It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องสั้นแนวยูริ : รอยบากในหัวใจ

รอยบากในหัวใจ

ธรรมชาติรอบข้างของถนนสายเปลี่ยวที่มุ่งสู่บ้านแถบชนบทของฉัน ช่างแสนสวยงาม ทุ้งหญ้าปลิวไสว โบกระบัดรับลมช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ฉันเองกรวีนาเด็กสาวบ้านนอกผู้ต้องการอนาคต อาศัยแรงใจถีบตัวเองให้ถึงฝั่งฝัน ด้วยแรงใจที่มีทั้งหมดส่งผลให้ฉันกระเสือกกระสนที่จะต้องไปเรียนในเมืองหลวงที่มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ทิ้งหญิงอันเป็นที่รักไว้ โดยไม่ได้แยแสกับความรักที่เธอมอบให้ ฉันทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ และเริงร่ากับความทะยานอยากในชีวิต

นานเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนถิ่นสวยงามแห่งนี้ ฉันลงรถโดยสาร ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่ารถสองแถวสีน้ำตาลเก่าโทรมที่ฉันนั่งโดยสารมาตรงหน้าวัด ซึ่งวัดนี้เป็นวัดใหญ่ที่สุดในตำบลนี้ก็ว่าได้ ฉันจำได้ว่าสมัยยังเป็นเด็กฉันต้องเดินลัดเลาะทุ่งนาเพื่อมาเรียนที่โรงเรียนในวัด ที่สภาพไม่ได้ต่างไปจากกระต๊อบ ใช่!!! ฉันสามารถใช้คำคำนี้ได้ กับโรงเรียนเพียงแห่งเดียวของที่นี่ เมื่อฝนตก ทุกคนต้องหลบเข้าไปนั่งกองกระจุกกันอยู่ตรงกลางของห้อง หลังคาที่มุงจากเริ่มจะรั่ว ลมพัดเอาละอองฝนเม็ดโตเข้ามาในห้อง นักเรียนแต่ละคน นั่งหนาวสั่นรวมกันกลางห้อง ฉันและเพื่อนสาวคนหนึ่งนั่งกอดกันเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น

มันเป็นภาพที่ฉันเองยังจำได้ฝังใจ จากที่เคยได้เห็นสภาพนั้น มาถึงตอนนี้ ภาพนั้นได้เปลี่ยนไป โรงเรียนเริ่มเป็นโรงเรียนไม้ชั้นเดียวยกชั้นสูงขึ้นบันไดสัก 4 – 5 ขั้น มีห้องเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 อย่างละ 1 ห้อง มีฝาห้องเรียน มีปะตูที่ปิดมิดชิด เหมือนกับโรงเรียนที่มีให้เห็นกันโดยทั่วไป เปลี่ยนไปมากจริงๆ

“หนู ๆ มาทำอะไรจ๊ะ วันนี้โรงเรียนปิดเทอมเด็กๆ ไม่มาโรงเรียนกันหรอก” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดกับฉันหลังจากที่เห็นฉันเดินเข้ามาในโรงเรียนและมองโน่นนี่

“สวัสดีค่ะลุง หนูมาดูโรงเรียนนะค่ะลุง ไม่ได้มาหาใคร” ฉันหันไปยกมือไหว้และตอบคำถามชายผู้นั้น

“หน้าหนูนี่คุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” ชายคนนั้นตั้งคำถามกับฉันแล้วก็ทำสีหน้าครุ่นคิด

“หนูชื่อกรค่ะ หลานยายก้อยอยู่หลังวัดนี่แหละค่ะลุง” ฉันตอบยิ้มๆ

“อ้าว กรเองรึ ตายๆ ไม่ได้เจอะกันซะนาน ตั้งแต่ยายก้อยตายไป ได้ข่าวว่าไปอยู่เมืองกรุง ไปทำอะไรที่ไหนหละ” ชายกลางคนยังตั้งคำถามต่อไป

“ก็ไปอยู่กับญาติๆ นะค่ะลุง ไปอาศัยเค้าอยู่ แล้วก็เรียนหนังสือไปด้วย นี่ก็กลับมาว่าจะมาดูบ้านช่องของยายซะหน่อยว่าผุพังไปขนาดไหนแล้ว” ฉันพูดไป ก็ยืนมองสภาพแวดล้อมของวันที่เปลี่ยนไปอย่างแปลกตา

“อืม มีอะไรก็บอกลุงได้นะ ลุงยังอยู่ที่วัดนี่แหละ ข้างกุฎิหลวงพ่อเหมือนเดิม วันนี้มีงานศพด้วย ลุงคงต้องไปเตรียมงานก่อนนะ ไปหละหนู” ชายกลางคนยังคงกล่าวด้วยไมตรีเช่นเคย

“คะลุง งั้นหนูขอตัวเดินดูอะไรแถวนี้หน่อยนะค่ะ ถือโอกาสลาเลยแล้วกัน” ฉันตอบรับในน้ำใจไมตรีชองชายกลางคน และกล่าวลา

“โชคดีนะหนู แล้วแวะมาหละ”

..................................................................

ฉันเห็นงานศพที่จัดใหญ่โตอยู่ตรงศาลาข้างโบสถ์

“คงเป็นคนใหญ่โตมากเลยนะนี่จัดซะใหญ่ขนาดนี้ อืม งานใครกันนะ” ฉันคิดในใจแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

ฉันเดินดูโน่นนี่จนเดินเข้ามาในโบสถ์ พระประธานยังคงเป็นองค์เดิม ยังนึกถึงสมัยที่ยังเด็ก ฉันมักเอาของเล่นมาเล่นซ่อนกันหลังพระประธานองค์นี้ เมื่อฉันไหว้พระเสร็จจึงเดินไปหลังองค์พระ มองไปยังใต้ฐานพระ คลำหาอะไรสักอย่างที่ฉันเองยังนึกถึงเสมอ และฉันก็พบ ตุ๊กตาพลาสติกรูปไอ้มดแดงหรือไอ้มดเอ๊กซ์ อะไรสักอย่างที่ถูกมัดไว้ด้วยลวดที่ขึ้นสนิม ฉันจำได้ว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ เป็นตัวเก่งของฉัน ที่มีไว้เล่นเพื่อเอาชนะเด็กผู้ชายในวัยใกล้เคียงกัน แล้วฉันก็เป็นผู้ชนะเสมอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือ หรือเพราะความบังเอิญ แต่นั่นก็ทำให้ฉันและเด็กผู้หญิงข้างๆ ได้กินขนมที่อร่อยเสมอ เพราะชัยชนะของฉันนั่นเอง

“เอ๊ยไอ้กร แกโกงฉันเปล่านี่” เด็กผู้ชายตัวไล่เลี่ยกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ส่งเสียงดังลั่นเมื่อเป็นฝ่ายแพ้การโยนตุ๊กตา

“บ้าสิไอ้ชา ฉันจะไปโกงแกได้งัย เอามาเลยรวมมิตรน้ำแดง 1 ถ้วย ไม่งั้นพรุ่งนี้ฉันไม่เล่นกับแกอีกนะ” ฉันเดินเข้าไปใกล้และทำเสียงสูงขู่ฟ่อใส่เด็กชายวัยใกล้กัน

“เออ ก็ได้ แล้วแกจะต้องเห็นดีกันกับฉัน” เด็กชายยังไม่วายหันกลับมาโวยวายแต่ก็ต้องไปสั่งป้าขายขนมหวานให้ทำรวมมิตรน้ำแดงโรยนมข้นที่แสนหวานอร่อยให้ฉัน

ฉันรอดูป้าขายของหวานตักรวมมิตร ไสน้ำแข็งใส่ถ้วยและเอาน้ำแดงราด และโรยนมข้น มองไป น้ำลายไหลกลืนอึ๊กๆ ลงในลำคอ

“เอาขนมปังด้วยนะป้า เอาลูกชิด กับมันเยอะๆ แต่ขนมปังเยอะกว่าแล้วก็นมเยอะๆ” ฉันสั่ง ป้าขายขนมอย่างคุ้นเคย

“อะนี่กรได้แล้ว แหม่... วันนี้ชนะอีกตามเคยสินะ หึหึ แกนี่มันเซียนจริงๆ” ป้าขายขนมหวานพูดขึ้นขณะที่ยื่นถ้วยรวมมิตรให้ฉัน

“มันของแน่อยู่แล้วป้า ไอ้กรซะอย่างสบายไปแปดอย่าง” ฉันโอ่

“ไอ้แปดอย่างของแกนี่อะไรบ้างวะฮ่ะ” ป้าขายน้ำหวานยังคงถามฉันด้วยน้ำเสียงปนขำ

“ก็นะป้า ก็จำเค้ามานะ ไอ้แปดอย่างนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรบ้าง” ฉันตอบแบบไม่รู้จริงๆ

“เออไปเถอะ เดี๋ยวนังแจ๋วมันรอกินขนมของเอ็งนานเกินไป” ป้าขายของหวานตัดบดด้วยความรำคาญ

“ไปนะป้า” แล้วฉันก็เดินจากร้านขายขนมหวานที่มีเพียงเจ้าเดียวในบริเวณนั้นไปหาเด็กหญิง

“อะนี่ วันนี้ใส่ขนมปังมาด้วย ตัวชอบไม่ใช่เหรอแจ๋ว วันนี้ชนะ อีกตามเคย ไว้วันไหนเราแพ้ตัวก็ต้องมาจ่ายค่าขนมให้เรานะแจ๋ว” ฉันพูดกับเด็กหญิง

“อ้าว อะไรกัน นี่แพ้ แล้วจะให้เราจ่ายให้ มันได้ที่ไหนกัน” เด็กหญิงเถียง

“อะ ก็ที่เรานะ ชนะเรายังเอามาแบ่งให้ตัวกินเลย พอเราแพ้ตัวก็ต้องซื้อให้ไอ้ชามันดัวยสิ โถ่เอ๊ยรู้งี้ไม่แบ่งก็ดี ไอ้เรารึอยากให้กินอะไรอร่อยด้วยกัน เชอะ!!! ไม่ง้อก็ได้” ฉันร้องด้วยน้ำเสียงปนโมโห

“เอาน่า วันนั้นยังไม่มาถึงไว้มาถึงแล้วเราจะบอกว่าจะจ่ายให้ตัวรึเปล่า พอใจไม๊” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือน้อยๆ มาจับแก้มฉันบิดไปบิดมา

“โอ๊ย !!!! เจ็บนะ จะกินไม๊นี่ ไม่กินจะได้ไม่ต้องกินมันแล้ว” ฉันรู้สึกงอนเด็กหญิงข้างกาย

“กินสิ ของฟรีใครไม่กินหละ อิอิ มามะเราป้อน ไหนอั้มๆๆ” เด็กหญิงก็ยังคงเป็นเด็กหญิงที่น่ารักสำหรับฉันอยู่ดี

.............................................................

