It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๒๑ ขุดคุ้ย

ความเอยความรัก ตอนที่ ๒๑ ขุดคุ้ย

หลังจากที่มัชวีรู้สึกสับสนกับความคิดของตนเองทั้งเรื่องจดหมายที่เธอไม่เคยได้รับตลอดระยะเวลา ๗ ปี ทั้งเรื่องนิ่มนวลที่ยังคงรักมั่นในตัวเธอ ทั้งเรื่องธัญชนกที่นอนอยู่ตรงหน้า เธอสับสนไปหมดทุกอย่าง นี่เธอจะทำอย่างไรกับชีวิตของเธอ สัญญาที่เธอมอบให้ผู้หญิงสองคนช่างเหมือนกัน เธอจะรักษาสัญญาของเธอกับใคร เธอจะมอบความรักของเธอให้กับใคร ผู้หญิงสองคนที่แตกต่างกัน นิ่มนวลอยู่ได้โดยไม่มีเธอมาได้ตลอด ๗ ปี มีเพียงสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน

และตลอดเวลามัชวีเฝ้าแต่รอคอยการติดต่อของนิ่มนวลมาโดยตลอด จนเมื่อถึงวันหนึ่งที่เธอพบกับธัญชนก เธอเองก็รู้ว่าใจเธอนั้นคงไม่เฝ้ารออย่างไม่มีหวังจากคนห่างไกล เธอเปิดใจรับธัญชนกให้เข้ามาในใจเธอ และในตอนนี้ธัญชนกไม่ผิดที่เข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอ เธอเองสิที่ผิดเมื่อกลับมาพบกับรักเก่า และหวั่นไหวกับสัมผัสที่เกิดขึ้น

มัชวีนั่งลงข้างขอบเตียงข้างคนที่เธอรัก ธัญชนกนั้นนอบหลับนิ่งอยู่บนเตียงมัชวีก้มลงจุมพิตที่หน้าผากธัญชนก

“มัชรักพี่ธัญคะ มัชรักพี่มากนะค่ะ พี่ช่วยมัชด้วย มัชกำลังหวั่นไหว พี่ธัญจ๋า มัชสับสน” มัชวีคร่ำครวญกับธัญชนกที่เธอเข้าใจว่าหลับไปแล้ว

แต่ธัญชนกนั้นยังไม่ได้หลับอย่างที่มัชวีคิด ทุกคำพูดทุกการกระทำที่มัชวีแสดงออกกับเธอนั้นเธอรับรู้ทุกอย่าง เพียงแต่เธอไม่สามารถลืมตาขึ้นมาดูคนรักของเธอได้ หากเธอลืมตาขึ้นมาเมื่อใด น้ำตาของเธอจะไหลรื้อออกมาเป็นแน่ ใจของธัญชนกนั้นสะท้านไปหมด ใครจะช่วยเธอได้

อีกครั้งแล้วหละหรือที่เธอต้องเจ็บ

อีกครั้งแล้วหละหรือที่เธอต้องรับสภาพการเดินจากกัน

ทั้งสองนอนนิ่งอยู่บนเตียงเดียวกันแต่ไม่มีใครหลับจริงๆ สักคน อีกฝั่งของบ้าน นิ่มนวลเองก็เช่นกันเธอไม่อาจข่มตาหลับได้ ความคิดสับสนความน้อยใจ ความเสียใจของนิ่มนวลกับการแสดงออกของมัชวีที่เธอเฝ้ารอการพบกันมาแสนนาน แต่เมื่อพบกันอีกครั้งกลับพบว่าคนที่เธอรักนั้นมีคนรักใหม่ ไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน ถึงแม้จะมีใครมากมายเข้ามาในชีวิตเธอ เธอเองไม่เคยจะรับใครเข้ามานั่งในหัวใจ เพียงเพราะสัญญาที่มีไว้ให้แก่กัน ใช่สินะสัญญาของเด็กๆ ใครที่ไหนจะจดจำใครที่ไหนจะรักษาสัญญาของเด็กผมเปียข้างบ้าน

แสงทองของวันใหม่ส่องสว่างขึ้นท่ามกลางทุ่งหญ้า มัชวีนั้นลุกจากเตียงมายืนดูแสงสีแดงจากไข่แดงลูกโต แสงอาทิตย์เช้านี้ทำไมถึงได้เศร้าแบบนี้นะ แสงของวันใหม่ซึ่งใครๆ ก็บอกว่าหลังจากที่มีความมืดก็มีความสว่าง แต่ความสว่างในวันนี้กลับนำพาความเงียบเหงามาให้เธอ ทำไมนะ ทำไม

“ตื่นแล้วเหรอมัช นอนไม่หลับเหรอ” เสียงธัญชนกทักทายมัชวีโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากค่ำคืนที่ผ่านมา

“ตื่นแล้วค่ะพี่ธัญ พี่ไม่นอนต่อหละค่ะ เมื่อวานดูท่าทางเพลีย” มัชวีเคลื่อนตัวไปโอบกอดธัญชนกที่เดินมายืนเคียงข้างเธอ ดวงตาของมัชวีนั้นแดงก่ำเพราะอดนอนมาทั้งคืน และดวงตาของธัญชนกก็เช่นกัน

“แดดที่นี่ดูเหงาๆ เนอะมัช”

“อืมค่ะ”

“มัช”

“ค่ะ”

“มัชรักนิ่มรึเปล่า” ธัญชนกเอียงคอถามมัชวีที่ยืนโอบกอดเธอ

“พี่ธัญถามทำไมเหรอ”

“พี่ก็ถามเพราะเห็นเราสนิทกับน้องนิ่มมาก” ถ้าไม่มากก็คงไม่กอดจูบกันแบบนั้นหรอกนะมัชธัญชนกได้แต่พูดกับตนเองในใจ

“เมื่อก่อนเคยรักมากคะพี่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครที่มัชรักเท่าพี่ธัญหรอก” มัชวีกล่าวให้ความมั่นใจกับธัญชนก

“พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป” ธัญชนกเหม่อมองออกไปยังท้องทุ่งอันเวิ้งว้าง

......................................................

ทั้งมัชวีและธัญชนกตัดสินใจว่าจะกลับเข้าเมืองในเช้าวันนี้ โดยมีนิ่มนวลอาษาเป็นสารถีขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟ ตลอดทางมีแต่ความเงียบ ทั้งสามคนไม่มีใครพูดคุยอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว เมื่อจะจากกันนิ่มนวลเอ่ยลามัชวี

“ลาก่อนมัช เราคงพบกันอีก” นิ่มนวลยังคงมีความหวังที่จะได้พบคนที่ครอบครองหัวใจของเธอมาตลอดเวลา

“ลาก่อนนิ่ม”

“โชคดีนะคะน้องนิ่ม หวังว่าคงได้พบกันอีกครั้ง” ธัญชนกเอ่ยลานิ่มนวล แต่ในใจนั้นช่างต่างกันกับคำพูดมากมาย อย่าพบกันอีกเลยนะน้องนิ่ม เพราะน้องจะทำให้พี่สูญเสียมัชวีของพี่ไป

“โชคดีค่ะ”

“Good luck” นิ่มนวลมองตามขบวนรถไฟที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไปห่างจากเธอที่ละน้อยจนกระทั่งไกลลับตา รถไฟขบวนนั้นจะรู้ไหมนะว่าได้พาเอาดวงใจของเธอจากไปไกลจากเธออีกครั้ง และจะเป็นการพรากจากตลอดกาลด้วยสิ

.............................................................

เมื่อกลับมาถึงในตัวเมืองมัชวีเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน ธัญชนกสัมผัสได้กับความเปลี่ยนแปลงของคนรักอย่างชัดเจน เธอได้แต่เก็บงำคำพูดไว้ ทั้งๆ ที่อยากจะถามแต่หากถามก็คงไม่ได้รับคำตอบอะไรจากปากคนรักของเธอ

ใกล้กำหนดกลับเมืองไทยของทั้งสองคนเข้ามาทุกที ทั้งสองออกไปหาซื้อของฝากให้กับบรรดาเพื่อนๆ และหลายๆ คน มัชวีเลือกซื้อตุ๊กตาจิงโจ้ตัวเล็กหลายตัวราวกับจะขนไปขาย ส่วนธัญชนกก็หอบเอาเครื่องสำอางค์ประทินผิวหลายกระปุก เป็นของฝากเพื่อนๆ เช่นกัน

หลังจากนั้นทั้งสองก็เตรียมเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทย มัชวีมีคำถามมากมายที่จะถามป้าแจ่มของเธอ ว่าทำไมจดหมายจากนิ่มนวลไม่เคยถึงมือเธอเลยสักฉบับ

วันที่เดินทางถึงเมืองไทยป้าแจ่มมายืนรอรับสองสาวที่สนามบิน ท่าทางของมัชวีที่เปลี่ยนไป ทำให้แจ่มจรัสสังเกตได้

“เรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะป้าแจ่ม ไว้ถึงบ้านก่อนค่อยคุย” มัชวีกระซิบบอกป้าแจ่มหลังจากที่พบหน้ากันที่สนามบิน

“หนูธัญเป็นไงบ้างเหนื่อยไหมลูก” แจ่มจรัสเห็นหน้าธัญชนกที่ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดเจน

“ไม่หรอกค่ะ เพลียๆ นิดหน่อยเท่านั้น”

“ไปหาหมอก็ดีนะ เรายิ่งบอบบาง แล้วมัชไม่ดูแลเลยเหรอ”

“ดูค่ะ แต่ธัญไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอกค่ะป้า ไม่ต้องห่วง” ธัญชนกแก้ตัวแทนคนรักของเธอ

“อืมไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ถ้าเป็นอะไรรีบไปหาหมอเลยนะ ป้าเป็นห่วง” แจ่มจรัสยกมือลูบศรีษะธัญชนกอย่างเอ็นดู และห่วงใย

“ไปกลับบ้านกันค่ะ เมืองไทยยินดีต้อนรับ” แจ่มจรัสโทรศัพท์เรียกนายต้อยให้ขับรถมารอรับพวกตนที่ลานหน้าตึกจอดรถ

.................................................................

เมื่อถึงบ้านมัชวีจูงมือป้าแจ่มอย่างเร่งรีบไปคุยกันสองคนในห้องหนังสือ

“ป้าค่ะ ทำไมป้าเก็บจดหมายของนิ่มไม่ให้มัช นิ่มบอกมัชว่าส่งมาเดือนละฉบับตลอด ๗ ปีที่ผ่านมา ป้าทำแบบนั้นทำไม” มัชวียิงคำถาม

“เพราะป้าไม่อยากให้มัชเป็นเหมือนป้า ป้าไม่อยากให้มัชเดินตามรอยป้า ที่ต้องมานั่งเสียใจอยู่จนทุกวันนี้”

“แล้วป้าเอาอะไรมาตัดสินว่ามัชจะต้องเป็นเหมือนป้า ป้าเอาอะไรมาวัดว่าทุกคนต้องมีชีวิตที่เหมือนกัน ป้าอย่าเอาชีวิตของป้ามาตัดสินชีวิตคนอื่นสิค่ะ” มัชวีพูดเสียงดังด้วยความโมโหอย่างรุนแรง

“เพราะป้ารู้ว่าอะไรจะตามมานะสิมัช เพราะป้ารู้ว่าอย่างไรเสียคุณศักดิ์กับคุณมลไม่มีทางให้ลูกของเค้าเดินทางนั้นเด็ดขาด”

“ป้ารู้ได้ไง ว่าจะเหมือนเดิม”

“เพราะพวกเรารู้ พวกเราก็เลยตัดสินใจตัดไฟเสียแต่ต้นลม”

“นี่เหรอค่ะเหตุผล แล้วทำไมป้าถึงยอมให้มัชคบกับพี่ธัญ”

“เพราะธัญเป็นลูกของคนที่ป้ารัก และป้าพร้อมทุกอย่างที่จะปกป้องธัญเพื่อให้ธัญมีความสุขกับมัช ถ้ามัชอยากจะอ่านจดหมายทั้งหมด ป้าจะเอาให้อ่าน มันอยู่ในลิ้นชักตู้นั้น ไปหยิบมาอ่านสิ อยากรู้อะไรป้าก็จะให้รู้” แจ่มจรัสชี้ไปที่ลิ้นชักตรงตู้ชั้นวางหนังสือ

มัชวีเดินไปที่ตู้เปิดลิ้นชักออกและพบว่าในนั้นมีจดหมายมากมาย ทุกซองจะมีวันที่เขียนกำกับวันที่รับจดหมายทุกฉบับและเรียงไว้อย่างดี เธอรู้ว่าเป็นการเก็บที่มีระเบียบ แจ่มจรัสเดินออกมาจากห้องหนังสือ และเห็นธัญชนกยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าประตู นี่สินะที่ทำให้ธัญชนกดูโทรมไปถนัดตา เพราะเรื่องนี้เอง แจ่มจรัสยกมือบีบหัวไหล่ของธัญชนกให้กำลังใจ

“ให้เวลามัชสักพักนะธัญแล้วมัชจะรู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ป้าเชื่อว่ามัชเค้าจะรู้เองด้วยตัวของเค้าเอง ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”

“ค่ะป้าแจ่ม ธัญจะรอวันนั้น”

“ป้าจะเป็นกำลังใจให้เสมอนะธัญ ไปพักเถอะ อย่ามายืนรอมัชตรงนี้เลยเราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันเถอะนะ ปล่อยมัชไว้ เดี๋ยวก็ออกมาเองนั่นแหละป้าเลี้ยงเค้ามาป้ารู้ดี” แจ่มจรัสจูงมือธัญชนกไปยังโต๊ะอาหาร

“วันนี้ป้าทำกับข้าวของโปรดของธัญไว้ด้วยนะ ทานเยอะๆ ผอมไปแล้วนะเรา” แจ่มจรัสพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ธัญชนกสบายใจมากขึ้น แต่ไม่อาจทำให้อีกคนนั้นรู้สึกดีขึ้นเลยแม้สักนิด

...............................

มัชวีนั่งอ่านจดหมายกองโต ตั้งแต่ฉบับแรก ที่นิ่มนวลบอกว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน ส่งรูปมาให้ดูทั้งบ้านและโรงเรียนใหม่ ในจดหมายพร่ำบอกถึงสัญญาและความรักมากมาย บางฉบับเล่าถึงเพื่อนใหม่ที่เข้ามาจีบ บางฉบับบอกว่าไปหลงชอบเพื่อนต่างชั้นเรียน แต่สาวเจ้าไม่เคยเหลียวมอง บางฉบับบอกเพียงว่า “คิดถึง” เพียงคำเดียวเท่านั้น

มีจดหมายฉบับหนึ่งที่มัชวีสะกิดใจ เนื่องจากในนั้นระบุว่าคุณศักดิ์นั้นได้หมั้นหมายตาชายคนหนึ่งไว้ให้กับนิ่มนวล เป็นคนที่คุณศักดิ์คิดว่าคู่ควรกับนิ่มนวล นี่กระมังที่ป้าแจ่มบอกว่าจะเหมือนกับทางที่ป้าแจ่มเดิน ทำไมนะคนการศึกษาสูงๆ ถึงได้คลุมถุงชนลูกของตัวเองแบบนี้ ทำไมคนอยู่เมืองนอกขนาดนั้นถึงได้ไม่ยอมให้ลูกเลือกทางเดินชีวิตเอง หรือวัฒนธรรมในที่แห่งใหม่ไม่ได้หล่อหลอมจิตใจคนให้ยกระดับขึ้นเลย มัชวีรู้สึกนึกขอบคุณบิดามารดาของตนที่เข้าใจตนเป็นอย่างดีไม่เคยจะกีดกันในความรักของเธอ หรือที่ป้าแจ่มพูดจะเป็นความจริง

มัชวีนั่งอ่านจดหมาย เกือบร้อยฉบับตรงหน้าเธอ จนถึงเวลามืดค่ำ มัชวีลุกจากโต๊ะอ่านหนังสือ รู้สึกถึงความเมื่อยขบไปตลอดทั้งหลังและไหล่ของเธอเอง เก็บจดหมายไว้ในลิ้นชักที่เดิม เดินออกมาจากห้องหนังสือ เห็นธัญชนกนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับป้าแจ่ม

“ไม่ทานข้าวกันเหรอค่ะ” มัชวีเอ่ยถามเมื่อเห็นทั้งสองคนนั่งนิ่งมองอาหารตรงหน้า

มัชวีคิดว่าตัวเธอเองนั้นเป็นต้นเหตุของทุกเรื่องที่เกิดขึ้น จึงทำลายบรรยากาศมาคุนั้นด้วยการแซวป้าแจ่มว่า “หรือว่าวันนี้ป้าแจ่มทำกับข้าวไม่อร่อยฝีมือตก”

“เพราะมัชนั่นแหละ เด็กลิง มาทำให้รสชาตอาหารป้ากร่อยหมด” แจ่มจรัสได้ทีโยนความผิดให้มัชวี เลียนแบบมัชวีที่อะไรก็โทษเธอเสมอเมื่อครั้งยังเด็กๆ

“อ้าวไหงมาโยนกันเห็นๆ หละค่ะ ป้า ป้าค่ะขอบคุณนะค่ะ ที่ทำให้มัชรู้อะไรหลายๆ อย่าง ขอบคุณคะป้า”

“ก็ดีแล้วมัช ดูแลหนูธัญให้ดีๆ ให้สมกับที่ป้าไว้ใจ ป้ารู้ว่ามัชจะต้องทำได้อย่างที่มัชสัญญากับป้า เรื่องอื่นป้ารู้ว่ามัชจะตัดสินใจแบบไหน แต่ขอให้รู้ไว้ว่า คนไกลอย่างไรก็คือคนไกล คนใกล้เราสิถึงจะใช่และคนที่เราต้องรับผิดชอบคือคนไหน อะไรที่เป็นอดีตอย่าไปขุดคุ้ยขึ้นมา ตะกอนที่ตกเป็นตะกอนแล้วอย่าไปกวนตะกอนขึ้นมา น้ำจะสกปรกไปเปล่าๆ เชื่อป้านะมัช” แจ่มจรัสดูเหมือนจะพอใจกับท่าทีของมัชวีที่เปลี่ยนไปจากเดิม

มัชวียกมือไหว้ขอโทษแจ่มจรัส “มัชขอโทษค่ะป้า มัชวู่วามไปเอง ขอโทษจริงๆ คะป้า”

“คนที่เราต้องขอโทษไม่ใช่ป้า แต่เป็นหนูธัญ ดูสิมัช คนที่มัชสัญญากับป้าว่าจะดูแลตอนนี้โทรมไปมากแค่ไหน มัชดูแลได้ดีแล้วเหรอ”

มัชวีเริ่มสังเกตเห็นธัญชนกที่ดูผอมไปผิดตา ดูโรยๆ เหมือนจะหมดแรง แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นยิ้มแย้มดูสดใสกว่าเดิม เพียงเท่านี้ใช่ไหม ที่ไม่กวนตะกอนไม่ขุดคุ้ยให้เกิดความสกปรก เพียงเท่านี้จริงๆ

..........................................

