คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
space
space
23 สิงหาคม 2557
space
space
space

หอไข่มุก เมืองโบราณ ซูโจว อู่เจิ้น หวงซานแสนซ่านทรวง
หอไข่มุก เมืองโบราณ ซูโจว อู่เจิ้น หวงซานแสนซ่านทรวง


ทริปนี้ เป็นทริปที่ทรหดอดทนมาก ๆ ไม่น้อยกว่าทริปอินโดนีเซียที่ฉันได้เขียนเล่าไปแล้วค่ะ เราไปกันทั้งหมด 7 คน แบบหารเฉลี่ย รวมระยะเวลาการเดินทาง 18 วัน ปลายทางของเรา คือ ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น แต่เราต้องไปต่อเครื่องที่ เซี่ยงไฮ้ หญิงเลยบอกว่า พวกเราควรแวะเที่ยวเซี่ยงไฮ้ ซูโจว อู่เจิ้น หวงซาน เสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบินมาเที่ยวที่นี่อีก ฉันก็ว่า เป็นความคิดที่ดีนะ ทุกคนเห็นด้วย ทริปครั้งนี้ จึงเป็นทริปที่ยาวนานที่สุด การเล่าเรื่องของฉันจึงต้องแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง คือ ประเทศจีน อีกส่วนหนึ่งคือ ประเทศญี่ปุ่น ค่ะ

ทริปนี้ หญิงเป็นคนแนะนำคนนำทัวร์ ชื่อโปร ซึ่งหญิงเคยไปเที่ยวกับเขามาแล้ว 2 ทริป คนนำทัวร์ เคยเรียนที่ญี่ปุ่นมาหลายปี ชำนาญเรื่องเมืองจีนและญี่ปุ่น ฉันก็ชวนจุ๊บไปด้วยเป็นอีก 1 คู่ ที่จริง จะมี 8 คน แต่อีกคนติดงานไปไม่ได้ เราึงต้องหาร 6 คน 7 คน แล้วแต่กรณี

เครื่องบิน จะออกตี 1 เกือบตีสอง ก็คือ ย่างวันที่ 4 แต่เราต้องไปตั้งแต่คืนว้นที่ 3 ก.ค. เม้ง เหลนฉันมารับฉันประมาณ เกือบ 4 ทุ่ม รถไม่ติด ไปถึงประมาณ 4 ทุ่มครึ่งน่าจะได้ สักพักใหญ่ สมาชิกเราก็มากันเกือบครบ ขาดนายโปร ผู้นำทัวร์ สมาชิกที่ใหม่สำหรับฉัน มีโกศล คนเดียวในขณะนี้ ห้าทุ่มได้มั้ง ผู้นำทัวร์ก็มาถึง อ้อ หน้าตาเป็นอย่างนี้เอง สมคำ เล่าลือ อิอิ

พวกเรารอกันที่หน้าเคาน์เตอร์ของสายการบินไชน่า อีสเทิน ปรากฏว่า ขึ้นที่บอร์ดว่าดีเลย์ พวกเราก็นั่งทำใจกัน นั่งคุยกันไป หลับ ๆ ตื่น ๆ ที่เก้าอี้สนามบิน จนถีงตี 5 ฉันกับจุ๊บไปทานข้าวต้มเครื่องคนละชาม แล้วผลัดให้กลุ่ม หญิง ติ่ง โก ไปทานบ้าง ขากลับ หญิงไปถามเรื่องเครื่องบินทำไม ดีเลย์ นานมากขนาดนี้ จึงได้เรื่องว่า เครื่องบินลำเราไม่มาจากเซี่ยงไฮ้แล้ว ผู้โดยสารส่วนหนึ่งของเครื่องบินลำนี้ เขาให้ไปกับเครื่องบินลำอื่นแล้ว แถม พูดเหมือนเป็นความผิดของพวกเราที่ไม่ไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ เอาล่ะซี หญิง และทุกคนช่วยกันโวยวาย และว่าจะไปแจ้งความ ในที่สุด เจ้านายสายการบินนี้ ต้องมาเจรจาเองและรับผิดชอบหาสายการบินใหม่ให้เรา คือ การบินไทย ซึ่งจะบินเวลา 10 โมงกว่า ที่จริง เราจะเรียกร้องค่าเสียหายด้วย คือ ค่าโรงแรม ค่าอาหาร เหมือนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเขาไปถามที่เคาน์เตอร์ได้ไป แต่ขออย่างไร เขาก็ได้แต่ปฏิเสธ และเราก็ต้องรีบไปขึ้นเครื่องกัน ถือเป็ความโชคไม่ดีของเราก็แล้วกัน

จากไทยไปเซี่ยงไฮ้ ใช้เวลาประมาณ 3.45 ชัั่วโมง บนเครื่องบินให้อาหาร 1มื้อ เป็นข้าวมันไก่อบ ที่เซี่ยงไฮ้ เวลาเร็วกว่าของไทย 1 ชั่วโมง

ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองแล้ว นายโปร เรียกเก็บเงินคนละ 200 หยวน เพื่อซื้อตั๋วรถไฟและค่าโรงแรมคืนนี้ การขึ้นรถไฟที่นี่ ทุกคนต้องรวดเร็ว ลากกระเป๋าเข้าตู้รถไฟไปอย่างทุลักทุเล ผจญภัยอีกแล้ว เฮ้อ! กระเป๋าก็หนัก นี่ขนาดเอาไปแค่ 10 ชุดเองนะ แถม คนนำพวกเรา ก็หลงสถานีอีก จนคนเซี่ยงไฮ้ในรถสงสัย มาถามฉันว่า ทำไม ยังไม่ลงสถานีนี้ (เพราะเป็นสถานีที่ต้องเปลี่ยนรถไฟไปอีกทาง ถ้าไม่ลง ก็จะย้อนไปที่สนามบินใหม่) ฉันไม่รู้จะตอบผู้หวังดีอย่างไร ชี้ไปที่นายโปร บอกว่า คนนั้นเป็นมัคคุเทศก์ฉัน ให้ถามเขา นายโปรจึงรู้ว่า ต้องลง เฮ้อ! พะรุงพะรัง กระหืดกระหอบ ลงจากรถไฟ โก ลงช้า รถไฟ ไปแล้ว ทุกคนเป็นห่วง ยืนรอที่สถานีรถไฟที่จะต้องต่ออีกขบวนหนึ่ง สักพัก ก็โล่งใจ เพราะเห็นโก เดินออกจากรถไฟอีกขบวนหนึ่งมาสมทบกับพวกเรา มาดูรูปมาบนรถไฟกัน


