นทุกอย่างให้เรา รู้ไหมนกถ้านกเป็นอะไรขึ้นมาเราจะอยู่ได้ไงถ้าไม่มีนก”

“จันทร์เรารู้ว่าจันทร์รักเรา แต่เราขอเถอะนะถ้าเกิดเราเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จันทร์ต้องอยู่ต่อเราไม่อยากให้จันทร์ต้องอยู่กับความทุกข์ ในวันที่ไม่มีเรา”

“ไม่นะนกอย่าพูดแบบนี้”

ชนกพรกำลังจะเถียงจันทร์จิราแต่ปากที่ซีดเซียวของชนกพรก็ถูกประกบด้วยปากของจันทร์จิรา และไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของคนทั้งคู่อีก

แต่แล้วประตูห้องก็เปิดเข้ามา คุณจารวีที่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์และกลับเข้ามาได้เห็นภาพที่เธอเองไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น คู่หมั้นของหลานชายสามี เพื่อนคนสนิทของลูกสาวจูบกัน ทำเอาคุณจารวีแทบเข่าอ่อน มันเกิดอะไรกับลูกสาวเธอและเพื่อนสนิทคนนี้ โดยที่เธอไม่เคยรับรู้

..... จบบทที่ ๒๙ ....



Create Date : 30 มิถุนายน 2551
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 12:03:23 น. 0 comments
Counter : 310 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.