It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๘

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๘

จันทร์จิราตัดสินใจที่จะรับหมั้นกับทรงพลตามที่คุณสมัชชาต้องการ ทรงพลเองก็ยินดีที่จะรับหมั้นกับจันทร์จิราเช่นกัน

“ตกลงครับพ่อผมจะหมั้นกับน้องจันทร์”

“ต้องให้ได้อย่างนี้สิลูกพ่อ” คุณปุริมตบบ่าลูกชายคนเดียวของเขา ไม่มีครั้งไหนที่ทรงพลจะปฏิเสธความคิดของคนเป็นพ่ออย่างเขาได้สักครั้ง

งานหมั้นของจันทร์จิราและทรงพลถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว

มีใครหลายคนเคยบอกว่าเงินบันดาลได้ทุกสิ่ง และฉันเองก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นจริง คุณสมัชชาและคุณปุริมเสกงานหมั้นของลูกชายและลูกสาวของพวกเขาด้วยเงิน

พวกเราทั้งหมดมายืนออกันอยู่ที่หน้างาน ฉันยังมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมายว่าทำไมจันทร์จิราถึงได้ตบปากรับคำได้อย่างง่ายดาย หรือว่าจันทร์จิรากับชนกพรไม่ได้รักกันอีกต่อไปแล้ว คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของเพื่อนๆ ทุกคน มีแต่ชนกพรเท่านั้นที่รู้ดีว่าจันทร์จิรากำลังจะทำอะไร

งานผ่านไปด้วยดีและในหน้าซุบซิบของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นก็มีข่าวของจันทร์จิรากับทรงพลลงอยู่ด้วย ข้อความเหล่านี้เขียนโดยชนกพร เธอบอกกับพ่อของเธอว่าอยากจะลองเขียนเรื่องอะไรลงหนังสือบ้างเป็นการฝึกตัวเอง แถมเธอยังมีบทสัมภาษณ์ทรงพลและจันทร์จิราในงานเอามาลงให้หนุ่มๆ สาวๆ ในจังหวัดน้ำลายไหลเล่นๆ

ในวันงานชนกพรเป็นพิธีกรสัมภาษณ์คู่หมั้นใหม่หมาดๆ อยู่บนเวที และมีพวงทองเป็นตากล้องเก็บภาพตลอดงาน

“คุณทรงพลรู้จักกับคุณจันทร์จิราตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ” ชนกพรเริ่มคำถามที่เธอทรงพลและจันทร์จิราได้เตรียมกันไว้แล้ว

“เรารู้สองคนจักกันตั้งแต่น้องจันทร์เธอยังเด็กๆ ครับ” ทรงพลตอบพิธีกรคนสวยลูกพี่ลูกน้องของเขา

“แล้วก็หลงรักคุณจันทร์จิราตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือค่ะ”

“เปล่าหรอกครับใครจะหลงรักเด็กๆ ได้ล่ะครับตอนนั้นน้องจันทร์ยังเล่นขายข้าวแกงอยู่เลย แถมยังร้องไห้ขี้มูกโป่ง จนผมต้องเข้าไปปลอบ เพราะเครื่องเล่นหม้อข้าวหม้อแกงของเธอโดนเจ้าเต้าส่วนของผมเขี่ยเล่นซะกระเจิงไปหมด” เสียงคนทั้งห้องจัดเลี้ยงหัวเราะกันครืน

“เต้าส่วนคืออะไรค่ะ ขนมหรืออะไร”

“เจ้าเต้าส่วนก็คือสุนัขของผมครับ ผมพาเจ้าเต้าส่วนโกลเด้นตัวโปรดของผมไปที่บ้านของเธอด้วย เอาไปวิ่งเล่น”

“คงเป็นการพบกันครั้งแรกที่ไม่ค่อยประทับใจฝ่ายคู่หมั้นสาวเท่าไหร่จริงไหมคะคุณจันทร์” ชนกพรหันไปถามจันทร์จิราที่พยายามปั้นหน้ายิ้มๆ

“ค่ะไม่ประทับใจเท่าไหร่นักเพราะของเล่นของจันทร์พังพินาศไปเพราะเจ้าโกเดิ้นตัวโตตัวนั้น แถมตอนนั้นจันทร์ยังตัวเล็กมากๆ ด้วยค่ะ พอมาเปรียบเทียบกับเจ้าเต้าส่วน จันทร์ก็เลยกลายเป็นคนแคระไปเลย” จันทร์จิราตอบยิ้มๆ

“แสดงว่าประทับเป็นความประทับใจฝ่ายเดียวคุณทรงพลกับเด็กน้องเล่นขายข้าวเกงสิคะ”

“ก็ไม่เชิงครับ เพียงแต่ครั้งนั้นเป็นการเริ่มต้นรู้จักกันเท่านั้นเอง” ทรงพลตอบเลี่ยงๆ ตามที่ได้มีการเตรียมบทถาม-ตอบของเขาไว้แล้ว

“แล้วมาประทับใจคุณจันทร์จิราเมื่อไหร่กันค่ะ ถึงได้ตกลงใจมีงานหมั้นในครั้งนี้”

“ผมพึ่งพบน้องจันทร์เมื่อไม่นานมานี้ในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าที่บ้านเรานี่ล่ะครับ”

“โอ้วรักแรกพบเลยนิค่ะนี่” ชนกพรที่ทำหน้าที่พิธีกรทำเสียงตื่นเต้นไปด้วยขณะที่ยิงคำถาม

“ใช่ครับแรกพบครั้งที่สองจากที่เคยจำได้ว่าเด็กเล่นขายข้าวแกงก็กลายมาเป็นเจ้าหญิง ความประทับใจเมื่อได้พบการเปลี่ยนแปลงเพราะน้องจันทร์สวยขึ้นผิดหูผิดตา”

“นั่นแน่ แสดงว่าคุณทรงพลประทับใจสาวน้อยขายข้าวแกงที่กลายมาเป็นซินเดอเรล่าหรือคะ”

ทรงพลหัวเราะน้อยๆ ท่าทางเขิน และจันทร์จิราก็ทำหน้าแดงๆ อายๆ เขินๆ จนคนในห้องจัดเลี้ยงตะโกนแซว คู่หมั้นหมาดๆ ที่สมกันราวกิ่งทองใบหยกคู่นี้

“ครับก็ผมแก่แล้วนี่ครับจะปล่อยให้สาวสวยๆ แบบน้องจันทร์หลุดมือไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่ เกิดตะครุบไม่ทันเสือแก่เขี้ยวหักเล็บกุดอย่างผมคงโดนใครแย่งไปก่อน อีกอย่างการได้แสดงความเป็นเจ้าของไว้ก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับจริงไหม”

“คุณทรงพลยังดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวอยู่เลยนะคะ จะถอดใจเลยหรือค่ะถ้าคุณจันทร์ไม่รับหมั้น”

“ครับคงต้องถอดใจเพราะผมคิดว่าถ้าน้องจันทร์หลุดมือไปผมคงหาใครที่สมบูรณ์ครบแบบน้องจันทร์แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงใครจะว่าผมเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนก็ตามที แต่ผมก็ยอมรับครับ” ทรงพลส่งสายตาหวานให้กับจันทร์จิราที่นั่งม้วนอยู่ตรงหน้าเขา

จันทร์จิราในชุดไทยสีทองสวมแหวนหมั้นเม็ดโตที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอดูสวยราวกับนางงงาม ชนกพรคิดว่าครั้งนี้จันทร์จิราตีบทแตกกระเจิงยิ่งกว่าดาราตุ๊กตาทอง จนทำให้เธอเริ่มหึงจันทร์จิราขึ้นมาตะหงิดๆ

“แล้วคุณทั้งคู่วางแผนที่จะแต่งงานกันเมื่อไหร่คะ” คำถามเด็ดที่ชนกพรเตรียมไว้เผื่อสำหรับจันทร์จิราและตัวเธอเองด้วยเช่นกัน

“เราคุยกันไว้ว่าจนกว่าน้องจันทร์จะเรียนจบครับ”

“หมายถึงอีกสองปีที่จะถึงนี่หรือคะรวดเร็วจริงๆ”

“เปล่าครับจนกว่าน้องจันทร์จะเรียนจบในสิ่งที่เธอต้องการ จะเรียนต่อถึงด๊อกเตอร์ผมก็ไม่ว่า เพราะผมชอบมีภรรยาที่เก่งๆ ครับ” ถึงแม้ทรงพลจะตอบคำถามของชนกพรแต่สายตาของเขากลับจ้องไปที่อรรณพที่ยืนฟังอยู่ด้านล่างเวที

“แล้วไม่กลัวจะมีลูกไม่ทันใช้หรือไงคะ”

“ไม่กลัวหรอกครับ เพราะผมไม่ได้หวังที่จะพึ่งพิงลูกผมหวังแค่พึ่งพิงคู่คิดคู่ใจของผมเท่านั้นครับ”

“คุณจันทร์จิราล่ะคะมีอะไรจะพูดถึงคุณทรงพลบ้างหรือเปล่า”

จันทร์จิรามองหน้าของชนกพรและตอบออกมาว่า “ไม่มีหรอกค่ะ ที่จะพูดทั้งหมดพี่ทรงพลก็ได้พูดไปหมดแล้ว”

“คู่หมั้นพูดน้อยแบบนี้สงสัยจะเป็นช้างเท้าหลังที่ดีต่อไปในอนาคตนะคะนี่” ชนกพรแซวคู่หมั้นทั้งสอง

“ไม่หรอกครับไม่มีใครเป็นช้างเท้าหน้าหรือเท้าหลังสำหรับผม ผมจะเป็นเท้าซ้ายกับเท้าขวาผลัดกันนำผลัดกันตามครับ”

“งั้นไม่ขอรบกวนช้างเท้าซ้ายเท้าขวามากไปกว่านี้แล้วค่ะ ขอบคุณคู่หมั้นทั้งสองมากๆ นะคะที่ให้ความกระจ่างในความรักของคุณในครั้งนี้”

บทสัมภาษณ์ที่ลงในคอลัมภ์เล็กๆ ที่พวกเราได้อ่านและเห็นภาพของคู่หมั้นที่นั่งเคียงข้างกัน ถูกพวกเราเอามาเป็นหัวข้อสนทนา และที่สำคัญพี่ทรงพลกับจันทร์จิราเป็นจุดสนใจของเรา

พวกเราบุกมาที่บ้านของชนกพรและนัดให้จันทร์จิราพาทรงพลคู่หมั้นของเธอมาด้วย วันนี้ที่บ้านของชนกพรไม่มีคนอยู่ จึงเป็นโอกาสเหมาะที่พวกเราจะรีดเอาความจริงของการหมั้นแบบสายฟ้าแลปของจันทร์จิรากับทรงพลญาติผู้พี่ของชนกพร

“อะว่ามาจะให้พูดอะไรฉันกับพี่พลเตรียมตอบคำถามพวกแกแล้ว” จันทร์จิราเอ่ยทำลายความเงียบ

“ทำไมแกตัดสินใจหมั้นกับพี่พล” ธิติมายิงคำถาม

จันทร์จิรากระตุกที่มุมปากนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบว่า “ก็เพราะจะได้ไม่ต้องมาทนให้พ่อบังคับให้ไปหมั้นกับคนอื่นนะสิ”

“แล้วพี่พลดีกว่าคนอื่นตรงไหน” ธิติมาถามซ้ำอีกคำถามเพราะเธอก็ไม่เห็นว่าทรงพลที่นั่งอยู่ตรงนี้จะดีไปกว่าผู้ชายคนอื่นๆ ตรงไหน

“ก็ดีกว่าตรงที่ว่าพี่พลไม่ได้รักฉัน และฉันก็ไม่ได้รักพี่พล” จันทร์จิราตอบกวนๆ

“อ้าวไอ้เจ้าแกตอบแบบนี้กวนนี่หว่า เออแบบนี้แสดงว่าแกกับพี่พลไม่ได้รักกันแล้วมาหมั้นกันทำไมวะ” จินตนาเริ่มไม่เข้าใจในคำตอบของจันทร์จิราบ้าง

“ก็เพราะว่าฉันกับพี่พลตกลงกันแล้วว่าถ้าถึงวันที่เราสองคนต้องแต่งงานกันจริงๆ เราก็จะแต่งกันแต่เพียงในนามไง”

“เฮ้ยแล้วพี่พลยอมไอ้เจ้าได้ไง” จินตนาหันไปถามทรงพลที่นั่งยิ้มมองพวกเราโต้เถียงกัน

“พี่ก็ต้องยอมสิ เพราะพี่อยากให้มันเป็นแบบนั้นด้วย” ทรงพลก็ยังคงยิ้มต่อไปเรื่อยๆ จนพวกเราทุกคนเริ่มไม่พอใจกับท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของทรงพลที่แสดงออกต่อหน้าพวกเรา

“คืองี้พี่พลเค้ามีแฟนอยู่แล้วแต่แฟนพี่พลเป็นผู้ชายพวกแกรู้จักพี่อรรณพใช่ไหม นั่นแหละแฟนพี่พลเค้า” ชนกพรช่วยตอบคำถามแทนทรงพลที่เอาแต่นั่งยิ้มๆ

“เฮ้ยจริงดิ” จินตนาตบอกตัวเองผางด้วยความตกใจและมองหน้าชนกพรอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินจากปากของชนกพร

“จริงสิจะโกหกทำไม” จันทร์จิราตอบแทนชนกพร

“เรื่องมันจะยุ่งไปกันใหญ่หรือเปล่าพวกแก มันพันกันยุ่งจนแก้ไม่ออกแล้วนะเว่ย” รตีออกความคิดเห็น

“มันจะยุ่งยังไงอย่างน้อยอีกห้าปีข้างหน้า ฉันก็ยังใช้ชีวิตแบบที่ฉันอยากใช้ไปได้เรื่อยๆ แกไม่ต้องห่วงหรอกเราสี่คนปรึกษากันแล้วว่าถ้าหากฉันต้องแต่งงานกับพี่พลจริงๆ นกก็ต้องแต่งกับพี่ณพเหมือนกัน เราสองคู่จะได้ไม่ต้องแยกจากกัน” คำตอบของจันทร์จิราเหมือนเป็นการเฉลยคำถามทั้งหมดที่คาใจของพวกเราทุกคน

“ฉันดีใจกับแกด้วยนะไอ้ปุ๊กที่พ่อแม่ของแกยอมรับกอล์ฟได้ ถ้าพ่อแม่ของพวกฉันยอมรับแบบที่ยอมรับแกสองคนได้พวกฉันก็ไม่ต้องทำเรื่องให้มันวุ่นวายแบบนี้หรอก” จันทร์จิราบอกกับพวงทองที่นั่งอยู่เคียงข้างไปรยา

“ไม่หรอกแกทุกหนทางย่อมมีทางออก ไม่แน่นะกว่าจะถึงห้าปีข้างหน้าพ่อกับแม่ของแกก็คงทำใจรับได้” พวงทองยังคงให้กำลังใจเพื่อนรักของเธอทั้งสอง

พวกเรารู้ดีว่าหนทางข้างหน้าแม้จะมีทางออกเท่ารูเข็มก็ยังคงมีทางออกไม่ใช่หรือ

..........................

ผ่านพ้นเรื่องงานหมั้นของจันทร์จิราพวกเราก็กลับมาเมืองฟ้าเมืองสวรรค์อีกครั้ง ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเทอมต่อไป ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ชีวิตก็ต้องเดินไปตามเส้นทางของมัน

แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง ฉันก็มีความหวังในการชิงทุนไปเรียนต่อ จันทร์จิราก็อยากที่จะตั้งวงดนตรีหรือทำงานเกี่ยวกับวงการดนตรี เธอเริ่มที่จะเขียนเพลงส่งไปยังค่ายเพลงต่างๆ มีบทเพลงหลายเพลงที่แต่งโดยจิจันทร์จิราและได้รับความนิยม

ฉันจำได้ว่าเมื่อวันที่เพลงของจันทร์จิราได้ทำเป็นอัลบั้ม โดยนักร้องที่มีชื่อเสียงเอาเพลงของเธอไปร้อง เธอก็เอาแผ่นเพลงของเธอมาเปิดดังลั่นบ้านให้พวกเราได้ฟังกัน

“พวกแกฟังสิมาฟังเพลงของฉันเว่ยมาครบกันหรือยังวะ นี่ๆ ไอ้แป๊ด แกลองฟังสิเพื่อนซึ้งไหมเพลงฉัน”

จันทร์จิราลงทุนซื้อเครื่องเล่นซีดีแผ่นใหญ่เท่าจานข้าว มาเมื่อตอนที่เธอได้รับเงินค่าตัวไปเล่นเป็นวง BACK UP ในงานคอนเสิร์ตคราวที่แล้ว เอาแผ่นใหญ่ๆ หน้าตาแปลกๆ ใส่ลงไปเปิดเสียงดังๆ ให้พวกเราฟัง และจันทร์จิราก็นั่งน้ำตาไหล พวกเรารู้ว่าจันทร์จิราดีใจแค่ไหนที่ได้มีชื่อแม้เป็นเพียงนามปากกาที่ใครๆ ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่เธอก็ภาคภูมิใจ

ชนกพรเริ่มจะเขียนบทความสั้นๆ ส่งไปตามนิตยสารต่างๆ และได้ลงตีพิมพ์ ถึงแม้ว่าค่าจ้างค่าออนจะค่อนข้างต่ำ แต่ก็ทำให้ชนกพรมีกำลังใจที่จะเขียนเรื่องไปลงนิตยสารเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ในวันที่บทความของชนกพรได้ตีพิมพ์ครั้งแรกเธอหอบเอาหนังสือเล่มนั้นกลับมาที่บ้าน เอามาเปิดให้พวกเราได้อ่าน ฉันว่าชนกพรเป็นคนที่เขียนหนังสือได้ดีคนหนึ่ง

“ไว้เขียนได้เยอะๆ แกรวมเล่มสิไอ้นก” ฉันเสนอ

“ก็อยากอยู่หรอกนะ แต่ใครจะมารวมให้ฉันละวะ”

“เอ๊าไอ้นี่ก็ให้พ่อแกรวมให้สิโรงพิมพ์ตัวเองก็มี รวมแล้วก็มาฝากขาย ที่ร้านหนังสือ ไม่เป็นจะแปลกอะไรเลยทำให้เป็นของตัวเองทำเองขายเอง”

“เจ๊งเองเลยไงเพื่อน” ชนกพรเสริมขึ้นมาทันที

“ไอ้นี่ปากเสีย ท่องไว้เว่ยเพื่อนรวยๆ ดูอย่างดาราคนสวยสิยังอุทานว่า อุ้ยแม่ตูรวยเลย แกเองก็เหมือนกัน สะกดจิตตัวเองไว้ว่าต้องทำให้ได้ ต้องทำได้ แค่นี้เองเหมือนเป็นกำลังใจให้ตัวเอง” จันทร์จิราแย้งชนกพรแถมเสนอความคิดแปลกๆ ฝังในสมองของชนกพรอีกต่างหาก

“เออดีเว่ยไอ้เจ้าของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้จิงไหมวะ” พวงทองดูเหมือนจะเข้าข้างจันทร์จิราขึ้นมาทันที

จากนั้นทุกคนก็พยายามอุทานว่า “อุ้ยตูรวย” กันจนติดปาก เป็นการสรรเสริญตัวเองไปในตัว

ฉันก็ยังคงรับสอนพิเศษกับน้องๆ ไปเรื่อยๆ แม้จะมีรายได้น้อยกว่าใครๆ แต่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ มันก็เหมือนกับฉันได้ทบทวนบทเรียนเมื่อสมัยยังเป็นเด็กไปด้วยในตัว เพราะข้อสอบบางข้อฉันก็ไม่เคยเห็น สมองก็เหมือนได้รับการพัฒนาไปด้วยในตัว

ธิติมาไปเป็นลูกมือของอาจารย์ที่คณะของเธอทำการวิจัยอะไรสักอย่าง แม้ไม่มีค่าจ้างแต่ธิติมาบอกว่ามันเป็นการเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ของเธอเอง

พวงทองรายนี้ไม่ต้องพูดถึงวันๆ ไม่ต้องทำอะไรมากมายนอกจากวาดรูป เขียนรูป พวงทองเริ่มที่จะไปรับงานในห้างสรรพสินค้า เขียนรูปเหมือนที่มีรายได้ต่อภาพมากกว่าฉันที่สอนน้องๆ ถึงสามเดือน แถมยังส่งรูปวาดเข้าประกวดทุกงาน ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้างก็แล้วแต่ เพราะพวงทองไม่ได้สนใจกับรางวัลมากเท่าไหร่เธอสนใจประสบการณ์ของเธอในการวาดรูปมากกว่า

ในวันที่เราเรียนจบปีสอง ทุกคนมีแผนการท่องเที่ยวกันอีกครั้ง คราวนี้ไปไม่ไกลมากเพราะเรามีเวลาว่างไม่มากนัก แค่ไปใกล้ๆ กรุงเทพเท่านั้น

ฤดูร้อนไม่มีอะไรจะน่าไปเที่ยวมากกว่าทะเล ทะเลใกล้ๆ กรุงเทพมีให้เลือกสองเส้นทางคือลงใต้กับไปตะวันออก หลังจากทำการโหวดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกเราก็เลือกที่จะไปจังหวัดตราด ปลายสุดของแผ่นดินไทยทางทิศตะวันออก

เราเลือกที่จะนั่งรถทัวร์ไปเพราะเราคิดว่าหากมีแผนการไปเที่ยวที่เกาะแห่งใดแห่งหนึ่งเราจะได้ไม่ต้องห่วงว่ารถของเราจะเอาไปไว้ที่ไหน หลังจากที่ศึกษาเส้นทางท่องเที่ยวจากหนังสือ อ.ส.ท. แล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดินทางจากบ้านไปเอกมัยในตอนกลางคืน เพราะรตีบอกว่าจะได้ไปเช้าที่ตราด ไม่เสียเวลาในการเดินทางตอนกลางวัน

เราใช้เวลาเดินทางบนรถทัวร์ราวๆ ห้าชั่วโมงก็ไปถึงสถานีขนส่งของจังหวัดตราด พวกเราตัดสินใจนั่งเรือเฟอรี่จากแหลมงอบไปเกาะช้างเพราะดูจะปลอดภัยกว่าการเดินทางไปโดยเรือชนิดอื่นๆ มีคนเคยบอกว่าเดินทางในทะเลยิ่งเรือลำใหญ่เท่าไรยิ่งดี ไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่า แต่เท่าที่เห็นหากว่ามีคลื่นลูกโตๆ ซัดมาอย่างน้อยเรือลำโตๆ ก็คงจะไม่พลิกคว่ำไปได้ง่ายๆ

ถึงแม้ว่าพวกเราจะว่ายน้ำเป็นกันทุกคนก็ตามเถอะ แต่หากอยู่ในทะเลคืบก็ทะเลศอกก็ทะเล กันไว้ดีกว่าแก้ หากเรื่องมันแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน

วันแรกที่ไปถึงเราหาที่พัก พี่สองแถวที่นั่นบอกเราว่าต้องไปหาที่พักทางฝั่งตะวันตกของเกาะถึงจะมีที่พักมากกว่าทางฝั่งตะวันออก ซึ่งพวกเราก็คิดว่าจริง และเราก็ได้ที่พักหาดคลองพร้าว ไม่แพงมากนักอยู่ได้หลายคน ที่สำคัญหาดแห่งนี้เล่นน้ำได้สบายๆ (พี่สองแถวบอกแบบนี้และเราก็เชื่อด้วยสิ)

เย็นวันนั้นเราเรียกรถแบบเหมาให้ไปส่งและรับไปจุดชมวิวที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก นั่งดูพระอาทิตย์ตกน้ำแถวๆ แหลมใบลาน จนลูกไฟแดงๆ ตกจ๋อมลงไปในน้ำ และปรากฏแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า หลังจากดื่มด่ำกับธรรมชาติเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถกลับ

จันทร์จิราตัดสินใจจ้างพี่สองแถวใจดีให้ไปส่งพวกเราเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บนเกาะช้างในวันรุ่งขึ้น เพราะเราไม่มีรถ มาที่เกาะแห่งนี้ หากจะให้พวกเราเดินไปยังสถานที่ต่างๆ ก็คงไม่ไหว สู้จ้างคนรู้ทางให้นำทางพวกเราไปจะดีกว่า

เราไม่กลัวว่าพี่สองแถวจะเอาเราไปขายที่ไหน เพราะคนที่จะต้องกลัวน่าจะเป็นพี่สองแถวมากว่า พวกมากอย่างพวกเราตั้งสิบคน เทควันโดสายดำสองคนในกลุ่มเราก็คงพอจะดูแลตัวเองได้ในสถานที่แปลกถิ่นแบบนี้ได้

คืนแรกที่เกาะช้างจึงเป็นการวางแผนเดินทางในวันรุ่งขึ้นมากกว่าที่จะออกตระเวนไปไหนต่อไหน มีที่นอน มีที่กิน มีที่เที่ยว อะไรจะสุขใจเท่านี้ไม่มีอีกแล้ว

มาเกาะช้างหากไม่ไปน้ำตกธารมะยมกับยุทธนาวีเกาะช้างเค้าว่ากันว่ามาไม่ถึงเกาะช้าง จริงหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ พี่สองแถวพาเราไปน้ำตกธารมะยมเป็นที่แรก

น้ำตกแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานเกาะช้างมากนัก เดินพอเรียกเหงื่อได้นิดหน่อย ตัวน้ำตกก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมานัก แต่ที่สำคัญคือเป็นที่ ที่พระปิยะมหาราชและรัชกาลที่ ๖ เคยเสด็จประพาสมายังน้ำตกแห่งนี้ ด้านบนของหน้าผาการสลักพระปรมาภิไธยย่อ จปร. และ วปร. ของทั้งสองพระองค์สลักไว้ด้วย

เราไม่ได้ลงเล่นน้ำ เพราะคิดว่าหากเปียกแล้วจะไปที่ไหนต่อไม่สะดวก เมื่อยืนดูธรรมชาติสีเขียวๆ และสายน้ำที่โปรยปรายแล้วจนพอใจก็เดินออกมาจากน้ำตกเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือ ยุทธนาวีเกาะช้าง

สาเหตุของยุทธนาวีเกาะช้างแห่งนี้เริ่มมาจากไทยเราของให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงของเราคืนมา ในสมัยสงครามอินโดจีน แต่ฝรั่งเศสไม่ยินยอมจึงมีการสู้รบกันเกิดขึ้น ไทยเราต้องเสียเรือรบหลวงธนบุรีไป และเสียนายทหารในครั้งนั้นไปด้วยหลายนายฉันจำไม่ได้ว่ากี่นาย แต่รู้ว่าหากไม่มีการสู้รบในครั้งกระโน้น ไทยอาจเสียดินแดนอีกมากมายให้กับฝรั่งเศสก็เป็นไปได้

เลือดเนื้อของไทยต้องสละไปเท่าไหร่เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของชาติเรา แต่คนในปัจจุบันกลับขายชาติได้อย่างไม่น่าเชื่อ โกงแม้กระทั่งอิฐหินดินทราย คนเหล่านั้นจะรู้ไหมว่าการกระทำเหล่านั้นจะทำให้ประเทศชาติล่มจม และไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตากับประเทศอื่นๆ เขา

“จะไปที่ไหนต่ออีกหรือเปล่าครับ” พี่สองแถวถามเราที่เดินออกมาจากที่จัดแสดงยุทธนาวีเกาะช้าง

“คงไม่แล้วค่ะพี่ คิดว่ากลับที่พักเลยจะดีกว่า หรือว่าพี่มีที่ไหนให้เราไปต่อค่ะ” จันทร์จิราเป็นตัวแทนของพวกเราบอกกับพี่สองแถว

“ไปน้ำตกอีกหรือเปล่าครับแต่ที่นี่เดินไกลหน่อย”

“น้ำตกอะไรพี่” ธิติมาทำท่าทางอยากรู้และอยากไปขึ้นมาทันที

“น้ำตกคลองพลูครับสวยนะถ้าไม่ได้ไปแล้วจะเสียใจว่าไม่ได้ไป” พี่สองแถวอวดอ้างน้ำตกแห่งนี้ให้เราเกิดความอยากไปขึ้นมาทันใด

“ก็ได้พี่ชงมาขนาดนี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว ไปพวกเราขึ้นรถ ไปน้ำตกคลองพลูกันพวก” จันทร์จิราเป็นตัวตั้งตัวตี ชักชวนพวกเราขึ้นรถ และเดินทางไปน้ำตกคลองพลู

น้ำตกคลองพลูเรียกว่าเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของเกาะช้าง มีน้ำตกสายน้อยๆ ที่มีน้ำตลอดปี ไหลผ่านหน้าซอกผาลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง น้ำตกแห่งนี้มีอยู่ ๓ ชั้น

ชั้นแรกที่เราเดินไปถึงไม่สูงมากนัก จากนั้นเราก็เดินขึ้นไปดูชั้นที่สองที่สองอยู่ติดกัน สูงกว่าชั้นแรกมาก สายน้ำไหลแรง แต่เป็นทางสวยงามอย่างที่พี่สองแถวบอกจริงๆ พี่สองแถวยังบอกอีกว่าสมเด็จพระปิยะเสด็จมาประพาสที่น้ำตกแห่งนี้ถึงสองครั้ง น้ำตกนี้เหมาะกับชื่อ “ภูผาเมฆสวรรค์” จริงๆ นะ เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้อย่างที่ ททท.บอกจริงๆ

ออกจากน้ำตกเราก็เดินทางกลับที่พักเราเราเริ่มจะหิวโซ ตั้งแต่เช้ามีเพียงข้าวต้มรองท้องกันเท่านั้น ที่เกาะช้างมีชื่อเสียงเรื่องอาหารทะเลปลาทะเล แล้วคนอย่างจินตนาที่เป็นมือเปิดระดับชูชกมีหรือจะไม่หูพึ่งเมื่อได้ยินคำว่าอาหารทะเล

ชูจินไม่มีทางพลาดอาหารทะเลสดๆ ใหม่ๆ รสชาติหวานละมุนลิ้นอย่างแน่นอน ถึงไม่บอกใครก็รู้ ว่ามื้อนั้นพวกเราสิบคนอิ่มเอมกันสักปานใด

......................

รุ่งขึ้นตอนเช้าด้วยความที่เราอยู่ทางเกาะด้านตะวันตกก็เลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำกันเมื่อมาทะเลก็คือเล่นน้ำให้ฉ่ำปอด เพราะบ่ายๆ เราก็ต้องเดินทางกลับกันแล้ว

“เฮ้ยๆ นั่นๆ พวกแกพยูน” จันทร์จิราชี้ให้เราดูธิติมา

“ไหววะไม่เห็นมีเลยไอ้เจ้า” จินตนารีบลุกจากท่านอนแผ่หราอยู่บนผืนทรายขึ้นมาดูพยูนของจันทร์จิราทันที

“ก็นั่นไงพยูนเกยตื้น” จันทร์จิรายังคงชี้ไปในทะเลที่เดิม

“ไหนวะไอ้เจ้าพวกฉันไม่เห็นมีปลาอะไรสักอย่าง” เมื่อมองไม่เห็นพยูนจินตนาก็เริ่มถามอีกครั้ง

“ก็ไอ้ธิไงหมูดุดของลูกเจี๊ยบ โน่นเกยตื้นอยู่กับลูกเจี๊ยบโน่นไงพวกแก”

“ไอ้บ้าเอ๊ย ฉันก็นึกว่ามีพยูนจริงๆ ปั๊ดโธ่เว้ยเสียเส้นหมด คนกำลังนอนสบายๆ” จินตนาชักฉุนจันทร์จิราที่มาทำให้การนอนเล่นเกลือกกลิ้งบนผืนทรายของเธออย่างสบายอารมณ์ต้องหมดไป

“พวกแกไปเล่นน้ำกับฉันเถอะ อยากเล่นน้ำกับพวกแกใจจะขาดแล้ว” จันทร์จิราชวนพวกเราให้ลงทะเลกับเธอ

“ทำไมวะมาอยากเล่นอะไรตอนนี้ เห็นนั่งเล่นทรายอยู่ได้ตั้งนานสองนาน เกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นมาถึงอยากไปเล่นน้ำอ๊ะๆ หรือแกมีแผนอะไรอีกไอ้เจ้าอย่านะอย่าขอบอกพวกฉันไม่หลงกลแกง่ายๆ หรอก” รตีที่ดูจะเข็ดกับวีรกรรมของจันทร์จิราพูดดักคอขึ้นมาทันที

“เปล่าแค่อยากเล่นน้ำกับพวกแกเท่านั้นเองกลัวห่างเหินวะ”

“แค่นั้นจริงๆ นะ” ชนกพรถามย้ำ

“จริ๊ง” จันทร์จิราตอบเสียงสูงลิบ จนพวกเราเชื่อและลงไปเล่นน้ำกับเธอ

พวกเราลอยคอยู่ในทะเลสักพักก็รู้สึกว่ามีใครดำน้ำมาถอดกางเกงของเรา ฉันโดนเป็นคนที่สอง กางเกงยางยืดเมื่ออยู่ในน้ำมันช่างหลุดได้อย่างง่ายดายจริงๆ

จากนั้นทุกคนก็โดนกันหมดแถมยังสำลักน้ำกันเป็นทิวแถว ไม่น่าเชื่อว่าจันทร์จิราเพียงคนเดียวจะทำให้เราหกคนกลายเป็นคนตัวเปล่าไปได้

“ไงแก สบายตัวดีมะ ฮ่าๆๆ” จันทร์จิราชูกางเกงของพวกเราหลายๆ ตัวในมือขึ้นเหนือน้ำ

“ไอ้เจ้าไอ้ลามกเอากางเกงฉันคืนมานะเฟ้ย” รตีร้องวี๊ดว๊ายไปตามเรื่องตามราว

“จ้างให้ก็ไม่คืนเว่ย อยากเห็นนางเงือกน้อยอิอิ”

สิ้นเสียงจันทร์จิราเราทั้งหกก็รุมจันทร์จิราคนเดียวเพราะเรื่องแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ทั้งขายหน้าและทั้งอับอาย ก็จะอะไรเสียอีกเล่าก็เพราะกางเกงที่จันทร์จิราแย่งไปจากเรานั้นมันเป็นอาภรณ์สิ่งเดียวที่ปกปิดร่างกายส่วนล่างของเรานะสิคะ

กว่าจะปล้ำจันทร์จิราที่เตรียมตัวใส่กางเกงเชือกผูกมาอย่างดีให้มีสภาพแบบพวกเราได้ก็เล่นเอาเหนื่อย และที่สำคัญไปกว่านั้นกางเกงของพวกเราในมือของจันทร์จิราลอยหายไปกับคลื่น ต่อให้ดำผุดดำว่ายก็หาไม่เจอ

แล้วนี่เราจะเอาอะไรใส่ขึ้นไปบนฝั่งกันล่ะ

แต่ก็เหมือนโชคช่วยที่จันทร์จิรายังละเว้นอีกสามคนไว้ให้ขึ้นไปบนฝั่งเอากางเกงมาให้พวกเรา แต่กว่าทั้งสามจะกลับเอามาให้เราก็เกือบโดนปลาตอดจนพรุนไปหมดทั้งตัว แถมยังหนาวๆ ร้อนๆ กลัวจะมีใครดำน้ำมาเห็นแก๊งค์ ชะนีเปลือยเล่นน้ำแบบเรา

เราได้แต่คิดในใจกันว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เจ้า แค้นนี้สิบปีก็ไม่สาย”

..... จบบทที่ ๒๘ ....




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 12:02:10 น.
Counter : 311 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๗

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๗

สิ่งที่จันทร์จิราและชนกพรกังวลที่สุดก็เมื่อพ่อของจันทร์จิราได้แนะนำลูกชายของเพื่อนให้กับเธอได้รู้จัก

ทรงพลเป็นชายหนุ่มที่พ่อหมายมั่นปั้นมือให้จันทร์จิราได้ผูกสมัครรักใคร่ เพราะเกี่ยวเนื่องกับการวางฐานในการเมืองท้องถิ่นต่อไปในภายภาคหน้าของจันทร์จิราเอง พ่อของทรงพลเป็นหนึ่งในนักการเมืองท้องถิ่นที่ทรงอิทธิพลและครองฐานเสียงมาเนิ่นนาน

ทรงพลงเองก็เป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเช่นเดียวกับพ่อของเขา การเรียนจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับการทีรูปร่างหน้าตาที่ดี แม้จะไม่หล่อเหลามากมาย แต่กับการแต่งตัวและการวางตัวของทรงพล ทำให้ทรงพลเป็นหนุ่มเนื้อหอมในสายตาของสาวๆ

ใครๆ ก็มักคิดกันไปต่างๆ นานาว่าสาเหตุที่ทรงพลไม่ค่อยจะสุงสิงกับสาวคนไหน เพราะเขามีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเจริญรอยตามทางที่พ่อของเขาได้ปูทางไว้

จันทร์จิราได้มีโอกาสพบกับทรงพลในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าอย่างหนึ่ง พ่อของทั้งคู่แนะนำลูกของตัวเองให้รู้จักกัน

“จันทร์ไหว้พี่เขาสิลูกนี่ทรงพลลูกของลุงเกียรติ จันทร์จำได้ไหมเราสองคนเคยเจอกันตอนก่อนที่พี่เค้าจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เอกี่ปีแล้วนะทรงพล” สมัชชาหันไปถามทรงพลที่เขากำลังแนะนำให้รู้จักกับลูกสาวของตนเอง

จันทร์จิรายกมือไหว้ชายหนุ่มที่มีชื่อว่าทรงพลตรงหน้าเธออย่างเสียไม่ได้ ทรงพลเองแทบตะลึงตาค้างเมื่อเห็นสาวสวยที่สมัชชาแนะนำให้รู้จักกับเขา ท่วงท่าที่สง่างามอาจจะมาจากเชื้อสายของสมัชชาที่ใครๆ ก็เรียกเขาว่า “เจ้า” ก็เลยทำให้ลูกสาวของเขามีท่าทางที่ดูดีมีสง่ากว่าสาวไหนๆ ในงานเลี้ยงนี้

“เกือบสิบปีแล้วครับคุณอา” ทรงพลตอบสมัชชาท่าทางยิ้มๆ กับการแสดงออกของจันทร์จิราว่าไม่ชอบเขาเป็นจริงเป็นจัง

“สิบปีก่อนจันทร์ก็แค่เก้าขวบเองนะพ่อจะไปจำได้ไงคนเคยเจอกันแค่หนเดียว” จันทร์จิราตัดพ้อต่อว่าพ่อของเธอ

“ก็คงจะจริงนะน้องจันทร์เมื่อก่อนน้องจันทร์ยังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เลย ตอนนี้โตเป็นสาวจนพี่แทบจำไม่ได้ ถ้าไปเดินแถวห้างหรูๆ พี่ว่าพี่คงจำน้องจันทร์ไม่ได้แน่ๆ สวยขนาดนี้” ทรงพลมิวายป้อจันทร์จิรา

จันทร์จิราทำหน้าตูม เมื่อได้ยินคำพูดของทรงพล ที่เอ่ยปากกับเธอ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอคุ้นหน้าทรงพล ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับใครกันนะ แล้วจมูกกับปากนั่นอีกเล่า หรือว่าเธอจะเคยพบเห็นกับชายหนุ่มตรงหน้านี้จริงๆ อย่างที่พ่อของเธอได้บอกเอาไว้

ไม่หรอกนะ ชายคนนี้ไม่ได้คุ้นหน้าแบบที่เคยเห็นผ่านตา

มันเป็นสิ่งที่เธอคิดว่าชายร่างใหญ่หุ่นแข็งแรง ท่าทางดีคนนี้เหมือนกับใครสักคนที่เธอเคยรู้จักต่างหาก คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าชายคนนี้เหมือนใครกันแน่

และแล้วเหมือนฟ้ามาโปรดเธอเห็นชนกพรเดินตามพ่อของเธอเข้ามาในงาน

“จันทร์ขอตัวก่อนนะคะพอดีจันทร์เจอเพื่อน” จันทร์จิราพยายามเลี่ยงเดินออกมาจากกลุ่มของคุณสมัชชา

“พาพี่เค้าไปรู้จักเพื่อนๆ ของเราด้วยสิจันทร์จะได้รู้จักกันไว้ ไหนๆ ก็กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกันในไม่ช้านี้แล้ว” สมัชาบอกลูกสาวของตน

แต่สิ่งที่จันทร์จิราได้ยินจากปากพ่อของเธอเอง กลับทำให้ตัวเธอชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดินไปหาชนกพร เพราะคำว่า “กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน” ทำให้จันทร์จิราถึงกับตะลึงที่ได้ยิน

“พ่อว่าอะไรนะคะ” จันทร์จิราหันไปถามคุณสมัชชาเสียงสูงเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่เธอได้ยินเมื่อครู่

“เปล่าลูกพาพี่เค้าไปเถอะมายืนอยู่กับคนแก่แบบพวกพ่อพี่เค้าจะเบื่อไปเปล่าๆ”

“ค่ะพ่อ”

จันทร์จิราจำใจเดินนำทรงพลไปหาชนกพรเพื่อที่จะแนะนำทรงพลให้รู้จักกับชนกพรในฐานะเพื่อนของเธอ แต่เมื่อทั้งสองคนได้เห็นหน้ากันคำทักทายของทั้งคู่ก็ทำให้จันทร์จิราถึงกับตะลึงไปอีกรอบ

“อ้าวหวัดดีนกเป็นไงบ้างน้องสาวสบายดีไหม วันก่อนพี่โทรไปหาที่บ้านมีคนบอกว่านกยังไม่กลับ คิดถึงจังเลยไอ้ลูกหมา” ทรงพลทักทายชนกพรด้วยท่าทางสนิทสนม

“อ้าวตกลงสองคนที่รู้จักกันแล้วเหรอค่ะ” จันทร์จิราหันไปมองหน้าชายหญิงสองคนสล้บไปสลับมาราวกับทั้งคู่กำลังตีเทนนิสกันอยู่ ทั้งรับและส่งไปมาจนทำให้เธอมึนงงไปหมด

“ใช่ครับน้องจันทร์ ผมกับน้องนกเราเป็นญาติกัน ผมเป็นญาติผู้พี่ ส่วนน้องนกเป็นญาติผู้น้อง พ่อของเราเป็นพี่น้องกันครับ” ทรงพลอธิบายแทนชนกพร

“อ้าวเหรอคะโลกมันทำไมกลมแบบนี้” จันทร์จิรากำลังนึกถึงทฤษฎีโลกกลม ที่กาลิเลโอเคยบอกเอาไว้ แต่เธอไม่คิดว่ามันจะกลมจนจับเอาคนที่เธอรักและคนที่พ่อของเธอหมายมั่นปั้นมือให้เป็นคนที่เธอต้องแต่งงานด้วย โคจรมาพบกันโดยการเป็นญาติสนิทแบบนี้

จันทร์จิรายืนงงไปกับการที่ได้รู้จักญาติคนใหม่ของชนกพร ทำไมชนกพรไม่เคยบอกว่ามีญาติผู้พี่ และความสงสัยของเธอถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของทรงพลก็มาถึงบางอ้อ

เมื่อชนกพรและทรงพลมายืนเคียงข้างกัน ทั้งคู่ราวกับเป็นแฝดคนละฝา แถมยังไข่คนละใบ จะเรียกได้ว่าเป็นแฝดหญิงชายก็เป็นได้ เพียงแต่แตกต่างกันทั้งอายุและรูปร่างเท่านั้น

“สรุปว่าจันทร์ไม่ต้องแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันแล้วใช่ปะ ดีจังค่อยโล่งใจหน่อยเพราะจันทร์ก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกันได้ไง ว่าแต่ว่านกมานานหรือยัง” จันทร์จิราหันไปถามชนพรที่วันนี้แต่งตัวสวยกว่าทุกวัน

“พึ่งมาถึงพ่อเรามาทำข่าวก็เลยฉุดเราตามมาด้วยบอกว่าให้มาเรียนรู้งาน” ชนกพรบอกถึงที่มาที่ไปของการมางานในครั้งนี้ของเธอ

“แล้วพ่อน้องนกไปไหนแล้วล่ะ” ทรงพลเอ่ยถามถึงคนที่มีศักดิ์เป็นอาของเขา

“โน่นพี่ไปสัมภาษณ์เจ้าของสินค้าอยู่ตรงโน้น” ชนกพรชี้ไปยังทิศที่พ่อของเธอกำลังยืนจดอะไรยิกๆ พร้อมกับเครื่องบันทึกเสียงเครื่องเล็กๆ ในมือ

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปทักทายคุณอาก่อนแล้วกัน เอ แต่ไม่ดีกว่าให้คุณอาทำงานให้เสร็จก่อนค่อยไปทักทายจะดีกว่าเดี๋ยวจะหาว่าไร้มารยาท” ทรงพลพูดเองเออเองกับความคิดของตน

“เดี๋ยวนี้หล่อใหญ่แล้วนะพี่สาวเรา เกิดมีสาวๆ มาสนใจทำไงล่ะนี่” ชนกพรแซวทรงพลที่ยืนข้างๆ เธอ

“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไปฉันแอ๊บแมนมาได้ตั้งนานอย่ามาทำให้ฉันเสียภาพพจน์นะยะลูกหมา”

“โห่พี่น้องชื่อนกไม่ได้ชื่อหมา ทำอย่างกับใครๆ จะไม่รู้อย่างนั้นล่ะว่าพี่อะชอบ...” ชนพพรลากท้ายประโยคยาวๆ และหันหน้าไปทางกลุ่มของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม

“เออจะนกหรือหมาก็น้องฉันก็แล้วกัน และปากแบบนี้นี่นะมันลูกหมาชัดๆ ให้เป็นนกคงไม่ได้หรอก” ทรงพลแขวะชนกพรญาติของเขา

จากท่าทางการพูดคุยของชนกพรและทรงพล ทำให้จันทร์จิราที่ได้รับรู้เรื่องราวอย่างคร่าวๆ ของทรงพลถึงกับยิ้มไม่หุบ

“เฮ้อ...รอดแล้วงานนี้ไอ้จันทร์เอ๊ย” จันทร์จิราได้แต่บอกกับตัวเองในใจ เพราะเธอรู้สึกเหมือนยกภูเขาไฟที่เมื่อสักครู่ยังคุกรุ่นออกไปจากอกของตัวเอง

สักพักทรงพลก็ของตัวจากสองสาว

“เดี๋ยวพี่ไปทักทายท่านผู้ว่าก่อนนะ อย่าทำเสียเรื่องล่ะรู้ไหม”

“ไปเถอะพี่สาวไว้เจอกันที่บ้านบายๆ” ชนกพรรุนหลังทรงพลให้รีบไปเร็วๆ เพราะเธอก็อยากพูดคุยกับจันทร์จิราเช่นกัน ตั้งแต่จากกันที่บ้านครูทัศนาในวันนั้นทั้งคู่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีกเลย ความคิดถึงมีอยู่มากมายในหัวใจของชนกพร

ทั้งสองคนเดินเรื่อยเปื่อยออกมานั่งคุยกันที่ล็อบบี้หน้าโรงแรมแห่งนั้น

“ไม่รู้มาก่อนเลยว่านกมีญาติคือคุณทรงพล”

“อ๋อก็พี่พลเค้าไปเรียนต่อตั้งแต่เรายังเด็กๆ พอเรียนจบก็ไปเมืองนอก นานๆ จะกลับมาบ้านสักที แต่เราสนิทกับพี่พลมากที่สุดเลยนะจันทร์”

“เหรอทำไมล่ะ”

“ก็เพราะว่าพี่พลเป็นที่ปรึกษาของเราในทุกเรื่องเลยนะ ตั้งแต่เรายังเด็กๆ แล้ว ว่าแต่ว่าจันทร์ไปรู้จักกับพี่พลได้ไงไหนลองขยายความมาหน่อยสิ”

แล้วเรื่องราวต่างๆ ที่จันทร์จิราได้พบเจอมาในงานเลี้ยงแห่งนี้ก็พร่างพรูออกจากปากของเธอให้กับชนกพรได้รับรู้ แต่สิ่งที่ชนกพรทำได้ก็คือฟังไปหัวเราะไป

“ขำอะไรอยู่ได้นก เราเครียดนะเพื่อน”

“เอาน่าถึงจะให้แต่งกันจริงๆ ก็แต่งได้นะ เราอนุญาต”

“เฮ้ยไหงั้นล่ะนก” จันทร์จิรารู้สึกตกใจกับคำตอบของชนกพร

“ก็เรากับพี่พลนะเหมือนคนที่มี species เดียวกันแต่คนละ sub species ไงเพื่อน”

“ไม่เข้าใจไหนอธิบายมาสิ”

“ก็นี่ไงเรากับพี่พลนะเป็น species homosexual เหมือนกันแต่ต่างกันที่ sub species เพราะพี่พลอะเค้าชอบชาย ส่วนเราชอบหญิงไงเพื่อน โธ่เรื่องแค่นี้ทำมึนนะฮ่าๆ”

“อ๋อแบบนี้นี่เอง เออแต่ถ้าพ่อเราเค้าให้แต่งกับพี่พลของนกจริงๆ เราจะทำไงดี”

“ก็แต่งไปดิ”

“เฮ้ยไหงพูดง่ายๆ งี้อะ”

“ก็จริงนี่แต่งบังหน้าไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เพราะอย่างน้อยพี่พลก็ไม่ทำอะไรจันทร์ได้หรอกเพราะเค้าไม่นิยมอย่างเราๆ เค้านิยามมาดแมนแอนด์แฮนซั่มโน่นแบบกลุ่มที่ยืนๆ กันอยู่ทางโน้น” ชนกพรบุ้ยปากไปทางกลุ่มชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ที่ยังคงยืนอยู่ภายในงานเลี้ยง

“ดีซะอีกสิจันทร์เราจะได้สบายใจที่ตัวได้มีคนดีๆ อย่างพี่พลคอยดูแล” ชนกพรกันมามองหน้าจันทร์จิราที่ยังคงนั่งเคียงข้างเธอ ในฐานะ “เพื่อน” ต่อหน้าสาธารณะชน

แม้ไม่สามารถแสดงออกได้ว่าทั้งสองคนเป็นอะไรกัน แต่ทั้งคู่ก็รับรู้อยู่ในใจว่ามีอะไรมากกว่าคำว่า “เพื่อน” ในดวงใจทั้งสองดวง

.................