ลงจากรถไฟ ก็ต้องลากกระเป๋าไปอีกไกล บางช่วง มีบันได ต้องยกกระเป๋าลงบันไดอีก โชคดี ที่ติ่งและโก ซึ่งเป็นผู้ชาย ช่วยพวกผู้หญิง โดยเฉพาะฉัน ตายแน่ ๆ ใครจะหิ้วกระเป๋าลงบันไดได้ล่ะ อิอิ ส่วนนายโปร ไม่สนใจใครเลย เดินดุ่ม ๆ นำหน้าไป เฮ้อ!สมคำเล่าลือ จริง ๆ ระหว่างทางฝนก็ตกปรอย ๆ มาถึงโรงแรมที่จองก็มีปัญหาอีก บอกว่าเรามาสาย เขาให้ห้องคนอื่นไป ตอนนี้เหลือแต่ห้องที่แพงกว่าที่จองไว้ แล้วเราก็ต้องยอมเพราะมันเย็นมากแล้ว หิวก็หิว เพลียก็เพลีย นอกจากแพงแล้ว ยังมีว่างแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ ต้องย้ายห้องนอน เพราะห้องที่เรานอนคืนนี้ พรุ่งนี้มีคนจอง กรรมไม่แบจริง ๆ

หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องไปเดินหาร้านอาหารมื้อเย็นกินกัน เดินไปเดินมา ก็ได้ร้านก๋วยเตี๋ยว คล้ายราเม็ง และสั่งเกี๊ยวอีกสองชาม 4 คน อิ่มแปร้เลย รอดตายไป 1 มื้อแล้ว นายโปร เขาไม่ไปกินกับพวกเรา ซื้อเชอรี่ ลูกเอี่ยบ๊วย ไปกินเอง กินแต่ของแพง ๆ ดี ๆ ทั้งนั้นนะ

หลังทานอาหารมื้อเย็นแล้ว เดินเล่นสักพัก ซื้อผลไม้กลับที่พัก ส่วน หญิง ติ่ง โก เขาไปเดินเที่ยวต่อ ไปถึงหอไข่มุก อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ เขาบอกกันว่า ถ้าไม่ได้มาที่หอไข่มุก ถือว่า มาไม่ถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ ฉันกับจุ๊บขอตัวไปคืนอื่น แล้วพวกที่ไปก่อน ก็ผิดหวัง พอไปถึง หอไข่มุกก็ปิดไฟ พอดี อิอิ อดดูเลย

รุ่งเช้า วันที่ 5ก.ค. 57 ตามสูตร 6 7 8 เท่ากับเราต้องตื่น ตี 5 ของไทยเรานั่นแหละ เพราะเวลาของเซี่ยงไฮ้เร็วกว่าของไทย 1 ชั่วโมง

เช้านี้ เราไปกินอาหารตามร้านอาหารเมื่อคืน สั่งข้าวกินกัน จานละ 18 หยวน ผัดร้อน ๆ มีรสเผ็ดเล็กน้อย แล้วโกศล ก็มาเร่งบอกว่า นายโปร บอกให้เร็วหน่อย เพราะรถที่จ้างอีกครึ่งชั่วโมงจะมา พวกเราเลยต้องรีบกินกันอย่างรวดเร็ว เราจ้างไปเที่ยว 2 วัน ไปซูโจว ค่ารถ สองวัน 400 หยวน ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน

ระหว่างทางที่ออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องก็ใหญ่โต แสดงถึงความเจริญของตัวเมืองมาก มาดูภาพกันค่ะ



9.30 น.เวลาของที่นี่ ออกจากเซี่ยงไฮัไปซูโจวใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ไปถึงเมืองโบราณใกล้เที่ยงพอดี มีคนมาเชิญชวนไปร้านอาหารของเขา ซึ่งอยู่ในซอย (เป็นวิธีการทำการค้าเชิงรุกจริง ๆ มีรายการอาหารมาให้ชม เพราะร้านค้าเขาอยู่ในซอย ขืนไม่คิดกลวิธีการค้าอย่างนี้ คนกิน ก็เข้าแต่ร้านแรก ๆ ที่พบด้านนอกหมด เก่งมาก)

เรามาถึงร้านอาหารเขา ดูราคาแล้ว ก็พอประมาณ นายโปรเป็นคนสั่งอาหาร มีผัดผักบุ้ง ปลา หมู พะโล้สามชั้น ลองดูภาพดูนะคะ รสชาติก็ใช้ได้ มื้อนี้ดู 350 หยวน แพงไม่เบาทีเดียวนะ



อิ่มแล้ว นายโปรก็ไปตีตั๋วเข้าชม สถานที่ที่มีชื่อว่า ไทเกอร์ฮิล (Tiger Hill)ค่าผ่านประตูเข้าชมคนละ 80 หยวน ไทเกอร์ฮิล เป็นเนินเขาอยู่ในเมืองซูโจว ที่ตั้งชื่อเช่นนี้ เพราะเนินเขาลูกนี้ มีลักษณะเหมือนตัวเสือหมอบอยู่บางตำนานเล่าว่า มีเสือขาวมาหมอบเฝ้าที่ฝังศพของกษัตริย์ Helu ที่นี่ มีทิวทัศน์สวยสดงดงาม มีเจดีย์สูง 7 ชั้น ชิ่อ Yunyan น่าเสียดายว่า ขณะที่เดินชมนั้น ฝนตก เฉอะแฉะ ไปหมด แต่นักท่องเที่ยวไม่ได้ย่อท้อ บ้างใส่เสื้อฝนที่เตรียมมา บ้างกางร่ม มาชมภาพที่ฉันและเพื่อนถ่ายรูปมาฝากค่ะ









เมื่อถึงเวลานัดหมาย พวกเราก็ออกจากไทเกอร์ฮิล ระหว่างทางฝนหยุดตกแล้ว แวะซื้อเกาลัดกินกัน จุ๊บเลี้ยงเกาลัด มายืนกินกัน เพื่อรอรถที่จ้างมารับไปเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง พักใหญ่ รถที่จ้างก็มารับพวกเรา

