คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
space
space
1 กุมภาพันธ์ 2555
space
space
space

เจี้ยนสุย - หยวนหยาง - ตงชวน Unseen in Yunnan (2)
เจี้ยนสุย - หยวนหยาง - ตงชวน Unseen in Yunnan ( 2 )

รุ่งเช้า เป็นวันที่ 16 พ.ย. หลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว พวกเราก็ส่งกระเป๋าใบเล็กให้คนขับรถนำไปใส่ใต้ท้องรถ แล้วเดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เมืองตงชวน ซึ่งต้องเดินทางจากเมือง คุนหมิงไปยังเมืองนี้ ประมาณ 4 ชั่วโมง เมืองนี้เป็นอำเภออยู่ในเขตปกครองของเมืองคุนหมิง อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑล ยูนนาน เป็นเมืองที่มีทิวเขาสลับซับซ้อน ประชาชนเมืองนี้ มีอาชีพเพาะปลูก ข้าวสาลี มันสำปะหลัง พืช ผัก และดอกไม้นานาพันธุ์ ระยะทาง 165 กิโลเมตร ที่รถของเราล่นผ่านไป สองฟากฝั่งของถนน เป็นทิวทัศน์ที่สวยสดงดงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี สองชั่วโมงแรก เป็นทางด่วน อีกสองชั่วโมงเป็นทางขึ้นเขา มัคคุเทศก์เล่าให้ฟังว่า มณฑลยูนนานมีประชากรประมาณ 40 ล้านคน มีประชากร 25 เผ่า แต่ละเผ่ามีภาษาเป็นของตนเอง ส่วนเมืองคุนหมิง มีประชากรประมาณ 3.5 ล้านคน

รถของเรามุ่งหน้าเข้าสู่ดินดนในหุบเขา ซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นไม้หลากหลายนานาพันธุ์ ดอกไม้หลากหลายสีสันตัดกับดินแดงเข้ม สลับด้วยสีฟ้า สีน้ำเงินของท้องนภาอันกว้างใหญ่และเวิ้งว้าง แต่งแต้มด้วยปุยเมฆสลับด้วยสีเทาอ่อนแก่กันไป สองข้างทางมีต้น แปะก้วย ใบของมันเป็นสีเหลืองสดใส ดูอร่ามตาสวยงามมาก กำลังจะร่วงหล่นลงไป ซึ่งก็คือฤดูใบไม้ร่วง พอประมาณเดือนเมษายน จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ก็จะกลับมาเขียวขจีอีก ระหว่างทาง หมอกลงจัด จนรถต้องแล่นไปอย่างช้า ๆ กว่าจะได้ทานข้าวเที่ยงก็บ่ายโมงกว่าแล้ว อาหารมื้อนี้เป็นอาหารพื้นเมือง ฝีมือของชาวบ้านในชนบท รสชาติแปลก ๆ ดี พอทานได้

รถพาพวกเราไปที่จะชมวิวที่ให้ดู ทุ่งดอกไม้หลายสีสัน ดูดินแดงที่ตัดกับดอกไม้หลากสี ท้องฟ้าวันนี้ครื้มฟ้าครื้มฝน มีฝนตกลงมาปรอย ๆ แสงอาทิตย์มัว ๆ อากาศหนาวมากพอสมควร แต่บรรยากาศรอบ ๆ หุบเขาที่เรามาชมนั้น สวยงามมาก พักใหญ่ ๆ ฟ้าที่มัว ๆ นี้ ก็เริ่มมีแสงเรื่อ ๆ ของดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมา สว่างไสวมากขึ้น ก่อให้เกิดสีสันเป็นมุมมองที่บรรเจิดตา ทุ่งดอกไม้สีแดง ขาว เหลือง ตัดกันเป็นร่อง ๆ ซึ่งชาวบ้านปลูกไว้ เมื่อฉันมองจากที่สูงลงไป เป็นภาพสลับซับซ้อนของหุบเขา ตัดกับดินสีแดง ตัดกับเขาสูงตระหง่าน เป็นภาพวิจิตรตระการตาเหลือที่จะกล่าวเป็นถ้อยคำได้