หลังจากการพบกันในครั้งนั้นของจันทร์จิราและทรงพล สมัชชาก็รู้สึกว่าทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะไปกันได้ด้วยดี ทรงพลแวะมารับจันทร์จิราไปโน่นมานี่ด้วยกันเสมอ และก็มีชนกพรที่เป็นเพื่อนของจันทร์จิราและเป็นลูกพี่ลูกน้องของทรงพลติดสอยห้อยตามกันมาด้วยทุกครั้ง

ระหว่างชนกพรกับจันทร์จิราในสายตาของสมัชชาก็คือเพื่อนที่สนิทกันมากๆ เพราะเด็กทั้งคู่ก็เรียนมาด้วยกัน อยู่บ้านเช่าด้วยกัน อีกประการที่สำคัญพ่อของชนพกรก็เป็นเหมือนกระบอกเสียงของเขาเอง เมื่อยามที่โภคินช่วยประโคมข่าวการออกงานสังคมของเขาในหนังสือท้องถิ่น เขาเองก็รู้สึกว่านักข่าวเจ้าของหนังสือพิมพ์คนนี้เป็นคนที่ตรงไปตรงมา

เขาเริ่มรู้จักกับโภคินเมื่อครั้งที่ยังเป็นวัยหนุ่ม ทั้คู่พบกันตามงานต่างๆ ของจังหวัดเรื่อยมา และชอบพอกันอยู่มาก นั่นหมายถึงพี่ชายของโภคิน ที่เป็นพ่อของทรงพลก็เป็นเพื่อนกับเขา แต่ปุริมนั้นแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มจึงมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวคือทรงพล

ทั้งสามคนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคนละรุ่น ที่รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี เขาเองก็รู้ว่ามันออกจะเร็วไปสักนิดหากต้องให้จันทร์จิราลูกสาวของตนมาหมั้นหมายกับทรงพลในวันที่ยังเรียนไม่จบ แต่ในสายตาของเขาทรงพลเป็นคนหนุ่มไปแรง เหมาะอย่างยิ่งที่จะรีบคว้ามาเป็นว่าที่ลูกเขย ก่อนที่จะโดนไก่แก่แม่ปลาช่อนทั้งหลายมาล้วงคองูเห่าอย่างเขาเอาทรงพลไปเชยชมเสียก่อน

เมื่อคิดได้เช่นนั้นในวันนี้สมัชชาไม่รอช้าที่จะนัดปุริมให้ออกมาคุยเรื่องงานกับเขาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองนัก

“สวัสดีพี่ปุริม แหม่ไม่คิดว่าพี่จะมาเร็วแบบนี้” สมัชาทักทายชายพุงพลุ้ยที่สูงอายุมากกว่าเขา

“ไม่ได้สิคุณนัดมากินข้าวทั้งทีท่าทางจะมีเรื่องอะไรด่วน ไอ้ผมเองก็ใจร้อนอยากรู้เรื่องอยู่เหมือนกัน”

“ผมก็กระดากปากที่จะพูดขึ้นก่อนเพราะผมว่าหากผมพูดไปมันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ฝ่ายหญิงจะเริ่มพูดกับฝ่ายชายก่อน แต่ผมมันก็คนใจร้อนเหมือนกัน ถ้าไม่พูดตอนนี้มันอาจจะสายไปก็ได้”

“นี่หมายความว่าคุณอยากจะดองกับผมล่ะสิคุณสมัชชา”

“ใช่ครับพี่ผมอยากให้ลูกของเราสองคนหมั้นหมายกันไว้ก่อน พี่ว่าไงครับ”

“มันก็ดีนะผมก็ชอบหนูจันทร์เหมือนกัน แต่ของแบบนี้ปลูกเรือนตามใจคนอยู่นะคุณ หนูจันทร์จะยอมหรือเปล่า ไอ้ลูกชายผมมันคนไม่ขัดอะไรหรอกก็เห็นออกไปพาน้องเที่ยวตะลอนๆ ไหนต่อไหน ผมก็ไม่เคยเป็นลูกชายตัวเองไปข้องแวะกับสาวที่ไหนเลยเหมือนกันนะคุณนอกจากหนูจันทร์ลูกสาวคุณ”

“ฮ่าๆ งั้นก็ดีสิครับพี่ ถ้าตาพลชอบจันทร์จริงๆ อย่างที่พี่บอกผมว่าเรื่องนี้มันก็คงไม่ยากเท่าไหร่หรือพี่ว่าไง”

“ก็จริงเอาอย่างนี้ดีกว่าถ้าเมื่อไหร่หนูจันทร์เรียนจบผมของหมั้นหนูจันทร์ให้กับเจ้าพลลูกชายผมเลยก็แล้วกัน”

“เอางั้นเลยเหรอพี่ ดีๆ ผมชอบ”

จากนั้นเรื่องที่พูดคุยก็กลายเป็นเรื่องการเมืองภายในที่ทั้งสองคนต่างต้องรับผิดชอบ ในฐานะตัวแทนของประชาชน ดูเหมือนการเกี่ยวดองของลูกจะทำให้พ่อๆ สามารถพูดคุยเรื่องอะไรก็สะดวกคล่องปากไปหมด พร้อมๆ กับ เงินที่กำลังจะไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดระยะในการติดต่อของทั้งสองตระกูล

................

ฝ่ายลูกๆ ไม่ได้รับรู้เรื่องอะไรของพ่อตนเองที่ได้ตกลงกันไว้ ทรงพลแวะมารับจันทร์จิราและชนกพรที่บ้าน จากนั้นเขาเองก็ไปเชียงใหม่ไปรับคู่ใจของเขา พาไปเที่ยวด้วยกัน กับน้องๆ การที่ที่สี่คนไปไหนมาไหนหันเหมือนกับเป็นคู่หนุ่มสาวสองคู่

จะผิดแผกไปก็ตรงที่ว่าแทนที่หนุ่มจะเดินกับสาว กลับกลายเป็นสาวเดินกับสาวและหนุ่มเดินกับหนุ่มแทน

ต่อหน้าสาธารณะชน ทั้งสี่คนไม่ได้แสดงออกอะไรมากมายว่าตัวตนจริงๆ ของทั้งสี่เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะไปที่ไหน คนก็หันมามองคนสี่คน เพราทั้งสี่หน้าตาดี ท่าทางดี ราวกับเทพอุ้มสม แต่จะมีใครรู้อะไรบ้างไหมว่าสิ่งที่คนทั้งสี่คนแสดงออกมานั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คนทั่วไปมองเห็น เพราะเมื่อขึ้นรถ ทั้งสี่คนก็กลายเป็นตัวของตัวเอง

ทรงพลไม่ได้เก๊กหล่อมาดแมนแบบที่เขาเคยทำ ใครจะคิดว่าชายร่างใหญ่บึกบึนกำยำอย่างทรงพลจะกลายเป็นลูกแมวคอยออดอ้อน อรรณพแฟนหนุ่มของตัวเองที่ตัวเล็กกว่าแต่มีหน้าตาที่หล่อเหลาไม่แพ้กัน ท่าทางของทรงพลยามออดอ้อนอรรณพนั้น ไม่ได้แตกต่างกับจันทร์จิราที่ออดอ้อนชนกพร สองคู่ที่สลับขั้วกันพากันเที่ยวไปในที่ต่างๆ

ทรงพลใช้ข้ออ้างว่าจะพาจันทร์จิราไปเที่ยวเพื่อที่เขาเอง จะได้ไปพบกับชายคนรักที่นานๆ ได้พบปะกันสักครั้ง เพราะทรงพลไม่มาสารถที่จะปลีกตัวออกมาจากครอบครัวของตัวเองได้ อรรณพเองก็เช่นกัน เขามีหน้าที่ดูแลบริษัทรับเหมาก่อสร้างกิจการของครอบครัว นานๆ ครั้งจึงจะได้พบกับทรงพลคนรักของเขา เมื่อครั้งใดที่ได้พบกัน ทั้งสองคนก็ต้องนัดหมายกันในที่เร้นลับตาคน

จะเป็นที่ไหนก็ได้ม่านรูด รีสอร์ตที่ห่างไกล หรือที่ไหนๆ ขอเพียงให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน แม้เพียงเวลาแค่สองหรือสามชั่วโมงกับการเปิดเผยตัวตนจริงๆ ของตัวเองก็เพียงพอแล้ว

ทรงพลและอรรณพรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งคู่แข่งกีฬาด้วยกัน และเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยด้วยกัน ตอนที่ทรงพลบอกกับอรรณพว่าเขาต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ อรรณพแทบคลั่ง เพราะเขาไม่อยากห่างไกลจากคนที่ตนรัก

ดังนั้นทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วยกัน ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอยู่นานหลายปี จนครอบครัวของทั้งคู่เห็นว่าได้เวลาแล้วที่ทั้งคู่จะต้องกลับมาทำงานให้กับที่บ้าน การจากกันในครั้งนั้น ทั้งคู่ดูย่ำแย่มากๆ แต่เมื่อตัดสินใจที่จะกลับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

หลังจากที่ทั้งสี่คนอยู่เที่ยวที่เชียงใหม่กันจนหน่ำใจก็กลับมาที่บ้านของตัวเอง ครั้งนี้ทรงพลกล้าที่จะเอาอรรณพกลับมาด้วย เขาพาอรรณพกลับมาในฐานะเพื่อน และให้ใครๆ เข้าใจว่าอรรณพหลงรักชนกพรลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง

มันก็ดีกว่าที่จะบอกใครๆ ในบ้านว่าอรรณพเป็นแฟนของเขาไม่ใช่หรือ การขอร้องให้ชนกพรเล่นละครตบตาคนในบ้านดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายเพราะชนกพรเข้าใจพี่ชายของเธอเป็นอย่างดี

อีกไม่นานชนกพรเองก็คิดว่าเธอจะใช้พี่ชายของเธอเล่นละครฉากสำคัญของชีวิตคนรักของเธอเองช่นกัน

..................................

ทางด้านพวงทองเธอพาไปรยาเข้าบ้านและบอกกับพ่อและแม่ว่านี้คือคนรักของเธอ พวงทองเป็นอีกคนหนึ่งที่กล้าที่จะพูดกล้าที่จะบอกกับคนในบ้านว่าเธอมีคนรักเป็นเพศเดียวกัน แม้ในครั้งแรกพ่อกับแม่ของพวงทองจะรับไม่ได้กับพฤติกรรมของลูกสาวตัวเอง

“แม่จ๋าพ่อจ๋านี่แฟนเติ้ลชื่อกอล์ฟ” พวงทองแนะนำไปรยาให้กับพ่อและแม่ของเธอได้รู้จักในฐานะคนรักของตนเอง

ทั้งพ่อและแม่ของพวงทองรับไหว้หญิงสาวตรงหน้าที่ท่าทางจะเป็นคนจีนโดยกำเนิด ไปรยาไหว้ทั้งสองท่านด้วยท่าทางนอบน้อม แต่จิตใจของเธอนั้นตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่ตลอดเวลาเพราะเกรงว่าการแนะนำตัวเธอให้ได้รู้จักกับพ่อแม่ของพวงทองอาจเป็นชวนเหตุให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในครอบครัวของพวงทอง

สิธิชัยและเอื้องพรทำท่าทางกระอักกระอ่วนเมื่อลูกสาวคนเดียวของเขาและเธอแนะนำให้ได้รับรู้ว่าความสัมพันของลูกสาวตนเองกับสาวหน้าหมวยคนนี้เป็นอย่างไร

แต่เมื่อทั้งสองคนมานึกทบทวนอย่างละเอียดดูอีกครั้งก็ทำให้คิดได้ว่า ก็ดีกว่าพวงทองไปติดยาเสพติดไม่ใช่หรือ

หากว่าพวงทองนึกน้อยใจในการกีดกันของพ่อกับแม่แล้วหันไปใช้ยาเสพติดอีกครั้ง พ่อกับแม่อย่างเขาและเธอจะเป็นทุกข์มากกว่าเดิมแค่ไหน

ในเมื่อลูกกล้าที่จะบอกให้พวกเขาและเธอได้รับรู้ ทั้งพ่อและแม่ของพวงทองก็กล้าที่จะยอมรับในรสนิยมทางเพศของลูกสาวตนเองเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะครอบครัวของพวงทองไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมเหมือนครอบครัวของตจันทร์จิราและชนกพร และอาจเป็นเพราะพ่อกับแม่ของพวงทองเปิดใจรับลูกสาวของตัวเองได้ดีกว่าอีกครอบครัวก็เป็นได้

ในเมื่อไม่ได้มีความคาดหวังจึงไม่ผิดหวังและไม่สมหวังใดๆ

พวงทองพาไปรยาไปโน่นมานี่ในตัวเมืองอย่างเปิดเผยว่านี่แหละคนรักของเธอ เธอกล้าที่จะเดินจูงมือไปรยาไปในห้าง กล้าที่จะจูงมือไปรยาเดินซื้อของในตลาด กล้าที่จะแนะนำให้ใครๆ ที่ถามว่าไปรยาเป็นใครได้รู้ว่านี่คือแฟนสาวของเธอเอง และเมื่อใครต่อใครมองหน้าเหมือนกับจะถามย้ำว่าจริงหรือ พวงทองก็ตอบอย่างหนักแน่นว่า ไปรยาคือแฟนของเธอที่กำลังคบหาและดูใจกันอยู่

หลายต่อหลายครั้งที่คนที่ถามพวงทองเหล่านั้นต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ เมื่อโดนพวงทองต่อว่ากลับไป

“เฮ้ยจิงดิเติ้ลนี่แฟนแกจริงๆ เหรอว๊ายตายแล้ว” เพื่อนร่วมเรียนด้วยกันมากับพวงทองถามแบบไม่เชื่อหูตัวเอง

“จริง” พวงทองตอบด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง

“ไม่ยักรู้ว่าเติ้ลชองตีฉิ่ง งั้นพวกเธอก็เป็นกันทั้งกลุ่มเลยสิ ต๊ายตายเก็บเงียบมานานไม่ยักรู้ว่าชอบดนตรีไทย” เพื่อนคนนั้นพูดออกท่าออกทางไปในทางดูถูกดูหมิ่นพวงทองจนออกนอกหน้าด้วยเสียงที่ดังลั่นบริเวณตลาดที่ทั้งสามคนยืนอยู่

ไปรยาที่ยืนถือถุงกับข้าวหลายๆ อย่างอยู่ข้างๆ พวงทองไม่คิดว่าคนสวยๆ แบบเพื่อนของพวงทองตรงหน้าเธอจะกล้าพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนที่คนสวยคนนี้เรียกว่า “เพื่อน” และเธอเองก็กลัวใจพวงทองคนรักของเธอเหลือเกินว่าจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่

กิติศัพท์ของพวงทองในเรื่องไม่ยอมคนเธอก็พอจะรู้มาบ้างจากปากของอรุณวิลัยเพื่อนรักของเธอและพวงทอง และเรื่องที่เธอกลัวก็กำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เธอพยายามสะกิดพวงทองให้ใจเย็นลงอีกนิดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป

“ขอโทษเถอะนะก่อนที่จะมาต่อว่าใครกรุณาสำรวจตัวเองก่อนเถอะนะแม่คุณ คนอย่างเธอเอาน้ำเกลือมาล้างกลิ่นคาวสักร้อยสักพันครั้งมันจะหมดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ กลิ่นยิ่งกว่าปลาอ่อนแรงในไห แล้วขอโทษเถอะนะฉันจะมีรสนิยมแบบไหนมันไปหนักที่สวมหมวกของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อะหรือว่าหนักอวัยวะส่วนกลางลำตัว แต่ต้องขอโทษอีกรอบเถอะนะแม่คุณต่อให้เธอล้างกลิ่นคาวของเธอออกจนหมดแล้วฉันก็ไม่สนใจอวัยวะที่มีหนอนเป็นพันๆ ตัวชอนไชไปแล้วหรอกนะ ไปก่อนนะเพื่อน หวังว่าชาตินี้คงไม่ได้พบกันอีก ไม่อยากจะเสวนากับนางกลางเมือง”

พวงทองพูดจบก็เดินจูงข้อมือของไปรยาออกมาทันที ไปรยาที่ยืนฟังพวงทองอยู่นานถึงกับส่ายหน้า เพราะเธอไม่เคยเห็นพวงทองระเบิดอารมณ์ได้ร้ายขนาดนี้มาก่อน และเมื่อเธอเห็นสีหน้าของคนที่พวงทองเรียกว่าเพื่อนคนนั้นแล้ว เธอว่าหากว่าพวงทองไม่ลากเธอออกมาก่อนตลาดสดแห่งนั้นคงลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน

“เติ้ลพูดแรงไปหรือเปล่า” ไปรยาถามขณะที่นั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ของพวงทองกลับบ้าน

“น้อยไปสิยายหมวย คนแบบนี้ต้องโดนมากกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า”

“ทำไมล่ะ”

“ก็คนอย่างแม่นั่นมันถูกกินฟรีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราเองยังไม่เคยพูดเรื่องของเค้า ถ้าเค้ามาเล่นเราก่อน เราก็ต้องตอบโต้บ้างแหละยายหมวย เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับพวงทอง แล้วแถมยังมาว่าแปดเซียนของเราด้วยแบบนี้ทนไม่ได้หรอก”

“สงสัยจะเลือดขึ้นหน้าจริงๆ เลยเติ้ลเอ๊ย”

“เลือดขึ้นหน้าก็เพราะแม่นั่นคนเดียวแหละหมวยเพราะเราไม่ชอบที่จะให้ใครมาดูถูกความรักของเราว่ามันไร้ค่า ไม่ว่าความรักของใครใครก็รู้ว่ามันสูงสงแค่ไหนในใจของแต่ละคน หรือหมวยว่าไม่จริง”

“มันก็จริงแต่เราคงไม่กล้าไปต่อปากต่อคำกับใครในตลาดแบบเดียวกับเติ้ลหรอกนะเราอาย”

“เราไม่อายตราบใดที่เราไม่ได้ไปขอใครกิน เรามีเงินของเราไปซื้อ ถ้าไม่ขายให้เราเราก็ไปซื้อเจ้าอื่น ไม่เห็นจะแคร์”

“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะเติ้ล ถ้าเติ้ลคิดแบบนั้นมันจะวุ่นวายตัวใครตัวมันมากไปหน่อยหรือเปล่า”

“ไม่หรอกหมวยเรื่องแบบนี้กับคนแบนี้ต้องตาต่อตาฟัต่อฟัน ขืนไปยอมจะได้ใจไปใหญ่”

“อะตามใจเติ้ลก็แล้วกันเราไม่อยากเถียงด้วยแล้ว รีบๆ กลับบ้านเถอะเราหิวแล้วแม่ก็คงจะหิวด้วย มัวแต่โอ้เอ้ในตลาดตั้งนานสองนาน

ไปรยาตัดบทเพราะขืนเธอยังคงเถียงกับคนตัวผอมแต่เอาเรื่องคนนี้ไปเรื่อยๆ มีหวังตัวเธอเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายอารมณ์ขุ่นมัวไปมากกว่านี้

..... จบบทที่ ๒๗ ....