แจ่มจรัสรู้ว่าอย่างไรเสียมัชวีก็ต้องถามถึงเหตุผลของการเก็บจดหมายหลายๆ ฉบับไว้เพื่อให้ทั้งนิ่มนวลและมัชวีขาดการติดต่อกันและเมื่อสบโอกาสที่โต๊ะอาหาร ทั้งมัชวีธัญชนกนั่งอยู่เคียงข้างกันธัญชนกดูสดชื่นมากกว่าเมื่อหลายวันก่อน ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้หรือเด็กน้อยทั้งสองของป้า

“มัชอยากรู้เหตุผลที่ป้าไม่ต้องการให้มัชติดต่อกับหนูนิ่มรึเปล่าลูก” แจ่มจรัสถามขึ้นหลังจากที่ชั่งใจอยู่นาน

“มัชอยากรู้ค่ะป้าแต่ป้าเองอาจไม่อยากเล่าก็ได้ ตอนนี้มัชเองไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องนั้นแล้ว” มัชวีตอบตามความเป็นจริง ในใจเธอเองตอนนี้ไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าธัญชนกคนดีของเธอ

“ตอนนี้ป้าจะไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไป ป้าจะบอกสาเหตุและเรื่องราวต่างๆ ให้มัชฟังตั้งแต่ต้น มัชยังจำได้ใช่ไม๊ที่ป้าเคยเล่าเรื่องของป้ากับตัวเล็ก ไม่ใช่สิ แม่หนูธัญว่าเราสองคนเติบโตมาด้วยกัน กินนอนเล่นเรียนเที่ยวกันมาตั้งแต่จำความได้”

“จำได้ค่ะ ป้าเคยเล่าให้มัชกับพี่ธัญฟังมาแล้วเมื่อคราวก่อน”

“นั่นแหละ ป้าไม่อยากให้มัชเหมือนป้า เพราะในสมัยเด็กป้าก็มีความคิดแบบเด็กๆ คือขออยู่กับคนที่เรารัก ไม่เคยฟังหรือยอมรับเหตุผลของใครใช้หัวใจเป็นใหญ่เหนือเหตุผล จนสุดท้ายธัญญาเค้าเลือกเหตุผลมาก่อนหัวใจของเค้า ป้าเองยอมรับในความคิดของเค้า เราต้องแยกทางกัน อย่าถามว่าไม่เจ็บรึ ป้าตอบได้เลยว่าเจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ไม่อยากแม้กระทั่งจะกินจะนอน ทุกวันแทบไม่มีใจจะทำอะไรเลย หมกตัวอยู่กับกองขวดเหล้าที่ท่วมห้อง กลายเป็นคนไร้จิตใจ ไร้สมอง เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะความรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของป้าได้มอบให้ธัญญาไปหมดแล้ว จนเมื่อธัญญารู้เรื่องเธอมาเห็นป้าในสภาพที่ดูไม่ได้ ขี้เมาสกปรก ไม่ต่างอะไรกับสุนัขข้างถนน ในความทรงจะที่ลางเลือนของป้าจำได้ว่าธัญญาดูแลป้าเป็นอย่างดี เธอมาพร้อมกับข่าวดีว่าเธอตั้งครรถ์ได้ ๓ เดือน” เรื่องราวต่างๆ พร่างพรูออกมาจากปากป้าแจ่มเรื่อยๆ

..........................................

ธัญญาหญิงสาวตัวเล็กบอบบางนั่งอยู่ข้างเตียงในห้องเล็กๆ แคบๆ ของหญิงสาวที่เธอรักปานดวงใจ เธอตัดสินใจแยกทางกับคนรักของเธอคนนี้เพราะเหตุผลทางธุรกิจของครอบครัวที่ต้องการคนเอื้อทางด้านผลประโยชน์ เงินต่อเงิน อณาจักรที่แผ่ไพศาลของตระกูลสองตระกูลต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แต่สภาพของคนรักของเธอตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่อยู่ไปวันๆ โดยไร้ซึ่งหัวใจ หัวใจของคนรักของเธอนั้นบัดนี้ได้แตกสลายเพราะการเลือกทางเดินชีวิตใหม่ของเธอเอง ทางเดินที่ไม่มีคนรักเดินเคียงข้างกัน ทางเดินที่ต้องตอบแทนบุญคุณบิดามารดาของเธอเอง ธุรกิจผลประโยชน์ทับซ้อนมากมายของตระกูลทำให้เธอต้องตัดใจจากคนรัก

เธอเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนรักของเธอนักหรอก เธอก็อยู่แบบไร้หัวใจเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้เธอต้องอยู่เพื่อลูกในท้องที่กำลังจะลืมตามาดูโลกในไม่ช้าไม่นาน ลูกที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตเธอ ลูกที่เธอต้องรักเมื่อเทียบกับคนรักของเธอที่นอนอยู่ตรงหน้าแล้วเธอรักคนทั้งคู่ได้เท่าเทียมกัน ความรักของเธอที่มอบให้กับคนรักนั้นบริสุทธิ์เฉกเช่นเดียวกับรักที่มอบให้แก่ลูกในท้อง

ธัญญาจัดการทำความสะอาดห้องให้คนรักของเธอ จนไม่เหลือความสกปรกอะไรทิ้งไว้เลย จัดการเอาขวดเหล้าที่วางทิ้งเรี่ยราดเกลื่อนห้องไปทิ้งจนหมดเกลี้ยง จากนั้นเช็ดเนื้อตัวให้คนรักที่นอนเมาไม่ได้สติ เธอเห็นร่างกายที่ผ่ายผอมกระดูกซี่โครงที่เห็นได้ชัดเจน ตลอด ๖ เดือนที่ผ่านมาคนรักของเธอคงไม่ได้ทานอะไรเลยนอกจากเหล้านี่นะหรือ หากได้อาหารอ่อนๆ สักมื้อจากฝีมือเธอคนรักของเธอจะยอมทานเข้าไปไหมน้อ

หลังจากจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดเนื้อตัวให้คนรักเรียบร้อย ธัญญาจัดแจงทำข้าวต้มหมูไว้ให้คนรัก โดยหวังว่าคนรักของเธอจะยอมทานอะไรสักเพียงนิดหน่อยก็ยังดี

“ไม่กิน ออกไปนะอย่ามายุ่งกับเรา คนไม่มีหัวใจ” คนรักของเธอปัดชามข้าวต้มกระจายเต็มพื้น เลอะเทอะไปทั่วห้อง

ธัญญารู้ว่าคนรักของเธอเสียใจและโกรธมาก เดินไปหยิบเศษชามข้าวที่บัดนี้แตกกระจาย นิ้วเรียวเล็กโดนเศษชามบาดจนเลือดไหล ธัญญาอดทนกับความเจ็บด้วยเธอเป็นโรคเลือดออกไม่หยุดมาตั้งแต่ยังเยาว์แม้เพียงรอยแผลเล็กๆ น้อยๆ เธอเองก็จะหายยากกว่าใครๆ หลังจากเก็บข้าวต้มที่กระจายเกลือนและทำความสะอาดเรียบร้อย ธัญญาลงมาด้านล่างได้ยินเสียงปาข้าวของอีกครั้ง แต่เธอเองนั้นก็หมดสติลงไปนอนกองกับพื้น จิตใจที่แหลกสลายและร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่ต้นทำให้ธัญญาหมดเรี่ยวแรงที่จะยืนต่อไป

“ยายธัญ ไม่เป็นอะไรนะเธอต้องไม่เป็นอะไร” เสียงเพื่อนรักของเธอเรียกสติกลับมาทิพย์สราวรรณและปราญเพื่อนรักของเธอมาพบเธอนอนสลบไม่ได้สติอยู่กลางบ้านก็รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนเจ้าของบ้านนะเหรอเมาไม่ได้สติเช่นกันจะมาเอาอะไรกับคนขี้เมาหยำเปไปวันๆ แบบแจ่มจรัส ที่ตอนนี้แอลกอฮอล์คงเข้าสายเลือดไปแล้ว กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่วห้อง เดินเข้ามาใกล้ยังอยากจับยัดลงไปในเครื่องซักผ้า ซักเอากลิ่นเหล้าออกจากตัวแจ่มจรัสออกมาซะบ้างก็คงดี ทิพย์สราวรรณนั่งประคองธัญญาอยู่ที่เบาะหลังรถ มือไม้ก็บีบนวดธัญญาไปตลอดทาง

“ไม่เป็นไรหรอกทิพย์ เราไม่ได้เป็นอะไรเวียนหัวนิดหน่อย คงเพราะเราแพ้ท้อง”

“อะไรนะยายธัญเธอท้องเหรอ เธอท้องได้ไงเธอจะอันตรายนะ”

“เราอยากมีลูกไว้เป็นตัวแทนเรานะทิพย์ เรารู้ตัวว่าเราคงอยู่ได้อีกไม่นานมากนัก อย่างน้อยเรามีลูกก็เพื่อให้ใครสักคนตอบแทนบุญคุณของแจ่มที่ดีกับเราเสมอมา เราไม่รู้หรอกนะว่าแจ่มจะเข้าใจเรามากแค่ไหน เรารู้ว่าเราผิดกับแจ่ม แต่ทิพย์เรา” ยังไม่ทันพูดจบทิพย์สราวรรณก็แทรกขึ้นมาว่า

“ไม่ต้องพูดแล้วเพื่อน พักผ่อนเถอะใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว ตัวไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วหละพักเถอะ แล้วนี่ต้องบอกสามีเธอหรือเปล่าเราจะได้โทรไปบอก”

“ไม่ต้องเราคิดว่าดีขึ้นก็จะติดต่อกลับไปเอง” ธัญญาห้ามปรามเพื่อน

“อืมพักเถอะ นี่นายปราญขับให้มันเร็วกว่านี้ได้ไม๊ ธัญหน้าซีดไปหมดแล้ว” ทิพย์บอกให้ธัญญาพักผ่อนแล้วก็หันไปดุปราญที่ขับรถอยู่ให้ขับเร็วขึ้นอีกนิดด้วยเธอห่วงเพื่อนของเธอคนนี้เหลือเกิน

.....................................

หลังจากได้สติตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวที่เหมือนฝัน ห้องของเธอเรียบร้อยสะอาดตา ธัญญามาหาเธอจริงๆ หรือนี่ แจ่มจรัสลงมาด้านล่างด้วยหวังว่าจะได้เห้นธัญญาคนที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอดหลายเดือนแต่ก็ไม่พบ เธอเห็นข้อความที่ทิพย์สราวรรณเขียนติดไว้ที่โต๊ะทานข้าวว่า

“แจ่ม
ธัญไม่สบายเราพาไปโรงพยาบาล ถ้าหายเมาแล้วตามไปด้วย
ทิพย์”

เพียงเท่านั้นแจ่มจรัสแทบสร่างเมา รีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดแปรงฟันที่เหมือนเธอไม่เคยจะได้แปรงมาหลายเดือนแล้ว จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ดูสะอาดที่สุดแล้วออกจากบ้านไปยังโรงพยาบาล เพื่อไปหาคนรักของเธอ

“ธัญเป็นอะไรมากหรือเปล่า” แจ่มจรัสเดินเข้ามานั่งอยู่ตรงด้านข้างเตียงคนไข้ที่มีธัญญานอนอยู่ มีสายระโยงระยางค์ของน้ำเกลือและเลือด อยู่ด้านข้าง

“ไม่เป็นอะไรหรอกแจ่ม เราดีใจที่ได้เห็นหน้าตัวอีกครั้ง” ธัญญายิ้มอย่างอารมณ์ดี

แจ่มจรัสยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกหน้าของธัญญาไปคล้องที่ใบหู ลูบผมนั้นอย่างแผ่วเบา สายตาที่มองธัญญาห่วงใยลึกซึ้ง

“เราเสียใจที่ทำให้แจ่มเสียใจ” ธัญญาเริ่มเสียงสั่นน้ำตาไหลริ้นอออกมา

“อย่าร้องไห้นะคนดีของแจ่ม รักษาร่างกายให้แข็งแรง ยายทิพย์บอกเราว่าตัวท้อง ตัวต้องแข็งแรงเพื่อลูกนะธัญ เราสิคนไร้ค่าไร้ความหมาย”

“ไม่หรอกแจ่มถึงแจ่มจะดูไร้ค่าไร้ความหมายแต่แจ่มรู้ไม๊ว่าแม้แจ่มจะคิดว่าแจ่มเองไม่มีค่าอะไรเลยในโลกนี้ แต่แจ่มเป็นโลกทั้งหมดของธัญ โลกของธัญคือแจ่มเท่านั้น แจ่มจ๋าธัญรักแจ่ม รักมาตลอดไม่เคยมีแม้สักวันที่ธัญไม่รักแจ่ม เด็กคนนี้หากเกิดเป็นชาย เค้าจะดูแลป้าแจ่มของเค้าอย่างลูกผู้ชายที่ดี หากเกิดเป็นหญิงก็จะคอยปรนนิบัติป้าแจ่มเหมือนที่ป้าแจ่มเคยปรนิบัติแม่ของเค้าตลอดมา เราจะสอนลูกของเราให้รู้จักป้าแจ่มและรักป้าแจ่ม วันใดที่ไม่มีเราในโลก ทายาทของเราจะดูแลแจ่มเอง” ธัญญาบอกแจ่มจรัสเพื่อให้อีกคนสบายใจ

“ธัญไม่เอาสิธัญต้องอยู่ต่อไปเพื่อลูกและเพื่อเรา” แจ่มจรัสยกมือปิดปากสวยของคนรักที่บัดนี้ดูซีดจาง

“ไม่มีอะไรที่แน่นอนหรอกแจ่ม ตอนนี้เราเองรู้ตัวมาตลอดว่าอีกไม่นานเราก็คงจะตาย หากเราตายหัวใจรักของเราก็อยู่ที่แจ่ม เรายกให้แจ่มตั้งแต่เด็กจนเดี๋ยวนี้เราก็ยังมีใจรักให้แจ่มคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ได้เราแค่กายแต่ใจเราไม่เคยให้ใคร”

“เรารู้เรารู้ ธัญเรารู้” น้ำตาแจ่มจรัสไหลอาบแก้ม ธัญญายกมือที่ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงเช็ดน้ำตาให้กับคนรัก

“พักผ่อนเถอะเราจะนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน หลับเถอะนะธัญ”

“จูบเราสักครั้งได้ไม๊แจ่ม ไม่แน่นะพรุ่งนี้เราอาจเดินปร๋อเพราะจูบจากแจ่มก็ได้” คนป่วยพูดติดตลกเพื่อให้อีกคนสบายใจ

“จูบเดียวหายได้จริงเหรอ งั้นเราจะจูบทุกวันเลยเอาไม๊” แจ่มจรัสโน้มตัวลงจูบริมฝีปากซีดนั้นอย่างรักใคร่

“นอนเถอะคนดี เราอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” แจ่มจรัสกระซิบที่ข้างหูของคนรัก จากนั้นคนป่วยก็หลับไปเพราะความเพลียมีแจ่มจรัสนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ

ภาพนี้เป็นภาพที่ชินตาของเพื่อนๆ ทั้งสองคน ทิพย์สราวรรณและปราญเห็นความห่วงหาอาทรกันของเพื่อนตนแล้วก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ คนรักกันทำไมนะต้องโดนพรากจากกัน

..............................................

ราวกับปาฏิหาริย์ ธัญญาหายวันหายคืน จวบจนใกล้เวลาออกจากโรงพยาบาลธัญญาจึงส่งข่าวให้สามีเธอมารับกลับบ้าน

แจ่มจรัสเห็นสามีของธัญญาที่ห่วงใยดูแลภรรยาของตนแล้วก็สลดใจ ตนนั้นเป็นได้แค่คนในใจของคนรัก ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องเนื้อตัวของคนรักเลย ธัญญากลับไปยังบ้านของสามีและก็ขาดการติดต่อกับเธอ ส่วนเธอนั้นก็ย้ายมาอยู่กับปราญและทิพย์สราวรรณที่แต่งงานกันเธอมาช่วยเป็นเลขาให้ทั้งสองคน แจ่มจรัสที่เคยกินเหล้าเมามายก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เพราะคำว่า

“แจ่มเป็นโลกทั้งหมดของธัญ โลกของธัญคือแจ่มเท่านั้น”

เพียงประโยคนี้เท่านั้นที่แจ่มจรัสลุกขึ้นสู้ ช่วยเลี้ยงดูลูกสาวของปราญและทิพย์สราวรรณอย่างดี จนวันหนึ่งสามีของธัญญาก็ส่งข่าวมาว่าธัญญาป่วยหนักต้องการพบเธอ แจ่มจรัสรีบเก็บข้าวของไปหาธัญญา เธอไปถึงยังไม่สายเกินไป ธัญญาที่ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง เด็กน้อยในอ้อมกอดของธัญญามองหน้าเธอราวกับเห็นตัวประหลาด เด็กน้อยถูกพาออกไปจากห้องเหลือไว้แต่เธอและธัญญา

“แจ่มเราฝากลูกของเราด้วย เราคงอยู่อีกไม่นานแล้ว เราจะไปรอแจ่มนะ”

“ไม่เอาธัญอย่าพูดแบบนี้” แจ่มจรัสจำได้ว่าตนเองยกมือปิดปากธัญญาไว้ห้ามพูด

“เราต้องพูดแจ่ม เรารู้เวลาของเราหมดแล้ว หมดตอนนี้เราดีใจเหลือเกินที่เราได้เห็นหน้าแจ่มอีกเป็นครั้งสุดที่รักของธัญ”

แจ่มจรัสเห็นท่าทางของธัญญาเธอก็รู้แล้วว่าเวลาของธัญญานั้นใกล้หมดลงแล้วจริงๆ ด้วยการหายใจที่แรงกว่าเดิมเหงื่อออกเต็มตัว เสียงเครื่องตรวจวัดชีพจรก็ดังแปลกๆ

“นึกถึงคุณพระคุณเจ้าไว้ธัญ พุทธโธ พุทธโธ” แจ่มจรัสลุกขึ้นประคองธัญญาให้นั่งในอ้อมกอดเธอโดยมีเธอนั่งอยู่ด้านหลังยกมือของธัญญาประนมไว้ทั้งสองข้าง

“พุทธโธ พุทธโธ” เสียงของธัญญาหมดลงเพียงเท่านั้น มือทั้งสองข้างหล่นไปกองข้างลำตัว แจ่มจรัสร้องไห้จนไม่มีน้ำตา

หลังจากงานศพธัญญาผ่านพ้นไปแจ่มจรัสก็ดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายมาโดยตลอด ไม่สะสมไม่ไขว่คว้า ชีวิตของเธอมีเพียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เป็นลูกของปราญและทิพย์สราวรรณเท่านั้น เธอเห็นเด็กหญิงน้อยๆ สองคนที่เริ่มมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับเธอและธัญญานั่นคือมัชวีและนิ่มนวล ด้านคุณศักดิ์ชายและคุณมลฤดีบิดามารดาของนิ่มนวล ก็ดูจะไม่พอใจกับพฤติกรรมของลูกสาวตน แอบมาปรึกษากับแจ่มจรัสในวันหนึ่ง

“ผมไม่อยากให้เด็กสองคนมีพฤติกรรมแบบนี้เลยคุณแจ่ม” คุณศักดิ์พูดขึ้นเพื่อปรึกษา

“ผมต้องการจับแยกเด็กทั้งสองเพราะไหนๆ ผมเองก็ต้องย้ายบ้านอยู่แล้ว ถ้าเด็กทั้งสองติดต่อกันคุณก็ไม่ต้องให้พวกเค้าได้รับรู้ข่าวสารซึ่งกันและกันอีกเลยนะครับผมขอร้อง” แววตาของคุณศักดิ์ชายในวันนั้นดูจริงจังเป็นอย่างมาก

“ค่ะ” แจ่มจรัสรับคำ

จากนั้นไม่ว่าจะมีจดหมายจากแดนไกลมาถึงมัชวีกี่ฉบับก็ไม่เคยถึงมือมัชวีแม้แต่ฉบับเดียว เพราะแจ่มจรัสเองก็ไม่อยากให้เด็กหญิงมัชวีต้องมาตกอยู่ในสภาพเดียวกับเธอเช่นกัน เพราะเธอรู้ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด

................จบตอนที่ ๒๑.............