สถานที่เที่ยวแหล่งที่สองนี้ มีชื่อว่า หลิวเหยียน (The Lingering garden)หรือเรียกว่า สวนหลิว ราคาค่าเข้าชม 55 หยวน เป็นสวนโบราณ อยู่ทางตะวันตกของเมืองซูโจว ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1997 เป็นมรดกโลกด้านศิลปะ ในสวนนี้ สิ่งที่ถือว่า สวยงามมาก คือ ป่าหินหลาย ๆ จุดที่จัดไว้อย่างสวยงามให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชื่นชม เรียกว่า สวน Lingering ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองซูโจว สวนนี้ แบ่งเป็น 4 ส่วนคือ สวนฝั่งตะวันออก ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคเหนือ กล่าวว่า พื้นที่ตรงส่วนกลางเป็นสวนที่เก่าแก่ที่สุด เรามาชมความสวยงามของสวนนี้ค่ะ









เป็นไงบ้างคะ คงจะเห็นด้วยกับฉันนะคะว่า เป็นสวนที่มีความสวยงามไม่ใช่น้อยเลย โดยเฉพาะคนที่ชอบความสวยงามของธรรมชาติ คงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ออกจากสวนนี้แล้ว เราก็ต้องกลับไปที่เซี่ยงไฮ้เพื่อย้ายหาโรงแรมใหม่ในคืนต่อไป นายโปรเก็บเงินจากพวกเราเพิ่มอีกคนละ 500 หยวน คืนนี้เรายังคงพักที่โรงแรมเก่าอีกคืนแต่ต้องเปลี่ยนห้องไม่ใช่ห้องเดิม หลังจากเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บที่ห้องใหม่แล้ว ก็นัดเจอกันที่ล็อปบี้ เพื่อจะไปเดินที่ถนนคนเดิน ซึ่งขายอาหารเยอะมาก สารพัดชนิด แปลก ๆ ก็มี บางร้านก็ดูน่ากิน พวกเรา ก็เดินชมไป จุ๊บให้ติ่งถือเงิน 100 หยวน อยากกินอะไร ซื้อมานั่งกินด้วยกันที่โต๊ะ ซึ่งเขาให้นั่งได้ ติ่งและโก เห็นร้านคนมุงซื้อเยอะ เป็นเกี๊ยวไส้ต่าง ๆ 12 ชิ้น แล้วก็ขนมแปลก ๆ มานั่งกินกัน รสชาติก็อร่อยดีเหมือนกัน



กินเสร็จแล้ว แบ่งเป็นสองฝ่ายละ ผู้ชาย 3 คน นายโปร ติ่ง โกศล ก็แยกไปเดินเที่ยวกัน พวกเรา 3 คน ฉัน หญิง จุ๊บ ก็เดินเที่ยวที่ถนนคนเดิน ที่มีร้านค้าขายของไม่ใช่เป็นแหล่งกินโดยตรงแล้ว มีห้างร้านขายของสวย ๆ งาม ๆ ขายของกินบ้าง เช่น ขนมเปี๊ยะ มีขายน้ำส้มที่ตู้กด เป็นน้ำส้มสด หยอดเงิน มันก็คั้นสด ๆ ให้กิน 10 หยวนต่อ 1 แก้ว ฉันก็เอากับเขาด้วย ไม่อร่อยนักเพราะติดรสขมมาหน่อย ๆ มาชมบรรยากาศยามค่ำคืน ซิคะ



เดินเที่ยวหลายชั่วโมงจนถึงประมาณสามทุ่มกว่าแล้ว จึงเดินกลับโรงแรม ขาเมื่อยมากแล้ว

6 ก.ค. 57 วันนี้ ก็เหมือนเดิม 6 7 8

ช่วงเช้า ฉันกับจุ๊บไปเดินหาร้านกินอาหารมื้อเช้าแถว ๆ ถนนคนเดินเมื่อคืน ไปเจอร้านที่ขายบะหมี่ มีกระดูกหมูทอด ราคาก็ไม่แพง ตกประมาณ 50-60 บาทเอง หมูชิ้นใหญ่ บะหมี่ก็ชามใหญ่มาก กินเหลือกันครึ่งชามได้มั้ง น่าเสียดาย พวกเรากินกันไม่เก่ง หมูก็ชิ้นใหญ่มาก ฉันต้องให้ห่อกลับไว้ไปกินกับมาม่าในมื้ออื่น อิอิ เสียดายของ

สถานที่เที่ยววันนี้ ประเดิมที่แรก คือ Water-Town windmill season ราคาค่าเข้า 100 หยวน แพงมากตามเคย สถานที่นี้เป็นเมืองน้ำ มีชื่อที่แปลออกมาแล้ว อ่านแล้วทะแม่ง ๆ เหมือนกัน คือ "น้ำเมืองกังหันลมในฤดูโจวจวง" (อ่านตามที่เขาแปลมา)คงเป็นเพราะว่า เมืองโจวจวง มีเทศกาล กิจกรรมกังหันลม โดยเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม สัญลักษณ์ คือ กิจกรรมกังหันลมแนวตั้ง ถือเป็นมนต์เสน่ห์ของเมืองเก่า พิธีเปิดจะมีการร้องเพลงและเต้นรำกังหันลมแนวการแสดงโอเปร่า (เสียดาย เราไม่ได้เห็นพิธี แต่เมืองนี้ ทางเข้า ประดับประดาด้วยกังหันลมอย่างสวยงาม) เรามาดูรูปที่ฉันและเพื่อนถ่ายมาฝากกันดีกว่าคะ จะได้เห็นภาพสวย ๆ งาม ๆ แทนคำบรรยาย อิอิ









ออกจากสถานที่เที่ยวนี้แล้ว ก็เกือบเที่ยงแล้ว พวกเราหาร้านกินมื้อเที่ยงก่อน ร้านอาหารมื้อนี้ เหมือน ๆ กับอาหารมื้อเที่ยงเมื่อวาน สนน ราคาใกล้เคียงกับเมื่อวาน

อิ่มแล้วก็เดินทางต่อไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ มีชื่อว่า ถงหลี่ Tongli เมือง โบราณถงหลี่ ค่าเข้าชมแพงมาก คนละ 120 หยวน

เมืองถงหลี่ห่างจากเมืองซูโจวประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นเมืองโบราณที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาบ 5 แห่ง คือ jiuli ,Nanxing ,Pangshan ,Yeze และ Tongli เมืองถงลี่ ได้รับสมญานามว่า "ลิตเติ้ลเวนิสแห่งตะวันออก" มีแม่น้ำลำคลองหลายสาย มีสะพานหินโค้งสวยงาม มีอาคารเก่าแก่ที่ยังคงสภาพเดิมอยู่ ความแตกต่างของถงหลี่ กับ Water-Town อื่น ๆ ก็คือ ตัวบ้านถูกแยกออกจากถนน มาชมความงามของเมืองถงหลี่







