It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๘ ลงตัว

ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๘

จากข่าวคราวเรื่องของมารดาที่ได้รับรู้จากปากของป้าแจ่มจรัสนั้น ทำให้ธัญชนกได้รู้เรื่องแต่หนหลังของมารดาตนมากขึ้น ภาพมารดาที่อยู่ในความทรงจำอันลางเลื่อนของเธอนั้น มารดาป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เธอนั้นจำความได้ เมื่อเวลามารดาป่วยมากๆ คนที่บ้านจะจับเธอแยกออกจากมารดาเสมอ เธอรู้แต่เพียงว่ามารดานั้นเป็นโรคเลือดต้องถ่ายเลือดอยู่เป็นประจำ เมื่อครั้งสุดท้ายที่ไปพบมารดานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เนื้อตัวของมารดาเป็นจ้ำเต็มไปหมด ป๋าบอกว่ามารดาเธอป่วยมากอีกไม่นานมารดาจะไปอยู่บนสวรรค์

จากวันนั้นธัญชนกก็ไม่ได้พบมารดาของตนอีกเลย เมื่อป้าแจ่มจรัส เล่าว่ามารดาเธอรู้ตัวว่าป่วยแต่อยากมีทายาทไว้เพื่อให้ป้าแจ่มจรัสได้เห็นเป็นตัวแทน เพราะรู้ตัวดีว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน ป๋าของเธอได้ทักท้วงการมีบุตร แต่มารดาตนไม่ยอมที่จะทำแท้ง คงเก็บเธอไว้และพยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงเพื่อจะได้เห็นหน้าลูกที่จะเกิดขึ้นมา แต่เมื่อคลอดลูกแล้วมารดาเธอก็ทรุดลงเรื่อยๆ โรคร้ายได้พรากมารดาเธอไปจากเธอตั้งแต่เธออายุได้เพียง ๒ ขวบกว่าๆ เท่านั้น

ธัญชนกเติบโตมาโดยมีเพียงพี่เลี้ยงที่คอยเลี้ยงดูเธอ และเปลี่ยนพี่เลี้ยงไปเรื่อยๆ เมื่อพี่เลี้ยงลาออกไปแต่งงาน อาม่ามาดูแลบ้างบางครั้ง ครั้นเมื่อป๋าแต่งงานครั้งใหม่ แรกๆ แม่เลี้ยงเธอก็คอยดูแล แต่เมื่อแม่เลี้ยงมีลูกของตนเองก็ละเลยเธอไม่ใส่ใจ คงเป็นธรรมดาของแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง

ในบางปีที่ปิดเทอมน้าๆ จะมาแวะเยี่ยมเยียนที่บ้านพาไปเที่ยวบ้าง และทุกครั้งก็จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ของมารดาให้เธอฟังเสมอ นั่นยังไม่เท่าคำบอกเล่าจากป้าแจ่มจรัสที่เล่าเรื่องมารดา ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กนักเรียนไว้ผมจุกและซุกซนขนาดไหน เรื่องสนุกมากมายของมารดาและผองเพื่อนๆ สมัยเมื่อมีรองเท้าส้นตึกใหม่ๆ เดินตกท้องร่องหลังโรงเรียน แอบหนีโรงเรียนไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมไทย และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องการแต่งงานของมารดาเธอกับป๋า ที่ทั้งสองตระกูลได้หมั้นหมายกันมาตั้งแต่ป๋าและมารดาเธอยังไม่เกิด ความกตัญญูของมารดาต่อบุพการี ซึ่งดูเหมือนป้าแจ่มจรัสจะจดจำได้อย่างแม่นยำทุกเรื่องราวและถ่ายทอดสู่เธอ

ผิดกับเธอเองที่จำได้เพียงภาพสุดท้ายที่มารดากอดเธอ เธอรับรู้ได้ถึงความรักความอาทรจากมารดา ซึ่งนับจากวันนั้นธัญชนกไม่เคยได้รับอ้อมกอดแบบนั้นจากใครอีกเลย จนกระทั่งมาพบมัชวี มัชวีที่แสนดีอ้อมกอดที่อบอุ่นที่ธัญชนกโหยหามานานแสนนาน ถึงแม้จะเทียบกับอ้อมกอดของมารดาไม่ได้แต่เธอก็รู้สึกดี และอ้อมกอดของป้าแจ่มจรัสอ้อมกอดนี้คล้ายจะมีไออุ่นที่เธอคุ้นเคย