จุดชมวิวจุดที่ 2 มีลักษณะงดงามไม่แพ้จุดที่ 1 ที่กล่าวมาแล้ว มีปุยเมฆที่คล้อยลอยต่ำ รวมกับหมอกสีขาวเทาที่ลอยร่วมเดินทางไปกับเหล่าปุยเมฆ ตัดกับสีสันของเหล่าเนินเขาที่สลับกันสูง ๆ ต่ำ ๆ ท้องฟ้าเป็นสีครามมาร่วมแจมกับปุยเมฆและหมอกเบาบางขาว บางช่วงมีแสงอาทิตย์อ่อน ๆ แทรกมายังขุนเขาที่อยู่ไกลออกไปเบื้องหน้าของทุ่งดอกไม้หลากหลายสีสัน จึงเป็นภาพที่สวยสดงดงามเหลือจะกล่าวให้เห็นจริงได้

พวกเราก็ได้มีโอกาสไปชื่นชมความงามของทิวทัศน์ที่เป็นทุ่งดอกไม้หลากหลายสีสัน อันกว้างใหญ่ไพศาล แดง ขาว ม่วง ชมพู แซมด้วยใบที่เขียวขจี ตัดกับผืนผ่นดินที่เป็นดินสีแดงเข้ม เบื้องหน้าของแปลงดอกไม้อันไพศาลนั้น เป็นภูเขาสลับซับซ้อนสูงต่ำไล่เลี่ยกันไป เมฆกลุ่มน้อยใหญ่ลอยละล่องไปอย่างช้า ๆ วันนี้ท้องฟ้าครื้มฟ้าครื้มฝน มีหมอกบางเบาลอยอยู่เบื้องหน้าของเหล่าทุ่งดอกไม้หลากหลายสีสันนั้น เป็นการเพิ่มบรรยากาศให้น่าชื่นชมรื่นรมย์มากอย่าง เหลือคณานับ พวกเราเดินขึ้นเนินเขาเตี้ย ๆ ชื่นชมกับความงดงามเหล่านั้น ถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ ที่เห็นว่างดงาม รูปเดี่ยวบ้าง คู่บ้าง ถ่ายหมู่กันบ้าง ถ้าเป็นสมัยก่อน ซึ่งต้องใช้ฟิล์มถ่ายรูป พวกเราคงจนไปนานแน่นอน แต่ปัจจุบันสบายมาก เพราะว่าเราถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอล ไม่ต้องใช้ฟิล์ม ดังนั้น จะถ่ายรูปมากเพียงใด ก็ไม่มีปัญหาเรื่องเสียเงิน แถมถ้ารูปใดไม่สวย ก็ลบทิ้งถ่ายใหม่ได้อีกด้วย เนินเขาเหล่านี้ บางครั้งต้องกับแสงอาทิตย์จะกลายเป็นสีรุ้งที่แต่งต้มด้วยแปลงดอกไม้สลับสี ทุ่งดอกหญ้าสีขาว เต็มท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ เรียกว่า ภูเขาสายรุ้ง บริเวณเหล่านี้ มีช่างภาพและนักเล่นกล้องมารอถ่ายภาพ สวย ๆ ตามช่วงของเวลาต่าง ๆ อย่างมากมาย

จากความงามของทุ่งดอกไม้ในเมือง ตงชวน จึงถือว่า ตงชวนเป็นหนึ่งใน Unseen in Yunnan อีกแห่งหนึ่งของ มณฑล ยูนนาน