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 9:18:46 น.
Counter : 280 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๖

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๖

รุ่งขึ้นอีกวัน พี่นิพาเราไปดูทุ่งหญ้าป่าสนและทุ่งดอกไม้ ระหว่างทางที่จะไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่เมื่อไปถึงน้ำตกเราก็ได้เห็นแต่น้ำน้อยนิดที่ไหลเอื่อยๆ ลงมาน้ำน้อยๆ คนมากมายทั้งๆ ที่เป็นวันพุธกลางสัปดาห์

“แกว่าไหมไอ้แป๊ดว่าถ้ามันเป็นน้ำตกเพ็ญพักตร์น้ำมันคงจะมากกว่านี้” จันทร์จิราไม่รู้ว่าจะมีมุขอะไรมาต่ออีก

“ทำไมวะไอ้เจ้า” ฉันถามจันทร์จิราไปเพราะอยากรู้จริงๆ

“นี่มันน้ำตกเพ็ญพบใช่ปะน้ำก็เลยน้อยแต่ถ้าเป็นน้ำตกเพ็ญพักตร์แล้วมายืนโพสท่าถ่ายแบบนู๊ดมันก็จะมีน้ำลายของพวกเราหกลงไปไงแก ฉันว่าน้ำมันคงเพิ่มมากว่านี้หลายเท่าเลยวะฮ่าๆๆ” และเพื่อนทุกคนก็หัวเราขำกับความคิดของจันทร์จิรากันเป็นแถวไม่เว้นแม้กระทั่งครูทัศนา พี่นิและพี่ตา

จากนั้นเราก็ไป น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ ระหว่างทางเดินเราผ่านป่าเมเปิ้ลที่มีใบเมเปิ้ลสีแดงๆ ตกเกลื่อนพื้นไปหมด

“ไม่ต้องไปถึงแคนนาดาก็มีเมเปิ้ลให้เห็นได้เน๊อะครู” จินตนาเอ่ยขึ้น

“อืมนั่นสิไม่ต้องไปไหนไกลๆ เมืองไทยเราก็มีแต่เหนื่อยหน่อยเท่านั้นเอง” ครูทัศนาเห็นด้วยกับจินตนา

สักพักพวงทองเอาหยิบเอาใบเมเปิ้ลที่ตกเรียงรายกลาดเกลื่อทั่วบริเวนมาปิดที่เรือนร่างของเธอแบบเดียวกับหุ่นแกะสลักที่เราเคยเห็นตามนิตยสารหรือรูปภาพทั่วไปพร้อมกับโพสท่าเลียนแบบนางแบบ อวดเรือนร่างที่ตรงเป็นไม้กระดานของเธอ

“เพ็ญพักตร์ใหม่หรือจะสู้พวงทอง”

“ทุเรศว่ะไอ้ปุ๊ก” จันทร์จิราบอกกับพวงทองที่ยืนแอ่นหน้าแอ่นหลังอยู่กับใบเมเปิ้ลในมือ

“ทำไมวะ” พวงทองที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนานกับไปรยาถามจันทร์จิราที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

“ก็แกนะท่าทางอย่างกับหุ่นไม้ มาทำท่าแบบนี้ต้นแบบเค้าเสียหมดมันไม่เหมือนนางแบบนู๊ดเลยวะไอ้ปุ๊ก แต่มันเป็นนางแบบวู๊ดกระดานแทนเว่ยเพื่อน”

“ไอ้เจ้าแกตาย” จากนั้นพวงทองกับจันทร์จิราก็วิ่งไล่กันไปตามทางที่จะไปน้ำตกธารสวรรค์ที่สุดท้ายของวันนี้

กว่าจะกลับถึงที่พักก็เกือบจะค่ำมืด คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะนอนอยู่บนภูสูง พวกเราก็เลยชักชวนกันไปนอนดูดาว ทะเลดาวบนภูส่องแสงระยิบระยับ สวยอย่างไม่มีที่ใดจะเปรียบ

ฉันนึกถึงเพลง “ผิงดาว” ของวงคาราวาน ในเนื้อความที่ว่า “คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนฟ้า จากรัก จากศรัทธาของเรา” และการผิงดาวท่ามกลางสายลมเอื่อยฉิวที่พัดมา ก็ทำให้เราไม่รู้สึกหนาวเย็นจนจับขั้วหัวใจ เพราะในอ้อมแขนของฉันมีเธอเคียงข้างอยู่ไม่ห่างกาย

………………………

วันรุ่งขึ้นพวกเรารีบตื่นกันตั้งแต่เช้า เพราะว่าอยากจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นอีกสักครั้ง เพราะเราไม่แน่ใจว่าจะได้มาที่นี่อีกหรือเปล่า เพราะขนาดว่าเรามาในวัยที่ยังเด็กและมีเรี่ยวแรงมากๆ แบบนี้แต่ละคนก็อ่วมอรทัยกันหมด

คุณเคยถามตัวเองบ้างไหม

ทำไมคนเราถึงต้องเดินทางไปไหนไกลๆ เพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก ในดินแดนที่ห่างไกล เพราะพระอาทิตย์ก็ดวงเดียวกัน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นหรือตกก็ไม่ได้แตกต่างกัน

เพียงแค่ต่างกันที่ละติจูดลองติจูดของพระอาทิตย์ที่ขึ้นเท่านั้น

หรือว่าพระอาทิตย์ในดินแดนบนภูสูงจะดวงใหญ่กว่า พระอาทิตย์ที่ขึ้นบนหลังคาบ้าน

คำตอบก็คือ “ไม่ใช่” แต่เป็นเพียงสถานที่ที่พระอาทิตย์ดวงเดิมส่องสว่างก็เท่านั้น

เราไม่ผิดหวังเลยที่ตัดสินใจมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันนี้อีกครั้งเพราะว่าวันนี้พระอาทิตย์เป็นไข่แดงลูกโตค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้ามาทีละนิดๆ และค่อยๆ สว่างเจิดจ้าขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนกับวันใหม่ของพวกเราที่กำลังทอแสงเปล่งประกายเจิดจรัส

“พวกเธอดูไว้นะ พระอาทิตย์ขึ้นมันสวยงามมากแค่ไหน พวกเธอก็เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ยามเช้า ที่ค่อยๆ เปล่งประกายรัศมีขึ้นมาเรื่อยๆ ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ กับชีวิตที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากมาย ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้ พระอาทิตย์มีวันขึ้นก็มีวันตก ไม่ว่าใครๆ ก็หลีกหนีวัฏจักรของชีวิตไปไม่พ้น จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและทำตัวให้ดีฝากชื่อไว้ให้คนรุ่นหลังได้เล่าขานก็พอแล้ว เพราะคนเราอยู่ได้ไม่นานก็ต้องตายจากโลกนี้ไป”

“ทัศพูดเหมือนตัวเองจะไปบวชอย่างนั้นแหละหรือว่าปรึกษากับป้าแจ่มเรื่องทางโลกมากเกินไป นี่อย่านะทัศเธอจะไปบวชแบบป้าแจ่มไม่ได้นะเราเสียดายคนสวยๆ อย่างเธอแน่ๆ เลย” นิชาภัทรเอ่ยขัดจังหวะทัศนา

“เปล่าหรอกนิ เราเพียงแต่อยากสอนให้ลูกๆ ของเราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เราไปไหนตอนนี้ไม่ได้หรอกเรามีหน้าที่สอนเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม ถ้าเราไปตอนนี้เราก็คงทำหน้าที่ของเราขาดตกบกพร่องไป นิไม่รู้หรอกว่าเวลาที่เราเป็นเรือจ้างพาเด็กๆ ไปสู่งฝั่งฝันมันรู้สึกว่าดีใจแค่ไหน”

“พี่ทัศดูเป็นครูที่ดีจังเลยนะคะ ถ้าเป็นตาคงเป็นคงทำได้ไม่ถึงครึ่งที่พี่ทัศทำในตอนนี้” อนันตราเอ่ยปากชมทัศนาอย่างจริงใจ

“ไม่หรอกตา พี่ว่าการที่คนเราทำอะไรในความรับผิดชอบของตัวเองให้ดีที่สุดถือว่าเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ไง น้องตาเองก็ทำหน้าที่ของน้องตาให้ดีมันก็ถือว่าน้องตาได้ทำให้คนได้สนุกเฮฮา แต่ละคนแต่ละอาชีพก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปในสังคมที่สลับซับซ้อน เด็กๆ พวกนี้ก็เหมือนกัน เค้าก็คืออนาคตของชาติ ทัศเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองเมื่อสมัยอายุเท่าพวกเค้า นิว่าไหมดูสิเค้าแต่ละคนสดใสร่าเริง เหมือนนิสมัยก่อนเลยนะ”

“ใช่แต่ละคนน่ารักไร้เดียงสา ทัศทำถูกแล้วที่พยายามสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพวกเค้าตั้งแต่ตอนนี้ เพราะโลกของเรามีอะไรมากมายที่เป็นเหมือนเชื้อโรคร้ายที่คอยบ่อนทำลายจิตใจที่ดีงามของคนเราลงไปเรื่อยๆ เราดีใจนะที่ทัศกลับมาเหมือนเดิมได้ ตอนที่จักรทิ้งทัศไปทัศเหมือนคนไร้วิญญาณ”

“มาว่าแต่เรานะนิ เธอเองก็ใช่ย่อยตอนที่แอมไปแต่งงานทำอย่างกับว่าตัวเธอดีกว่าเรางั้นแหละ” ทัศนานึกถึงวันที่รมัญยาทิ้งนิชาภัทรไป นิชาภัทรที่เคยมุ่งมั่นในการทำงานกลับกลายมาเป็นนิชาภัทรที่ขี้เมาหยำเป กว่าที่จุไรพรเลขาของนิชาภัทรจะทำให้นิชาภัทรกลับมาเป็นนิชาภัทรคนเดิมได้ก็นานโข

“ฮ่าๆๆ ก็จริงนะ เวลาที่คนเราจิตตกมันก็แบบนี้แหละทัศดูเหมือนโลกทั้งโลกมันมืดมิดไปหมด แต่ทัศเก่งกว่าเราเยอะที่ปรับตัวได้เร็วกว่าเรา”

“เราไม่เก่งหรอกนิ เพียงแต่เรารู้ว่าเรามีหน้าที่ใหม่มาทดแทนหน้าที่เดิมของเรา หน้าที่ของเรือจ้างที่จะนำทางคนที่จ้างเราไปถึงฝั่งฝัน และเราก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เพราะเท่ากับเรารับผิดชอบชีวิตของคนที่จ้างเราไว้ด้วย”

“แล้วจักรไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลยเหรอหลังจากที่นุชตายไป”

“ติดต่อมาเหมือนกัน แต่แล้วไงล่ะนิ คนที่เคยทิ้งเราไปแล้วจะกลับมามีอะไรมาประกันว่าเค้าจะไม่ทิ้งเราไปไหนอีก เราถามกลับกันถ้าแอมกลับมานิจะรับแอมเข้ามาอีกหรือเปล่า”

คำถามที่ทัศนาถามนิชาภัทรทำให้คนที่ถูกถามกลับถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่จะตอบว่า

“เราคงไม่เหมือนกันทัศ”

“นั่นสิเราเองก็เหมือนนิเราคงไม่สามารถกลับไปคบจักรได้อีกแล้วเพราะมันสิ้นสุดกันตั้งแต่วันนั้นที่เค้าบอกเราว่านุชท้อง” ทัศนามีน้ำตาคลอที่ดวงตาของเธอ

พวกเราเด็กๆได้แต่นั่งฟังกันเงียบๆ พร้อมๆ กับมองดูไข่แดงเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม และสุดท้ายแสงนั้นก็ทำให้เราแสบตา

“ไปเด็กๆ ไปเก็บข้าวของได้เราจะลงภูกันแล้ววันนี้ เร็วๆๆ” พี่นิชาภัทรรีบเร่งให้เด็กๆ อย่างพวกเราเตรียมตัวออกเดินทางไปเก็บของลงภู

ถึงเวลาอำลาภูกระดึง ดินแดนที่เดินขึ้นมาด้วยแรงขาหยดเหงื่อและหยาดน้ำตา

“เฮ้ยรอด้วยเว่ยเดินไม่ทัน” จันทร์จิราบอกกับธิติมากับกันตาที่เดินจ้ำอ้าว ลงไปเรื่อยๆ แต่เธอกลับขาสั่นพับๆ เพราะกลัวทางเดินลงระหว่างหลังแปไปซัมแคร่

“ทีตอนขาขึ้นทำไมไม่สั่นวะไอ้เจ้า” ธิติมาหันมาถามจันทร์จิราที่พยายามกระถดตัวเองลงมาจากก้อนหินก้อนใหญ่

“ก็ตอนขึ้นมันไม่ได้มองลงนี่หว่า แต่นี่มันตอนลงเว่ยมันต้องมองลงแล้วฉันก็กลัวนี่หว่าไอ้ธิแกมาเอาฉันลงไปหน่อยสิไอ้เขาทราย” จันทร์จิราเรียกธิติมาด้วยสรรพนามใหม่ที่เธอตั้งให้กับธิติมา

“ให้ฉันช่วยก็ต้องพูดดีๆ หน่อยสิวะไอ้เจ้ามาเรียกแบบนี้เดี๋ยวปั๊ดไม่เอาลงมาจากก้อนหินเลยไอ้นี่” ธิติมาเดินกลับมาช่วยอุ้มจันทร์จิราลงมาจากก้อนหินก้อโตนั้นแล้วก็บ่นไปตามประสา

“ก็แกสองคนกับเจี๊ยบอย่างกับเขาค้อเขาทรายเลยนี่หว่าเพื่อนแรงดีไม่เคยตก ไม่ให้เรียกแบบนี้แล้วให้เรียกไง” จันทร์จิราพอลงมายืนบนพื้นได้ก็ใส่ธิติมาไม่ยั้ง

“อ้าวไอ้นี้ฉันออกจะสวยเริด มาเรียกฉันสองคนเป็นนักมวยพี่น้องไปแล้ว รู้งี้ไม่ช่วยลงมาซะก็ดีหรอกให้นั่งติดอยู่บนก้อนหินไปอย่างนั้นจนค่ำมืดซะดีมะปั๊ดโธ่เว่ย”

“น่านะไอ้ธิฉันรู้ว่าแกมันใจดีแค่ไหน เอาฉันเดินต่อไปเถอะนะเพื่อนไม่อย่างนั้นฉันคงตายอยู่บนนี้แน่ๆ เลยเพื่อน” จันทร์จิราทำท่าว่าจะบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาซะอย่างนั้น

“เออไม่ต้องมาร้องไห้เลยฉันไม่ทิ้งแกแน่ๆ เพื่อนไปปะลงไปต่อได้แล้ว” ธิติมายื่นมือสวยและแข็งแรงของเธอฉุดข้อมือของจันทร์จิราให้เดินไปด้วยกันกับเธอ และเธอเองก็เป็นเหมือนกำแพงหนาคอยป้องกันจันทร์จิรากับชนกพรเมื่อยามที่ต้องเดินลงไปบนทางที่สูงชัน

ฉันก็ไม่ได้ต่างกับธิติมาที่คอยดูจันทร์จิรา ชนกพรและจินตนา เพราะฉันก็คอยดูแลคนรักของฉันเช่นกัน ฉันเห็นพี่นิชาภัทรคอยดูแลพี่อนันตราและครูทัศนาระหว่างทางเดินลง เห็นพวงทองจูงมือไปรยาค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน เห็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยของรตีกับจินตนา มันเป็นภาพที่ติดตราตรึงใจฉันมาจวบจนทุกวันนี้

ภูกระดึงสร้างความสัมพันของเพื่อนให้เพิ่มขึ้นมากว่าเดิม

ภูกระดึงทำให้พวกฉันรู้ว่าไม่มีใครจะดีไปมากกว่าเพื่อนรักทั้งแปดคน และไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นที่ภูกระดึงไปตราบจนชีวิตฉันจะหมดลมหายใจ

..............................

ลุงสมานมารับเราให้ไปที่พักและอาบน้ำแต่งตัวใหม่เนื่องจากว่าพวกเราไต่เขาลงมาก็มีทั้งเหงื่อและความสกปรก กันทั้งนั้นทุกคนปวดเมื่อยมากว่าเดิม ที่เคยเป็น

จันทร์จิราแทบจะกลิ้งลงเขาเพราะเธอรั้งตัวเองไม่อยู่ ล้มลุกคลุกคลานดีที่ชนกพรรั้งไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นเราคงต้องแบกจันทร์จิราลงมาจากภู

อาการปวดระบมทั้งน่องและต้นขาทำเอาเราแทบจะนอนไม่ได้ระหว่างการเดินทางกลับ

“ไอ้หมอมียาแกปวดกินเปล่าวะ” จันทร์จิราชักทนไม่ไหว

“มีเดี๋ยวนะจันทร์เราหยิบให้” ภัทรทราภรณ์ล้วงยาในกระเป๋าใบน้อยของเธอให้กับจันทร์จิรา

“แม่ไอ้แป๊ดขอฉันด้วยสิ” จากนั้นพวงทองก็ขอยาด้วยอีกคน

“ใครจะเอายาอีกบ้าง” ภัทรทราภรณ์ถามพวกเราและทุกคนก็พร้อมเพรียงกันยกมือยกเว้นธิติมากับกันตา

“เป็นไอ้ธิก็ดีแบบนี้เองเน๊อะออกกำลังกายบ่อยๆ ไม่ต้องมาบ่นปวดเมื่อยแบบพวกเรา” รตีดูเหมือนว่าจะสรรเสริญธิติมาจริงๆ จังๆ

“ก็พวกแกมัวแต่อ่านหนังสือไม่ยอมออกกำลังกายกันเองนี่หว่าจะมาว่าฉันได้ไง”

“เปล่าไม่ได้ว่าเว่ยแค่บอกว่าน่าอิจฉาเท่านั้นเองไอ้นี่คิดมาก” รตีบ่นอีกแล้ว

พวกเรารับยามาจากภัทรทราภรณ์และก็นั่งทาถูนวดที่ขาของพวกเราเอง ส่วนธิติมาก็หยิบเอาน้ำมันมวยออกมาและก็มานั่งนวดให้พวกเราราวกับว่าพวกเราไปขึ้นชกบนเวทีมวยที่หลังแปมา จนกลิ่นยานวดผสมกลิ่นน้ำมันมวยตลบอบอวลไปทั้งรถ เรียกได้ว่าแสบตาจนต้องเปิดกระจกหน้าต่างให้ระบายกลิ่นเมนทอลออกไปจากรถตู้บ้าง ไม่เช่นนั้นพวกเราก็คงกลายเป็นแปดเซียนชุบเมนทอลอบกรอบอยู่ในรถตู้คันนี้ไปแล้ว

....................

เมื่อลงมาจากภูกระดึงอีกไม่กี่วันพวกฉันก็ต้องไปส่งครูทัศนากลับบ้าน เรากลับบ้านด้วยกัน ในตอนแรกคิดว่าจะเอารถไปสองคันเพราะคนสิบเอ็ดคนกับค่าตั๋วคงจะไม่ไหว ไปรยากับกันตาก็อยากจะไปบ้านกับพวกเราด้วย

คราวนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากขับรถ เพราะยังคงเจ็บระบมกับการเดินทางขึ้นภูลงภู ไม่อยากจะบอกว่าแม้กระทั่งการลุกการนั่งเราเองก็เจ็บระบมไปหมดทั้งหน้าขา โชคดีที่ห้องน้ำบ้านเราเป็นชักโครก ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหากว่าเป็นห้องน้ำแบบนั่งยองๆ พวกเราจะเป็นอย่างไร

นั่งโอยลุกโอย ที่ใครๆ เคยบอกว่าเป็นอาการของคนแก่ๆ ตอนนี้พวกเราทุกคนเป็นกันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งธิติมากับกันตาที่ว่าอึดแล้วก็ยังคงมีเสียงบนออกมาจากปากของสองสาว

แถมพวกเรายังมีร่องรอยของรองเท้าที่กัดจนเป็นแผลเปิด เมื่อโดนน้ำเราแทบจะกระโดด แม้ว่าภัทรทราภรณ์จะเอาพลาสเตอร์ไปปิดให้พวกเราไว้แล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ตุ่มน้ำพองใสๆ มันหายไปได้

ภัทรทราภรณ์ทำหน้าที่เพื่อนที่ดีทำแผลให้กับพวกเราทุกคน ถึงแม้ว่าเธอจะเจ็บเนื้อปวดตัวไม่แพ้พวกเราเหมือนกัน

ครูทัศนาบอกว่าภัทรทราภรณ์กำลังจะมีสัญชาตญาณของหมอเกิดขึ้นในหัวใจของภัทรทราภรณ์แล้ว เพราะคนเป็นหมอจะไม่ยอมปล่อยให้ใครๆ ต้องมาเจ็บป่วยต่อหน้าต่อตาไปได้หรอก

ฉันเริ่มจะเห็นด้วยกับครูทัศนาเกี่ยวกับเรื่องของภัทรทราภรณ์ เพราะในตอนนี้ฉันเห็นแววตาของหมอ

ไม่รู้สิ ฉันว่าฉันเห็นอะไรสักอย่างในแววตาของภัทรทราภรณ์ ที่เธอส่งมันออกมา ราวกับว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ฉันเองยังค้นไม่พบ แววตาอ่อนโยนเมื่อเห็นเพื่อนๆ ร้องโอดโอย กริยาท่าทางที่แสดงความห่วงใยเพื่อนๆ เมื่อยามที่เธอทำแผลให้

ฉันเคยคิดว่าหากฉันเป็นภัทรทราภรณ์ ฉันจะทำได้อย่างที่เธอทำหรือเปล่า เพราะขนาดแค่ดูแลตัวของฉันเอง ในตอนนี้ฉันยังทำอะไรไม่ได้ มากไปกว่าเดินไปห้องน้ำ และหาอะไรเข้าปากตัวเองแก้หิวเท่านั้นเอง

พี่นิชาภัทรเสนอให้ลุงสมานคนขับรถคนเดิมไปส่งพวกเรากลับบ้าน เพราะพี่นิบอกว่าให้ลุงสมานกลับไปเยี่ยมบ้านไปด้วยในตัว ฉันก็พึ่งจะรู้ว่าลุงสมานเป็นคนจังหวัดเดียวกับฉัน

พี่นิเป็นคนใจดีที่พวกฉันเห็นว่าหากต้องเป็นเจ้านายของใครสักคน ฉันจะไม่ใช้พระเดชมั่วซั่ว ฉันจะใช้พระคุณมาปกครองลูกน้องแบบพี่นิบ้าง พี่นิถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งในสายตาของพวกเรา เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นเพื่อนของครูทัศนามาได้จนทุกวันนี้

เพราะพวกฉันคิดว่าคนอย่างครูทัศนาต้องมีเพื่อนที่ดีเหมือนครูเช่นกัน

มีคนเคยบอกว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คนบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” ฉันว่าคำๆ นี้ใช้กับคนทั่วไปได้จริงๆ

มีเพื่อนที่ดี มักจะดีกว่ามีทรัพย์เป็นร้อยล้าน และฉันเองก็มีเพื่อนที่ดี มีครูที่ดี มีแฟนที่ดี ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่เรามีคนรู้ใจและสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง

รถตู้ของลุงสมานพาเรากลับมาที่บ้านได้อย่างปลอดภัย ลุงสมานไม่ได้ขับรถเร็วอะไร เรารู้สึกว่าลุงสมานขับรถดีถึงดีมากๆ หลับมาในรถได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่ารถจะไปเกิดอุบัติเหตุกลางทางที่ไหนหรือไม่

“ไว้จะกลับวันไหนโทรบอกผมนะครับคุณๆ” ลุงสมานบอกพวกเราก่อนที่จะออกรถไปบ้านของตนเอง

“หลบมาบ้านลาว แสนสุขจาย” จันทร์จิราร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ที่เธอแต่งขึ้นเองเสียงสูงปรี๊ด

“อะไรของแกวะไอ้เจ้าหลบไปบ้านลาวที่ไหน” ธิติมาบ่นจันทร์จิราที่ร้องเพลงบ้าๆ บอๆ ของตัวเอง

“เอ๊าไอ้นี่ไม่รู้เหรอ ว่าแปลว่าไร” จันทร์จิราเล่นลิ้นตอบธิติมา

“ก็เออสิว่ะใครจะไปตรัสรู้เรื่องที่แกพูดได้ทุกเรื่องฉันไม่ใช่พหูสูตรนะเว่ยจะได้เข้าใจ” ธิติมาตอกกลัทันที่เช่นกัน

“ไอ้คำว่าหลบนี่แปลว่ากลับเว่ย เป็นภาษาใต้ไงเพื่อน” จันทร์จิราอธิบาย

“เออก็แล้วไป นึกว่าไปหลบบ้านลาวที่ไหน เพราะแถวนี้ไม่มีลาวที่จะให้แกไปหลบ ยกเว้นแกเองนั่นล่ะที่เป็นลาว อิอิ”

“วอนแล้วไหมเพื่อนฉันก็ไม่ใช่ลาวเว่ยฉันคนเมืองแต้ๆ หนาเปื้อน” จันทร์จิราเมื่อกลับมาถึงบ้านก็เล่นซาวนด์แทรกกับธิติมาอีกรอบ

“เออฮาฮู้เน้อว่าคิงเป๋นคนเมืองแต่เน๊อะเปื้อน เมืองอย่างคิงนะมันเมืองแปดเปื้อน”

“เปื้อนตรงไหนวะไอ้ธิ”

“ก็เปื้อนลาวไง ฮ่าๆๆๆ” ธิติมาพูดจบก็วิ่งไปหลบหลังครูทัศนาที่กำลังหิ้วกระเป๋าของครูเข้าบ้าน เพราะพวกเราแวะมาลงที่บ้านครูแทนที่จะให้ลุงสมานไปส่งเรากลับบ้าน

เนื่องจากว่าบ้านของพวกเราแต่ละคนมันช่างไปคนละทิศคนละทาง และบ้านของครูทัศนาก็ใกล้ที่สุดเราเห็นใจลุงสมานที่จะต้องขับไปส่งพวกเราตามบ้านเพราะเมื่อยามที่ลุงสมานตื่นขับรถ พวกเราก็หลับกันเป็นตาย หากจะให้ลุงสมานไปส่งพวกเราอีกก็จะเป็นการรบกวนลุงสมานมากเกินไป

