It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : บันทึก ตอนที่ 6

แล้ววันหนึ่งก่อนที่จะสอบเอ็นใหญ่ ที่บ้านของฉันเอง

“สวัสดีตั๊ก” เธอส่งยิ้มกระชากใจให้ฉัน

“หวัดดีแดง มาได้งัยนี่เงียบๆ นั่งก่อนสิ” ฉันมองเธอและส่งยิ้มให้เธอเช่นกันแต่มันอาจไม่กระชากใจเธอก็เท่านั้น

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คิดถึงกันบ้างไม๊” เธอพูดพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกหน้าบ้านฉัน

“เราต่างหากควรถามแดงว่าคิดถึงเราบ้างไม๊ เรานะคิดถึงแดงมากเลยรู้ไม๊ ไม่ติดต่อเราเลยนะ หายไปเหมือนว่าไม่มีตัวตน เรียนหนักไม๊ แล้วอยู่ยังงัย สบายดีหรือเปล่า แล้วมีแฟนรึยัง มีใครจีบหรือเปล่า” ฉันถามออกมาเป็นชุดจนเธอหัวเราะ

“ฮิ ฮิ ค่อยๆถามทีละคำถามสิ เอาตอบคำถามแรกนะ เราคิดถึงตัวมาก เราไม่ติดต่อกับตัวก็เพราะเราเรียนหนักมาก มันเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เราก็เลยต้องปรับตัวมากกว่าที่เป็น ข้อสอง เรายังมีตัวตนอยู่ยังเป็นแดงของตั๊กคนเดิม ที่เราไม่ติดต่อกลัวตัวจะไม่มีสมาธิในการเรียนเพราะตัวต้องเตรียมตัวสอบ ข้อสามเราอยู่สบายดีอยู่กับพี่เรา ข้อสี่เรายังไม่มีแฟน ไม่มีใครมาจีบเรา เป็นงัยหละพอใจไม๊” เธอพูดแล้วยิ้มอีกแล้ว

“เก่งเนอะเก็บใจความได้หมดที่เราถาม”

“แน่หละเราชวเลขเก่งนะเออ” หัวเราะอีก

“ขอกอดหน่อยได้ไม๊” แล้วฉันก็คว้าตัวเธอเข้ามากอดแนบตัวฉันอย่างคิดถึงสุดๆ พร้อมกับหอมแก้มไปอีกหลายฟอด

“พอแล้วช้ำหมดแล้ว”

“ไม่ได้เราคิดถึงนี่นา” ฉันไม่ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนของฉันง่ายๆหรอกคอยดูสิ

“ไปสวัสดี……”

“ท่านไม่อยู่หรอก ไม่รู้ไปไหนเราตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอแล้ว” ฉันพูดสวนเธอออกไปเพราะรู้ดีว่าเมื่อเธอมาจะต้องเข้าไปสวัสดีทักทายพ่อกับแม่ของฉันก่อนแล้วเราถึงเข้ามานั่งคุยกัน

“เหรอ อือ หนกหละ”

“ไปส่งน้องเรียนพิเศษ เราต้องอ่านหนังสือก็เลยต้องอยู่เฝ้าบ้าน ทานอะไรมาหรือยัง” ฉันถามเพราะเห็นว่าจะเที่ยงแล้วเธอคงยังไม่ได้ทานอะไรมาแน่นอน

“ยังเลย มีอะไรทานบ้างหละ”

“ไปดูไม๊เราก็ไม่รู้เพราะตั้งแต่เช้าเราก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยเหมือนกัน”

“ตั๊กไม่มีอะไรเลย แม้แต่ไข่ก็ไม่มี” เธอตะโกนบอกฉันหลังจากเดินเข้าไปในครัวแล้วไม่เห็นอาหารใดๆ

“ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน สงสัยต้องออกไปหาอะไรทานข้างนอกบ้านแล้วหละ” ฉันจึงเข้าไปดึงมือเธอเพื่อที่จะออกไปหาอะไรกิน

“ไม่ต้องหรอก ตัวอ่านหนังสือไปเถอะเดี๋ยวเราไปซื้อเอง” แล้วเธอก็ทิ้งให้ฉันเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว และกลับมาพร้อมข้าวซอยไก่สามถุง และหมูสะเต๊ะอีกหลายไม้

