It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๖

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๖

“น้องคนไหนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมให้มาลงชื่อได้เลยนะครับ น้องๆ คนสวยกลุ่มนั้นนะสนใจเข้าชมรมกิจกรรมหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงรุ่นพี่ที่คณะประกาศผ่านโทรโข่งเสียงดังไปทั่วสนามบอล

ฉันกับเพื่อนๆ พึ่งจะเดินลงมาจากตึกเรียนก็ต้องให้มาพบกับเหล่ารุ่นพี่ ที่มาตั้งเต็นท์ประกาศรับสมัครรุ่นน้องเข้าชมรมเยอะไปหมด

บางคนก็มาขายสมุดประจำคณะ

“นี่เธอจะซื้อหรือเปล่า” ไปรยาเพื่อนในกลุ่มของฉันเห็นฉันหยิบๆ วางๆ สมุดอยู่หลายหนก็ถามขึ้น

“ไม่รู้สิกอล์ฟ เราก็ไม่แน่ใจ แต่เราก็ซื้อมาแล้วนะเราอยากได้เล่มที่บรรทัดถี่ๆ หน่อยนะ”

“อ่อเหรอ เล่มนี้สิถี่หน่อย ว่าแต่จะเอาแบบถี่ๆ ไปทำไมกัน”

“เราเขียนเว้นบรรทัดไง จะได้เอามาจดอะไรตอนที่เราอ่านอีกรอบเหมือนเราโน้ตเองน่ะ”

“อ่อแบบนี้นี่เอง งั้นเราเอาแบบแป๊ดบ้างดีกว่า” ไปรยาหยิบสมุดที่มีบรรทัดถี่ๆ ให้ฉันสองเล่มลำหรับเธอเองอีกสองเล่ม

“เท่าไหร่คะพี่” ไปรยาถามรุ่นพี่

“เล่มละสิบห้า สี่เล่มพี่คิดไปห้าสิบแล้วกันน้อง” รุ่นพี่ที่นั่งตั้งโต๊ะขายสมุดตอบพวกเรา เมื่อเราจ่ายเงินเสร็จแล้วก็เดินไปหอสมุด เพราะวันนี้อาจารย์ที่สอนให้ไปหาหนังสือประกอบการเรียน

“แยกกันไปหาหนังสือนะกอล์ฟ แล้วมาเจอกันที่นี่” ฉันบอกกับไปรยาเพราะหนังสือที่ต้องหามีมากเหลือเกิน

“ได้ แล้วมาเจอกันได้เล่มไหนขอเราด้วยหยิบมาอย่างละสองเล่มเลยแล้วกันเราหารายชื่อหนังสือกันก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันไปแล้วกันนะแป๊ด”

ฉันยืนค้นรายชื่อหนังสือและจดลงกระดาษไว้เพื่อที่จะเดินไปยังชั้นหนังสือพอได้ครบแล้วฉันกับไปรยาก็แยกย้ายกันไปหาฉันได้หนังสือมาบ้างแต่ก็ไม่ครบพอลงมาเพื่อที่จะรอไปรยาที่ด้านล่างก็เห็นชนกพรเดินเข้ามาเหมือนกัน

“อ้าวนกมายืมหนังสือเหรอ”

“อืมใช่อาจารย์ให้หาหนังสือเยอะเลยอะไรนักหนาก็ไม่รู้แล้วแป๊ดหละ”

“พอกันแหละเราก็รอเพื่อนเหมือนกันนกไปเถอะเดี๋ยวไม่ทันมือดีมาฉกเอาไปก่อน” ฉันบอกกับเพื่อนเพราะฉันเองก็มายืมไม่ทันเหมือนกัน

“ได้เลยไปก่อนนะแป๊ด” ชนกพรรีบมาค้นหาหนังสือและฉันก็ยืนช่วยชนกพรเช่นกัน เพราะว่าตอนนี้ไปรยายังไม่ลงมา

“แป๊ดยังหาไม่เสร็จอีกเหรอ” ไปรยาเข้ามาโอบเอวฉันจากทางด้านหลัง ทำเอาฉันสะดุ้ง

“เสร็จแล้ว เราช่วยเพื่อนหาน่ะกอล์ฟ” ฉันรีบจับมือของไปรยาที่โอบตัวฉันออกอย่างรวดเร็วกลัวว่าชนกพรจะหันมาเห็นเข้าแต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะตอนนี้ชนกพรจ้องหน้าฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ฉันได้แต่ทำหน้าตาบอกชนกพรว่าไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะฉันเปล่า

ดูเหมือนชนกพรจะเข้าใจฉันและรีบทักขึ้นมาว่า

“จะไม่แนะนำให้รู้จักกันหน่อยเหรอแป๊ดว่าคนสวยคนนี้คือใคร”

“อ่อลืมไป นี่กอล์ฟเพื่อนที่คณะเราและนี่นกเพื่อนโรงเรียนเก่าเรา” ฉันแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน และแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตอนนี้ไปรยาปล่อยมือออกไปจากเอวของฉันได้

“ยินดีที่ได้รู้จะนะกอล์ฟ แล้วเราคงได้พบกันใหม่แต่ตอนนี้เราคงต้องไปตามล่าหาหนังสือก่อนแล้วพบกันนะจ๊ะคนสวย” ชนกพูดจบก็หยิบเอากระดาษหมายเลขหนังสือจากมือฉันไปหน้าตาเฉย และรีบเดินจากไป