หลังจากที่เราให้ลุงสมานแวะเติมน้ำมันจะเต็มรถแล้ว เราก็ปล่อยลุงสมานให้กลับไปเยี่ยมบ้านที่นานๆ ครั้งจะได้กลับ และพวกเราก็มารวมตัวกันที่บ้านของครูรอให้พ่อกับแม่มารับพวกเรากลับบ้านอีกทอดหนึ่ง

พวกเราผลัดกันโทรไปหาพ่อกับแม่ให้มารับ แต่พ่อกับแมของพวกเราบอกว่าจะแวะมารับพวกเราหลังเลิกงาน เพราะตอนนี้พวกท่านยังคงทำงานกันอยู่ เราก็เลยอาศัยบ้านของครูทัศนาเป็นที่พักพิงนั่งเล่นนอนเล่นกัน

จันทร์จิราเห็นเปียนโนของครูทัศนาตั้งวางไว้แถมยังมีผ้าสีขาวคลุมไว้อีกทอดหนึ่ง เธอก็เลยเอ่ยปากขอครูทัศนา

“ครูขาหนูเล่นเปียโนได้หรือเปล่าค่ะ”

“ได้สิจันทร์เล่นได้เลยครูอนุญาตเล่นได้เลยตามสบาย ตั้งแต่พ่อครูท่าไม่ค่อยแข็งแรงก็ไม่มีใครเล่นหรอกเปียนโนเครื่องนี้”

จากนั้นจันทร์จิราก็เปิดผ้าคลุมเปียนโนเครื่องเก่าของครูทัศนาและลงมือเล่นเปียนโนที่เงียบสงบอยู่ข้างบ้านมาเป็นเวลานาน ให้มีเสียงติ้งๆ ต่องๆ ก่อนที่จะลงมือบรรเลงเพลงอย่างพลิ้วไหว

นิ้วของจันทร์จิราที่เล่นไปบนคีย์เปียนโนบ่งบอกได้ว่าจันทร์จิราคุ้นเคยกับการเล่นมันมากมาย เสียงเพลงเริ่มทยอยออกมาจากปลายนิ้วของจันทร์จิราเรื่อยๆ จากหนึ่งเพลงเป็นสองเพลง และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนนับไม่ถ้วน พวกเรานั่งฟังเสียงเปียนโนของจันทร์จิราไม่รู้เบื่อ

ดนตรีช่วยให้เราผ่อนคลาย และคนเล่นดนตรีก็ดูเหมือนว่าจะมีอารมณ์คล้อยตามไปกับเสียงเพลงที่ตนเองเล่นด้วยเช่นกัน

แต่แล้วจู่ๆ จันทร์จิราก็เล่นเพลงน้ำเซาะทราย และชนกพรก็ร้องเพลงนั้นไปตามเสียงบรรเลงเพลงของจันทร์จิราตามไปด้วย

“วิ่งหารักมาอ่อนใจ เอื่อยไหลซบทรายกระเซ็น ชื่นฉ่ำเย็น อยากเป็นน้ำ เซาะทราย โลกของฉันมีแต่เธอเฝ้าฝันละเมอไม่วายอยากบอกทราย กับสายน้ำ จำนรรจา ว่ารัก ฉันสร้างจากทรายอาจสลาย เพียงในพริบตา”

เสียงของชนกพรเริ่มเคลือๆ เหมือนๆ กับจะปนเสียงสะอื้น

“คลื่นรัก ทยอยสาดมาเซาะอุรา น้ำตา กระเซ็น แอ่งน้ำนั้นปลาใฝ่ปองแต่รักของทรายจะเย็นไม่วายเว้น ต้องการน้ำ เซาะทราย โลกของฉันมีแต่เธอ เฝ้าฝันละเมอไม่วาย อยากบอกทราย กับสายน้ำ ในความจริง แอ่งน้ำนั้นปลาใฝ่ปองแต่รักของทรายจะเย็นไม่วายเว้น ต้องการน้ำ เซาะทราย โลกของฉันมีแต่เธอเฝ้าฝันละเมอไม่วายอยากบอกทราย กับสายน้ำ ในความจริง”
เพลงน้ำเซาะทราย : จำรัส เศวตาภรณ์


ชนกพรก็ไม่ต่างกับจันทร์จิราที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกตัวว่า ปราสาททรายที่ทั้งสองคนได้สร้างขึ้นมันกำลังจะพังทลายลงในอีกไม่ช้านี้ พังเพราะคลื่นแห่งรักของเธอทั้งสอง คลื่นรักที่ไม่สามารถทำให้ปราสาทแห่งความรักที่ช่วยกันก่อร่างสร้างขึ้นมานั้นต้องพังคลืนลงอย่างไม่เป็นท่า

แล้วอยู่ๆ น้ำตาของเพื่อนของเราทั้งสองก็ไหลอาบแก้ม ทั้งคนเล่นเปียนโนและคนร้องเพลง

โลกแห่งความเป็นจริงมันช่างโหดร้ายกับหัวใจของทั้งคู่

จันทร์จิรามองหน้าของชนกพรคนที่เธอรักผ่านม่านน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง ในวันนี้เธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกที่เธอไม่อาจจะรับได้ โลกที่มีแค่เพียงครอบครัว โลกที่ไม่มีชนกพรคนที่เธอรักมาเดินเคียงข้างกัน

จันทร์จิรายอมรับกับตนเองว่าเธอเองก็แอบอิจฉาพวงทองอยู่ลึกๆ ที่สามารถอยู่ในโลกแห่งความฝันและโลกแห่งความจริงไปพร้อมๆ กันได้

แต่สำหรับเธอและชนกพร เมื่อกลับมาสู่บ้านเกิด กลับมาสู่ความเป็นจริง ทั้งสองคนไม่สามารถที่จะปริปากบอกให้คนที่ครอบครัวของทั้คู่รู้ได้เลยว่าทั้งสองคนรักกันมาเพียงใด

ไม่สามารถบอกให้ใครๆ รับรู้ได้เลยว่าทั้งสองคนมีความสุขเพียงไหนที่ได้รักกัน และได้ยืนอยู่เคียงข้างกัน ในวันที่มีชนกพรยืนอยู่ข้างๆ เธอ ชนกพรร้องเพลงและเธอเล่นดนตรี จะเป็นอะไรก็ได้ เปียนโน กีตาร์ หรืออะไรก็ได้ ที่มีเธอและชนกพรร่วมร้องและบรรเลงไปพร้อมๆ กัน

เธอจะมีความสุขมากมายเกินกว่าที่ใครๆ จะเข้าใจ

จันทร์จิราละมือทั้งคู่ของเธอออกมาจากคีย์เปียนโนและโอบกอดชนพร ทั้งคู่โอบกอดกันโดยที่ชนกพรกอดจัทร์จิราที่นั่งซบหน้าร้องไห้อยู่กับอกของชนกพรที่ยืนปลอบประโลมคนรักของเธอด้วยการลูบผมยาวๆ ของจันทร์จิราไปมา

พวงทองหยิบกีต้าร์ของจันทร์จิราที่พกกลับมาด้วย ขึ้นมาดีดเพลงและร้องเพลงที่เธอคิดว่า มันเป็นเพลงที่สามารถทำให้เพื่อนๆ ทั้งสองของเธอมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นได้

“ในโลกแห่งความฝันและวันที่เป็นจริง...เรื่องราวทุกสิ่งต่างกันมากมาย..เธอจงเสาะหา พกพานำไป...มีรักเต็มหัวใจ กำลังใจเต็มทรวง…”

พวกเราทุกคนช่วยพวงทองร้องเพลงนี้ ไปพร้อมๆ กัน

“ถ้าเธอเหนื่อยนัก..หยุดพักเสียก่อน..ล้มตัวลงนอนแนบตักฉันนี่..จะหนาวจะร้อน จะคอยพัดวี..หลับฝันถึงสิ่งดี หลีกหนีสิ่งเลว..
แม้นเธอปวดร้าว ก็ขอเพียงสู้..ฉันยังยืนอยู่คู่เธอมิเแหนงหน่าย..หากเธออยากถามว่าฉันเป็นใคร..ฉันคือหัวใจศรัทธาของผองชน”

***เพลงถึงเพื่อน : พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์***


เราทั้งแปดคนกอดคอกันกลมเมื่อสิ้นเสียงร้องของพวงทอง ถึงแม้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เราแปดคนก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอไปไม่ใช่หรือ

“อย่าคิดมากนะไอ้เจ้าไอ้นก ถึงแกจะเป็นไงฉันก็รักพวกแกเสมอและเป็นกำลังใจให้แกตลอดไป ตราบใดที่แกยังคงสู่ต่อไป แกยังมีฉันและเพื่อนๆ เป็นกำลังใจให้พวกแกเสมอเพื่อน อย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้ เราต้องสร้างวัคซีนป้องกันโรคที่กำลังจะรุมเร้าเข้ามา เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเราเองเพื่อน” พวงทองหยุดเพื่อหายใจ เพราะตอนนี้น้ำตาของเธอก็กำลังจะไหลลงมาเช่นกัน

“ไอ้เจ้าแกจำได้ไหมว่าเมื่อวันที่แกพยายามให้ฉันเลิกกัญชาแกเคยบอกฉันว่าไง ตอนนี้ฉันก็จะบอกแกเหมือนกันว่าแกไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก แกยังมีฉัน ฉันยังเป็นเพื่อนของแก และฉันก็จะคอยดูแกกับไอ้นกจนกว่าจะถึงวันที่แกสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แกไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องเลิกคบกันนี่นาจริงไหม แกยังสามารถคบกันต่อไปได้เรื่อยๆ ต่อให้พ่อกับแม่ของพวกแกรู้ ถ้าแกยังเป็นลูกที่ดีของท่าน ท่านจะว่าอะไรแกได้ เพียงแค่พวกแกไม่แต่งงานท่านคงไม่ถึงขนาดตัดขาดพวกแกออกจากตระกูลหรอกน่าเพื่อนใจเย็นๆ ไว้” พวงทองที่นานๆ จะพูดอะไรกับใครเขาบ้าง บอกกับจันทร์จิราและชนกพร

ฉันว่าก็เป็นจริงอย่างที่พวงทองพูด ตราบใดที่ทั้งคู่ยังคงเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกที่ไหน พวกท่านก็คงไม่มาบังคับกะเกณฑ์พวกเราให้ทำตามใจของท่านได้หรอก

ก่อนที่น้ำตาจะท่วมบ้านของครูทัศนา จินตนาก็ใช้มุขเดิมๆ ที่ไม่มีวันเบื่อของตัวเองเพื่อลบคราบน้ำตาของเพื่อนๆ ให้ออกไปจากใบหน้า

“เฮ้ยพวกแกฉันหิวแล้ว”

“ไอ้นี่เค้ากำลังเศร้าๆ กันอยู่มาทำเป็นน้องผู้หิวโหยแถวนี้ไปได้” รตีก็คือรตีบ่นจินตนาได้ไม่เว้นวัน

“เอ๊าก่อนที่จะทำอะไรไม่เคยได้ยินคำพูดของนโปเลียนเหรอไอ้ตี “กองทัพเดินด้วยท้อง” เว่ย”

“ใช่สิอย่างแกนะต้องเอาท้องเดินแล้วไอ้จิน กินอย่างกับยัดกระสอบ แถมกะสอบแกก็ไม่มีก้นกระสอบด้วยสิ ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ที่ไหน ฉันว่าแกไปถ่ายพยาธิบ้างก็ดีเหมือนกันนะไอ้จิน ดูสิกินไปตั้งเยอะไม่เห็นจะอ้วน”

“เอ๊าคนเราก็ต้องมีดีกันบ้างสิวะไอ้ตีจะให้ฉันไม่มีอะไรดีกะเค้าบ้างเลยหรือไง”

“นี่นะเหรอที่เรียกว่าดี ฉันว่ามันเรียกว่าพวกตลกบริโภคต่างหาก ไม่ใช่ดีเดออะไรหรอกว่ะ”

“ถ้าไม่ดีแล้วแกมารักฉํนทำไมวะ”

“เอ๊ะไอ้นี่ใครบอกว่าฉันรักแก” รตีระเบิดเสียงลั่นบ้านครูทัศนา

“อ้าวเหรอแกไม่ได้รักฉันเหรอว๊า หลงเข้าใจผิดตั้งนาน เออก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้หาคนใหม่ได้ทันเพราะรู้ว่าแกไม่ได้รักฉันอย่างที่คิดไว้” จินตนาพูดจบก็หันไปหาไปรยา

“นี่ๆ กอล์ฟ เพื่อนกอล์ฟคนนั้นไงคนที่สวยๆ ที่ไปเรียนเมืองนอกชื่ออะไรนะที่บอกว่าเป็นดี้ด้วยคนที่ไอ้แป๊ดมันแกล้งเอาหมามุ่ยไปใส่เสื้อตอนไปรับน้องคราวที่แล้ว”

“ชื่อพิศลยาเรียกเค้าว่าปริมก็ได้ ว่าแต่ถามทำไมเหรอจิน”

“เปล่าจะถามว่ามีแฟนหรือยังเราจะไปจีบแล้วเด็กอินเตอร์น่ารักน่าหม่ำแบบนี้น่าสนใจนะกอล์ฟ” สิ้นเสียงของจินตนาหูของจินตนาก็โดนดึงด้วยมือของรตีทันที

“นี่ไหนๆ มาพูดกันให้รู้เรื่องสิไอ้จินเด็กอินเตอร์ที่ไหนบอกมาเดี๋ยวนี้นะ” รตีกลายร่างเป็นแม่เสือขึ้นมาในทันใด

“เปล๊า เปล่า เด็กอินตงอินเตอร์ที่ไหน ไม่มี๊ไม่มี” จินตนาปฏิเสธเสียงหลง

“ไม่มีได้ไงเมื่อกี้ฉันได้ยินเต็มสองรูหู” รตียังไม่ยอมปล่อยใบหูของจินตนาไปจากมือของเธอ และตอนนี้ใบหูนั้นก็แดงจนแทบจะเขียวคล้ำแล้ว

“โอ๊ยเจ็บๆ นะไอ้ตี ไม่มีจริงๆ นะจ๊ะที่รักจ๋า ก็ไหนว่าไม่รักเค้าแล้วมาดึงหูเค้าทำไมล่ะจ๊ะ เอ๋ หรือว่ารักเค้าแต่ไม่กล้าบอกกันจ๊ะที่รัก” จินตนาเริ่มแกล้งรตีที่ตอนนี้เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองพลาดไปเต็มๆ ที่แสดงอาการหึงออกมาจนออกนอกหน้า

“ใครว่าล่ะ ใครไปรักแกไอ้จิน คนสวยๆ อย่างฉันไม่มีทางไปชอบแกได้ร๊อก ระวังเถอะจะโดนเด็กอินเตอร์หลอกแล้วจะหาว่าสวยไม่เตือน”

“แหมคนสวยจ๋าถ้าลงทุนเล่นกันซะขนาดนี้ก็ช่วงลงทุนอีกสักนิดจะเป็นไรมี”

“ให้ฉันลงทุนอะไรยะแม่ชูชก”

“ก็ลงทุนเป็นอมิตาดาหวานใจที่แสนดีชูชกคนนี้ไง”

พอสิ้นคำพูดของจินตนาน้ำตาที่เคยไหลของจันทร์จิราและชนกพรหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้ๆ กันตอนนี้ก็คือว่า นอกจากจินตนาจะกินเก่งแล้วยังเจ้าคารมณ์กับเขาเหมือนกัน

และฉันก็รับรู้ว่าจินตนายอมลงทุนให้ตนเองโดนรตีทำโทษเพียงเพราะเธอต้องการเห็นรอยยิ้มของเพื่อนๆ แทนน้ำตาที่หยดลงมาเมื่อสักครู่ ให้หายไปจากใบหน้าของเพื่อนๆ ได้ใรพริบตาเช่นกัน

ฉันยังคิดว่าถ้าฉันเป็นจินตนาจะยอมลงทุนเจ็บตัวแบบที่จินตนาทำหรือไม่ เพราะมือของภัทรทราภรณ์ก็ไม่ได้เบาๆ หากฉันโดนดึงหูแบบนั้น หูของฉันคงขาดไปแล้ว และอีกอย่างซึ่งเป็นเรื่องสำคัญด้วยสิเพราะแม่เสืออย่างรตีกับแม่เสืออย่างภัทรทราภรณ์ มีความดุไม่ได้แตกต่างกันแต่ประการใด

ตามสบายนะเพื่อนฉันไม่กล้างลงทุนแบบที่เพื่อนทำหรอก เดี๋ยวหูหลุดไปไม่สวย อรุณวิลัยไม่เอาด้วยหรอก กลั๊วกลัว จริงๆ นะ

..... จบบทที่ ๒๖ ....




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2551    
Last Update : 28 มิถุนายน 2551 16:05:14 น.
Counter : 340 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๕

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๕

การมาเที่ยวอยุธยาครั้งนี้ไม่ใช่การมาเที่ยวครั้งแรกของพวกเรา แต่ถึงแม้ว่าจะมาครั้งที่สองเราก็ยังคงสนุกเหมือนเดิม

พี่นิพาเราไปไหว้หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงเป็นแห่งแรก พี่นิกับพี่ตาบอกเราว่าวัดแห่งนี้มีประวัติของ พระนางสร้อยดอกหมากกับเจ้าชายสายน้ำผึ้ง ตำนานเล่าว่าพระนางสร้อยดอกหมากทรงเสียพระทัยที่พระสวามีไม่รักและกลั้นใจตายเพราะความเข้าใจผิดในตัวพระสวามี ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีการไถ่ถามหรือให้เจ้าชายสายน้ำผึ้งอธิบายอะไรเลย

เมื่อเจ้าชายสายน้ำผึ้งทรงเห็นว่าพระนางทรงสิ้นพระชนม์ไปต่อหน้าต่อตา ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงโปรดให้อัญเชิญพระศพของพระนางสร้อยดอกหมากมาพระราชทานเพลิงพระศพที่แหลมบางกะจะ ทรงสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ว่า "วัดพระนางเชิญ" หรือ "วัดแพนงเชิง" หรือ "วัดพนัญเชิญ"

“เวลาที่คนเราอยู่ด้วยกันนะรู้ไหมว่ามันต้องการความเข้าใจกันมากแค่ไหน” พี่นิชาภัทรถามฉันที่เดินฟังเรื่องเล่าของพระนางสร้อยดอกหมากกับเจ้าชายสายน้ำผึ้ง

“ก็คงต้องพยายยามทำความเข้าใจกันให้มากที่สุดล่ะค่ะพี่นิ” ฉันตอบ

“ใช่ว่าแค่ความพยายามจะเพียงพอนะน้องแป๊ด ในความรักมันมีอะไรแฝงไว้อีกหลายๆ อย่าง พี่เองก็ไม่กล้าที่จะสอนหรือเปรียบเทียบอะไรให้น้องแป๊ดได้ฟังมากมายนัก เพราะตัวพี่ก็เรียกว่าเกือบจะตายเพราะความรักมาเหมือนกัน เพียงแต่พี่มีเพื่อนดี มีคนที่ดีๆ คอยดูแลเยียวยา กว่าพี่จะรอดพ้นมาได้ก็แทบตายไปเหมือนกัน”

จากนั้นพี่นิยังบอกพวกเราเป็นแง่คิดอีกว่าหากพระนางสร้อยดอกหมากทรงเข้าพระทัยในพระสวามีมากกว่านี้ก็คงไม่กลั้นใจตายไปโดยที่ไม่ยอมฟังความจริง ดังนั้นให้พวกเราจงตระหนักกันไว้ว่า การที่จะครองคู่กับใครสักคนต้องมีทั้งความรักและความเข้าใจกันเป็นพื้นฐานให้มากที่สุด

พี่นิพาพวกเราไปในโบสถ์ทำบุญห่มผ้าให้กับพระประธาน ฉันกับภัทรทราภรณ์ทำบุญบริจาคค่าผ้าห่มองค์พระแล้วก็รับผ้าผืนสีเหลืองๆ ที่วางบนพานมาถือไว้ จากนั้นก็มีคนนำสวดให้พวกเราเพื่อที่จะทำการถวายผ้าห่มองค์พระ

ฉันกับภัทรทราภรณ์กำลังจะขยับตัวลุกขึ้นก็มีเสียงเรียว่า

“หนูๆ อย่างพึ่งไปมารับศีลก่อน”

จากนั้นคนที่รับผ้าของเราไปก็โยนผ้าขึ้นไปให้ผู้ชายที่ยืนรอรับผ้าของเราอยู่ด้านบนองค์พระ และจัดการห่ทผ้าให้กับองค์พระองค์แล้วจึงโยนชายผ้าลงมาให้เรา

“เอาคลุมทั้งตัวเลยนะ” ชายแก่ที่เรียกฉันกับภัทรทราภรณ์ไว้เอ่ยบอก

ฉันกับภัทรทราภรณ์ทำตามอย่างว่าง่าย มีพิธีกรรมที่ฉันกับภัทรทราภรณ์ยังไม่รู้อีกมากมาย แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ฉันนึกถึงคำพูดที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”

ใช่ว่าสิ่งที่ทำมันจะได้ดีนี่เน๊อะจริงไหม ก็แค่ทำให้เกิดความเป็นสิริมลคลกับตัวเอง จะให้หลิวตากี่ข้างก็ไม่ว่ากัน

พี่นิให้พวกเราขึ้นรถและพาไปวัดใหญ่ชัยมงคลที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก เพียงแค่ขับข้ามทางรถไฟก็ถึงแล้ว วัดนี้มีเจดีย์องค์โตพี่นิบอกว่าเจดีย์นี้มีการสร้างแบบมาจากเจดีย์ของทวาราวดี พวกเราปีนขึ้นไปข้างบนเจดีย์กลิ่นฉุนของขี้ค้างคาวโชยมาจนพกกเราต้องยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเอง

ฉันก็พึ่งจะรู้วาข้างบนของเจดีย์มีระเบียงให้พวกเราได้เดินดูรอบๆ ได้ พวกเรายืนมองออกไปไกลๆ เห็นเมืองอยุธยาในมุมสูงได้อย่างชัดเจน และบนระเบียงก็มีกลิ่นที่สดชื่นกว่าบริเวณบันไดทางขึ้นมากมายนัก

จันทร์จิราคนเดิมที่ทั้งกลัวทั้งเกลียดความสูง ยืนออกห่างริมระเบียง และเมื่อยามที่ต้องเดินขึ้นหรือเดินลงบันไดที่สูงชันก็จะมีชนกพรคอยกันจันทร์จิราไว้ ขาของจันทร์จิราทั้งสองข้างสั่นไปหมด แค่ก้าวขายังไม่มีแรงจะก้าว

“ไอ้เจ้าเป็นไงบ้างแก อย่าไปมองมันสิแกมองไปไกลๆ แล้วเกาะบ่าฉันไว้” ฉันได้ยินเสียงของชนกพรบอกกับจันทร์จิรา ดังชัดเจน ความห่วงหาอาทรของทั้งสองคนนี้ยังคงมีให้กันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ฉันเห็นจันทร์จิราเกาะบ่าของชนกพรแน่นไม่ยอมปล่อย แต่ครั้งเมื่อลงมาถึงพื้นได้จันทร์จิราก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เดินนำเราไปดูพระพุทธรูปที่ตั้งเรียงรายอยู่ที่ระเบียงรายรอบๆ องค์พระเจดีย์ แถมยังบอกพวกเราอีกว่า

“พระพวกนี้เค้าปั้นด้วยมือทั้งนั้นเลยเน๊อะแก”

“อืมคงใช่ ทำไมเหรอ”

“ก็เพราะสมันก่อนคงไม่มีเครื่องมือที่จะมาทำให้ประแต่ละองค์ออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันสิแก ดูสิแต่ละองค์พระพักตร์ไม่เหมือนกันเลย บางองค์ก็ยาว บางองค์ก็สั้น บางองค์ก็ป้อมๆ”

ฉันมองพระพุทธรูปและคิดตามจันทร์จิราไปด้วย และเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่จันทร์จิราสังเกตคงจะเป็นเรื่องจริง