 

Create Date : 19 มกราคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:54:54 น.
Counter : 327 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๒๐ ต้อนรับสมาชิกใหม่



ความเอยความรัก ตอนที่ ๒๐ ต้อนรับสมาชิกใหม่และอดีตที่ฝังใจ

“ป้าแจ่มจ๋า ป้าแจ่ม” เสียงมัชวีดังลั่นบ้านเมื่อมาถึงในตอนบ่ายแก่ๆ

“มัชเบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวก็โดนดุหรอก” ธัญชนกปรามมัชวีที่เมื่อมาถึงบ้านก็ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ วิ่งเข้าบ้านตะโกนร้องหาป้าแจ่ม

“เสียงดังเชียวลูก” แต่กลับมีเสียงที่ไม่คุ้นเคยตอบกลับมาแทนเสียงป้าแจ่มจรัส

“คุณแม่” สิ้นเสียงมัชวีก็วิ่งถลาเข้าไปกอดมารดาที่เธอไม่คิดว่าจะอยู่บ้าน

สองแม่ลูกกอดกันกลมทั้งหอมแก้มทั้งลูบศรีษะมัชวีไปมา

“โตขึ้นเป็นสาวแล้วสินะเรา ไหนขอแม่ดูหน่อยสิไม่ได้เจอกันตั้งปี สวยขึ้นขนาดไหน” มารดามัชวีจับลูกสาวของเธอหมุนไปหมุนมา

“ทรงผมทรงนี้คิดได้ไงนะมัชถึงได้ไปตัด” มารดาของมัชวียังคงจับลูกสาวสุดที่รักหันซ้ายที่ขวาที

“โอ๊ยคุณแม่ขา มัชเวียนหัว” มัชวีร้องขึ้นเมื่อรู้สึกว่าการจับหมุนไปหมุนมาของมารดาเธอจะทำให้เธอนั้นวิงเวียน

“อะหยุด ไหนยืนตรงๆ ขอแม่ดูหน้าให้ชื่นใจหน่อย”

มัชวียืนตัวตรงเด่ราวกับท่อนไม้ให้มารดามอง แต่ไม่กี่อึดใจก็เอ่ยว่า

“คุณแม่ไม่ต้อนรับลูกสะใภ้หน่อยเหรอค่ะ นั่นนะสวยเชียวน้า” มัชวีกระซิบที่ข้างหูมารดาตน

“สวัสดีค่ะคุณป้า” ธัญชนกยกมือไหว้ทักทายมารดาของมัชวี

คุณทิพย์สราวรรณหันไปมองหน้าธัญชนกที่ยืนอยู่ด้านหลังมัชวี ถึงกับตะลึงด้วยว่าธัญชนกนั้นช่างเหมือนกับมารดาของเธอธัญญาราวกับพิมพ์เดียวกัน

“สวัสดีจ๊ะหนูธัญ ไม่ต้องเรียกป้าหรอกเรียกแม่ตามมัชเค้าก็ได้ อย่างน้อยหนูก็เป็นลูกสาวคนเดียวของธัญญาเพื่อนรักของแม่” คุณทิพย์สราวรรณเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมตตา

“ขอพระคุณคะคุณแม่”

คุณทิพย์สราวรรณเดินเข้าไปใกล้ธัญชนกและโอบกอดเหมือนกับที่ทำกับมัชวี ทำให้ธัญชนกรู้สึกซาบซึ่งใจกับการต้อนรับของมารดามัชวีมากมายที่ไม่รังเกียจเธอ

“เค้าเรียกสำเนาถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนเลยนะแบบนี้ หนูธัญรู้ไม๊หนูเหมือนแม่ของหนูมากๆ เหมือนจนแม่เองคิดว่าหนูคือธัญญาเพื่อนของแม่ อืมสองคนมาเหนื่อยๆ ไปพักเถอะ เดี๋ยวแม่จะให้เด็กๆ ไปเอาของในรถมาให้ อ่อ เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแล้วลงมาทานข้าวกัน แม่มีเรื่องจะปรึกษา อ่ออีกเรื่องห้องที่หนูธัญเคยนอนตอนนี้แม่เปลี่ยนเป็นห้องหนังสือไปแล้วหนูธัญคงต้องไปนอนห้องมัชนะลูก” คุณทิพย์สารวรรณบอกลูกสาวและธัญชนก

จากนั้นทั้งสองจึงขึ้นไปทำภารกิจส่วนตัว

“พี่ธัญอาบก่อนแล้วกันคะ เดี๋ยวมัชรอกระเป๋า” มัชวีเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้าส่งให้ธัญชนก

“คะ อ่อแล้วมัชช่วยเอากระเป๋าใบเล็กออกมาให้พี่ด้วยนะ ใบสีเขียวๆ” ธัญชนกสั่งก่อนจะหายไปทำธุระของเธอ

มัชวีรอจนเด็กนำกระเป๋ามาให้จากนั้นก็หยิบข้าวของต่างๆ ออกมาจัดวางอย่างเป็นระเบียบ

“มัชได้กระเป๋าเขียวหรือยังคะ” เสียงธัญชนกถามมาจากห้องน้ำ

“ได้แล้วค่ะ พี่จะเอาตอนนี้เลยเหรอ”

“อืม ส่งมาให้พี่ด้วย” ธัญชนกบอก

มัชวีหยิบกระเป๋าสีเขียวใบเล็ก เข้าใจว่าในนั้นคงเป็นเครื่องประทินผิวของธัญชนกเปิดประตูส่งให้ แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นเรือนร่างของธัญชนกที่อยู่ใต้สายน้ำฝักบัว ทำเอาคนที่ตั้งใจหยิบของมาส่งถึงกับชงัก มัชวีปิดประตูอย่างแผ่วเบา วางกระเป๋าลงบนชั้นวางข้างอ่างล้างหน้า มุ่งตรงไปยังร่างสวยได้สัดส่วนใต้สายน้ำฝักบัวที่ไหลริน โอบเอวของธัญชนกไว้จากด้านหลัง สายน้ำนั้นทำให้มัชวีเปียกปอนแต่เธอกลับไม่สนใจ

“ไม่เอามัชพี่จะอาบน้ำ” ธัญชนกเบี่ยงบ่าย

“ก็อาบไปสิค่ะ มัชจะช่วยพี่อาบ” มัชวีไม่ยอมถอยห่าง

“ช่วยพี่อาบหรือจะทำอะไร” ธัญชนกกล่าวอย่างรู้ทัน ด้วยท่าทางของมัชวีในตอนนี้เธอคงไม่มีทางได้อาบน้ำอย่างเดียวแน่นอน

“ช่วยจริงๆ คะพี่ มามะมัชช่วย” มัชวีเอื้อมมือไปหยิบฟองน้ำถูตัวจากมือของธัญชนกมาช่วยขัดหลังให้กับธัญชนก ความนุ่มลืนของฟองสบู่ทำให้การสัมผัสที่เบามือนั้นธัญชนกแทบละลายไปต่อหน้าของมัชวี สายน้ำจากฝักบัวยังคงไหลรินเอื่อยๆ แต่มีสายน้ำอีกสายที่เอ่อท้นด้วยมือของมัชวี มัชวีจัดแจงโอบธัญชนกด้วยผ้าเช็ดตัวผืนโตและอุ้มธัญชนกไปยังเตียงนอน

“ไม่เอาคะมัชคุณแม่รออยู่” ธัญชนกบ่ายเบี่ยงอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเวลานี้ไม่เป็นการสมควรที่จะมากุ๊กกิ๊กกัน มารดาของมัชวีที่รอทานข้าวอยู่ด้านล่างคงไม่พอใจเธอแน่หากทำให้ลูกสาวคนโปรดลงไปล่าช้า

“นะค่ะพี่ น่านะพี่สอบเสร็จแล้วทำตามสัญญาสิคะ” แล้วมัชวีก็จัดแจงกับเสื้อผ้าของตนที่เปียกโชกก่อนที่จะทาบทับลงบนร่างเปล่าเปลือยของธัญชนกที่นอนราบอยู่บนเตียงหนานุ่มตรงหน้า

ถึงตอนนี้ธัญชนกรู้แล้วว่าอะไรก็หยุดคนรักตรงหน้าของเธอไม่ได้อีกแล้ว และเธอเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหยุดการรุกรานของคนรักเช่นกัน

....................................................

เมื่อเวลาอาหารเย็นมาถึง มัชวีเดินจูงมือธัญชนกลงมาจากชั้นบน เห็นมารดาตนนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร แตะไม่เห็นป้าแจ่มจึงเอ่ยถามว่า

“คุณแม่ค่ะ ป้าแจ่มไปไหน”

“ป้าแจ่มไปเตรียมที่เรียนให้มัชกับหนูธัญ” คุณทิพย์สราวรรณตอบ

“เรียนอะไรค่ะ ถึงขนาดต้องเตรียม” มัชวีงุนงงกับคำบอกเล่าของมารดาตน

“เรียนภาษามัชกับหนูธัญต้องบินไปเรียนภาษา ถ้าป้าแจ่มติดต่อเสร็จมัชกับหนูธัญต้องบินไปเรียน”

“ห๊า ไปเรียนภาษา” มัชวีตกใจอีกครั้งกับคำบอกกล่าวของมารดา

“แล้วธัญต้องไปด้วยเหรอค่ะคุณแม่” ธัญชนกเอ่ยถามหลังจากที่มัชวีนั้นทำท่าทางตกใจไปแล้วหลายรอบ

“ก็ต้องไปด้วยกันสิลูก ไม่อย่างนั้นมัชต้องไม่ยอมไปเรียนแน่นอน” คุณทิพย์สราวรรณบอกเหตุผล ทำเอาสองสาวหันไปมองหน้ากันเลิกลัก อะไรจะรู้ใจกันปานนี้คุณแม่หนอคุณแม่

“ธัญรู้ไหมลูกว่าแม่นะให้มัชไปเรียนต่อที่โน่นตั้งแต่มัชเค้าเอ็นติด มัชไม่ไปท่าเดียวบอกว่าจะอยู่เมืองไทยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ตอนนี้แม่พอรู้แล้วว่าเหตุผลของมัชเพราะอะไร” คุณทิพย์สราวรรณบอกธัญชนก

“ทำไมหละคะคุณแม่”

“ก็เพราะเจ้ามัชของแม่แอบติดใจสาวเหนือคนสวยอย่างหนูธัญไงจ๊ะ ก็เลยไม่ยอมไปไหน แม่กับป้าแจ่มก็พยายามหาเหตุผลของการปฏิเสธของมัชว่าทำไม และก็พึ่งมารู้เมื่อคราวที่แล้วที่มัชพาหนูธัญมาที่บ้าน ป้าแจ่มนะรายงานละเอียดทุกฝีก้าวเลยก็ว่าได้ ว่ายายมัชตัวแสบของที่บ้านตกหลุมรักสาวจากเมืองเหนือ พาไปเที่ยวทะเล และที่สำคัญสาวเมืองเหนือคนนั้นเป็นลูกสาวของธัญญาเพื่อนรักของพวกแม่ นั่นยิ่งทำให้แม่และพ่ออยากเห็นหน้าสาวเมืองเหนือคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และสมใจอยากจริงๆ วันนี้ที่แม่ได้เห็นหนูธัญ แม่ก็รู้ว่ามัชเลือกไม่ผิดจริงๆ” คุณทิพย์สราวรรณนั้นบอกเหตุผล และยื่นไมตรีให้กับธัญชนก

ธัญชนกยกมือไหว้ขอบคุณคุณทิพย์สราวรรณจากจริง เธอไม่เคยรู้หรอกว่าความสัมพันธ์ของมารดาเธอกับคุณทิพย์สราวรรณนั้นจะแน่นแฟ้นถึงเพียงนี้ และยังเหลือเผื่อแผ่ให้กับเธอซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนรักอีกด้วย น้ำใจไมตรีที่มอบให้แก่กันนั้นช่างซาบซึ้งใจธัญชนกมากมาย

“ขอบพระคุณค่ะคุณแม่ที่มีไมตรีกับธัญ” ธัญชนกน้ำตาคลอ

“ไม่เป็นไรหรอกลูก หนูธัญก็เหมือนลูกคนนึงของแม่ และที่สำคัญเป็นลูกสะใภ้ของแม่ด้วย แม่ซะอีกต้องฝากมัชแสนดื้อของแม่ให้หนูธัญเลี้ยง แล้วอย่าเอามาคืนแม่นะ แม่ไม่รับคืนเด็ดขาด ขายขาดแล้ว” คุณทิพย์สราวรรณกล่าวติดตลก ทำเอามัชวีนั่งหน้าง้ำ กับการสนทนาระหว่างมารดาตนกับคนรักของเธอ

“สมัยเด็กๆ นะ มัชเค้าขี้เหร่มาก แม่บอกกับพ่อและป้าแจ่มว่าหากใครมาขอมัช แม่จะแถมข้าว ๑ กระสอบ พร้อมที่ดินอีกแปลง แต่ห้ามเอาคืนเพราะแม่ไม่อยากเลี้ยง แต่ป้าแจ่มบอกว่า ป้าแจ่มจะเลี้ยงเอง ถ้าใครไม่มาขอป้าแจ่มจะเก็บมัชไว้เลี้ยงเอง”

“แล้วคุณแม่บอกป้าแจ่มว่าไงค่ะ”

“ก็บอกว่าถ้าจะเลี้ยงลิงได้ไปตลอดชีวิตก็เลี้ยงเถอะ แม่ไม่เอาด้วยหรอก อีกอย่างนะ มัชตอนเด็กๆ ชอบปีนป่ายต้นไม้หน้าบ้าน แต่พอปีนไปลงไม่ได้ต้องให้คุณพ่อเอาบันไดพาดต้นไม้ไปอุ้มลงมาร้องไห้โยแย ป้าแจ่มตีซ้ำบอกอีกนะว่าถ้าริจะปีนขึ้นไปต้องหาลู่ทางปีนลงเองด้วย อีก ๒ วันมัชปีนขึ้นไปอีก คราวนี้ปีนกลับลงมาเองได้ ไม่ร้องให้ใครไปอุ้มลงมาอีก ตอนหัดเล่นสเก๊ตก็เหมือนกัน ร้องไห้อยากเล่นกับเค้า ครั้นพอเอามาให้เล่นก็ล้มลุกคลุกคลานร้องไห้เพราะหัวเข่าแตก แต่พอป้าแจ่มเอ็ดทีเดียว ไม่เห็นร้องอีก แถมยังหัดจนเล่นได้ไปอวดเพื่อนข้างบ้าน ว่าไปแล้วหนูนิ่มก็หายไปเลยนะนี่ตั้งแต่ย้ายบ้าน” คุณทิพย์สราวรรณเล่าไปเรื่อยจนนึกถึงเด็กสาวข้างบ้านลูกไล่ของมัชวีในวัยเยาว์

“นั่นสิค่ะคุณแม่ยายนิ่มหายไปไหนไม่รู้ จนป่านนี้ไม่ติดต่อกลับมาเลยหลายปีแล้วด้วย” มัชวีตอบกลับมารดา มัชวีนึกถึงเด็กตัวน้อยข้างบ้านที่ขาดการติดต่อกันไปนานมากจนเธอไม่อยากจะนึกถึงคำสัญญาที่มีให้แก่กันอีกต่อไป

“คือหนูนิ่มนี่แหละหนูธัญเป็นลูกไล่ของมัชมาตั้งแต่เด็กๆ เล่นเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงกันมา ทั้งละเวกบ้านนี้ก็มีแต่หนูนิ่มที่วัยไล่เลี่ยกับมัชเค้า สองคนก็เลยเล่นกันมาจนหนูนิ่มย้ายไปที่อื่น พ่อกับแม่ก็เลยซื้อบ้านของหนูนิ่มที่อยู่ข้างบ้านเราทุบรั้วบ้านออกบ้านเราก็เลยกว้างมากขึ้น ตอนนี้ป้าแจ่มเค้าก็อยู่ที่บ้านนั้นเพราะพ่อกับแม่เสียดายตัวบ้านไม่อยากทุบทิ้ง”

“อ่อคะคุณแม่” ธัญชนกนั่งฟังคำบอกเล่าของคุณทิพย์สราวรรณจนเพลิน

“ทานข้าวกันเถอะแม่หิวแล้วแต่คงไม่อร่อยเท่าฝีมือป้าแจ่มนะ เพราะแม่ทำไม่เก่งเท่าป้าแจ่มเค้าหรอก” คุณทิพย์สราวรรณเอ่ยปากชวนเพราะเห็นสองสาวนั่งนิ่งไม่ยอมทานข้าว

“มัชทานได้คะคุณแม่ถึงจะอร่อยไม่เท่าแต่นานๆ ทานฝีมือคุณแม่สักทีก็ดีใจจะแย่แล้ว” มัชวีประจบ

“เหรอนึกว่าติดใจสาวเหนือจนลืมฝีมือแม่ แต่จะทำอะไรปิดประตูหน่อยก็ดีนะมัช เสียงจะได้ไม่ดังลงมาข้างล่างอายเด็กๆ แล้วอย่าให้แม่ต้องเดินไปปิดประตูให้อีกหละ” คุณทิพย์สราวรรณพูดแล้วก็ทำท่าทางเฉยนั่งทานข้าวต่อ

แต่สองสาวสิตกใจมัชวีจำได้ว่าเมื่อเด็กยกกระเป๋ามาให้แล้วเธอเองก็ไม่ได้ดูว่าเด็กปิดประตูสนิทหรือเปล่า ตายหละหว่า อย่างนี้ก็ได้ยินกันทั้งบ้านเลยหละสิ เวรกรรมแท้ๆ มัชวีเอ๊ย แบบนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนนี่ ส่วนธัญชนกนั้นได้แต่อึ้งกิมกี่ หน้าแดงซ่านไปหมด

.................................

ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งมัชวีและธัญชนกก็วุ่นวายกับการไปทำพาสปอร์ตและทำวีซ่าเพื่อไปเรียนภาษา ด้วยธัญชนกนั้นเอกสารทุกอย่างอยู่ที่บ้านของเธอทั้งหมด มีเพียงบัตรประชานชใบเดียวเท่านั้น ธัญชนกจึงใช้วิทยายุทธพิเศษติดต่อกับพี่เลี้ยงให้ส่งเอกสารมาให้เธอที่กรุงเทพ โดยไม่ยอมให้ป๋าและอาม่ารู้เรื่องเป็นอันขาด กว่าจะได้เอกสารมานั้นพี่เลี้ยงของธัญชนกก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในที่สุดเอกสารทุกอย่างก็พร้อม ใบตอบรับการเรียนของเธอพร้อมเพราะถูกส่งมาจากป้าแจ่มจรัสที่ไปตั้งหลักปักฐานรอเธอและมัชวีอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อกำหนดการเดินทางมาถึงทั้งสองสาวได้เวลาจากเมืองไทยไปยังต่างถิ่น แต่ที่รู้ๆ กันอย่างน้อยก็มีป้าแจ่มจรัสรอรับพวกเธออยู่ที่ปลายทาง เครื่องบินใช้เวลาบินนานหลายชั่วโมง ทั้งสองสาวในใจนั้นตื่นเต้นเป็นที่สุด ด้วยการเดินทางครั้งก่อนๆ ของพวกเธอก็เป็นเพียงการท่องเที่ยว ไปกับกลุ่มทัวร์เป็นกำหนดการที่แน่นอนตายตัว แต่ครั้งนี้ ทั้งสองสาวต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โดยมารดาของมัชวีได้สั่งไว้ว่า

“ทั้งสองคนเมื่อไปถึงป้าแจ่มเค้าจะพาพวกลูกไปที่พักแล้วก็ดูแลจนกว่าพวกลูกจะเข้าเรียนจากนั้นป้าแจ่มจะกลับมาเมืองไทย ให้พวกลูกๆ ดูแลซึ่งกันและกันดีๆ นะ แม่หวังว่าเราสองคนจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง เรียนภาษาให้คล่อง เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้จริงๆ เมื่อเราเรียนจบปริญญาตรีที่นี่แม่จะส่งเราสองคนไปเรียนต่อที่โน่นอีกรอบ แม่คงไม่ผิดหวังกับเราสองคน เพราะไปเที่ยวกันจนลืมเรียนหละ” คุณทิพย์สราวรรณสั่งเสียก่อนที่สองสาวจะเดินเข้าไปยังสนามบิน เพื่ออำลา

“ค่ะแม่” มัชวีรับคำ

...........................

เครื่องบินลงจอดที่สนามบินเมืองหน้าตาแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นกับสายตาของทั้งสองสาว เมื่อรับกระเป๋าแล้วก็เดินออกมาตามทาง ใจหนึ่งก็กลัวจะไม่เจอป้าแจ่มที่สุดปลายทาง ใจหนึ่งก็กลัวจะหลงทาง ต่างบ้านต่างเมืองเป็นแบบนี้นี่เองนะเหรอ ดีนะที่เดินทางมากันสองคนไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามาหรอกนะ มัชวีได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดคุยเรื่องที่ไม่ค่อยสบายใจกับธัญชนก เพราะด้วยรู้กันอยู่ว่าธัญชนกก็วิตกกังวลเช่นกัน

มัชวีนะเหรอ ภาษาเธอค่อนข้างด้อยสู้ธัญชนกไม่ได้ เพราะเธอนั้นไม่ใคร่จะใฝ่รู้ทางภาษาเท่าใดนัก เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกจะกังวลมากที่สุด

ปลายทางเดินเห็นป้าแจ่มยืนยิ้มอยู่ที่นั่น ทั้งสองสาวรีบเข็นรถวิ่งกรูกันเข้าไปหาป้าแจ่ม มัชวีโอบกอดป้าแจ่ม น้ำตาแห่งความดีใจไหลริน

“ร้องไห้เป็นเด็กไปได้มัช ป้าไม่ได้ทิ้งไปไหนสักนิด ดูเข้าดูทำ อย่างกับเด็กเล็กๆ” ป้าแจ่มเห็นท่าทางการร้องไห้ของมัชวีแล้วนึกขำ

“ดูพี่ธัญสิเค้ายังไม่ร้องไห้เลย นี่อะไรแค่นั่งเครื่องไม่กี่ชั่วโมงต้องร้องไห้ด้วย”

“ก็ป้าไม่ได้มาเป็นมัชป้าไม่รู้หรอกว่ามันขมขื่นใจแค่ไหน”

“ขมขื่นยังไงแค่มาเรียนประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้มาอยู่เลยสักหน่อย อีกไม่กี่วันก็ได้กลับแล้ว”

“ก็..”

“ไม่ต้องมาบ่นมาเถียงเลยนะ เรานะมากับหนูธัญถ้าใครสักคนถอดใจอีกคนจะทำไง รู้บ้างสิว่าไม่มีใครอยากเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก ไปเถอะไปที่พัก พรุ่งนี้ป้าจะพาไปที่เรียน อ๋อแล้วอีกอย่างนะ ทั้งสองคนพักที่เดียวกันแต่เรียนคนละห้องนะ เพราะว่าป้าไม่อยากให้เราติดหนึบกันจนไม่ยอมพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาไทย” ป้าแจ่มกล่าวจบก็เดินนำสองสาวไปยังที่จอดรถและพาไปที่พัก

.................................

วันรุ่งขึ้นป้าแจ่มจรัสพาสองสาวโดยให้ขึ้นรถประจำทางไปเนื่องจากป้าแจ่มบอกว่าทั้งสองคนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองที่จะดำรงชีวิตอยู่ในต่างถิ่นให้ได้ เมื่อมาถึงที่เรียนซึ่งดูเหมือนเป็นตึกแถว แต่ข้างในนั้นมีห้องเรียนมากมาย มัชวีสังเกตเห็นว่ามีคนผมดำค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ค่อยจะมีคนไทยสักเท่าใด ส่วนใหญ่จะเป็นเกาหลี เวียดนาม ซึ่งแต่ละคนก็ท่าทางไม่คล่องพอๆ กับเธอ

มัชวีและธัญชนกถูกจับแยกกันเรียนอย่างที่ป้าแจ่มบอกจริงๆ วันแรกสำหรับมัชวีช่างตื่นเต้นเหลือเกิน การเรียนไม่ต้องพูดถึง หูเธอแทบไม่กระดิก ด้วยภาษาอังกฤษที่แปร่งๆ ของเหล่าบรรดาเพื่อนที่เรียนด้วยกันต่างคนต่างไม่คล่อง ครั้นจะใช้ภาษาตนเองก็พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง มัชวีเริ่มเรียนบทสนทนาแบบง่ายๆ ในชั่วโมงแรกๆ เมื่อเรียนจบในวันนั้นทั้งสองคนเดินลงมาข้างล่างก็เห็นป้าแจ่มยืนรออยู่

“เป็นไงการเรียนวันแรก สนุกไม๊”

“ไม่เลยค่ะป้า คุยกันไม่รู้เรื่องสักนิด” มัชวีบ่น

“แล้วหนูธัญหละ”

ธัญชนกยิ้มนิดๆ ก่อนตอบคำถาม “ก็ดีคะป้า สนุกดี มีเพื่อนหลายชาติหลายภาษา”

“แบบนี้แหละเดี๋ยวก็ชินไปเอง ว่าแต่วันนี้เราจะไปทานอะไรกันดี” ป้าแจ่มถามขณะเดินมายังป้ายรถประจำทาง

“อะไรก็ได้คะ มัชว่าเพราะตอนนี้มัชหิวแล้วอะ”

“อ้าวทำไมไม่หาอะไรทานรองท้องก่อนหละมัช” ธัญชนกนั้นหันไปถามมัชวีที่ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด

“ก็มัช..ไม่กล้าไปซื้อนะสิคะ คือว่ามัชพูดภาษาไม่รู้เรื่อง แถมคนยังเยอะด้วยมัชก็เลยยอมอดดีกว่า”

เพี๊ยะ!!!!!!!!!!! เสียงฟาดที่ต้นแขนมัชวีดังลั่น

“โอ๊ย” เสียมัชวีก็ร้องลั่นเช่นกัน

“ทำไมมาตีมัชแบบนี้อะป้าแจ่ม” มัชวีโมโหป้าแจ่มที่ฟาดฝ่ามือมาที่เธออย่างแรง

“ตีสั่งสอน ใครสั่งใครสอนให้อดเพราะไม่กล้าพูด นี่ถ้าหากพูดไม่ได้จะไม่ยอมทานอะไรเลยใช่ไม๊ แล้วหากเกิดว่ามัชพูดไม่ได้จนจะกลับเมืองไทยมัชไม่ต้องอดตายเลยหรือไง” ป้าแจ่มพูดด้วยน้ำเสียงโกรธอย่างมาก

“มัชขอโทษคะป้า” มัชวียกมือไหว้กล่าวขอโทษป้าแจ่มซึ่งเธอรู้ว่าตนเองนั้นผิดเต็มประตู

“คราวหลังหากเราคิดแบบนี้ไม่มีความกล้าก็ไม่ต้องมาเป็นลูกป้า จะทำอะไรต้องมั่นใจต้องอดทน และความกล้าที่มีจะทำให้เราต่อสู้กับอุปสรรคข้างหน้าได้อย่างไม่หวั่นเกรงอะไร มัชรู้ไม๊ลูกว่าทำไมป้ากับแม่ถึงอยากให้มัชมาเรียนที่นี่ ก็เพราะป้ารู้ว่าถ้ามัชยังไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองช่วยเหลือตัวเองให้มากกว่าที่ป้าและแม่เค้าทำไว้ให้มัชเองจะไม่มีทางโต และอีกอย่างมัชต้องดูแลหนูธัญมัชสัญญากับป้าได้หรือเปล่าว่าจะกล้าพูดกล้าทำและดูแลคนที่มัชรักให้ได้ ในขณะที่อยู่ที่นี่” ป้าแจ่มสั่งสอนมัชวีกลางป้ายรถเมล์ หากฝรั่งมังค่าฟังภาษาไทยออกมัชวีคงต้องอายแทบแทรงแผ่นดินหนี

“อ่อ อีกอย่างป้าจะไม่พูดภาษาไทยกับเราทั้งสองคนอีกต่อไป นี่เป็นภาษาไทยประโยคสุดท้ายที่ป้าจะพูดด้วย จากนี้ไปจะไม่มีหลุดจากปากป้าอีกเลย” ป้าแจ่มพูดจบก็เงียบและนำสองคนขึ้นรถประจำทางไปยังร้านอาหาร

.............................................

หลังจากนั้นสามวันป้าแจ่มก็เดินทางกลับเมืองไทย ทิ้งให้สองสาวอยู่กันเอง และรู้ว่าทั้งสองคนนั้นสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง มัชวีเริ่มจะเรียนรู้อะไรได้มากขึ้น ธัญชนกเองนั้นก็คล่องกว่าเดิมเล็กน้อย อย่างน้อยทั้งสองก็ไม่อดตายสั่งอาหารเป็น ถึงแม้จะเป็นเมนูเดิมๆ ที่ป้าแจ่มเคยสั่งแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรลงท้อง

“มัชว่าเราสองคนจะอยู่รอดจนเรียนจบหรือเปล่า” ธัญชนกถามขึ้นในคืนหนึ่งขณะที่นั่งดูรายการโทรทัศน์

“ได้สิคะพี่ธัญทำไมเหรอ”

“พี่กลัวจังเลย” ธัญชนกเอ่ยเบาๆ

“ไม่ต้องกลัวค่ะพี่ มัชอยู่ทั้งคน พี่ธัญไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” มัชวีเน้นหนักแน่น นี่สินะที่ป้าแจ่มคอยสอนเธอให้ดูแลธัญชนกเพราะแบบนี้นี่เอง

จะว่าไปแล้วป้าแจ่มก็สอนอะไรหลายๆ อย่างให้เธอ สอนให้ซักผ้าตู้หยอดเหรียญใต้ที่พัก สอนทำอาหารซึ่งเธอว่าฝีมือเธอนั้นไม่อร่อยเอาเสียเลย ผิดกับธัญชนกไม่ว่าจะทำอะไรก็อร่อยไปหมด ป้าแจ่มให้เงินพวกเธอพอเพียงกับการใช้ชีวิตในแต่ละสัปดาห์อย่างไม่ลำบาก แต่ไม่ให้จนเหลือเฟือสุรุ่ยสุร่าย พวกเธอจึงต้องดำเนินชีวิตแบบคนทั่วไปไม่ใช่คุณหนูที่มีรถรับส่ง

การรับฟังภาษานั้นตอนนี้มัชวีเริ่มจะเรียนรู้ได้มากขึ้นจะติดอยู่ก็ตรงเวลาต้องสื่อสารกับพวกแขกที่พูดรัวและเร็ว แต่ร้านอาหารแขกที่เธอสองคนผูกปิ่นโตไว้นั้นก็ทำให้ทั้งสองเริ่มจะจับใจความได้มากขึ้น ด้วยร้านอาหารไทยที่มีอยู่ก็ไกลจากที่พัก แฮมเบอร์เกอร์ก็ไม่อิ่มท้องและราคาก็ไม่ได้ย่อมเยาอย่างที่เข้าใจ ซุปเปอร์มาเก๊ตก็เป็นอีกที่ที่สองสาวจะแวะมาจับจ่ายหอบเอาขนมปังปอนด์ ซีเรียลและนมกลับไปเป็นอาหารในหลายๆ มื้อ

....................................

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นสองเดือน ทั้งสองเริ่มจะคุ้นและชินกับชีวิตในต่างแดนมากขึ้น เมื่อวันหยุดมาถึงจึงมีการวางแผนเที่ยวกัน เธอทั้งสองได้แผนที่มาคนละชุด หาทางเที่ยวในที่ใกล้ๆ ออกไปดูชีวิตนอกเมือง ซึ่งดูจะแตกต่างกับชีวิตในเมืองอย่างมากมาย

“มัชว่าถ้าเราได้อยู่แบบนี้ก็คงดีนะค่ะพี่ธัญ ดูสงบดี” มัชวียืนมองทุ่งหญ้าตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

“อืม สงบแต่คงลำบากพอดู ชีวิตเกษตรกรเมืองนอกกับบ้านเราช่างต่างกันจริงๆ นะ ดูสิ ที่นี่เค้าใช้เครื่องทุ่นแรงมากมาย แต่บ้านเราอย่างมากก็รถไถ รถเกี่ยวข้าว แต่ที่นี่ดูอะไรก็ไฮเทคไปหมด”

“นั่นสิค่ะ”

ระหว่างทางเดินมีรถบรรทุกวิ่งผ่านมา สองคนมองตามรถบรรทุกนั้น โดยมัชวีตัดสินใจโบกรถกะบะอีกคันที่วิ่งตามมา เมื่อรถจอดรับมัชวีจึงรีบเดินไปสอบถามทางคนขับ

“Can you help me please?” มัชวีเดินไปสอบถามถึงสถานที่ที่ตัวเองต้องไป และยื่นแผนที่ให้คนในรถนั้นดู

“Sorry Miss,I want to go to this place” มัชวีชี้สถานที่ที่ต้องการไปบนแผนที่ให้กับคนขับที่เธอเห็นเป็นผู้หญิง

“คนไทยหรือเปล่าคะ” คนขับรถนั้นส่งเสียงถามมา

“คะ” ด้วยความดีใจที่มีคนไทยด้วยกันมัชวีนั้นโบกมือเรียกธัญชนกที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก

“พี่ธัญ คนขับรถนี่คนไทยคะ” มัชวีบอกด้วยเสียงดีใจ

“เราสองคนเป็นคนไทยคะ เราจะไปเที่ยวที่นี่” แล้วมัชวีก็ชี้ในแผนที่ถึงสถานที่ที่ตนและธัญชนกจะไป

“พอดีเลยคะ กำลังจะไปที่นั่น ขึ้นรถมาสิคะ” เจ้าของรถผู้ใจดีกล่างเอ่ยชวน

เมื่อสองสาวขึ้นรถได้ก็นั่งเงียบ

“คุณมาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือค่ะ” ธัญชนกเอ่ยทำลายความเงียบด้วยความใคร่รู้

“นานแล้วค่ะ ตั้งแต่ฉันจบป.๖ คุณพ่อคุณแม่ย้ายมาที่นี่ก็ย้ายตามท่านมา” เจ้าของรถเอ่ยภาษาไทยด้วยเสียงแปร่งๆ หู

“มาอยู่นานจังเลยนะค่ะ แบบนี้ก็คุ้นเคยกับที่นี่ดีเลยนะสิ” ธัญชนกดูจะสนใจมากเป็นพิแศษ

“คะ ก็คุ้นกับที่นี่แล้วก็ต้องทำงานที่นี่ด้วย” เจ้าของรถกล่าว

“พวกเราหมายถึงฉันกับมัช เราพึ่งมาได้ไม่นานคะ เรามาเรียนภาษา อ่อ ฉันชื่อธัญค่ะ ส่วนนี้มัช” ธัญชนกแนะนำตัวกับเจ้าของรถ

“ยินดีคะฉันชื่อนิ่มนวล หรือจะเรียกว่า นิ่มก็ได้คะ” เจ้าของรถบอกต่อ

จากชื่อที่รู้สึกจะสะกิดใจทั้งมัชวีและเจ้าของรถนั้น ต่างหันมามองหน้ากัน ความคลับคล้ายคลับคลาก็เริ่มเกิดขึ้นในใจทั้งสอง

“เอ่อ คือคุณนิ่มค่ะ คุณบอกว่าย้ายมาจากเมืองไทยตั้งแต่ ป. ๖ หรือค่ะ เหมือนเพื่อนฉันคนนึงเธอก็ย้ายเหมือนกันแต่เราไม่ได้ติดต่อกันเลยหลังจากที่เธอย้ายไป” มัชวีหันมาพูดคุยกับเจ้าของรถกับเขาบ้าง

“ค่ะ เอ๋ คุณชื่ออะไรนะค่ะ” นิ่มนวลหันมาถามมัชวีอีกครั้ง

“มัชวีคะ มัชวี อนันต์โรจน์” มัชวีตอบ

“Oh !!! My God” เสียเจ้าของรถอุทานเสียงหลง

“มัช เธอเองเหรอ เรานิ่ม นุ่มนิ่มเพื่อนข้างบ้านเธอ” นิ่มนวลนั้นจอดรถแอบข้างทาง แล้วหันมาคุยกับมัชวีอย่างจริงจัง