“อยากทานข้าวซอยมานานแล้วอยู่ที่โน่นหาทานอร่อยแบบบ้านเราไม่ได้หรอกนะ ถึงมีก็ไม่ถูกปาก” เธอพูดพร้อมแกะถุงข้าวซอยเทใส่ชามและเทผักกาดดองและหอมแดงลงไปในชามแถมตักพริกใส่อีกช้อนใหญ่ๆ”

“ตัวนี่แปลกเนอะ กินเผ็ดชะมัด” ฉันถามพร้อมกับทำหน้าแขยงพริกที่เธอตักใส่ชาม

“ไม่แปลกหรอกบ้านเรากินกันแบบนี้แหละ บ้านตัวสิไม่กินก็เลยมาว่าบ้านเราแปลก”

“คงจะจริง แต่เราไม่กินหรอกนะ เรากลัวปวดท้อง ตามสบายเลยแล้วกัน” แล้วหลังอาหารมื้อนั้นแดงกับฉันช่วยกันเก็บจานชามที่กินเสร็จแล้วล้าง และเธอก็ช่วยฉันติวหนังสือก่อนสอบ เพราะในวันจันทร์ที่จะถึงฉันก็ต้องเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อที่จะสอบแล้ว โดยที่มีแดงไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย

…………………………..

และแล้วฉันก็เอ็นติดแต่ก็ไม่ใช่คณะที่อยากเรียน หรือที่พ่อของฉันอยากให้เรียน แต่ฉันก็จะเรียน ฉันต้องย้ายเข้ากรุงเทพเพื่อที่จะมาเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่รถติดทุกวัน แต่ก็ยังดีที่มีแดงนั่งรถมาเป็นเพื่อนทุกวันฉันจึงหายหงุดหงิดได้ในปีหนึ่งและปีสองฉันก็ยังเรียนไปอย่างปกติและมีชีวิตที่สงบสุข

จนกระทั่งฉันเรียนอยู่ปี 3 ฉันต้องเป็นพี่ที่ต้องนำน้องร้องเพลง สอนน้องร้องเพลงเพื่องานกีฬาของน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย ด้วยที่ฉันเอาแต่ทำกิจกรรมในปีนี้ผลการเรียนเริ่มแย่ลง ฉันกลับบ้านดึกทุกวัน แม้กระทั่งวันเสาร์อาทิตย์ก็ออกจากบ้านเพราะฉันเริ่มที่จะติดเพื่อนติดมหาลัย ถึงแม้ไม่ได้ทำอะไรเลยฉันก็ยังไปมหาลัยเพื่อหวังว่าจะได้มีเพื่อนคุยมีเพื่อนเล่น แต่ฉันก็ไม่ใส่ใจในด้านการเรียนสักเท่าใดนัก เพราะถือว่ามีโอกาสแก้ตัวได้เนื่องจากคะแนนเฉลี่ยของฉันมีมากถึงสอบตกสัก 4 วิชาก็ยังไม่โดนไล่ออก ฉันจึงไม่สนใจ

ฉันและแดงเราเริ่มห่างกัน เนื่องจากฉันไม่มีเวลาให้แดง หากวันไหนฉันตื่นเช้าฉันก็จะไปส่งเธอ ไปเรียน หากไม่ตื่นเธอก็ไม่สนใจฉันเท่าไรนักเพราะฉันปลุกยากยิ่งรู้ว่าฉันกลับบ้านดึกก็เลยไม่สนฉันมากขึ้น

ก่อนปิดเทอมฉันได้ข่าวมาจากมลว่า ครรลองเสียชีวิต ฉันตัวชาไปหมดเพื่อนฉันที่เคยสนิทมาจากไป ฉันรู้แต่เพียงว่าครรลองหัวใจวาย ขณะกำลังขึ้นไปฝึกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และฟุ๊บหลับตายไปตรงนั้น ฉันไม่รู้เลยว่าชีวิตคนเราจะสั้นมากมายถึงเพียงนี้ ฉันได้แต่เศร้าใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหน้าที่ของฉันก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป

…………………………………

ในช่วงปิดเทอมพวกเราในคณะจะนิยมหางานพิเศษทำเพื่อที่จะได้มีเงินใช้จ่ายเวลาที่ต้องทำกิจกรรมเพราะที่คณะของเราจะมีการออกภาคสนามบ่อยมากและแต่ละครั้งก็ต้องใช้จ่ายมาก พวกเราจึงรวมตัวกันหางานทำเช่น รับทำโมลเดลของแผนที่ รับทำแผนที่บ้าง รับเก็บแบบสอบถาม พวกเรามีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วเอางานที่เป็นงานเหล่านี้มาจ้างรุ่นน้องที่สนใจไปทำงานอยู่เสมอๆ พวกเราจึงสนิทกันมากถึงขนาดที่ว่ากินนอนร่วมกันโดยไม่กลับบ้านกลับช่องกันเลยก็มี แต่ฉันนั้นก็ต้องกลับบ้านตามระเบียบเพราะแดงจะมานั่งรอบ้าง มาส่งขนมนมเนยให้เราบ้างเป็นครั้งคราวแต่พอนานๆ เข้า เธอก็เริ่มเบื่อและบ่นกับฉันในวันหนึ่งที่ฉันกลับบ้านดึกอีกตามเคย

“ตัวจะเอายังงัยกับเค้า จะอยู่หรือจะไปบอกเรามา ตัวมีใครใหม่ใช่ไม๊ ทำไมกลับบ้านดึกทุกคืน บางทีก็ไม่เห็นเราอยู่ในสายตา จะกลับหรือไม่กลับบ้านก็ไม่เคยบอกเรา ให้เรารอจนเรานึกว่าเราไม่ใช่แฟนตัวไม่ใช่คนที่ตัวรัก บอกเราเถอะอย่าเงียบขอร้องหละ” เธอพูดพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่จนฉันสะท้อนใจ

“เราไม่เอางัยหรอกแดง เราอยากทำงานบ้าง เราไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่มากนักหรอกเราอยากเป็นตัวของเราเอง ตัวไม่รู้หรอกเพื่อนเรานะว่าเรากลัวตัวจนหัวหด” ไม่รู้ฉันกล้าพูดไปได้งัย

“ตัวเหรอกลัวเรา เห็นทำเป็นไม่สนใจเราเนี่ยนะกลัว” เธอโกรธมากขึ้นฟังจากน้ำเสียงก็รู้

“ก็แล้วจะให้เราทำงัย เราอยากเป็นอิสระบ้างนะ เราอยากเป็นตัวของเราเอง เราอยากมีเพื่อน มีสังคม ไม่ใช่อยู่แต่กับตัว ตัวก็รู้เรียนคณะเราก็ต้องมีผลงานเยอะๆ เวลาไปสมัครงานจะได้มีประสบการณ์เราต้องการที่ว่างให้เราเดินเคยเข้าใจเราบ้างไม๊”

“ไม่ต้องเลยตัวเรียนจบก็ไปทำงานกับที่บ้านเราก็ได้ ไม่เห็นต้องไปหางานให้ยุ่งยาก” เธอเสนอข้อคิดเห็นเพื่อตัดความรำคาญ

“ไม่!!!!!!!!!!!!! เราไม่กลับไปเกาะบ้านตัวหรอก เราต้องทำด้วยตัวเราเอง เราอยากมีความภูมิใจในตัวเราบ้างไม่ใช่มีแต่คนช่วยเหลือเรามาตลอด” ฉันตะเบ็งเสียงจนเจ็บคอ และน้ำตาที่กลั้นไว้บัดนี้มันได้ไหลออกมาอย่างยากที่จะเก็บไว้ได้

“แล้วอย่างตัวจะทำอะไรได้ ฮึ” เธอก็ไม่ลดละตะโกนแข่งกับฉันเหมือนกัน

“ก็ได้เราจะไป เราไม่อยู่แล้วเราเลิกกันแค่นี้นะเราพึ่งรู้ว่าความรักที่เรามีให้ตัวมันก็แค่เศษอะไรสักอย่างที่ตัวไม่เคยเห็นคุณค่าของมันเลย ลาก่อนแดง หวังว่าตัวคงจะเข้าใจเราในสักวันนะ” ฉันพูดพร้อมกับเดินออกมาจากบ้านเธอและคราบน้ำตาบนใบหน้าที่ตอนนี้ไหลจนไม่สามารถหยุดได้

……………….