ความงามของทุ่งดินแดงที่งดงามสุดพรรณนา


อีกจุดหนึ่งของความสวยงามของทุ่งดินแดง



อาหารมื้อเย็นวันนี้ ก็เป็นอาหารพื้นเมืองที่ทานกันบนยอดเขานี้เหมือนมื้อกลางวัน ขณะที่รอทานข้าวมื้อเย็น คุณหมอ เพื่อนคณะทัวร์ของเรามาเรียกพวกเราออกไปชมพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน โอ้โห! ฉันเห็นเป็นดวงไฟดวงกลมโต เหมือนลูกไฟพุ่งขึ้นมา เป็นสีส้มเข้มสวยงามมากเหลือเกิน ช่างภาพทั้งหลายพากันถ่ายภาพดังกล่าวเป็นการใหญ่ เพื่อเก็บภาพอันงดงามที่ได้เห็น จะได้เก็บภาพอันงดงามนั้น ๆ ไว้เป็นที่ระลึก

หลังอาหารมื้อเย็น พวกเราก็เดินทางกลับเมืองคุนหมิง ลงจากภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ถนนหนทางคดเคี้ยว ค่อนข้างน่ากลัว เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดมากขึ้นทุกที ๆ กว่าจะถึงในเมืองต้องใช้เวลาสองชั่วโมง คืนนี้เราจะพักกันที่โรงแรมไท้หลง ห้องน้ำของโรงรมนี้แปลก มีม่านอยู่ที่ห้องนอน พอเปิดม่านก็จะเห็นคนในห้องน้ำ สามารถเห็นคนโป๊ในห้องน้ำได้ ทำไมจึงสร้างห้องน้ำแบบนี้หนอ ประหลาดดีจัง

วันที่ 17 พ.ย. 53 วันนี้หลังทานข้าวเช้าแล้ว พวกเราต้องอำลาเนินเขาสายรุ้งไปเสียแล้ว ระหว่างทางเราก็ได้ชมแสงแห่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นหลังเหลี่ยมเขา ทอแสงสว่างไสวกลางท้องนภาลัยอัน เวิ้งว้างนั้น แสงแห่งดวงสุริยานั้นผ่านเมฆหมอกบางเบา ทอทาบลงมายังเนินเขาสายรุ้ง เหนือหมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขาสูงนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งการดำเนินชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว ระหว่างทาง พวกเราก็ได้ ชื่นชมความงามของทิวทัศน์สองฟากฝั่งที่รถแล่นผ่านไปด้วยอารมณ์ที่ชื่นบานกับความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์แต่งแต้มขึ้น

ช่วงบ่ายพวกเราก็กลับมาถึงตัวเมืองของคุนหมิง เมือง คุนหมิง จราจรคับคั่งมากพอสมควร บางช่วงรถติดมากเหมือนกัน เราพบจักรยานไฟฟ้า คือ จักรยานที่ใช้ไฟฟ้า ไม่ใช้น้ำมันในการวิ่ง รถประเภทนี้ ไม่ต้องใช้เท้าถีบจักรยาน เหมือนจักรยานทั่ว ๆ ไป ที่พิเศษของรถประเภทนี้ คือ ไม่ต้องเสียภาษีรถ และกำลังเป็นที่นิยมมาก ต่างกับรถมอเตอร์ไซด์ เพราะต้องมีท่อไอเสียและต้องเสียภาษี ต้องเสียค่าน้ำมันอีก รถจักรยานธรรมดา เราจะนั่งได้แค่คนเดียว ส่วนจักรยานไฟฟ้า สามารถนั่งได้หลายคน มากที่สุดเคยเห็นนั่งได้ถึง 5 คน คันหนึ่ง ประมาณหมื่นกว่าบาท ปัจจุบันนี้ จักรยานถีบหายบ่อย ใช้น้อยเพราะต้องใช้เท้าถีบ เกิดความเหนื่อยในการออกแรงถีบ ดีตรงที่ไม่ต้องทำใบขับขี่ รถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า ใช้การชาร์ดแบดเตอรี่ และที่นี่ตั้งเป็นกฎว่า ตึกที่ต่ำกว่าเจ็ดชั้น จะไม่มีลีฟให้ขึ้น