จากนั้นเราก็ไปไหว้พระประธานในโบสถ์ ออกมาตักน้ำมันใส่ตะเกียงถวายพระตามวันเกิดของพวกเรา และไม่ลืมที่จะตีฆ้องอันใหญ่ เค้าว่ากันว่าเป็นการบอกให้สวรรค์รับรู้ว่าเราได้มาทำบุญ ณ ที่แห่งนี้แล้ว ราวกับว่าเป็นการตีฆ้องร้องป่าวให้สวรรค์ได้รับรู้ และยังทำบุญโยนเงินลงไปบนรอยพระพุทธบาทด้านหน้าโบสถ์อีกด้วย

ก่อนออกจากวัดใหญ่พี่นิพาเราไปกราบพระนอนบริเวณก่อนถึงประตูทางออก ฉันสังเกตอีกว่าบริเวณนี้เมื่อสมัยโบราณคงจะสวยงามมากๆ ถึงแม้ว่าก่รบุรณะจะเป็นแบบที่คงเหลือเค้าโครเดิมไว้ ไม่สร้างให้ครบทั้งหมดก็ตามที แต่ฉันว่าการทำแบบนี้ก็ทำให้คนสามารถที่จะจินตนาการถึงเรื่องราวสมัยเมื่อสี้ห้าร้อยปีก่อนได้โดยที่ไม่ต้องเห็นรูปร่างอันแท้จริงของวันเหล่านี้ก็ได้

“อิฐเก่าๆ เพียงหนึ่งก้อน สามารถบรรยายแทนคำร้อยล้านคำ”

ออกจากวัดใหญ่ชัยมงคลพวกเราก็เดินทางต่อไปที่วิหารมงคลบพิตร ในนั้นประดิษฐานพระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดและเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญอย่างยิ่งของจังหวัดอยุธยา ฉันเห็นรูปที่ถ่ายไว้เมื่อครั้งสมัยรัชการที่ห้า บริเวณนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากวัดเก่าๆ ที่เห็นได้โดยทั่วไปในอยุธยา

ฉันเริ่มเปรียบเทียบสิ่งโบราณทั้งหมดที่ได้เห็นและเริ่มเดินดูบริเวณรอบๆ วิหารมงคลบพิตร ราวกับว่าพยายามเอาส่วนที่ซ่อนเร้นห่างหายไปจากการเวลาทั้งหมดที่เป็นจิกซอมาต่อเรียงกันให้เป็นภาพขึ้นมา พระมงคลบพิตรกับหลวงพ่อโตวันพนัญเชิง

ฉันว่าท่านทั้งสององค์ใหญ่โตไม่แพ้กัน และสิ่งหนึ่งที่ฉันรับรู้ได้ก็คือ จิตศรัทธาของพุธศาสนิกชนที่มีต่อองค์พระทั้งสององค์ ไม่ได้แตกต่างกัน หากไม่มีใครสนใจที่จะบูรณะองค์ท่าน ท่านก็คงจะเป็นเพียงพระพุธรูปองค์โตที่ตากแดดตากฝนและมีต้นไม้ใหญ่เกาะกุมไว้ให้เรามองท่านไม่เห็น

แต่สิ่งที่ยังคงทำให้พวกฉันได้เห็นองค์ท่านสมบูรณ์แบบและเป็นที่เคารพสักการะบูชาของชนรุ่นหลังอย่างพวกฉันได้ก็คือ “แรงศรัทธา” ที่คนรุ่นปู่ย่าของเรามีต่อพระพุทธศาสนานั่นเอง

เมื่อเราไหว้พระขอพรเสร็จก็ออกเดินทางต่อไปวัดหน้าพระเมรุ พี่ตาบอกว่าวัดนี้เป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกพม่าทำลาย เพราะพม่าใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการและวัดนี้ยังเป็นเป็นวัดเดียวอีกเช่นกันที่พระประธานเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ที่งดงาม

“สวยจังเลยนะพวกแก” พวงทองพูดเหมือนเพ้อเมื่อพวกเราเดินเข้ามาในโบสถ์วัดหน้าพระเมรุ

“ใช่สวยแล้วก็สวยมากๆ ด้วย นึกถึงที่เค้าเขียนไว้ในเรื่องสังข์ทองที่ว่า “พระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา” มันเป็นแบบนี้นี่เอง มิน่ารจนาถึงเสี่ยงพวงมาลัยเลือกพระสังข์เป็นคู่” ไปรยาเสริมคำพูดของพวงทอง

“แต่ถ้าฉันเป็นรจนาฉันว่าพระสังข์ต้องผอมแหง๋มๆ เลยกอล์ฟ” ฉันที่ยืนฟังอยู่ก็บอกกันไปรยา

“ทำไมล่ะแป๊ด”

“ก็เพราะฉันจะเชือดเนื้อพระสังข์ไปขายเวลาไม่มีอะไรกินนะสิกอล์ฟ ถ้าเป็นทองขนาดนี้ ไม่รอดแน่ๆ เพื่อยเอ๊ย”

“บ้าตัดเนื้อแฟนตัวเองไปขายเอาเงินมาซื้อข้าวนี่นะ ถ้าเราแป็นแบบพระสังข์แป๊ดก็จะมาตัดเนื้อเราไปขายเอาเงินมาซื้อข้าวว่างั้น” ภัทรทราภรณ์ต่อว่าฉัน

“ใช่สิกิ่งไม่อย่างนั้นก็อดตายกันทั้งคู่ ถ้าเราเป็นพระสังข์เราจะยอมให้รจนาเอาเนื้อเราไปขายแล้วแลกข้าวมากิน กิ่งไม่เคยได้ยินหรอกเหรอ “อดข้าวดอกเจ้าชีวาวาย มิตายดอกที่อดสิเน่หา” ว่าแต่เนื้อที่พุงของกิ่งเราเอาไปขายได้ปะท่าจะได้หลายตัง นะๆ ที่รัก อิอิ”

“ประสาทคนเราคิดไปได้” ภัทรทราภรณ์บ่นฉันแล้วก็เดินไปทำบุญใส่ลงไปในตู้สำหรับทำบุญและก็เดินลงไปรอที่รถโดยที่ไม่ยอมพูดกับฉันอีกเลย

ออกจากวัดพี่นิก็ถามพวกเราว่าอยากกินกุ้งแม่น้ำตัวโตๆ หรือเปล่า พวกเราตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยาก” จากนั้นพี่นิก็พาเราไปตลาดขายกุ้งแม่น้ำของ อตก. ให้พวกเราได้กินกุ้งแม่น้ำหรือกุ้งเลี้ยงก็ไม่รู้ได้เพราะกุ้งเหล่านั้นตัวโตๆ ราคาไม่แพง

“เฮ้ยนั่นๆๆ พวกแก ตัวโตๆ ทั้งนั้นเลย น่าอร่อย เอาอันนี้พี่สองโล” จินตนาที่เห็นกุ้งสุดๆ ว่ายอยู่ในกะบะที่มีน้ำผสมออกซิเจนก็วิ่งปรี่เข้าไปราวกับว่ากุ้งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เธอตามหามาตลอดชีวิตที่เกิดมา

“ไอ้บ้าจินสงสารมันยังเป็นๆ อยู่เลยแกทำบาปอีกแล้ว” รตีที่เป็นท่าทางของจินตนาจะสั่งกุ้งไม่หยุดและจะมากขึ้นเรื่อยๆ บ่นออกมา

จินตนาสั่งกุ้งเผาตัวโต หอยแครงเผา ห่อหมกปลา ข้าวผัดกุ้ง กุ้งพล่า กุ้งเต้น และอีกหลายๆ อย่างจนเต็มโต๊ะไปหมด พวกเราแทบไม่ได้สั่งอะไรเพราะเมื่อเห็นรายการอาหารที่จินตนาสั่งเราก็แทบไม่อยากสั่งอะไรอีกต่อไปแล้ว

“นี่ไอ้จินแกเป็นชูชกกลับชาติมาเกิดหรือไง” รตีที่เห็นจินตนาสั่งอาหารแบบไม่บันยะบันยั้งเอาไว้บ้าก็บ่นอีกรอบ

“เอาน่าตีฉันอยากกิน แล้วถ้าฉันกินไม่หมดก็พวกแกไงที่ต้องรับผิดชอบแทนฉัน อิอิ”

เมื่ออาหารมาวางไว้ตรงหน้า จะด้วยความที่น่ากินหรือว่าความหิวของพวกเราก็ไม่รู้ได้ กุ้งที่ว่าเยอะ กับข้าวที่ว่ามากมายก่ายกองหมดไปภายในพริบตา ราวกับว่ามีฝูงอะไรสักอย่างหอบมาโฉบอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นเพียง ซากเปลือกกุ้งและเปลือกหอยเท่านั้น

กว่าจะออกมาจากตลาดกุ้งอยุธยาได้ เราก็แทบจะคลานเดิน

จากนั้นเราก็เดินทางไปไหว้พระต่อที่วัดพุทไธสวรรค์ พี่ตาบอกเราว่าวัดนี้เป็นวัดที่ พระเจ้าอู่ทอง ทรงพักไพร่พลไว้ถึง ๓ ปี ก่อนที่จะสร้างอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาให้เป็นราชธานี จากนั้นก็ไปวัดกษัตราธิราชวรวิหาร

และพี่นิก็พาพวกเราไปวัดท่าการ้องที่อยู่ไม่ห่างกันมากนัก พวกเรานมัสการพระประธานในโบสถ์ที่มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า “หลวงพ่อยิ้ม” และให้พวกเราเข้าห้องน้ำที่พี่นิบอกว่าบรรยากาศดีที่สุดเท่าที่พี่นิเคยเข้าห้องน้ำในวัดมา ยกเว้นในโรงแรมหรูๆ ระดับห้าดาวในเมืองกรุง

จากนั้นเราก็ไปวัดไชยวัฒนารามเพียงข้ามถนนมาอีกฝั่งไม่ไกลกันมากนัก วัดนี้มีโบราณสถานที่สวยงาม เป็นที่ถูกใจของพวงทองเป็นอย่างมาก เพราะเธอขอเวลาร่างภาพอยู่ที่วัดนี้นานมาก จนพวกเราต้องไปลากตัวพวงทองออกมาและขึ้นรถไปไหวพระอีกวัดซึ่งพี่นิบอกว่าเป็นวัดสุดท้ายแล้ว

วัดสมณโกฐารามวัดนี้มีโบสถ์มหาอุตมีเพียงประตูทางเข้า กับหน้าต่างบานตรงข้ามกับพระประธานเท่านั้น แถมวัดนี้ยังเป็นที่ทรงผนวชของพระเจ้าตาก พระมหากษัตริย์พระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี

อิ่มบุญกันเรียบร้อยก็ต้องตามด้วยการอิ่มท้อง พี่นิพาเรากลับมากรุงเทพและพาเราไปปล่อยไว้ที่เยาวราชให้เดินหาของกินกันตามรายทาง เรียกว่าใครใคร่กินสิ่งใดก็สั่งและนั่งกินที่ร้านนั้นเลย เรียกว่ากว่าจะกลับมาถึงบ้านพวกเราก็อิ่มทั้งบุญอิ่มทั้งท้อง อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็แยกกันไปนอนห้องใครห้องมัน หลับเป็นตายราวกับรถหมดน้ำมัน

……………..

และแล้วในวันรุ่งขึ้นจันทร์จิราก็มีโปรแกรมใหม่ๆ ขึ้นมาในหัวสมอง เธอพยายามเลียบๆ เคียงๆ ครูทัศนาว่า

“ครูขาครูไปภูกระดึงไหวปะคะ”

“ไหวสิอยากไปหรือจันทร์” ครูทัศนาถามกลับจันทร์จิราบ้าง

“ค่ะครูหนูอยากไปภูกระดึง” จันทร์จิราตอบท่าทางจริงจัง

“เค้าว่ากันว่าภูกระดึงสวยมากเลยครู ไปตอนนี้ต้องมีอะไรสวยๆ ให้เราดูแน่ๆ เลย ใครอยากไปบ้างยกมือขึ้น” จันทร์จิราเริ่มซาวเสียง

และทุกคนก็ยกมือกันสลอน และแถมท้ายว่าอยากไปมากๆ เพราะการเดินทางขึ้นภูกระดึงเป็นสิ่งที่ท้าทายวัยรุ่นอย่างพวกเรา

ครูทัศนาโทรไปหาพี่นิถามถึงเรื่องการเดินทาง

“นิเราเองทัศเราจะโทรมาถามนิว่าไปภูกระดึงไปยังไง” ทัศนากรอกเสียงผ่านสายโทรศัพท์สอบถามเพื่อนรัก

“อยากไปเหรอจะไปวันไหนล่ะทัศ”

“ก็เด็กๆ บอกว่าจะไปวันพรุ่งนี้หรือไม่วันมะรืน”

“ได้ๆๆ งั้นทัศไม่ต้องไปไหนเดี๋ยวเราพาไปเอง จะจองบ้านพักไว้ให้ เอารถของเราไป อีกอย่างเราก็อยากไปเที่ยวเหมือนกันไม่ได้ไปนานแล้วด้วย” นิชาภัทรตบปากรับคำทัศนาทันทีเช่นกันแถมจะเป็นธุระจัดหาที่พักให้ทัศนาอีกด้วย

“จะดีเหรอนิเราทำนิเสียงานเสียการหมด” ทัศนารู้สึกเกรงใจเพื่อนเก่าอยู่เหมือนกัน เพราะนิชาภัทรมักจะใจดีกับเพื่อนๆ อย่างเธอเสมอต้นเสมอปลาย

“ไม่เป็นไรหรอกเรื่องเที่ยวกับเราสบายอยู่แล้ว งั้นเดี๋ยวตอนเย็นเราโทรไปบอกว่าจะไปได้หรือเปล่า ให้เด็กๆ จัดกระเป๋าหยูกยาไปให้เรียบร้อยเลยนะเผื่อว่าได้ที่พักเราจะได้ไปรับคืนนี้เลย หรือถ้าไม่ได้ก็ไปกันวันพรุ่งนี้ เดินทางกลางคืนสะดวกกว่าไปเช้าที่โน่นแล้วก็ขึ้นภูกันเลย” นิชาภัทรอธิบายยาวเหยีดทัศนารับฟังและเมื่อวางสายเธอก็ส่งผ่านข้อความของนิชาภัทรกับเหล่าลูกศิษย์ของเธอ

“เตรียมจัดกระเป๋าได้ ถ้าพี่นิจองบ้านพักได้เราจะเดินทางกันเย็นนี้” สิ้นเสียงของทัศนาก็มีเสียง

“เฮ” ดังลั่นบ้าน เพราะพวกเราดีใจที่จะได้ไปเที่ยว

จากนั้นทุกคนก็เตรียบจัดของลงกระเป๋าทั้งยังคำนวณว่าจะเอาเสื้อผ้าไปกี่ชุด เอาขนมนมเนยไปเท่าไหร่รองเท้าผ้าใบถูกงัดออกมาใช้อีกครั้ง

“ไอ้ตีฉันของร้องเลยนะไอ้รองเท้าสวยๆ ของแกงานนี้เลิกใช้ได้ เดินอย่างเดียวเป็นสิบกิโล แกตายแน่ๆ” จินตนาบอกกับรตีที่กำลังจะหยิบรองเท้าแฟชั่นคู่สวยของเธอเก็บไว้ที่ชั้นวาง

“ใครจะบ้าเอารองเท้าพวกนี้ไปเดินขึ้นเขายะแม่คุณ ถึงฉันจะรักสวยรักงามก็ไม่ได้บ้านะเว่ยที่จะใส่ส้นสูงไปปีนภู” รตีบ่นอุบเพราะเธอไม่คิดว่าจินตนาจะคิดว่าเธองี่เง่าขนาดนั้น

“เออขอให้จริงเถอะ เดี๋ยวจะเหมือนกันตอนที่ไปเขาวัง เล่นเราฉันเท้าพองเชียว” พวงทองบ่นไปก็เก็บเสื้อผ้าลงไปในเป้

ส่วนทางด้านภัทรทราภรณ์เธอเตรียมหยูกยาไปเต็มกระเป๋าใบน้อย พลาสเตอร์ยา แอลกอฮอล์สำลี ยานวดหลอดใหญ่ ยาดม ยาหม่องจนเยอะไปหมด ฉันยังแอบคิดว่าเธอจะไปเปิดร้านขายยาบนภูกระดึง

“กิ่งเอาไปทำไมเยอะแยะหิ้วขึ้นไปไหวเหรอ”

“ไม่ไหวก็ต้องไหวแป๊ด เกิดเป็นอะไรขึ้นมามันไม่คุ้ม”

“เหรอแล้วกับไอ้เป้ใบนี้คิดว่าจะมีปัญญาแบกเดินไปตั้งสิบกิโลแม้วเหรอกิ่งแค่เขาวังกิ่งยังหอบแฮกๆ นี่มันไกลกว่ากันเยอะเลยนะ”

“เออจริงสิงั้นเอาออกอีกหน่อยพอใช้เวลาจำเป็นเท่านั้นก็พอเน๊อะ เราลืมไปเลยว่าเดินไกลมากๆ ขอบใจนะจ๊ะที่รักที่คอยเตือนเค้า” ภัทรทราภรณ์หยิกแก้มฉันหนึ่งที

จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พี่นิบอกกับครูทัศนาว่าเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้วให้พวกเราเตรียของใส่กระเป๋าเดินทางได้ พวกเราเริ่มร้อนรนเพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เดินทาง

และในตอนมืดๆ รถตู้ก็แวะมารับเราเพื่อออกเดินทางไปภูกระดึง ให้เราได้พิชิตภูกันในเช้าวันต่อไป

.........................................

หลังจากพวกเราหลับๆ ตื่นๆ บนรถตู้ของพี่นิมาตลอดทั้งคืน ลุงสมานก็พาพวกเราทั้งสิบสี่คนมาถึงที่ผานกเค้าในตอนเช้า เพื่อที่จะหาอาหารปูพื้นลงไปในท้อง และเพื่อให้พวกเราก็จัดการธุระส่วนตัวกันจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะขึ้นรถของลุงสนานคันเดินมุ่งหน้าไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ. เลย

พี่นิจองบ้านพักบนนั้นไว้ได้ เพราะวันที่เราไปคนไม่ค่อยจะเยอะมาก หลังจากที่เราเสร็จเรื่องที่พักก็ติดต่อลูกหาบขนสัมภาระ

“ลุงหมานไม่ต้องขึ้นไปหรอกค่ะ นิจองที่พักไว้ให้ลุงแล้วพอนิลงมานิจะโทรไปตามลุงก็แล้วกัน พวกนิขึ้นไปสี่วันสามคืนกลับลงมาก็คงวันที่สี่ตอนมืดๆ นิว่าถ้าลุงปีนขึ้นไปด้วยคงขับรถกลับไม่ไหวแน่ๆ” นิชาภัทรสั่งลุงสมานคนขับรถและนัดแนะกันเป็นอย่างดี พร้อมทั้งยื่นนามบัตรของที่พักที่ลุงสมานจะไปพักผ่อนเพื่อรอรับเราในอีกสี่วันข้างหน้าไว้ด้วย

“อ่อลุงหมานอย่าไปกินเหล้าเมาจนขับรถไม่ได้ล่ะถ้านิรู้นิเอาตายเลยนะจะบอกให้” นิชาภัทรสัมทับลุงสมานอีกครั้ง

“ครับคุณนิ” ลุงสนานทำหน้ายิ้มๆ รับคำอย่างว่าง่ายและช่วยเราขนของไปให้ลูกหาบเพื่อจัดแจงให้พี่ลูกหาบขนขึ้นไปยังภูกระดึง เพื่อพิชิตใจตัวเองและพิสูจณ์ใจคนใกล้ตัว

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราก็ออกเดินทาง ในเวลาประมาณแปดโมงเช้า ทางที่เดินขึ้นภูกระดึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราและลูกหาบ บรรยากาศค่อนข้างคึกคักทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดยาวๆ หรือเดือนนี้เป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยวของภูกระดึงฉันก็ไม่อาจรู้ได้

หลังจากที่เราเดินขึ้นเขาไปได้สักประมาณหนึ่งกิโลเมตร เราก็เดินทางมาถึง “ซำแฮก” จุดแวะพักจุดแรกที่มีร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม พวกเราตัดสินใจที่จะแวะพักและดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำเพราะแม้จะเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ แต่ก็ทำเอาหอบแฮกๆ เหมือนชื่อซำแฮกกันเป็นทิวแถว

“นี่พวกแกฉันไม่ไหวแล้วพักที่นี่ก่อนเถอะ” จินตนาที่เริ่มอ่อนล้าไปทั้งตัวบ่นขึ้นมาเพราะเธอเริ่มรู้สึกว่าขาและแขนไม่สามารถสั่งการอะไรได้

“เอาๆ เด็กๆ พักที่นี่ก่อน” นิชาภัทรตะโกนบอกธิติมาและกันตาที่เดินจ้ำอ้าวไปกันสองคน ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะไม่มีอาการหอบหรือเหนื่อยอะไรเลย แข็งแรงจริงๆ

“พี่ตาขาทำไมที่นี่เค้าเรียกว่าซำแฮกล่ะค่ะพี่หรือว่าเป็นซำที่ทำให้คนเราหอบแฮกๆ ไปตลอดทาง” รตีถามอนันตราระหว่างที่รอจินตนาไปเข้าห้องน้ำ

พี่นิกับพี่ตาก็เลยอธิบายว่าคำว่า “ซำ” ที่เราได้ยินกันทั่วไปนั้นมาจากคำว่า “ซับ” หรือน้ำผุด ในบริเวณที่พวกเรานั่งอยู่นี้เค้าเรียกว่าซำแฮกในภาษาท้องถิ่นแปลว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ผีตาแฮก” หรือเจ้าป่าเจ้าเขา ปกป้องคุ้มครองดูแลบริเวณรี้อยู่ ไม่ได้หมายความถึงอาการหอบแฮกๆ ของพวกเราแต่อย่างใด

พวกเราพยักหน้าเข้าใจคำอธิบายของพี่นิเป็นอย่างดี

เราเดินอีกประมาณเจ็ดร้อยเมตรก็มาถึงซำบอน ซำบอนเป็นพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยบอนเต็มไปทั้งสองข้างทาง ไม่ว่าจะถึงซำไหน จินตนาก็จะแวะพักทุกซำ เพราะเธอบอกว่าเธอหิวน้ำ ต้องการอาหารเพื่อมาเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายเธอที่ต้องสูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาไม่หยุด

“นี่พวกแกเห็นแล้วฉันอยากทำแกงบอนจังเลยว่ะ” จินตนาบอกเพราะเธอเห็นต้นบอนอวบๆ แล้วถึงกับน้ำลายสอ

“ไอ้จินเอ๊ย พอพูดเรื่องกินแรงแกโผล่มาเชียวนะ” รตีที่เดินอยู่ข้างๆ จินตนาแขวะขึ้นมาเพราะก่อนหน้านี้จินตนาทำท่าราวกับจะเป็นจะตาย

“แน่นอนสิยะฉันน่ะเกิดมาเพื่อกินเว่ยไอ้ตี”

“เออกินเข้าไปเถอะกินจนเดินไม่ไหวไม่ต้องให้ฉันมาฉุดแกเดินขึ้นภูก็แล้วกันเช๊อะ” รตีประชดประชันเพื่อนรักที่กลับกลายมาเป็นคนรักของเธอ

กว่าพวกเราจะลากตัวของจินตนาที่มัวแต่หาน้ำแข็งใสกับขนมกินจากซำบอนออกมาได้ ฉันว่าธิติมากับกันตาอาจจะเดินไปถึงหลังแปแล้วก็ได้

เดินจากซำบอนมาไม่นานเพราะพี่นิบอกว่าราวๆ สี่ร้อยเมตรเราก็ถึงซำกกกอก ให้ครูทัศและจินตนาได้พักเมื่อยอีกรอบ จากนั้นพวกเราก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่าน ซำกกหว้า ซำกกไผ่ ซำกกโดน

ที่ซำกกโดนแห่งนี้ จินตนาดูเหมือนว่าจะหมดแรงลงไปอย่างง่ายดาย ภัทรทราภรณ์เองก็เช่นกันฉันพยายามเดินจูงมือเธอมาตลอดทาง