ฉันขับรถออกมาโดยไม่รู้ว่าจะไปไหนและที่นึกได้ก็บ้านของตัวเองที่อยู่ไกลจากบ้านของเธอเหลือเกิน และฉันก็ตัดสินใจกลับไปที่คณะ ไปนอนในชมรม จนรุ่งเช้า

“เฮ้ย ตั๊ก มานอนที่นี่ทำไมวะ” เสียงทักของเพื่อนดังขึ้น

“ก็ไม่มีที่ไปก็มานอนที่นี่แหละ” ฉันตอบด้วยเสียงงัวเงียเพราะพึ่งจะงีบหลับไปเมื่อตอนใกล้สว่างนี่เอง

“มีอะไรหละทะเลาะกับพี่แดงมาอีกหละสิ”

“ใช่ คราวนี้เราไม่มีทางกลับไปคืนดีกันได้อีกแล้วมันจบอย่างที่เราไม่คิดว่าจะจบได้เลย เออเอ๋ เราวานตัวหน่อยสิ ไปเอาของๆ เราที่บ้านให้หน่อยเราไม่ได้เอาอะไรออกมาเลยเมื่อคืนมันรีบมาก” ฉันขอร้องเพื่อนเพราะไม่อยากกลับไปที่บ้านอีกกลัวจะทะเลาะกับเธอ

“ตกลง เดี๋ยวเย็นนี้เราเข้าไปเอามาให้นะ”

“ขอบใจนะ” ฉันขอบใจในน้ำใจของเพื่อนจากใจจริง

“มีอะไรให้เราช่วยก็บอกนะ เรายินดี”

“ไม่เป็นไรหรอก เราจัดการเองได้ เอ๋จะทำอะไรก็ไปเถอะ เราขอนอนต่ออีกหน่อย เดี๋ยวต้องไปเรียนอีก เอ๋ไม่มีเรียนนี่ทำไมมาเช้าจังหละ” ฉันถามเพราะรู้ว่าเธอไม่มีเรียนเนื่องจากวิชาที่ฉันเรียนเป็นวิชาที่เอ๋สอบผ่านไม่ได้ตกเหมือนฉัน

“ก็พี่แดงนะสิโทรบอกเราว่าให้มาดูเธอหน่อยว่าอยู่ไหน โทรมาโวยวายกับเราใหญ่เลยว่าเธอไปมีคนใหม่บ้างหละ เราก็ยืนยันแล้วนะว่าไม่มีแต่ทำงัยได้ลิ้นกับฟันกระทบกันเราคนนอกก็เลยมาดูให้เผื่อมีอะไรช่วยได้ก็ช่วยกันจริงไม๊เพื่อน” แล้วเธอก็ตบบ่าฉันหนึ่งทีเป็นการปลอบใจ

………………….

ก๊อก ๆ ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น “พี่แดงอยู่ไม๊คะ เอ๋เองค่ะพี่”

ประตูเปิดออกอย่างช้าๆพร้อมกับสีหน้าที่ดูโทรมของแดง เอ๋จึงทักขึ้นว่า

“พี่แดง ไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเหรอคะ”

“ค่ะ พี่นอนไม่หลับเลย ตั้งแต่ตั๊กออกจากบ้านไป เอ๋เจอตั๊กบ้างหรือเปล่าคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เจอค่ะพี่ตั๊กมันไปนอนอยู่ที่ชมรมทั้งคืนเห็นว่าพึ่งได้นอนตอนจะสว่างนี่แหละพี่ ….. พี่ ทะเลาะกันทำไมตั๊กมันไม่ได้มีใครใหม่นี่พี่ พี่รู้ไม๊พี่ทำแบบนี้หนุ่ยมันเสียใจนะ มันทำงานเหนื่อยก็เหนื่อย แล้วยังมาโดนพี่ว่าอีก มันก็ไม่ทนนะสิพี่ เป็นเอ๋นะ เอ๋ก็ระเบิดออกมาเหมือนกันแหละ” เอ๋ร่ายยาวจนเหนื่อยแล้วก็เลยเลิกพูด