“เพื่อนตัวนี่ไปเร็วมาเร็วดีนะแป๊ด”

“อืม”

“ได้มาครบหรือเปล่า”

“ห๊ะอะไรนะ” ฉันที่ยืนมองเหม่อตามหลังชนกพรไปหันกลับไปถามไปรยาอีกครั้ง

“ถามว่าได้หนังสือมาครบหรือเปล่า”

“ไม่ครบหรอก เดี๋ยวว่าจะไปที่ศูนย์หนังสือไปดูหนังสือที่จะต้องใช้ประจำเผื่อจะต้องใช้ เราไปยืมกันก่อนดีกว่าแล้วก็ไปเขียนจองหนังสือไว้ด้วย อาทิตย์หน้าจะได้มายืม” ฉันเดินนำไปรยามาที่เค้าเต้อร์ยืมหนังสือ และจัดแจงแบ่งหนังสือที่หามาได้เป็นสองตั้ง

จากนั้นก็นำเอาหนังสือที่ยืมมาไปฝากไว้ที่ห้องฝากของเพราะเราสองคนคงไม่หอบเอาหนังสือทั้งหมดไปที่ศูนย์หนังสือแน่ๆ

ศูนย์หนังสือวันนี้คนเยอะมากจนแทบล้นออกมานอกศูนย์

“คนเยอะจังเลยนะแป๊ด”

“นั่นสิจะแหวกเข้าไปได้หรือเปล่านี่ แล้วนี่หนังสือจะมีเหลือหรือเปล่าก็ไม่รู้สิกอล์ฟ” ฉันบ่นเพราะเห็นสภาพแล้วไม่น่าจะหาทางเข้าไปได้เลย

“ตามเรามาแป๊ด” ไปรยาจูงมือฉันเข้าไปในศูนย์และแหวกผู้คนจำนวนมากเข้าไปในนั้น ทำเอาฉันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

“ช้าๆ หน่อยกอล์ฟ เราเดินไม่ทัน”

“เร็วๆ สิแป๊ด เดี๋ยวก็โดนเบียดออกไปหรอก”

“นี่จะมาซื้อหนังสือหรือจะไปดูคอนเสิร์ตกันแน่นี่ คนแน่นอย่างกะแจกหนังสือฟรี” ฉันเคยไปเบียดซื้อตั๋วคอนเสิร์ตพี่ปุ๊มาบ้างแต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัดแบบนี้มาก่อน

“เอาน่าช่วงคนกำลังต้องการก็งี้แหละนึกไปว่าเรามาซื้อตั๋วดูคอนเสิร์ตก็แล้วกัน”

แล้วไปรยาก็พาฉันเข้ามาข้างในได้อย่างที่เราต้องการแต่การเดินเลือกดูหนังสือก็ต้องมีอุปสรรคอีกตามเคย เพราะกว่าจะแทรกตัวเข้าไปในชั้นวางที่เราต้องการได้ก็แทบจะเหยียบกันตายไปข้างนึง

ฉันกับไปรยาได้หนังสือที่ต้องการมากันจนครบแต่ก็ต้องมาพบกับการต่อคิวเพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือแบบหฤโหดอีกรอบ

“ตัวออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้กอล์ฟ เรารอจ่ายเงินเอง”

“ไม่เป็นไรแป๊ดเราอยู่ด้วยแล้วกันออกไปก็ร้อนอยู่ในนี้ยังพอมีแอร์บ้าง”

“อืม แต่เราว่าไปรอที่หน้าตึกก่อนก็ได้นะที่นั่นลมเย็นดีตัวอยู่แบบนี้ก็ยืนเบียดคนอื่นเปล่าๆ”

“เอางั้นเหรอก็ได้งั้นตัวเสร็จแล้วออกไปหาเราที่หน้าตึกแล้วกัน”

“ได้เลยรอเราด้วยแล้วกัน หาซื้ออะให้เรากินด้วยหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” ฉันบอกไปรยาไปเพราะว่าตอนนี้ท้องของฉันร้องโครกครากจนกลัวว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จะได้ยินเสียงท้องร้องของฉัน

“ได้เลยแป๊ด งั้นเราออกไปหาซื้อผลไม้แถวท่าพระจันทร์เสร็จแล้วจะมารอตัวแล้วกัน” ไปรยาเดินเบียดผู้คนออกไปแบบยากลำบากเหมือนกับขาที่เข้ามา

กว่าฉันจะจ่ายเงินค่าหนังสือได้ก็กินเวลาอยู่นานเหมือนกันเรียกว่ายืนรอจนเมื่อย

ฉันเดินออกมาหาไปรยาที่หน้าตึกและเห็นเธอถือถุงผลไม้ถุงใหญ่อยู่ในมือ

“ซื้ออะไรมาหละ”

“ฝรั่งน่ะอะกินสิเดี๋ยวเป็นลมตายพอดี”

ฉันรับถุงผลไม้มาและรีบเอาไม้มาจิ้มฝรั่งในถุงเพื่อจะเอาเข้าปากก็มีเสียงห้ามมาว่า

“ระวังเม็ดนะ”

