1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
เพื่อนขอนแก่นพาท่องอีสาน ตอนที่ 3
เพื่อนขอนแก่นพาท่องอีสาน ตอนที่ 3 บล็อกท่อง อีสาน ทริปนี้ ก็ดำเนินมาถึง ตอนที่ 3 แล้วนะคะ ฉันก็จะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวต่อ เมื่อตอนที่ 2 เรามาพักที่ โรงแรมแม่น้ำ มาถึงช่วงที่ฟ้ามืดแล้ว เดินชมแต่ตลาดคนเดิน ไม่ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามรอบ ๆ บริเวณที่พักเลย วันนี้จะเริ่มพาชมสักหน่อย นะคะ วันที่ 24 ธันวาคม 2559 ฉันกับวัชร์ ตื่นนอนแล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ออกมาชมบรรากาศริมแม่น้ำโขงและบริเวณรอบที่พัก มาชมภาพที่ฉันเก็บมาฝากค่ะ โรงแรม แม่น้ำ ช่วงกลางคืนที่เราถ่ายเก็บไว้ ถ่ายที่หน้าโรงแรม แม่น้ำ ช่วงเช้า อีกรูป จ้ะ อีกมุมหนึ่งของโรงแรมที่สวยงาม ค่ะ ด้านหน้า นั้น คือ ลำโขงที่งดงาม พระอาทิตย์ กำลังขึ้น ท้องฟ้าสีส้ม สวยงามมาก ถนนยังว่างในช่วงเช้า ไม่มีรถพลุกพล่านเหมือนตอนเย็น ๆ ที่เรามาถึง เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ก็ขึ้นรถกัน ขนกระเป๋าขึ้นรถ เตรียมอำลาจากโรงแรมแม่น้ำเพื่อเดินทางต่อไป ถนนหนทางที่รถแล่นผ่าน ถนนว่างมาก อาจจะเป็นเพราะยังเช้ามาก ๆ ฉันได้ถ่ายบรรยากาศมาให้ชมค่ะ ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น เห็นแสงสีส้มกระจายทั่วท้องฟ้า มีเมฆกระจายทั่วท้องฟ้า งดงามมาก เราขับไปเรื่อย ๆ มองหาร้านอาหารที่เปิดแล้ว เพื่อจะได้ทานอาหารมื้อเช้าลงท้องก่อนจะไปเที่ยว แล้วก็ได้ร้าน ขายก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก และ ไข่กระทะ ฉันทานก๋วยเตี๋ยว วัชร์ทานไข่กระทะ เอก ทานโจ๊ก ถ่ายรูป ไข่กระทะ มาฝาก เพราะเห็นแปลกดี อิอิ อิ่มมื้อเช้ากันแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไป จุดมุ่งหมายคือ เที่ยววัดภูทอก ซึ่งถือว่าเป็น ภูที่งดงามมาก ระหว่างทาง ที่ไปภูทอก ทิวทัศน์ก็งดงาม ป่าไม้ยังเขียวขจีมากอยู่ ฉันเก็บภาพมาฝาก 2-3 ภาพค่ะ ในที่สุด เราก็มาถึง วัดภูทอก หรือ วัดเจติยาศรีวิหาร บริเวณรอบ ๆ ก่อนที่จะเดินขึ้น ภูทอก ด้านเชิงเขา ก่อนขึ้น ภู ประตูเริ่มต้นที่จะเดินขึ้น ภูทอก ความร่มรื่นระหว่างทางในการเดินขึ้น ภูทอก ก่อนที่จะไปเดินภูทอก ทั้ง 7 ชั้น เรามาทราบประวัติและเรื่องราวแต่ละชั้นของภูทอกสักเล็กน้อยก่อน ภูทอก เป็นชื่อของ ภูเขาเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาศรีวิหาร (วัดภูทอก)อยู่ในเขตคำแคน ตำบลนาสะแบง จังหวัดบึงกาฬ ผู้ก่อตั้งวัดนี้ คือ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ภูทอก แปลตามภาษาถิ่น ภูเขาที่โดดเด่น ภูทอก มี 2 ลูก ภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย ภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป แต่เปิดให้นักท้องเที่ยว คือ ภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่ ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม จุดเด่นของ ภูทอก น้อย คือ สะพานไม้และบันได ขึ้นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอก ใช้เพียงแรงงานคนสร้าง บันไดเวียนไปมารอบ ๆ ภูทอก แบบ 360 องศา มีทั้งหมด 7 ชั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 5 ปีเต็ม จากชั้น 1-7 