มื้อเที่ยงของวันนี้ มัคคุเทศก์ เชา พาพวกเราไปทานสุกี้เห็ด เป็นอาหารมื้อที่อร่อยและแปลกมาก เขาตั้งหม้อเหมือนหม้อสุกี้ในเมืองไทยเรา บริกรสาวที่ร้านอาหารจะเป็นผู้ใส่เห็ดต่าง ๆ ประมาณ 8 ชนิดใส่หม้อที่มีน้ำเดือด จนเห็ดสุก ซึ่งพวกเราจะไม่รู้ว่าสุกหรือไม่ ต้องบริกรสาวเป็นผู้ตักใส่ชาม ของพวกเราทีละคน พูดง่าย ๆว่า พวกเราไม่ต้องหยิบจับตักอะไรเลย เขาจะตักแจกพวกเราเป็นชาม ๆ ไป มัคคุเทศก์ เปา (ของไทย) นำน้ำจิ้มสุกี้จากเมืองไทยเรามาให้กินกับสุกี้เห็ดที่นี่ เพราะน้ำจิ้มสุกี่ของที่นี่ รสชาติหวาน ๆ ไม่มีรสถูกปากคนไทยเราเลย มีแต่ซีอิ๊วอย่างเดียว พอตักหม้อที่หนึ่งให้ทุกคนจนครบแล้ว บริกรสาวก็เริ่มใส่รากบัว มันฝรั่ง ลงไปในหม้อเดิมใหม่เป็นครั้งที่ 2 เมื่อเขาเห็นว่าสุกดีแล้ว ก็ตักแจกพวกเราอีกเหมือนเดิม ส่วนหม้อที่ 3 หรือครั้งที่ 3 เป็นการใส่ผักชนิดต่าง ๆ แล้วเขาก็ตักใส่ชามให้พวกเราเหมือนเดิม หม้อสุดท้าย เป็นการนำบะหมี่ต้มให้พวกเรากิน นับว่าเป็นอาหารที่แปลกดี ฉันไม่เคยไปกินที่ไหนที่มีลักษณะแปลกอย่างนี้มาก่อนเลย

ทานข้าวเสร็จแล้ว มัคคุเทศก์ก็พาพวกเราไปที่โรงงานทำบัวหิมะ ซึ่งมัคคุเทศก์เล่าให้ฟังว่า ขอให้ช่วยไปชมด้วยเถอะ เพราะเป็นกฎของทางประเทศเขาที่ต้องให้มัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวมาชม มิฉะนั้น เขาจะต้องถูกตำหนิจากทางบริษัท ขอให้พวกเราเข้าไปชม จะซื้อสินค้าหรือไม่ ไม่เป็นไร เพราะเขาได้ทำตามหน้าที่แล้ว พวกเราก็เห็นใจมัคคุเทศก์ ตามปรกติ พวกเราก็เบื่อที่ต้องไปนั่งฟังเขาบรรยายสรรพคุณของสินค้าเหมือนกัน ยิ่งไปเที่ยวเมืองจีนบ่อย ก็เจอบ่อย ฟังเรื่องเดิม ๆ ก็เลยยิ่งเบื่อ แต่พอฟังมัคคุเทศก์ เชา ว่าเช่นนั้น พวกเราก็ยินดีช่วยเหลือเขา เมื่อไปถึงแล้ว พวกเราก็ได้รับเชิญเข้าไปในห้องเพื่อฟังคำบรรยายสรรพคุณของยาหลายชนิด แต่ก็น่าเห็นใจคนบรรยายนะ มีกลุ่มเพื่อนทัวร์ของเราซื้อไปเพียงคนเดียว คือ คุณตุ่ม ยาแต่ละชนิดแพงมาก บัวหิมะขวดเล็กที่เก๊าเพื่อนฉันฝากซื้อก็ไม่มีขาย เขาบอกว่า บัวหิมะไม่เคยมีขวดเล็กขายเลย เออ ! ก็แปลกนะ ฉันเคยซื้อได้นี่นา แต่จำไม่ได้ว่าซื้อจากเมืองไหน