“นิ่มจริงๆ เหรอนี่ ดีใจจัง” มัชวีเอื้อมมือผ่านหน้าธัญชนกที่นั่งคั่นระหว่างเธอกับนิ่มนวลเพื่อไปจับมือนิ่มนวลอย่างดีใจ

“ใช่จริงๆ ด้วย มัชซึโมโต๊ะของเรา” นิ่มนวลยิ้มเมื่อนึกถึงมัชวีตอนเด็กที่ชอบมวยปล้ำเป็นชีวิตจิตใจ และเคยบอกเสมอว่ามัชจะเป็นนักมวยปล้ำให้ได้

“เราลืมไปแล้วนะนั่น ว่าเรานะจะเป็นดั๊มมัชซึโมโต๊ะ ใช่ไม๊เดวิลมาซามิ”

แล้วเสียงหัวเราะของทั้งสามคนก็ลั่นรถ

“ว่าแต่ว่า วันนี้ไปพักบ้านเราไม๊ คุณพ่อกับคุณแม่คงดีใจที่ได้เจอมัช” นิ่มนวลเอ่ยชวน

“พี่ธัญเราไปพักบ้านนิ่มกันนะ นานๆ มัชจะได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน” มัชวีเอ่ยชวนธัญชนกซึ่งนั่งคั่นกลางระหว่างเธอกับนิ่มนวล

“ไปสิคะ”

“งั้นพวกเราไปบ้านนิ่มกันเลยนะ แล้วนิ่มจะพาเที่ยวให้ทั่วเลยแล้วกัน”

จากนั้นทั้งสามสาวก็มุ่งตรงไปยังบ้านของนิ่มนวลที่อยู่ไม่ไกลมากนักด้วยบิดามารดาของนิ่มนวลนั้นเมื่อย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เริ่มลงหลักปักฐานในการทำไร่และปลูกผลไม้ ที่ทางจึงดูเยอะและมีหลายอย่างที่นิ่มนวลเองต้องช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่เล็ก นิ่มนวลใช้ชีวิตในต่างแดนจากเด็กจนเป็นสาวสพรั่ง มัชวีสังเกตว่าเพื่อนของเธอนั่นค่อนข้างสวย และสวยมากเลยทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับธัญชนกที่สวยแบบอ่อนหวาน แต่นิ่มนวลนั้นสวยแบบแกร่งๆ บอกไม่ถูกว่าแกร่งแบบไหน อาจเป็นเพราะการเติบโตในต่างแดนจึงทำให้ดูแกร่งก็เป็นไปได้

ทั้งสามคนเข้ามาในตัวบ้านที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบแบบชาวตะวันตกทั่วไป จะมีของประดับที่มาจากเมืองไทยก็เห็นจะมีพระพุธรูปที่อยู่บนหิ้งพระเล็กๆ รูปถ่ายจากเมืองไทยก็มีบ้างเล็กน้อย และที่มัชวีสังเกตเห็นอีกรูปก็คือ รูปคู่ของเธอและนิ่มนวลยืนกอดคอกันแขวนประดับข้างฝาบ้านไว้ ข้างใต้รูปมีลายมือเด็กๆ สองคนเขียนไว้ว่า

“เราจะรักกันตลอดไป มัชซึโมโต๊ะ + เดวิลมาซามิ”

คุณศักดิ์ชายและคุณมลฤดีบิดามารดาของนิ่มนวลนั้นดูจะดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบกับมัชวีที่ไม่ได้พบกันมานาน ทั้งสองทักทายมัชวีและถามไถ่ถึงบิดามารดาของมัชวีซึ่งคำตอบก็คือสบายดีทั้งคู่ จากนั้นคุณศักดิ์ชายและคุณมลฤดีก็ขอตัวเข้าฟาร์มเนื่องจากงานที่ทำไว้นั้นยังไม่เสร็จ

นิ่มนวลพาสองสาวไปเที่ยวยังสถานที่ที่ทั้งสองสาวอยากไปและจากที่ธัญชนกนั่งคั่นระหว่างมัชวีและนิ่มนวลก็กลับกลายเป็นมัชวีและนิ่มนวลนั่งติดกัน การสนทนากันก็เป็นระหว่างมัชวีและนิ่มนวลถึงวันวานครั้งเก่า

ธัญชนกรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินจึงได้แต่นั่งเงียบและฟังการสนทนาของทั้งคู่ โดยมัชวีนั้นไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของธัญชนกแม้แต่น้อย เพราะความดีใจที่ได้พบเจอเพื่อนเก่าของเธอ เมื่อกลับถึงบ้านของนิ่มนวลธัญชนกก็ขอตัวเข้าห้องบอกแต่เพียงว่าเพลียกับการเดินทาง

“พี่ธัญจะทานยาหน่อยไหมคะ” มัชวียกมือขึ้นแตะหน้าผากธัญชนกด้วยความห่วงใย

“ไม่ดีกว่าพี่ขอตัวไปนอนพักดีกว่ามัชอยู่คุยกับน้องนิ่มไปเถอะ” ธัญชนกปลีกตัวเดินเข้าห้องไปอย่างเงียบๆ โดยมีสายตาของมัชวีและนิ่มนวลมองตามหลัง

...........................................

มัชวีและนิ่มนวลนั่งดื่มกาแฟกันที่ระเบียงหลังบ้าน ดื่มด่ำบรรยากาศรอบข้าง

“อากาศเริ่มเย็นแล้วมัชจะเข้าไปข้างในบ้านหรือเปล่า” นิ่มนวลเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอากาศข้างนอกนั้นค่อนข้างเย็น

“ไม่ดีกว่า เราว่าจะนั่งสักพักก็จะไปนอนแล้ว วันนี้เพลียๆ เหมือนกัน ว่าจะไปดูพี่ธัญด้วยสักหน่อย”

“พี่ธัญนี่เป็นแฟนมัชเหรอ” นิ่มนวลถามขึ้นเมื่อเห็นมัชวีดูจะห่วงใยธัญชนกเป็นพิเศษ

“อืม” มีเพียงเสียงตอบในลำคอของมัชวีเท่านั้น

“ดีจังนะที่มัชมีแฟนแล้วเราสิ หลงอยู่กับคำสัญญาเก่าๆ” นิ่มนวลดูใบหน้าสลดลง

“อย่าบอกนะว่านิ่มยังจำคำสัญญาของเราสองคนในตอนเด็กอยู่” มัชวีหันไปมองหน้านิ่มนวลที่นั่งตรงข้ามตน

“อืม เรารอวันที่สัญญาจะเป็นจริง เรายังรอมัชเสมอ” นิ่มนวลก้มหน้านิ่งมองถ้วยกาแฟในมือตนเอง

มัชวีเอื้อมมือมาจับมือของนิ่มนวลที่ถือแก้วกาแฟตรงหน้าเธอ “เราขอโทษนะนิ่ม เราคิดว่ามันเป็นคำสัญญาเด็กๆ อีกอย่างเราติดต่อนิ่มไม่ได้เลยจนเราไม่รู้ว่านิ่มยังมชีวิตหรือตายจาก”

“เราเข้าใจมัช เราเข้าใจ” นิ่มนวลได้แต่เอ่ยคำซ้ำๆ และน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาที่สวยคู่นั้น

มัชวีลุกจากที่นั่งของเธอไปโอบกอดเพื่อนสนิทที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนคนรักของเธอเมื่อยังเยาว์วัย ภาพในอดีตเริ่มเข้ามาในหัวสมองของมัชวี

“นิ่มไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกถึงแม้เรากับนิ่มจะอยู่ไกลกัน เรายังมีนิ่มเป็นโลกของเราเสมอนะนิ่ม เราสองคนจะกลับมาเจอกันนะนิ่ม เราสัญญาวาจะรอนิ่มกลับมาแต่งงานกับเรา” เด็กน้อยมัชวีกล่าวเสียงใส

“เราจะกลับมาหามัชมาแต่งงานกับมัช” เด็กสองคนกอดกันกลมจูบแรกของทั้งสองเกิดขึ้น ณ.ที่แห่งนั้นสวนหลังบ้าน ถึงแม้จะไม่เคยได้รับการจูบจากใคร แต่จูบนั้นก็หวานหอมไปด้วยมิตรภาพที่ดีของเด็กสาวตัวน้อยๆ สองคน ที่มีไมตรีต่อกันมาเนิ่นนาน

และความคิดในห้วงคำนึงของมัชวีก็สะดุดลงเมื่อมีเสียงเอ่ยเบาๆ ของนิ่มนวลว่า

“มัชรู้ไม๊ว่าเรานะส่งจดหมายไปหามัชทุกเดือนเดือนละฉบับมาเป็นเวลา ๗ ปี แต่ไม่มีจดหมายตอบกลับมาเลยแม้แต่ฉบับเดียว เรารู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่มัชซื้อบ้านต่อจากคุณพ่อเรา เราก็ส่งไปบ้านเลขที่เดิม มาตลอดเวลา แต่เหมือนกับไม่มีมัชอยู่ในโลก จดหมายทุกฉับไม่มีการตอบกลับ เราเฝ้ารอจดหมายตอบกลับเรารอ รอจนถึงทุกวันนี้ เรามาอยู่ที่นี่ เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อนก็ไม่เหมือนเดิมเราเหงาอย่างบอกไม่ถูก” นิ่มนวลเล่าเรื่องราวต่างๆของเธอให้มัชวีฟัง

“นิ่มบอกว่าส่งจดหมายให้เราเดือนละฉบับเหรอ ทำไมเราไม่เคยได้เลยสักฉบับเดียว” มัชวีถามย้ำจากเรื่องที่นิ่มนวลบอกเธอ

“ใช่เราส่งไปเดือนละฉบับเล่าเรื่องราวของเราให้มัชฟัง ในนั้นเราจะบอกเสมอว่าเรารักและรอสัญญาของมัชมาโดยตลอด ทุกฉบับเราหวังจะได้รับจดหมายตอบกลับ แต่เราก็รอเก้อมา ๗ ปี” นิ่มนวลมีน้ำตาไหลอาบแก้ม

มัชวีเวลานี้รู้สึกสับสนในหัวใจของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่ออดีตที่เคยคิดว่าจะไม่มีทางหาพบ และปัจจุบันที่เธอและธัญชนกนั้นเป็นเสมือนคู่ชีวิตต้องมาบรรจบกัน ณ.สถานที่แห่งนี้ เธอไม่เคยได้รับจดหมายจากนิ่มนวล ต้องเป็นป้าแจ่มที่เก็บไว้ไม่ยอมนำจดหมายมาให้เธอ เธอต้องรู้ไห้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจดหมายเหล่านั้น

นิ่มนวลกอดตอบมัชวีอย่างรักใคร่ เลื่อนตัวขึ้นจากการนั่งเป็นยืนคู่กับคนในอ้อมแขน จูบปากมัชวีที่โอบเธออยู่ จูบนี้สินะที่เธอรอคอยมาหลายปี จูบนี้สินะ ที่ตรึงใจเธอไม่มีวันลืม แม้จะผ่านเวลามาแสนนานแต่นิ่มนวลไม่เคยลืมจูบแรกของเธอกับคนตรงหน้า

มัชวีได้สติผละออกจากนิ่มนวลอย่างช้าๆ กล่าวเสียงเรียบว่า

“นิ่ม มันไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไปแล้ว มัชมีคนของมัชแล้ว พี่ธัญเค้าดีกับมัชมาก และตอนนี่เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะนิ่ม เราขอโทษที่ทำให้นิ่มต้องมาจมอยู่กับสัญญานั้น เราขอโทษจริงๆ” แล้วมัชวีก็เดินจากไป ปล่อยให้นิ่มนวลยืนอย่างอ้างว้างเดียวดาย

“โลกของนิ่มคือมัชคนเดียวเท่านั้นจริงๆ นะ” นิ่มนวลแหงนหน้าพูดท่ามกลางหมู่ดาวและแสงจันทร์

ภาพของมัชวีและนิ่มนวลที่กอดและจูบกันนั้นทำให้ธัญชนกที่จะเดินเอาเสื้อกันหนาวมาให้มัชวีที่ระเบียงถึงกับชะงักและรีบกลับไปยังห้องพักโดยเร็ว เพราะทำให้เธอนั้นเจ็บปวดอย่างที่สุด

................จบตอนที่ ๒๐.............




 

Create Date : 13 มกราคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:55:27 น.
Counter : 905 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๙ เรื่องวุ่นๆ ของสองเรา

ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๙ เรื่องวุ่นๆ ของสองเรา

จากการที่ธัญชนกและย้ายมาอยู่ด้วยกันไปไหนด้วยกันทำให้ทั้งสองคนที่มีความแตกต่างกันทั้งระบบความคิด การดำรงชีวิต ทั้งสองต้องปรับอะไรหลายอย่างให้เข้ากันอยู่เสมอ เรื่องสำคัญที่สุดก็คืออาหาร มัชวีไม่ชอบอาหารเผ็ดทุกชนิดแต่ธัญชนกนั้นชอบมาก เมื่อต้องไปไหนมาไหนด้วยกัน กับข้าวจึงดูแตกต่างกันเหลือเกิน วันไหนมัชวีนึกครึ้มใจอยากชิมอาหารของธัญชนกก็ต้องตามมาด้วยการดื่มน้ำเป็นลิตรๆ อิ่มจนจุก และหน้าตาก็แดงก่ำเพราะความเผ็ด

ถึงแม้ว่ามัชวีและธัญชนกจะชอบส้มตำเหมือนกันแต่รสชาตสิช่างแตกต่าง มัชวีต้องล้างครกก่อนเพราะแม้กระทั่งความเผ็ดของพริกที่ติดครกเธอก็แทบจะรับไม่ได้ ส่วนธัญชนกพริกน้อยกว่า ๑๐ เม็ดเธอบอกว่าไม่อร่อย

เรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็เช่นกัน มัชวีเมื่อทำภารกิจใดๆ เสร็จสิ้นจะเก็บของเข้าที่เข้าทางอยู่เสมอ ซึ่งผิดกับธัญชนกที่วางไว้ก่อน เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องมาใช้ต่อ โต๊ะหนังสือของทั้งสองคนช่างแตกต่างกันมากมาย โต๊ะหนึ่งเรียบร้อยสะอาดตา อีกโต๊ะมีกองหนังสือเกลื่อน ครั้งหนึ่งมัชวีเคยเก็บของให้เข้าที่เข้าทางแต่ทำเอาธัญชนกแทบหาของของเธอไม่พบจนเกิดปากเสียงกันขึ้นเพียงเพราะหาของชิ้นเล็กๆ ที่เก็บไว้ในหนังสือไม่เจอ

การซักผ้านั้นธัญชนกจะรวมๆ กันไว้หลายๆ วัน แต่ตัวมัชวี ต้องซักทุกวัน แยกเสื้อผ้าขาวออกจากผ้าสี ทุกครั้ง เมื่อครั้งใดที่ธัญชนกซักผ้าแล้วจับผ้าทุกอย่างรวมกันก็ทำเอามัชวีถึงกับโวยวายว่าสีผ้าขาวจะหม่น ธัญชนกคิดว่าหากผ้าสีไม่ตก ซักรวมกันก็ได้ไม่เห็นจะแปลกเพราะเปลืองน้ำและเสียเวลาซัก

ที่นอนนั้นไม่ต้องพูดถึงมัชวีจะเป็นคนจัดเก็บเองทุกวัน ที่นอนต้องขึงตึง อาจเป็นเพราะป้าแจ่มจรัสสอนเธอมาแบบนั้นและก็ทำจนเคยชินก็ได้

การนอนมัชวีต้องปิดไฟในห้องทั้งหมดเมื่อวันไหนธัญชนกต้องอ่านหนังสือดึกๆ มัชวีจะนอนไม่หลับส่วนธัญชนกนั้นนั่งหลับได้แม้กระทั่งโต๊ะอ่านหนังสือ การแก้ไขของทั้งสองก็คือ จัดเอาตู้เสื้อผ้าที่ดูจะใช้แทนฉากมากั้นระหว่างเตียงกับโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อลดแสงจากหลอดไฟอ่านหนังสือของธัญชนกลงได้บ้าง ทั้งสองเริ่มต้องปรับตัวเข้าหากันมากมาย

…………………..

“พี่ธัญทำไมผมร่วงแบบนี้หละคะ” มัชวี เอ่ยถามเมื่อเห็นเส้นผมกระจุกหนึ่งร่วงบนพื้นห้องพร้อมกัยเดินไปหยิบสก๊อตเทปมาแปะลงบนเส้นผมที่พื้นเพื่อเก็บไปทิ้ง

“ของพี่เหรอ ไม่ใช่มั๊งผมมัชร่วงหรือเปล่า”

“ไม่ใช่แน่ๆ มัชไม่ออกมาหวีผมตรงนี้แน่ๆ ของพี่นั่นแหละ” มัชวีเริ่มเสียงเขียว

“พี่ก็ไม่ได้หวีผมตรงนี้เหมือนกัน” แล้วทั้งสองก็วุ่นวายกับการหาเจ้าของผมปริศนาจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เรื่องอะไร มัชวีลุกพรวดพราดออกจากห้องไป

“มัชจะไปไหน” ธัญชนกตะโกนถามไล่หลังด้วยความเป็นห่วง

“เดี๋ยวมัชมาพี่ ไม่ต้องห่วงปิดประตูล๊อคห้อง ไม่เกิน ๒ ชั่วโมงมัชกลับมาคะ” แล้วมัชวีก็หายไปพร้อมประตูที่ปิดตามหลัง

เป็นเวลาค่อนข้างดึกสักนิดที่มัชวีกลับเข้ามาธัญชนกนั้นหลับไปเรียบร้อยแล้วต้องงัวเงียงลุกขึ้นมาเปิดประตูให้มัชวี

“กลับมาแล้วเหรอ ไปไหนมานี่พี่เป็นห่วง” และก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ด้วยผมที่ยาวสลวยของมัชวี บัดนี้สั้นกุด

“มัชทำไมถึงไปตัดผม” ธัญชนกตกใจจับท้ายทอยของมัชวีที่ไร้ซึ่งผมสลวยอย่างตกใจ

“ก็มัชไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ผมเจ้าปัญหามากองอยู่ในห้องเราสิคะ”

นี่นะเหรอเหตุผลที่มัชวีเด็กน้อยของเธอไปตัดผมสั้นจนเป็นทอมบอยแบบนี้ เธอโผเข้ากอดสาวสวยที่เป็นทอมน้อยไปแล้วในตอนนี้

“แค่ผมร่วงถึงกับไปตัดสั้นแบบนี้เลยเหรอมัช พี่เสียดาย” ธัญชนกบ่นพลางลูบผมสั้นไปพลาง

“มัชไม่อยากให้เราต้องเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกนะค่ะพี่ เพราะเวลาเราเถียงกันมัชไม่สบายใจเลยคะพี่ธัญ” มัชวีหน้าเศร้าๆ

“ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะพี่ไม่ว่าอะไรหรอกเพียงแค่เสียดายผมเท่านั้นเอง”

ธัญชนกมองตามหลังมัชวีที่เดินเข้าห้องน้ำไป นึกๆ แล้วก็ดีเหมือนกันนะเพียงแค่เถียงกันเรื่องผมร่วงเท่านั้น มัชถึงกับตัดผมเป็นทอมน้อยๆ ของเธอไปแล้ว หากพรุ่งนี้ใครเห็นมัชวีจะว่าอย่างไรบ้างน้อ พ่อทอมน้อยของพี่

ธัญชนกโอบมือไปจับผมบริเวณท้ายทอยของมัชวีที่ยืนอยู่ตรงหน้า มือเรียวสวยลูบไล้แผ่วเบาๆ เล่นอย่างสนุกมือกับผมที่กร่อนจนเห็นสีขาวๆ ของหนังศรีษะ ทรงอะไรหละนี่รองทรงหรือทรงไหน แต่ผมทรงนี้ทำให้มัชวีดูหล่อผิดหูผิดตาไปจากเดิมที่ดูสวยหวาน ทรงผมทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ ธัญชนกลูบท้ายทอยของมัชวีที่มีผมสั้นๆ สากมือราวกับเป็นตุ๊กตาหมีตัวโตที่เดินได้และมีชีวิต มัชวีเองก็เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของคนรักที่ผ่อนถ่ายให้กับตน ถึงแม้จะทำไปเพราะประชดแต่ดูคนรักของเธอจะมีความสุขกับการละเล่นแบบใหม่ แล้วแบบนี้ใครหละจะอดใจไหว

........................................................................................