อ้อมกอดนี้สินะที่เคยกอดมารดาเธอไว้ อ้อมกอดนี้สินะที่เคยประคองมารดาเธอเมื่อยามล้ม ธัญชนกนอนหนุนตักป้าแจ่มจรัสอยู่จนเวลาคล้อยบ่าย โดยอีกตักที่เหลือก็เป็นของมัชวีป้าแจ่มดูมีนัยน์ตาแห่งความสุขเอ่อล้น

…………………………..

มัชวีแวะไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาของมานิตาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งท่านทั้งสองตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเข้าวัดมากกว่าปกติ มัชวีเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ท่านทั้งสองเริ่มปรับตัวเข้าหากันได้ ครอบครัวดูเป็นครอบครัวมากขึ้น หากเป็นเช่นนี้แต่แรกมานิตาก็คงไม่ว้าเหว่เสียจนตัดสินใจผิดพลาด แต่เมื่อเรื่องราวผ่านไปแล้วมัชวีก็ไม่อยากจะนึกถึงอีก คงปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องลบล้างรอยร้าวที่เกิดขึ้นนั้นเองจะดีกว่า

เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปรวดเร็ว จนใกล้เปิดเทอม ทั้งสองก็ต้องจากป้าแจ่มจรัสมายังมหาวิทยาลัย ธัญชนกดูอาลัยอาวรณ์กับป้าแจ่มมากเป็นพิเศษ เรื่องลุ้นระทึกก็ต้องเป็นเรื่องการขับรถของมัชวีจากกรุงเทพไปมหาวิทยาลัย ธัญชนกอดเป็นห่วงไม่ได้หากมัชวีจะขับรถไปเอง เพราะไม่ยอมให้นายต้อยคนรถขับไปส่งป้าแจ่มจรัสก็ไม่สามารถที่จะทักท้วงอะไรได้มากนัก เพราะมัชวีค่อนข้างดื้อพอสมควร

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อมัชวีจะขับรถเร็วธัญชนกจะเอ่ยปรามเสมอว่าชีวติยังอีกยาวไกล อย่าเอาตนเองและคนที่มัชวีรักมาทิ้งเพราะความเร็ว มัชวีเองก็เลยต้องขับรถคลานแบบเต่า ทั้งๆ ที่ประสิทธิภาพของรถคันนี้เป็นกระต่ายติดจรวด

แต่เมื่อขับไปสักพักมัชวีก็นึกขอบคุณธัญชนกที่คอยห้ามปรามเธอเพราะรถหลายคันที่เป็นกระต่ายติดจรวดแซงน้องฟ้าไปนั้น ต่างโดยตำรวจทางหลวงเรียกและถูกปรับฐานขับรถเกินพิกัดความเร็วเป็นทิวแถว ทำให้เสียเวลาไปมากกว่าเธอทั้งสองคนมากมาย

“ขอบคุณนะค่ะที่รักที่คอยเตือนมัช” มัชวีหันไปยิ้มกับธัญชนกที่นั่งอยู่ด้านข้างตน

“ไม่เป็นไรหรอกมัช ถึงช้าดีกว่าไม่ถึงเลย” ธัญชนกยิ้มตอบและกุมมือของมัชวีไว้

ถึงช้าดีกว่าไม่ถึง คำคำนี้ต้องจำไว้ซะแล้วสิมัชเอ๊ย

.................................................