ออกจากร้านขายยาแล้ว ก็ไปเที่ยวตลาดดอกไม้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขายทั้งดอกไม้สด ดอกไม้แห้ง นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าใหญ่โตมาก ขายพวกกาแฟขวด กาแฟซอง ขนมประเภทต่าง ๆ ที่แปลกมากก็คือ เขาจัดให้คนเข้าร้าน เดินไปตามล็อกที่เขากั้นให้เดิน พูดง่าย ๆ ต้องเดินชม ดู สินค้าของเขาทุกอย่าง เดินเวียนไปมาจนเวียนศีรษะไปหมด ฉันไม่ได้ซื้ออะไรเลยสักอย่างเดียว เราออกไปเดินชมตลาดดอกไม้ ชมดอกไม้หลากหลายชนิด สวยสดงดงามไปหมด ดอกใหญ่บ้าง ดอกเล็กบ้าง ที่แปลกตามากและฉันยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย คือ ดอกกุหลาบสีน้ำเงินเข้มจนออกดำ ดอกลิลลี่ดอกใหญ่ ๆ สีม่วง สีขาว สีเหลือง ล้วนงามบานสะพรั่งไปแต่ละร้าน พวกเราใช้วิธีถ่ายเทความสวยงามลงเก็บไว้ในกล้องดิจิตอล ภาพแล้วภาพเล่า จนคนขายดอกไม้แทบจะค้อนตาคว่ำทีเดียว

ชมตลาดดอกไม้อันสวยงามหลากหลายนานาพันธุ์



ชมตลาดดอกไม้แล้ว มัคคุเทศก์ก็พาพวกเราไปช้อปปิงที่ตลาดคนเดิน ปล่อยให้พวกเราไปเดินตามถนนหนทาง ซึ่งสองฟากฝั่งของถนนจะมีร้านค้าขายของมากมาย ส่วนใหญ่เขาขายพวกเสื้อผ้าที่เป็นยี่ห้อ ดัง ๆ บางร้านก็ลดราคามากพอสมควรและไม่ให้ต่อแล้ว แต่ถ้าเดินลงไปทางใต้ดิน ร้านต่าง ๆ ที่ขายของสามารถต่อรองราคาได้ ฉันซื้อเสื้อกันหนาว 1 ตัว ประมาณ 500 บาท หาตัวที่เล็กที่สุดแล้ว แต่ดูแล้วก็ยังตัวโตกว่าตัวของฉันอยู่ดี พวกเราเดินชมร้านค้าต่าง ๆ จนขาลากเหมือนกัน หลาย ๆ คนที่ร่ำรวยก็ซื้อของหอบพะรุงพะรังกัน ของตัวเองบ้าง ฝากญาติบ้าง ฝากเพื่อนบ้าง ก็เป็นธรรมดาของสังคมคนรวยนั่นเอง ฉันชอบซื้อของฝากชิ้นเล็ก ๆ และเบา ๆ มากกว่า เพราะหอบง่าย นั่นเอง

อาหารมื้อเย็นวันนี้ ก็เหมือนเดิม ๆ เป็นอาหารจีน ซึ่งก็พอทานได้ดีพอสมควรสำหรับฉัน ฉันเป็นคนกินง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการกินนัก คณะของเราบางคนก็ทานยาก มัคคุเทศก์ เปา ก็มีการเตรียมน้ำพริกบ้าง หมูแผ่น หมูหยอง ที่นำมาจากประเทศไทยมาแจกแก่ลูกทัวร์ เพื่อบริการลูกทัวร์ให้เจริญอาหารได้บ้าง

