It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้น : บันทึกฝัน ของคุณต้นรัง (แนวยูริ)

บันทึกฝัน 22 ธ.ค. 50 บันทึกฝัน

จันทร์หอมเด็กสาวอายุ 20 ปี บุตรสาวคนเล็กของคุณวิทูร และคุณศศิ นิสัยเป็นคนเงียบ ๆ ใจเย็น เรียบร้อย มักคิดในแง่บวกเสมอ ผู้คนที่เธอรู้จักนอกจากคนแก่ในบ้าน พ่อแม่ พี่สาว และหลานสาวอีกคน นอกนั้นเธอไม่คุ้นเคยกับใคร และด้วยความที่เธอเป็นคนไม่ค่อยพูด จึงไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก เพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอก็คือมินยา

มินยาเป็นเพื่อนที่จันทร์หอมไว้ใจมากที่สุด เพราะทั้งจันทร์หอมและมินยาเรียนมาด้วยกันและอยู่ห้องเดียวกัน นั่งโต๊ะติดกันมาตั้งแต่จันทร์หอมจำความได้ มินยาไม่ใช่คนในพื้นที่นี้ แต่ต้องมาอาศัยอยู่กับน้าสาวของมินยาที่ในเมือง เมื่อเรียนจบ ม.ปลายมินยาก็สอบเข้าเรียนในวิทยาลัยเกษตรชื่อดัง ทั้งสองคนก็เลยต้องแยกย้ายกันไปโดยปริยาย

มินยาหรือที่เพื่อนๆ มักจะเรียกกันติดปากว่ามิ้น เป็นพี่คนโตของครอบครัว มินยามีน้องชายต่างแม่อีกคนนึง แม่ของมินยาเองเสียชีวิตตั้งแต่ มินยาอายุได้ห้าหรือหกขวบ แม่ของมินยาเป็นสาวเชียงใหม่ชื่อรัตนวลีที่เธอเรียกว่าแม่บุ้ง คุณลาภินพ่อของมินายเป็นคนกรุงเทพ ตอนมินยาอายุได้สักเก้าขวบพ่อของมินายก็แต่งงานใหม่กับเพื่อนของน้าที่ชื่อนุจลินท์

นุจลินท์หรือที่คนงานต่างๆ มักจะเรียกกันจนติดปากว่าเรียกแม่นาย แต่ตัวมินยาจะเรียกนุจลินท์ว่าน้าลิน มินยากับนุจลินทร์นั้นแม้ไม่ได้เป็นแม่ลูกที่แท้จริงก็รักกันมาก คุณลาภินกับนุจลินทร์มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนก็คือทยุต แต่เมื่อครั้งที่น้ำท่วมใหญ่ที่เพชรบูรณืในครั้งนั้นพ่อของทั้งสองคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วม ก่อนที่ทยุตจะเกิดเสียอีก ในตอนนั้นมินยาอายุได้ประมาณสิบเอ็ดปีเท่านั้นเอง มินยาจึงตั้งใจที่จะสานต่อความฝันของพ่อที่เป็นมรดกชิ้นเดียวที่มอบให้คือไร่มินยานี้นี่เอง

เมื่อก่อนนี้โลกที่จันทร์หอม รู้จักคือโรงเรียนกับบ้าน พอเรียนจบชั้น ม.ปลายในโรงเรียนหญิงล้วน โลกที่จันทร์หอมรู้จักก็คือบ้าน ร้านขายอุปกรณ์เย็บปัก ร้านฝากขายผลงาน

จันทร์หอมจบแค่ ม.ปลาย ส่วนระดับสูงกว่านั้น คุณวิทูร พ่อของจันทร์หอมไม่ได้อนุญาตให้ไปเรียน แต่ถ้าเธอจะเรียนให้เธออ่านหนังสือที่บ้านเอง มสธ. จึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของจันทร์หอมที่จะศึกษาเล่าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา

ถึงกระนั้นเธอเองก็ไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิอะไรมากมาย หากจันทร์หอมอยากเรียนอะไรเพิ่มเติม คุณวิทูรก็จะเป็นคนหาครูมาสอนให้ที่บ้าน ทั้งเรื่องดนตรี ซอ จะเข้ ขิม ระนาด แม้แต่เปียโน ไวโอลิน รวมทั้งเรื่องงานฝีมือ ทั้งถัก ปัก หรืองานประดิษฐ์อื่น ๆ เธอจะมีครูมาสอนให้ถึงบ้าน จากงานที่เคยเป็นงานอดิเรกเช่นพวกงานถัก และงานปัก จึงกลายเป็นงานประจำที่จันทร์หอมสามารถทำเพื่อมีรายได้เป็นของตัวเอง

ถึงแม้ว่าจะได้เงินไม่เป็นกอบเป็นกำก็ตามที แต่การที่จันทร์หอมอยู่ในบ้านเป็นส่วนมาก เรื่องเงินสำหรับเธอมันจึงไม่มีความหมายอะไร อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีทางได้ใช้มันหรอก เธอฝันว่าสักวันหนึ่งเธอจะสามารถไปไหนได้ตามใจออกไปท่องเที่ยวในโลกกว้างอย่างกับคนอื่นๆ เขาบ้าง

สิ่งใหม่ที่จันทร์หอมสนใจอยากเรียนคือ วาดรูป ทั้งสีน้ำมัน และสีน้ำ เมื่อแจ้งให้กับผู้เป็นพ่อได้รับรู้ หลังจากนั้นเธอจึงได้ครูสอนศิลปะมาสอนถึงบ้าน และแน่นอนครูทุกคนที่ผ่านมาเป็นผู้หญิง ครูคนนี้ก็เช่นกัน

จันทร์หอมอยากเป็นเหมือนอย่างพี่สาว “ดนิสา” ผู้มีความมั่นใจในตัวเองสูงเป็นพี่สาวที่อายุต่างกับเธอมาก ถึงแม้บางครั้งจันทร์หอมอดจะอิจฉาดนิสาไม่ได้ แต่ยังไงเธอก็รักพี่สาวคนนี้มาก ด้วยเพราะดนิสาเป็นเพื่อนยามเธอเหงา เป็นพี่ยามเธอต้องการคำปรึกษา หรือรับฟังยามที่เธอเบื่อหน่ายกับความเข้มงวดของพ่อแม่

ปรียา (อายุ 28 ปี) น้องนุชสุดท้องของบ้านอติวัณณ์ จบศิลปากร เก่งทั้งออกแบบ ถนัดวาดภาพสีน้ำ สีน้ำมัน ด้วยเพราะเป็นน้องคนเล็กเป็นที่รักของทุกคน จึงสามารถเรียนแตกต่างไปจากพี่ ๆ คนอื่นได้ ปรียาถูกทาบทามให้ไปสอนพิเศษเกี่ยวกับศิลปะให้กับจันทร์หอม ผ่านทางแกรอรี่ ไผ่-นิ่ว

ปรียาตกหลุมรักจันทร์หอมทันทีที่เห็นหน้าครั้งแรก ด้วยความสวย หวาน เรียบร้อย เป็นแม่บ้านเรือนของจันทร์หอม และในบางครั้งปรียายังคิดไปว่าจันทร์หอมคงเป็นสาวโบราณกลับชาติมาเกิดด้วยซ้ำไป ส่วนตัวจันทร์หอมเองชื่นชอบท่าทีคล่องแคล่วของปรียา ยิ่งนานวันจันทร์หอมยิ่งชอบปรียาขึ้นทุกวัน ด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่ปรียาเล่าให้ฟังจากการได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ของปรียา

สองคนที่แตกต่างเมื่อมาอยู่ในที่เดียวกันต่างคนต่างถ่ายทอดประสบการณ์ของตนให้กันและกันได้รับรู้ จันทร์หอมสอนดนตรีไทยให้กับปรียา ซึ่งเมื่อปรียาต้องมานั่งเล่นดนตรีไทยก็รู้สึกขัดๆ ในสายตาของจันทร์หอม ท่าทางการจับไม้ตีขิมของปรียาดูเก้ๆ กังๆ เหมือนจะตีให้สายขิมขาดเป็นสองท่อน และเสียงที่ตีลงไปในแต่ละครั้งก็ดังเกินกว่าที่จะบังคับได้

“ปรียาถ้าปรียาตีแบบนี้จันทร์ว่าไม้ต้องหักในสักวัน” ยังไม่ทันขาดคำของจันทร์หอม ไม้ตีขิมก็หักลงอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของปรียา

จันทร์หอมหัวเราะกับท่าทางของปรียาที่ดูเหมือนจะสำนึกผิดที่ทำไม้ตีขิมหักคามือ

“ขอโทษนะคุณจันทร์ไว้ปรียาซื้อไม้มาคืนให้คุณจันทร์คราวหลังก็แล้วกัน” ปรียาบอกกับคุณครูจำเป็นของเธอที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ

“ไม่เป็นไรหรอกปรียา จันทร์มีสำรองไว้หลายคู่ ให้ปรียาซื้อมาก็คงไม่ได้เรื่องเพราะปรียาซื้อไม่เป็น ไม้นี่นะถ้าแข็งเกินไปเสียงก็จะออกมากระด้าง แต่ถ้าอ่อนเกินไปเสียงก็จะไม่กังวาน ไว้จันทร์ให้พี่นิสาซื้อมาให้ดีกว่า พี่นิสารู้ว่าจะต้องซื้อแบบไหน” สายตาของจันทร์หอมเมื่อพูดถึงดนิสานั้นท่าทางจะดูเคารพและรักพี่สาวคนนี้ของเธอมาก

“ท่าทางคุณจันทร์จะรักพี่นิสามากเลยนะ” ปรียาที่จับสังเกตสายตาของจันทร์หอมได้เอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ใช่ พี่นิสาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของจันทร์ก็ว่าได้ เวลาที่พ่อตีจันทร์พี่นิสาจะออกมารับเสมอ บางครั้งพ่อก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผลกับจันทร์ในบางเรื่อง แม่ก็ไม่เคยจะห้ามพ่อได้ มีครั้งนึงจันทร์เคยหนีออกไปเที่ยว แล้วพ่อจับได้ จันทร์โดนตีซะเนื้อแทบแตก พี่นิสามารับไม้ในมือของพ่อแทนจันทร์ ตอนนั้นพี่นิสาท้องด้วย จันทร์เลยสำนึกผิดว่าตัวเองต้องมาทำให้พี่สาวต้องมาเจ็บตัวจากนั้นจันทร์ก็ไม่เคยที่จะหนีเที่ยวอีกเลย” ทุกถ้อยคำที่จันทร์หอมเล่านั้นล้วนมาจากจิตสำนึกในใจของจันทร์หอมทั้งสิ้น

ปรียาได้รับรู้ถึงความรักและสายสัมพันของพี่กับน้องระหว่างจันทร์หอมและดนิสาได้เป็นอย่างดี จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งเรียนและนั่งสอนดนตรีไทยกันต่อเหมือนเป็นการถ่ายทอดความรู้ที่จันทร์หอมมีให้กับปรียา

ส่วนปรียาก็เล่าเรื่องราวของเธอถ่ายทอดสิ่งที่เธอได้เห็นและได้พบมาผ่านรูปภาพที่เธอวาดให้กับจันทร์หอมได้ดู รูปทะเลที่สงบราบเรียบ รูปทะเลคลั่งเมื่อยามมีพายุฝน รูปทิวเขาที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา และจันทร์หอมเองก็ได้ฝึกหัดวาดรูปสีน้ำมันจากรูปในหนังสือนิตยสารท่องเที่ยวที่ปรียานำติดตัวมาด้วย

“คุณจันทร์ต้องหัดวาดจากรูปที่คุณจันทร์ชอบมันจะง่ายขึ้นเมื่อคุณเห็นว่าคุณกำลังจะสร้างสิ่งที่คุณชอบได้ด้วยตัวเอง ก็คงเหมือนๆ กับที่คุณทำอาหารที่คุณชอบ เมื่อไรลิ้มรสชาตของมันก็จะยิ่งทำให้คุณอยากที่จะลงมือทำอาหารในมื้อต่อไป”

“ปรียาเข้าใจเปรียบเทียบจังเลยนะ จันทร์มองเห็นภาพเลยว่าที่ปรียาเปรียบเทียบนะเป็นแบบไหน” จากนั้นปีรยาก็จับมือจันทร์หอมละเลงสีลงบนผืนผ้าใบแผ่นกว้าง เสียงแห่งความสุขส่งออกมาจากทั้งสองสาวเป็นระยะๆ

ความรักที่ปรียามีให้จันทร์หอมนับวันยิ่งเพิ่มพูน จนยากเอื้อนเอ่ยให้อีกคนรับรู้ความรู้สึกที่เป็นอยู่ แต่ด้วยเพราะอยากอยู่ใกล้จันทร์หอมไปนานๆ จึงไม่กล้าเปิดเผยความจริง ทั้งๆ ที่รักแต่ก็ไม่กล้า

ส่วนจันทร์หอม จากที่เป็นแค่ความชื่นชม ค่อยเปลี่ยนเป็นความรัก เธอไม่พอใจทุกครั้งที่หลานสาวคุยเล่นหยอกล้อกับปรียา ยิ่งเห็นความสนิทสนมของคนทั้งคู่ จันทร์หอมยิ่งหงุดหงิดใจ เพราะหลานสาวของเธออายุก็ไม่ได้แตกต่างจากเธอเท่าใดนัก อายุที่ห่างกันประมาณ 5 ปี ของเธอกับหลานสาวจะเรียกว่าเป็นพี่น้องกันก็น่าจะได้ แต่นี่กลับกลายเป็นน้าสาวกับหลาน

ณมนคือหลานสาวคนสวยของจันทร์หอม ในเวลานี้กำลังอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็น วัยสาวสะพรั่งแรกแย้มของณมนทำให้คนที่ใกล้ชิดมักจะชอบมอง และยิ่งณมนเป็นเด็กช่างสงสัยโน่นนี่ก็ช่างซักช่างถาม เมื่อณมนได้มาเห็นปรียานั่งวาดรูปอยู่ก็เข้าไปคลุกคลีและให้ปรียาช่วยสอน และสนิทสนมกับปรียาจนสามารถเล่นหัวกันได้ ถึงแม้ว่าปรียาจะอายุมากกว่าณมนรอบชนรอบแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันของเพื่อนใหม่สองคนลดลง

ณมนแทบจะบูชาปรียาให้เป็นครูอีกคนหนึ่งของเธอเลยก็ว่าได้ เพราะปรียาจะรู้ไปหมดทุกเรื่องที่เธอซักถาม โดยเฉพาะเรื่องศิลปะบนผืนผ้าใบ หรืองานด้านการตกแต่ง การบ้านเรื่องการวาดรูปของณมนที่ปรียาสอนและแนะนำให้ณมนทำนั้นเธอได้คะแนนดีที่สุดในชั้นและได้รับเลือกให้ส่งเข้าประกวดในระดับจังหวัด ทำให้ณมนมีเรื่องพูดคุยโอ้อวดกับปรียาได้ทุกวัน

จนวันหนึ่งจันทร์หอมแสดงความไม่พอใจที่ปรียาและหลานสาวหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม จนไม่สามารถปิดบังได้ เธอเผลอแสดงอารมณ์ขุ่นมัวใส่ปรียาและหลานสาว และไม่ยอมพูดกับปรียาอีกหลายวัน ปรียาอดทนไม่ไหวถึงความเฉยชาของจันทร์หอมจึง จึงถามถึงสาเหตุ

“คุณจันทร์คะ คุณเป็นอะไรทำไมไม่พูดกับบ้างล่ะ”

จันทร์หอมยังคงเงียบ ไม่เอ่ยอะไรออกมา

“คุณจันทร์คะ ปรียาทำอะไรให้คุณไม่สบายใจเหรอ หรือคุณโกรธอะไรปรียาคุณบอกปรียามาสิคะ”

ปรียาจับมือจันทร์หอมขึ้นมากุมไว้ แต่จันทร์หอมสะบัดมือออกจากการเกาะกุม มากอดอกแน่น

“คุณจันทร์คะ อย่าเงียบอย่างนี้ซิ ทำไม่อย่างนี้ไม่น่ารักเลยรู้ไหมคะ”

“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารักสิ ปรียาไม่รักจันทร์อยู่แล้วนี่”

จันทร์หอมช่างประชดประชันปรียาโดยที่ปรียาเองไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเธอทำอะไรผิด จนปรียาเหนื่อยใจที่จะง้องอน

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เฮ้อ…” ปรียาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“ปรียาอยู่กับจันทร์ คุยกับจันทร์ก็เหนื่อยใจอย่างนี้แหละ ไหนเลยจะเหมือนคุยกับคนอื่น” จันทร์หอมประชดคนที่ไม่ได้รับรู้อะไรเลยจากท่าทางของเธอ

“คุณจันทร์ พูดอะไรให้ปรียารู้เรื่องบ้างได้ไหม” ยิ่งจันทร์หอมพูดออกมาปรียาก็ยิ่งงงหนักขึ้นเรื่อยๆ

“ใช่สิ จันทร์เป็นคนไม่ดี เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องมาคุยกัน” จันทร์หอมประชดปรียาอีกครั้ง

“เมื่อคุณจันทร์ไม่อยากคุยกับปรียา ไม่อยากเห็นหน้าปรียาแล้ว ก็บอกกันตรง ๆ ก็ได้ ต่อไปนี้ปรียาก็จะไม่มาให้คุณจันทร์เห็นหน้าอีก” ปรียาที่คิดว่าจันทร์หอมไม่ชอบตนไม่ได้รักตนอย่างที่ตนเองเป็นเริ่มที่จะถอดใจและคิดว่าจากนี้ไปอย่าพบเจอกันอีกเลย เพราะเธอเองก็แสนจะเจ็บปวดเมื่อจันทร์หอมที่เคยใกล้ชิดกันกลับมาทำตัวห่างเหินกันเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน

จันทร์หอมเม้มปากแน่น กัดริมฝีปากปากของตนเองโดยไม่กลัวว่ามันจะเป็นแผลมีเลือดไหลออกมาหรือไม่ ทั้งน้อยใจ ทั้งเสียใจที่คนตรงหน้าไม่เห็นในความสำคัญของเธอมากพอ

“ใช่สิ ไหนเลยจันทร์จะสำคัญกับปรียาเหมือนยายมนละ จันทร์มันก็แค่คนโลกแคบไม่มีอะไรน่าสนใจนิอยากไปไหนก็ไปเลยคนใจร้าย ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา ไปเลยอยากไปคุยกับใครก็ไปเลย ไม่ต้องมาสนจันทร์แล้ว”

จันทร์หอมพูดไปร้องให้ไป ปรียาตกใจที่เห็นจันทร์มีปฏิกิริยามากมายขนาดนี้ หล่อนดึงแขนจันทร์หอม ไว้เพื่อไม่ให้เดินหนีไปไหนได้

“คุณจันทร์ค่ะ เป็นอะไรร้องให้ทำไม ไหนบอกปรียาสิคะ”

“ไม่ จันทร์ไม่ได้เป็นอะไร จันทร์จะร้องไห้ก็เรื่องของจันทร์ ปรียาไม่อยากรับรู้แล้วนิ”

จันทร์หอมสะบัดแขนจากการเกาะกุมจนหลุด แต่ปรียาก็ตามมาดึงตัวไว้ได้ จับไหล่ของจันทร์หอมไว้ทั้งสองมือ

“คุณจันทร์คะ มีอะไรพูดกันดีๆ สิ อย่าเดินหนีแบบนี้”

“ไม่ได้เดินหนี ก็ปรียาไม่อยากเห็นหน้าจันทร์แล้วไม่ใช่หรือไง จันทร์ก็จะไป”

ปรียาดึงตัวจันทร์มากอด พอจะรู้เลา ๆ ถึงสาเหตุน้ำตานองหน้าคราวนี้ของจันทร์หอม

“โถคุณจันทร์ขา ใครบอกคะว่าปรียาไม่อยากเห็นหน้าคุณ ไหนบอกหน่อยสิเดี๋ยวปรียาจะไปจัดการเอง” สายตาของปรียาเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่กรุ้มกริ่ม ส่องแววของคนที่กำลังมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาก็คือหน้าต่างของหัวใจที่สื่อให้อีกคนที่มีใจตรงกันได้รับรู้

“ก็ปรียานั่นแหละ จะใครที่ไหนอีก” จันทร์หอมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่กระเง้ากระงอดและหลบสายตาของปรียาอย่างเขินๆ

“ปรียาเคยบอกที่ไหนคะว่าไม่อยากเห็นหน้าคุณ หืม”

“ก็เมื่อกี้ไง ก็ปรียาบอกว่าจะไม่มาหาจันทร์อีก จันทร์รู้ว่าจันทร์มันน่าเบื่อ ปรียาเลยไม่อยากมาพบกันอีก”

“ไม่จริงเลยนะคะ คุณจันทร์เป็นคนเดียวที่ปรียาอยากเห็นหน้าทุกวัน คุณไม่รู้เลยหรือไง”

“ไม่รู้หรอก จันทร์รู้แต่เวลาที่ปรียามาสอนจันทร์ ปรียาไม่ชอบ”

“เอาที่ไหนมาพูดคะ ทุกวันที่ปรียาได้พบ ได้อยู่ใกล้คุณจันทร์ เป็นเวลาที่ปรียามีความสุขที่สุด คุณต่างหากที่ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของปรียาเลย”

“รับรู้อะไร แล้วทำไมปรียาไม่เป็นคนบอกจันทร์เองละ จันทร์ไม่ใช่พระอินทร์นะจะได้รู้ไปทุกเรื่อง”

“งั้นก็รับรู้เอาไว้นะคะ ว่าปรียารักคุณจันทร์ รักแบบที่คุณหิรัญรักคุณดนิสา ปรียาอยากเห็นหน้าคุณทุกวัน อยากได้ยินเสียงคุณทุกเวลา คุณนะรับรู้บ้างไหม”

“ปรียารักจันทร์เหรอ…จริง ๆ เหรอ ที่ปรียารักจันทร์” เครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นบนใบหน้าของจันทร์หอมอีกครั้ง

“ค่ะ ปรียารักคุณจันทร์ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าคุณจันทร์คิดยังไงกับปรียา แต่ปรียาก็ยังจะพูดออกไป โดยไม่กลัวว่าคุณจันทร์จะเกลียดปรียาหรือปล่า คุณจันทร์อาจจะไม่พูดกับปรียาเลยก็ได้”

“ใครจะเกลียดปรียากันเล่า...” จันทร์หอมอ่อมแอ้มส่งเสียงพูดออกไปพร้อมกับก้มหน้าหลบต่ำลง

“ไม่เกลียดแล้วรักปรียาบ้างไหมคะ บอกให้รู้หน่อยได้ไหม” ปรียาเชยคางของจันทร์หอมขึ้นมาเพื่อให้สบตาของเธอ

“ถ้าไม่รัก จันทร์จะให้ปรียากอดอย่างนี้หรือไงเล่า”

ในใจของปรียายินดียิ่งนัก เธออยากจะกอดจันทร์หอมให้แน่นกว่านี้ อยากจะทำอะไรให้มากกว่านี้ให้สมกับรักที่เธอแอบเก็บเอาไว้ แต่ต้องยับยั้งไว้ก่อนเพราะเธอกลัวว่าจันทร์หอมจะตกใจ จันทร์หอมสำหรับปรียาเป็นเสมือนแก้วบางใสที่เปราะบางหากโดนสิ่งเร้ามากระทบและเปราะแตกได้ง่าย จิตจของจันทร์หอมบอบบางยิ่งนัก เมื่อปรียาได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตของจันทร์หอมตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมาเธอถึงกับงงว่าเหตุใดคุณวิทูร ที่ใครๆ หลายๆ คนให้ความเคารพนับถือถึงได้เลี้ยงลูกสาวคนเล็กแบบนี้

จันทร์หอมเป็นเหมือนเพชรที่ยังไม่ได้ถูกเจียระไน เพชรแบบจันทร์หอมหากได้ถูกเจียระไนจะส่องแสงสว่าง และเพิ่มคุณค่ามากยิ่งขึ้นเมื่อไปเป็นเครื่องประดับอันทรงคุณค่า คนอย่างจันทร์หอมมีอะไรให้ค้นคว้ามากมาย บางแง่มุมจันทร์หอมจะเงียบขรึม แต่ในบางครั้งจันทร์หอมก็จะร่าเริงสดใส และทุกครั้งที่จันทร์หอมอยู่กับเธอ จันทร์หอมจะเป็นตัวของตัวเองเสมอ กล้าที่จะพูดคุย กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น และกล้าที่จะบอกความในใจ ไม่เก็บกดเอาไว้อย่างที่จันทร์หอมเคยเป็น

แล้ววันหนึ่งบ้านของดนิสาซึ่งก็อยู่ในอาณาเขตเดียวกันได้ต้อนรับแขกไม่คาดคิด นั่นคือปาณชัยพี่ชายของปรียานั่นเอง ปาณชัยให้ความสนใจในตัวจันทร์หอมเป็นพิเศษ จนปรียารู้สึกตะขิดตะขวงใจ และเกิดการเข้าใจผิดพี่ชาย และไม่มั่นใจในตัวจันทร์หอมขึ้นมา

ทุกครั้งที่ปาณชัยมองจันทร์หอม สายตาของปาณชัยจะบ่งบอกถึงความรักและหวงแหนเสมอ ปรียาสัมผัสได้ถึงสายตาของพี่ชาย และจันทร์หอมเองนั้นเล่าก็ยินดีปรีดาที่ได้รับความรู้สึกนั้นจากปาณชัย ส่วนปรียาเมื่อยิ่งเห็นการแสดงออกของทั้งสองคนก็ยิ่งรู้สึกขัดใจอยู่มาก เธอนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากแอบมองพฤติกรรมของทั้งสองคนอย่างเงียบๆ

จนมาวันหนึ่งปรียาก็ได้รับรู้ความจริงจากปากของพี่ชายของเธอว่าจันทร์หอมคือลูกของปาณชัยกับดนิสาที่เกิดจากความผิดพลาด ของปาณชัยกับตัวดนิสา