จะมีบันไดไม้ให้เดินแบบตรงทอดยาวจนถึงจุดสูงสุดของยอดภูทอก และตั้งแต่ชั้น 3 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมแบบสะพานเวียนรอบเขา ซึ่งจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันไปเรื่อย ๆ บันไดที่ทอดขึ้นสู่ยอดภูทอกนี้ เปรียบเสมือน เส้นทางธรรมที่น้อมนำสัตบุรุษให้พ้นโลกแห่งโลกียะไปสู่โลกแห่งโลกุตรหรือ โลกแห่งการหลุดพ้น ความเพียรพยายามมุ่งมั่น ภูทอก จะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นภู ในวันที่ 10-16 ้เดือนเมษายน ของทุก ๆ ปี เรามาดูว่า แต่ละชั้นของ ภูทอก มีอะไรบ้าง ค่ะ ชั้น 1-2 เป็นบันไดสู่ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา มีสภาพเป็นป่าเขา มืดครื้ม มีโขดหิน ลานหิน ต้นไม้มากมาย สุดทางขึ้นชั้น 3 มีทางแยกเป็นสองทาง ทางซ้ายมือ เป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลย แต่เป็นทางชันมาก ไม่นาเสี่ยง ต้องผ่านซอกหินที่มีลีกษณะ เหมือนอุโมงค์ ส่วนทางขวามือ เป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4 ชั้นที่ 4 เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปข้างล่างจะเห็นเป็นเขาเตี้ย ๆ สลับกัน เรียกว่า "ดงชมพู" ทิศตะวันออกจดกับ ภูลังกา เขตอำเภอ เซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบ มีแม่น้ำ ลำธารหลายสายไหลผ่าน มีสัตว์ป่ามากมาย โดยเฉพาะฝูงกา จึงได้ชื่อว่า "ภูรังกา" แล้วต่อมา เพีัยนไปเป็น "ภูลังกา" ส่วนบนของชั้นที่ 4 จะเป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นนี้ มีระยะทางประมาณ 400 เมตร มีที่นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะ ๆ ชั้นที่ 5 หรือชั้นกลาง ถือว่าเป็นชั้นที่สำคัญที่สุด จะมีศาลาขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูป กุฏิพระ และเป็นที่เก็บสังขารของพระอาจารย์จวนด้วย พื้นที่บริเวณนี้ มีความสะอาด กว้างขวาง ร่มเย็นมาก เหมาะสำหรับการมานั่งสมาธิ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ตลอดทางเดิน จะมีถ้ำ อยู่หลาย ๆ จุด เช่น ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว ถ้ำฤาษี ถ้าเดินมาทางด้านเหนือ จะเห็นสะพานหินธรรมชาติ ทอดสู่พุทธวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลกและน่าอัศจรรย์ที่สุด คล้าย ๆ กับพระธาตุอินแขวงที่ประเทศพม่า เป็นหินที่แยกออกจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ตกลงไป เพราะตั้งอยู่อย่างได้ฉากกับพื้นโลกพอดี ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นชั้นที่ 6ซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย ของบันไดเวียน ชั้นที่ 6 จะเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด ตลอดทางเดิน จะเป็นหน้าผายื่นออกมา ทำให้บางครั้ง การเดินต้องเบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย โดยแต่ละจุด จะมีชื่อของหน้าผาที่แตกต่างกัน เช่น ผาเทพนิมิต ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต เป็นต้น ในช่วงฤดูหนาว จะมีทะเลหมอก ลอยอยู่รอบ ๆ ยอดเขา ทำให้เหมือนลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ จากชั้นที่ 6 ขึ้น ชั้นที่ 7 จะเป็นสะพานไม้เวียนขึ้นชั้นที่ 7 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขา ยาว 400 เมตร เกาะติดอยู่ริมหน้าผา (พวกเราไม่ได้ขึ้นไปที่ชั้นนี้) สูงชัน น่ากลัว น่าหวาดเสียว มีความยาว 400 เมตร สิ่งที่น่าสนใจของ ชั้น 6 คือ ปากทางเข้าเมืองพญานาค ซึ่งอยู่หลังพระนาคปรก มีจุดให้สังเกต คือ มีจุดรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่า เป็นรอยถลอก ที่เกิดจากท้องของพญานาคสัมผัสกับหิน และมีบ่อน้ำเล็ก ๆ มีน้ำขังอยู่ตลอดทั้งปี ชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นชั้นที่พวกเราไม่ได้ขึ้นไป จะมีบันไดพาดขึ้น จะมี 2 ทางแยก เพื่อขึ้นไป ยังดาดฟ้า ทางแรกเป็นทางชัน อาจจะมี งู เวลาเดินต้องเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ รากไม้ เดินลำบาก ทางขึ้นที่ 2 เป็นทางอ้อม ต้องเวียนไปทางขวามือ จะเวียนไปบรรจบด้านบนชั้น 7 หรือดาดฟ้า เป็นป่าไม้ทึบ มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ทราบความเป็นมาในการเดินทางไปชม ภูทอกน้อยแล้ว มาชมภาพ ค่ะ เป็นสะพานไม้ ที่ยังไม่หวาดเสียว ขอพักหน่อยนะ น้องหมาเดินตามมาส่งหลายชั้นเชียว นำหน้า ไม่เหนื่อยเหมือนพวกเราเฮ้ เดินมาถึงชั้นสองเท่านั้น ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยเนาะ ขอพักอีกแล้ว มันเหนื่อย นะ อิอิ มาถึงแล้ว ชั้นที่ 4 ค่ะ สภาพของชั้นต่าง ๆ ของภูทอกน้อย มาถึง ชั้น 5 แล้ว ค่ะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น พุทธวิหารในชั้น 5 พระพุทธ รูปที่ ชั้น 6 ความงดงามของ ผาหินที่ ภูทอก หินที่ยื่นออกไป สามารถตั้งอยู่ได้ เหมือน พระธาตุอินแขวงที่ประเทศพม่า ทิวทัศน์เบื้องล่างของภูทอก ที่ถ่ายจากมุมสูง สะพานไม้เวียนรอบ ภูทอก เป็นทางแคบ ๆ ข้างล่างเป็นเหว ลึก ลงจาก ภูทอกแล้ว มาชมโบสถ์ ด้านล่าง สวยงามมาก ถ่ายจากด้านล่างขึ้นไปที่ ภูทอกที่เราเพิ่งไปเดินมา ขาออกจาก ภูทอก เราก็แช้ะรูปที่ประตูวัดสักหน่อย อิอิ 11.30 น.สมควรแก่เวลาในการชื่นชม ภูทอกทั้งตัวภู และสถานที่ด้านล่างของตัวภูแล้ว เราก็อำลาจากไป เอก ขับรถไปเรื่อย ๆ เพื่อจะหาร้านอาหาร เพราะท้องของทุกคนเริ่มร้องกันแล้ว เนื่องจากเลยเวลา ของอาหารมื้อเที่ยงแล้ว ขับมาน่าจะเป็นชั่วโมง เจอร้านชื่อก๋วยเตี๋ยวหนองหาน มีรถจอดอยู่ ก็หลายคันนะ คิดว่า น่าจะอร่อยใช้ได้ เนาะ ก็จอดรถ มื้อกลางวันร้านนี้แหละ นะ แล้วก็โอเค นะ อาหารอร่อย ใช้ได้ อิ่มแล้วก็เดินทางต่อ ผ่าน หนองหาน ก็แวะถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็น ที่ระลึกหน่อย อากาศตอนนี้ร้อนมาก น้ำในหนองก็ธรรมดา ไม่ได้งดงามอะไรมากนัก ถ่ายกับป้ายชื่อ เป็นหลักฐานหน่อย ห้าห้า แวะชื่นชม 10 นาที ได้ พวกเราก็อำลา หนองหานไป เป้าหมายต่อไป ก็คือ วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร ก่อนจะไปชมรูปถ่ายสวย ๆ ของวัด เรามาทราบประวัติของวัดนี้สักเล็กน้อย นะคะ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหารตั้งอยู่ที่ริมหนองหาน ถนน เจริญเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร มีพื้นที่ 18 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา ตามตำนานเล่ากับสืบ ๆ มาว่า เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้า เสด็จมาโปรดชาวเมืองหนองหาน เล่ากันว่า บริเวณนี้บรรจุพระบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ ซึ่งเล่ากันว่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ก่อนจะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน จะต้องมาประทับ รอยพระบาทไว้ที่นี่ เป็นวัดแรกที่ พระยาสุวรรณภิงคาร มาสร้างขึ้น เมื่อย้ายราชธานี จากบริเวณ เซ่งนำพุและท่านางอาย ฝั่งตรงข้ามกับหนองหาน เมื่อครั้งหนองหานล่ม เพราะการกระทำ ของพญานาค จากหลักฐานต่าง ๆ คือ จารึกที่พบ สรุปได้ว่า พุทธศตวรรษที่ 15-16 บริเวณวัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร คงถูกปกครอง โดยคนกลุ่มขอม ที่พากันสร้างวัด โดยอุทิศที่ดิน บริวาร ข้าทาส ให้ดูแลวัด หรือศาสนสถานตามคติพราหมณ์หรือพุทธมหายาน ก็ได้ องค์พระธาตุเชิงชุม เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน สี่เหลี่ยมสูง 24 เมตร มีซุ้มประตู 4 ด้าน(องค์สีขาว) ซุ้มประตูวัด สวยสดงามมาก ๆ เชิญชมภาพ ค่ะ องค์พระธาตุเชิงชุม ค่ะ บริเวณวัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร งดงามมาก ๆ เที่ยววัดพระธาตุเชิงชุมแล้ว ก็ต่อด้วยวัดพระธาตุศรีคูณ วัดนี้ตั้งอยู่ที่ อำเภอ นาแก จังหวัด นครพนม ห่างจากตัวจังหวัดไป 78 กิโลเมตร มีพระธาตุ ศรีคูณประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ เป็นปูชนียสถาน คู่บ้านคู่เมืองของ ชาว อำเภอนาแก ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2340 ได้บูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2486-2490 มีลักษณะคล้ายพระธาตุพนม ภายในบรรจุพระธาตุพระอรหันตสารีริกธาตุ พระโมคลานะ พระสารีบุตร และพระสังกัจจายะ เป็นพระธาตุคู่บุญของคนเกิดวันอังคาร เป็นที่กล่าวขานกันว่า ผู้ที่มานมัสการพระธาตุแห่งนี้ จะได้รับอานิสงส์ให้มีศักดิ์ศรีทวีคูณ พวกเราเข้าไปไหว้พระธาตุ จะมีนักเรียนเป็นมัคคุเทศก์น้อย มาคอยบริการ ตอนนั้นเป็นช่วงเย็น เราเลยไม่ได้เดินชมอะไรมากนัก จุดธูปไหว้พระธาตุและมีคนแก่ ๆ ของวัด มานำสวดมนต์ ไหว้พระธาตุ ให้เราสวดตามเขาด้วย ดีจังเลย เหมือนได้สวดมนต์ได้ถูกต้องตามที่ชายชราสวดนำเรา จากวัด ธาตุศรีคูณ ก็เกือบห้าโมงเย็น เอก พาไปเที่ยวอีกวัดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ไกลจากวัด ธาตุศรีคูณนัก คือ วัดพระธาตุเรณู ซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอ เรณูนคร จังหวัด นครพนม วัดนี้ เป็นที่ประดิษฐาน ของพระธาตุเรณูนคร จำลองจากองค์พระธาตุพนมองค์เดิม แต่มีขนาดเล็กกว่า สร้างในปี 2461 เป็นพระธาตุคู่เมืองของ ชาวเรณูนคร ภายในเจดีย์บรรจุคัมภีร์พระธรรม พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน เพชรนิลจินดา หน่องาและของมีค่าที่เจ้าเมืองเรณูนครและประชาชนนำมา บริจาค และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ด้วย ภายในโบสถ์ประดิษฐานพระองค์แสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำ ศิลปะแบบลาว ปางสมาธิ พระคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอนี้ พระองค์แสน มีอายุนานกว่า 100 ปี เหตุที่เรียกว่า พระองค์แสน เพราะมีน้ำหนัก 10 หมื่น เท่ากับ 120 กิโลกรัม เรามาชมภาพที่ฉันและเพื่อนถ่ายมาฝาก จ้ะ ออกจากวัดธาตุเรณูนครแล้ว เอก ขับรถไปชมพระธาตุพนมอีกวัดหนึ่ง ไปถึงวัดนี้ ไม่ได้เข้าตัวโบสถ์ เพราะมืดแล้ว มีนักทองเที่ยวและชาวบ้านมา