ตื่นเช้าขึ้นมา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะต้องจากเมืองคุนหมิงกลับเมืองไทยเสียแล้ว เช้านี้ ฉันกับจ๋า รีบทานข้าวเช้าที่โรงแรม แล้วก็ไปเดินที่ตลาดโบ๊เบ็ ซึ่งไม่ไกลจากที่โรงแรมที่เราพักมากนัก เดินดูเสื้อผ้าตามแฟชั่นมากมายจนลายตาไปหมด เป็นตลาดที่ใหญ่มากพอสมควร มีเสื้อผ้า รองเท้า ตลาดที่นี่ มัคคุเทศก์บอกว่า ต้องต่อราคาเป็นหลาย ๆ เท่า เพราะแม่ค้า พ่อค้า จะบอกราคาผ่านอย่างมากมาย เช่น ฉันซื้อกางเกง 1 ตัว เขาบอกราคาตั้ง 228 หยวน ฉันต่อเหลือ 45 หยวน เขาก็ขายให้ ฉันพอมีประสบการณ์ในการซื้อของ ต่อของมาบ้าง เพราะฉันเคยมาเรียนภาษาจีนอยู่ที่มหา วิทยาลัยหวินหนัน 1 เดือน จึงพอจะรู้ว่า ราคาสินค้าที่นี่ เขาบอกผ่านมากมายเหลือเกิน ฉันซื้อเสื้ออีกสองตัว เป็นเสื้อใส่เที่ยวค่อนข้างหนา 1 ตัว และเสื้อกันหนาวอีก 1 ตัว ส่วนจ๋า เขาซื้อเสื้อยืดฝากน้องชายเขา 1 ตัว จ๋าไม่ค่อยได้ซื้ออะไร เป็นคนซื้อข
งค่อนข้างยากอยู่
อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ เป็นอาหารพื้นเมือง เป็นเส้นขนมจีน เรียกว่า ก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพาน ฉันก็ไม่ทราบว่า ทำไมจึงเรียกเช่นนั้น ร้านอาหารร้านนี้ตกแต่งเป็นวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองเผ่าหนึ่ง รสชาติของอาหารก็แปลกดี ห้องน้ำก็แปลกมาก ตกแต่งเป็น ลวดลายของชนเผ่าหนึ่ง สีสันแปลก ๆ เป็นศิลปะเหมือนคนในเผ่าใดเผ่าหนึ่ง ประตูห้องน้ำ มีรูปชนเผ่าโบราณยืนเป็นสัญลักษณ์ของห้องน้ำหญิงและชาย ห้องน้ำหญิงก็เป็นรูปหญิงชนเผ่าที่เปลือยหน้าอก โชว์อวัยวะเบื้องล่าง ห้องน้ำชายก็เช่นเดียวกัน พวกเราก็ถ่ายรูปเหล่านั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะเห็นว่ามันแปลกดีนั่นเอง ขณะที่ทานข้าวอยู่ ที่เวทีก็มีการแสดงของชนเผ่านี้ การแสดงไม่มีอะไรมาก เต้นไปเต้นมา เป่าขลุ่ย เล่นดนตรีพื้นเมืองของชนเผ่าเขา มีการร่ายรำ ไปมา

อาหารก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานและชมการแสดง



หลังทานข้าวมื้อนี้แล้ว พวกเราก็เดินทางไปสนามบินเลย ระหว่างทที่เดินทางไปนัน ก็มีการมอบทิปแก่มัคคุเทศก์จีนและไทย รวมทั้งคนขับรถด้วย อันเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา มัคคุเทศก์ เชา ก็น่ารักดี เขามาช่วยยกกระเป๋า และยกของที่ฝากเขาซื้อ (ขนม) ซึ่งเขาจะแยกเป็นกล่อง ๆ ให้แก่คนซื้อ ฉันรับมาแล้ว จัดการเขียนชื่อ นามสกุลและที่อยู่บนกล่องไว้อย่างเรียบร้อยและโหลดขึ้นเครื่องไป