“พี่ตั๊กมันให้เอ๋มาเอาของนะบอกว่าไม่มีใช้”

“เอ๋เข้าไปหยิบเลยแล้วกัน พี่ไม่มีแก่ใจจะทำอะไรแล้ว” เธอพูดหน้าเศร้า

เอ๋เข้าไปเก็บของในบ้านของฉันซึ่งมีเพียงไม่กี่ชิ้นออกมาแล้วก็กลับมารายงานฉันว่าเก็บของให้หมดแล้วฉันจึงชวนเอ๋ไปหาหอพักเช่าด้วยกัน เอ๋ก็เลยบอกว่าข้างมหาลัยมีหอพักสะดวกดีท่าทางสะอาดไม่แพงแล้วก็จะได้ไม่ต้องขับรถไกลๆ ด้วย เราก็เลยไปเช่าหอด้วยกัน แล้วฉันกับแดงก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเนื่องจากแดงเรียนจบเร็วกว่ากำหนดเธอเรียนเพียง สามปีครึ่งเท่านั้น และก็กลับไปทำงานที่บ้านของเธอ

ส่วนฉันก็เรียนต่อปีสามเทอมสอง และมีทีท่าว่าจะต้องเรียนถึง สี่ปีครึ่งเพราะวิชาที่เรียนแล้วตกนั้นมีวิชาที่เป็นบุรพวิชาต้องเรียนวิชานี้ผ่านก่อนถึงจะเรียนอีกวิชาที่ต่อได้ แล้วชีวิตฉันก็ดำเนินไปอย่างไร้จุดหมายจนมาวันหนึ่งขณะที่ฉันและเอ๋กำลังคุยกับอาจารย์เรื่องไปทำงานพิเศษที่เกาะสมุย

“อาจารย์คะ ไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอะไรคะ”เอ๋ถามเพื่อต้องการรายละเอียดของงานที่จะต้องทำ

“เป็นงานที่พวกเราต้องเก็บเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวนะ ที่เดินทางไปเกาะสมุย มันมีทั้งหมด สามทางนะ ทางเรือเฟอร์รี่ ทางเครื่องบิน และทางเรือนอนโดยครูจะแบ่งพวกเธอออกเป็นสามกลุ่มกลุ่มละ สองคน “

“อ้าวจารย์ เรามีแค่สี่คน เอ๋ ติ๋ม เล็ก และก็ตั๊กแล้วใครอีกสองคนละจารย์” เอ๋ถามขึ้นเพราะอยากรู้ว่าใครจะไปด้วยกับพวกเรา

“ก็น้องปีสองงัยหละ อีกสองคน ครูไปถามมาแล้ว คราวนี้เธอก็จะได้ช่วยๆกันทำงานนะ อ้าว………มาพอดีเลย มานี่สินุ้ย นี่แหละน้องที่จะมาช่วยเราทำงานกันเป็นงัยหละน่ารักไม๊” อาจารย์พูดพร้อมกับทำหน้าตายิ้มๆ และแนะนำน้องทั้งสองคนให้เรารู้จักว่าชื่อน้อยนุ้ยและน้อง กบ

ฉันเห็นใบหน้าของน้องทั้งสองแล้วก็ช่างตะลึงงันในความงามของน้อง และคิดว่านี่เราไปมุดอยู่ที่ไหนมานะเนี่ยทำๆ ไมไม่เคยเห็นน้องเค้ามาก่อนเลย เพราะน้องที่ชื่อนุ้ย เป็นเด็กผิวขาวหน้าตาคล้ายๆจะเป็นคนจีน มีลักยิ้มข้างแก้มทั้งสองข้าง มีเขี้ยวสวย สูงประมาณ 165 เห็นจะได้เพราะเตี้ยกว่าฉัน น้องอีกคนที่ชื่อกบเป็นเด็กท่าทางสนุกสนานร่าเริงพูดเก่ง คล่องตัว ฉันคิดในใจว่ามิน่าอาจารย์ถึงได้เอาน้องสองคนนี่มาทำงานด้วย