“อะไรนะพี่พี่บอกว่าอะไรนะ” ปรียาแทบจะไม่เชื่อหูของตนเองที่ได้ยินคำบอกเล่านั้น

“พี่บอกว่าจันทร์เป็นลูกของพี่กับดนิสา เมื่อสมัยเราเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน เรามีอะไรกันแล้วนิสาก็หายไป พี่พยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ พี่ผิดเองหล่ะปรียาที่ไม่ตามหาเมียกับลูกในตอนนั้น เพราะพี่ยังหนุ่ม ยังไม่มีความรับผิดชอบมากพอ ทำให้นิสาต้องหลบๆ ซ่อนๆ ลูกของพี่กับเค้า นิสายกลูกให้กับพ่อและแม่ เมื่อวันหนึ่งพี่ตามหาทั้งสองจนเจอพี่ก็รู้ว่ามันคงจะสายเกินไป พี่ปล่อยเวลาไว้นานเกินไป ตอนนี้จันทร์โตเป็นสาวแล้ว และพี่ก็คงไม่มีโอกาสที่จะบอกลูกได้เลยว่าพี่เป็นพ่อแท้ๆ ของเค้า” สายตาของปาณชัยที่แสดงออกมามีแต่ความเศร้าหมองเมื่อพูดถึงอดีตที่ผิดพลาดของเขากับคนรักเก่า

“มันผ่านไปแล้วพี่อย่าไปคิดมากเลยไงซะตอนนี้จันทร์ก็เติบโตมาได้และเป็นเด็กที่ดีไม่ใช่เหรอพี่” ปรียาตบบ่าพี่ชายที่นั่งน้ำตาปริ่มอยู่ข้างๆ เธอ อย่างไรเสียชายคนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตของเธอเอง ที่โตมาด้วยกัน เล่นมาด้วยกัน แม้เธอกับพี่ชายคนนี้อายุจะห่างกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับความรักของพี่น้องที่มีให้แก่กัน

แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นในตอนนี้จันทร์หอมกลับกลายมาเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเธอเอง แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรกับความรักของเธอกับจันทร์หอม ปรียาได้แต่ครุ่นคิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา หัวใจของเธอในตอนนี้ห่อเหี่ยว แม้จะได้น้ำอมฤตมารดก็คงไม่ได้ทำให้หัวใจเบิกบานได้เลย

ความลับไม่มีในโลกและแล้ววันหนึ่งจันทร์หอมก็ได้รับรู้ในที่สุดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของคุณวิทูรกับคุณศศิ แต่เป็นลูกของดนิสากับปาณชัย

“อย่าบอกพ่อนะนิสาว่าไอ้หมอนั่นมันจะมาแสดงความเป็นพ่อเอาตอนนี้ แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมามันไปมุดหัวอยู่ใต้ผ้าถุงใครที่ไหนให้เราเลี้ยงลูกนอกคอกของมันจนโตเป็นสาว ถ้ามันจะมาบอกว่ามันเป็นพ่อมันต้องตาย แกก็เหมือนกันอย่าให้จันทร์รู้โดยเด็ดขาดว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นพ่อของจันทร์แกเข้าใจฉันไม๊” คุณวิทูรระเบิดเสียงดังออกมาต่อหน้าบุตรสาว

“ค่ะคุณพ่อเค้าเองไม่ได้บอกว่าจะมาเป็นพ่อหรือเรียกร้องอะไรจากลูกหรอกค่ะพ่อ เพียงแต่เค้าอยากใกล้ชิดกับลูกบ้างก็เท่านั้น” ดนิสาอ้อมแอ้มตอบคุณวิทูรไป เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอไม่มีทางที่จะยกโทษให้กับปาณชัยอย่างแน่นอน

กับเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้น คุณวิทูรแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าเธอท้องในขณะที่เรียนยังไม่ทันจะจบปริญญาตรี เมื่อดนิสาต้องไปคลอดลูกและเลี้ยงลูกที่เมืองนอกและอยู่เรียนต่อจนสำเร็จเพราะหากเธอกลับมาเมืองไทยก็เท่ากับประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเธอท้องไม่มีพ่อตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ คุณวิทูรพูดแต่ว่า

“ใส่ตระกร้าล้างน้ำล้างคาวชุบตัวเมืองนอกซะ แล้วค่อยกลับมาจะหาคนดีๆ ไว้ให้”

ถึงคุณวิทูรจะล้างอย่างไรแต่สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของดนิสาก็ไม่เคยที่จะหลุดหายไปได้ ยังคงเป็นสนิมที่กัดกร่อนหัวใจของดนิสาอยู่ร่ำไป

จันทร์หอมได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังแต่เสียงของคุณวิทูรดังลั่นบ้าน จนเธอเองที่นั่งทำงานอยู่ห้องข้างๆ ที่ห่างออกไปไม่มากนัก ต้องรีบออกมาดูว่าพ่อทะเลาะอะไรกับใคร เมื่อเธอได้รับรู้จันทร์หอมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอเก็บข้าวของที่จำเป็นในค่ำคืนนั้นและหนีออกจากบ้านในใจเธอตอนนี้มีคนๆ เดียวที่จะสามารถเป็นที่พึ่งของเธอได้นั่นคือมินยาเพื่อนรัก

เงินที่จันทร์หอมเก็บไว้เมื่อตอนที่ทำงานเย็บปักถูกหยิบออกมาจากกระป๋องเงินที่วางอยู่บนชั้นวางของ แม้จะมีเงินจำนวนไม่มากแต่ก็คงจะเพียงพอกับการออกจากบ้านในครั้งนี้ของเธอ ด้วยความสามารถของเธอ เธอคงทำงานเย็บปักพอเลี้ยงตัวเองให้อยู่ไปวันๆ ได้อยู่หรอก จันทร์หอมจึงตัดสินใจไปขออาศัยอยู่ที่ไร่ของมินยาที่เพชรบูรณ์ เพราะที่นั่นคงทำให้เธอรอดพ้นจากการตามหาของคุณวิทูร

ถึงแม้ว่าจันทร์หอมจะหลีกหนีโลกภายนอกอย่างไร แต่ใจจริงๆ แล้วหัวใจเธอกลับปวดร้าวยิ่งกว่าเดิมเมื่อความจริงทุกอย่างได้ปรากฏชัดแจนแจ่มแจ้งแล้วว่า ตัวของเธอก็คือลูกสาวของบุคคลที่เธอคิดมาเสมอว่าคือพี่สาวของตนเอง

จันทร์หอมเริ่มจะปะติปะต่อเรื่องตั้งแต่หนหลังว่าเหตุใดเธอจึงถูกเลี้ยงมาแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันอะไรกับใครเขาสักเท่าไหร่

หากว่าเธอไม่มีเพื่อนสนิทเมื่อสมัยยังเรียนอยู่ในโรงเรียนอย่างมินยาเธอก็คงไม่ได้หลบหนีออกมาจากบ้านที่ในตอนนี้ไม่เหมือนบ้าน พ่อกับแม่กลายเป็นตากับยายของเธอ

มิน่าหล่ะ!!!

ตัวเธอถึงถูกกีดกันไม่ให้พบปะกับใครเพราะเธอเกิดจากความผิดพลาด และเธอก็โดนจำกัดสิทธิไม่ให้เรียนต่อมหาวิทยาลัยอย่างใครๆ เขาทั้งๆ ที่เธอเองเป็นคนเรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยเหตุเพราะคุณวิทูรกลัวว่าเธอจะเดินซ้ำรอยของดนิสาที่ตั้งแต่เด็กจนโตเธอคิดว่าดนิสาคือพี่สาวแท้ๆ แต่มาบัดนี้ ดนิสากลับกลายเป็นแม่ แม่ที่ไม่ได้ตั้งใจให้ลูกอย่างเธอเกิดมาลืมตาดูโลก

หากจะคิดว่าโชคดีก็คงจะได้หรือจะเป็นโชคร้ายกันหล่ะนี่ ที่ดนิสายังเก็บก้อนเนื้อชิ้นนี้เอาไว้และให้คุณวิทูรชุบเลี้ยงจนเติบโตแบบตุ๊กตาหรือของเล่นชิ้นหนึ่งในบ้านเท่านั้น

เมื่อจันทร์หอมมาถึงที่ไร่ของมินยา มินยาตกใจมากที่เพื่อนของเธอมาปรากฏกายอยู่ที่ไร่ของเธอได้ เพราะมินยารู้ดีว่าจันทร์หอมเป็นเหมือนไข่ในหินของครอบครัวขนาดไหน ทั้งสองกอดกันด้วยความคิดถึงและจันทร์หอมก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับมินยาฟังแบบไม่ปิดบัง

มินยาเริ่มเข้าใจเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนมากขึ้น เธอเคยสงสัยหลายๆ อย่างเรื่องการเลี้ยงจันทร์หอมของคุณวิทูร แต่ตอนนี้เธอพอจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาแล้ว มินยาจัดห้องพักให้กับจันทร์หอมได้เข้าพักอย่างสบาย ข้างๆ ห้องของเธอเอง

จันทร์หอมรับอาสาทำอาหารเป็นแม่บ้านให้กับมินยาและครอบครัวที่มีกันอยู่เพียงสามคน ทั้งสามคนเป็นเกษตรกรที่ต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดและก็กลับมาในตอนใกล้ค่ำ เมื่อจันทร์หอมมาอยู่ด้วย บ้านก็เป็นบ้านมากขึ้น งานบ้านทุกอย่างที่ผ่านมือของจันทร์หอมจะสะอาดสะอ้าน กับข้าวแปลกๆ จะถูกจัดวางบนโต๊ะกินข้าว ทำให้ครอบครัวของมินยาเจริญอาหารกันได้มากขึ้นกว่าเดิม ในตอนนี้จันทร์หอมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมินยาไปโดยปริยาย

มินยาเรียนเกษตรอย่างที่ใจของมินยาอยากจะเรียน มินยามีพี่น้องที่เป็นเกษตรกรยุคใหม่เมื่อเรียนจบก็กลับมาพัฒนาไร่ของตนเองให้เจริญรุดหน้าไปมากกว่าไร่ของเพื่อนบ้าน ไร่ของมินยาเป็นไร่ผสมผสานมีผลผลิตตลอดปี ทั้งหมดเป็นฝีมือของมิยาและแม่เลี้ยงมุจลินท์คนเก่งของมินยาร่วมถึงน้องชายที่แสนใจดีของมินยาอีกด้วยถึงแม้มินยาจะได้ได้รับมรดกจากส่วนของแม่แท้ๆคือหุ้นส่วนโรงแรม บ้านจัดสรร ในอ.แม่ริม เชียงใหม่ แต่มินยาก็ชอบที่จพสานฝันของพ่อทำให้ไร่มินยาเจริญรุดหน้าไปมากกว่าที่เคยเป็นเพียงสวนส้มธรรมดาๆ มินยาทำให้ไร่ของเธอมีทุกอย่างตามที่พ่อของมินยาได้ฝันเอาไว้
ทยุน้องชายของมิยานั้นมีมรดกจากส่วนของคุณนุจลินท์คือหุ้นส่วนค่ายมวยของคุณยายที่ทยุชอบไปขลุกอยู่ที่นั่นเป็นวันๆ เพราะทยุชอบการชกมวยเป็นชีวิตจิตใจ ค่ายมวยของทยุแม้จะไม่ใหญ่โตอะไรมากมายแต่ก็พอมีชื่อเสียงในเพชรบูรณ์ มีนักมวยที่ออกไปจากค่ายมวยของทยุแล้วไปโด่งดังอยู่ที่ลุมพินีและราชดำเนินก็หลายคน

จันทร์หอมออกไปเดินตามหามินยาในไร่เพราะวันนี้เธอรู้สึกว่าอยากออกไปข้างนอกกับเขาบ้าง แต่มินยาก็หายตัวออกมาไร่ตั้งแต่เช้า ก็ยังไม่กลับเข้าบ้าน ตอนนี้ก็สายมากแล้ว เธอจึงตัดสินใจออกมาเดินตามหาเพื่อนรักเสียเอง ดีกว่าที่จะทนรอมินยาอยู่ที่บ้าน

“ยายมินตัวจะออกมาไร่ก็ไม่บอกกันบ้างจันทร์จะได้ออกมาด้วย” จันทร์หอมต่อว่าเพื่อนรักของเธอ

“อ้าวก็เรานึกว่าจันทร์จะนั่งทำงานในบ้านก็เลยไม่ได้เรียกจันทร์ออกมา อีกอย่างแดดมันร้อนจันทร์ไม่เคยโดนแดดแรงๆ แบบนี้จะไม่สบายไปเสียเปล่า” มินยาบอกสาเหตุที่เธอไม่ชวนจัทร์หอมออกมาที่ไร่กับเพื่อนรักของเธอ

“ก็จันทร์ไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในบ้านนี่มินยา จันทร์อยากออกมาดูโลกภายนอกกับเค้าบ้าง”

“งั้นนี่เลยจันทร์เราไปดูเค้าเก็บพริกกัน แล้วเดี๋ยวเราไปดูที่ลานเค้าตากพริกแห้ง เพราะว่าแดดดีๆ แบบนี้พริกแห้งคงเก็บได้แล้ว วันนี้จะได้เอาไปส่งที่ตลาดกลางคงขายได้ราคาหน่อยของเราออกเร็วกว่าพวก” มินยาจูงมือเพื่อนรักของเธอให้ขึ้นรถกะบะคันโตให้ไปยังจุดหมายด้วยกัน

ที่ลานตากพริกมินยาเดินดูพริกที่ตากไว้และพูดคุยกับคนงานอยู่พักใหญ่ ก็สั่งเก็บพริกใส่กระสอบ ขนขึ้นท้ายกะบะรถ จากนั้นสองสาวเพื่อนรักก็พากันไปยังตลาดกลางซื้อขายพืชไร่ที่อยู่ไม่ไกลจากไร่ของมินยาสักเท่าใดนัก

ตลาดกลางคลาคล่ำไปด้วยรถบรรทุกพืชไร่มากมาย พ่อค้าคนกลางจะแวะเวียนมารับซื้อผลผลิตพืชไร่อยู่เสมอในทุกวัน เรียกว่าตาดีได้ตาร้ายก็เสียกันไปเลย ชาวไร่ชาวสวนโดยส่วนมากก็อยากที่จะปล่อยผลผลิตของตนออกสู่ตลาดโดยเร็วที่สุด

ข้อเสียของพืชไร่ก็คือมีอายุได้ไม่นาน หากแก่ไป หรือว่าทิ้งไว้นานเกินไปก็จะเสียหาย พืชผักโดยมาก็มีอายุอย่างมากสองถึงสามวัน หากไม่ส่งเข้าห้องเย็นก็จะเน่าเสียหาย ทิ้งขว้างเสียเปล่า หมดทั้งทุนและกำไรที่คาดหวังว่าจะได้รับ

เกษตรกรโดยส่วนใหญ่จึงไม่อยากจะเก็บผลผลิตไว้กับตัวเพราะรู้ดีว่าเก็บไว้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายนัก มีแต่จะทุนหายกำไรหด จันทร์หอมเดินดูตลาดไปเรื่อยๆ และสักพักก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนเรียกเธอมาจากฝั่งตรงข้ามของถนน

“คุณจันทร์หอม”

เมื่อเธอหันไปตามเสียงเรียกก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เธอได้เห็น ปรียานั่นเอง ปรียามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เมื่อจันทร์หอมตั้งสติได้ เธอรีบวิ่งหนีปรียาไปที่รถของมินยาที่จอดอยู่ และคิดว่าปรียาจะตามเธอไม่ทัน เพราะการจราจรที่ขวักไข่วของตลาดคงช่วยชะลอปรียาในการวิ่งตามเธอมาได้ไม่มากก็น้อย

จันทร์หอมมาถึงที่รถของมินยาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ เธอรีบเปิดประตูและไปนั่งมุดอยู่ที่พื้นรถ เมื่อมินยามาถึงก็ต้องงงกับเพื่อนรักว่าทำไมถึงได้มานั่งหลบอยู่ตรงพื้นไม่นั่งรอเธอที่เบาะรถอย่างที่จันทร์หอมเคยทำ

“ไปนั่งตรงนั้นทำไมหล่ะจันทร์ ขึ้นมานั่งข้างบนนี้สิ” มินยาบอกจันทร์หอมปนเสียงหัวเราะ

“อย่าถามอะไรมากรีบๆ ออกไปจากที่นี่เถอะมินยา เราจะเล่าให้ฟังเมื่อถึงไร่แล้ว แต่ตอนนี้รีบๆ ไปโดยด่วน” จันทร์หอมตัดบทเพื่อนรักอย่างร้อนรน หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ หากปรียาหาเธอพบทุกคนก็ต้องพบเธอ และเธอจะทำอย่างไรต่อไป ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปรียาหรือเธอ แต่ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่คุณวิทูรผู้เป็นพ่อ ไม่ใช่สิผู้เป็นตาของเธอคนเดียวเท่านั้น

ปรียาพยายามวิ่งตามจันทร์หอมมาแต่ก็ไร้วี่แววของจันทร์หอม แต่เธอก็รู้แล้วว่าตอนนี้จันทร์หอมอยู่ที่ไหน เธอตัดสินใจโทรไปถามดนิสาว่าจันทร์หอมเคยเล่าให้ดนิสาฟังหรือเปล่าว่าจันทร์หอมมีเพื่อนอยู่ที่เพชรบูรณ์หรือเปล่า คำตอบที่ได้จากดนิสาทำให้ปรียาแสนจะดีใจ เพราะจันทร์หอมมักพูดกับดนิสาเสมอๆ ถึงเรื่องของมินยา ทำให้ดนิสาพลอยรู้ไปด้วยว่ามินยาอยู่ที่ไหน

แต่ดนิสานึกไม่ถึงว่าจันทร์หอมจะกล้าออกจากบ้านไปไกลถึงขนาดนั้น โดยปกติจันทร์หอมจะไม่เคยได้ไปไหนมาไหน โดยเฉพาะไปคนเดียว ในครั้งนี้แสดงว่าจันทร์หอมคงเหลืออดอะไรสักอย่างถึงได้หนีไป คุณวิทูรได้แต่พูดว่า