เป็นไงคะ ถงหลี่ สวยสมคำเล่าลือไหมคะ เรามาเดินทางไปเที่ยวสถานที่แห่งใหม่ต่อไปค่ะ คือ เมืองโบราณนี้มีชื่อว่า จูเจียเจี่ยว (Zhu Jia Jiao) เมืองนี้ ได้รับสมญานามว่า Venice of China อยู่ห่างจากเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยใช้การเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นเมืองโบราณที่ทางรัฐบาลจีนรักษาทุกตึก ทุกบ้านเรือนไว้ในสภาพเดิมเมื่อหลายพันปีมาแล้ว เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีคูหาริมคลองเป็นสายยาว ผ่านท่าน้ำ เรือแจว เรือพาย ลำน้ำใสสะอาด มีร้านค้าขายของมากมาย ผู้คนมาจากที่ต่าง ๆ มาเที่ยวที่นี่อย่างหนาแน่นทีเดียว พวกเราเดินชมร้านค้าต่าง ๆ เข้าซอกซอยต่าง ๆ ทิวทัศน์ตรงไหนสวยงาม พวกเราก็ผลัดกันถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก มาชื่นชมรูปที่ฉันนำมาฝาก ค่ะ









จากจูเจียเจี่ยว (ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมด้วย ) เราก็กลับไปที่เซี่ยงไฮ้ประมาณ 5 โมงกว่า ๆ ต้องไปลากกระเป๋าจากโรงแรมเก่าเพื่อไปโรงแรมใหม่ ที่ใกล้กับสถานีรถไฟ เพราะพรุ่งนี้ เราจะมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีก 1 คน คือ เช็ง เวลาโกศลไปรับเช็งที่สถานีรถไฟจะได้ไม่ไกลนัก

เย็นนี้ หลังจากทานข้าวมื้อเย็นกันเรียบร้อยแล้ว เรา 5 คน มีฉัน หญิง ติ่ง จุ๊บและโกศล ก็เดินกันไปชมความงามของหอไข่มุก ซึ่งกล่าวกันว่า ใครมาเซี่ยงไฮ้ ไม่ได้มาชมหอไขมุก แสดงว่า ยังมาไม่ถึงเซึ่ยงไฮ้ พวกเราเดินมาไกลมากพอสมควร ระหว่างทาง จะมีนักท่องเที่ยวและรวมถึงชาวเซี่ยงไฮ้เอง เดินทางมาชมหอไข่มุก อันลือชื่อของเมืองเซี่ยงไฮ้ บริเวณที่เรามาชมนั้น เป็นลานกว้างมาก มีผู้คนมาชมมากมาย ที่หอไข่มุกจะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ สีของหอซึ่งมีหลายชั้น จะมีการเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ เช่น สีแดง ม่วง เหลือง น้ำเงิน ในบริเวณฝั่งของเราที่ยืนชมนั้น ก็มีตึกรามบ้านช่อง ประดับประดาด้วยแสงไฟ ระยิบระยับ สว่างไสว ดูตื่นตาตื่นใจ ผู้คนก็เบียดเสียดกันมากพอควร ในแม่น้ำ มีเรือสำราญล่องลอยไปอย่างช้า ๆ ช่วยประดับให้แม่น้ำดูมีชีวิตชีวามากขึ้น โกศล ตั้งขาตั้งกล้องหามุมถ่าย หามุมที่สวยตามสายตาของตากล้อง ส่วนฉัน ตากล้องสมัครเล่น กล้องก็เป็นกล้องปัญญาอ่อนราคาไม่ถึงหมื่น ก็ถ่ายไปตามประสากล้องของฉัน โกศลได้มุมสวยแล้ว ก็เรียกพวกเราไปถ่าย เดี่ยวบ้าง คู่บ้าง หมู่บ้าง (ตั้งเวลาแล้ว ก็รีบวิ่งไปเข้าหมู่ อิอิ) ได้รูปสวย ๆ หลายรูป มาลงให้สมาชิกได้ชมกัน ค่ะ







เดินกลับถึงโรงแรม เหนื่อยหอบกันไปตาม ๆ กัน ดีที่พรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นเช้านัก เพราะกว่าเครื่องจะลง กว่าจะขึ้นรถไฟใต้ดินมา เช็ง ก็น่าจะประมาณ 10 โมงกว่า

7 ส.ค. 57

วันนี้ เราเช่ารถคันใหม่ ใหญ่กว่าเดิมและเช่า 4 วัน และเอากระเป๋าใหญ่ไปด้วย รถออกจากโรงแรม 9.35 น.จอดแถว ๆ โรงแรมที่เราจองไว้จะมาพักหลังจากกลับจากหวงซาน ส่วนโกศลเดินไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อรอรับ เช็ง ประมาณน่าจะ 10 โมง เช็ง สมาชิกใหม่ ก็มาถึง แนะนำตัวให้ฉันรู้จักแล้ว (คนอื่นเขารู้จักหมด เพราะเคยไปเที่ยวด้วยกันแล้ว) จากนั้น พวกเราก็ออกเดินทาง ไปยังตำบล อู่เจิ้น ระหว่างทาง ได้แวะเที่ยวเมืองโบราณอีกสองแห่ง คือ
เมืองน้ำ Fengling Town เป็นโบราณสถานที่อยู่ห่างจากเมืองเซี่ยงไฮ้ประมาณ 60 กิโลเมตร เมืองนี้มีความเก่าแก่กว่า 1,500 ปีมาแล้ว ชาวเมืองที่นี่ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทัศนียภาพที่สวยสดงดงาม มีชื่อเสียงเรื่อง อาหารอร่อย รวมทั้งไวน์ขาวเมเปิ้ลทองฟุตFengling เมืองนี้ จัดเป็น 1 ใน 10 แห่งที่ต้องไปเที่ยวของเซี่ยงไฮ้ มีแม่น้ำหลายสายไหลมาบรรจบที่เมืองนี้ เชื่อมสะพานกัน ผ่านถึง 52 สะพานโบราณ ภายในตัวเมือง เป็นอาคารที่ได้อนุรักษ์เอาไว้ ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เป็นเมืองที่มีคำกล่าวว่า "ผ่านสองสะพานภายในไม่กี่ขั้นตอน" น่าจะตีความได้ว่า มีสะพานมากมาย เดินไปได้นิดเดียวก็เจอสะพาน อะไรประมาณนั้นนะ ฉันเข้าใจเช่นนั้น เพราะเป็นเมืองที่มีสะพานมากเหลือเกิน ราคาค่าเข้าชมเมือง 50 หยวน เรามาชมเมืองโบราณเมืองนี้กัน ค่ะ