ไหว้องค์พระธาตุมากมายทีเดียว องค์พระธาตุุ ยามค่ำคืน เขาเปิดไฟ สว่างไสว งดงามมากทีเดียว น่าเสียดาย เราไม่มีโอกาสได้เข้าตัวโบสถ์ ได้แต่กราบองค์พระธาตุและพระพุทธรูปซึ่งอยู่ด้านหน้าขององค์พระธาตุพนมเท่านั้นเอง ได้ถ่ายรูปองค์พระธาตุยามค่ำคืน สวยงามมาก เลยค่ะ เรามาทราบประวัติความเป็นมาของ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร สักเล็กน้อย นะคะ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่หมู่ 13 ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัด นครพนม พระธาตุพนม เป็นเจดีย์สำคัญทางพุทธศาสนา ของ ภาดอีสาน ตั้งอยู่บนโคกสูงกว่าบริเวณอื่น จึงเรียกว่า ภูกำพร้า เล่ากันว่า พระธาตุพนมสร้างอยู่ในบริเวณ ภูกำพร้าของอาณาจักรโคตรบูร พระพุทธเจ้าเสด็จมาทางทิศตะวันออกโดยทางอากาศ มาประทับที่ ภูกำพร้า พระอินทร์ทูลถามว่า ทำไมพระองค์ต้องมาประทับอยูที่ ภูกำพร้า พระองค์ตรัสตอบว่า ที่พระองค์ต้องมาประทับ ที่ ภูกำพร้า เพราะว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ในภัททกัลป์ (พระกกุสันธะ โกนาคมนะ กัสสปะ) เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว สาวกจะต้องนำพระธาตุ ของพระองค์มาประดิษฐานที่ ภูกำพร้าแห่งนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว พระมหากัสปะ สาวกของพระพุทธเจ้า จึงนำพระธาตุของพระองค์ส่วนหัวอก พร้อมพระอรหันตสาวก 500 พระองค์ เดินทางมาที่ ภูกำพร้า โดยทางอากาศ มีท้าวพระยา ทั้ง 5 พระองค์เป็นประธาน ในการก่อสร้าง พญาทั้ง 5 พระองค์มีพระนาม ดังนี้ ค่ะ 1. พญาจุลณีพรหมทัต 2. พญาอิทปัตนคร 3.พญาคำแดง 4.พญานันทเสน 5.พญาสุวรรณพิงคาร สันนิษฐานว่า องค์พระธาตุสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 11 หรือ 12 สมัยทวาราวดี และมีการบูรณะมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2518 เวลาประมาณ 17.00 น. เกิดพายุพัดแรง ฝนตกหนัก ทำให้องค์พระธาตุ พังทลายลงมาทั้งองค์ ในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี สั่งให้ บูรณะอย่างรวดเร็วและมีการสมโภชในปี 2522 ในสมัยของ พล.อ เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นการสร้างใหม่ทั้งองค์ในพื้นที่เดิม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก งานนมัสการพระธาตุพนม จะจัดงานในวันเพ็ญ เดือน 3 ของทุกปี คือ วันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันแรก ไปสิ้นสุด วันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 พระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีวอก และเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนเกิดวันอาทิตย์ กราบไหว้และชื่นชมความงดงามขององค์พระธาตุแล้ว พวกเราก็ขับรถไปหาข้าวมื้อเย็นทานกัน กับข้าวเย็นนี้ ผัดผักบุ้ง ต้มยำ ผัดเผ็ดหมูป่า ยำไข่เค็มผักกาดดอง ผัดคะน้าหมูกรอบ มื้อนี้ดูเหมือนสั่งกินมากที่สุด คงหิวกันมากเลย อิอิ มื้อนี้ 500 บาท คืนนี้ เราพักโฮมสเตย์ ของครูกนกรัตน์ ราคาคืนละ น่าจะ 500บาทนะ ถ้าจำไม่ผิด นะ ทริปอีสาน ตอนที่ 3 ฉันนำเสนอเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ จะเหลือตอนสุดท้าย ตอนที่ 4 ในครั้งต่อไปค่ะ
Create Date : 28 มิถุนายน 2560
Last Update : 3 กรกฎาคม 2560 23:24:58 น.
40 comments