“เชื้อไม่ทิ้งแถว งามหน้าเหมือนแม่มันหนีออกจากบ้านไปหาผู้ชายที่ไหนอีก ฉันเลี้ยงมันมาไม่ดีตรงไหนฉันเลี้ยงมันมาผิดตรงไหน มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เลี้ยงมันมาอย่างดีมันยงหนีไปกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ แกจำไว้เลยนะนิสา ฉันจะไม่ดูดำดูดีมันเลยสักนิด ฉะนั้นไม่ต้องเอาเรื่องของมันมาเล่าให้ฉันฟังอีก ฉันจะถือว่าตระกูลเราไม่มีคนอย่างมัน ตัดขาดกันตั้งแต่วันนี้” เสียงที่มีอำนาจของคุณวิทูรสั่งห้ามโดยเด็ดขาดกับลูกสาวและภรรยาของตนเอง

ดนิสาไม่ได้รู้เรื่องที่จันทร์หอมรู้ว่าเธอเป็นแม่แท้ๆ เธอได้แต่เฝ้าตามหาจันทร์หอมอย่างเงียบๆ เพราะจะทำกระโต๊กกระต๊ากไปสามีของเธอก็คงจะล่วงรู้เรื่องของจันทร์หอมไปด้วย ถึงแม้ว่าหิรัญจะไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่ค่อยพอใจคุณวิทูรบ้างในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงดูจันทร์หอม

ในวันนี้ที่ได้รับรู้ข่าวของจันทร์หอมจากปรียาเธอย่อมยินดีมากว่าใคร จันทร์หอมคือสายเลือดของเธอที่เธอไม่สามารถบอกกับใครได้เลยว่าเป็นลูกแท้ๆ ของเธอ หากหิรัญได้รับรู้เรื่องนี้คงบ้านแตก และครอบครัวของเธอที่สร้างมาตลอด 16 ปีก็ต้องจบลงอย่างไม่เป็นท่า

“ฝากลูกสาวของฉันด้วยนะคะคุณปรียา ดูแลเธอด้วยอย่างน้อยเธอก็คือหลานของคุณ” ดนิสาบอกกับปรียาที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์อักฝั่งหนึ่ง

“ปรียาจะตามหาจันทร์หอมให้เจอค่ะ ปรียาสัญญาว่าจะตามหาหลานให้พบก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรไปมากกว่านี้” ปรียารับคำของดนิสาและวางสายไป

คำว่า “หลาน” มันช่างเป็นรอยมีดกรีดใจของปรียาเสียจริงๆ ทำไมจันทร์หอมต้องเกิดมาเป็นหลานแท้ๆ ของเธอ ทำไมเธอต้องเป็นอาของจันทร์หอม ด้วยเรื่องรักผู้หญิงด้วยกันเองก็ผิดจารีตของสังคมมากพออยู่แล้ว และนี่จันทร์หอมยังมาเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเธออากับหลานดูไม่จืดเลยนะหากใครมารู้ความจริงเข้า เธอและจันทร์หอมจะโดนประณามมากเพียงไหน

ปรียาตามมาที่ไร่ของมินยาตามที่ได้ที่อยู่มาจากดนิสา ไร่ขอมินยาหาไม่ยากเลยถามใครๆ ในแถบนั้นก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ปรียาเห็นจันทร์หอมกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นให้กับคนในบ้าน เธอถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีสายตาของมินยาและทยุมองตามตาไม่กระพริบ แต่ด้วยมินยาและทยุได้รับรู้เรื่องราวที่จันทร์หอมได้เล่าให้ฟังแล้วก็เลยไม่ได้ไปขัดจังหวะการเข้ามาของปรียา

“คุณจันทร์” ปรียาเรียกจันทร์หอมอย่างแผ่วเบา

จันทร์หอมสะดุ้งสุดตัว เสียงเรียกที่คุ้นหูของเธอทำเอาเธอตกใจมือที่ถือทัพพีอยู่พลอยหมดแรงถือร่วงลงสู่พื้นอย่างง่ายดาย

“ปรียาคุณมาได้ไง” จันทร์หอมพูดเหมือนละเมอ

“ก็มาตามหาคุณจันทร์นะสิ คุณหนีออกมาแบบนี้มันไม่ได้เป็นผลดีกับคุณเลยนะคุณจันทร์”

“แล้วจะให้จันทร์ทำอะไรได้มากไปกว่านี้หล่ะปรียา ถ้าปรียาเป็นจันทร์ปรียาจะทำไง จะไปบอกใครเค้าได้เหรอว่าพี่สาวของปรียาเป็นแม่ของปรียา จะบอกใครเค้าได้เหรอว่าพ่อกับแม่ของปรียาเป็นตากับยายของปรียา” จันทร์หอมได้ปลดปล่อยความในใจของเธอออกมาแล้วในตอนนี้

สายตาของปรียามองเห็นหม้อแกงของจันทร์หอมเริ่มเดือดแล้วก็เลยรีบไปปิดแก๊สที่เตาก่อนที่จะมาต่อปากต่อคำของจันทร์หอมพร้อมกับหยิยทัพพีที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาและเอาไปวางไว้ที่อ่างล้างจานที่อยู่ข้างๆ กันจากนั้นปรียาก็คว้าข้อมือของจันทร์หอมให้เดินตามเธอออกมาจากห้องครัว ผ่านมินยาและทยุไปอีกเช่นเคย

เมื่อออกมาอยู่ที่หน้าบ้านปรียาสวมกอดจันทร์หอมด้วยหัวใจที่ปวดร้าว จันทร์หอมเองก็เช่นกันกอดตอบคนที่เธอรักแต่ก็เหมือนอ้อมกอดนั้นมีอะไรบางอย่างกั้นขวางเอาไว้ ปรียาอยากจะจูบจันทร์หอมแทบขาดใจ แต่ติดอยู่ที่คำว่า “หลานกับอา” ที่ทำให้เธอต้องหยุดการกระทำทุกอย่างลง

“คุณจันทร์ไปอยู่กับพี่ปาณดีไหม อย่างน้อยพี่ปาณก็ไม่มีใคร ไม่ได้แต่งงาน พ่อคงดูแลลูกได้โดยที่คุณไม่ต้องมาอาศัยอยู่กับคนอื่นแบบนี้” ปรียาพูดกับคนในอ้อมกอดของเธอ

เมื่อสิ้นถ้อยคำจากปากของปรียาจันทร์หอมก็เบี่ยงตัวออกมาจากอ้อมกอดของปรียา เธอหันมายืนประจันหน้ากับปรียาโดยไม่มีวี่แววของคนที่เคยอ่อนแอในดวงตาของจันทร์หอมเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่แววตาของจันทร์หอมในครั้งนี้มีแต่แวตาของคนที่ชิงชังรังเกียจกับถ้อยคำของปรียาที่จันทร์หอมได้รับฟัง

“พ่อเหรอคะ พ่อที่ไม่เคยจะเลี้ยงดูลูกของตัวเองเลยนะเหรอปรียา จันทร์ไม่ไปเด็ดขาด” จันทร์หอมปฏิเสธเสียงแข็ง

“แต่คุณต้องไปนะคุณจันทร์”

“ปรียามีสิทธิ์อะไรมาบังคับจันทร์”

“สิทธิ์ความเป็นอาไงคุณจันทร์ อาที่ห่วงหลานสาวของตัวเองยิ่งกว่าห่วงตัวเอง อาที่ตามหาหลานของเค้าแทบจะพลิกแผ่นดิน คุณเคยรับรู้ถึงความรู้สึกของอาคนนี้บ้างไหมหล่ะคุณจันทร์” ปรียากล่าวออกมาด้วยความปวดร้าวแสนสาหัส น้ำตาของปรียาเอ่อล้นออกมาตลอดเวลาที่เธอพูดกับจันทร์หอม

จันทร์หอมเองก็เช่นกันเธอก็รู้สึกปวดร้าวกับคำว่า “อากับหลาน” เธอไม่อยากได้ยินคำๆ นี้

“หยุดซะทีเถอะปรียา จันทร์ไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว ปล่อยจันทร์ไปตามทางของจันทร์เถอะปรียา ปล่อยจันทร์ไปให้จันทร์ได้เรียนรู้โลกของจันทร์ด้วยตัวของจันทร์เอง ชีวิตของจันทร์ที่ผ่านมามีแต่คนมาสนตะพายจันทร์ จะจูงไปทางไหนจันทร์ก็เดินตาม จะให้จันทร์ทำอะไรจันทร์ก็ต้องทำตาม ตอนนี้จันทร์อิสระมากพอที่จะใช้ชีวิตของตัวเองแล้ว ปรียาปล่อยจันทร์ไปเถอะนะ ถ้าปรียารักจันทร์จริงๆ” จันทร์หอทพร่างพรูความในใจของเธอออกมาให้ปรียาได้รับรู้