ช่วงบ่ายเราไปเที่ยวเมืองโยราณอีกแห่งหนึ่ง คือ ซีถัง (Xitang) ราคา 100 หยวน แต่ละแห่งแพง ๆ ทั้งนั้น แต่เมื่อมาถึงแล้ว อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้ว จะไม่เข้าไปชม ก็กระไรอยู่ อิอิ

ซีถัง เป็นเมืองน้ำเก่าแก่ มืชื่อเสียงนับพัน ๆ ปีมาแล้วมีอาคารตั้งอยู่ริมฝั่งคลอง และมีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก มีวัดเล็ก ๆ เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพงดงามมาก ความงดงามของเมืองซีถัง จิตรกรทั้งหลาย มักนำไปวาดในภาพวาดของเขา มีแม่น้ำไหลผ่าน มีสะพานที่หล่อจากหินมากมาย รูปทรงของสะพานแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ของคนสร้างและแตกต่างจากที่อื่น ๆ บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของ ซีถัง ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของเดิมอยู่ ไม่มีตึกรามบ้านช่องที่เป็นสมัยใหม่ตามที่เราเห็นในเมืองใหญ่ ๆ บ้านโบราณดังกล่าว เป็นการรักษาวัฒนธรรม คุณค่าของบ้านตนเอง แต่ละบ้านเรือนที่เห็น มีการแกะสลักไม้งดงามตระการตา แสดงถึงศิลปะอันโดดเด่นของเขา ซีถัง มีอาณาบริเวณกว้างมาก มีถึง 3 ซอย ทีให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมร้านค้าต่าง ๆ ร้านรวงจัดไว้อย่างสวยงาม ฉันกับติ่ง เดินแยกออกจากกลุ่ม หญิง จุ๊บ เดินไปเดินมา เลยไม่รู้จะต้องไปออกซอยไหน เพราะตอนเข้า เราก็ไม่นึกว่าจะมีหลายซอย ออกได้หลายทาง เข้าได้หลายทาง ดีที่ฉันพอจะพูดภาษาจีนได้บ้าง ในที่สุดเราก็ออกมาซอยที่ 1 ปรากฏว่า ไม่ใช่ทางที่เราเข้า มาสู่ถนนใหญ่แล้ว ก็ถามกันต่อไป ปรากฎว่า คนบอกทางบอกว่า จากที่เราเดินมา ยังไกลจากลานที่จอดรถมาก พอดีมีสามล้อถีบอยู่ ถามแล้วราคาไม่แพงนัก 10 หยวน ก็ประมาณ 50 กว่าบาท เราเลยนั่งสามล้อกันไป โดยให้ไปส่งเราที่ลานจอดรถ อิอิ มาชมภาพสวย ๆ กันค่ะ














กลับจากเที่ยวที่นี่แล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปตำบลอู่เจิ้น คืนนี้ บ้านที่นายโปรจอง เป็นโฮมสเตย์ที่เขาหาจากในเน็ต ทางที่จะเข้ามาที่พักนี้ เป็นทางแคบ ๆ เจ้าของโฮสเตย์ต้องขี่มอเตอร์ไซด์ออกมานำทาง รถไม่สามารถเข้าถึงตัวบ้านได้ ต้องลากกระเป๋าเดินไปอีกไกลพอควร เจ้าบ้านน่ารักมาก มาช่วยลากกระเป๋าด้วย ตัวบ้านเป็นเรือนไม้เก่ามาก แต่ได้รับการซ่อมแซม ดัดแปลงเป็นโฮมสเตย์ เป็นตึกแถวสองชั้น มีเพียง 3 ห้อง ฉันนอนห้องชั้นล่าง มีจุ๊บ และเช็งด้วย จุ๊บของนอนเตียงคนเดียว ฉันกับเช็งนอนอีกเตียงหนึ่ง

ตัวโฮมสเตย์ ห้องของฉัน ติดอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งไม่ค่อยสะอาดนัก มีผักตบชวาลอยอยู่เหมือนคลองของไทยเรา มองออกไปจะเห็นสะพานยาวใหญ่อยู่ด้านหลังบ้านที่เปิดประตูออกไปชมทิวทัศน์ได้ เป็นธรรมชาติอีกฉากหนึ่งที่สวยงามและสงบ ได้คุยกับเจ้าของบ้าน เขาบอกว่า แถวบ้านเขานั้น เก่าแก่มาเป็นร้อยปีแล้ว หน้าบ้าน มีปลูกต้นไม้หน้าตาแปลก ๆ แขวงไว้ต้นหนึ่ง ฉันเห็นมันแปลกดี ก็ถ่ายรูปเอาไว้

อาหารมื้อเย็น ภรรยาเจ้าของบ้านพาไปร้านแถวบ้านเขา บอกว่า ทานที่นี่จะถูกกว่าไปทานในตัวเมือง(ที่เดินออกไปสู่ถนนใหญ่) อาหารมื้อนี้รสชาติก็ใช้ได้ อิ่มแล้ว ภรรยาเจ้าของบ้านน่ารักมาก พาเราไปเดินเที่ยวถนนตนเดินของตำบลนี้ ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยแม่ค้าขายของสารพัดอย่าง คนเดินเที่ยว ชมสินค้า ซื้อสินค้า ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เดินไปไกลจากที่พักมากทีเดียว ขากลับ ฉันกลับก่อน บางคนก็ไปเดินเที่ยวต่ออีก เรามาดูภาพของบ้านและบริเวณบ้านที่ฉันถ่ายมาฝากค่ะ