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะพี่ๆ มีอะไรแนะนำน้องได้นะคะ ถือซะว่าเป็นน้องขอพวกพี่ๆละกัน” เสียงกบพูดขึ้นมาเพื่อบอกพวกเราที่นั่งอยู่ให้เข้าใจ จากนั้นพวกเราก็เริ่มประชุมการทำงานกันต่อโดยที่ไม่มีใครเกี่ยงงอนหน้าที่กันเลย

ในวันเดินทางเราไปเจอกันที่ท่ารถสายใต้ใหม่เราขึ้นรถโดยสารไปกันจนถึงท่าเรือเฟอร์รี่และรถโดยสารของเราก็ขึ้นบนเรือข้ามฝากไปกับเราด้วยเมื่อถึงที่หมายอาจารย์ให้เราเข้าพักห้องเดียวกันหมดในโรงแรมแห่งหนึ่ง มีเตียงทั้งหมดหกเตียง พวกเราสี่คนนอนรวมกันส่วนน้องๆ ไปนอนอีกฝั่งของห้อง เราสนุกกันมากเมื่อตอนออกไปทำงานเราแบ่งเป็น สามกลุ่ม ทำงานเก็บข้อมูลในเกาะก่อนทั้งหมดโดยแบ่งสอบถามกลุ่มละตำบล พร้อมทำแผนที่ของหมู่บ้านบนเกาะด้วย เราเก็บข้อมูลในเกาะอยู่สามวัน จากนั้นเราก็แบ่งกันเก็บข้อมูลของนักท่องเที่ยวที่มาบนเกาะทั้งสามทาง เก็บอยู่สี่วัน พวกเรานั่งเรือข้ามฟากไปมาจนเราเอียน ยิ่งตอนต้องไปสอบถามนักท่องเที่ยวที่มาเรือนอนด้วยแล้วยิ่งเวียนหัวเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นเรือเล็กๆ จนพวกฉันต้องแบ่งกันไปทำคนละวัน เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพของพวกเราเอง

เมื่อทำงานเสร็จอาจารย์ก็ให้เราเที่ยวเกาะสมุยกันอย่างสนุกสนานเป็นเวลาถึงห้าวัน เราเที่ยวกันอย่างลืมวันลืมคืน เพราะที่นั่นมีทั้งผับเท็ค และหาดทรายที่สวยงาม เราได้นั่งเรือไปเที่ยวที่หมู่เกาะวัวตาหลับ ที่มีทะเลในสวยงามมากและที่นั่นพวกฉันและน้องๆ ก็ได้รู้จักสนิทสนมกันมากขึ้นจนทำให้พวกฉันเรียกน้องๆ ว่าไอ้เกลอได้นอนเมา เราไปเล่นน้ำที่หาดละไม ดูหินตาหินยายที่รู้เลยว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าหินตาและหินยาย

“เอ๊ยพวกแกดูดิ รู้เปล่าทำไมถึงได้ชื่อว่าหินยาย นี่ๆๆ ดูดิ สาหร่ายติดหว่ะ” ฉันตะโกนบอกเพื่อนเมื่อเดินไปถึงที่นั่น

“รู้แล้วทำไมพระอภัยหัวใจวาย นางผีเสื้อตกใจงัย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ฉันยังเล่นไม่เลิก จนโดนเพื่อนเอาหินปาใส่และเราก็วิ่งไล่กันไปจนถึงหินตาที่อยู่ออกไปไม่ไกลนัก

ธรรมชาติช่างสร้างสรรให้หินพวกนี้เหมือนอวัยวะของตาและของยายซะจริงๆ ให้ตายสิ และในวันที่จะต้องกลับก็มาถึง เราเสียดายที่จะต้องกลับและนึกขอบพระคุณอาจารย์ซะเหลือเกินที่ให้เราได้มาทำงานและเที่ยวที่เกาะนี้ แถมยังได้เงินเป็นค่าแรงงานกลับไปอีกดีจริงๆ

…………………………….



Create Date : 02 ธันวาคม 2550
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 16:39:10 น. 0 comments
Counter : 290 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.