พวกเราเดินเล่นอยู่ในสนามบินเป็นชั่วโมงเหมือนกัน ตอนนี้ฉันเบื่อหน่ายที่จะเดินเสียล้ว ใจอยากจะกลับบ้านเร็ว ๆ จากบ้านมาตั้ง 7 วัน พอหมดที่เที่ยวเลยไม่สนุก แล้วในที่สุดเจ้าหน้าที่เขาก็ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้ ฉันขึ้นเครื่องประมาณ 15.20 น. บนเครื่องบินมีอาหารให้ทานด้วยอีกมื้อหนึ่ง พวกเรามาถึงกรุงเทพฯประมาณ 16.35 น. กว่าจะรอรับกระเป๋าและกล่องขนม ออกจากด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็เป็นเวลา
17.00 น. ฉันโทรหาเหลนตามนัดที่เขาต้องมารับฉันกลับบ้าน ปรากฎว่ายังมาไม่ถึง ส่วนน้องชายของจ๋ามารอรับจ๋าแล้ว จ๋าจึงกลับไปก่อนฉัน กว่าเจ้าเหลนของฉันจะมาถึงสนามบินก็ 18.00 น. ระหว่างทาง ทั้งเหลนฉัน และเหลนสะใภ้ เขาว่า ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย ฉันเลยให้เขาแวะกลางทางเพื่อหาข้าวทานก่อน สั่งเป็ดพะโล้ 1 จาน จับฉ่าย อีก 1 จาน ข้าวเปล่า 3 จาน น้ำเปล่า ขายแพงพอควร ฉันจ่ายไปสองร้อยกว่าบาท

อิ่มข้าวแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับบ้านฉัน ถึงบ้านเป็นเวลา 19.30 น. ฝากขนมที่ซื้อมาให้เหลนไป 3 ห่อ น่าจะเป็นธัญพืช เกาลัด และแคนตาลูปแช่อิ่ม

การท่องไปในโลกกว้างของฉันก็ได้ผ่านไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว การไปเที่ยวเจี้ยนสุ่ย หยวนหยางและตงชวน ครั้งนี้ คุ้มค่าเหลือเกินกับจำนวนเงินที่เสียไป เพราะมีโอกาสได้เห็นธรรมชาติของนาขั้นบันไดที่เป็นศิลปะอันยอดเยี่ยมที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างไม่ได้จงใจให้เป็น มีโอกาสได้เห็นทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ หลากหลายสีสัน ตัดกับผืนแผ่นดินสีแดง และตัดกับเนินเขา ปุยเมฆที่ลอยต่ำ แกมด้วยหมอกบางเบาที่ล่องลอยไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางหุบเขาที่หาสถานที่ที่น่าชื่นชมอย่างนี้ในที่ไหน ๆ ได้ยากยิ่งนัก ถ้าท่านผู้อ่านมีโอกาส ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะได้เดินทางไปชื่นชมสถานที่ที่ฉันได้พรรณนาให้ท่านได้อ่านไปแล้ว แล้วท่านจะเห็นจริงตามที่ฉันได้เขียนเล่าให้อ่านไปค่ะ สมแล้วกับที่ได้รับการขนานนามว่า Unseen in Yunnan ค่ะ







Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 28 ธันวาคม 2556 10:38:53 น. 3 comments
Counter : 1577 Pageviews.

 
i wanna be there ka... nice to visit your blog nice.


โดย: mariabamboo วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:53:34 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์..ไม่ได้ตามไปเที่ยวในblog ของอาจารย์แค่เดือนกว่า..เนื้อหาเข้มข้นเหมือนเดิม แต่ภาพสวยและเทคนิคมากมายกว่าเดิมสุดยอดเลยค่ะ


โดย: Ezy-SeaHill วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:23:56:16 น.  

 
สวัสดีค่ะ อาจารย์สุวิมล ขอบคุณนะคะ่ ที่สละเวลา

แวะไปอ่านเรื่องด่านเจดีย์สามองค์ โอเล่นั่งทำบล็อกไปอ่านไป

เนื้อเรื่องก็สนุกและเพลินต่อการอัพบล็อกเล่นด้วยค่ะ

ตอนนี้กำลังทำเรื่องสะพานมอญต่ออีกค่ะ กำลังอ่านและหาข้อมูล

ขอให้อาจารย์สุวิมล สุขภาพแข็งแรงและนำเรื่องมาแบ่งปันกัน

ในบล็อกอีกนะค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:21:13:11 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space