หลังจากกลับจากเดินเที่ยว โกศลและเช็ง ลงมาที่ห้องพักฉัน เพื่อคุยกันเรื่องการเก็บเงินของนายโปรว่า เขาควรจะแจงรายละเอียดของการใช้จ่ายให้พวกเราทราบ ว่า จ่ายอะไรไปบ้าง เช่น ค่าโรงแรม ค่ารถ ค่าเที่ยวอะไรประมาณนั้น แล้วรวมไปถึงค่าเครื่องบินที่ค้างพวกเราอีกคนละ 5,000 บาท ฉันก็ได้แต่ฟังเขาคุยกัน เพราะฉันเพิ่งเข้าร่วม ทริปกับนายโปรเป็นครั้งแรก ส่วนคนอื่น ๆ เคยไปกับเขาน่าจะสองทริปที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งจะมีคนคอยจดค่าใช้จ่ายและทำบัญชีรับจ่ายไว้ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ไม่ใช่เก็บเงินกันไปทุกวัน ซึ่งดูเหมือนจะบานปลายไปเงินหยวนที่เตรียมมาตามที่นายโปรบอก จะไม่พออยู่แล้ว เช็ง ซึ่งอายุน้อยสุด รับอาสาจะเปิดประเด็นนี้กับนายโปร โดยให้หญิงซึ่งสนิทกับนายโปรมากที่สุดไปด้วยกัน เช็งจะเปิดประเด็นเอง เขาจะไปพูดกันอย่างไร ฉันไม่รู้หรอก แต่พอลงจากการพูดคุย หญิงบอกว่า นายโปรคืนเงินค่าเครื่องบิน 5000 บาท ให้ฉันเป็นเงินหยวน โดยหญิงบอกนายโปรว่า ฉันไม่มีเงินหยวนเหลือแล้ว พรุ่งนี้ ฉันจะไม่ไปเที่ยวเมืองโบราณอู่เจิ้น เขาเลยคืนเงินหยวนมาให้ 1000 หยวน (ทอนคืนไปอีกเท่าไหร่ ฉันจำไม่ได้แล้ว) ฉันรู้สึกไม่สบายใจ เดี๋ยวจะหาว่า ฉันเป็นต้นเหตุของการทวงเงินคืนหรือเปล่า แต่เงินจำนวนนี้ วันรุ่งขึ้น ก็โดนดึงกลับ เป็นเงินเยน โดยนายโปรบอกว่า ไปญี่ปุ่น มันยุ่งยากในการคิดเงินอะไร ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฉันก็คืนเป็นเงินเยนให้เขาไป เงินเยนของฉันที่แลกมา ก็ต้องลดลงไป แล้วจะพอไหมเนี่ย เฮ้อ! ดูวุ่นวายพิลึก มาครั้งแรกเจอปัญหาที่ดูแล้วไม่สบายใจ แล้วทริปต่อ ๆ ไปคงเข็ดกันไป ความสนุนสนานในการเที่ยวก็คงเกิดขึ้นได้ยากเสียแล้วเนอะ )

วันที่ 8 ก.ค. 57

เช้านี้ เราจะไปเที่ยวเมืองโบราณอู่เจิ้นกัน สนนราคาแพงมากเช่นเคย คยละ 120 หยวน จ้ะ เจ้าของบ้านใจดีมาก ขี่รถตุ๊ก ๆ ไปส่งพวกเราที่เมืองโบราณอู่เจิ้นสองเที่ยว เพราะนั่งได้ครั้งละ 3-4 คน ตามความอ้วนของผู้โดยสาร ห้าห้า

เมืองโบราณ อู่เจิ้น อยู่ใน เมือง ถงเซียง มณฑล เจ้อเจียง ตำบลอู่เจิ้น ตั้งอยู่ริมคลองขุด "ต้าหยุนเหอ" เป็นคลองขุดที่ยาวที่สุดในโลก มีโบราณสถาน โบราณวัตถุมากมาย มีประวัติอารยธรรมนานกว่า 7,000 ปีมาแล้ว เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมเก่าแก่ มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่านสลับกันไปมา มีบ้านเรือนของชาวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีสะพานเล็ก ใหญ่ มากมาย สายน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ รูปทรงของบ้านที่สวยงาม เป็นธรรมชาติและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองของตน จึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนเอง

จากประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ว่า ชาวอู่เจิ้นที่เข้าสอบเพื่อเป็นขุนนาง ที่เรียกว่า การสอบ "เคอจี้" นั้น ชาวอู่เจิ้นเข้าสอบชิงตำแหน่งทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋น ได้มากกว่า 200 คน ขึ้นไป ตั้งแต่แต่สมัยของราชวงศ์สุยถานและราชวงศ์ชิง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชาวเมืองอู่เจิ้น มีระดับการศึกษาดี บุคลากรในตำบลอู้เจิ้นมีคุณภาพทางการศึกษาดีมากทีเดียว

ในศตวรรษที่ 20 ตำบลแห่งนี้ ยังเป็นที่เกิดของบุคคลสำคัญของประเทศจีนหลายคน เช่น เหมาตุ้น ปรมาจารย์วรรณคดียุคปัจจุบัน หยวนตั๋วเฮ่อ หนึ่งในบรรณาธิการที่ทรงอำนาจที่สุดคนหนึ่งในประวัติการรายงานข่าวยุคปัจจุบัน อีกคนหนึ่ง คือ ซุนมู่ซิน จิตรกรที่มีชื่อเสียงของจีน เป็นต้น

ฉันได้ค้นคว้าหาความรู้มาประกอบ เรื่องราวของ เมืองโบราณอู่เจิ้น ต่อไปก็จะเป็นเรื่องการเที่ยวของพวกเรา หลังจากที่เราซื้อตั๋วแล้ว ก็ต้องมีการเข้าแถวเพื่อลงเรือไปเที่ยวในตัวเมืองโบราณ นัดเวลา ให้เที่ยวถึงบ่ายสองโมง จึงกลับที่พัก เพื่อเดินทางต่อไปที่หวงซาน เรามาดูภาพสวย ๆ งาม ๆ ของเมืองโบราณอู่เจิ้นกัน ค่ะ