ในวันที่ฉันต้องเอาตุ๊กตาตัวเก่งมาเก็บซ่อนไว้ ฉันจูงมือแจ๋วมาในโบสถ็ แล้วบอกว่า

“เราจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าเราเคยมีของที่ดีที่สุด ทำให้เราสองคนมีขนมอร่อยกินทุกวัน” ฉันบอกแจ๋ว

แจ๋วได้แต่สบตาฉันแล้วก็อมยิ้ม

แล้วภาพในจิตสำนึกของฉันก็จางหายไป ใช่สิ แจ๋ว ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ เธอคงดูสวยเป็นสาวขึ้นมาก จากเด็กตัวน้อยร้องไห้โยเย แต่เรียนเก่งชอบอ่านหนังสือการ์ตูน จะยังเป็นเด็กสาวน่าตาน่ารักแบบเดิมรึเปล่านะ

คงไม่แล้วหละมัง แจ๋ว หรือรุ่งฤดี เธอคงแต่งงานมีครอบครัวหรือไม่ก็มีลูกไปแล้ว ฉันรู้มาว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับฉันโดยส่วนใหญ่จะแต่งงานไปกันหมดแล้ว ฉันเคยได้ข่าวเมื่อตอนก่อนที่จะไปเรียนต่อ แต่ก็ไม่เคยไถ่ถามอะไรมากนัก

………………………….

“อย่าไปเลยได้ไม๊กร เราไม่มีเพื่อนแล้วนะทำไมไม่เรียนต่อในอำเภอจนจบม.6 แล้วค่อยไปหละ” แจ๋วนั่งขอร้องฉันอยู่ใต้ต้นจามจุรีปลายนา

“ไม่ได้หรอกแจ๋ว เราไม่มียายแล้วเราจะอยู่ได้งัย เราต้องไปอยู่กับน้าเราจะได้ไปเรียนแล้วเราก็จะได้กลับมาพาแจ๋วไปด้วย” ฉันพูดปลอบใจแจ๋ว ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

“กรสัญญากับเราแล้วนะว่าจะกลับมา เราจะรอกรที่นี่ ทุกปี เราจะมาที่ต้นไม้นี้ เราจะมาขีดเอาไว้ว่าเรารอกรกี่ปี กรสัญญากับเรานะ ว่าจะกลับมา” ฉันเห็นน้ำตาของแจ๋วไหลอาบแก้ม น้ำตาของเพื่อนที่ฉันคิดว่าฉันไม่อยากเห็น

ฉันก้มลงจูบซับน้ำตาที่นองหน้าของแจ๋วอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไปกับแรงลม เหมือนไฟฟ้าทั่วร่างกายจะทำให้ฉันช๊อต ฉันเลื่อนริมฝีปากของฉันไปที่ปากอิ่มของเธอ มือไม้ฉันเริ่มอยู่ไม่เป็นที่ทางโอบไปด้านหลังของเด็กสาวและเริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อตัวน้อยลูบแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา เสียงครางฮือ.. ออกมาจากปากของแจ๋ว เสียงลมพัดหวิวๆ ดังมาจากทุ่งนาอันเวิ้งว้าง ราวกับจะรับรู้ถึงอารมณ์ของฉันและแจ๋วที่จะเจิดกระเจิงไปไม่เป็นที่ทาง ราวกับว่าท่วงทำนองพริวไหวของท้องทุ่งก็ทำให้คนสองคนใจสองใจกระเจิงไปจนกู่ไม่กลับ เหมือนโดนกระชากจากที่ไกลแสนไกล เหมือนโดยโยนขึ้นไปบนฟ้าและตกลงมาและโยนซ้ำอยู่อย่างนั้น จนอ่อนแรงไปทั้งสองคน

“เราจะจำวันนี้ไปตลอดชีวิตของเรา เราสัญญานะแจ๋ว” ฉันหันไปจูบที่หน้าผากของแจ๋วอย่างแสนรักแสนหวงแหน แจ๋วนอนหนุนแขนฉันอยู่บนกองฟางที่เราสองคนมักจะเอามาปูนอนกันใต้ต้นจามจุรีและเอาเสื่อมาปูทับ ซึ่งเรารู้สึกเหมือนนอนบนที่นอนอันนุ่มนิ่มเสมอมา

“เราก็จะจำไว้เช่นกัน อย่าลืมสัญญาของเรานะกร ตราบใดที่เรายังไม่ตายเราจะกลับมาขีดต้นไม้ต้นนี้ จนกว่าเราจะตาย เราจะรอเธอที่นี่ รอและรอ” แจ๋วเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

ฉันจำได้ว่า วันนั้นเราสองคนนอนเล่นใต้ต้นจามจุรีต้นโตนั้น และร่วมกันสลักชื่อ เราสองคนไว้ที่ต้นไม้ ฉันเดินเรื่อยเปื่อยไปที่ต้นไม้ปลายนาฉันเห็นรอยสลัก และรอยถากที่ต้นไม้ นับได้ 17 รอย ฉันลองย้อนเวลากลับไป และนับถอยหลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ 17 ปี ที่ฉันจากไป รอยยังคงเพิ่มขึ้น ฉันนึกถึงแจ๋ว สาวน้อยข้างกายฉันนั้นวัยเยาว์

ฉันลูบคลำรอยนั้นอย่างสำนึกผิดอย่างแรงกล้า แจ๋วคงรอฉัน รอในทุกวันทุกปี รอแบบไม่มีความหวัง ส่วนฉันนั้นเองก็ไม่เคยมีใครเข้ามาใกล้ชิดหัวใจได้ แม้จะมีบางคราวที่โหยหาความอ่อนหวานของสตรีเพศ แต่ฉันก็ยับยั้งชั่งใจไว้ อาจเป็นเพราะยังไม่เคยมีใครใกล้ชิดฉันได้เท่ากับแจ๋ว ก็เป็นได้

……………………………

“ลุงกำนัลค่ะ อยู่รึเปล่าค่ะ” ฉันส่งเสียงหน้าบ้าน ลุงกำนัลด้วยความหวังว่าจะได้ข่าวของแจ๋วบ้างเล็กน้อยก็ยังดี

“ใครมานะ อ๋อ มีอะไรหนู หาใคร” สตรีวัย 60 ถามออกมาจากข้างในบ้าน

“อ๋อ สวัสดีค่ะป้า มาหาลุงกำนัลค่ะ ป้า ลุงกำนัลอยู่ไหมค่ะ” ฉันถามหาลุงกำนัลซึ่งเป็นพ่อของแจ๋ว

“ไม่อยู่หรอก ไปวัดนะไปงานศพ วันนี้สวดวันสุดท้ายแล้ว” สตรีวัย 60 พูดไปก็ เช็ดน้ำหมากที่ปากไปพลาง

“อ้าวเหรอค่ะ เมื่อกลางวันหนูก็ไปที่วัด ยังสงสัยอยู่เลยงานศพใครจัดซะใหญ่โต” ฉันตอบ

“ถ้าจะหาพ่อกำนัลก็ไปที่นั่นแหละ คงอยู่จนดึก นี่เดี๋ยวฉันก็ว่าจะไปอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่นังแจ๋วไม่อยู่อะไรดูว่างๆ ไปเลย” สตรีผู้นั้นกล่าวแล้วก็ เดินหายเข้าไปในบ้าน

ฉันก็เลยยืนบื้อ อยู่หน้าบ้านลุงกำนัล “ตั้งแต่นังแจ๋วไม่อยู่อะไรดูว่างไปเลย” อะไรแฝงอยู่ในคำพูดนั้นแจ๋วไปไหน ใช่สินะ แจ๋วคงแต่งงานไปแล้วตามธรรมดาของสาวชาวบ้าน

ฉันเดินกลับไปที่วัดพร้อมเป้ใบเดิมที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ที่ไหน เดินเข้าไปหาลุงกำนัลในศาลา และเห็นรูปของศพที่ตั้งอยู่หน้าโลง แล้วฉันก็ตัวชา รูปของเธอคนนั้น สมัยยังเด็ก มัดผมจุกวางอยู่หน้าโลง

เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่แน่ๆ น้ำตาฉันไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย และสติก็ขาดวูบไป

...........................................................

“ฟื้นแล้วรึอีหนู เป็นอะไรไปหละมาเป็นลมในงานนี้นะ” เสียงชายชราคนที่ฉันเจอะตอนกลางวันไถ่ถามอย่างเป็นห่วง

“ลุงค่ะ นี่งานศพของแจ๋วหรือค่ะ” ฉันเมื่อได้สติก็ถามขึ้นมาทันที

“อืม ใช่ งานศพไอ้แจ๋วมัน มันฆ่าตัวตายเพราะพ่อกำนัลบังคับให้มันแต่งงานกับลูกเสี่ยเฮง มันไปผูกคอตายใต้ต้นจามจุรีปลายนาบ้านเอ็งนะแหละ” ลุงเล่า

ฉันตัวชาอีกครั้ง น้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว และเสียงที่ก้องในหูของฉันยังดังไม่หยุด “เราก็จะจำไว้เช่นกัน อย่าลืมสัญญาของเรานะกร ตราบใดที่เรายังไม่ตายเราจะกลับมาขีดต้นไม้ต้นนี้ จนกว่าเราจะตาย เราจะรอเธอที่นี่ รอและรอ”

ขอโทษนะแจ๋ว เรามาช้าไป เราขอโทษ ฉันร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ

“มันลูกไม่รักดี ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม กะแค่แต่งงานกับลูกเสี่ย มันถึงกับต้องฆ่าตัวตาย ทำไม ไม่เข้าใจ แล้วมันจะรู้ไม๊ ว่าพ่อมันก็จะตายไปด้วย ไอ้ลูกทรพี” กำนัลเอาแต่พร่ำพูดเพียงแค่เท่านั้น

ฉันลุกไปจุดธูปหน้าโลงของแจ๋วและบอกกับแจ๋วว่า ฉันขอโทษ ไม่มีอะไรที่ฉันจะเสียใจได้มากเท่านี้มาก่อน

วันรุ่งขึ้นเป็นงานเผาศพแจ๋ว ฉันไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งมองรูปของแจ๋วอยู่ที่ศาลา ฉันไม่เคยเห็นแจ๋วในวันที่เธอเป็นสาวสะพรั่ง ฉันทิ้งแจ๋วไว้ในอดีต แจ๋วยังคงรักอดีต และฉันบอกกับศพของแจ๋วว่าฉันเองจะเป็นชีวิตที่เป็นอนาคตของแจ๋ว ฉันสัญญา

เมื่อเสร็จงานศพของแจ๋วฉันเดินกับไปที่ต้นจามจุรีปลายนา ฉันลูบคลำลำต้นของมันด้วยใจที่หดหู่ ปลายเชือกป่านใหญ่ที่ห้อยลงมาทำชิงช้ายังคงไหวปลิวตามสายลม

“มันฆ่าตัวตายเพราะพ่อกำนัลบังคับให้มันแต่งงานกับลูกเสี่ยเฮง มันไปผูกคอตายใต้ต้นจามจุรีปลายนาบ้านเอ็งนะแหละ” เสียงของลุงดังก้องในหัวสมองฉัน ฉันจับปลายเชือปานมองแล้วเศร้าใจ

“ผูกคอตายเหรอ ทำไมนะแจ๋วทำไมเธอคิดอะไรง่ายๆ แบบนี้ทำไม” ฉันคร่ำครวญ น้ำตาหลั่งไหลออกมาสุดที่จะยั้งไว้ได้

ฉันเดินไปที่ลำต้นจามจุรีลูบคลำรอยบากนั้นเหมือนฉันได้จับต้องเนื้อตัวของแจ๋ว แจ๋วคงฝังใจกับต้นจามจุรีต้นนี้มากมายเหลือเกิน เพียงครั้งเดียว เพียงครั้งเดียว ทำไมถึงคิดสั้น ทำไม !!!!!!

