It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : บันทึก ตอนที่ 5

หลังจากนั้นฉันก็ได้เป็นรุ่นน้องเธอที่โรงเรียนมีชื่อแห่งนึงในจังหวัด เธอเรียนวิทย์-คณิตพื้นฐานพานิชยกรรม ส่วนฉันเรียนวิทย์-คณิตพื้นฐานศิลปกรรม ซึ่งมีวิชาดนตรีและวาดรูปเป็นวิชาเสริมตามที่ฉันถนัด

จนถึงวันลอยกระทงปีแรกที่ฉันเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ทุกห้องทุกชั้นปีต้องออกงานแสดงผลงานของตัวเอง เป็นเหมือนงานวิชาการอะไรประมาณนั้น นักเรียนทุกห้องต้องทำผลงานแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวประชาทั่วไป

ห้องของฉันทำภูเขาไฟ เพื่อนๆ บอกว่าภูเขาไฟน่าสนใจและที่จังหวัดเราก็ค้นพบภูเขาไฟ มีหินที่ลอยน้ำได้ เป็นหินลาวามาแสดงในงานด้วยเพื่อนบอกว่าอยู่ใกล้ๆ บ้านไปหยิบมาได้สบาย ฉันได้มีโอกาสเห็นไอ้เจ้าหินก้อนนั้นเหมือนกัน มันก้อนใหญ่มากนะแต่เบาอย่างกับกระดาษ แถมลอยน้ำได้อีกต่างหาก

“เราเอาแมกนี่เซี่ยมมาเผาไฟสิมันจะได้เหมือนกับภูเขาไประเบิดมีประทุด้วย” เพื่อนฉันชื่ออ๊อดพูดด้วยสีหน้าจริงจังกับความคิดอันเฉียบแหลมของตัวเอง

“ไม่เอาหรอก เราแค่เอากระดาษสีๆ มาทำให้เป็พู่ๆ แล้วก็เอาสีทาก็ได้แล้วเอาไฟหลอดสีแดงมาประดับเดี๋ยวก็เสร็จไม่ยุ่งยากด้วย” เพื่อนฉันชื่อน้อยเสนอความคิด

“เราว่านะ เอาปะทัดมาใส่ไว้ แบบนั้นดีกว่าจะได้ดังไปทั่วเลยงัย” ฉันว่า พร้อมกับโดนมือทั้งหลายแหล่ของเพื่อนทุบศีรษะกันคนละตุบ สองตุบ

“บ้าอีกแล้วแกนะมีแต่ความคิดแผลงๆ แล้วใครจะเอากับแกด้วยหละฮะไอ้ตั๊ก เพื่อนๆ ก็โดนศึกษาจังหวัดจับไล่ออกจากโรงเรียนกันพอดี ไอ้บ้า”

“เออเราบ้าโทษทีเพื่อน แต่ถ้าจะให้ดีเอาความคิดเราไปใช้เราก็ไม่ว่านะ ฮะ ฮ่าๆ”

“ยังอีกเดี๋ยวปั๊ด” เพื่อนฉันพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อที่จะทุบฉัน แต่ฉันไวกว่าจึงได้รอดพ้นเงื้อมมือมารของบรรดาเพื่อนๆได้

เพื่อนในห้องที่ฉันเรียนโดยส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนหญิง(เนี่ยอุตส่าห์สอบเข้ามาเรียนในโรงเรียนสหศึกษานะเนี่ยยังมาเจอแต่ผู้หญิงอีก) เพราะด้วยวิชาพื้นฐานที่เราเรียน พวกผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบ ที่เห็นๆ พวกผู้ชายก็จะเรียนพื้นฐานอุตสาหกรรมกันบางห้องมีผู้หญิงอยู่สามถึงสี่คน ไม่รู้ว่าโรงเรียนจัดนักเรียนเข้าแต่ละห้องอย่างไร

ด้วยความที่ฉันไม่ใช่นักเรียนที่เรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นพึ่งมาเข้าเรียนในชั้นมัธยมปลายจึงไม่มีเพื่อนที่สนิทเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆที่เรียนด้วยกันกันมาอย่างน้อยสามปี มลก็ไม่ได้มาอยู่ห้องเดียวกันเพราะเลือกเรียรคนละพื้นฐาน ฉันจึงเหมือนเด็กที่โดดเดี่ยวมีปัญหากับเพื่อนประกอบกับฉันไม่ค่อยจะทำกิจกรรมกับเพื่อนมากนักจึงทำให้ฉันและเพื่อนๆ ไม่ค่อยสนิทกันเท่าที่ควรจะเป็น

ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่มีเพื่อนเลยนะ มีเหมือนกัน ก็เป็นเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดิมที่ฉันเคยเรียนอยู่นั่นแหละเราเคยอยู่ห้องเดียวกันแต่เพื่อนๆ ของฉันก็ไม่ค่อยมีปากมีเสียงใครจะว่าอะไรก็ยอมตามทุกอย่าง ฉันก็เลยได้แต่เซ็ง

จากที่เคยเล่นดนตรีก็ไม่ได้เล่น เวลาว่างฉันมีเยอะขึ้น และที่ฉันไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนมากวก่าเดิมก็เพราะฉันเรียนรด. เพื่อนผู้ชายในห้องเรียนกับฉันแต่ไม่มีเพื่อนผู้หญิงคนไหนเรียนรด. ฉันก็เลยยิ่งเหงามากว่าเดิม มีแต่เพื่อนผู้ชายเท่านั้นที่ได้พูดคุยกันและเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างไร ผู้ชายกับผู้หญิงก็มีความต่างกันอยู่ดี

ฉันสนิทกับเอกภพเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง แต่เอกภพบอกว่าเค้าจะไม่เรียนที่นีแล้วปีหน้าจะไปสอบเข้าอาชีวะ เค้าอยากเรียนสายอาชีพมากกว่า ซึ่งฉันเข้าใจว่าระบบการแนะแนวให้เด็กในสมัยนั้นไม่มีใครบอกได้หรอกว่าอะไรดีไม่ดี เด็กเองเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจ

บางคนเรียนต่อ ม.4 – ม.6 แต่จบอออกมาแล้วไม่รู้จะทำอะไร และเรียนต่อที่ไหน ฉันเห็นด้วยกับเอกภพที่เค้าจะย้ายโรงเรียน แต่ในใจลึกๆ ก็เสียดายเพื่อสนิทที่ต้องมาจากไปอีกคน ฉันออกมานั่งเล่นที่สวนป่าของโรงเรียนทุกวันและวันนี้ก็เช่นกัน

“เป็นอะไรไปอีกหละ” เธอถามขณะที่ฉันนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนม้านั่งหินอ่อนในสวนป่าของโรงเรียน

“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ไม่ลงรอยกับเพื่อนๆ ก็เท่านั้น” ฉันตอบในขณะที่เธอเอื้อมมือมาจับไหล่ฉันเพื่อเป็นการให้กำลังใจ

“เรื่องอะไรหละ”

“ก็เรื่องนิทรรศการวันงานวิชาการของปีนี้งัย เรามีความเห็นไม่ลงรอยกันก็เลยเถียงกันมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างนี้แหละตัว ประชาธิปไตยงัยหละ”

“เราก็ว่างั้นเราก็เลยไม่ทำมันซะงั้นแหละ .. ไปเหอะ ไปหาอะไรกินดีกว่าเดี๋ยวตอนเย็นเราไปว่ายน้ำด้วยกันไม๊”

“ไปสิ เราว่าง”

“ดีเหมือนกันอยากดูสาวๆ ในสระด้วย …โอ๊ย ตีเราทำไม” เธอเอื้อมมือมาตีหลังฉันดังตุบเพราะฉันทำสีหน้าท่าทางกรุ้มกริ่มเมื่อพูดถึงสาวๆที่สระว่ายน้ำ

“ก็ไม่ให้ดูน่ะจะทำไม” หน้าเธอตอนนี้เหมือนกับแม่เสือสาวไม่มีผิด

“เราล้อเล่นน่าใครจะกล้า โอ๋ แต่ช้าแต่ ฮิ ฮิ” แล้วฉันกับเธอก็ไปสระว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย

ส่วนฉันการได้ว่ายน้ำและออกแรงเยอะๆ ทำให้จิตใจได้ผ่อนคลายกับปัญหาเครียดๆ ที่สำคัญได้เห็นหุ่นของสาวๆ ที่ไปว่ายน้ำ ซึ่งบางคนไปเพื่อที่จะได้ใส่ชุดสวยๆ นั่งข้างขอบสระ หรือไม่ก็ว่ายเล่นกันเป็นกลุ่มอยู่ในสระไม่ได้ว่ายอย่างเอาเป็นเอาตายแบบฉัน เมื่อว่ายน้ำเสร็จฉันก็กลับบ้านและหลับเป็นตายเพราะความเหนื่อย

………………

แล้วจากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจงานนิทรรศการอีกเลยเพราะห้องของฉันมีแต่คนเก่งๆ ฉันมันไม่เก่งจึงไม่ทำและไม่สนใจ ในหัวสมองอันแสนทึบของฉัน คิดแต่สถานที่เที่ยววันลอยกระทงที่จะมาถึง

“สวยจังนะพลุนี่” เธอเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราได้มายืนดูพลุด้วยกันอยู่ข้างแม่น้ำที่มีผู้คนมากมายรอเข้าแถวเพื่อที่จะลอยกระทง

“อือสวยจัง” แต่ตาของฉันไม่ได้มองพลุ กลับมองไปที่ต้นเสียงที่พูด และมองอยู่อย่างนั้นจนเธอหันมาถาม

“เป็นอะไร มองอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหรืองัย”

“เคยเห็น แต่ไม่เคยเห็นคนสวยเท่าแมวเท่านั้น” ฉันหยอดคำหวานกับเธอเป็นครั้งแรกที่เราคบกัน เพราะความใกล้ชิด ทำให้ฉันมีความรู้สึกอยากกอด เธอมากซะอย่างนั้นแหละ

“แน่ะปากนะหวานซะ อย่าไปพูดกับคนอื่นแบบนี้นะ”

“เคยชิมแล้วเหรอถึงรู้ว่าหวาน น่านะเราสัญญาด้วยเกียรติของนักศึกษาวิชาทหารครับ” แล้วฉันก็พูดพร้อมกับวันทยาหัตให้เธอไป 1 ที

“จ๊าเชื่อแล้วตั๊กเรามีเรื่องจะบอก” เธอพูดพร้อมๆกับที่เราก็เดินออกมาจากตลิ่งของแม่น้ำเพื่อที่จะให้คนถัดไปเข้าไปลอยกระทงได้ถนัดขึ้น

“มีอะไร” ฉันถามเธอและทำสีหน้างงๆ ว่าเธอจะบอกอะไร

“คืนนี้ เราขอแม่จะไปนอนบ้าน…….. ตั๊กนะ” เสียงเธอแปร่งๆ และมองฉันด้วยสายตาเป็นประกาย

“อือดี … ฮะ อะไรนะ ไปนอนบ้านเรา เหรอ”

“ทำไมต้องตกใจด้วย”

“ไม่ใช่ เราดีใจต่างหาก ดีใจมากเลยรู้ไม๊ ตั้งแต่เราคบกันมาเรานะอยากให้แดงไปนอนบ้านเราตั้งนานแล้วแต่แดงก็ปฏิเสธมาตลอดแล้วทำไมวันนี้แดงถึงอยากไปนอนบ้านเราหละ”

“ไม่รู้สิ หนาวมั๊ง”

“เฮ้ย แต่ไหนแต่ไรถามว่าหนาวไม๊ ไม่เคยบอก มีแต่บอกว่าเย็นๆเท่านั้น ทำไมวันนี้หนาวได้ เราว่าอากาศดีออก”

“อย่ามาทำเป็นฟอร์มนะ รู้อยู่แล้วว่าเราหมายความว่ายังงัย” เธอพูดแล้วก็ค้อนให้ฉันควับนึง
(ไม่รู้ใครเคยบอกแดงว่าในสมัยก่อนผู้หญิงจะไม่นิยมพูดคำว่าหนาว เพราะหนาวเป็นคำที่แสดงอาการของการอยากมีสามีหรืออยากมีคนรักประมาณนั้น ฉันจึงได้ยินแต่เธอบอกฉันตลอดว่าเธอนั้นรู้สึกเย็นไม่หนาว ทั้งๆ ที่แถบบ้านเรานั้นอากาศหนาวมากเมื่อเข้าสู่เดือนธันวาคมถึงมกราคม)

นั่นถึงทำให้ฉันนั้นถึงบางอ้อว่าที่เธอพูดถึงหมายความว่าอย่างไร และคืนนั้นเราสองคนก็นอนกอดกันกลมในผ้าห่มเพราะอากาศหนาวจริงๆ นั่นแหละ

……………………………

ฉันกับแดงคบกันและสนิทกันมากกว่าเดิมหลังจากที่เธอยอมที่จะเป็นแฟนกับฉัน เราคบกันโดยที่ผู้ปกครองของเราทั้งสองคนรู้ดีว่าเราคบกันแบไหน พวกท่านก็มองๆ บ้างแต่ไม่ถึงกับทำอะไร ไม่บ่น ไม่ว่า แต่ก็มีบ้างในบางครั้งที่เรากลับบ้านดึกเท่านั้น เพราะเราสองคนมักจะผลัดเปลี่ยนกันไปนอนบ้านแดงบ้างบ้านฉันบ้างจนพวกท่านไม่รู้ว่าจะห้ามปรามอย่างไร

พี่สาวของฉันบอกว่าได้ยินพวกท่านคุยกันว่า ดีแล้วที่ฉันกับแดงสองคนคบกันดีกว่าไปติดยาเสพติด แล้วท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรอีกเลย แต่สำหรับฉันมันเป็นช่วงที่มีความสุขมากถึงแม้ว่าแดงจะทำตัวขี้บ่นจู้จี้เหมือนแม่ฉันเข้าไปทุกวันแต่ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเธอเท่าใดนักเพราะฉันรู้เพียงแต่ว่าฉันรักเธอเท่านั้นเอง

…………………………….