หลังจากกลับจากเที่ยงเมืองโบราณอู่เจิ้นแล้ว กลับมาถึงที่พัก พวกเราก็ต้องรีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบใหญ่เพื่อเดินทางไปที่หวงซาน กว่าจะถึงที่โรงแรมหวงซาน ก็เกือบทุ่มแล้ว เช็คอินแล้ว พวกเราก็ไปหาร้านอาหารเพื่อทานอาหารมื้อเย็น ปรากฏว่า ไม่เข้าไปสักร้าน เพราะบอกว่าราคาค่อนข้างแพง บางคนแนะไปกินเคเอฟซีกัน แต่ในที่สุดก็มาทานกันที่ร้านของโรงแรม ซึ่งดูราคาแล้ว ก็ไม่แพงมากนัก เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น กำลังรอกับข้าวกัน เช็ง ก็ถามถึงเรื่องการทำบัญชีค่าใช้จ่ายกับนายโปร ปรากฏว่า ตอนนี้ นายโปร น่าจะถูกกดดัน เขาอารมณ์เสีย หน้าตาขึงขัง ตอบว่า ก็ตอบไปแล้ว ว่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ค่าตั๋วเข้าทุกแห่งก็มีราคาให้ แต่เช็งก็ไม่ยอม บอกอยากให้แจงให้ละเอียด ทั้งค่ารถ ค่าโรงแรม แต่ละแห่ง อาสาทำบัญชีให้ด้วย แต่เขาก็ไม่เอา เช็งก็เท้าความถึงสองทริปที่ผ่านไปว่า มีการทำบัญชีแจ้งลูกทัวร์ ทำไมครั้งนี้ จึงไม่ทำ ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็คงร่วมทัวร์ครั้งต่อไปไม่ได้ อะไรประมาณนี้ ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าเขาแดงก่ำ คงโกรธมากพอควร นั่งกดตัวเลขค่าใช้จ่าย เช็งกับหญิงพูดกับเขาเอง ฉัน ติ่ง โก กินข้าวไปด้วยความอึดอัดใจ ส่วนจุ๊บไม่ได้ลงมาทานด้วย เพราะส่วนใหญ่จะไม่ทานอาหารมื้อเย็น ส่วนนายโปร ก็นั่งกดตัวเลข ค่าใช้จ่าย เรียกให้ทานข้าวก็ไม่ทาน พวกเราก็ทานไปเรื่อย ๆ เมื่อฉันอิ่มข้าวแล้ว เหตุการณ์ยังคงตึงเครียดอยู่ ฉันรู้สึกอึดอัดมาก เลยขอตัวขึ้นห้องไปก่อน เพราะไม่รู้จะนั่งให้อึดอัดไปเพื่ออะไร

เวลาผ่านไปไม่นานนัก ฉันก็ถูกตามตัวไปรับทราบ เรื่องการเปลี่ยนโปรแกรมเที่ยว โดยซื้อทัวร์ไปหวงซานสองวัน 1 คืน และตัดหางโจวออก แล้วก็เก็บเงินเพิ่มอีก 200 หยวน เฮ้อ!

วันที่ 9 ส.ค. 57

เช้านี้ หัวหน้าทัวร์ ก็มารับพวกเรา ไปขึ้นรถทัวร์ เพื่อไปยังสถานีนั่งกระเช้า เสียค่าผ่านประตู (ซึ่งคนเยอะมาก กว่าจะได้ขึ้นกระเช้า เป็นระยะทางไกลมากทีเดียว) เสียเงินซื้อบัตรเป็นทอด ๆ อีกสองร้อยกว่าหยวน แล้วยังต้องไปเสียค่าโรงแรมเพิ่ม เพื่อให้เป็นโรงแรมที่ใกล้เข้ามา เราจะได้ไม่ต้องเดินไปโรงแรมไกล

หวงซาน (Huang Shan) เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวอยู่ทางตอนใต้ของมณฑล อันฮุย ของประเทศจีน หวงซานมีชื่อเสียงโด่งดัง เนื่องจาก ทิวทัศน์อันสวยสดงดงามของยอดเขาต่าง ๆ และ หินแกรนนิต ต้นสนบนเขาหวงซาน มีรูปร่างที่แปลกตาแตกต่างจากที่อื่น ๆ ภาพของหมอก เมฆ ที่ลอยละล่องใกล้ยอดเขาสูงชัน เสริมความสวยงามของยอดเขาสูง บริเวณเทือกเขา ยังมีน้ำพุร้อน บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ ดังนั้น ทิวทัศน์ของหวงซาน จึงมักปรากฏอยู่บนภาพวาดของจิตรกรจีน ในปี 2533 องค์การ ยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียน หวงซาน เป็นมรดกโลก

เขาหวงซานประกอบไปด้วยยอดเขาจำนวนมาก หนทางสูงชัน คดเคี้ยว ระหว่างทางบางช่วงมีการทำราวให้นักท่องเที่ยวได้จับ บางช่วงเป็นขั้นบันได ทำให้เดินขึ้นไปสู่ยอดเขาได้ง่ายขึ้น บางช่วงก็ไม่มี พวกเราต้องเดินข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า อย่างไม่ย่อท้อ เพียงเพราะต้องการชื่นชมความสวยงามของเทือกเขาแห่ง หวงซาน อิอิ

ยอดเขาของหวงซานที่มีชื่อเสียง มี 72 ยอด และมีถึง 77 ยอดที่มีความสูงมากกว่า 1,000 เมตร ยอดเขาสูงสุด 3 ยอด เป็นอันดับแรกในหวงซาน คือ 1.ยอดเขา เหลียนหัว (เหลียนหัวเฟิง) มีความสูง 1,864 เมตร 2.ยอดเขากวงหมิง (ยอดเขาสว่าง) สูง 1840 เมตร 3.ยอดเขาเทียนตู่ (เทียนตู่เฟิง แปลว่า ยอดเขาเมืองหลวงแห่งสวรรค์) สูง 1,829 เมตร

เชื่อกันว่า เขาหวงซาน เกิดขึ้นในสมัย มหา ยุคเมโซโซอิก ประมาณ 100 ล้านปีมาแล้ว เกิดจากพื้นก้นทะเลยกขึ้นสูง ต่อมา ยุค ควอเกอร์นารี่ พื้นผิวของเทือกเขา ถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะเป็นเวลานาน จนเกิดเป็นเสาหินขึ้นทั่วไป ต่อมา ก็เกิดป่าไม้ขึ้นบนเสาหินเหล่านั้น

ต้นไม้ พืชต่าง ๆ บนเขาหวงซาน จะแตกต่างไปตามระดับตวามสูงของภูเขา ถ้าต่ำกว่า 1,100 เมตร จะเป็นป่าชื้น ถ้า 1,100-1,800 เมตร จะเป็นป่าผลัดใบ ถ้า 1,800 เมตร ขึ้นไป จะเป็นทุ่งหญ้าตามที่สูง บริเวณเทือกเขา มีพรรณไม้หลากหลายชนิดนานาพันธุ์ ท่านผู้อ่านจะเห็นได้จากรูปภาพที่ฉันและเพื่อนถ่ายรูปมาฝากค่ะ

เมื่อมาถึงบริเวณที่จะขึ้นกระเช้าขึ้นเขาไปช่วงหนึ่ง มัคคุเทศก์ก็จะมีการอธิบายให้ลูกทัวร์ฟังว่า จะไปกันอย่างไร มีที่เที่ยวที่ใดบ้าง (คงประมาณอย่างนั้น ฉันก็แปลไม่ค่อยได้มากเท่าไร อิอิ) แล้วก็ถึงช่วงอันน่าเบื่อ คือการเข้าแถวเพื่อขึ้นกระเช้าไปที่เขาหวงซานช่วงหนึ่ง แถวยาวเหยียด เดินไปเป็นเขาวงกตที่เดียว แค่รอกันขึ้นกระเช้า ก็ปาเข้าไปน่าจะชั่วโมงกว่ามั้ง มาชมภาพกันดีกว่าค่ะ