“แจ๋ว ต่อไปนี้รอยบากที่ต้นไม้ เราจะเป็นคนเพิ่มรอยให้ ในทุกปี เพื่อให้แจ๋วรู้ว่า เราเองก็เต็มใจที่จะเติมรอยบากในหัวใจเพิ่มเพื่อเธอคนเดียว” ฉันพร่ำบอกกับแจ๋ว ณ.ต้นจามจุรี เพราะฉันตอนนี้มีรอบบากที่กรีดลึกในหัวใจฉัน ร่องรอยนั้นจาลึกไว้ข้างในก้นบึ้งของหัวใจฉัน

แม้เพียงแค่ความทรงจำในบางช่วงของชีวิตฉันยังลืมแจ๋ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป แจ๋วจะอยู่ในหัวใจฉันตลอดกาล

ในทุกปี ณ.วันนั้น วันที่เราสองคนเคยกรีดรอยบากไว้ที่ต้นจามจุรี ฉันจะลางานเพื่อมายืนตรงนี้ ณ.ใต้ต้นจามจุรี ฝั่งรอยบากลงบนลำต้น ถึงตอนนี้ต้นจามจุรีจะแผ่กิ่งก้านสาขาจากต้นเล็กเป็นต้นใหญ่โตคลุมพื้นที่บริเวณนั้นให้ไม่มีหญ้าปกคลุม แต่รอยบากก็ยังคงอยู่

ฉันไม่ได้ขายที่นาแปลงสุดท้ายของยายก้อยของฉัน ฉันเก็บไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งรักรักที่ไม่มีทางสมหวัง รักที่ไม่มีทางย้อนกลับ แจ๋วจะรู้ไหมนะว่าฉันยังระลึกถึงเธอเสมอ ด้วยวัยของฉันตอนนี้อีกไม่นานฉันจะไปพบเธอรอฉันนะแจ๋ว อีกไม่นาน อีกไม่นาน ......................

............................................................





 

Create Date : 16 ธันวาคม 2550    
Last Update : 16 ธันวาคม 2550 13:12:28 น.
Counter : 355 Pageviews.  

เรื่องสั้น : บนเส้นทางสายความรักของฉัน



บนเส้นทางสายความรัก

ฉันกำลังเดินทางบนถนนเส้นหนึ่ง ถนนสายนี้ มุ่งสู่จังหวัด เล็ก ๆ ทางภาคเหนือของไทย เป็นเพียงจังหวัดทางผ่านของใครหลาย ๆ คน ฉันเคยคิดเหมือนกันว่า ชีวิตของฉัน เหมือนถนนสายนี้ ที่พาผู้คนไปสู่จุดหมายปลายทางมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นความสำคัญของทางผ่านแบบฉัน

ใช่ค่ะ ฉันเป็นทางผ่านของใครหลาย ๆ คนแต่ละคน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป โดยส่วนใหญ่ เมื่อเข้ามาใช้เส้นทางด้วยกัน ก็มักจะบอกว่าถนนเส้นนี้ดูราบรื่นดี มีต้นไม้ใหญ่ ช่วยให้ชีวิตได้ร่มเงา แต่เมื่อเค้าเห็นถนนที่ดูดีและปลอดภัยกว่าเค้าก็หลีกลี้หนีหายไปใช้เส้นทางใหม่กันทั้งนั้น

ฉันเป็นคนใจร้อน ไม่ยอมใคร และไม่ค่อยลงรอยกับใคร นับวัน ยิ่งมากขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จน คนใกล้ตัวต่างเอือมระอา ต่างแยกย้ายไป

ฉันเคยมีความคิดที่จะ ปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ แต่มันก็ได้แค่ความคิด เป็นเพียงแค่ความหวังว่าจะปรับปรุงได้ อย่างที่เค้าพูด ๆ กัน สันดอนนั้นขุดได้ แต่ สัน ... ขุดไม่ได้ ปรับไม่ได้ พอถึงจุดอิ่มตัว นิสัยเดิม ๆ ก็ ออกมาทุกที เหมือนคนโกหก ว่าฉันเริด ฉันดี อะไรแบบนั้น แท้จริงแล้ว ฉันไม่ได้เริด ฉันไม่ได้ดี อย่างที่ฉันสร้างภาพหรอกค่ะ ฉันก็แค่.... คนที่มีหัวใจเปลี่ยวเหงาเศร้า เหมือนคนทั่วไป มีความทะเยอทะยายใฝ่สูงเหมือนคนทั่วไป

ฉันมีความหวังมากมาย ฝันมากมายกับความรัก และฉันก็รักใครแล้วรักหมดใจ ไป ทุกครั้งและแอบเจ็บลึก ๆ ทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อรักต้องล่มสลายลงกลางทางแห่งฝัน ใครจะคิดว่า จู่ ๆ ปลาที่คิดว่าตายแล้วแช่แข็งอยู่จะลุกมามีชีวิต ดิ้น ผล่าน เพื่อที่จะขอทางสายใหม่ ที่เย็นเหมือนแม่น้ำ แล้วก็... แหวกว่ายไปในที่ที่ปลาตัวนั้นคิดว่า ที่นั่นสงบร่มเย็นกว่าถนนสายนี้

ใครจะคิดว่า ตุ๊กตาหน้ารถแสนสวยที่ฉันจับมาปัดฝุ่น ล้างคราบสกปรกจากฝีมือคนอื่น จะบอกฉันว่า...ขอไปนั่งรถคันใหม่ที่ดูแล้วว่ามีแอร์เย็นฉ่ำ ไม่เป็นแอร์กี่แบบรถของฉัน

ใครจะคิดว่าเพื่อนร่วมทางเดินที่แสนจะยาวนาน มาบอกว่า ฉันถึงที่หมายแล้ว ขอบคุณนะค่ะที่ช่วยส่งฉันจนถึงที่

และใครจะคิดไหมว่า ฉันเจ็บปวดแค่ไหนกับคำพูดเหล่านี้ เพียงเพราะว่าฉันเป็นทางสายเก่า รถคันเก่าที่ผุพังตามกาลเวลา ถนนขรุขระที่มีแต่รอยปะเพราะความทรุดโทรมอย่างฉัน จะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด

ใครเล่าจะรู้

........................

เส้นทางนี้ ยังเป็นเส้นทางที่แสนยาวไกล ฉันเองหรือแม้แต่ ผู้ร่วมเดินทางไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงตรงที่แห่งใด อาจจบเพราะงบในการสร้างทางหมด หรือจบเพราะแรงงานในการสร้างทางเส้นนี้ไม่มีแรงแล้ว หรือไม่มีคนร่วมสร้างทาง หรือแม้กระทั่งร่วมเดินทางไปกับฉันก็อาจเป็นได้

ครั้งหนึ่งฉันเคยมีผู้ร่วมทางที่แสนใจเย็น อดทนเดินไปบนทางที่ร้อนระอุ ทางที่มีแยกมากมาก โดยที่ฉันแยกไปเองเพื่อเสาะแสวงหาสิ่งที่ฉันคิดว่าสนุกสนานกว่าเดินไปกับผู้ร่วมทางเพียงสองคน แต่ผู้ร่วมทางก็ยังคงเดินทางสายตรง สายกลางได้ตลอดเวลา จนสุดท้าย ผู้ร่วมทางนั้นอดทนที่จะเดินทางไปกับฉันไม่ได้ และผู้ร่วมทางชินที่จะเดินทางแต่เพียงลำพัง และแล้วก็เดินออกจากเส้นทางของฉันไปอย่างสงบ ฉันไม่ได้เห็นแม้เพียงหลังของผู้ร่วมทาง เพราะเธอจากไปโดยไม่ได้ล่ำลา ฉันเฝ้าวนเวียนหาผู้ร่วมทางจนฉันท้อ และสุดท้าย... ฉันก็ได้รับผู้ร่วมทางใหม่เข้ามา

เป็นอย่างนี้ประจำ จนฉันเริ่มชิน และชากับการเดินทางเพียงลำพัง

แต่ตอนนี้ ฉันมีผู้ร่วมเดินทางที่พร้อมจะไปกับฉัน ไม่ว่าจะเดินทางลูกรัง ทางขรุขระ และฉันก็มุ่งมั่นสร้างทางที่ฉันเดินทางอย่างตั้งใจ มีคนเคยผู้กับฉันว่า ชีวิตที่ผ่านมานั้นแย่พอแล้ว แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และฉันก็ จะสู่ต่อไป คนนี้เค้าสู้ชีวิตอดทนกับความปวดร้าว กับการดูถูกของสังคม และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายเค้าก็ ได้ทำอย่างที่เค้าฝันไว้ ลุกได้ด้วยแรงกายของตนเอง และฉันก็เชื่อมั่นว่าฉันต้องทำได้ และต้องได้อย่างเค้า

ฉันขอเพียงผู้ร่วมเดินทางคนสุดท้ายของฉันจะอดทนและอดกลั้นกับเส้นทางที่ไม่ค่อยราบเรียบ ร้อนๆ หนาว ๆ ฝนตกบ้าง พายุกระหน่ำมาบ้าง แต่ขอได้โปรดทราบไว้ว่า เส้นทางสายนี้ จะไม่มีใครมาเดินร่วมกับเราสองคนอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าทางที่จะเดินยาวไกลสักเพียงไหน ฉันจะจูงมือผู้ร่วมทางของฉัน เดินไปด้วยกัน แม้ต้องใช้ไม้เท้า หรือรถเข็น หรือรถคันเก่า ๆ แก่ ๆ ก็ตาม ที

เดินไปพร้อมกันกับฉันเถอะนะ ผู้ร่วมทางคนสุดท้าย แล้วจะรู้ว่า สุดทางสายนี้ มีรุ้งแสนสวยรออยู่