“ไม่ไหวแล้วแป๊ดเราหมดแรง” ภัทรทราภรณ์บอกฉันขณะที่กำลังก้าวขาปีนขึ้นไปเรื่อยๆ

“ไม่ได้นะกิ่งต้องอดทนอีกนิดนะไม่อย่างนั้นเราจะไปถึงที่พักข้างบนไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน ถ้ามืดแล้วเดินทางลำบาก เอาเป้ของกิ่งมาให้เราสิจะได้เดินง่ายๆ หน่อย” ฉันพยายามบอกกับคนรักให้แข็งใจเดินอีกสักนิด แต่ตัวของฉันเองก็มีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากเธอ

พี่นิบอกว่าคำว่า “โดน” แปลว่านานในภาษาอีสาน ส่วนสาเหตุที่มีชื่อว่าซำกกโดนเพราะว่าแถวนี้มีต้นกระโดนขึ้นอยู่เยอะมาก แต่จันทร์จินากลับบอกว่าเธอนึกถึงเรื่องโดนแบบอย่างอื่น เพราะผู้คนมักจะนั่งพักที่ซำนี้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากหมดแรง จินตนารู้สึกว่าอยากจะอยู่ที่ซำโดนนี้นานๆ เพราะเธอเริ่มไม่มีแรงเดินทั้งๆ ที่พึ่งจะเพิ่มพลังด้วยน้ำแข็งใสไปอีกรอบ

อย่าว่าแต่จินตนาเลยค่ะ ฉันเองกับภัทรทราภรณ์ก็หมดแรงด้วยเช่นกัน ฉันรู้เลยว่าทำไมเค้าถึงได้บอกว่ามาภูกระดึงอย่าเอาแฟนมาด้วย เพราะตัวเองยังพาตัวเองไปไม่รอดจะไปดูแลใครต่อใครได้อย่างไรกัน ฉันขณะนี้ก็แทบจะลากขาเดิน

เราพักกันนานจนเห็นว่าเวลาชักจะคล้อยไปเรื่อยๆ หากยังมัวโอ้เอ้อยู่ย่างนี้พวกเราคงไปถึงที่พักค่ำมืดอย่างแน่นอน เมื่อตัดสินใจได้เช่นนี้ พี่นิก็แทบจะฉุดพี่ตาและครูทัศนาเร่งออกเดิน พี่นิยังบอกอีกว่าเหลืออีกแค่ซำเดียวคือซำแคร่ และจากนั้นเราก็จะเดินจากซำแคร่ไปหลังแป แต่ระยะทางจากซำแคร่ไปหลังแปนี้มันจะต้องปีนป่ายบันไดและหินสูงๆ นิดๆ หน่อยๆ เป็นการลองใจพวกเราก่อนที่จะเดินสบายๆ บนทางเรียบๆ ไปบนหลังแป

หลุดจากซำแคร่มาได้ราวกับเห็นสวรรค์ เพราะบริเวณหลังแปเดินสบายจริงๆ ค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะทางที่ไกลมากๆ เกือบสี่กิโลเมตรกว่าจะถึงที่พักของพวกเรา แต่การเดินที่ไม่ต้องปีนป่าย มันทำให้เราเดินได้เร็วกว่าการเดินระยะทางที่ผ่านมามากมาย

ธิติมาและกันตานั่งรอพวกเราอยู่ที่หลังแป

“มาถึงนานหรือยังไอ้ธิ” ฉันถามธิติมาเพราะเห็นเธอนั่งรออยู่กับกันตาอย่างใจเย็น

“โอ๊ยอยู่มาโดนแล้วเพื่อนฮ่าๆๆ” ธิติมาตอบกวนๆ พวกฉันที่เดินมาแบบกระปลกกระเปลี้ยเต็มที

“ไอ้นี่ทำเป็นมาล้อพวกฉันเล่นหรือไงกันว่ะ” จันทร์จิราชักฉุนธิติมาที่ล้อเลียนพวกเรา

“เอ๊าก็ฉันมาถึงได้เกือบชั่วโมงกว่าๆ แล้วจะเดินไปอีกก็กลัวว่าจะพลัดหลงกันก็เลยตัดสินใจนั่งรอพวกแกที่หลังแปจะดีกว่า” ธิติมาอธิบาย

“ดีแล้วธิที่ธิรอไม่อย่างนั้นพี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาธิได้ที่ไหน” นิชาภัทรบอกกับธิติมา

“ค่ะพี่เพราะธิก็ไม่รู้ว่าข้างหน้ามันจะไปแบบทางไหนด้วยจะเดินตามๆ เค้าไป ก็เกรงว่าเค้าจะไม่ได้ไปที่เดียวกัน” ธิติมาบอกสาเหตุของการที่เธอต้องนั่งรออยู่ที่หลังแปกับกันตาให้นิชาภัทรได้รับรู้

“ค่ะงั้นเดี๋ยวรอให้เพื่อนๆ พักอีกแป๊ป แล้วค่อยเดินต่อก็แล้วกันนะ” นิชาภัทรเสนอเพราะเธอเห็นว่าเด็กๆ ดูเหมือนจะหมดแรงมากกว่าเดิม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอนันตราที่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงจะหมดลงไปเรื่อยๆ

นิชาภัทรเริ่มสังเกตว่าอนันตราแทบไม่มีแรงเดิน หรืออาจเป็นเพราะอากาศข้างบนนี้เบาบางกว่าข้างล่างแถมยังมีออกซิเจน้อยกว่าก็อาจเป็นไปได้ แต่ก็ไม่น่าจะเบาบางอะไรมากมายเพราะที่แห่งนี้สูงจากระดับน้ำทะเลแค่พันกว่าเมตรเท่านั้นเอง

เราเดินฝ่าเปลวไอ้ร้อนของแดดจากหลังแปกับระยะทางร่วมสี่กิโลเมตร ฉันว่าคนที่ตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ บนภูกระดึงนี้ช่างเข้าใจตั้ง เพราะการเดินทางที่หลังแปแห่งนี้ ดูเหมือนว่าจะเดินกันจนแปแป๊กไปตามๆ กัน

เมื่อพวกเราไปถึงที่พักของที่ทำการอุทยานก็แทบจะทรุดหมดแรง ในตอนแรกพี่นิกะจะให้เราเดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูดแต่เมื่อเห็นสภาพของพวกเราพี่นิก็เลยยกเลิกรายการนั้นไปโดยปริยาย

ที่พักของอุทยานมีไฟฟ้าให้ใช้แต่จะตัดไฟเป็นเวลาเพราะที่นี้ใช้ไฟฟ้าที่ได้มากจากการปั่นไฟ เราไม่สนหรอกค่ะว่าจะมีไฟฟ้าใช้หรือไม่ เพราะตอนนี้มีหรือไม่มีเราไม่รู้หลับลากยาวจนเกือบเช้า เพราะพี่นิบอกว่าจะมาปลุกพวกเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้



แผนที่ทางขึ้นภูกระดึง

วันรุ่งขึ้นแต่เช้ามืดออกออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังผานกแอ่นเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นก็กลับมายังที่พักและเดินไปหาซื้ออาหารที่ขายอยู่บนภูเพื่อที่จะได้มีอาหารเช้าไว้รองท้องก้อนที่จะเดินทาง

หลังจากที่พวกเราอิ่มท้องและเตรียมเสบียงสำหรับเป็นอาหารกลางวันสำหรับพวกเราสิบสามคน เมื่อพร้อมในการเดินทางถูนวดทายาแก้ปวดเมื่อยและเตรียมตัวกันทากเรียบร้อย เราก็เดินตามทางไปดูทุ่งหญ้า ป่าสน สระอโนดาด ที่เป็นสระบนพื้นที่สูงแบบนี้ ราวกับว่าเป็นสระที่รอกินรีลงสรงน้ำบนภูสูง

พวกเราพักกันที่น้ำตกสอเหนือ และนำอาหารที่ติดตัวมากินกันแบบปิกนิคจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ อาหารหลักก็คือหมูปิ้งกับข้าวเหนียวดูเหมือนว่าหมูปิ้งที่เย็นชืดและข้าวเหนียวที่ห่อด้วยใบตองจะมีรสชาติที่อร่อยกว่าทุกครั้งที่เราเคยกิน อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยและความหิวของพวกเราทุกคนก็เป็นได้

เมื่อพักกันจนหายเหนื่อยแล้วหลังอาหารพี่นิก็พาพวกเราไปดูวิวทิวทัศน์ ริมหน้าผาหล่มสักสัญลักษณ์แห่งภูกระดึง ต้นสนสามใบก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้เปลี่ยนไปไหน จากนั้นเราก็ไปผาแดง ผาเหยียบเมฆ ผาจำศีล ผานาน้อย

ที่สุดท้ายเราไปดูพระอาทิตย์ลับฟ้าอันสวยงามที่ผาหมากดูกพวกเราถ่ายรูปกันที่ผาแห่งนี้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราเองก็เคยมาที่นี่และเป็นหนึ่งในผู้พิชิต “ภูกระดึง” จากนั้นเราเดินทางกลับที่พักและอาบน้ำอาบท่าก่อนที่จะหมดแรงไปอีกวัน เพราะเมื่อฟังจากพี่นิว่าวันนี้เราเดินด้วยแรงเราเองเกือบๆ สามสิบกิโลก็ยิ่งรู้สึกว่าหมดแรงไปมากกว่าเดิม

เป็นอีกวันที่ไฟปั่นของอุทยานปิดไปเมื่อไหร่เราไม่รู้ ฟ้าจะมีดาวเคลื่อนคล้อยไปเท่าไหร่เรามาสน เพราะตอนนี้พวกเราหลับเอาแรงเพื่อต่อสู้กับการเดินทางที่วิบาก และทรหดในวันรุ่งขึ้น

รอเราเถอะนะภูกระดึง รับรองว่าพรุ่งนี้จะเที่ยวให้สนุกว่าวันนี้แน่นอน

.... จบบทที่ ๒๕ ....




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2551    
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 16:47:29 น.
Counter : 304 Pageviews.  

เรื่อแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๔

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๔

หลังจากออกจากบ้านเด็กไปรยาจะขอตัวกลับก่อนแต่พวงทองค้านเอาไว้ เพราะพวกเราบอกว่าอยากจะไปกินผัดไทยที่ประตูผี แต่ด้วยเวลานี้พึ่งจะห้าโมงกว่าๆ แสงแดดยังไม่หมดไปจากท้องฟ้า หากไปในตอนนี้ร้านผัดไทยก็อาจจะยังไม่เปิด เราก็เลยตกลงกันว่าทั้งสิบคนจะกลับไปที่บ้านก่อนจากนั้นค่อยเคลื่อนพลไปประตูผีกันตอนสองทุ่ม

ไปรยาตื่นเต้นเมื่อมาถึงที่บ้านเช่าของเรา เธอเดินไปมองรูปที่พวงทองวาดทิ้งไว้ รวมทั้งบางรูปที่พวงทองลงทุนใส่กรอปแขวนผนัง รูปเหล่านั้นก็จะเป็นรูปของพวกเราทั้งนั้น

“สวยจังเลยเติ้ลวาดได้สวยจัง” ไปรยาที่ยืนดูรูปอยู่บอกกับพวงทองที่กำลังเก็บรองเท้าเข้าชั้นวาง

“เหรอไว้เราวาดสวยๆ ให้ก็แล้วกันหมวย”

“นี่ชื่อฉันออกจะเริดมาเรียกหมวยได้ไงยะ” ไปรยาชักจะรู้สึกตัวว่างอนพวงทองตะหงิดๆ

“หรือว่าหน้าไม่หมวยเลยเหรอไงดูสิตาก็ออกจะนะ แถมผิวงี้ขาวอย่างกับหยวกกล้วย ดีหน่อยที่หุ่นมีรูปมีร่างกับเค้าบ้าง อย่างน้อยหันหลังก็ทำให้จินตนาการถึงคนสวยๆ ได้นิดหน่อย” พวงทองเธอรู้สึกว่าอยากจะต่อปากต่อคำกับไปรยามากขึ้นทุกที เธอเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเห็นไปรยาหน้าตาบูดบึ้ง

ใบหน้าของไปรยาเมื่อเวลางอนหรือโกรธมันเหมือนกับตุ๊กตาคิตตี้ ถึงแม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะไม่กลมโตแต่ลูกนัยย์ตาของไปรยากลมดำสวย หน้าตาของคิตตี้ไม่มีปาก มันจึงแสดงอาการยิ้มดีใจหรือหัวเราะจากรูปปากไม่ได้ แต่คิตตี้แสดงออกมาทางสายตา

ไปรยาแสดงอารมรณ์ทุกอย่างสื่อออกมาทางสายตา รัก ชอบ โกรธ โมโห เธอสังเกตได้อยู่หลายครั้ง ใบหน้ารูปไข่ของไปรยา เรียวสวยได้สัดส่วน คางกลมกลึงรับกับรูปหน้า คิ้วเป็นเส้นโค้ง ถึงแม้จะไม่ดกดำแบบเดียวกับรตี แต่ก็ไม่ต้องแต่งแต้มเพิ่มเติม จมูกโด่งเป็นสัน ปากเป็นรูปกระจับเรียวสีชมพู ไม่ต้องเติมลิปสติกก็ยังคงงดงาม

มีเพียงดวงตาของไปรยาเท่านั้น เมื่อเข้ากับใบหน้าแล้วดูแปลกๆ เพราะเป็นดวงตาของคนเอเชียตะวันออกโดยแท้ ยามที่ไปรยาเอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ ดวงตานั้นก็จะแสดงอาการตามไปด้วยเช่นตอนนี้

“เกินไปแล้วเติ้ลถึงฉันจะหมวยก็หมวยอินเตอร์นะยะขอบอก แล้วอย่างกับตัวเองดูดีนักนี่ผมก็หยิก ดำก็ดำเช๊อะ”

“อินเตอร์ตรงไหนจ๊ะหมวย อ่ออิเตอร์วอเตอร์เกทเหรอ อะไม่สิมูนฮาเบอร์ต่างหาก กิ้วๆๆ”

ไปรยาโดนพวงทองล้อมากๆ เข้าเธอก็เริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ เรื่องอะไรมาล้อกันจนเธอเถียงไม่ได้ แล้วไหนจะเพื่อนๆ ของพวงทองอยู่กันเต็มบ้าน แปลกหน้าแปลกตาทั้งนั้น จะหวังพึ่งพิงใครก็ไม่ได้ อรุณวิลัยก็ยังไม่ลงมาจากข้างบน แล้วใครล่ะจะช่วยเธอ หนทางช่างมืดมิด

ศิลปินเค้าเล่นกันแบบนี้เหรอ ไม่ถนอมน้ำใจกันบ้างเลยหรือ เสียแรงที่เธอหลงชื่นชอบคนตรงหน้ามาเป็นเดือนๆ รู้อย่างนี้ไม่ชอบให้เมื่อยหัวใจหรอกคนใจร้าย

“ไอ้ปุ๊กแกก็ไปล้อกอล์ฟอยู่ได้เดี๋ยวเกิดร้องไห้ขึ้นมารับผิดชอบด้วยนะเว่ยฉันไม่เกี่ยวนะ” ฉันเดินลงมาและได้ยินที่พวงทองล้อไปรยาก็รีบปรามทันที เพราะรู้ดีว่าจุดอ่อนของไปรยาก็คือดวงตาของเธอ และไปรยายังเป็นคนที่บ่อน้ำตาตื้นเอามากๆ อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะร้องไห้ท่าเดียว

ยังไม่ทันขาดคำของฉันไปรยาก็ตาแดงจนฉันและพวงทองเห็นได้อย่างชัดเจน

“เฮ้ยไรว้าแค่นี้ก็ต้องร้องไห้ด้วยหัวก็ไม่ล้านสักหน่อยแค่ตาตี่เท่านั้นเอง” พวงทองพยายามแก้ไขสถานการณ์แต่มันก็ดูเลวร้ายลงไปกว่าเดิม

ไปรยาร้องไห้เสียงดังๆ จนเมื่อภัทรทราภรณ์เดินลงตามฉันมามองหน้าฉันและพวงทองเหมือนว่าจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันทำท่าทางปฏิเสธแถมยังบุ้ยปากไปทางพวงทองเป็นการบอกเธอว่าโน้นต้นเหตุยืนหัวโด่อยู่โน่น

ภัทรทราภรณ์เข้าไปโอบกอดไปรยาเพื่อปลอบใจเธอไม่ให้ร้องไห้

“ไปทำอะไรกอล์ฟเค้าปุ๊ก ดูสิร้องไห้ใหญ่แล้ว” ภัทรทราภรณ์ต่อว่าพวงทองทันทีเช่นกัน

“เค้าเปล่าน้าแม่ไอ้แป๊ด แค่พูดล้อเล่นนิดๆ หน่อยๆ เองทำไมถึงร้องไห้ง่ายแบบนี้ก็ไม่รู้ ทำอย่างกับนางเอกหนังไทยโดนตัวอิจฉารังแกงั้นเลย” พวงทองบ่นอุบ เพราะเธอไม่คิดว่าไปรยาจะเป็นคนขี้น้อยใจเอามากๆ

“แล้วใครเค้าจะมาทนปากร้ายๆ ของแกได้เท่าพวกฉันเล่าไอ้ปุ๊ก อย่าลืมเซ่ว่ากอล์ฟเค้าไม่ใช่พวกเราที่รู้จักกันมานาน แกก็นะไอ้ปุ๊กจะพูดอะไรหัดคิดก่อนพูดเข้าใจไหม” ฉันผสมโรงต่อว่าพวงทองไปเช่นเดียวกัน

และจากเสียงที่ดังจนลั่นบ้านของฉันก็เรียกให้เพื่อนๆ ออกมายืนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนไทยมุง คอยดูไปรยา กับพวงทองแสดงหนังเศร้ากันอยู่กลางบ้าน

ชนกพรกับจันทร์จิรามองหน้ากันไปมา เพราะทั้งสองคนรู้ดีว่าพวงทองไม่เคยแกล้งใคร หากเป็นจันทร์จิราก็ว่าไปอย่าง เพราะจันทร์จิราจะเป็นตัวป่วนประจำกลุ่ม เมื่อครั้งยังเป็นเด็กๆ เธอเสียอีกที่พวงทองคอยปลอบเมื่อยามที่โดนจันทร์จิราแกล้ง

แล้วทำไมตอนนี้พวงทองกลับกลายมาเป็นคนมีนิสัยระรานชาวบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่าพวงทองกำลังเริ่มมีใจให้กับไปรยา แบบที่ภัทรทราภรณ์กับอรุณวิลัยมาเล่าให้เธอกับจันทร์จิราฟัง

หากเป็นเช่นนั้นเธอจะดีใจไม่น้อยที่พวงทองเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาแทนที่เธอ ทั้งเธอและจันทร์จิราจะได้มีความรู้สึกผิดบาปน้อยลง

“ฮ่าๆๆไอ้ปุ๊กแกนะแก เล่นกับเพื่อนใหม่จนร้องไห้เลยเหรอว่า เออเองเก่ง” จันทร์จิราหัวเราะกับภาพที่เธอเห็นตรงหน้า แต่ก็ต้องโดนสายตาดุๆ ของภัทรทราภรณ์ส่งมาห้ามปราม เพราะไปรยายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องง่ายๆ

“แต่ช้าแต่เค้าแห่หมวยมาพอถึงศาลาเค้าก็วางหมวงลง” พวงทองแลปลิ้นปลิ้นตาหยอกเย้าไปรยา แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพวงทองพยายามสร้างบรรยากาศดีๆ ขึ้นเท่าไหร่ไปรยาก็ไม่ยอมที่จะหยุดร้องแถมยังสะอื้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“ทำไงดีว่าไม่ยอมหยุดร้องไห้สักที โธ่เว่ย อะไรวะนี่ยายหมวยมานี่เลย” พวงทองเข้าไปฉุดแขนของไปรยาที่อยู่ในอ้อมกอดของภัทรทราภรณ์ให้เข้ามาหาตัวเธอ และใช้แขนของตัวเองโอบกอดไปรยาไว้

ร่างกายของไปรยาสั่นไปเพราะแรงสะอื้นไห้ น้ำตานองหน้า แถมดวงตาคู่เล็กๆ นั้นก็ยังแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด พวงทองรู้สึกสงสารคนในอ้อมกอดขึ้นมาจับใจ

นี่เธอทำให้คนๆ นี้ร้องไห้ได้มากมายขนาดนี้เลยเหรอ แล้วจะทำอย่างไรให้หยุดร้องไห้ พวงทองนึกถึงเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ เธอร้องไห้กระจองอแงและสิ่งที่แม่ใช้ปลอบเธอก็คือจับเธอเข้ามากอดและจูบเบาๆ ที่หน้าผาก มันเป็นการแสดงความรักของแม่ที่มีต่อเธอ และตอนนี้เธอคิดว่าเธอก็จะปลอบไปรยาด้วยวิธีการเดียวกัน

ท่าทางที่พวงทองกำลังทำกับไปรยาทำเอาพวกเรามองกันตาค้างและดูเหมือนว่าไปรยาก็จะสะดุดอารมณ์ตัวเองที่กำลังงงกับการแสดงออกของพวงทองเช่นกัน

ด้านพวงทองที่ได้จูบปลอบใจให้กับคนในอ้อมกอดก็ดูเหมือนว่าจะสะกดตัวเองให้หยุดรุกรานต่อไปอีกไม่ได้ กลิ่นไปรยาช่างหอมเหลือกเกิน พวงทองอยากจะกลืนกินกลิ่นของของไปรยาไปไว้ในตัวของเธอ

เธอเริ่มรู้สึกหวงคนในอ้อมแขน จากนั้นก็เคลื่อนริมฝีปากของเธอไปประกบริมฝีปากของไปรยาแถมยังฉกเอาความหวานจากดอกเหมยนั้นมาลิ้มลอง

“อืม” เสียงพวงทองครางออกมาอย่างไม่เป็นศัพท์ และดูเหมือนไปรยาก็ตัวอ่อนรโหยโรยแรงไปกับนางพญาผึ้งที่ดอมดมเอาความหอมหวานไปจากดอกเหมยดอกนี้เช่นกัน

พวกเราที่ยืนตัวเกร็งก็ยิ่งมองตาค้างกันเป็นแถว จินตนายกมือขึ้นปิดตารตี ธิติมาและกันตายืนยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้า ฉันกับภัทรทราภรณ์ตกใจที่เห็นว่าพวงทองจู่โจมไปรยาจนตั้งตัวไม่ติด จันทร์จิราและชนกพรกุมมือกันและกัน เหมือนจะส่งผ่านสิ่งที่ทั้งสองคนได้เห็นและรับรู้ว่าบัดนี้พวงทองได้หลุดจากวังวนแห่งความทุกข์ไปแล้ว

เมื่อไปรยาได้สติขึ้นมาเธอผละพวงทองและยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าของพวงทองจังๆ เต็มแรง

“เพี๊ยะ”

เสียงฝ่ามือของไปรยาที่กระทบไปบนใบหน้าของพวงทองดังลั่น พวงทองผินหน้าไปตามแรงฝ่ามือที่ฟาดลงมาและตอนนี้ ใบหน้าของพวงทองมีรอยฝ่ามือของไปรยาปรากฏขึ้นแดงเป็นปื้น และคราวนี้เธอจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่ทำให้เธอต้องเจ็บจนหน้าชาหลุดลอดไปจากอ้อมกอดของเธอแน่ๆ

“เอาสิตบมาอีกตบมาสิจะได้หายน้อยใจ แต่สิ่งที่จะได้รับกลับไปมันจะเป็นแบบนี้”

พวงทองกระชากไปรยาอย่างแรงให้ร่างนั้นกลับมาที่อ้อมแขนของเธออีกครั้ง และครั้งนี้ต่อให้ไปรยาจะดิ้นรนอย่างไร พวงทองก็ไม่มีวันปล่อยไปง่ายๆ เธอโน้มไบหน้าของตัวเองลงไปประกบจูบไปรยาอีกครั้งถึงแม้ว่าในครั้งนี้ดอกเหมยจะพยายามดิ้นรนอย่างไรนางพญาผึ้งก็ไม่มีวันปล่อยให้ดอกเหมยหลุดรอดไปได้อีก

จากการดิ้นรนต่อสู้ขัดขืนในตอนแรก กลับกลายมาเป็นโอนอ่อนผ่อนตาม และดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีอารมณ์เตลิดไปไหนต่อไหนจนกู่ไม่กลับ พวกเราพยักหน้าให้กันและทั้งหมดก็เดินเข้าไปในห้องของจันทร์จิราที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำตัวเป็นอากาศธาตุ ไร้ตัวตน ไร้สีและไร้กลิ่น

ปล่อยให้นางพญาผึ้งดอมดมดอกเหมยอยู่กลางบ้านแต่เพียงลำพัง

.....................