“อืม” ฉันเคี้ยวฝรั่งอยู่จึงตอบไปรยาได้เพียงแค่นั้น

“เดินไปท่าพระจันทร์กันไม๊มีร้านอร่อยอยู่หลายร้านเลยไปกินไอติมน้อยหน่ากัน”

“ไปสิ นี่เราหิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวแล้ว” เราสองคนเดินไปหาร้านอาหารสำหรับใส่ท้องที่ร้องจนน่ารำคาญของฉันและเลือกนั่งที่โต๊ะใกล้ๆ กับทางออก

ไปรยาเป็นผู้หญิงที่รูปร่างสูงโปร่งออกจะไปทางผอมสูงมากว่า เธอบอกว่าเธอมาจากโรงเรียนหญิงล้วนแถวฝั่งธน ฉันก็ไม่รู้หรอกคะว่าเธอมาจากโรงเรียนไหน แต่ก็คิดว่าคงเป็นโรงเรียนในเครือแบบเดียวกับฉัน เพราะเธอเรียกอธิการว่าซิสเตอร์แบบเดียวกับฉันเหมือนกัน

เธอเล่าว่าวีรกรรมของเธอตอนที่อยู่ที่โรงเรียนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกฉันเท่าใดนัก จะว่าไปโรงเรียนหญิงล้วนก็มีออกจะเกลื่อนประเทศ ฉันรู้มาแต่ว่าแฟนของไปรยาไปเรียนต่อต่างประเทศเมื่อเรียนจบ เธอมักจะเล่าเรื่องแฟนของเธอให้ฉันฟังบ่อยๆ และใช้สรรพนามแทนแฟนของเธอว่าเค้า ซึ่งฉันก็คิดไปเองว่าแฟนของเธอคงน่ารักน่าดูที่เดียว

น่าจะไม่ต่างกับที่ฉันชอบกับภัทรทราภรณ์ไม่รู้ทำไมเมื่อไหร่ที่ไปรยาพูดถึงแฟนของเธอ ฉันก็มักมีใบหน้าของภัทรทราภรณ์ลอยเด่นให้เห็นอยู่เป็นประจำ และตอนนี้ฉันก็คิดถึงเธอเหลือเกิน เราไม่ได้พบกันมาเกือบสองสัปดาห์เพราะภัทรทราภรณ์บอกว่าเธอมีสอบเก็บคะแนน

ฉันก็ไม่รู้เรื่องราวของคณะแพทย์กับใครเขาสักเท่าไหร่ รู้แต่ว่าภัทรทราภรณ์เรียนค่อนข้างหนัก เพราะเมื่อเธอกลับมาที่บ้านเช่าวันไหนเธอก็จะหอบเอาหนังสือติดกระเป๋ามาด้วยมากมายและมักจะพูดว่า

“เราเรียนหนักจริงๆ นะแป๊ดไม่เชื่อลองหิ้วหนังสือเราดูสิ” ภัทรทราภรณ์มักจะพูดติดตลกแบบนี้เสมอ

ฉันนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อนึกถึงภัทรทราภรณ์จนคนตรงหน้าเห็นหน้าฉันแล้วก็อดถามไม่ได้

“ยิ้มอะไรคนเดียวนะแป๊ด”

“ไม่มีอะไรหรอกนึกถึงเพื่อนแล้วก็เลยยิ้มนะ”

“เพื่อนคนนี้คงน่ารักมาหเลยสินะแป๊ดถึงได้นึกถึงแล้วก็ขำอยู่คนเดียว”

“อืมน่ารักมากเลยแหละเป็นเพื่อนที่เรารักมากๆ เลยนะ” ฉันรู้สึกภูมืใจที่มีภัทรทราภรณ์เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด

“เพื่อนหรือแฟนกันแน่แป๊ด”

“เพื่อนจริงๆ กอล์ฟเราไม่ได้ฮ็อตแบบกอล์ฟนี่จะได้มีแฟนมาเกทับเรา”

“เกย์ไม่เคยทับเรานะแป๊ด”

“?” เครื่องหมายคำถามปรากฏบนหน้าของฉันขึ้นมาทันที ไปรยาคงเข้าใจความหมายชนใบหน้าฉัน

“ก็เราบอกว่าเกย์ไม่เคยทับเรามีแต่ทอมทับไง ฮ่าๆๆๆ” ไปรยาพูดไปก็หัวเราะไป

“อ้าวนี่กอล์ฟเป็น...เหรอ”

“ใช้แล้ว อ้าวนี่ไม่รู้เหรอ เราพูดถึงแฟนของเราบ่อยๆ นะแฟนเราเป็นผู้หญิงนะ”

ฉันส่ายหน้าไปมา

“เวรกรรม นึกว่ารู้ซะอีกขอโทษทีที่พูดไม่ศรัญยู”

“ศรัญยูอะไรกอล์ฟ”

“ก็ไม่วงศ์กระจ่างไง ฮ่าๆๆ เชยจริงๆ” ไปรยาขำฉันอีกรอบ

ฉันว่ากรรมคงสนองกรรมรวดเร็วทันตาเห็นเพราะฉันพึ่งจะว่าภัทรทราภรณ์ไปหมาดๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าไม่ค่อยจะเข้าใจคำอะไรกับเขาเลย และตอนนี้ฉันเองก็โดนเพื่อนใหม่ที่กำลังจะสนิทกันเมื่อไม่นานมาเล่นคำกับฉันเข้าให้แล้วสิ

.......................................

ฉันหอบหิ้วหนังสือทั้งหมดใส่เป้ไว้และขึ้นรถเมล์ที่ต้นสายกลับไปบ้านเช่า วันนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่นัก เพราะฉันอยู่ซ้อมเพลงเชียร์จนเย็นมากแล้ว ฉันไม่ได้นัดกับชนกพรและจินตนาเพราะเราเคยนัดกันแล้วแต่ก็คลาดกัน เนื่องจากรุ่นพี่จะปล่อยพวกเราไม่ตรงตามเวลา

วันนี้ก็เช่นกันฉันเดินผ่านคณะของจินตนาแล้วก็เห็นเธอยังคงนั่งซ้อมเชียร์อยู่ก็เลยโบกมือให้สัญาณว่าฉันกลับบ้านก่อนแล้วกัน เธอพยักหน้ารับรู้แล้วฉันก็เดินมาที่รถเมล์นั่งรอให้รถเคลื่อนออกไปตามเวลา

กรุงเทพเมืองแห่งแสงสีในเวลานี้ที่บ้านของฉันผู้คนคงหลับใหลกันไปหมดแล้ว แต่ที่นี่รถยังติดไปเรื่อยๆ สายฝนก็ยังคงเทลงมาไม่ได้ขาด รองเท้าผ้าใบของฉันตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่นองอยู่บนพื้นถนน กว่าฉันจะฝ่าสายฝนเข้ามาที่บ้านได้ก็เล่นเอาเปียกไปหมดทั้งตัว

รตีกับธิติมากลับมาถึงบ้านก่อนฉัน และทำกับข้าวไว้รออยู่แล้ว

“ถึงนานแล้วเหรอตีแล้วธิหละ”

“ธิอาบน้ำอยู่ เราโชคดีไงมออยู่ใกล้กว่าแป๊ดแล้วอีกสองคนหละ”

“ยังซ้อมเชียร์ไม่เสร็จเลยเราเลยกลับมาก่อนเหนื่อยนะเลยไม่ได้รอ งั้นเราไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนนะเปียกไปหมดแล้วเดี๋ยวเป็นหวัด”

“อืมไปเถอะ แล้วเรารอสองคนนั่นก่อนแล้วกันค่อยกินข้าว”

ฉันเอารองเท้าผ้าใบไปวางตั้งไว้ให้น้ำที่เปียกเข้าไปในรองเท้าไหลออกมาบ้างและเอากระดาษหนังสือพิมพ์จับอัดลงไปในรองเท้า ถ้าไม่ทำแบบนี้พรุ่งนี้คงจะมีกลิ่นตุๆ มาจากรองเท่าฉันแน่ๆ วันหยุดนี้คงต้องไปซื้อรองเท้าผ้าใบใหม่อีกสักคู่เพราะถ้าเป็นแบบนี้ทุกๆ วันคงไม่ดีแน่ๆ

ฉันขึ้นมาที่ห้องและไม่ลืมแยกเสื้อผ้าออกมาต่างหาก เพราะคงต้องซักเสื้อเองน้ำจากการโดยสารรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาในซอยแระเด็นเปื้อนเสื้อนักศึกษาฉันเต็มไปหมด หากเอาไปซักกับเครื่องซักผ้าก็คงจะซักไม่ออกกว่าฉันจะเสร็จเรียบร้อยรตีก็เตรียมกับข้าวมื้อเย็นเสร็จพอดีเช่นกัน

ฉันลงมาก็เห็นชนกพรกับจินตนากลับมาถึงบ้านพร้อมๆ กัน ก็เลยไล่เพื่อนทั้งสองคนไปอาบน้ำ และบอกให้เอาเสื้อมาซักแยกต่างหาก และฉันเองก็ทำหน้าที่ซักให้ เนื่องจากฉันเข้าใจเพื่อนๆ ดีว่าไม่ชอบทำงานประเภทนี้ หากจะซักของฉันคนเดียวก็สิ้นเปลืองทรัพยากรแฟ๊บมากไปหน่อย ฉันว่าการอยู่ร่วมกันก็ต้องถ้อยที่ถ้อยอาศัยกันไปบ้างตามแต่เราจะทำได้

อาหารมื้อค่ำของพวกเราหกคนเป็นไปอย่างง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไร เพราะว่าเราอยู่กันแบบเพื่อนฝูง หากก็แค่รอครบองค์ประชุมแล้วก็ลงมือลุยแค่นั้น

“คิดถึงกิ่งกับปุ๊กเน๊อะป่านนี้คงกินข้าวนอนหลับฝันดีไปแล้ว” รตีที่กำลังเก็บจานไปล้างเพราะว่าวันนี้เป็นหน้าที่ของเธอพูดเหมือนบ่นๆ

“ก็ว่างั้นแหละ เราสิกว่าจะถึงบ้านกว่าจะกินเสร็จ กว่าจะนอนเฮ้อ” จินตนาบ่นพึมพำเหมือนกับจะพูดคนเดียว

“บ่นเป็นหมีกินผึ้งไปได้เชียงใหม่มีก็ดันไม่เลือกดันมาเลือกกรุงเทพก็งี้แหละทำใจ” รตีหันมาแขวะเข้าให้

“แม่บอกแล้วอย่ามาเรียนกอทอมอเฮ้อ....” ธิติมาถอนหายใจออกมายาวเหยีด ราวกับว่ามีอะไรหนักอกของเธออยู่เป็นตัน

และพวกเราที่เหลืออีกห้าคนก็พลอยถอนหายใจตามๆ กันไปด้วย นี่แหละเขาเรียกว่าไม่ลองไม่รู้ หรือสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่ามาเจอะกับตัวเอง

......................

ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปฉันกับภัทรทราภรณ์แทบไม่ได้พบปะหน้าตากันในวันนี้เป็นวันหยุดของฉัน ฉันตัดสินใจนั่งรถไปที่มหาวิทยาลัยของภัทรทราภรณ์ เธอคงอยู่ที่หอพักไปถามหาคงจะง่ายกว่า

เมื่อมาถึงก็บอกกับผู้ดูแลหอพักว่าจะมาพบนิสิตและฉันก็ยืนรออยู่หน้าหอพักนานมาก สักพักฉันก็เห็นภัทรทราภรณ์เดินมากับกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่

แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ได้ทำให้ฉันเบิกบานใจอย่างที่ได้คิดไว้ภัทรทราภรณ์มีคนถือหนังสือเดินตามเธอมาด้วย ผู้ชายใส่แว่นผิวขาวแบบพวกแพทย์ทั่วไป หน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลา

“โอ๊ยนี่ฉันมาทำอะไรที่นี่” ฉันได้แต่พูดกับตัวเองอยากจะแทรกตัวหายไปจากพื้นที่ตรงนี้แต่ขาเจ้ากรรมมันกลับก้าวไม่ออก ยืนนิ่งไม่ไหวติง

“แป๊ด มาได้ไง” เสียงของภัทรทราภรณ์ร้องเรียกฉันดังๆ ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์

“ดีใจจังเลยที่แป๊ดมาเราคิดถึงแป๊ดที่สุดในโลกเลยนะ” ภัทรทราภรณ์แทบจะกระโดกกอดคอฉันแล้วในตอนนี้

ฉันพยายามปรับสีหน้าให้ดูแช่มชื่นกว่าที่เป็นอยู่ อย่างน้อยเธอก็เป็นเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก่อน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแต่ในหัวใจเปื้อนคราบน้ำตา

ฉันไปนั่งกินขนมเล่นที่โรงอาหารกับภัทรทราภรณ์พยายามชวนเธอคุยโน่นนี่ไปเรื่อยๆ

“กิ่งเรียนหนักมากเลยเหรอ”

“อืมใช่หนักจนแทบจะบ้าเลยหละ”

“ทำไมหละ”

“ก็คิดดูแล้วกันนะ ข้อสอบมาร้อยคะแนนคนทำได้คะแนนสูงสุดนะร้อยเต็ม เราได้แปดสิบห้านี่ตกมีน”

“หาอะไรนะแปดสิบห้าตกมีนนี่นะ ถ้าเป็นของเราได้เอไปแล้ว” ฉันที่พอรู้เรื่องการเรียนของภัทรทราภรณ์ก็ยิ่งกลายเป็นพวกเด็กๆ ที่นั่งฟังแล้วอ้าปากหวอ

“ก็ใช่นะสิตกมีนแบบที่เรียกว่าจะต่ำที่สุดเลยหละดีนะที่ประณตมาช่วยติวให้ค่อยไปได้ดีกับเค้าหน่อย”

“อืมประณตเหรอคนที่ถือหนังสือให้กิ่งนะเหรอ”

“ใช่แล้วคนนั้นแหละเพื่อนสนิทคนใหม่ของเราเลยหละทั้งใจดีทั้งเรียนเก่ง น่ารักด้วยนะพาเราไปกินข้าวข้างนอกอยู่บ่อยๆ” ภัทรทราภรณ์ทำท่าทางชื่นชมเพื่อนใหม่ของเธอจนออกนอกหน้า

ยิ่งภัทรทราภรณ์ชื่นชมเพื่อนใหม่มากแค่ไหนฉันเองก็ยิ่งปวดร้าวมากขึ้นเท่านั้น แล้วจะอยู่ให้เค้าชื่นชมกันอีกทำไมหละนี่กลับดีกว่ามั๊งอรุณวิลัย

ประณตถือพวงน้ำอัดลมและน้ำแข็งเปล่ามาวางไว้ตรงหน้าฉันกับภัทรทราภรณ์ และรินใส่แก้วให้จนเรียบร้อย

“อะสาวๆ ดื่มน้ำก่อนให้ชื่นใจ”

“ขอบใจนะประณตอ่อนี่ลืมแนะนำไปนี่แป๊ดเพื่อนสนิทเราเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ยังละอ่อน แล้วนี่ประณตเพื่อนเราที่คณะหละแป๊ด” ภัทรทราภรณ์ช่างไม่รู้อะไรเลยมาแนะนำหนามยอกอกให้ฉันรู้จักซะงั้น

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณแป๊ด” ประณตยื่นมือมาให้ฉันจับอย่างเป็นมิตร