ใช่ว่ามัชวีนั้นไม่มีข้อเสียเลยมัชวีมีข้อเสียที่สำคัญก็คือความขี้ลืม มีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยเวลาเรียนที่ไม่ตรงกัน วันหยุดที่ไม่ตรงกัน เมื่อมัชวีนั้นออกจากห้องเพื่อไปเรียนแต่ธัญชนกนั้นไม่ได้ไปจะด้วยความเคยชินหรืออย่างไรไม่รู้ได้ มัชวีล๊อคกุญแจปิดขังธัญชนกไว้ในห้องพักโดยลืมไปสนิทว่าธัญชนกอยู่ในนั้น และเจ้ากรรมมัชวีเองก็ลืมมือถือไว้ที่ห้องพักด้วย

สาเหตุก็เพราะกุญแจห้องและกุญแจรถของมัชวีอยู่ในพวงเดียวกัน และแม่กุญแจที่จะใช้ปิดห้องนั้นหากไม่ได้ปิดล๊อคลูกกุญแจก็จะค้างอยู่กับตัวแม่ เมื่อมัชวีต้องการจะใช้กุญแจรถ และด้วยความเคยชินเธอจึงนำแม่กุญแจไปคล้องประตูไว้และกดล๊อค

วันนั้นทั้งวันธัญชนกหิ้วท้องรอมัชวีให้เลิกเรียนเพื่อกลับมาเปิดประตูห้องให้เธอ เมื่อมัชวีเปิดประตูห้องเข้าไปถึงกับตะลึงที่เห็นธัญชนกนั่งร้องไห้อยู่ที่ปลายเตียง นี่เธอขังคนรักของเธอไว้ที่ห้องหรือนี่ตายแล้ว ธัญชนกเมื่อเห็นมัชวีเดินเข้ามาในห้องก็ลุกขึ้นไปรัวทุบมัชวีจนนับไม่ถ้วน

“มัชตัวทำแบบนี้ได้ไงรู้ไม๊ว่าเค้านะเหมือนติดคุกเลยนะ” ธัญชนกวีนใส่มัชวีอย่างเหลืออด

“มัชขอโทษ มัชลืมนะที่รัก” มัชวีคุกเข่าขอโทษธัญชนกด้วยสำนึกผิดเป็นที่สุด

“คราวหลังอย่าลืมเค้าไว้แบบนี้อีกนะ รู้ไม๊ว่าเค้าแทบบ้า” ธัญชนกสะอื้นไห้

มัชวีลุกขึ้นยืนกอดธัญชนกไว้แนบอก “มัชสัญญาต่อไปมัชจะไม่ลืมที่รักไว้แบบนี้อีกแล้วมัชขอโทษนะค่ะ” มัชวีสัญญาทั้งน้ำตา นี่ถ้าเกิดธัญชนกคิดแผลงๆ โดดลงจากตึกเพื่อลงไปข้างล่างแล้วเป็นอะไรขึ้นมาเธอคงไม่ยอมให้อภัยตนเองเป็นแน่

............................................................................

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมัชวีไม่เคยละเลยการไปรับส่งธัญชนกทุกครั้งที่มีการเรียนหรือทำกิจกรรม โดยตัวมัชวีเองนั้นสั่งห้ามการกลับบ้านคนเดียวของธัญชนกอย่างเด็ดขาด โดยตั้งข้อเสนอใหม่ ทุกครั้งที่ธัญชนกมีเรียนมัชวีจะไปรอที่หอสมุดจนได้เวลาเลิกเรียนธัญชนกจะโทรบอกให้มัชวีมารับ และเมื่อครั้งใดที่มัชวีมีเรียนธัญชนกเองก็จะไปนั่งอ่านหนังสือที่หอสมุดเช่นกัน

เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะทั้งสองก็จัดตารางการทำงานของพวกเธอ โดยการแบ่งตารางเวลาทั้งหมดในการทำความสะอาดบ้าน เวลาการนอนเวลาตื่น และเวลาอาหาร กว่าจะลงตัวก็นานหลายเดือน เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งสอบปลายภาค

“ใกล้สอบแล้วที่รักตัวจะสอบวันไหนบ้าง” มัชวีเอ่ยถามัญชนกที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างขมักเขม่น

“พรุ่งนี้เค้าสอบ ๒ วิชาเช้าบ่าย ตัวหละสอบวันไหน”

“พรุ่งนี้เค้าไม่มีสอบจะสอบก็โน่น วันมะรืน เค้าไปส่งตัวแล้วแวะไปอ่านหนังสือที่หอสมุดก็แล้วกันตัวสอบเสร็จแล้วก็โทรมาบอกเค้าจะได้ไปรับ” มัชวีเสนอแนวทางที่ทำเป็นกิจวัตรของทั้งสองคน

“อืมก็ได้ วันไหนตัวสอบก็เอาเค้าไปทิ้งไว้ที่หอสมุด สอบเสร็จก็แวะมารับก็แล้วกัน” ธัญชนกนั้นตามใจมัชวีเสมอ

มัชวีเดินมาโอบกอดธัญชนกที่นั่งอ่านหนังสืออยู่จากด้านหลัง ก้มลงหาความหอมจากซอกคอน่าหลงไหลของธัญชนก และซุกซนรุกไล่เรื่อยมาจนถึงใบหูและแก้มนุ่ม

“อย่าน่ามัช เค้าต้องอ่านหนังสือสอบพรุ่งนี้ ตัวไปนอนก่อนนะ” ธัญชนกบ่ายเบี่ยงเพราะตัวเธอนั้นเริ่มจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือตรงหน้าแล้วนะสิ มัชวีค่อนข้างจะรู้กาละเทศะอยู่บ้างจึงปล่อยอ้อมกอดอย่างง่ายดาย

“สอบเสร็จมัชไม่ปล่อยที่รักแน่นอน” มัชพูดจบก็เดินไปหยิบหนังสือของตนมานั่งอ่านที่โต๊ะหนังสือที่อยู่ใกล้เคียงกัน แต่มือข้างหนึ่งนั้นก็ซุกซนวางปะไว้บนตักของธัญชนกซึ่งเป็นกางเกงนอนขาสั้นตัวจิ๋วเผยให้เห็นขาขาวเนียนนุ่มน่าสัมผัสโดยไม่ยอมยกไปไว้ที่ไหน ทำให้อีกคนที่ต้องหักห้ามใจอยู่แล้วแอบส่งสายตาสวยประหารให้คนรักไม่ได้

.................................

เมื่อวันสอบทั้งสองคนสิ้นสุดลงการเลือกที่จะกลับบ้านที่กรุงเทพเป็นหนทางเดียวของมัชวีที่จะต้องทำ ธัญชนกนั้นอดคิดถึงป้าแจ่มจรัสไม่ได้ข้อตกลงของสองสาวก็คือ ขับรถกลับบ้านแล้วแวะเที่ยวกลางทางไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอะไร

การเที่ยวครั้งนี้ ทั้งสองเลือกที่จะออกจากถนนหลักมุ่งสู่อุตรดิตถ์มัชวีนั้นใช้แผนที่เส้นทางหลวงโดยให้ธัญชนกเปิดแผนที่ดูเส้นทางไปโดยตลอด หลงบ้างถูกบ้างไปตามแต่เนวิเกเตอร์ของเธอจะบอกทาง ทั้งสองตัดสินใจที่จะพักที่เขาค้อซึ่งหนทางก็วกวนและลำบากพอสมควร แต่บรรยากาศนั้นโรแมนติกอย่าบอกใครสมกับที่อดทนลำบากนั่งรถจนเมื่อย

เมื่อออกจากเขาค้อแล้วทั้งสองสาวเลือกที่จะไปพิษณุโลกถึงไม่ใช่ทางที่ใกล้แต่เมื่ออยากท่องเที่ยวก็ต้องอ้อมกลับระหว่างทางแวะน้ำตกสองข้างทางทั้งน้ำตกแก่งโสภา น้ำตกนกนางแอ่นสมบุกสมบันกันน่าดู มัชวีแกว่งกวักน้ำในน้ำตกเล่นอย่างเพลิดเพลิน ธัญชนกแอบถ่ายรูปมัชวีไว้ก็ทำไมหละมัชวียังเคยแอบถ่ายรูปของเธอเลยนี่นาทำไมเธอจะทำบ้างไม่ได้

มัชวีดูแลธัญชนกเมื่อยามเดินขึ้นเดินลงจากทางลาดชันด้วยธัญชนกมีทุนเดิมที่กลัวความสูงความชันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ยามธัญชนกลื่นไถลมัชวีก็เอาตัวเองเข้าบังร่างที่กำลังทำท่าเหมือนจะร่วงลงมาด้านล่าง สองมือฉุดดึงกันและจูงมือกันเดินโดยไม่ย้อท้อ

การท่องเที่ยวเล็กๆ ก็ทำให้คู่รักทั้งสองเกิดความสุขใจ สองสาวถึงพิษณุโลกแวะนมัสการพระพุทธชินราช แอบเห็นก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่อยู่ถัดไปจากวัดไม่มากดูท่าทางจะน่าอร่อยจึงชักชวนกันแวะชิม ทั้งสองเลือกนั่งด้านติดริมถนนที่มองเห็นแม่น้ำตรงหน้านั่งห้อยขาลงมาระหว่างนั่งก็แกว่งขาเล่นเป็นที่สนุกสนาน รสชาตอาหารอร่อยถูกปาก บรรยากาศถูกใจ กว่าจะออกจากพิษณุโลกได้ก็เป็นเวลาจวนคำมืด

ทั้งสองเลือกที่จะเดินทางผ่านพิจิตร นครสวรรค์มุ่งหน้าสู่อุทัยธานีเพื่อแวะพักที่ลำน้ำสะแกกรังที่ใครหลายคนบอกว่างดงามหนักหนาแต่เมื่อถึงก็ดึกมาแล้วมัชวีเองก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการขับรถเที่ยวมาทั้งวันเมื่อหาที่พักได้ก็หลับยาวจนรุ่งสาง

วันรุ่งขึ้นทั้งสองแวะหาอะไรรองท้องแถวตลาดและเริ่มเดินทางสู่สุพรรณบุรี หลงทางกันพักใหญ่ ด้วยจะตัดสินใจเลี้ยวเข้าชัยนาทหรือไปทางสิงห์บุรี แต่สุดท้ายธัญชนกก็ต้องตามใจมัชวีด้วยแผนที่บอกเส้นทางที่ไม่ค่อยจะละเอียดนัก กว่าจะถึงะบึงฉวากที่หลายคนเคยชมนักหนาว่าเป็นเมืองอุโมงค์ใต้น้ำที่สวยนักหนานั้นก็ล่วงเวลาเกือบเที่ยงวัน ทั้งสองคนเลือกที่จะหาอะไรรองท้องแถวร้านอาหารข้างบึง ปลาน้ำจืดตัวโตรสหวานและบรรยากาศที่สงบร่มรื่นทำเอาทั้งสองสาวที่อิ่มได้ที่แทบเคลิ้มหลับหากแต่จุดมายก็ยังคงเป็นอุโมงค์ปลาจึงชักชวนกันเข้าไปด้านใน เมื่อดูอุโมงค์ปลากันจนสุดทางเดินก็เดินเรื่อยไปทางบ่อจระเข้ที่มีจระเข้มากมายน่ากลัวแต่กลางบ่อนั้นมีข้อความแปลกๆ ขึ้นว่า

“จระเข้ทุกตัวโปรดทราบ ให้ผสมพันธุ์และวางไข่ในสถานที่ที่จัดไว้ให้” มัชวีชี้ให้ธัญชนกดูข้อความนั้น ทั้งสองขำกันจนน้ำตาไหล นี่ถ้าจระเข้อ่านหนังสือได้คงสนุกดีพิลึก และในบริเวณใกล้ๆ กันก็มีป้ายเขียนไว้ว่า “ที่สำหรับวางไข่”

การเดินทางสนุกและไม่น่าเบื่อ ทั้งสองสนุกสนานกับการแวะถ่ายรูป แวะชิมอาหารแปลกๆ บรรยากาศใหม่ๆ ทำให้สองสาวรู้สึกถึงความกระชุ่มกระชวยของจิตใจ และคงไม่มีอะไรที่ทำให้ทั้งสองสาวเปลี่ยนแปลงความรักที่มีต่อกันให้น้อยลง

ธัญชนกเองซึ้งในความรักที่ต่างมีให้กัน มัชวีไม่เคยละเลยที่จะดูแลเธอ อ้อมกอดของกันและกันที่แสนจะอบอุ่นทุกคืนวัน ถึงแม้จะมีเรื่องวุ่นวายมากมายในระหว่างที่ปรับตัวเข้าหากันและกัน แต่เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นก็เหมือนเมฆฝนที่จางหายไปจากท้องฟ้าเหลือเพียงท้องฟ้าสีฟ้าที่สดใสทุกคืนวัน

................จบตอนที่ ๑๙.............




 

Create Date : 10 มกราคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:56:07 น.
Counter : 411 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๘ ลงตัว

ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๘

จากข่าวคราวเรื่องของมารดาที่ได้รับรู้จากปากของป้าแจ่มจรัสนั้น ทำให้ธัญชนกได้รู้เรื่องแต่หนหลังของมารดาตนมากขึ้น ภาพมารดาที่อยู่ในความทรงจำอันลางเลื่อนของเธอนั้น มารดาป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เธอนั้นจำความได้ เมื่อเวลามารดาป่วยมากๆ คนที่บ้านจะจับเธอแยกออกจากมารดาเสมอ เธอรู้แต่เพียงว่ามารดานั้นเป็นโรคเลือดต้องถ่ายเลือดอยู่เป็นประจำ เมื่อครั้งสุดท้ายที่ไปพบมารดานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เนื้อตัวของมารดาเป็นจ้ำเต็มไปหมด ป๋าบอกว่ามารดาเธอป่วยมากอีกไม่นานมารดาจะไปอยู่บนสวรรค์

จากวันนั้นธัญชนกก็ไม่ได้พบมารดาของตนอีกเลย เมื่อป้าแจ่มจรัส เล่าว่ามารดาเธอรู้ตัวว่าป่วยแต่อยากมีทายาทไว้เพื่อให้ป้าแจ่มจรัสได้เห็นเป็นตัวแทน เพราะรู้ตัวดีว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน ป๋าของเธอได้ทักท้วงการมีบุตร แต่มารดาตนไม่ยอมที่จะทำแท้ง คงเก็บเธอไว้และพยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงเพื่อจะได้เห็นหน้าลูกที่จะเกิดขึ้นมา แต่เมื่อคลอดลูกแล้วมารดาเธอก็ทรุดลงเรื่อยๆ โรคร้ายได้พรากมารดาเธอไปจากเธอตั้งแต่เธออายุได้เพียง ๒ ขวบกว่าๆ เท่านั้น

ธัญชนกเติบโตมาโดยมีเพียงพี่เลี้ยงที่คอยเลี้ยงดูเธอ และเปลี่ยนพี่เลี้ยงไปเรื่อยๆ เมื่อพี่เลี้ยงลาออกไปแต่งงาน อาม่ามาดูแลบ้างบางครั้ง ครั้นเมื่อป๋าแต่งงานครั้งใหม่ แรกๆ แม่เลี้ยงเธอก็คอยดูแล แต่เมื่อแม่เลี้ยงมีลูกของตนเองก็ละเลยเธอไม่ใส่ใจ คงเป็นธรรมดาของแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง

ในบางปีที่ปิดเทอมน้าๆ จะมาแวะเยี่ยมเยียนที่บ้านพาไปเที่ยวบ้าง และทุกครั้งก็จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ของมารดาให้เธอฟังเสมอ นั่นยังไม่เท่าคำบอกเล่าจากป้าแจ่มจรัสที่เล่าเรื่องมารดา ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กนักเรียนไว้ผมจุกและซุกซนขนาดไหน เรื่องสนุกมากมายของมารดาและผองเพื่อนๆ สมัยเมื่อมีรองเท้าส้นตึกใหม่ๆ เดินตกท้องร่องหลังโรงเรียน แอบหนีโรงเรียนไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมไทย และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องการแต่งงานของมารดาเธอกับป๋า ที่ทั้งสองตระกูลได้หมั้นหมายกันมาตั้งแต่ป๋าและมารดาเธอยังไม่เกิด ความกตัญญูของมารดาต่อบุพการี ซึ่งดูเหมือนป้าแจ่มจรัสจะจดจำได้อย่างแม่นยำทุกเรื่องราวและถ่ายทอดสู่เธอ

ผิดกับเธอเองที่จำได้เพียงภาพสุดท้ายที่มารดากอดเธอ เธอรับรู้ได้ถึงความรักความอาทรจากมารดา ซึ่งนับจากวันนั้นธัญชนกไม่เคยได้รับอ้อมกอดแบบนั้นจากใครอีกเลย จนกระทั่งมาพบมัชวี มัชวีที่แสนดีอ้อมกอดที่อบอุ่นที่ธัญชนกโหยหามานานแสนนาน ถึงแม้จะเทียบกับอ้อมกอดของมารดาไม่ได้แต่เธอก็รู้สึกดี และอ้อมกอดของป้าแจ่มจรัสอ้อมกอดนี้คล้ายจะมีไออุ่นที่เธอคุ้นเคย

อ้อมกอดนี้สินะที่เคยกอดมารดาเธอไว้ อ้อมกอดนี้สินะที่เคยประคองมารดาเธอเมื่อยามล้ม ธัญชนกนอนหนุนตักป้าแจ่มจรัสอยู่จนเวลาคล้อยบ่าย โดยอีกตักที่เหลือก็เป็นของมัชวีป้าแจ่มดูมีนัยน์ตาแห่งความสุขเอ่อล้น

…………………………..

มัชวีแวะไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาของมานิตาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งท่านทั้งสองตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเข้าวัดมากกว่าปกติ มัชวีเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ท่านทั้งสองเริ่มปรับตัวเข้าหากันได้ ครอบครัวดูเป็นครอบครัวมากขึ้น หากเป็นเช่นนี้แต่แรกมานิตาก็คงไม่ว้าเหว่เสียจนตัดสินใจผิดพลาด แต่เมื่อเรื่องราวผ่านไปแล้วมัชวีก็ไม่อยากจะนึกถึงอีก คงปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องลบล้างรอยร้าวที่เกิดขึ้นนั้นเองจะดีกว่า

เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปรวดเร็ว จนใกล้เปิดเทอม ทั้งสองก็ต้องจากป้าแจ่มจรัสมายังมหาวิทยาลัย ธัญชนกดูอาลัยอาวรณ์กับป้าแจ่มมากเป็นพิเศษ เรื่องลุ้นระทึกก็ต้องเป็นเรื่องการขับรถของมัชวีจากกรุงเทพไปมหาวิทยาลัย ธัญชนกอดเป็นห่วงไม่ได้หากมัชวีจะขับรถไปเอง เพราะไม่ยอมให้นายต้อยคนรถขับไปส่งป้าแจ่มจรัสก็ไม่สามารถที่จะทักท้วงอะไรได้มากนัก เพราะมัชวีค่อนข้างดื้อพอสมควร

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อมัชวีจะขับรถเร็วธัญชนกจะเอ่ยปรามเสมอว่าชีวติยังอีกยาวไกล อย่าเอาตนเองและคนที่มัชวีรักมาทิ้งเพราะความเร็ว มัชวีเองก็เลยต้องขับรถคลานแบบเต่า ทั้งๆ ที่ประสิทธิภาพของรถคันนี้เป็นกระต่ายติดจรวด

แต่เมื่อขับไปสักพักมัชวีก็นึกขอบคุณธัญชนกที่คอยห้ามปรามเธอเพราะรถหลายคันที่เป็นกระต่ายติดจรวดแซงน้องฟ้าไปนั้น ต่างโดยตำรวจทางหลวงเรียกและถูกปรับฐานขับรถเกินพิกัดความเร็วเป็นทิวแถว ทำให้เสียเวลาไปมากกว่าเธอทั้งสองคนมากมาย

“ขอบคุณนะค่ะที่รักที่คอยเตือนมัช” มัชวีหันไปยิ้มกับธัญชนกที่นั่งอยู่ด้านข้างตน

“ไม่เป็นไรหรอกมัช ถึงช้าดีกว่าไม่ถึงเลย” ธัญชนกยิ้มตอบและกุมมือของมัชวีไว้

ถึงช้าดีกว่าไม่ถึง คำคำนี้ต้องจำไว้ซะแล้วสิมัชเอ๊ย

.................................................

เมื่อกลับมาถึงหอพักมัชวีเห็นการอยู่โดยแยกห้องของทั้งเธอและธัญชนกนั้นเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ด้วยมัชวีเองเห็นว่าธัญชนกต้องการใช้เงินอีกมากมายหากเธอทั้งสองย้ายมาอยู่ด้วยกันจะทำให้ธัญชนกประหยัดได้มากกว่าการแยกกันอยู่ จึงยื่นข้อเสนอกับธัญชนกว่า

“พี่ธัญมัชว่าเราย้ายหอพักกันดีหรือเปล่า”

“ทำไมหละน้องมัชพี่ว่าแบบนี้ก็ดีแล้วนี่นา”

“ดีตรงไหนหละค่ะ เสียเงินสองต่อ เราย้ายไปอยู่ด้วยกันจะได้เสียค่าห้องแค่ห้องเดียว อีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีที่จอดน้องฟ้าของมัชด้วยจอดไว้ข้างถนนแบบนี้มัชว่าไม่ค่อยปลอดภัยนะค่ะพี่ธัญ” มัชวียกเหตุผลซึ่งธัญชนกก็เห็นด้วย

ทั้งสองออกหาห้องพักที่เป็นอพาร์ตเม้นให้เช่า ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ไม่ห่างไกลกับตลาดมากนัก เป็นสัดส่วน มีรปภ.รักษาการณ์ น่าจะปลอดภัยพอสมควร เมื่อติดต่อห้องพักห้องใหม่ได้มัชวีก็จัดการวางเงินมัดจำและติดต่อกับป้าเจ้าของหอพักเดิมเพื่อที่จะย้ายออกในวันรุ่งขึ้น จากนั้นแยกย้ายไปห้องของตนเก็บข้าวของลงกล่อง จัดเป็นกองๆ วางไว้ให้สะดวกต่อการขนย้ายในวันรุ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้นมัชวีจ้างรถสองแถวที่มีอยู่ทั่วไปให้มาช่วยขนย้ายของออกจากหอพักไปยังที่พักแห่งใหม่ โดยมีธัญชนกคอยยืนให้กำลังใจและยกของย้ายของกันให้วุ่นวาย ดูเหมือนว่าข้าวของของพวกเธอจะไม่เยอะแต่พอเอามากองรวมกัน ก็ทำเอาห้องที่ดูใหญ่คับแคบไปถนัดตา กว่าจะจัดของเข้าที่ได้ เล่นเอาเหนื่อยไปตามๆ กัน

“เหมือนสองบ้านรวมเป็นบ้านเดียว” ธัญชนกเอ่ย

“นั่นสิค่ะ มัชไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ รู้งี้ไปเช่าบ้านจะดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอกมัช บ้านก็ต้องดูแลบริเวณอีก เราสองคนจะมีเวลาทำหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“อืม หิวแล้วคะพี่ ไปหาอะไรทานกันเถอะ” มัชวีชักเริ่มท้องร้อง

“สั่งพิซซ่ามาสิค่ะ” ธัญชนกเสนอเพราะจะได้ไม่ต้องออกไปข้างนอกให้เหนื่อยเนื่องจากข้าวของยังจัดไม่เข้าที่

“ไม่อ้าววววววววว มัชไม่กินพิซซ่า มัชเกลียดพิซซ่า” มัชวีตะโกนลั่น ทำเอาธัญชนกตกใจ

“อะไรทำไมหละสบายดีออก เราจะได้มีเวลาจัดของให้เรียบร้อย” ธัญชนกเอ่ยถาม

“พี่ธัญทำลืมแต่มัชจำได้ มัชจะไม่กินพิซซ่าไปอีกหลายปีเลยหละพิซซ่าทำมัชแห้ว” มัชวีทำหน้าเหยเก ส่วนธัญชนกนั้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้

............................................................

“ได้ยินว่าย้ายไปอยู่กับมัชแล้วเหรอธัญ” กีรณาเพื่อนสนิทเอ่ยถามหลังจากที่ได้พบกันในวันเปิดเทอม

“อืม” ธัญชนกรับคำแผ่วเบา

“ทำไมหละธัญ ตัวตัดสินใจดีแล้วเหรอแล้วนายชาติหละ” กีรณาออกท่าทางเป็นห่วงเพื่อนมากพอควร

“ตัวห่วงนายชาติหรือห่วงฉันยะยายกี” ธัญชนกแอบแซวหลังจากที่ได้ยินคำถามของเพื่อนรัก

“ก็ห่วงตัวนะสิยายธัญจะไปห่วงนายชาติทำไมกัน” กีรณาปฏิเสธเสียงแข็ง

“อ่อ เหรอ นึกว่าห่วงกลัวนายชาติจะอกหักซะอีก”

“บ้าแล้วเพื่อนฉันจะกลัวนายชาติอกหักทำไม”

“อะ อย่าบอกนะว่าไม่ได้รักนายชาติ ฉันรู้นะยะยายกีว่าตัวนะรักนายชาติชายใจดีเพื่อนสนิทของเรา ฉันยอมหลีกทางให้นะเพราะฉันมีคนของใจแล้ว ส่วนเรื่องนายชาติ ฉันว่าฉันกับนายชาติคงเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นเพราะในตอนนี้ฉันรักใครและไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้วนอกจากมัช” ธัญชนกอธิบาย ทำให้กีรณายิ้มแก้มแทบปริ

แต่ชาติชายที่ยืนอยู่หลังม้าหินอ่อนที่ได้ยินคำพูดของสองสาวที่นั่งหันหลังให้ตนนั้นถึงกับเข่าอ่อน ถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าธัญชนกที่เค้าแอบหลงรักจะเคยมีคนรักเป็นหญิง แต่เค้ากลับคิดว่าตนเองจะทำให้ธัญชนกเปลี่ยนใจได้ แต่เปล่าเลยตนไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใจธัญชนกได้แม้แต่น้อย

เมื่อครั้งที่ธัญชนกย้ายออกจากบ้านถึงแม้ตนจะพยายามยื่นความช่วยเหลือให้แต่ก็ถูกธัญชนกปฏิเสธ ธัญชนกให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้ตนต้องเดือดร้อนหากทางครอบครัวของธัญชนกมาสอบถามจะได้ไม่อึดอัดใจที่จะต้องตอบไปว่าไม่รู้เรื่อง ชาติชายปรับสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียกสองสาวที่นั่งอยู่

“เอ๊า สาวสวยทั้งสอง ไปกินอะไรกันหรือเปล่า” เสียงชาติชายที่ได้ยินจากด้านหลังทำเอาสองสาวสะดุ้ง

“อ้าวนายชาติมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” ธัญชนกกลบเกลื่อน

“ใครว่าไม่ให้ นี่ไงส่งเสียงมาแต่ไกลเชียวนะ”

“เหรอ ฉันนึกว่านายมาแอบฟังเราสองคนคุยกันซะอีก” ธัญชนกแอบแขวะ ทำเอาชาติชายถึงกับสะอึกเหมือนกับกลืนของแข็งลงคอ

“บ้าใครจะมาแอบฟัง”

“กินปูนร้อนท้อง” ธัญชนกเริ่มอีกรอบ

“โห่ เฮาบ่ ใจ๋ตั๊บแกร่ ต๊กโตฮั่นต๊กต้นต๋านต๋ายไปเมินแล้วเน้อ เฮาอะ ชาติชายร้อยเปอร์เซ็น เออว่าแต่ไปหาอะไรกินกันหรือเปล่าหิวแล้ว” ชาติชายเปลี่ยนเรื่องเอ่ยชวน

“ไม่หละนายไปกับยายกีเถอะเราต้องรอมัชเดี๋ยวก็มา” ยังไม่ทันที่ธัญชนกจะพูดจบ ก็เห็นรถสีฟ้าของมัชวีแล่นเข้ามาที่หน้าคณะ ธัญชนกเก็บของและลุกจากโต๊ะที่นั่ง

“ไปนะ มัชมาแล้วพวกนายไปกันเองก็แล้วกัน กินให้อร่อยหละ บาย” แล้วธัญชนกก็ปล่อยให้ทั้งสองมองตากันปริบๆ

“รอนานหรือเปล่าคะ” มัชวีที่เดินลงมาช่วยเปิดประตูรถรับธัญชนกเอ่ยถาม

“ไม่นานหรอกคะ พึ่งเลิกเหมือนกันก็เลยนั่งคุยกับยายกีรอมัช” ธัญชนกตอบก่อนที่จะแทรกตัวลงไปนั่งในรถ

“อืมงั้นเราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ แล้วค่อยกลับ” มัชวีเอ่ยก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมมายังที่นั่งคนขับและขับรถออกจากหน้าตึก

ภาพมัชวีลงมาเปิดประตูรถธัญชนกนั้นกีรณามองตามแล้วอดอิจฉาไม่ได้หากมีใครสักคนดูแลเธออย่างที่มัชวีทำกับธัญชนกคงดีไม่น้อย

ส่วนชาติชายกลับมองต่างกันภาพนั้นช่างบาดตาบาดใจเค้าเหลือเกิน ทำไมนะสาวสวยสองคนทำไมต้องมารักกันเอง เสียดายความสวยจริงๆ ชาติชายก็ได้แต่เพียงคิดและรู้ว่าแห้วก็คือแห้วไม่มีทางเปลี่ยนชื่อเป็นสมหวังได้อย่างที่ต้องการถึงแม้จะมีคนคิดเปลี่ยนชื่อไปแล้วก็เถอะ หันมามองกีรณาที่นั่งอยู่ที่เดิม

“ไปเถอะกีมองเค้าอยู่ได้ เราไปกินข้าวให้อิ่มท้องกันจะดีกว่า” ชาติชายเอ่ยชวนกีรณา

“ไปสิ เราก็หิวแล้วเหมือนกัน ว่าแต่อิจฉาสองคนนั้นจังเลย”

“ทำไมหละกี ไปอิจฉาเค้าเรื่องอะไร” ชาติชายเริ่มงง

“ก็ถ้ามีใครมาดูแลเราแบบมัชวีเราคงรักเค้าตายเลยนะนี่” กีรณาออกอาการเหมือนเคลิ้มฝัน

ทั้งสองเดินมาถึงรถของชาติชาย และชาติชายก็เปิดประตูรถให้กีรณาแบบเดียวกับที่มัชวีทำให้กับธัญชนก ซึ่งชาติชายนั้นไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนออกจะดูเขินอยู่ไม่น้อย

“เชิญคร๊าบคุณผู้หญิง” ชาติชายผายมือเชื้อเชิญ

กีรณาได้แต่ขำท่าทางของชาติชายที่ดูออกตลกๆ เก้อเขิน เธอแทรกตัวไปนั่งหน้ารถ แบบนี้สื่ออะไรได้บ้างน้อ

................จบตอนที่ ๑๘.............




 

Create Date : 09 มกราคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:56:57 น.
Counter : 294 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๗ ทายาทป้าแจ่ม

ความเอยความรัก ตอนที่ ๑๗ ทายาทป้าแจ่ม

หลังจากกลับจากการฮันนีมูนที่แสนจะทรหดธัญชนกก็ขลุกอยู่กับป้าแจ่ม จนมัชวีนั้นออกจะเป็นเหมือนลูกอิจฉาที่ป้าแจ่มมีลูกรักคนใหม่แทนตัวเธอ บางวันธัญชนกอยู่ในครัวกับป้าแจ่มทั้งวันหัดทำอาหาร หัดจัดดอกไม้ หัดแกะสลักผลไม้ แถมยังเล่าเรื่องราวของมัชวีที่สร้างวีรกรรมไว้ขณะที่อยู่มหาวิทยาลัยให้ป้าแจ่มฟัง ทั้งเรื่องการเป็นที่ฮือฮาของเหล่ารุ่นพี่และเผองเพื่อนเกี่ยวกับการตกเป็นลูกของป้าสมคนวิกลจริต การเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่กว่าจะทำได้ก็เล่นเอาปวดเมื่อยไปหมด การเป็นนักกีฬาของคณะที่แสนจะเก่งกาจ การเป็นตัวนำไฟฟ้าสถิตที่ทำให้ธัญชนกนั้นโดนดูดแทบทุกครั้งที่พบกัน ความเฉิ่มของมัชวีหลายๆ เรื่องได้ถูกเล่าถ่ายทอดเป็นที่เฮฮาสนุกสนานกันอยู่สองคนป้าหลาน

ส่วนตัวมัชวีนั้นนะหรือนั่งจับเจ่าอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเจ้าตัวนั้นก็ไม่รู้ว่าดูละครเรื่องอะไร บางวันก็นั่งเล่นเกมส์จนเบื่อ ในเวลากลางคืนธัญชนกก็ขอไปนอนคุยกับป้าแจ่ม จนมัชวีรู้สึกน้อยใจ

ในใจของธัญชนกนั้นรู้สึกว่าป้าแจ่มที่ใครๆ ก็เห็นว่าเป็นเพียงแม่บ้านนั้นมีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ เธอมักได้ข้อคิดดีๆ จากป้าแจ่มเสมอ แม้กระทั่งสูตรการทำอาหารที่แปลกกว่าที่อื่น ราวกับว่าป้าแจ่มนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแม่บ้าน

วันหนึ่งขณะที่ป้าแจ่มออกไปจ่ายตลาดธัญชนกเลียบเคียงถามมัชวีถึงป้าแจ่ม

“น้องมัชพี่ถามอะไรหน่อยสิค่ะ”

“คะพี่ มีอะไรจะสอบถามข้าเจ้ายินดีเสมอ” มัชวีละสายตาจากหนังสือแต่งรถในมือหันมาสนใจธัญชนกแทน

“พี่อยากรู้ว่าป้าแจ่มเค้ามาเป็นแม่บ้านที่บ้านน้องมัชนานแล้วเหรอ”

“นานแล้วค่ะ เข้าใจว่าก่อนมัชเกิด จริงๆ ป้าแจ่มไม่ใช่แม่บ้านหรอกนะค่ะพี่ธัญ ป้าแจ่มเป็นเลขาคุณแม่ของมัช”

“อ้าว พี่นึกว่าป้าแจ่มเป็นแม่บ้านนะนี่ ดีนะที่ไม่ปล่อยไก่ออกมา” ธัญชนกถึงกับงงกับคำตอบของมัชวี

“ว่าแต่ว่าพี่ธัญถามทำไมหรือค่ะ”

“ก็พี่เห็นป้าแจ่มเธอเก่งไปทุกเรื่องทั้งเรื่องกับข้าว จัดดอกไม้ แถมยังปราบน้องมัชอยู่หมัดอีกก็เลยแค่นึกว่า แม่บ้านคนนี้เก่งเอาการอยู่ มิน่าหละในห้องนอนป้าแจ่มมีทั้งคอมพิวเตอร์ เอกสารอะไรไม่รู้มากมายก่ายกอง พี่ก็นึกว่าเก็บไว้ให้คุณพ่อกับคุณแม่น้องมัชนะนั่น”

“ธรรมดาแหละค่ะพี่ธัญ ป้าแจ่มนะเค้าเป็นเพื่อนสมัยเรียนของคุณแม่กับคุณพ่อมัชเลยเชียวนะขอบอก” มัชวีอวดอ้าง

“ห๊า เพื่อนสมัยเรียนเลยเหรอ งั้นก็แสดงว่าป้าแจ่มก็เรียนสูงมากเลยสิ”

“ช่าย ถูกต้องนะคร๊าบบบบบ ป้าแจ่มนะจบปริญาโทเชียวนะขอบอก อิอิ เห็นไหมหละ บ้านมัชไฮโซมะ แม่บ้านจบปริญญาโท” มัชวีทำท่าทางยืดตัวพองอวดธัญชนก