“ปรียาเข้าใจคุณจันทร์ดี แต่ปรียาก็อดเป็นห่วงจันทร์ไม่ได้ ในฐานะคนเคยรักกัน และยังคงรักอยู่จนถึงตอนนี้ปรียาก็ยังรักคุณจันทร์เสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากนั่นเป็นการตัดสินใจของคุณจันทร์แล้วปรียาก็จะไม่ขัดขวางคุณ แต่ให้คุณระลึกไว้เสมอว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะอะไร ปรียาคนนี้ก็จะยังรักคุณตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง” ปรียายกมือขึ้นปาดน้ำตาของจันทร์หอมออกจากใบหน้าสวยนั้นและอ้าแขนออกรับอ้อมกอดของจันทร์หอมที่เคลื่อนตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเธอเช่นกัน

จันทร์หอมเงยหน้าขึ้นประกบริมฝีปากของเธอกับคนที่อยู่ในฐานะอาของเธอ จูบแรกของชีวิตจันทร์หอมกับคนที่ได้ชื่อว่าอาของเธอเอง ปรียาได้แต่ยืนนิ่งไม่ดเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้จูบตอบจันทร์หอมทั้งๆ ที่เธออยากจะทำ ไม่ได้ปล่อยอารมณ์ไปตามสิ่งที่ใจของปรียาเรียกร้อง วุฒิภาวะทางอารมณ์ของปรียามีมากกว่าจันทร์หอมมากมายนัก เธอต้องไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมลงไปมากว่าที่เป็นอยู่

จันทร์หอมผละตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของปรียาและเดินจากปรียามาโดยไม่มีคำพูดอะไร ปรียาได้แต่มองภาพของจันทร์หอมที่เดินจากเธอไปโดยไม่ไขว่คว้าจัทร์หอมกลับมาหาอ้อมอกของเธอ ในขณะนี้จันทร์หอมบรรลุนิต่ภาวะแล้วตามกฎหมาย จันทร์หอมมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้กับชีวิตของจันทร์หอมเอง ปรียาเข้าใจจนันทร์หอมได้เป็นอย่างดี และยอมรับในการตัดสินใจของจันทร์หอมในครั้งนี้

ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของจันทร์หอมไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าการเป้นแม่บ้านให้กับมินยาและไปไร่บ้างในบางครั้ง ในตอนนี้จันทร์หอมเปิดสอนดนตรีไทยให้กับเด็กๆ ที่สนใจที่จะเรียนรู้ และตั้งกลุ่มแม่บ้านในการทำหัตถกรรมในเวลาว่าง

จันทร์หอมมีหัวทางด้านการเย็บปักและออกแบบหัตถกรรมต่างๆ มาตั้งแต่จันทร์หอมยังเป็นนักเรียน ฝีมือของจันทร์หอมเข้าขั้นว่าใช้ได้ และสวยที่เดียว สินค้าที่กลุ่มแม่บ้านได้พยายามทำมาตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เริ่มที่จะติดตลาด จันทร์หอมสอนให้แม่บ้านหลายๆ คนทำอาหารอบแห้ง เช่น ขนุน ฟักทอง และผักบางชนิด

ทั้งยังทำถ่านที่ได้มาจากผลผลิตจากไร่ โดยเฉพาะซังข้าวโพดที่ทุกคนทุกไร่มักจะเผาทิ้งไปเสมอๆ จันทร์หอมจัดการนำซังข้าวโพดที่เผาทิ้งมาบดผสมกับแป้งทำเป็นแท่งถ่านขายและถ่านที่ได้ก็ไฟแรงเหมือนถ่านไม้ตามธรรมชาติ แถมมีข้อดีมากกว่าคือถ่านของจันทร์หอมไม่ปะทุไม่มีลูกไฟเหมือนถ่านไม้ตามธรรมชาติ มีขนาดที่เท่าๆ กันไม่เล็กเกินไปและไม่ใหญ่จนเกินไป ลูกค้าโดยทั่วไปของจันทร์หอมก็คือร้านขายหมูกระทะ ที่สั่งมาครั้งละมากๆ ทำรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านได้เป็นกอบเป็นกำ

จันทร์หอมในวันนี้แตกต่างจากเด็กสาวที่เคยทำตามคำสั่งของคุณวิทูร เพราะในตอนนี้ใครต่อใครก็ต้องมาเรียนรู้จากจันทร์หอม ชีวิตในแต่ละวันจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วผลงงานที่ออกมาสู่ตลาดของจันทร์หอมเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

จันทร์หอมไม่เคยติดต่อกลับไปหาคุณวิทูรหรือใครก็ตามที่เธอได้หันหลังจากมา เธอเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยลำแข้งของเธอเอง และเธอก็มาซื้อที่ทำไร่ส้มอยู่ติดๆ กับที่ของมินยา จันทร์หอมมีกิจการเป็นของตัวเองบริหารงานเอง โดยมีมินยาและคุณนุจรินท์คอยช่วยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง

ในวันหนึ่งจันทร์หอมก็ได้ต้อนรับแขกที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นเวลานาน ปรียาได้มาปรากฏกายให้จันทร์หอมได้พบอีกครั้ง ในครั้งนี้ปรียามาในสภาพที่จันทร์หอมเองก็ต้องตกใจ ปรียาผ่ายผอมไปมากกว่าเดิม ดวงหน้าอิดโรย แต่แววตาของปรียานั้นสดใสกว่าเมื่อครั้งก่อน

ทั้งสองคนยืนมองกันและกันอยู่นานจนมินยาต้องมาเชิญให้ปรียาเข้ามานั่งในบ้านก่อน ปรียานั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าระเบียงบ้านโดยมีจันทร์หอมนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ

“คุณจันทร์ปรียามีเรื่องจะบอกกับคุณ”

“เรื่องอะไรคะที่ปียาจะบอกกับจันทร์”

“เรื่องที่ปรียาไม่ได้เป็นอาของคุณจันทร์เราไม่ได้เป็นญาติกันทางสายเลือด คุณได้ยินไหมว่าปรียาไม่ได้เป็นอาของคุณ คุณดีใจไหมคุณจันทร์” ปรียากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยินดีเป็นอย่างมาก

แต่จันทร์หอมกลับนิ่งฟังแล้วสะอึก

“นี่อย่าบอกนะค่ะว่าแม่ของจันทร์ไม่ได้ท้องกับคุณปาณชัย”

“เปล่าคุณจันทร์เป็นลูกของคุณดนิสากับพี่ปาณจริงๆ แต่ปรียาต่างหากที่ไม่ได้เป็นลูกของคุณพ่อ”

“อะไรนะ” จันทร์หอมเริ่มชักจะสับสนกับคำบอกเล่าของปรียา

“เรื่องก็มีอยู่ว่าตอนที่คุณพ่อของจันทร์ไม่สบายทุกคนไปตามหาเลือดมาให้คุณพ่อ ลูกๆ ทุกคนให้เลือดคุณพ่อได้หมด มีแต่ปรียาเท่านั้นที่ให้ไม่ได้ ปรียาเองก็แปลกใจว่าทำไมมีปรียาคนเดียวที่เลือดกรุ๊ปบี ส่วนลูกๆ คนอื่นๆ รวมทั้งคุณแม่มีเลือดกรุ๊ปโอกันหมด ปรียาไม่มั่นใจก็เลยให้หมดตรวจซ้ำผลก็ออกมาเช่นเดิมว่าปรียาเลือดกรุ๊ปบี” ปรียาหยุดการเล่าของเธอหยิบแก้วน้ำมะขามตรงหน้ามาดื่มอย่างกระหาย

“อร่อยไหมคะจะเติมอีกไหม” จันทร์หอมถามปรียาที่ดื่มน้ำมะขามในแก้วจนหมดแทบกระดกแก้ว

“ถ้าได้อีกก็จะดีไม่น้อย น้ำมะขามหอมหวานดีนะ มีรสเปรี้ยวนิดๆ คุณจันทร์นี่เก่งจังเลยที่มาทำอะไรแบบนี้ได้ หัวคิดดีจริงๆ” ปรียาเอ่ยชมจันทร์หอมจากใจจริง

“เล่าเรื่องของปรียามาต่อเถอะจันทร์อยากรู้ มาทำให้ต่อมอยากรู้ของจันทร์โตขึ้นแล้วปล่อยวางเฉยแบบนี้ไม่ได้นะปรียา” จันทร์หอมเริ่มกระตุ้นให้คนตรงหน้าของเธอเล่าเรื่องต่อ

“อ่อ หลังจากนั้นปรียาก็ไปถามใครหลายๆ คนว่าเป็นไปได้ไหมว่าลูกจะมีเลือดไม่เหมือนกับพ่อแม่ คำตอบคือเป็นไปไม่ได้ ปรียาก็เลยไปถามคุณพ่อตรงๆ ว่าปรียาเป็นลูกของคุณพ่อหรือเปล่า ในที่สุดก็ได้รับคำตอบที่ปรียาแทบจะช๊อคว่าไม่ใช่ ปรียาเป็นลูกของเพื่อนรักของคุณพ่อ

แต่ท่านเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พี่ๆ ของปรียาและพ่อกับแม่แท้ๆ ของปรียาได้ตายไปในอุบัติเหตุในครั้งนั้นจนหมด แต่ตัวปรียาเองจะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่พอดีว่า เมื่อครั้งนั้นปรียาไม่สบายแม่ก็เลยเอาปรียามาฝากไว้กับคุณพ่อซึ่งเป็นเพื่อนบ้านและเป็นเพื่อนรักของแม่ปรียาเอง