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2550    
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 10:28:08 น.
Counter : 363 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๖ ขัดจังหวะจริ๊ง

ตอนที่ ๖ ขัดจังหวะจริ๊ง

เมื่อใกล้เวลาเลิกซ้อมมัชวีรู้สึกถึงอาการปวดเมื่อยแขนทั้งยังยกแขนไม่ขึ้น มัชวีรู้สึกเหมือนตัวเองหมดเรี่ยวแรงแขนอ่อนล้าไปหมด นึกโมโหมานิตาในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้เพื่อนรักต้องเสียน้ำใจ มัชวีเข้าใจมานิตาว่าไม่อยากทำอะไรคนเดียว แต่เรื่องแบบนี้มัชวีรู้ตัวดีว่าเธอนั้นไม่ถนัดเอาเสียเลย มัชวีเดินออกมารอรถด้านหน้าตึก แลเห็นมานิตากับมานพรีบร้อน พากันซิ่งรถจักรยานยนต์ออกไปโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจตัวเธอเองที่ยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ใต้โถงตึก

“ไหนพึ่งเห็นว่าทะเลาะกันแล้วทำไมถึงเกาะกันเป็นปลิงแบบนั้น เออ... ยายแหม่มนี่ก็แปลกคน” มัชวีได้แต่บ่นกับตัวเอง

“อ้าวน้องมัช ไม่กลับอีกหรือคะ” เสียงหวานร้องเรียกมัชวีจากด้านหน้าของตัวตึก เมื่อมัชวีหันไปมองก็พบกับพี่ธัญชนกคนสวยของเธอ

“ยังหรอกค่ะพี่ เพื่อนมัชตัวแสบไปโน่นแล้ว ทั้งๆ ที่นัดกันไปเดินช๊อบปิ้งนะคะนี่ ดูเค้าทำกับมัชสิ เสียแรงไว้ใจคบเป็นพื่อน พี่ยังไม่กลับหรือคะ มัชนึกว่าพี่กลับไปนานแล้วเสียอีก” มัชวีพูดพลางชี้มือให้ธัญชนกดูเพื่อนแสบของเธอซิ่งหายไปในความมืด และถามธัญชนกที่เธอเองก็นึกสงสัยว่าทำไมพี่ธัญของเธอจึงยังไม่กลับบ้าน

“ฮ่าๆๆ นั่นสินะแสบจริงๆ เพื่อนน้องมัชนี่นะ แล้วงัยคะ เหนื่อยไหมเห็นทำหน้าบูดตั้งแต่ตอนซ้อมเชียร์ ไม่ชอบหล่ะสิ แต่บางครั้งนะน้องมัช คนเราก็ต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบหรือเราเองไม่อยากทำ เพียงเพราะเราต้องอยู่ในสังคมส่วนรวมก็เท่านั้น พี่ยังไม่กลับหรอกค่ะรอเพื่อนเหมือนกัน ก็ยายกีนั้นแหละ ป่านนี้ยังไม่เสด็จลงมาเล๊ย พี่ก็รอจนเมื่อย ยุงกัดไปหลายแผลแล้วนี่” ธัญชนกพูดปลงๆ กับมัชวี

“มาโน่นแล้วค่ะพี่ เพื่อนพี่นะ เดี๋ยวมัชขอตัวนะคะ รถจะหมดก่อนกลับมัชได้เดินขาลากแน่ๆ ตอนนี้แขนก็ลากแล้วค่ะพี่” มัชวีกล่าวด้วยเสียงอ่อยๆ เหมือนปลงกับชีวิตจริงๆ

“ไปกับพวกพี่ไหมหล่ะ เดี๋ยวให้นายชาติไปส่ง ขานั้นนะรับรองได้หากสาวสวยไปด้วยไปได้ทุกที่” ธัญชนกเอ่ยชวนมัชวี เพราะรู้ดีถึงนิสัยของเพื่อนชายของตัวเอง

“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวมัชกลับเองดีกว่าไม่อยากรบกวนพวกพี่ค่ะ ขนาดเพื่อนมัชเองยังไม่สนใจมัชแล้วใครจะสนหล่ะคะ” มัชวีน้อยใจเพื่อนจนเหมือนจะมีน้ำใสๆ มาคลอที่ตา

ธัญชนกเห็นท่าทางมัชวีแล้วเกิดสงสารเดินเข้าไปยกมือขึ้นตบเบาๆ บนบ่าของมัชวี มัชวีรู้สึกถึงกระแสความห่วงใยของธัญชนกที่ไหลผ่านมือเรียวสวยนั้นมายังเธอ หันหน้าไปมองธัญชนกให้ชัดเจนขึ้น มุมที่มัชวีและธัญชนกยื่นอยู่นั้นค่อนข้างมืดปราศจากแสงไฟ เพราะห่างไกลจากตึกคณะพอสมควร แสงดาวบนฟ้าเมื่อมองผ่านหน้าของธัญชนกดูจะหมองลงไปทันที จมูกที่ได้สัดส่วนคางกลมสวยได้รูป มัชวีเห็นแล้วอยากถ่ายรูปไว้เหลือเกิน แต่ตอนนี้เธอไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ได้แต่เพียงบันทึกภาพนั้นไว้ในใจ แล้วบรรยากาศที่เงียบก็เริ่มครึกโครมอีกรอบเมื่อกีรณาและชาติชายเดินเข้ามาร่วมวง

“ยายธัญรอนานไหม” กีรณาเอ่ยถามเพื่อนที่เห็นยืนรออยู่กับมัชวี

“ไม่นานหรอกย่ะ แค่ฉันนะเลี้ยงข้าวยุงไปสัก ๑๐ ลิตรได้ ดูสิ ถ้าฉันหมดสวยผิวเสียรับผิดชอบเลยนะแกยายกี” ธัญชนกบ่นกระปอดกระแปดกับเพื่อนสาว

“แหมนะถ้าธัญไม่สวยแล้วใครจะสวยหล่ะ ไปเถอะกลับบ้านถ้าเกิดป๋าเธอเค้ารู้ว่าเธอกลับบ้านดึกเดี๋ยวก็โดนเฉ่งเข้าจนได้” ชาติชายตัดบทสองสาวเพราะเห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากพอสมควร

“เอาน้องมัชกลับไปด้วยกันนะ น้องเค้าไม่มีเพื่อนกลับ” ธัญชนกบอกชาติชายที่กำลังเดินไปที่รถ

“อืมก็ได้ ไปสิ มีสาวสวยมานั่งรถทั้งทีจะปฏิเสธก็เสียเชิงชายหมดนะสิยายธัญ” ชาติชายยิ้มกรุ้มกริ่มมาทางมัชวี

มัชวีได้แต่ก้มหน้างุด ก็นานๆ จะมีชายหนุ่มมาก้อร่อก้อติกเธอสักครั้ง

“มัชกลับเองดีกว่าค่ะพี่ๆ เดี๋ยวจะทำให้พวกพี่ๆ กลับบ้านดึกกันพอดี” มัชวีกล่าวปฏิเสธน้ำใจของกลุ่มธัญชนก

“ไม่เท่าไหร่หรอกน้องมัชพวกพี่ก็ต้องออกไปทางหลังมออยู่แล้ว ไปเถอะยิ่งช้ายิ่งดึก” ธัญชนกฉุดแขนมัชวีเดินตามเธอไปที่รถของชาติชาย โดยที่มีกีรณายืนรออยู่

“ยายกีเธอไปนั่งข้างหน้าฉันกับน้องมัชจะนั่งข้างหลัง” ธัญชนกบอกกีรณาให้ทำตามที่เธอพูด ทำไมธัญชนกจะไม่รู้ว่ากีรณาเพื่อนของเธอนั้นชอบนายชาติชายตั้งแต่สมัยเริ่มเรียนปีหนึ่ง แต่กีรณาไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้คงทำตัวเป็นเพื่อนสนิทกับชาติชายเสมอมา เพียงเพราะว่าต้องการอยู่ใกล้ๆ ก็พอ ธัญชนกมักล้อเลียนเพื่อนเสมอแต่ชาติชายก็ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ธัญชนกล้อนั้นหมายถึงตัวเขาเอง

เมื่อทั้ง ๔ คน นั่งรถเรียบร้อยมัชวีก็บอกทางไปหอพักของเธอที่อยู่ไม่ไกลนัก มัชวีกล่าวขอบคุณพี่ๆ รอจนรถแล่นออกไปจนลับตาแล้วจึงเดินขึ้นหอพักไปด้วยท่าทางที่อิดโรย

.........................................................................................

ก๊อกๆๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในช่วงสายๆ

“มัช ยายมัชตื่นเถอะตื่นเดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน” เสียงหน้าห้องยังดังเล็ดรอดเข้ามาไม่ขาดสายพร้อมเสียงทุบประตูเร่งให้มัชวีตื่นจากหลับไหล

มัชวีรู้สึกแขนทั้งสองข้างระบมไปหมด พาตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนอันแสนนุ่มแล้วเดินหัวกระเซิงไปเปิดประตูห้อง เพื่อลดสียงต้นเหตุที่ดังไปทั่ว

“อะไรอีกหล่ะ” มัชวีเอ่ยด้วยเสียงงัวเงีย

“ก็นี่มันสายแล้วยายมัช เธอนะจะนอนกินตะวันหรืองัยยะ” มานิตาบ่นมัชวีที่สายแล้วไม่ตื่นไปเรียน แต่ดูท่าทางเพื่อนของเธอจะแย่แล้วแน่ๆ วันนี้ เพราะปกติมัชวีจะเป็นคนตื่นเช้าเสมอถึงแม้จะลุกจากเตียงยากไปสักนิดก็ตามที และมัชวีจะรอเธอไปเรียนพร้อมกันกับเธอ

“เออนี่มัชตัวไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าตาท่าทางดูโทรมแบบนั้นหล่ะ” มานิตาถามเพื่อนที่ทำท่าทางเหมือนยังไม่ตื่น

“อืมปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเลยนะ แขนนี่แทบยกไม่ขึ้น เมื่อคืนกว่าจะนอนได้ฉันแทบแย่นะ” มัชวีพูดพลางยกมือนวดแขนตัวเองสลับกันไปมา

“อ้าว...เดี้ยงเลยเหรอ ฮ่าๆๆ โธ่เอ๊ยเรื่องแค่นี้ ไปอาบน้ำเถอะแล้วถ้าไม่ไหวจริงๆ ไม่ต้องไปเรียนเราจะบอกอาจารย์ให้ว่าเธอไม่สบาย” มานิตาพยุงเพื่อนกลับไปนอนแล้วสั่งเสียก่อนจะออกไปเรียน

เมื่อมานิตาออกจากห้องไปมัชวีก็หลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย

....................................