ฉันก็ยื่นมือจับกลับไปและรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีฝ่ามือที่นิ่มมากๆ นี่กระมังมือหมอที่ใครๆ เค้าก็บอกว่าเป็นมือสะอาดปราศจากเชื้อโรคและผิวที่ขาวก็ยิ่งทำให้ประณตดูดีมากๆ ในสายตาของฉัน ฉันว่าภัทรทราภรณ์เลือกผู้ชายได้ถูกคนแล้ว

เราสามคนนั่งคุยกันได้อีกสักพักใหญ่ฉันก็ขอตัวกลับบ้านโดยอ้างว่าฉันต้องกลับไปอ่านหนังสือต่อที่บ้าน เพราะขืนอยู่ไปหัวใจของฉันก็คงบอบช้ำไปมากว่านี้ ฉันนั่งรถเมล์กลับไปพร้อมกับน้ำตาที่จะไหลออกมาอยู่เรื่อยๆ ลมที่ปะทะใบหน้าของฉันมันยังไม่แรงพอที่จะทำให้ใบหน้านี้ไร้ความรู้สึกหรือด้านชากับเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้เลย

.................

คนที่จับสังเกตได้ว่าฉันเปลี่ยนไปก็เห็นจะมีแต่ไปรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เห็นฉันซึมไปถนัดตาตั้งแต่กลับมาเรียนฉันก็ไม่ค่อยพูดอะไรมากมายนัก ตั้งหน้าตั้งตาเรียนๆ ไปวันๆ

“แป๊ดเป็นอะไรบอกเราสิเราช่วยได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกกอล์ฟ เราคงเหนื่อยๆ กับเรื่องเรียนน่ะ” ฉันพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่พูดเรื่องที่เกิดกับตัวเองกับไปรยามากนัก

“ขอให้จริงเถอะแต่อาการของแป๊ดเหมือนคนอกหักนะนี่”

“เป็นแม่หมอข้างสนามหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่กันกอล์ฟ” ฉันเย้าเธอเพราะเธอเดาได้แม่นยำกว่าที่ฉันคิดไว้ หรือว่าใบหน้าฉันมันบ่งบอกว่ากำลังอกหักหรืออย่างไร

“ก็ตั้งแต่เห็นอาการแปลกๆ ของแป๊ดนะแหละ”

“อะเหรองั้นเย็นนี้เราเอาเสื่อไปปูใต้ต้นมะขามแล้ววางป้ายไว้ว่าแม่หมอดูแม่นๆ ได้เลยสิ”

“อะแสดงว่าอกหักมาจริง”

“ก็ไม่เชิงหรอกจริงๆ ก็แค่ถากๆ ไม่ถึงกับหักดังเป๊ะ เพราะว่ายังไม่เคยตกลงใจเป็นแฟนกันจริงๆ”

“อืมเหรอผิดกับเราเลยนะเค้าบอกเราว่าเรานะไกลกันเกินไป แล้วก็ขอเลิกกับเราทั้งๆ ที่เราสองคนสัญญาว่าจะรักกันไปนานๆ ไม่นอกใจ แต่ก็อย่างว่านะเราเข้าใจว่ารักแท้แพ้ระยะทางไกลกันข้ามโลกคนละซีกโลกเค้าหลับเราตื่นเค้าตื่นเราหลับ” ไปรยาเริ่มเล่าเรื่องของเธอบ้าง เพราะหมู่นี้เธอเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากฉันเหมือนกัน

“อืมนั่นสินะบางครั้งคนเราเวลาอะไรที่มันห่างกันมากๆ แล้วยังดันทุรังอยู่สุดท้ายมันก็จบอย่างไม่เป็นท่าเลยนะจริงไม๊กอล์ฟ”

“เราก็ว่างั้นแหละ”

เราสองคนมองหน้ากันไปมาแล้วก็อดขำท่าทางเศร้าของเราทั้งสองคนไม่ได้ จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยกันทั้งคู่ เหมือนกับว่าเราทั้งคู่ผ่านศึกหนักหนาสาหัสมาด้วยกันและมาพบทางเดินที่จะต้องมีคนคอยช่วยรักษาบาดแผลที่เจ็บหนักของเราทั้งสองคน

พยาบาลทางใจที่มีเพื่อนใหม่มาคอยช่วยเยียวยาสำหรับฉันแล้วช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเสมอ

.....................

ภัทรทราภรณ์กลับมาบ้างในอาทิตย์นี้โดยมีประณตขับรถมาส่งถึงบ้านเพื่อนๆ ต่างก็มองหน้าฉันสลับกับหน้าของภัทรทราภรณ์ไปมา แต่ฉันก็ไม่ได้แสดงการอะไรออกมาให้ทุกคนได้เห็น เพราะตอนนี้ฉันเริ่มทำใจได้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

ภัทรทราภรณ์ยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิมหยอกล้อกับฉันและเพื่อนๆ แบบเดิมเพียงแต่วันนี้ฉันบอกว่าฉันจะไปซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่เธอก็กุลีกุจอโทรบอกให้ประณตมารับฉันกับเธอไปเดินห้างแถวๆ ชิดลมทันที