จากนั้นพ่อก็เลี้ยงปรียามาเหมือนลูกแท้ๆ ของท่านโดยที่ปรียาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าปรียาม่าได้เป็นลูกของท่าน แต่ตอนนี้ปรียารู้แล้วว่าปรียาไม่ได้เป็นอาของคุณจันทร์ เรารักกันได้นะคุณ เรารักกันได้” ปรียาเล่าเรื่องไปด้วยยิ้มไปด้วย

“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาปรียาหายไปไหน ทิ้งให้จันทร์ต้องต่อสู้กับชีวิตอยู่คนเดียว ปล่อยจันทร์ทิ้งไว้กับความเหงา ให้จันทร์เฝ้าคิดถึงคุณอยู่ตลอดเวลา” จันทร์หอมเริ่มตั้งคำถามที่เธออยากจะรู้

“ปรียาไปไกลมากเลยคุณจันทร์ ไปหาที่วาดรูป ไปเรียนต่อในสิ่งที่ปรียาอยากจะทำ เพราะปรียารู้ดีว่าหากว่าปรียาอยู่เมืองไทยปรียาคงทนสิ่งที่หัวใจของปรียาเรียกร้องไม่ได้ต้องกลับมาหาคุณจันทร์ที่นี่แน่ๆ ปรียาเคยมาแอบดูคุณอยู่หลายครั้ง แต่ปรียาไม่กล้าที่จะเดินเข้ามา เพราะคำว่าคุณคือ “หลาน” ของปรียา คำนั้นคำเดียวทำให้ปรียาไม่กล้าแม้จะเดินเข้ามาในชีวิตคุณ แต่ตอนนี้ปรียาเป็นอิสระแล้ว เราไม่ได้เป็นญาติกัน เรารักกันได้ คุณจันทร์ดีใจไหมคะ” ปรียาเอื้อมมือไปจับมือของจันทร์หอมที่วางอยู่บนโต๊ะสองมือจับกุมกันไว้แน่น ส่งผ่านทั้งความรักและความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันและกันโดยปราศจากคำพูดใด

ปรียาและจันทร์หอมหลังจากที่ได้ปรับความเข้าใจกันและกันแล้วทั้งสองคนก็ตัดสินใจเดินทางไปในที่ต่างๆ ที่ช่วงชีวิตหนึ่งจันทร์หอมอยากจะไปเปิดโลกกว้างของเธอเอง ปรียาพาจันทร์หอมไปทุกๆ ที่ ที่จันทร์หอมอยากไป ทะเล น้ำตก ภูเขา ที่ไหนที่มีปรียาก็ต้องมีจันทร์หอมที่คอยตามเป็นเงาของกันและกัน

แม้ว่าการกระทำของทั้งสองคนจะทำให้คุณวิทูรที่ได้รับรู้จะไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายชีวิตของทั้งสองคน เพราะคำพูดของคุณวิทูรที่ได้ตัดญาติขาดมิตรกับจันทร์หอมไปแล้วนั้นยังคงค้ำคอของคุณวิทูรเอง ครั้งจะกลืนน้ำลายของตนเองที่เคยบ้วนทิ้งไปแล้วคุณวิทูรก็ไม่สามารถทำได้ จึงต้องยอมให้จันทร์หอมได้ทำตามใจของจันทร์หอมเอง

ปาณชัยผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรปรียาที่ลากเอาจันทร์หอมลูกสาวคนเดียวของเขาไปเดินในเส้นทางที่เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกสาวเดิน เพราะเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องเอาความจากจันทร์หอมที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกตามพฤตินัยของเขา

ปาณชัยไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าความรักของผู้หญิงกับผู้หญิงเป็นอย่างไรเพราะพี่สาวพี่สาวฝาแฝดของปาณชัยก็เป็นหญิงรักหญิงเช่นเดียวกันเขาคุ้นเคยกับความรักแบบนี้มาตั้งแต่เขารู้ว่าพี่สาวของเขาเองมาปรึกษาเรื่องความรัก ทั้งคู่ไม่เคยมีความลับต่อกัน และเขาก็รู้ว่าปรียาเองก็มีรสนิยมทางเพศเช่นเดียวกันเขาจึงยอมรับเรื่องแบบนี้ได้โดยที่ไม่คิดอะไรมากมายนัก

อีกอย่างปาณชัยเองก็รู้ว่าปรียานั้นรักลูกสาวของเขามากแต่ไหน เพราะเมื่อตอนที่ปรียารู้ว่าจันทร์หอมเป็นหลาน ปรียาแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ เกือบเสียคนไปก็หลายครั้งยังดีที่พ่อของเขาเองเป็นคนรั้งปรียาเอาไว้ และเมื่อความจริงได้เปิดเผย ปรียาก็ดีใจจนออกนอกหน้า สิ่งที่ติดใจปรียาที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวของเขาเองก็เห็นจะมีแต่เรื่องของจันทร์หอมคนเดียวเท่านั้น

ดนิสาร่วมแสดงความยินดีกับปรียาและจันทร์หอมในครั้งหนึ่งที่ทั้งสองคนเดินทางกลับมายังบ้านเก่า เธอก็ยังไม่สามารถที่จะแสดงตัวได้ว่าเธอเองเป็นแม่ของจันทร์หอม และตอนนี้ณมนก็เป็นสาวมากกว่าเดิม เธอไม่อยากให้ลูก ที่เกิดใหม่กับหิรัญต้องได้มารับรู้ความชั่วเก่าๆ ของแม่ตัวเอง มีเพียงจันทร์หอมเท่านั้นที่รู้ว่าเธอคือแม่ที่แท้จริง ดนิสาบอกฝากลูกสาวของเธอกับปรียาอีกครั้ง และครั้งนี้เธอรู้ว่าปรียาสามารถที่จะดูแลลูกสาวของเธอแทนเธอได้เป็นอย่างดี

เมื่อทุกอย่างที่ดูเหมือนจะลงตัวแล้วทั้งปรียาและจันทร์หอมก็เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ปรียาส่งรูปของเธอมาขายตามแกรอรี่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยฝีมือของปรียาเข้าขั้นเป็นศิลปินที่มีพัฒนาการของการทำงาน ตอนนี้ปรียามีชื่อเสียง มีคนรู้จักในฐานะศิลปินชื่อดัง ภาพวาดบางภาพเมื่อขายได้นั้นมันเป็นเงินมากพอที่จะทำให้ทั้งสองได้เป็นทุนในการเที่ยวไปทั่ว และเมื่อเที่ยวเสร็จก็กลับมาทำงานที่จันทร์หอมได้เริ่มต้นไว้ จันทร์หอมได้ขยายธุรกิจของกลุมแม่บ้านเป็นบริษัทส่งขายสินค้าบางส่วนไปยังต่างประเทศ ตลาดของสินค้าเกษตรที่จันทร์หอมและมินยาได้เคยกรุยทางไว้ในตอนนี้มีมากมาย จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ปรียาและจันทร์หอมตัดสินใจที่จะตั้งรกรากอยู่ที่เพชรบูรณ์ ทั้งคู่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายตามที่อยากจะทำ ธุรกิจดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น มีอีกหลายชีวิตที่ฝากชีวิตไว้กับไร่จันทร์หอม และนี่ก็เป็นการประกาศให้ใครหลายๆ คนได้รับรู้ว่า แม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่คนเราสามารถเลือกทางเดินชีวิตของเราเองได้

จันทร์หอมได้พิสูจณ์ให้คุณวิทูรได้รู้แล้วว่าหลานที่คุณวิทูรเลี้ยงมาไม่ได้เหลวไหลหรือทำตัวไม่ดีอย่างที่คุณวิทูรได้สบประมาทไว้

ชีวิตของทั้งปรียาและจันทร์หอมอาจเป็นเพียงจิ๊กซอเล็กๆ บนโลกใบนี้ แต่จิ๊กซอเล็กๆ นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในสังคม

ไม่ว่าคุณจะเป็นใครอยู่แห่งไหนบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ คุณก็คือส่วนหนึ่งของประชากรโลก หากเราไม่ช่วยกันทำให้สังคมเจริญทางด้านจิตใจตามไปกับความเจริญทางด้านวัตถุแล้ว ใครหล่ะที่จะทำ

สานฝันคุณต้นรังไว้เพียงเท่านี้ค่ะ หวังว่าคงเป็นอย่างที่คุณต้นรังได้ฝันไว้

ผิงดาวณ.คืนไร้เดือน
29 เมษายน 2551 15.06 น.





Create Date : 01 พฤษภาคม 2551
Last Update : 1 พฤษภาคม 2551 21:05:29 น. 1 comments
Counter : 375 Pageviews.

 
ขอเข้ามาอ่านนิดส์นึง


โดย: Dinsor IP: 119.42.65.167 วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:16:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.