เสียงเคาะประตูดังอีกครั้งทำให้มัชวีต้องลุกไปเปิดประตูให้

“อะไรอีกหล่ะยายแหม่ม เราจะนอน” มัชวีพูดพลางเปิดประตูห้องเพื่อให้เพื่อนเข้ามาข้างใน แต่ภาพที่ปรากฎหน้าห้องกลับไม่ใช่มานิตา ทำให้มัชวีตกใจ

“พี่ธัญมาได้ไงคะแล้ว...” มัชวีพูดและมองออกไปนอกห้องว่ามีใครมากับธัญชนกบ้างเพราะเสื้อที่เธอใส่อยู่ออกจะบางไปสักนิดหากใครที่ไม่สนิทจะมาเห็นคงไม่ดีแน่ๆ เมื่อธัญชนกเข้ามาในห้องแล้วมัชวีก็เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับไว้ป้องกันคนมาใหม่ตาเป็นกุ้งยิง

“มาไม่ได้เหรอคะ งั้นพี่กลับดีกว่า อะนี่ข้าวกับยาคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็นี่ยาทาแก้ปวด กินข้าวเสร็จก็กินยาแล้วก็ไปอาบน้ำซะ จะได้ทายาเดี๋ยวพรุ่งนี้ซ้อมไม่ได้คนอื่นเค้าจะเดือดร้อน” ธัญชนกว่าพลางยื่นถุงข้าวกล่องและถุงยาให้กับมัชวีและทำท่าจะเดินออกไปนอกห้อง

มัชวียื่นมือไปรับถุงและคว้าแขนธัญชนกไว้แทบไม่ทันเมื่อรู้ว่าธัญชนกจะกลับ ก็มัชวีนั้นออกจะดีใจมากมายที่เห็นธัญชนกห่วงใยเธอถึงแม้จะในฐานะพี่กับน้องก็ยังดีกว่าไม่มีความห่วงใยจากพี่ธัญของเธอเลย

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะพี่แต่มัชไม่รู้ว่าพี่มาได้ไงแล้วอีกอย่างพี่ไม่มีเรียนหรือคะ” มัชวีถามเสียงอ่อยเพราะรู้ว่าท่าทางของเธอคงทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปยกใหญ่

“อ่อ...นึกว่าไม่ต้อนรับคนนอกซะอีก แหม...ก็นะดูทำหน้าทำตาเข้าอย่างกับตกใจอะไรนักหนาแบบนี้ใครจะกล้าอยู่ด้วยหล่ะ” ธัญชนกพูดปนขำกับท่าทางเก้ๆ กังๆ ของมัชวี

“ก็ตกใจนี่คะที่จู่ๆ ก็มีสาวสวยมาถึงรังหนูแบบนี้” มัชวีเดินฉุดมือของธัญชนกตามเธอมาในห้องแล้ววางถุงลงบนโต๊ะเขียนหนังสือที่เป็นเหมือนโต๊ะเอนกประสงค์ใช้ทำทุกอย่างตั้งแต่วางคอมพิวเตอร์ วางหนังสือเรียน และเป็นที่กินข้าวบ้างในบางครั้ง

“ห้องน้องมัชออกจะดูเรียบร้อยออก ห้องพี่เสียอีกของรกไปหมด” ธัญชนกเอ่ยชมห้องของมัชวี ด้วยท่าทางของมัชวีไม่น่าที่จะจัดห้องได้น่าอยู่และเรียบร้อยขนาดนี้ ท่าทางห้าวๆ แต่แอบหวานของมัชวี เด็กคนนี้มีอะไรที่น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา แววตาที่ส่งประกายยามที่เห็น แววตาอ่อนโยนเมื่อมองป้าสม แววตาแข็งกระด้างเมื่อยามโกรธ และแววตาออดอ้อนเธอในตอนนี้ ดูช่างเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ที่ขอความอบอุ่นจากแม่ก็ไม่ปาน

ห้องมัชวีจัดได้เป็นสัดส่วนลงตัว เตียงเล็กขนาดสามฟุตครึ่งวางอยู่ชิดริมด้านในปูด้วยผ้าปูที่นอนสีหม่น ที่ตอนนี้ยับย่นเพราะเจ้าของเตียงพึ่งลุกจากที่นอนนั้น ติดระเบียงห้องมีโต๊ะทำงานที่จัดวางของได้อย่างเรียบร้อย ตู้หนังสือที่อยู่ติดกันจัดเรียงหนังสือตามขนาดของหนังสือลดหลั่นกันไป ข้างตู้มีกีต้าร์ที่ดูเหมือนเจ้าของจะใช้เล่นบ่อยครั้งด้วยตรงคอร์ดมีสีซีดจางจากรอยกดของนิ้วเรียวสวยนั้น

“สำรวจรังหนูหรือคะพี่” มัชวีเอ่ยถาม ทำให้ธัญชนกซึ่งกำลังตกอยู่ในพะวังถึงกับสะดุ้งโหยง

“ปะ เปล่าค่ะขอโทษทีพี่แค่เห็นว่าห้องน้องมัชจัดของได้ดีเท่านั้นเอง” ธัญชนกเอ่ยเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทที่มองสำรวจห้องของมัชวีไปทั่ว

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ มัชแค่แซวเล่น เดี๋ยวมัชขอตัวไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะคะ ตั้งแต่เช้ามัชยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง มัวแต่นอนนี่ยังนึกว่ายายแหม่มกลับมาเลยนะคะพี่ พูดถึงยายแหม่ม นี่หายหัวไปเลยนะ มัชหล่ะอดน้อยใจเพื่อนตัวแสบไม่ได้” มัชวีบ่นอุบอิบ

“อย่าไปว่าอะไรแหม่มเค้าเลย นี่พี่ก็อาสามาเองแหละ บอกแหม่มเค้าไปว่าเดี๋ยวพี่จะมาดูให้ เห็นแหม่มเค้าเอาอะไรไม่รู้ไปซีร๊อกซ์ให้น้องมัช พี่ก็ว่างอยู่เลยอาสามาให้น้องแหม่มเค้า” ธัญชนกอธิบายเพื่อไม่ให้มัชวีเข้าใจเพื่อนในทางที่ผิด

“อ่อค่ะงั้นเดี๋ยวมัชทำธุระส่วนตัวเดี๋ยวนะคะ พี่ธัญนั่งรอบนเตียงไปก่อนก็ได้” มัชวีพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาพับและจัดผ้าปูที่นอนหมอนให้เข้าที่ด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดตัวเดินหายไปในห้องน้ำ

ธัญชนกก้มลงหยิบหมอนของมัชวีขึ้นมากอดไว้ แล้วกลิ่นหอมจากหมอนก็เข้ามาเตะจมูก อืมเด็กคนนี้สะอาดจริงๆ กลิ่นหอมจังเลยนะ ธัญชนกหลับตากอดหมอนของมัชวีจนเคลิ้ม ธัญชนกจำได้ถึงกลิ่นของแฟนเก่าของเธอที่มักจะมีกลิ่นเหงื่อไคลเสมอ เนื่องเพราะรายนั้นเป็นนักกีฬาและชอบนอนหลับไปทั้งๆ ที่ตัวยังเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิดกับสาวน้อยคนนี้ที่มีกลิ่นหอมๆ เมื่อยามชิดใกล้

มัชวีออกมาจากห้องน้ำเห็นท่าทางของธัญชนกแล้วอดแปลกใจไม่ได้ที่ธัญชนกกอดหมอนของเธอ ท่าทางเหมือนเคลิ้มฝันอะไรบางอย่าง มัชวีรู้สึกปั่นป่วนในตัวอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้ายามนี้สวยเหลือเกิน มัชวีเดินไปหยิบกล้องถ่ายรูปที่วางอยู่บนหลังชั้นวางหนังสือออกมาด้วยความเงียบกริบและกดชัตเตอร์เก็บภาพธัญชนกยามเคลิ้มนั้นไว้ได้หลายรูป แต่ก็ทำให้ธัญชนกตกใจ

“เอ๊ย บ้าแล้วน้องมัช มาถ่ายรูปพี่ทำไมกันคะ” ธัญชนกตกใจสะดุ้งกับการโดนแอบถ่ายรูปของเธอ

“ฮ่าๆๆ ก็พี่ธัญสวยดีนี่คะ เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกันนะคะ มัชชอบ” มัชวีหัวเราะไปพลางพูดไปพลาง

“เซี้ยวใหญ่แล้วเด็กบ้า ไปปะทานข้าวทานปลาซะจะได้ทานยา” ธัญชนกแก้เขินด้วยการไล่ให้มัชวีทานข้าวเธอจะได้แอบซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อไม่ให้มัชวีเห็น

“ไม่ทานด้วยกันหรือคะพี่ เยอะออกใครจะทานหมด” มัชวีเอ่ยชวนขณะที่เดินออกไปเอาจานข้าวที่วางไว้ในชั้นวางนอกระเบียง และจัดแจงเทอาหารใส่ลงในจานอย่างเป็นระเบียบ

“พึ่งรู้ว่าน้องมัชทานข้าวน้อย แค่นิดเดียวบอกว่าเยอะ” ธัญชนกมองข้าวในจานแล้วเอ่ยขึ้น

“กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่หรือเปล่าคะพี่ มัชไม่ใช่พวกท้องยุ้งพุงกระสอบนี่คะจะได้ทานเยอะแยะมากมายขนาดนั้น” มัชวีอธิบาย

“ก็พี่เห็นตัวออกโตทานข้าวนิดเดียวจะอิ่มเหรอ คนเค้าก็กลัวคนเปื่อยไม่อิ่มนะสิ ทานเถอะพี่ทานมาแล้วค่ะ แล้วจะได้ทานยานอนพักต่อ” ธัญชนกพูดเหมือนสั่งอยู่กรายๆ

มัชวีจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าเธอแบ่งออกเป็นสองส่วน ก็อย่างที่มัชวีพูด เธอทานไม่หมดแล้วก็เก็บเอาไว้ เผื่อเวลาหิวตอนดึกอีกสักรอบ มัชวีจัดการทานยาที่ธัญชนกให้เมื่อเสร็จภารกิจส่วนตัวล้างจานล้างปากแล้ว มัชวีก็เดินมาหยิบหลอดยาทาแก้ปวดเมื่อยออกมาทำท่าจะทายา แต่แล้วก็ต้องชะงัก

“มาพี่ทาให้จะได้สะดวกขึ้น” ธัญชนกเอื้อมมือมาแย่งหลอดยาจากมือมัชวีไป และจัดแจงทายาให้มัชวีที่หัวไหลต้นแขน

จากสัมผัสที่นุ่มนวน ความใกล้ชิดกันทำให้มัชวีเผลอตัวเผลอใจจากการนวดที่ผ่อนคลายหันกลับมาเผชิญหน้ากับธัญชนกอย่างจัง สายตาสองคู่ประสานกันเหมือนจะบอกความในใจ มัชวีสบตาคู่สวยนั้นเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่างว่าหากมีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ หากเกิดอะไรขึ้นพี่ธัญของเธอจะโกรธเธอไหม