เมื่อใกล้เวลาที่จะไปบุกร้านผัดไทยที่ประตูผี เราก็ออกมายืนออกันอยู่ที่หน้าบ้านเพราะตกลงกันไม่ได้ว่าจะเอารถไปกี่คัน

“เอาไปคันเดียวแหละมันหาที่จอดยาก” จันทร์จิราเสนอ

“แล้วจะอัดกันไปหมดเหรอไอ้เจ้าตั้งสิบคน” รตีแย้ง

“ก็อัดๆ กันไปหน่อยเรารถเราไปดีกว่ามันกว้างกว่า” กันตาเสนอ

“ก็ได้งั้นเราไปคันเดียวเอางี้เราไอ้เจ้าไอ้จินไอ้นกนั่งท้าย ส่วนที่เหลือไปนั่งหน้า สองสี่สี่ โอเคไหมรถมันสามตอนอยู่แล้วนี่ไปเปิดท้ายได้” ฉันออกความเห็นเพราะดูเหมือนว่าจะลงตัวที่สุดแล้ว

“ฉันว่าต่อไปนี้คงต้องซื้อรถตู้แล้ววะแก ขนคนไปคงไม่หมดเยอะเกิน” รตีบ่นไปตามนิสัยของเธอ

“ก็ครอบครัวเรามันหย่ายโตก็งี้แหละตี จะขนกันไปไหนแต่ละทีมันก็เยอะจนเค้าคิดว่าจะไปบุกถล่มที่ไหน” ภัทรทราภรณ์บอกกับจินตนา เพราะเมื่อก่อนเวลาพวกเราไปไหนกันแปดคนก็เหมือนกับฝูงอะไรสักอย่างถล่มเมือง และตอนนี้ก็ยังมีเพิ่มมาอีก สองเป็นสิบคนมันคงจะยิ่งกว่าฝูงกลายเป็นกองทัพถล่มเมืองไปแล้วแน่ๆ

กองทัพที่หิวโหยมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าร้างผัดไทยชื่อดังและสั่งอาหารมาจนเต็มโต๊ะ พอจัดการกันอิ่มเต็มคราบก็วางแผนไปเสาชิงช้า เพื่อที่จะไปร้านนมมีชื่ออีกแห่ง ไปรยาบอกทางพวกเราไปยังร้านนมที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เรายังคิดกันเลยว่าถ้าไม่มีไปรยาคอยบอกทางใครจะพาเราลัดเลาะเข้าตรอกซอกซอยที่มืดมิดและน่ากลัวนั่นออกมาได้บ้าง

รถของกันตาโผล่ออกมาตรงศาลาว่าการกรุงเทพฯ พวกเราไม่คิดว่าตรอกซอกซอยมันจะทะลุกันได้มากมายขนาดนี้

กองทัพบุกร้านนมเรียบร้อยจนไม่มีพื้นที่ของกระเพาะให้ใส่อะไรลงไปอีกแล้ว กันตาพาพวกเราเดินย่อยไปดูเสาชิงช้า ย่อยไปเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าพวงทองจะไม่ยอมปล่อยมือของไปรยาอกจากมือของเธอ ตลอดเวลาเราเห็นสองคนเดินจูงมือกัน

ฉันเห็นแล้วก็นึกถึงตัวของฉันเองเมื่อยามที่รักกับภัทรทราภรณ์ใหม่ๆ ความรักมันช่างหอมหวาน อยากที่จะอยู่ใกล้ชิดคนที่เรารักอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีกันและกันเป็นเงาตามตัว จนมีคนเคยเอามาร้องเป็นเพลงว่า “แรกรักกันใหม่ๆ อะไรๆ ก็หวาน” ฉันว่ามันเป็นเรื่องจริง

เมื่อยามแรกรักเราย่อมมองข้ามสิ่งที่ไม่ดีของอีกคนไป มองเห็นแต่สิ่งที่ดีของคนที่เรารักเสมอ แต่เมื่อวันแห่งความหวานผ่านพ้นไป สิ่งที่จะทำให้คนสองคนเช่นฉันกับภัทรทราภรณ์อยู่กันต่อไปได้ ก็คือความเข้าใจในกันและกัน

ฉันเองก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีข้อดีทั้งหมด มีข้อเสียกับใครๆ เขาด้วยเหมือนกัน และภัทรทราภรณ์ก็เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องหึงหวงในตัวฉัน ภัทรทราภรร์เริ่มจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในบางครั้งฉันเองก็รู้สึกอึดอัดกับการหึงไม่ดูหน้าดูหลังของภัทรทราภรณ์อยู่เหมือนกัน

แม้กระทั่งฉันมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบางครั้งก็ยังโดนดึงหูจนเกือบจะยานถึงเข่า ด้วยข้อหาที่ว่าไปมองชาวบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยดีเมื่อฉันคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงออกมันคือความรักที่เธอมีให้กับฉันและเราสองคนก็พยายามที่จะปรับตัวเข้าหากัน

หรืออาจจะเป็นเพราะ ฉันกับภัทรทราภรณ์รู้จักกันมานานมากและเธอเองก็รู้ว่าฉันไม่ได้มีนิสัยวอกแวกไปที่ไหนเรื่องมันก็เลยจบลงอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรต้องพูดมากเกินไป

ฉันได้แต่หวังว่ารักใหม่ที่หอมหวานของพวงทองและไปรยาจะไม่สะดุดลงเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากว่าทั้งคู่จะเดินไปด้วยกันได้ก็คงจะดี มันคงเป็นการเดินทางที่คนสองคนมีความชื่นชอบเหมือนกันโคจรมาพบกัน และก็เกิดเป็นความลงตัวที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้

คงเพราะฉันเห็นและรับรู้เรื่องราวของทั้งพวงทองและไปรยามาโดยตลอด เมื่อฉันได้เห็นความสัมพันที่พัฒนาขึ้นมาฉันจึงรู้สึกดีตามไปด้วย

“กิ่งว่าไหมสองคนนั้นเหมาะสมกันดีเน๊อะ”

“อืมนั่นสิ เค้าเรียกว่าความเหมือนที่แตกต่าง”

“ทำไมถึงเหมือนแล้วแตกต่าง” เกิดคำถามในใจของฉันขึ้นมาทันที

“ก็เพราะสองคนนั้นเค้ามีความเหมือนกันบนความแตกต่างไงแป๊ด”

“ไม่เข้าใจอยู่ดี”

“เรื่องอื่นทำรู้หมดพอเรื่องแบบนี้ทำงงนะแป๊ด”

“ก็มันงงจริงๆ นี่นากิ่ง”

“สองคนนั้นมีความเหมือนกันตรงที่ความชอบ และรักในศิลปะอ่อนโยนอ่อนไหวง่ายกับสิ่งเร้ารอบข้าง สองคนมีจิตใจที่อ่อนไหวมาก กับสิ่งแวดล้อม ทั้งคน สิ่งของหรืออะไรก็ตามที่พวกเค้าได้เข้าไปอยู่ในวงจรของมัน ปุ๊กเองก็อ่อนไหวมากๆ กอล์ฟก็เหมือนกัน หรือแป๊ดว่าไม่ใช่”

“มันก็จริง แล้วอะไรที่แตกต่างล่ะ”

“เรื่องที่สองคนที่แตกต่างกันที่เห็นได้ง่ายๆ ก็เรื่องผิวสี ปุ๊กออกจะมาเป็นไทยแท้ๆ ส่วนกอล์ฟไปทางจีนเลย และที่สำคัญครอบครัวของทั้งสองคนมันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด พ่อแม่ปุ๊กเลี้ยงปุ๊กมาบนพื้นฐานของความรักและความเข้าใจในตัวลูก แต่ของกอล์ฟมันไม่ใช่แบบนั้น กอล์ฟเป็นครอบครัวคนจีนแท้ๆ ไม่ใช่เหรอแป๊ดเล่าให้เราฟังเองนี่”

“ใช่ๆๆ จีนมากๆ ด้วยเรียกว่ายังมีวัฒนธรรมแบบจนแท้ๆ ที่บ้านกอล์ฟ” ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับภัทรทราภรณ์เต็มที่

“นั่นแหละมันคือความแตกต่างและมันอาจจะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาในภายหลัง แบบแฟนเก่าของกอล์ฟ ที่ต้องตัดใจจากกอล์ฟไม่ใช่เพราะเรื่องครอบครัวเป็นปัญหาเหรอแป๊ด”

“มันก็จริง แต่เรื่องแบบนี้อยู่ที่คนสองคนว่าเค้าจะเลือกอะไร ระหว่างความรักกับความถูกต้อง ดูอย่างไอ้นกกับไอ้เจ้าสิกิ่ง มันสองคนรู้ทั้งรู้ว่าเมื่อถึงเวลามันก็ต้องแยกจากกัน แต่มันก็ยังเลือกที่จะให้เวลาที่มีอยู่น้อยของพวกมันให้คุ้มค่าที่สุด โชคดีนะที่เราสองคนไม่ได้เป็นแบบนั้น”

“อาจจะโชคร้ายในวันหน้าก็ได้ใครจะรู้จริงไหมแป๊ด ตราบใดที่เราสองคนยังไม่มีงานทำไม่มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง เราสองคนก็ต้องทำหน้าที่ของเราในฐานะลูกไปเรื่อยๆ เราบอกแม่ว่าเราจะยอมทำตามที่แม่บอกทุกอย่างเมื่อเราเรียนจบ”

“เรียนจบแล้วกิ่งจะแต่งงานเหรอ” ฉันมีสีหน้ากังวลใจจากเรื่องที่ภัทรทราภรณ์พูดให้ฟังอยู่มาก

“ใช่เราบอกแม่ไปแบบนั้น”

“กิ่งเราต้องแยกจากกันเมื่อกิ่งเรียนจบจริงๆ เหรอ” ฉันถามย้ำเธอไปอีกครั้ง

“สบายใจได้แป๊ด คนเรียนหมอแบบเรากว่าจะจบจริงๆ อาจจะอายุสักสามสิบปลายๆ มีเรียนโน่นเรียนนี่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ ถึงตอนนั้นแม่คงไม่บังคับเราให้แต่งงานแล้ว”

ภัทรทราภรณ์ส่งรอยยิ้มที่แสนหวานให้กับฉัน และเหมือกับเป็นพันธะสัญญาของเราสองคนว่าอนาคตของเราจะค่อยๆ ฝ่าฟันอุปสรรคของม่านประเพณีไปเรื่อยๆ จนกว่า ตาข่ายแห่งอุปสรรคนั้นจะหลุดพ้นตัวของเราทั้งสอง

............................

และแล้วฤดูกาลแห่งการสอบปลายภาคก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเราทุกคนเริ่มตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจริงๆ จังๆ โดยเฉพาะฉันที่ต้องอ่านหนังสือเป็นสองเท่า เพราะว่าต้องการที่จะทำเกรดให้ได้ดีกว่าเทอมที่ผ่านมา ฉันเห็นมีคนมาติดประกาศเกี่ยวกับทุนเรียนต่อ ต่างประเทศโดยไม่มีการผูกพันแต่เกรดที่ต้องได้มันระดับเกียรตินิยม ที่ฉันเองก็ยังคิดเลยว่าคงได้มาไม่ง่าย

หากเป็นไปรยาเธอคงได้ทุนที่ว่านั้นแน่นอน ภัทรทราภรณ์ให้กำลังใจฉันเมื่อยามที่ฉันเล่าให้เธอฟังเรื่องทุนเรียนต่อ เธอบอกว่าไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้ถ้าเราคิดที่จะทำ อย่าท้อแท้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำ เพราะนั่นเท่ากับว่าเราบั่นทอนกำลังใจของตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือ

บรรยากาศในบ้านเริ่มเงียบมากว่าที่เคยเป็นเพราะทุกคนนั่งอ่านหนังสือ กันไม่พูดไม่จากับใคร ต่างคนต่างก็มีหนังสือของตัวเองในความรับผิดชอบและผลที่ได้ตามมาจากการที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือก็เห็นได้ในพริบตาเมื่อเราทุกคนทำข้อสอบได้ ถึงจะไม่ได้มากมายแต่ก็ยังทำให้เราสอบเสร็จแล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่ แถมยังสบายใจที่จะได้ปิดเทอมแบบไม่มีอะไรค้างคาใจ

ครูทัศนาตกลงที่จะมาเยี่ยมพวกเราที่กรุงเทพและพวกเราก็รีบจัดแจงทำความสะอาดบ้านรอครู เตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้ครูเพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ครูจะมาเยี่ยมบ้านเรา ครูทัศนาปฏิเสธพวกเรามาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนปิดเทอมใหญ่ เพราะครูเห็นว่าไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวงเนื่องจากพวกเราต้องไปเรียนและอาจจะมีใครบางคนโดดเรียนเพื่อพาครูไปเที่ยว

ครั้งนี้ครูเลือกที่จะมาในตอนปิดเทอมตุลา ครูบอกพวกเราว่าจะอยู่หนึ่งสัปดาห์และเที่ยวกับพวกเราทุกคน ครูทัศนาบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องรถที่พวกเราจะไปเที่ยวเพราะว่าเพื่อนของครูมีเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันเปิดบริษัททัวร์อยู่ และครูก็ขอยืมรถตู้มาใช้ได้อย่างสบายๆ

ครูยังบอกอีกว่าเมื่อตอนที่ครูมาเรียนต่อที่กรุงเทพ เพื่อนของเพื่อนคนนี้ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี หาหอพักให้ แนะนำเส้นทางให้ครู และยังเป็นเพื่อนที่ดีของครูอีกด้วย

เมื่อกำหนดการที่ครูจะมาถึงกรุงเทพ รตีกับจินตนาไปรอรับครูที่ขนส่งหมอชิตตั้งแต่ตีสาม เพราะกลัวว่าจะคลาดกัน เมื่อครูมาถึงพวกเราก็เตรียมข้าวต้มมื้อเช้าไว้รอครูเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ครูขาชิมข้าวต้มฝีมือหนูสิค่ะทำสุดฝีมือเพื่อครูโดยเฉพาะเลยน้า” ภัทรทราภรณ์กลับกลายเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าครูทัศนา

“จริงเหรอ แบบนี้ครูคงต้องกินสักสองสามชามแล้วสิฝีมือคุณหมอนานๆ จะได้ชิมสักหน”

“ครูพูดแบบนี้หนูก็น้อยใจแย่สิค่ะ ทำอย่างกับว่าฝีมือของหนูอร่อยสู่กิ่งไม่ได้แบบนั้นแหละ” จินตนาทำท่าทางงอนๆ แก้มป่องไปมา

“ไม่ใช่อย่างนั้นก็ฝีมือของเธอครูชิมมานานแล้วไงพอมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ชิมก็ต้องรีบๆ ชิมหน่อย”

“ใช่เซ่ ก็หนูมันเก่าแล้วนี่ ของใหม่มันหน้าตาจุ๋มจิ๋มก็งี้” จินตนายังตั้งหน้าตั้งตางอนครูทัศนาต่อไป

แต่ถึงจินตนาจะงอนอย่างไร ครูทัศนาก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะครูคงรู้ว่าจินตนานั้นแกล้งงอน เมื่อพวกเราพาครูไปเก็บกระเป๋าที่ห้องของจันทร์จิราเรียบร้อยก็ให้ครูออกมาชิมฝีมือข้าวต้มหมูของภัทรทราภรณ์เพราะคิดว่าครูคงเหนื่อยกับการเดินทางและอาจจะหิวมากๆ ด้วยสิ

เมื่อครูจัดการข้าวต้มของภัทรทราภรณ์เสร็จครูก็บอกพวกเราว่า

“เดี๋ยวสักเกือบๆ เจ็ดโมงเช้าจะมีรถมารับพวกเราไปเที่ยวไหว้พระเก้าวัดนะ เพื่อนครูจะมารับ”

“จริงหรือค่ะ ดีจังเลยค่ะครู ไปวัดไหนค่ะ” จินตนาถาม

“ไปอยุธยาไปไหมจิน”

“อยุธยา ไปๆๆๆ ค่ะ ครู ดีจังเลยชอบๆๆ ได้เที่ยวอยุธยาแล้วเพื่อน” จิจตนากระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆ

“อะไรกันพวกเธอจะส่งเสียงดังก็เกรงใจบ้านข้างๆ บ้างยังเช้าอยู่เลย ไปไป๊อาบน้ำอาบท่าเดี๋ยวครูขอไปเอาของออกจากกระเป๋าก่อนมีของมาฝากพวกเธอด้วยนะ”

“อะไรค่ะครู” พอพูดถึงเรื่องของฝากจินตนาก็ทำตาลุกวาว

“ใส้อั่วน้ำพริกหนุ่มกาดตีนสะพานสนใจไหมจิน”

“สนค่ะสนๆๆ ไหนค่ะครู หนูช่วยครูเก็บของเองดีกว่าเอาปะครู” จินตนารีบเสนอตัวช่วยครูทัศนาทันที

“พอพูดเรื่องกินไม่ได้เชียวนะไอ้จินทำตาลุกอย่างกับเห็นทอง” รตีแขวะจินตนา

“สองคนนี้กัดกันเหมือนเดิมเลยนะ อะใครจะเข้ามาช่วยครูจัดของก็ตามมา อ๊ะแต่ไม่ต้องขนกันมาจนหมดหรอกนะห้องมันแคบ” ครูทัศนารีบปรามก่อนเพราะเห็นท่าทางแล้วพวกเราทุกคนคงจะบุกรุกเข้าไปในห้องของจันทร์จิรากันหมดทั้งโขยง

ดังนั้นจึงมีแต่จินตนาที่เดินตามครูเข้าไปแถมยังหันมาแลปลิ้นปลิ้นตาให้กับพวกเราอีกด้วย

“ฝากไปก่อนเถอะไอ้จินให้แกทำคะแนนไปก่อนคืนนี้ตาฉันทำคะแนนเว่ย” จันทร์จิราตะโกนไล่หลังจินตนาที่เดินตามครูทัศนาเข้าไปในห้อง เพราะอย่างไรคืนนี้เธอก็ต้องนอนกับครูทัศนาอยู่ดี

“เออแป๊ดเราจะชวนหมวยไปด้วยได้หรือเปล่า” พวงทองถามฉันเพราะเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอชวนไปรยาไว้ด้วยว่าหากครูสุดที่รักของเราจะไปเที่ยวที่ไหนจะพาไปรยาไปด้วย

“คงได้มั๊งเห็นครูบอกว่าไปรถตู้ เอแต่ฉันก็ไม่แน่ใจนะว่าไปกันได้หรือเปล่าลองไปถามครูดูสิ”

พวงทองเข้าไปคุกเข้าที่หน้าเตียงของจันทร์จิราและถามครูทัศนา

“ครูขาถ้าหนูจะพาแฟนของหนูไปด้วยอีกคนจะได้หรือเปล่า”

“ได้สิอย่าลืมบอกธิด้วยนะให้พาแฟนธิไปด้วยรถตู้นั่งได้ตั้งเยอะ กว้างขวางออกจะตายไป” ครูทัศนาตอบพวงทองแบบยิ้มๆ

หลังจากนั้นพวงทองก็จัดแจงโทรบอกไปรยาให้มาหาพวกเราที่บ้านและโทรบอกธิติมาที่ไปนอนค้างที่หอของกันตาให้เตรียมตัวออกมาจากหอได้แล้ว เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน จากนั้นพวกเราทุกคนก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวรอรถของเพื่อนครูทัศนามารับ

ครูทัศนาโทรบอกเพื่อนของครูว่าบ้านเราอยู่แถวไหน จากนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตารอรถเพื่อการไปเที่ยวในวันแรกของเรา

เราก็เห็นรถของบริษัททัวร์มาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ครูทัศนาออกไปเปิดประตูรับให้ลุงคนขับรถขับรถนั้นเข้ามาในบ้าน

“สวัสดีค่ะลุงหมานมาคนเดียวหรือค่ะ” ครูทัศนายกมือไหว้ลุงคนขับรถอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

ลุงคนขับรถลงมาจากรถแล้วก็ตอบว่า “เปล่าครับเจ้านายมาด้วยอยู่ในรถ”

ทัศนาเดินไปเปิดประตูรถตู้ให้เลื่อนออกและก็เห็นหญิงสาวที่เธอไม่ได้พบปะหน้าตามาหลายปี ยังคงเหมือนเดิมไม่ผิดไปจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน

“สวัสดีนิดีใจจังที่ได้เจอเธออีกครั้ง” หญิงสาวที่อยู่ในรถตู้ลงมาจากรถและโอบกอดกับทัศนา

“ดีใจเหมือนกันทัศเราไม่ได้เจอะกันนานเท่าไหร่แล้วเพื่อน”

“เกือบแปดปีแล้วดูนิไม่เปลี่ยนไปเลยนะดำขึ้นอีกต่างหาก”

“ทัศก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะเคยสวยไงก็ยังสวยเหมือนเดิม”

“ไม่ต้องมายอกันซะให้ยากเลยไม่ใจอ่อนหรอกเพื่อนแล้วสุดที่รักเธอล่ะไปไหน”

“อยู่ท้ายรถเดี๋ยวคงตามลงมา อะมาพอดีเลยตานี่เพื่อนพี่ชื่อทัศ ทัศเป็นเพื่อนของมัช เราก็เลยมาเป็นเพื่อนกันอีกทีดูวุ่นวายเน๊อะแต่นี่ก็เพื่อนกัน” นิชชาภัทรแนะนำทัศนาให้รู้จักกับอนันตราคู่รักของตน

“ยินดีที่ได้รู้จักกับน้องตา ค่ะ” ทัศนายื่นมือไปให้อนันตราจับแต่อนันตากลับยกมือไหว้ทัศนาอย่างนอบน้อม

“อ้าวแล้วกันจะหลอกจับมือสาว สาวกลับไหว้เราเสียนี่ เฮ้อทัศเอ๊ยชาตินี้จะไปหลอกจับมือใครได้ล่ะนี่ เซ็งเลย” ครูทัศนาแก้เก้อแทนตัวเองและอนันตราที่ไม่รู้คิวกัน

“เออนิพลพรรคเราสิบเอ็ดคนพอไหวไหม”

“ไหวสิ รถมันนั่งได้ตั้งสิบห้าคน เหลือที่อีกเยอะ”

“โอเคงั้นเดี๋ยวรอลูกๆ เราก่อนนะ สักพักคงครบ”

“ลูกเยอะจริงๆ นะเพื่อน ดีจังไม่ต้องเบ่งออกมาเองก็มีลูกโตได้ขนาดนี้ ว่าแต่มีคนไหนว่างๆ บ้างปะ เราชักจะสนใจ” นิชาภัทรแกล้งเย้าทัศนาเล่น

“ไม่ได้นิลูกของใครๆ ก็หวงนั่นๆๆ น้องตานั่นไปดูแลกันเองดีๆ ก็แล้วกัน อย่ามายุ่งกับเรา

เสียงหัวเราะของเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน รอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีปรากฏให้ให้บนใบหน้าของทัศนายามที่เธอสวมบทเป็นครู กลับมาอีกครั้งพร้อมกับมิตรภาพของคำว่า “เพื่อน”

..... จบบทที่ ๒๔ ....




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2551    
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 16:11:56 น.
Counter : 288 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.