เมื่อกลับมาถึงหอพักมัชวีเห็นการอยู่โดยแยกห้องของทั้งเธอและธัญชนกนั้นเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ด้วยมัชวีเองเห็นว่าธัญชนกต้องการใช้เงินอีกมากมายหากเธอทั้งสองย้ายมาอยู่ด้วยกันจะทำให้ธัญชนกประหยัดได้มากกว่าการแยกกันอยู่ จึงยื่นข้อเสนอกับธัญชนกว่า

“พี่ธัญมัชว่าเราย้ายหอพักกันดีหรือเปล่า”

“ทำไมหละน้องมัชพี่ว่าแบบนี้ก็ดีแล้วนี่นา”

“ดีตรงไหนหละค่ะ เสียเงินสองต่อ เราย้ายไปอยู่ด้วยกันจะได้เสียค่าห้องแค่ห้องเดียว อีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีที่จอดน้องฟ้าของมัชด้วยจอดไว้ข้างถนนแบบนี้มัชว่าไม่ค่อยปลอดภัยนะค่ะพี่ธัญ” มัชวียกเหตุผลซึ่งธัญชนกก็เห็นด้วย

ทั้งสองออกหาห้องพักที่เป็นอพาร์ตเม้นให้เช่า ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ไม่ห่างไกลกับตลาดมากนัก เป็นสัดส่วน มีรปภ.รักษาการณ์ น่าจะปลอดภัยพอสมควร เมื่อติดต่อห้องพักห้องใหม่ได้มัชวีก็จัดการวางเงินมัดจำและติดต่อกับป้าเจ้าของหอพักเดิมเพื่อที่จะย้ายออกในวันรุ่งขึ้น จากนั้นแยกย้ายไปห้องของตนเก็บข้าวของลงกล่อง จัดเป็นกองๆ วางไว้ให้สะดวกต่อการขนย้ายในวันรุ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้นมัชวีจ้างรถสองแถวที่มีอยู่ทั่วไปให้มาช่วยขนย้ายของออกจากหอพักไปยังที่พักแห่งใหม่ โดยมีธัญชนกคอยยืนให้กำลังใจและยกของย้ายของกันให้วุ่นวาย ดูเหมือนว่าข้าวของของพวกเธอจะไม่เยอะแต่พอเอามากองรวมกัน ก็ทำเอาห้องที่ดูใหญ่คับแคบไปถนัดตา กว่าจะจัดของเข้าที่ได้ เล่นเอาเหนื่อยไปตามๆ กัน

“เหมือนสองบ้านรวมเป็นบ้านเดียว” ธัญชนกเอ่ย

“นั่นสิค่ะ มัชไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ รู้งี้ไปเช่าบ้านจะดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอกมัช บ้านก็ต้องดูแลบริเวณอีก เราสองคนจะมีเวลาทำหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“อืม หิวแล้วคะพี่ ไปหาอะไรทานกันเถอะ” มัชวีชักเริ่มท้องร้อง

“สั่งพิซซ่ามาสิค่ะ” ธัญชนกเสนอเพราะจะได้ไม่ต้องออกไปข้างนอกให้เหนื่อยเนื่องจากข้าวของยังจัดไม่เข้าที่

“ไม่อ้าววววววววว มัชไม่กินพิซซ่า มัชเกลียดพิซซ่า” มัชวีตะโกนลั่น ทำเอาธัญชนกตกใจ

“อะไรทำไมหละสบายดีออก เราจะได้มีเวลาจัดของให้เรียบร้อย” ธัญชนกเอ่ยถาม

“พี่ธัญทำลืมแต่มัชจำได้ มัชจะไม่กินพิซซ่าไปอีกหลายปีเลยหละพิซซ่าทำมัชแห้ว” มัชวีทำหน้าเหยเก ส่วนธัญชนกนั้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้

............................................................

“ได้ยินว่าย้ายไปอยู่กับมัชแล้วเหรอธัญ” กีรณาเพื่อนสนิทเอ่ยถามหลังจากที่ได้พบกันในวันเปิดเทอม

“อืม” ธัญชนกรับคำแผ่วเบา

“ทำไมหละธัญ ตัวตัดสินใจดีแล้วเหรอแล้วนายชาติหละ” กีรณาออกท่าทางเป็นห่วงเพื่อนมากพอควร

“ตัวห่วงนายชาติหรือห่วงฉันยะยายกี” ธัญชนกแอบแซวหลังจากที่ได้ยินคำถามของเพื่อนรัก

“ก็ห่วงตัวนะสิยายธัญจะไปห่วงนายชาติทำไมกัน” กีรณาปฏิเสธเสียงแข็ง

“อ่อ เหรอ นึกว่าห่วงกลัวนายชาติจะอกหักซะอีก”

“บ้าแล้วเพื่อนฉันจะกลัวนายชาติอกหักทำไม”

“อะ อย่าบอกนะว่าไม่ได้รักนายชาติ ฉันรู้นะยะยายกีว่าตัวนะรักนายชาติชายใจดีเพื่อนสนิทของเรา ฉันยอมหลีกทางให้นะเพราะฉันมีคนของใจแล้ว ส่วนเรื่องนายชาติ ฉันว่าฉันกับนายชาติคงเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นเพราะในตอนนี้ฉันรักใครและไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้วนอกจากมัช” ธัญชนกอธิบาย ทำให้กีรณายิ้มแก้มแทบปริ

แต่ชาติชายที่ยืนอยู่หลังม้าหินอ่อนที่ได้ยินคำพูดของสองสาวที่นั่งหันหลังให้ตนนั้นถึงกับเข่าอ่อน ถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าธัญชนกที่เค้าแอบหลงรักจะเคยมีคนรักเป็นหญิง แต่เค้ากลับคิดว่าตนเองจะทำให้ธัญชนกเปลี่ยนใจได้ แต่เปล่าเลยตนไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใจธัญชนกได้แม้แต่น้อย

เมื่อครั้งที่ธัญชนกย้ายออกจากบ้านถึงแม้ตนจะพยายามยื่นความช่วยเหลือให้แต่ก็ถูกธัญชนกปฏิเสธ ธัญชนกให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้ตนต้องเดือดร้อนหากทางครอบครัวของธัญชนกมาสอบถามจะได้ไม่อึดอัดใจที่จะต้องตอบไปว่าไม่รู้เรื่อง ชาติชายปรับสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียกสองสาวที่นั่งอยู่

“เอ๊า สาวสวยทั้งสอง ไปกินอะไรกันหรือเปล่า” เสียงชาติชายที่ได้ยินจากด้านหลังทำเอาสองสาวสะดุ้ง

“อ้าวนายชาติมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” ธัญชนกกลบเกลื่อน

“ใครว่าไม่ให้ นี่ไงส่งเสียงมาแต่ไกลเชียวนะ”

“เหรอ ฉันนึกว่านายมาแอบฟังเราสองคนคุยกันซะอีก” ธัญชนกแอบแขวะ ทำเอาชาติชายถึงกับสะอึกเหมือนกับกลืนของแข็งลงคอ

“บ้าใครจะมาแอบฟัง”

“กินปูนร้อนท้อง” ธัญชนกเริ่มอีกรอบ

“โห่ เฮาบ่ ใจ๋ตั๊บแกร่ ต๊กโตฮั่นต๊กต้นต๋านต๋ายไปเมินแล้วเน้อ เฮาอะ ชาติชายร้อยเปอร์เซ็น เออว่าแต่ไปหาอะไรกินกันหรือเปล่าหิวแล้ว” ชาติชายเปลี่ยนเรื่องเอ่ยชวน

“ไม่หละนายไปกับยายกีเถอะเราต้องรอมัชเดี๋ยวก็มา” ยังไม่ทันที่ธัญชนกจะพูดจบ ก็เห็นรถสีฟ้าของมัชวีแล่นเข้ามาที่หน้าคณะ ธัญชนกเก็บของและลุกจากโต๊ะที่นั่ง

“ไปนะ มัชมาแล้วพวกนายไปกันเองก็แล้วกัน กินให้อร่อยหละ บาย” แล้วธัญชนกก็ปล่อยให้ทั้งสองมองตากันปริบๆ

“รอนานหรือเปล่าคะ” มัชวีที่เดินลงมาช่วยเปิดประตูรถรับธัญชนกเอ่ยถาม

“ไม่นานหรอกคะ พึ่งเลิกเหมือนกันก็เลยนั่งคุยกับยายกีรอมัช” ธัญชนกตอบก่อนที่จะแทรกตัวลงไปนั่งในรถ

“อืมงั้นเราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ แล้วค่อยกลับ” มัชวีเอ่ยก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมมายังที่นั่งคนขับและขับรถออกจากหน้าตึก

ภาพมัชวีลงมาเปิดประตูรถธัญชนกนั้นกีรณามองตามแล้วอดอิจฉาไม่ได้หากมีใครสักคนดูแลเธออย่างที่มัชวีทำกับธัญชนกคงดีไม่น้อย

ส่วนชาติชายกลับมองต่างกันภาพนั้นช่างบาดตาบาดใจเค้าเหลือเกิน ทำไมนะสาวสวยสองคนทำไมต้องมารักกันเอง เสียดายความสวยจริงๆ ชาติชายก็ได้แต่เพียงคิดและรู้ว่าแห้วก็คือแห้วไม่มีทางเปลี่ยนชื่อเป็นสมหวังได้อย่างที่ต้องการถึงแม้จะมีคนคิดเปลี่ยนชื่อไปแล้วก็เถอะ หันมามองกีรณาที่นั่งอยู่ที่เดิม

“ไปเถอะกีมองเค้าอยู่ได้ เราไปกินข้าวให้อิ่มท้องกันจะดีกว่า” ชาติชายเอ่ยชวนกีรณา

“ไปสิ เราก็หิวแล้วเหมือนกัน ว่าแต่อิจฉาสองคนนั้นจังเลย”

“ทำไมหละกี ไปอิจฉาเค้าเรื่องอะไร” ชาติชายเริ่มงง

“ก็ถ้ามีใครมาดูแลเราแบบมัชวีเราคงรักเค้าตายเลยนะนี่” กีรณาออกอาการเหมือนเคลิ้มฝัน

ทั้งสองเดินมาถึงรถของชาติชาย และชาติชายก็เปิดประตูรถให้กีรณาแบบเดียวกับที่มัชวีทำให้กับธัญชนก ซึ่งชาติชายนั้นไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนออกจะดูเขินอยู่ไม่น้อย

“เชิญคร๊าบคุณผู้หญิง” ชาติชายผายมือเชื้อเชิญ

กีรณาได้แต่ขำท่าทางของชาติชายที่ดูออกตลกๆ เก้อเขิน เธอแทรกตัวไปนั่งหน้ารถ แบบนี้สื่ออะไรได้บ้างน้อ

................จบตอนที่ ๑๘.............



Create Date : 09 มกราคม 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:56:57 น. 2 comments
Counter : 294 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ คุณรันหณ์
เข้ามาอ่านแล้วนน้า ทำไมโพสดึกจัง แหมแซวหน่อยว่าเป็นคนหลงเสน่ห์จันทร์เนี่ย พื้นหลัง แบบจันทรา หายไปเลยนะคะ จะเป็นพื้นหลังแบบไหนก็เข้าอ่านอยู่ดีค่ะ อย่าคิดมากเลย เอาแบบที่คุณชอบเถอะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ สร้างสรรมาเรื่อย ๆ เถอะ อ่านหมดแหละ


โดย: ต้นรัง IP: 125.27.63.126 วันที่: 10 มกราคม 2551 เวลา:9:45:08 น.  

 
คุณต้นรังค่ะ
ฉันโพสดึกเพราะนอนดึกเจ้าคะอีกอย่างสมองของฉันจะเล่นก็ต่อเมื่อ ได้เวลาดึกสงัดและบรรยากาศเป็นใจเจ้าค่ะ

ฉันทำการเปลี่ยนพื้นหลังเพราะว่าพอไปเข้าเครื่องคอมอีกเครื่องแล้วปรากฏว่าภาพพระจันทร์เหลือกระจิ๊ดริด แล้วก็ทำให้ลายตาเป็นที่ยิิ่ง

ตัวฉันเองเมื่อเข้ามาอ่านก็รู้สึกได้ถึงการอ่านที่ไม่สบายตาเอาเสียเลยก็เลยทำการปรับให้เป็นพื้นปรกติเจ้าค่ะ

ส่วนการหลงเสน่ห์จันทร์นั้น หากเป็นพระจันทร์บนท้องฟ้า ฉันก็ยังคงชอบมองอยู่เป็นปรกติ แต่หากเป็นคนชื่อเสน่ห์จันทร์ ฉันคงไม่บังอาจเจ้าคะ เพราะที่สำหรับใส่หมวกของฉันคงจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ถ้ากระทำเช่นนั้น เอิ๊กๆๆๆๆ



โดย: รันหณ์ วันที่: 10 มกราคม 2551 เวลา:10:44:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.