ธัญชนกเมื่อสบตากับมัชวีอย่างใกล้ชิดทำให้เธอหน้าแดงและเขินอาย หลบสายตาต่ำลงหลับตาลงเหมือนเคลิ้ม มัชวีบรรจงจูบที่เปลือกตาของธัญชนกอย่างแผ่วเบาทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาว หลอดยาในมือของธัญชนกตกลงอยู่ข้างตัวของหญิงสาว มัชวีโอบกอดสาวสวยเข้ามาใกล้ๆ สูดลมหายใจผ่านเส้นผมที่แสนจะหอมไปด้วยกลิ่นแชมพูที่เธอเองก็แทบจะอดใจไม่ได้เมื่อยามอยู่ในลิฟต์

((((((ก๊อกๆๆๆ))))))

แล้วทั้งสองก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ทั้งสองคนทำหน้าไม่ถูก ธัญชนกหน้าแดงด้วยความอายแสร้งเก็บหลอดยาที่ตกอยู่ที่พื้น ส่วนมัชวีนั้นหน้าตาเหรอหรา ทั้งตกใจที่มีเสียงเคาะประตูและเสียอารมณ์ที่กำลังจะไปได้สวยระหว่างเธอกับพี่ธัญ มัชวีผละออกจากธัญชนกเดินมาเปิดประตูเห็นมานิตายื่นทำหน้าระรื่นอยู่หน้าห้อง

“อะไรย่ะแหม่ม” มัชวีทักทายแบบเสียไม่ได้

“โห่ทักแบบนี้ไม่เอาที่ไปซีร๊อกซ์ให้ซะดีมะ นี่อุตส่าห์ไปยืนรอต่อคิวให้นะนี่เช๊อะหวังดีกลับไม่เห็นความหวังดีของเราเอาไปปะ โด่เห็นสาวดีกว่าเพื่อนเช๊อะ” พูดจบมานิตาก็ยื่นถุงเอกสารในมือและถุงกระโปรงตัวใหม่ใบโตให้มัชวีแล้วเอ่ยทักธัญชนก

“ไปนะคะพี่ธัญระวังด้วยหล่ะยายมัชนะจอมหื่น” แล้วก็สะบัดตัวปิดประตูเดินจากไปด้วยท่าทางขำกลิ้ง ก็จะไม่ให้ขำได้อย่างไร ท่าทางเพื่อนเธอกับรุ่นพี่คนสวยคงจะกุ๊กกิ๊กกันแล้วเธอเองก็มาขัดจังหวะ ไม่ขำก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วมานิตาเอ๊ย

.......................จบตอนที่ ๖........................




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 มีนาคม 2551 9:23:54 น.
Counter : 305 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๕ ฉันนี่นะ

ตอนที่ ๕ ฉันนี่นะ

“ไหนๆๆ น้องคนไหนลูกป้าสม” เสียงรุ่นพี่ถามกันให้แซด ว่าเด็กปีหนึ่งคนไหนลูกป้าสมคนบ้าประจำถิ่น

“นั้นไงคนนั้นแหล่ะคนที่เดินมากับยายธัญ แต่ว่าทำไมไปรู้จักยายธัญเราได้นะนี่” รุ่นพี่ต่างสงสัยกับภาพการเดินจูงมือเข้ามาใต้ตึกคณะของมัชวีและธัญชนก

“อ่อสงสัยเด็กคนนี้มั๊งที่เรียนกะยายธัญ” ชาติชายรุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้น

“อืมสงสัย แล้วยายธัญไม่รู้เหรอว่าเด็กคนนั้นนะลูกป้าสม” กีรณารุ่นพี่อีกคนถามชาติชาย

“บ้าเหรอยายกี เด็กคนนั้นจะเป็นลูกป้าสมได้ไง เค้ามาจากกรุงเทพฯ ลูกป้าสมคงอายุไม่เท่าน้องคนนั้นมั๊ง” ชาติชายแย้งความเห็นของกีรณา

“เออจริงเน๊อะแล้วทำไมเค้าลือกันว่าน้องคนนั้นเป็นลูกป้าสมล่ะนายชาติ” กีรณายังไม่หายสงสัยกับข่าวลือที่กีรณาได้ยิน

“แล้วตรูจะรู้ไหมฟว่ะ ไปถามน้องเค้าเองดิ มาถามเราจะไปรู้ได้ไง” ชาติชายชักหงุดหงิด แต่ก็แอบมองภาพมัชวีและธัญชนกเดินจูงมือกัน “น้องคนนี้สวยดีแฮะ” ชาติชายรู้สึกถูกชะตากับมัชวีเมื่อได้เห็นใกล้ๆ ชัดๆ ด้วยรูปลักษณะภายนอกที่ดูสูงเพรียวของมัชวีและท่าทางการเดินเหมือนนางพญา แม้จะจอแบนไปนิดแต่ก็ดูดี (ในความคิดของชาติชาย) ใบหน้ารูปไข่ได้รูปคิวเรียวสวยถึงไม่ได้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางก็ยังคงดูสวย แก้มที่แดงระเรือด้วยเลือดฝาด ยิ้มที่ดูแล้วมีเสน่ห์ นี่กระมังสาวที่เค้าว่ากันว่าสวยมาแต่กำเนิด เสียอย่างเดียวแว่นตาและกระโปรงบานเฉิ่มๆ ที่สวมอยู่ทำให้ลดความสวยลงไปเกินครึ่งเลยนะนี่

“พี่ธัญคะมัชขอตัวไปเข้าแถวก่อนนะคะพี่” มัชวีเอ่ยขอตัวเดินกลับไปที่แถวซ้อมเชียร์และเดินเลี่ยงไปอีกทาง

“ค่ะ” ธัญชนกตอบรับและเดินไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง

“ไงแกยายธัญ เด็กคนนั้นลูกป้าสมจริงอะ” กีรณายังอดสงสัยไม่ได้

“บ้าไปแล้วยายกีน้องเค้าจะเป็นได้ไง แกไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกันบ้าจริง” แล้วธัญชนกก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับกลุ่มเพื่อนฟังโดยที่เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างก็ทำหน้าเหวอกับวีรกรรมของรุ่นน้องที่ชื่อมัชวีที่ใครฟังก็ต้องอึ้ง ทึ่ง เสียว เพราะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ป้าสมเลยสักคน มิหนำซ้ำเด็กคนนี้ยังให้ป้าสมกอดและหอมซะด้วย ช่างใจกล้าซะจริง

“เพื่อนๆ ขออนุญาตเข้าแถว” เสียงมัชวีตะโกนขออนุญาตเข้าไปในแถวเมื่อเดินมาถึงแถวซ้อมเชียร์ ถึงแม้ระบบโซตัสจะหมดไปบ้างแล้วไม่มีการรับน้องที่โหดร้ายเหมือนแต่ก่อน แต่กฏบางข้อรุ่นพี่ก็ยังคงใช้อยู่เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียง

****หมายเหตุ : คำว่าโซตัส (SOTUS) มีความหมายตามตัวอักษรคือ
S = Seniority หรือ อาวุโส หมายถึง ความเคารพผู้ที่อาวุโสกว่าความเกรงใจเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน
O = Order หรือการปฏิบัติตามระเบียบวินัย สิ่งนี้จำเป็นมากในชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มในสังคม
T = Tradition หรือการปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี เป็นสิ่งที่เห็นว่าดี ถูกต้องและประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา
U = Unity หรือการเป็นหนึ่งเดียว
S = Spirit หรือน้ำใจการฝึกจิตใจ หมายถึง การมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน*****
ที่มาจาก : //th.wikipedia.org

มัชวีเดินมานั่งข้างๆ มานิตาที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ก่อนหน้าแล้ว มัชวีเลิกคิ้วเป็นการถามมานิตาว่าเกิดอะไรขึ้นมานิตาทำน้าบุ้ยปากไปทางมานพที่นั่งอยู่ด้านหลัง เป็นอันรู้กันสองคนว่ามานพทำเรื่องกับมานิตาอีกแล้ว มัชวีถอนใจกับเพื่อนทั้งสองคนและตั้งหน้าตั้งตาซ้อมเพลงเชียร์

เมื่อมีการพักเบรคให้น้องๆ ได้ดื่มน้ำดื่มท่า รุ่นพี่ก็เดินเข้ามาล้อมรุ่นน้องเพื่อภารกิจบางอย่าง

“น้องๆ คะ พี่ๆ จะขอเลือกลีดเดอร์ของคณะ มีใครเคยเป็นลีดเดอร์จากโรงเรียนเก่าบ้างคะ ยกมือหน่อย” กีรณาผู้ดูแลฝ่ายกองเชียร์เมื่อมายืนหน้าแถวรุ่นน้อง ประกาศผ่านโทรโข่งถามขึ้น

“ผมเสนอมานิตาครับ” มานพยกมือสูงเสนอชื่อมานิตาเสียงดังฟังชัด

มานิตาถลึงตาใส่มานพอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่มีมัชวีนั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ สองคนนี้เล่นอะไรกันนะ ดูท่าที่มานิตาโกรธมานพก็คงเรื่องจะเสนอชื่อเป็นเชียร์ลีดเดอร์นี่กระมัง มิน่านั่งหน้าบอกบุญไปสัก ๑๐ ล้านกองก็ไม่รับ

“ดูมันดิมัชดูนายนพทำฉัน ฝากไว้ก่อนเถอะเสียแรงเรารึหลงรักเช๊อะ” มานิตาแอบบ่นให้มัชวีฟังพร้อมกับค้อนให้มานพเสียวงใหญ่ มัชวีได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ กับเพื่อนทั้งสองคนเดี๋ยวดีกันเดี๋ยวงอนกัน อะไรนักหนาน้อ เธอเองก็ชักจะพลอยปวดหัวตามไปด้วยแล้วสินี่

“ไหนคะคนไหนมานิตา” กีรณาตะโกนผ่านโทรโข่งถามหน้าแถวอีกรอบ

“คนนี้ครับพี่ คนนี้” มานพ ยกมือชี้มานิตาอีกรอบ

คราวนี้ทำเกินเหตุแล้วนายมานพ ไวเท่าความคิดมานิตายกมือขึ้นเสียงดังเพี๊ยะ ฝ่ามือของมานิตาฟาดไปยังหน้าของมานพเข้าจังเบ้อเร่อ เหล่าบรรดาเพื่อนล้วนตะลึงกับความไวของมานิตา ส่วนมานพหน้าเอ๋อเหรออยู่ได้แต่ส่ายหน้ากับความมึน ด้วยฝ่ามือที่ฟาดลงมานั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าการโดนค้อนสัก ๑๐ ตันทุบเลยสักนิด ผู้หญิงอะไรมือหนักอย่างกับช้าง

มานิตาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและลุกขึ้นยืนเดินไปหากีรณาท่าทางสะบัดสะบิ้งอย่างเห็นได้ชัด หน้าง้ำงอ และจับมือตัวเอง บ้า...ตาบ้า หน้าหนาชะมัดเจ็บมือนะนี่ เช๊อะจำไว้คนเราไม่น่าเล๊ยมานิตาไม่น่าบอกอีตาบ้านั่นเลยว่าเคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์สมัยเรียนมัธยม กรรมเวรแท้ ๆ

“ต้องหาเพื่อนไม่มาคนเดียวร๊อก” มานิตาคิดในใจ “ยายมัชฉันขอโทษนะฉันจะเอาแกมาเป็นเพื่อนฉัน”

“เอ่อพี่คะ ถ้าหนูจะเสนอชื่อเพื่อนอีกคนได้รึเปล่าคะ” มานิตาตะกุกตะกักที่จะพูด

“ได้สิน้องใครหล่ะคนไหน” กีรณาถามมานิตาด้วยว่าลีดเดอร์นั้นต้องมีหลายคน

“มัชวีค่ะพี่ ท่าทางเค้าทำได้” มานิตาเสนอชื่อมัชวี

“มัชวีคนไหนคะน้องออกมาหน่อย” กีรณาตะโกนผ่านโทรโข่งอีกรอบทั้งที่รู้ว่าคนไหนชื่อมัชวีแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้จักซะอย่างนั้น

“อะไรอีกหล่ะนี่วันนี้ ทำไมซวยอย่างนี้ฟว่ะ” มัชวีแอบบ่นกับตัวเอง แล้วลุกขึ้นปัดกระโปรงบานกรอมเท้าก่อนจะเดินออกไปหน้าแถว

มัชวีสะกิดมานิตา “อะไรนะแหม่ม ทำไมพี่เค้าเรียกเรา”

“เราเองแหละมัชขอโทษนะ เราจะเอาตัวมาเป็นเพื่อนเป็นลีดเดอร์” มานิตาตอบเสียงเบา

“ห๊า!! อะไรนะ ฉันนี่นะเป็นลีดเดอร์ บ้าไปแล้ว” มัชวีตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุด ก็คนอย่างมัชวีขี้อายและไม่ค่อยมองหน้าใคร จะไปเป็นได้อย่างไรกันเชียร์ลีดเดอร์ ในความเข้าใจของมัชวีคนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ต้องมั่นใจ สวยสง่า แล้วมัชวีจะเป็นได้อย่างไร เพื่อนๆ ในแถวต่างมองมาที่มัชวีที่ส่งเสียงดังจนทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อไม่เห็นมีอะไรก็หันไปสนใจเรื่องอื่นแทน

มัชวีไม่รู้เลยว่าที่เธอเดินออกมาหน้าแถวนั้นมีสายตาสองคู่ได้เฝ้ามองเธออยู่คู่แรกจากธัญชนก ที่มองรุ่นน้องของเธออย่างชื่นชม คู่ที่สองเป็นสายตาของชาติชายที่มองมัชวีแทบลืมหายใจก็ว่าได้

มัชวียืนกล้าๆ กลัวๆ อยู่หน้าแถว แถมมือสั่นอีกต่างหาก มานิตาแอบจับมือมัชวีเป็นกำลังใจให้ แต่มือมัชวีที่มานิตาจับนั้นเย็นชืดเป็นน้ำแข็ง จนมานิตากลัวมัชวีจะเป็นลมล้มพับไป สายตาของมานิตาได้แต่พูดคำขอโทษให้กับมัชวี มัชวีเห็นสายตาคู่นั้นของเพื่อนแล้วได้แต่ส่ายหน้า และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป (คู่นี้ชอบคุยกันด้วยสายตานะคะนี่) แต่ทุกอย่างหาได้รอดพ้นสายตาที่เพิ่มขึ้นมาอีกคู่ จาก ๒ คู่เป็น ๓ คู่ ก็สายตาอีกคู่ของมานพ ที่มองภาพเพื่อนยืนจับมือกัน ช่างเหมือนนางงามกำลังจะได้รับคัดเลือกบนเวทีก็ไม่ปาน มานพถึงกับจินตนาการว่าสองสาวเพื่อนเขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนางงามในปีนั้น และข่มกันไม่ลงจริงๆ สองสาวนี้

กีรณาคัดเลือกรุ่นน้องเพิ่มอีก ๒ คน เป็นอันครบทีมหญิง ซึ่งล้วนแต่คนเด่นคนสวยประจำปีทั้งนั้นและทั้ง ๕ สาวก็ เริ่มหันไปฝึกกับกีรณา ท่าแรกๆ ก็แค่โพสให้ยืนแล้วดูดี และฝึกหัดยกมือไม้ให้ได้ตามที่กีรณาบอกและต้องโพสท่าให้ค้างไว้จนกว่ากีรณาจะพอใจ

หลังจากจบการซ้อม ทั้ง ๕ สาวก็ได้แต่นวดแขนตัวเองเสียงบ่นอุบของ ๕ สาว เป็นทำนองเดียวกันว่า ปวดแขน แขนจะหัก หรือปวดจนกล้ามจะขึ้นแล้ว

กีรณาได้แต่ส่ายหน้าและบอกรุ่นน้องว่า “นี่ยังน้อยไปน้อง ยังต้องหัดส่ายเอวอีกนะขอบอก” จบเสียงกีรณามัชวีส่งเสียงครางฮือ......ในลำคอ

“จะรอดไหมนี่ฉันวันนี้วันอะไร มหาโลกาวินาศหรือไงกัน เจอแต่อะไรก็ไม่รู้” มัชวีบ่น เสียงที่เล็ดรอดออกมาทำให้มานิตาซึ่งรู้ดีว่าเพื่อนต้องมาตกระกำลำบากก็เพราะเธอได้แต่ถอนใจ ถึงแม้จะส่งสายตาขอโทษให้อย่างไรมัชวีก็ไม่ตอบรับการสื่อสารของเธอนั้นเลย

......................... จบตอนที่ ๕ ..............................




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 มีนาคม 2551 9:23:08 น.
Counter : 250 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : ความเอยความรัก ตอนที่ ๔ ตัวประกัน

ตอนที่ ๔ ตัวประกัน

ระหว่างทางเดินไปห้องสมุดมัชวีและธัญชนกเดินคุยกันมาตลอดทาง และเรื่องที่ไม่น่าจะพบเจอก็เกิดขึ้น

“ว๊าย!!!!! คนบ้า” เสียงสาวๆ กลุ่มหนึ่งร้องตะโกนและวิ่งหนี

มัชวีมองไปที่ต้นเสียงก็พบหญิงสาววัยกลางคนท่าทางสกปรกนุ่งผ้าถุงเก่าๆ สะพายย่ามวิ่งไล่กลุ่มสาวๆ แถวนั้น เมื่อหญิงสาวที่หลายคนพากันเรียกว่าคนบ้าเห็นมัชวีและธัญชนกเดินมาทางเธอ หญิงสาวคนนั้นก็เดินรี่เข้าไปหาและคว้าข้อมือของมัชวีไปไว้ในมือของเธอ

มัชวีเกิดอาการงงและงง “อะไรกันนี่”

“มามะลูกแม่ มากับแม่เถอะ แม่คิดถึงลูกใจจะขาด” หญิงผู้ได้สมญานามว่าคนบ้าฉุดมัชวีและเรียกมัชวีว่าลูก

ฝ่ายธัญชนกได้แต่ยืนงงมองไปทางมัชวีและหญิงสาววัยกลางคนนั้นอย่างตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จะเอ่ยปากเรียกมัชวีธัญชนกก็ขยับปากไม่ได้

ผู้คนได้แต่ตะลึงและงงกันไปทั่วบริเวณ รปภ.วิ่งเข้ามาเพื่อจะจับหญิงสาวกลางคนแยกออกจากมัชวี แต่มัชวีทำท่าทางเป็นการบอกกล่าวกับรปภ.ว่าไม่ต้องไม่เป็นอะไร

“ป้าคะหนูไม่ใช่ลูกของป้านะคะ หนูเป็นเด็กที่เรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ค่ะป้าปล่อยมือหนูนะคะ” มัชวีพยายามพูดด้วยถ้อยคำที่คิดว่าสุภาพและดีที่สุดในตอนนั้น

“เอาวะเป็นงัยเป็นกันสั่นสู้แหละมัชเอ๊ย” มัชวีบอกกับตัวเอง

“ไม่ใช่ได้ไงนี่หนูนะลูกแม่นะแม่จำได้ แม่จำรอยยิ้มของหนูได้ ทำไมนะลูกถึงจำแม่ไม่ได้ ฮือๆๆๆ ลูกใจร้าย หนีไปกับพ่อทิ้งแม่ไว้ ให้แม่อยู่คนเดียวทำไมลูกต้องทิ้งแม่หล่ะลูกจ๋า” หญิงสาววัยกลางคน ยกมือขึ้นลูบหัวและจับเส้นผมของมัชวีที่ตกลงมาปรกหน้าขึ้นอย่างเอ็นดู

มัชวีรู้สึกน้ำตาตัวเองพาลจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ธัญชนกมองภาพนั้นแล้วนึกสะท้อนใจ สงสารหญิงสาววัยกลางคนนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“แล้วลูกกับแฟนป้าไปไหนหล่ะคะ ทำไมปล่อยป้าอยู่คนเดียว” มัชวีเอ่ยด้วยเสียงอ่อน

“ลูกไม่ได้ไปไหนนี่จ๊ะ ลูกก็อยู่กับแม่ตรงนี้ไง ลูกแม่มาให้แม่หอมที่เถอะนะแม่คิดถึงหนูเหลือเกิน ลูกแม่” หญิงสาวสูงวัยท่าทางสกปรก โน้มหน้าผากมัชวีไปหอมฟอดใหญ่ และกอดมัชวีไว้ในอ้อมแขน

มัชวีรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้ขัดขืนหรือออกจากอ้อมกอดของหญิงสูงวัยแปลกหน้าคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว กลับรู้สึกสงสารขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ

“งั้นเอาแบบนี้นะคะป้า ป้ารอหนูอยู่ตรงนี้ หนูไปทำงานที่ห้องสมุดเดี๋ยวหนูกลับลงมาคุยกับป้านะคะ ป้านั่งรอที่ใต้ต้นไม้นะคะ อย่าไปไหนรอหนูนะ” มัชวีขืนตัวเองออกจากอ้อมแขนของหญิงวัยกลางคนและเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองต้องไปทำรายงานที่ห้องสมุดกับธัญชนก

“แม่จะรอหนูไม่ไปไหน หนูอย่าทิ้งแม่อีกนะ แม่จะรอหนูอยู่ตรงนี้นะจ๊ะลูกรัก” หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเครือและเหมือนจะตั้งใจรอมัชวีจริงๆ เธอเดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อน โดยฉุดมัชวีเดินตามไปด้วยและปล่อยมือมัชวีในที่สุด