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเธอเรียนมัธยมศึกษาปีที่หกและกำลังจะเอ็นทรานส์เข้ามหาวิทยาลัย แต่พวกเรามีโอกาสถึง 2 ครั้ง เพราะเราเรียนอยู่ในภาคเหนือ จึงได้สอบสองครั้ง ครั้งแรกเราเรียกกันว่าเอ็นเล็กหรือโควต้า โดยสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก่อน หากไม่ติดหรือติดแล้วไม่พอใจคณะที่เราติดก็สามารถสละสิทธิ์เพื่อสอบเอ็นใหญ่ของทบวงมหาวิทยาลัยได้อีกรอบ

“หากเราเรียนจบเราจะเอ็นเข้าคณะบัญชีนะ เราอยากเรียนบัญชี” เธอพูดเหมือนขอความคิดเห็นจากฉัน

“เรารู้แล้วหละ ก็ตัวชอบตั้งแต่เรียนพื้นฐานแล้วนี่นะ ตัวก็ดีนะเก่งกว่าเราอีก ต้องทำได้แน่นอน เราเชื่อเราเป็นกำลังใจให้นะ”

“อืม เรารู้ว่าตัวจะเป็นกำลังใจให้เราเสมอแหละ”

แล้วผลการสอบก็ออกมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ผลออกมาว่าเธอสอบไม่ได้ แต่พี่สาวฉันสอบได้เธอจึงหลบหน้าฉันตลอด เหมือนเธอกำลังจะบอกเลิกลากับฉัน ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้สนใจเธอมากนักเพราะมัวแต่ดีใจกับพี่สาวของตัวเองที่สอบได้ และเป็นเหมือนบรรทัดฐานให้กับฉันว่าจะต้องดำเนินรอยตามพี่อยู่เสมอทั้งๆ ที่เรามีความชอบไม่เหมือนกันเลย และฉันก็ไม่ได้พบกับเธออีกเลยได้ข่าวว่าเธอเข้ากรุงเทพเพื่อเรียนพิเศษ ประเภทติวเข้าก่อนเอ็นทรานส์ นั่นแหละ และเมื่อมารู้ข่าวของเธออีกทีก็เดือนพฤษภาคม ว่าเธอต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งเนื่องจากคณะที่เธอติดเอ็นทรานส์นั้นเป็นคณะที่เธอไม่ชอบแต่เลือกเผื่อไว้กลัวเอ็นไม่ติดเท่านั้น

ส่วนฉันก็ต้องมานั่นอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเหมือนกันเพราะทางครอบครัวของฉันกำลังเห่อพี่สาวที่สามารถสอบติดคณะที่พ่อกับแม่ต้องการได้และก็มาหวังไว้ที่ฉันว่าจะติดเหมือนพี่สาวเช่นกัน แต่พวกท่านหารู้ไม่ว่าฉันนั้นไม่เก่งเหมือนพี่และที่ผ่านมาพี่ของฉันก็คือคนที่คอยสอนคอยติวและคอยบอกฉันมาตลอด แถมยังเก็งข้อสอบให้ด้วยอีกต่างหากจึงทำให้ฉันสอบผ่านมาได้ด้วยดีมาโดยตลอด

และในปีนี้ฉันอยู่ม.6 ไม่มีพี่ของฉัน ไม่มีติวเตอร์ส่วนตัวแล้วท่านคิดว่าฉันจะสอบได้ไม๊ คำตอบคือ ไม่ได้งัย เอ็นเล็กไม่ติด พี่ฉันเมื่อเรียนจบปีหนึ่ง จึงต้องกลับมาบ้านเพื่อติวให้ฉันก่อนที่จะเอ็นใหญ่ และฉันก็ได้พบกับเธอ เธอดูสวยกว่าเมื่อก่อนมาก ผิวขาวกว่าเดิม ผมซึ่งเมื่อก่อนตัดสั้นเพราะเธอไม่ยอมทำผิดกฎข้อบังคับของโรงเรียนเลย ผิดกับฉันชอบซอยผมสั้น ผมเธอตอนนี้ยาวเลยไหล่ สยายยาวอยู่กลางหลัง และรอยยิ้มของเธอที่ดึงเอาหัวใจของฉันให้ลอยตามยิ้มนั้นไปด้วย เนี่ยแหละนะเค้าว่าไม่มีใครทุกข์อย่างเดียวหรอกต้องมีความสุขปนมาด้วยบ้างแหละเพี่ยงแต่ว่าเราจะรู้หรือเปล่าว่าเราได้พบความสุขขณะที่เรายังทุกข์อยู่หรือเปล่า

……………………….



Create Date : 02 ธันวาคม 2550
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 16:33:16 น. 0 comments
Counter : 407 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.