Counter : 2479 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณKavanich96 , คุณThe Kop Civil , คุณกะว่าก๋า , คุณmambymam , คุณสองแผ่นดิน , คุณSai Eeuu , คุณkae+aoe , คุณtoor36 , คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน , คุณข้ามขอบฟ้า , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณซองขาวเบอร์ 9 , คุณmariabamboo , คุณClose To Heaven , คุณร่มไม้เย็น
โดย: Kavanich96 วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:1:39:31 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:19:29:54 น.
โดย: mambymam วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:22:04:18 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:23:20:27 น.
โดย: Sai Eeuu วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:0:18:57 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:4:04:24 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:32:02 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:12:09 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:14:25:38 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:18:35:33 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:2:52:12 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:21:39 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:7:55:15 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:7:56:50 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:7:57:36 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:8:02:53 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:03:10 น.
โดย: mambymam วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:05:39 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:16:56:55 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:17:29:28 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:39:43 น.
โดย: mariabamboo วันที่: 7 กรกฎาคม 2560 เวลา:7:22:47 น.
โดย: mambymam วันที่: 7 กรกฎาคม 2560 เวลา:17:29:06 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:58:53 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 7 กรกฎาคม 2560 เวลา:23:20:17 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:42:28 น.
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 8 กรกฎาคม 2560 เวลา:16:09:48 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:30:03 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 9 กรกฎาคม 2560 เวลา:1:36:56 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:35:03 น.
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 9 กรกฎาคม 2560 เวลา:13:27:01 น.
โดย: mambymam วันที่: 9 กรกฎาคม 2560 เวลา:18:20:48 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 กรกฎาคม 2560 เวลา:20:38:47 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:41:21 น.
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [? ]
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif