ความรัก ........อีกหลากหลายรูปแบบที่ยากจะยกมากล่าวได้หมดสิ้น ความรักทุกรูปแบบล้วนแต่ทรงคุณค่าทั้งนั้น ถ้าหากเราจะใช้ความรักรูปแบบต่าง ๆ นั้นให้ถูกต้อง ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง ทุกข์แห่งความรักก็จะปรากฏให้ใจเราได้เจ็บอย่างแน่นอน
ไออุ่นแห่งรัก ที่ฉันจะเล่าถึงในงานเขียนคร้ั้งนี้ เป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่งที่ฉันได้พบเจอะเจอมา ฉันมีความประทับใจมาก และคิดว่า ไออุ่นแห่งรักที่ ฉันได้ไปพบเห็นมานี้ จะสะท้อนให้เห็นถึง ความรักอันอบอุ่นของระบบครอบครัว และไออุ่นแห่งรักของมิตรภาพที่น่าประทับใจอย่างที่ฉันได้เห็น ได้สัมผัส ซึ่งปัจจุบันนี้ กำลังจะหายากมากขึ้นไปทุกที ๆ ฉันจึงใคร่จะนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้เห็น ได้สัมผัสถึงไออุ่นแห่งรักที่ฉันประทับใจ และคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์ต่อสังคมมาก ถ้าเรามี "ไออุ่นแห่งรัก" อย่างนี้มาก ๆ สังคมเราคงไม่ต้องประสบปัญหาครอบครัวแตกแยก ก่อให้เกิดเด็กมีปัญหาอย่างที่เราเห็น ๆ อยู่ในปัจจุบันนี้
กลุ่มลูกศิษย์ที่ทำให้ฉันได้เห็น ได้พบ "ไออุ่นแห่งรัก" จนทำให้ฉันนำมาเขียนให้ท่านผู้อ่านได้อ่านนั้น คือ กลุ่มลูกศิษย์ 3/5 ของโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง ซึ่งฉันเคยเขียนถึงพวกเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ในเรื่อง "ระเบียงไพร...ความทรงจำดี ๆ อีกครั้งหนึ่งของชีวิต" ครั้งนี้ เป็นทริป "ครอบครัว" แตกต่างจากทริป ระเบียงไพร ที่เป็น "ทริปโสด" จึงทำให้ฉันได้มุมมอง "ความรัก" อีกรูปแบบหนึ่ง อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง "ไออุ่นแห่งรัก อีกมุมมองหนึ่งของฉัน"
ติ้้ม แม่บ้านแห่งห้อง 3/5 ได้บอกฉันไว้ในเฟสบุ๊ค ประมาณเดือน กุมภาพันธ์ ว่า "อาจารย์ ทริปครอบครัว คลอดแล้วนะคะ กำหนดวันที่ 24-25 มีนาคม 55 ที่แพ เขื่อนศรีนครินทร์ เมืองกาญจนบุรี อาจารย์เตรียมตัวไว้ได้เลย ค่ะ" วันดังกล่าวตรงกับวันที่ฉันกำหนดไว้กับน้อง หลาน เหลนว่า จะไปเช็งเม้งพ่อกับแม่ ที่สุสานแถว หัวกุญแจ เมืองชลบุรี และมีประชุมใหญ่ของชมรมครูอาวุโสของกรมสามัญ ฯ อีกด้วย ด้วยความที่อยากไปเที่ยวกับพวกเขา ฉันจึงโทรถามเหลน ซึ่งเป็นคนที่จะต้องขับรถพาฉันไปไหว้พ่อกับแม่ที่สุสาน ขอเปลี่ยนวันไปเช็งเม้ง ซึ่งเหลนก็น่ารัก ไม่ว่าอะไร ส่วนเรื่องประชุมไม่ใช่เป็นปัญหาสำคัญอะไร เพราะฉันไม่เคยเข้าประชุมกับเขาหรอก เป็นสมาชิกไว้ตามคำเชิญชวนเท่านั้นเอง ส่วนพี่อวยพร ซึ่งเป็นครูที่สอนพวกลูกศิษย์เหล่านี้โดยตรง บอกว่า "อยากไป แต่ติดประชุม ของชมรมครูกรมสามัญฯ" ดังนั้น การไปครั้งนี้ ฉันก็ไปคนเดียวเหมือนครั้งที่แล้วเช่นเคย
วันที่ 24 มี.ค. ติ้ม ซึ่งเช่ารถตู้ไปกัน 3 ครอบครัว มีครอบครัวของ ติ๊ก น้องสาวของ ติ้ม 3 คน ครอบครัว ติ้ม อีก 3 คน และครอบครัวของ ธนวัฒน์ (สมศักดิ์) อีก 3 คน รวมฉัน ก็เป็น 10 คนพอดี นั่งได้สบาย ๆ 6.30 น. ติ้มมารับฉันที่บ้านตามเวลานัดหมายตรงแป๊ะ เลย ช่วยหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าและถุงขนมอันมีคุกกี้และทุเรียนกรอบ ไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าทางเข้าบ้านฉัน ของในรถเต็มไปด้วยของกินมากมายที่เตรียมไปทานกันที่แพ ในรถ มีลูกสาวของ ติ๊ม ชื่อน้องตอง เป็นสาวแล้ว ได้ความว่า เรียนอยู่ ม. 4 กำลังจะขึ้น ม. 5 มั้ง เป็นเด็กน่ารัก เงียบ ๆ เรียบร้อย มีสัมมาคารวะ
รถแล่นไปถึงโลตัสอ่อนนุช อันเป็นจุดนัดพบอีก 2 ครอบครัว คือ ลูกชายคนโตของติ๊มขับรถไปรับ ติ๊ก และ ลูกอีกสองคน เพื่อมาขึ้นรถตู้ที่นี่ แล้วจึงเอารถยนต์ไปเก็บที่บ้าน พวกเรามาถึงก่อน ก็นั่งรอกันที่ร้าน แม็ค ก็ร้านเดิมที่เคยนัดกันครั้งแรกนั่นแหละ ติ๊ม จัดแจงไปซื็อน้ำส้มให้ฉันดื่ม ตัวเองทานโจ๊ก 1 ถ้วย ติ๊มถามฉันเหมือนกันว่าจะทานไหม ฉันปฏิเสธ เพราะทานข้าวต้มจากบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนน้องตอง ทานเฟ้นฟรายไป ติ๊มทานเสร็จขอตัวไปซื้อน้ำดื่มเพื่อเอาไปที่แพ พักใหญ่ ๆ ครอบครัวของ ศักดิ์ ก็มาถึง ครอบครัวของเขา มีแดง เป็นศรีภรรยาและลูกสาว คือ น้องพลอย ซึ่งเป็นเด็กช่างพูด กล้าแสดงออก เป็นลูกสาวคนเดียวด้วย พ่อแม่คงทะนุถนอมมากอันเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนก็สั่งอาหารที่ แม็ค ทานกัน แดงชอบทานตับปิ้ง เลยไปซื้อตับปิ้ง ที่ขายอยู่ริมถนน ทานกับข้าวเหนียว เป็นครอบครัว อบอุ่น สุขหรรษา ครอบครัวหนึ่งที่น่าประทับใจมากทีเดียว
น่าจะเกือบ แปด โมงเช้า โต๊ด ลูกชายของ ติ๊มก็ไปรับ ติ๊กและน้องพิมพ์ น้องภูมิ ลูกของติ็๊๊๊กมา และเอารถไปเก็บที่บ้าน แล้วจึงย้อนมาขึ้นรถตู้ไปด้วยกัน
รถน่าจะออกประมาณ แปดโมงเช้า ซึ่งเกินกว่าเวลาที่กำหนดไปประมาณ 1 ชั่วโมง น่าจะได้ ส่วนอีก 4 ครอบครัว อันมี ครอบครัวของหน่อย ของ โอ ของปู และ ของอู๊ด เอารถของตัวเองไป และนัดเจอกันที่สุสานทหารที่เมืองกาญจน์ที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง
เมื่อพวกเราคันรถตู้มาถึงที่นัดหมาย คณะของอู๊ดซึ่งอยู่แม่กลองจะมาได้เร็วกว่าพวกเราที่อยู่กรุงเทพฯ พวกเขามาถึงที่นัดหมายประมาณ 9 โมงกว่า รอพวกเรานานมาก เพราะเรามาถึงที่นี่เกือบเที่ยงเห็นจะได้ รถคันของ ปู กับคุณอาทสามีปูมาเป็นคันสุดท้าย เพราะแวะไปไหว้หลวงพ่อโตมา ฉันและทุกคนลงจากรถตู้ เจอครอบครัวหน่อย และครอบครัว อู๊ด มีภรรยาชื่อปุ้ย เป็นคนน่ารัก และที่ฉันถูกใจมากที่สุด คือ เขารักหมามากเหมือนฉัน มาครั้งนี้ ก็เอาหมาพันธุ์ชิวาวามาด้วย ชื่อหนูโก๊ะโบะ น่ารักมาก ตัวเล็ก ๆ เหมือนเจ้าค็อกกี้ของฉันเลย
ทุกคนมาทักทาย สวัสดีฉันอย่างนอบน้อม บางคนที่ฉันเคยพบเจอมาก่อนแล้ว ก็คุยกันได้สนิทมากหน่อย ส่วนคนที่เพิ่งรู้จัก อันมีปุ้ย อู๊ด คุณอาท คุณชาติ (แฟนโอ) แล้วก็น้องคนงานลูกน้องคนสนิทของครอบครัวอู๊ดและภรรยา ซึ่งท้องแก่ใกล้ เจ็ดเดือนก็มาด้วย ฉันเพิ่งรู้จัก เลยยังไม่ได้คุยอะไรมากนัก พักที่นี่ เข้าห้องน้ำกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไป จุดหมายปลางทาง คือ ที่แพ โพร์ทติ้งเฮ้าส์ อ่างเก็บน้ำ เขื่อนศรีนครินทร์ กาญจนบุรี แพที่เราพักนั้น มีชื่อว่า "บ้านอุ่นไอรัก" ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมกับทริปครอบครัวครั้งนี้เสียเหลือเกิน แพนี้ ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้ยินว่า ค่าเช่ารวมถึงเครื่องปั่นไฟ คาราโอะเกะ คืนละ 7000 บาท บรรจุคนได้ 50 คน
เมื่อมาถึง เราต้องแวะติดต่อที่สำนักงานก่อน แล้วก็มีคนพาไปที่แพที่เราเช่ากันไว้ เมื่อไปถึงที่ที่จะต้องลงไปยังเรือแพ พวกเราทุกคนก็ต้องรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะระยะทางที่จะลงไปที่แพนั้น ทั้งลาด ทั้ง ชัน และลื่นเป็นบางช่วง แล้วเรายังต้องขนสัมภาระทั้งของกิน กระเป๋าเสื้อผ้า อีกมากมาย ทั้งน้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำโซดา อีกอย่างละหลายโหล แดดในขณะนี้ (ประมาณบ่ายโมง)ก็ร้อนเปรี้ยงเสียเหลือเกิน เรือแจ๊สกี สองลำของ อู๊ดและปุ้ย ต้องไปลงอีกท่าหนึ่ง ซึ่งสามารถลงน้ำได้เลย ไม่ต้องแบกลงแพ เฮ้อ ! ตอนนี้ฉันก็ได้เห็นภาพอันน่ารักของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนช่วยกันขนเสบียง เดินผ่านไม้กระดานเล็ก ๆ เพื่อที่จะลงไปที่แพ ดูน่าหวาดเสียว ศักดิ์ต้องยื่นมือมาจูงฉันลงแพไป ทุกคนช่วยกันขนเสบียงลงแพไปอย่างขะมักเขม้น ไม่เกี่ยงงอน หลาย ๆ รอบ โดยเฉพาะ เจ้าศักดิ์ ซึ่งรูปร่างสันทัดไม่อ้วน จึงขนของได้ทะมัดทะแมงกว่าเพื่อน และคอยช่วยรับของจากพวกผู้หญิงกัน งวดนี้ ดูศักดิ์จะเหนื่อยกว่าเพื่อน สีหน้าของทุกคนแจ่มใส ไม่ได้แสดงความกังวลอะไรเลย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่ว่า เด็ก ผู้ใหญ่ ล้วนมีส่วนร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพันที่พวกเขามีต่อกัน เป็นภาพที่ดูแล้ว อบอุ่น ชื่นใจและประทับใจฉันจริง ๆ