“ค่ะป้าหนูเสร็จธุระแล้วจะลงมานะคะ” มัชวีเอ่ยคำสัญญาแล้วเดินหันหลังกลับออกมาโดยมีสายตาของผู้คนรอบข้างเพ่งมองมาที่มัชวีเป็นตาเดียว

มัชวีถอนหายใจอย่างโล่งอก และหันไปมองหญิงกลางคนคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมองธัญชนกที่ยืนนิ่งมองมายังเธอ

“เป็นอะไรคะพี่ธัญ ทำไมเงียบตะลึง ตึง ตึง โย่ว” มัชวีล้อเล่นกับธัญชนกเมื่อเดินมาถึงตัว

“งงค่ะ น้องมัชทำได้ไงล่ะคะ พี่กำลังงง” ธัญชนกบอกสาเหตุที่เธอยืนไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

ใครต่อใครเดินมาถามมัชวีว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่เว้นแม้แต่มานิตาและมานพ ที่ได้ยินข่าวเรื่องมัชวีโดนคนบ้าจับตัว

บางคนก็กล่าวว่าคนบ้าจับมัชวีเป็นตัวประกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าหอสมุด บ้างก็ว่ามัชวีเป็นลูกคนบ้า บ้างก็ว่า รปภ.เอามีดไล่ฟันคนบ้าแล้วคนบ้าเลยจับมัชวีเป็นตัวประกัน ข่าวลือทำให้คนวิ่งมาออกันที่หน้าหอสมุดเต็มไปหมด

มัชวีเห็นเพื่อนเธอหลายคนวิ่งหน้าตั้งลงมาจากหอสมุดมาที่ตัวเธอแล้วส่งเสียงร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นรวมทั้งมานิตาและมานพด้วย

“เป็นไรเปล่ามัช นี่ฉันงงเลยนะมีคนบอกว่าแกโดนคนบ้าเมายาบ้าจับเอามีดขู่ ไหนดูสิ มีรอยแผลเปล่า แล้วคนบ้าอยู่ไหน ๆๆๆ” มานิตาถามมัชวีเสียงหลง

“เอ่อ... ไม่มีอะไรนี่นาเค้าแค่เข้าใจผิดว่าเราเป็นลูกเค้าก็เท่านั้น” มัชวีบอกเพื่อน

“เฮ้อ...โล่งอก นึกว่าโดนอะไร แล้วไปเดินอิท่าไหนหล่ะนั่นถึงได้โดนจับไป” มานิตายังยิงคำถามไม่เลิก

“ก็เดินมาดีดีนี่แหล่ะกับพี่ธัญจู่ๆ เค้าก็มาจับมือเราแล้วฉุดไปกอดไปหอม บอกว่าเราเป็นลูกเค้า ที่ทิ้งเค้าไป เรางงไปพักใหญ่ ดีนะ สติดีก็เลยพูดดีๆ กับเค้าเค้าก็ปล่อยเรามา” มัชวีอธิบายให้เพื่อนเข้าใจ

“ต่อไปพี่คงต้องให้น้องมัชไปเป็นตัวแทนเจรจาแล้วค่ะ เพราะขนาดคนบ้ายังฟังแล้วคนดีๆ อย่างเราๆ จะไม่ฟังน้องมัชไม่ได้แล้วมั๊งนี่” ธัญชนกแซวมัชวี

“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะประสานกันในกลุ่มคนเกิดขึ้นโดยที่มัชวีเองแอบค้อนคนเหล่านั้นที่ดูจะเป็นปี่เป็นขลุ่ยกันหมดก๊วน

...............................................................

“เอาเรื่องนี้ดีกว่าค่ะพี่ธัญมัชว่าน่าสนใจ” มัชวีหยิบหนังสือเกี่ยวกับการตลาดให้กับธัญชนกดู หลังจากที่ทั้งสองค้นหาเอกสารอ้างอิงเพื่อทำรายงานกันอยู่หลายชั่วโมง

“ตกลงอันนี้เอาไว้ทำงานเดี่ยว ส่วนอีกเรื่องทำงานกลุ่ม เรื่องคล้องจองกันต่อยอดได้ง่าย ว่างัยว่าตามกันค่ะ” ธัญชนกตกลงตามที่มัชวีเลือก

“อืมพี่คะงั้นเรารีบไปเถอะค่ะ มัชจะลงไปดูป้าเค้าว่ายังรออยู่รึเปล่า” มัชวีเริ่มมีแววตาครุ่นคิดและห่วงใยหญิงวัยกลางคนขึ้นมาด้วยกลัวว่าเธอจะยังคงนั่งรอมัชวีอยู่ใต้ต้นไม้ และนี่ก็เวลาเย็นมากแล้ว

“งั้นมัชไปล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปค่ะ พี่ก็จะเข้าห้องน้ำด้วยเหมือนกัน” ธัญชนกบิดตัวยกมือขึ้นบิดขี้เกียจเป็นการสลัดความเมื่อยออกจากตัว

มัชวีมองท่าทางกริยาของธัญชนกที่เป็นกันเองสบายๆ แล้วเธอรู้สึกสบายตาตามไปด้วย

ทั้งสองกลับมาเก็บหนังสือที่ช่วยกันรื้อมาวางกองบนโต๊ะเต็มไปหมดไปวางไว้ที่วางหนังสือใช้แล้วและหอบเอาหนังสือที่ต้องการใช้ติดมือไปเข้าห้องน้ำด้วย

มัชวีถอดแว่นตาออกล้างหน้าและทำความสะอาดแว่นด้วยน้ำสะอาด ธัญชนกเมื่อเห็นมัชวีที่ไม่ได้สวมแว่นตาแล้วถึงกับตะลึง เด็กคนนี้สวยไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ หากไร้ซึ่งกรอบแว่นและแว่นหนาๆ คงสวยกว่าใครอีกหลายๆ คน โดยเฉพาะเธอเอง

มัชวีเห็นข้อมือตัวเองมีรอยเปื้อนสีดำติดอยู่ “คงเป็นรอยมือป้าคนนั้นสินะ นี่ยังจะรอเราอยู่รึเปล่าหนอ” ความคิดของมัชวีเกิดขึ้นในสมอง และล้างมือล้างหน้าเรียบร้อย มัชวีรู้สึกสดชื่น

ธัญชนกออกมาจากห้องน้ำเดินมาล้างมือและทำธุระแบบสาวทั่วไปด้วยการทาแป้ง เติมลิปมันเสร็จก็หันไปเอ่ยกับมัชวีว่า

“เดี๋ยวพี่ไปใต้คณะนะคะ ต้องไปดูซ้อมเชียร์ มัชจะตามพี่ไปไหม” ธัญชนกเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ามัชวีเงียบไป

“ค่ะพี่ แต่มัชขอไปดูป้าเค้าก่อนนะคะ” มัชวีบอกธัญชนกและก็รู้ว่าธัญชนกต้องตามใจเธอแน่นอน

“ค่ะแต่อย่าให้ป้าเค้าจับไว้อีกหล่ะเดี๋ยวมีข่าวใหญ่อีก พี่ไม่อยากแก้ข่าวให้นะขอบอกแม่ดาราจำเป็น” ธัญชนกพูดติดขำนิดๆ

แต่มัชวีสิงงบนหน้าเหมือนมีเครื่องหมายคำถามติดหน้าผากเลยก็ว่าได้ อะไรคือดาราจำเป็นไม่เข้าใจคำพูดของธัญชนกอยู่ดี

ธัญชนกดูเหมือนจะเข้าใจกริยานั้นของมัชวีแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเป็นการแก้ข้อข้องใจของมัชวีสักนิด

“อะไรคือดาราจำเป็นคะพี่” มัชวีอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับธัญชนก

“ก็ใครหล่ะคะ ทำวีรกรรมไว้กับป้าเค้า คนนั้นแหละค่ะดาราจำเป็น เรื่องของมัชไม่ใช่แต่ในคณะเรานะคะ ตอนนี้ออกไปนอกมหาวิทยาลัยแล้ว” ธัญชนกอธิบาย

“อ้าวไหงงั้นหล่ะคะ” มัชวีเกาหัวจนยุ่งไปหมด

“ไม่ต้องสงสัยค่ะ ไปเถอะลงไปดูป้าเค้ากัน” ธัญชนกดันข้อศอกมัชวีเดินเข้าลิฟต์เพื่อไปยืมหนังสือและลงไปหาหญิงวัยกลางคน ที่คิดว่ายังคงรอมัชวีอยู่ แปลกไฟฟ้าสถิตไม่ดูดเราแล้วนะนี่ธัญชนกอดแปลกใจไม่ได้เมื่อไม่โดนไฟฟ้าดูดแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมา

เมื่อทั้งสองทำธุระเสร็จก็รีบเดินไปใต้ต้นไม้มองหาญิงวัยกลางคนผู้นั้นแต่ก็ไร้วี่แวว จึงเดินไปถามรปภ.ที่อยู่บริเวณนั้น

“พี่คะป้าคนที่นั่งตรงนี้ไปไหนแล้วคะ” มัชวีเอ่ยถาม รปภ.

“อ่อเค้าให้โรงพยาบาลมาเอาตัวไปตั้งแต่บ่ายแก่ๆ แล้วหล่ะ แกก็อดทนนะบอกว่าจะรอลูก ลูกแกให้รอ แกไม่ไปท่าเดียว พวกโรงพยาบาลเลยว่าลูกบอกให้มารับแกเลยยอมไปโดยดี แต่กว่าจะกล่อมได้นะนานโขอยู่หล่ะน้อง พี่ว่าแกบ้ามานานแล้ว ป้าสมคนนี้นะ สามีแกทิ้งแล้วก็หอบเอาลูกไปด้วย ทิ้งแกไว้กับหนี้ที่สามีแกก่อไว้ สามีแกเล่นพนัน ก่อนแต่งก็ดีหรอกอยู่ไปอยู่มาก็เล่นพนันหมดเนื้อหมดตัว แถมยังเอาลูกไปด้วย แกก็ตามหาลูกแก เห็นหามา ๑๐ กว่าปีแล้ว หาไงก็ไม่เจอะร๊อกป่านนี้” พี่ รปภ.เล่าเรื่องหญิงกลางคนที่ชื่อป้าสมยาวยืดจนมัชวีอดนึกสงสารไม่ได้ ถึงแม้ว่ามัชวีจะมีครบทั้งพ่อและแม่แต่มัชวีก็เข้าใจความรู้สึกของป้าสมอยู่เหมือนกัน การพลัดพรากจากคนที่ตัวเองรักมันเป็นทุกข์แบบนี้นี่เอง มัชวีพึ่งเข้าใจในวันนี้

................... จบตอนที่ ๔.............




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 มีนาคม 2551 9:22:21 น.
Counter : 302 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.