“แล้วทำไมป้าแจ่มมาเก็บตัวอยู่ที่บ้านน้องมัชได้หละ” ธัญชนกเริ่มสงสัยอีกรอบ

“ก็เพราะว่าป้าแจ่มอกหักนะสิพี่ธัญ คุณแม่บอกว่าป้าแจ่มอกหักแล้วก็แทบไม่เป็นผู้เป็นคน เพราะป้าแจ่มรักคนรักของป้าแจ่มมาก ก็มีแต่คุณพ่อกับคุณแม่นี่แหละที่ประคับประคองป้าแจ่มไม่ให้เสียใจมาก และก็เอามัชมาให้ป้าแจ่มเลี้ยง บอกว่ายังมีอีกคนที่ป้าแจ่มยังรักได้โดยไม่ต้องกลัวอกหัก ป้าแจ่มตัดสินใจมาอยู่กับคุณแม่ตั้งแต่นั้นมาแล้วก็เลี้ยงมัชดูแลมัชเหมือนลูกของป้า เวลามัชไม่สบายก็จะมีป้าแจ่มที่คอยอยู่ดูแลไม่ห่าง ส่งมัชไปโรงเรียน หากมัชมีเรื่องอะไรไม่สบายใจมัชจะปรึกษาป้าแจ่มเป็นคนแรกและป้าแจ่มก็มีทางออกให้มัชเสมอคะพี่ธัญแม้เรื่องของพี่ธัญเองมักก็เคนปรึกษาป้าแจ่มนะค่ะ และได้คำตอบจากป้าแจ่มว่า ให้ทำอะไรตามที่ใจตนปรารถนาก่อนที่จะสายเกินไป แต่ต้องใช้สมองคิดก่อนใช้หัวใจ มัชเองก็เลยรักป้าแจ่มเป็นแม่ของมัชอีกคน” มัชวีบอกเล่าเรื่องราวของป้าแจ่มไปเรื่อยๆ

“ใช่คะหนูธัญ รักที่ไม่มีวันอกหักของป้าก็คือหนูมัชคนนี้แหละ” เสียงป้าแจ่มดังมาจากด้านหลัง สองสาวสะดุ้งเฮือก ที่ป้าแจ่มกลับมาได้ยินการสนทนาของพวกตน

“ไม่ต้องตกใจหรอกหนูธัญเรื่องของป้าไม่ได้ปิดบังอะไรใคร ป้าเองก็ลืมๆ เรื่องนั้นมานานมากแล้ว นานเท่าๆ อายุพวกหนูได้แหละ จริงๆ การที่หนูมัชเกิดทำให้ป้าตาสว่างนะค่ะ ว่ารักที่ต่างต้องการการตอบแทน กับรักที่ไม่ต้องการการตอบแทนนั้นแตกต่างกันมากมาย ป้ารู้ว่ารักบริสุทธิ์นั้นเป็นแบบไหนก็เมื่อวันที่หนูมัชพูดได้และเรียกชื่อพ่อแม่และป้าได้ แค่นี้ป้าก็สุขใจอย่างบอกใครไม่ถูกแล้ว” ป้าแจ่มอธิบาย มัชวีนั้นเดินเข้าไปกอดป้าแจ่มหอมแก้มป้าแจ่มหลายฟอด

“เอาอีกแล้วคนมาเหนื่อยๆ มาหอมแก้มอีกแล้ว จะอ้อนไปถึงไหนหละเรานะ โน่นแฟนเรานั่งหัวโด่อยู่โน่นไปหอมเค้าไป๊” ป้าแจ่มผลักมัชวีออกจากตนแล้วชี้ไปทางธัญชนก

“ไม่เอาอะคะ นานๆ ได้กอดป้าสักครั้ง แถมนานๆ ป้าจะไม่ดุมัชอีกต่างหาก น่านะคนดีของมัชกอดนิดเดียวเอง นะๆ” มัชวีเอาหัวซุกไซ้ไปตามไหล่หลังป้าแจ่มราวแมวน้อย

“ว่าแต่ทำไมป้าแจ่มอกหักหละค่ะ คือว่าธัญอยากทราบ” ธัญชนกเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจ

“อืมเดี๋ยวป้าไปสั่งงานเด็กๆ ก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ว่าแล้วป้าแจ่มก็เดินเลี่ยงไปห้องครัวโดยไม่ยอมตอบคำถาม

“แห้วเลยเรา”

“แหม่ ก็พี่ธัญนะไปถามจี้ใจดำป้าเค้าขนาดมัชป้าเค้ายังไม่เคยเล่าให้ฟัง แล้วพี่ธัญเป็นแฟนมัชป้าแจ่มจะเล่ารึ” มัชวีออกจะอวดนิดๆ ว่าตนเป็นลูกรักของป้าแจ่มของเธอมาก่อนยังไม่เคยได้รับฟังเรื่องราวแต่ธัญชนกมาทีหลังไหนเลยจะรู้เรื่องราวก่อนตน

“นั่นสินะคงไม่เล่าแน่ๆ ช่างเถอะ เราไปเดินเล่นหน้าบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวก็มีอะไรอร่อยๆ ออกมาจากครัวแล้ว” ธัญชนกชักชวนมัชวีออกไปเดินเล่นหน้าบ้านในเวลาแดดร่มลมตกแบบนี้ เพื่อรอเวลาอาหารค่ำฝีมือป้าแจ่มที่สุดแสนอร่อย

.......................................................

หลังอาหารค่ำมัชวีกับธัญชนกยุกยิกกันสองคนต่างเกี่ยงกันให้เริ่มต้นถามป้าแจ่มเรื่องที่ทั้งสองสาวอยากรู้นักหนา เพราะที่ป้าแจ่มสัญญานั้นยังไม่ได้เล่าให้ฟัง

“อะไรกันสองคนยุกๆ ยิกๆ กันอยู่ได้” เสียงป้าแจ่มเอ็ด

“ก็ป้าแจ่มอะสัญญาว่าจะเล่าแต่ไม่เล่า พวกมัชก็อยากรู้อยากเห็นสิค่ะ” มัชวีทวงสัญญากกล้าๆ กลัวๆ

“อืมไว้จะนอนแล้วจะเล่าให้ฟัง” แจ่มจรัสบอกปฏิเสธ เพราะเธอยังมีงานอื่นค้างอยู่

“เอาอีกแล้ว พอจะนอนก็ไม่เล่าอีก เป็นอย่างนี้แหละ ผู้ใหญ่ขี้โกหก” มัชวีเชิดใส่ป้าแจ่มของเธอ และออกอาการน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด

“สัญญาว่าจะเล่าก็ต้องเล่าสิ อะไรกันเดี๋ยวโดนเลยนะนี่มาว่าป้าขี้โกหก” ป้าแจ่มทำท่าค้อนมัชวีประหลับประเหลือก

“โอ๋ๆๆ ไม่งอนน้าคนดีของมัช” มัชวียื่นนิ้วก้อยให้ป้าแจ่ม อาการน้อยใจหายเป็นปลิดทิ้ง

“ไว้จะเล่าตอนนอนไปอาบน้ำอาบท่าแล้วรอป้าข้างบนแล้วกัน จะเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้เด็กฟังจะได้หลับสบาย” ว่าแล้วป้าแจ่มก็เดินหายไปในครัวอีกเช่นเคย

“แห้ว/แห้ว” สองสาวประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน

“นั่นสินะ แห้วอีกตามเคยแยกย้ายสลายพลังกลับสู่ฐานทัพโดยด่วน” แล้วสองสาวก็แยกย้ายกันไปยังฐานทัพของพวกตน

....................................

“หนูธัญหนูมัช อยู่ไม๊” เสียงป้าแจ่มเรียกหน้าห้อง

“อยู่ค่ะป้า” มัชวีเดินมาเปิดประตูห้องเพื่อรับป้าแจ่มเข้ามาในหัองของธัญชนกที่เธอนั้นมานอนด้วย อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมป้าแจ่มถึงรู้ว่าเธอมาอยู่ที่ห้องของธัญชนก

“ป้าขอเข้าไปได้รึเปล่า”

“ค่ะป้า ตกลงจะเล่าให้พวกมัชฟังได้แล้วหรือยังหละค่ะ ถ้าจะเล่าเข้ามาได้ ถ้าไม่เล่า ไม่ให้เข้า” มัชวียื่นข้อเสนอ ธัญชนกที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นแอบขำข้อเสนอของมัชวี

“เล่าสิไม่เล่าจะเดินขึ้นมาให้เมื่อยขาหรือไงกัน” ป้าแจ่มบ่น

“อะได้ๆๆ งั้นเข้ามาได้ เชิญค่ะป้านักเล่านิทานเอกของมัช” มัชวีผายมือเชื้อเชิญป้าแจ่มให้เข้าห้อง

ป้าแจ่มเลือกนั่งที่ปลายเตียงแต่มัชวีจับป้าแจ่มให้นั่งพิงหัวเตียงส่วนเธอและธัญชนกนั้นนอนหนุนตักป้าแจ่มคนละข้าง

“เล่าได้ โย่วๆ”

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเพื่อนรัก ๔ คน รักกันมากเหลือเกิน ด้วยความที่ร่ำเรียนมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เพื่อนทั้ง ๔ คนเป็นหญิง ๓ ชาย ๑ เพื่อนหญิงกับเพื่อนชายนั้นรักกัน จนมีโอกาสได้หมั้นและแต่งงานกันในที่สุด

ส่วนเพื่อนหญิงที่เหลืออีก ๒ คนนั้นก็รักกัน เพื่อนหญิงคนหนึ่งร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนหญิงอีกคนที่รักเธอคอยดูแลกันมาจนเกิดเป็นความรักความผูกพันลึกซึ้ง โดยสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตราบฟ้าดินสลาย ทั้ง ๒ นั้น วางแผนการของชีวิตไว้ด้วยกันว่าจะเดินทางไปอยู่ต่างประเทศเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น ทิ้งทุกอย่างไว้ที่เมืองไทย แต่สุดท้ายเพื่อนหญิงอีกคนก็ต้องแต่งงานไปกับคนที่ทางบ้านเลือกให้ ทำให้เพื่อนหญิงอีกคนต้องเศร้าเพียงเพราะการเลือกเดินทางที่ผู้ใหญ่คอยขีดเส้นทางไว้ให้

จนวันหนึ่งเพื่อนหญิงที่แต่งงานไปนั้นโทรมาบอกกับเพื่อนหญิงที่รักเธอว่าเธอขอไปรอบนดินแดนแสนไกลก่อนนะและขอพบเพื่อนหญิงของเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับบุพการีได้เท่าที่เธอนั้นจะทำได้แล้ว เธออดทนกับความเห็นแก่ตัวของครอบครัวสามีมานานพอสมควร เธอได้จัดแบ่งบัญชีเงินฝากไว้ให้ทายาทของเธอแล้ว และเธอก็เหลือเพียงทายาทของเธอไว้ให้ หากเมื่อไหร่ที่เพื่อนหญิงที่รักเธอมีโอกาสก็ให้ไปตามหาเพราะคิดว่าทายาทของเธอคงอยู่อย่างไม่มีความสุขในครอบครัวแบบนั้น

เพื่อนหญิงที่หลงรักรู้แต่เพียงนามสกุล “ศุภกร” เท่านั้น ไม่รู้ว่าจะตามหาทายาทของเพื่อนหญิงที่เธอรักได้ที่ไหน” ธัญชนกและมัชวีสะดุ้งกับนามสกุลที่ป้าแจ่มพูดถึง จนต้องลุกจากการนอนหนุนตักป้าแจ่มมานั่งข้างๆ ป้าแจ่มทั้งสองคน

“อะไรนะค่ะป้าแจ่มป้าพูดใหม่สิค่ะว่านามสกุลอะไรนะ” มัชวีร้องเสียงหลง

“ศุภกร ทำไม มัชรู้จักใครนามสกุลนี้เหรอลูก” ป้าแจ่มท่าทางยินดีที่มัชวีเหมือนรู้จักนามสกุลที่เธอพูดถึง

“ก็พี่ธัญไงป้า พี่ธัญนามสกุลศุภกรคะป้า” มัชวีย้ำอีกครั้ง

..........................................

มิน่าหละเด็กคนนี้ถึงได้หน้าตาคุ้นๆ ละม้ายคล้ายกับใครสักคนที่เธอรู้จัก คงเพราะเป็นลูกของธัญญานี่เอง ชื่อก็คล้ายทำไมเธอไม่เคยจะสะกิดใจอะไรเลยสักนิด เมื่อคราวใดที่มัชวีเรียกพี่ธัญ เธอก็อดคิดถึงธัญญาไม่ได้สักครั้ง ท่าทางอ่อนน้อมนิสัยดูจะถอดแบบของธัญญาของเธอมาทุกกระเบียดนิ้วเลยทีเดียว เด็กคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะเมื่อต้องเสียมารดาไป เด็กคนนี้อยู่กับครอบครัวที่รักเธอบ้างหรือเปล่า หรือรักแต่เงินของมารดาเธอเท่านั้น

แจ่มจรัสโอบไหล่ธัญชนกไว้หลวมๆ แล้วกอด ธัญชนกนั้นกอดตอบแจ่มจรัสทันที น้ำตาไหลรินอาบทั้งสองแก้ม แจ่มจรัสในตอนนี้ไม่สามารถพูดคำใดได้เลยนอกจากความปลื้มใจ สุดท้ายเธอเองได้ทำในสิ่งที่คนที่เธอรักสั่งไว้ก่อนที่จะเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล จุดหมายที่คนทุกคนต้องเดินทางไปถึง ธัญชนกสะอื้นในอ้อมกอดของแจ่มจรัสอยู่เป็นนาน

มัชวีเข้าใจในความหมายของป้าแจ่มและธัญชนกได้เป็นอย่างดี นี่สินะเค้าเรียกว่าสายใยผูกพันธ์ ส่งผ่านมาถึงคนที่ป้าแจ่มเรียกว่าทายาท เธอก็พึ่งรู้วันนี้ว่าคนรักของป้าแจ่มเป็นหญิง จึงไม่นึกแปลกใจอะไรที่ป้าแจ่มและบิดามารดาของเธอไม่คัดค้านเมื่อเธอบอกว่าคนรักนั้นเป็นผู้หญิง ก็ด้วยเหตุที่คนรักของป้าแจ่มซึ่งเป็นเพื่อนรักของบิดาและมารดาของเธอเป็นหญิงด้วยเช่นกัน

“นี่หากนายปราญกับยายทิพย์รู้ว่าลูกสาวของธัญญาคือหนูธัญคงจะตกใจและดีใจไม่น้อยเลยนะนี่” ป้าแจ่มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่จะว่าอะไรมัชหรือเปล่าค่ะป้า” มัชวีนั้นกลัวบิดามารดาจะต่อว่า

“คงไม่หรอกเพราะนายปราญกับยายทิพย์ก็พยายามหาว่าลูกของธัญญานั้นอยู่ที่ไหน แต่ทางครอบครัวของธัญญาไม่เคยบอกอะไรเลย เมื่อไม่นานมานี้นายปราญก็เหมือนจะได้ข่าวคราวของหนูธัญจากน้องชายของธัญชนก แต่ก็เดินทางไปเมืองนอกเสียก่อนก็เลยไม่ได้เรื่องอะไร” ป้าแจ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้สองสาวฟัง

“คะป้าหนูเองก็ออกมาจากบ้านนั้น เพราะป๋ากับอาม่านั้นจะให้หนูแต่งงานกับคนที่เค้าเลือกไว้ให้ เพราะเงินต่อเงินธุรกิจที่มีจะได้เอื้อกัน หนูพึ่งรู้ตอนนี้เองว่าป๋ากับแม่ก็ต้องแต่งงานกันเพราะเงินต่อเงิน ไม่เคยรักกันเลยสักนิด แต่ป๋ายังโชคดีที่ได้แต่งกับภรรยาใหม่ที่เค้าเริ่มจะรักกันเมื่อตอนที่แม่เสียไปแล้ว เค้าโชคดีกว่าแม่นะค่ะป้า” ธัญชนกกล่าวทั้งน้ำตา

“ป๋าของหนูก็คงคิดว่าอยู่ๆ ไปก็รักกันไปเอง แต่คนที่จะรักกันมันอยู่ที่พื้นฐานของหัวใจ ไม่ใช่เงินทองหรือความลงตัว จนวาระสุดท้ายของธัญญา เธอก็ยังคงบอกว่ารักป้าเสมอ เหมือนกันกับป้าที่ยังรักธัญญาเสมอเช่นกัน” ป้าแจ่มเสียงเครือ

มัชวีบีบมือป้าแจ่มให้กำลังใจป้าแจ่มของเธอ ป้าแจ่มที่มีระเบียบทุกครั้งที่เธอจะทำอะไรผิดนิดหน่อย ดูแลเธอแทนบิดามารดาที่ต้องเดินทางไปไหนต่อไหนบ่อยๆ ราวกับเป็นมารดาอีกคน ขับรถพาเธอไปโรงเรียน เป็นแม่ให้ในงานวันแม่ เธอทั้งเคารพและทั้งเกรงใจป้าแจ่มมากกว่ามารดาตนเองเสียด้วยซ้ำ

“พรุ่งนี้ป้าจะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้นะ เราฉลองกันดีไม๊ ที่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ” ป้าแจ่มเสนอความคิด

“คะป้า” ธัญชนกรับคำ

“งั้นคืนนี้นอนหลับฝันดีนะสองสาว ไม่ต้องร้องไห้แล้วเมื่อธัญมาถึงมือป้าจะไม่มีใครหน้าไหนมาแยกธัญไปจากป้าและหนูมัชได้ป้าสัญญา หลับฝันดีนะ” แล้วป้าแจ่มก็จัดแจงห่มผ้าให้สองสาวเดินจากไป ปิดไฟปิดประตู

“หลับหรือยังค่ะน้องมัช” ธัญชนกถามท่ามกลางความมืด

“ยังคะพี่ธัญ มัชกำลังเรียบเรียงความคิดบางอย่าง” มัชวีตอบกลับ

“อืมพี่ก็เหมือนกัน”

มัชวีขยับเข้าไปกอดธัญชนกจูบเบาๆ ที่เรือนผมสวยเป็นเงาและหอมกรุ่นของคนรัก ทั้งสองตระกองกอดซึ่งกันและกันด้วยสัมผัสเพียงแผ่วเบา รักแบบไม่ต้องการอะไรตอบแทนอย่างนั้นหรือ รักของป้าแจ่มนั้นลึกซึ้งกว่ารักของเธอสองคน เพราะเธอสองคนเวลานี้ต่างต้องการการตอบแทนจากรักด้วยความอ่อนหวานและอ่อนโยนของอีกฝ่าย และในเวลานี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการแลกเปลี่ยนความหวานให้แก่กันและกันเธอทั้งสองต้องการเท่านั้นจริงๆ

“มัชรักพี่ธัญค่ะ”

“เช่นกันค่ะที่รัก”

มัชวีกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีกครั้งและหลับฝันดีถึงปุยเมฆแห่งความรักของทั้งสองคน

.......................จบตอนที่ ๑๗...............




 

Create Date : 04 มกราคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:57:45 น.
Counter : 323 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.