ประณตมารับพวกเราสองคนในเวลาบ่ายแล้วฉันจำใจต้องไปเดินห้างและให้ภัทรทราภรณ์เลือกซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ จะว่าไปประณตพิถีพิถันกับเรื่องเครื่องแต่งกายมากว่าฉันที่เป็นผู้หญิงด้วยซ้ำไป พอบอกงบประมาณไปว่าฉันมีสำหรับซื้อรองเท้าคู่ใหม่เท่าไหร่

ประณตก็เดินไปหยิบรองเท้าที่ราคาพอๆ กับงบที่ฉันมี ฉันเสียอีกที่เรียนบัญชีกลับทำไม่ได้แบบเขา เราเดินเลือกรองเท้ากันอยู่ไม่นานมากก็ได้รองเท้าใหม่ของฉันมาอยู่ในมือของประณตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันจะเอามาถือเองประณตก็บอกว่าไม่ต้องหรอกเขาเป็นผู้ชายถือให้สาวๆ แบบพวกฉันจะดีกว่า

เมื่อประณตแสดงเจตนาเช่นนั้นฉันก็ไม่อยากจะขัดใจ เพราะการเดินตัวเปล่าเลือกซื้อของดูจะสบายกว่าที่ต้องเดินถือของไปด้วยเลือกของไปด้วย ประณตเลือกเสื้อและกางเกงให้กับภัทรทราภรณ์ อยู่สองสามชุด ฉันว่าสไตล์การเลือกของประณตดูดีเข้ากับภัทรทราภรณ์เป็นอย่างมาก นี่ถ้าไม่บอกว่าประณตเรียนหมอฉันคงคิดว่าเขาเป็นสไตล์ลีสเลยหละ

กว่าเราจะออกมาจากห้างก็เวลาค่ำมืด ประณตมาส่งฉันและภัทรทราภรณ์กลับบ้าน ฉันก็กลับมาทำเป็นนั่งอ่านหนังสือต่อที่โต๊ะกินข้าวร่วมกับเพื่อนๆ ที่นั่งทำรายงานส่งอาจารย์กันอยู่เสียงพิมพ์ดีดของธิติมาก็ดังเป็นเสียงข้าวตอกแตกอยู่เป็นระยะ คนอื่นๆ ก็นั่งอ่านหนังสือกันไปเรื่อยๆ

ฉันได้แต่แอบมองภัทรทราภรณ์อยู่เป็นระยะๆ เธอยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จนเวลาล่วงเลยมาเกือบจะตีสอง

“ยังไม่นอนอีกเหรอแป๊ดเราง่วงแล้วไปนอนกันเถอะ” ภัทรทราภรณ์ชวนฉันที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ

“เรายังไม่ง่วงเลยกิ่งกิ่งง่วงก็ไปนอนก่อนเถอะ” ฉันบอกปัดไปเพราะฉันไม่อยากที่จะเข้านอนพร้อมเธอ

“ไม่ง่วงก็ต้องไปนอน”

“ถ้าไปก็กลัวดิ” ฉันเริ่มจะเถียงแล้ว

“ถ้าแป๊ดไม่ไปเราก็ไม่ไปเหมือนกัน” ภัทรทราภรณ์ยังคงดื้อดึงจนฉันใจอ่อนยอมทำตามที่เธอบงการ

เมื่อถึงเวลาเข้านอนภัทรทราภรณ์ก็ยังคงใช้แขนของฉันหนุนต่างหมอนเหมือนเช่นเคยและเราสองคนก็ยังคงนอนกอดกันแบบที่เราเคยทำทุกคืนเมื่อได้อยู่ด้วยกัน ฉันได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของภัทรทราภรณ์ออกมาเป็นระยะๆ

ฉันก้มลงสูดดมกลิ่นแชมพูจางๆ จากเรือนผมของเธอ และน้ำตาที่ฉันพยายามจะกลั้นไว้อยู่นานก็ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ตอนนี้ทำนบที่กักกันน้ำตาของฉันได้พังครืนลงมาอย่างไม่มีทางที่จะปิดกั้นไว้ได้ ฉันร้องไห้ออกมาโดยปราศจากเสียงรบกวนหญิงสาวที่ฉันรักปานดวงใจ

และฉันก็รู้แล้วว่าความเป็นไปไม่ได้ระหว่างเรา และช่องว่างที่เราสองคนกำลังสร้างขึ้นมานั้นมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้นทุกทีๆ จนเราสองคนแทบจะไม่มีอะไรที่จะมาเชื่อมใจเอาไว้ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว

….. จบบทที่ ๖......



Create Date : 21 พฤษภาคม 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:12:27 น. 13 comments
Counter : 303 Pageviews.

 
มาแล้วค่ะ แต่ใครน้า มาก่อนเราได้เนี่ย
ช่องว่างที่สร้างขึ้นบางทีมันไม่รู้ตัวหรอก จริงไหมค่ะ บางทีมันเป็นจิตใต้สำนึกกระตุ้นให้ปฏิบัติ

คอยติดตามเหมือนเดิมค่ะ แต่วันศุกร์นี้ว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่ค่ะ ไปเชียงดาว น่าจะไปหลายวัน แต่กำหนดการยังไม่แน่นอน เป็นกำลังใจให้คุณผิงดาวนะคะ


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.167.32 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:8:13:51 น.  

 
คุณต้นรังเร็วกว่าอีกแล้ว เซงเลย กะจะมาเป็นที่หนึ่งซักหน่อย


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:9:51:47 น.  

 
ไหงเส้าจังเลยครับแต่งเพื่อข้าวยังไงก้ดูแลสุขภาพด้วยน้า เป็นห่วงครับผม


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:10:03:00 น.  

 
คุณต้นรัง

ไปเชียงดาวทำงานหรือไปเที่ยวคะ ไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะ หายหยูกยาเอาพกติดตัวไปด้วย เกิดไม่สบายจะไม่ดีนะค่ะ

พูดเหมือนเชียงดาวห่างไกลความเจริญเหลือเกินนะฉัน

แอบดีใจที่คุณกลับมาอ่านอีกครั้งก็เรามันแฟนพันธุ์แท้กันนี่เน๊อะคุณจริงปะ อิอิ

คุณข้าวขา

พอคุณทวงเรื่องฉันก็นึกขึ้นได้เลยคะว่าลืมเรื่องนี้ไปเลย ฉันก็เลยรีบปั่นจนหัวหมุนเพื่อคุณโดยเฉพาะ หุหุ

ไงก็อย่าไปโดนฝนมากนักนะคะม่ายดีแน่ๆ ถ้าจามฟิดฟัด

เป็นห่วงเด้อค่า


โดย: รันหณ์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:30:25 น.  

 
โถ ยังไงก็เข้ามาอ่านค่ะ ดเห็นคุณกว่าจะอัพตอนใหม่นี้ใช่เวลานานเหมือนกันนะคะ แต่ช่วงนี้เดินทางบ่อย ก็อย่างนี้แหละค่ะคนตกงาน เลยไม่อยู่กับที่ ก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ "วัด" เหมือนเดิม สบายใจดี ไปเชียงดาวนี่ก็ไปวัดค่ะ ไปกราบนมัสการหลวงปู่ หลวงตาที่เชียงดาว แล้วคงอยู่หลายวันเหมือนกัน

แล้วจะเอาบุญกลับมาฝากนะคะ ทั้งคุณผิงดาว คนที่คุณรัก (โดยเฉพาะคุณแฟน) แล้วก็แฟนคลับของคุณ จะเป็นคนที่มีแต่ความสุขค่ะ (เพราะได้อ่านเรื่องของคุณ) อวยพรไว้ก่อนเลย แต่เดินทางจริงก็คงวันศุกร์

แล้วก็จะเตรียหยุกยากไปอย่างดีเลยค่ะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ๆ ด้วยไปป่าไปเขาก็เตรียมไปค่ะ ขอบคุณนะคะไม่งั้นคงลืมไปแล้ว


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.167.162 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:16:48:53 น.  

 
คุณต้นรังคะ

พอดีฉันบ้านะคะเขียนทีสองเรื่องควบก็เลยอัพบางเรื่องช้าไปหน่อย เพราะหากว่าเขียนเรื่องไหนแล้วก็จะเกาะติดเรื่องนั้นจนกว่าจะหมดเทียน

เอาควินินไปด้วยนะคะ ฝนตกๆ แบบนี้มาลาเรียระบาดดีนักเชียว หายาทากันยุงไปด้วยก็ดีคะ ไข้เลือดออกเดี๋ยวนี้มีหลายสายพันธุ์

อนุโมทนาบุญล่วงหน้าคะคุณ ขอความสุขความเจริญจงเกิดแก่ผู้ปฏิบัติธรรมเช่นคุณ


โดย: รันหณ์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:18:48 น.  

 
อ้ะนะมีดองยังงี้จะงอนดีไหมเนี้ยครับ

แต่ยังไงคุณรันหณ์ก้แต่งออกมาแล้ว ยังไงตอนหน้ามาลงเร็วนะครับคุณรันหณ์


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:44:26 น.  

 
ขอร้องสักคำได้ปะคะ

จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

แค่่นี้อะคะคุณข้าว



โดย: รันหณ์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:03:10 น.  

 
ขอร้อง ได้โปรด พลีสสสสส


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:18:14 น.  

 
ขอโทษนะครับ พอดีรีบพิมพ์ไปหน่อยเลยตกหล่น คำว่าขอร้องไป อภัยให้กันนะครับ ข้าน้อยยอมรับผิด ณ ที่นี้ครับ


ไม่เคืองกันน้าครับคุณรันหณ์


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:36:31 น.  

 
อย่าเข้าใจผิดค่ะที่ขอร้องหมายถึงฉันขอกรี๊ดดดดดดดดดดดดดด

นะค่ะคุณข้าวขา

อย่าเข้าใจผิดนะค่ะ

คือฉํนอายกกรี๊ดนะคะ



โดย: รันหณ์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:51:54 น.  

 
ไม่ได้คิดโกรธเคืองคุณแต่อย่างใดคะ แค่อยากกรี๊ด ลั่นๆ เท่านั้นเอง

โทษทีค่ะที่ทำให้คุณเข้าใจผิดไปกันใหญ่



โดย: รันหณ์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:53:20 น.  

 
อ่อครับ เหตุเกิดจากความเข้าใจผิด นึกว่ารันหณ์จะเคืองกันซะอีกโล่งใจมากมาย


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:10:02:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.