ทั้งหมดเป็นภาพที่ได้จากวันที่ 8 ซึ่งกว่าจะเดินทางไปถึงที่พัก ก็ชมธรรมชาติระหว่างทางไปเรื่อย ๆ ทิวทัศน์ตรงไหนสวย พวกเราก็ถ่ายรูปกันไป เก็บความสวยสดงดงามของธรรมชาติมาฝากท่านผู้อ่าน และลดความเหนื่อยในการเดินทาง อิอิ

9 ก.ค. 57 เช้านี้ พวกเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสาม เพราะจะออกเดินทาง ตีสามสี่สิบห้า เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ณ จุดชมวิว เตรียมไฟฉาย เป้ ซึ่งต้องใส่น้ำ กล้องถ่ายรูป เสื้อผ้า จิปะถะ เราจะไม่ย้อนกลับมาที่โรงแรมอีกแล้ว เส้นทางที่เราจะไปเที่ยวที่จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นนี้ ไกลหลายกิโล เดินไป หอบไป จุ๊บ หญิง ช่วยกันลุ้น เชียร์กันไป ฉันก็ต้องอดทน ตัดสินใจมาแล้วนี่ ฮ่าฮ่า แต่คุณเอ๋ย เหนื่อยใจแทบขาดจริง ๆ ในที่สุดก็มาถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ทุกคนต่างก็คิดว่า ดวงอาทิตย์น่าจะขึ้นจากด้านไหน ก็ไปรอกันตามจุดต่าง ๆ ฉันไม่ได้ปีนตามจุดเขาหรอก นั่งพักกันบริเวณนั้น จุ๊บก็นั่งด้วย ไม่ไหวจริง ๆ หมดแรงแล้ว ฮ่าฮ่า ขอพักเถอะ เพราะเดี๋ยวยังต้องเดินทางข้ามเขาอีกกี่ลูกก็ยังไม่รู้ ได้แต่เดินตาม ๆ กันไป มัคคุเทศก์ อยู่นำหน้าคน รั้งท้ายคน ปรากฏว่า พวกเราหลายคนก็ไม่ได้ภาพดวงอาทิตย์ตอนค่อย ๆ โผล่ออกจากหลังเขาเหมือนตอนที่ฉันไปดูที่ โบว์โบ ประเทศอินโดนีเซีย ได้เห็นตอนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงแล้ว มาดูภาพถ่ายที่ฉันและกล้องเพื่อน ๆ ของฉันถ่ายกันดูกว่าค่ะ













ระหว่างทางลงจากเขาลูกแล้วลูกเล่า เหนื่อยเราก็พัก ตอนนี้กระจัดกระจายกันไป เช็งกับโก ไปคู่หนึ่ง ฉันกับจุ๊บอีกคู่ หญิงกับติ่ง จุ๋บไม่ได้เอาเป้มา เลยเอากระเป๋าเล็กของฉันใส่เสื้อผ้าด้วยกันมา จึงค่อนข้างหนัก เพราะจุ๊บต้องแบบกล้องใหญ่ บางช่วง หญิงมาช่วยหามด้วย โดยใช้ไม้เท้าที่ทางโรงแรมให้มานั่นเอง ระหว่างทางขากลับ เจอ เจ้าหน้าที่ในอุทยาน เป็นเด็กหนุ่มจีนมีน้ำใจมาก เห็นเราแบกของพะรุงพะรัง อายุก็เยอะ อิอิ เขาเลยมาอาสา หิ้วให้ เลยให้เขาหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าที่จุ๊บต้องหิ้ว เบาแรงไปหน่อย ของฉันไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเป็นเป้ ฉันพอจะคุยกับเขารู้เรื่องดีพอสมควร จึงได้รู้ว่า เขาทำงานอยู่ที่นี่และกำลังเดินทางไปทำงาน เขาชมฉันว่า ภาษาจีนของฉัน สำเนียงชัดเจนมาก อิอิ หน้าบานเลย ไม่เสียแรงที่พ่อให้ฉันเรียนตั้งแต่เด็ก และมาฟื้นภาษาเอาตอนไปเรียนที่ คุนหมิง เลยได้มามากพอควร แต่พอเกษียณไม่ได้ใช้ ก็เริ่มเข้าหม้ออีกแล้ว ห้าห้า

เขาช่วยหิ้วมาได้ไกลพอสมควร จนถึงที่ทำงานของเขา ถามพวกเราว่าจะจ้างคนช่วยหิ้วส่งไปให้ถึงตรงนั่งกระเช้าลงไปไหม เขาจะติดต่อให้ ก็เป็นน้ำใจ ได้ราคาค่าหิ้วลงไป ดูเหมือนใบละ 80 หยวน ต่อใบ จุ๊บรีบตกลง อิอิ แล้วใจป้ำ คงรักน้ำใจของเด็กหนุ่มคนนี้ เลยให้ค่าทริปเด็กหนุ่มไป 100 หยวน ซึ่งก็สมกับความมีน้ำใจของเขา คนทำดีย่อมได้ดีเสมอ จ้ะ

พวกเรามาถึงช่วงที่จะเป็นทางไปขึ้นกระเช้า ก็เจอพรรคพวกเราที่พลัดพรากจากกัน อิอิ หญิง ติ่ง โก และเช็ง เลยได้รวมกลุ่ม เดินกันอย่างกระปลกกระเปลี้ย หมดแรง โดยเฉพาะฉัน อาการหนักกว่าเพื่อน เพราะแก่ที่สุด ห้าห้า

เรามาถึงที่โรงแรม กินอาหารเที่ยงกันที่ร้านอาหารของโรงแรมเหมือนเดิม ตามตัวนายโปรลงมาทานข้าวด้วย ยังไง ก็ต้องรักษาน้ำใจกันไว้ เพราะยังต้องอยู่ร่วมกัน เที่ยวด้วยกันที่ญี่ปุ่นต่อไป อิอิ

ประมาณเที่ยงครึ่ง เราก็ออกเดินทางจาก หวงหลง เพื่อกลับเซี่ยงไฮ้ มาถึงเซี่ยงไฮ้ รถติดมาก ทำให้เสียเวลามาก ฝนก็ตกปรอย ๆ คนขับรถบอกว่า ไม่สามารถไปจอดรถหน้าโรงแรมที่เราจะไปพักได้ เราจึงต้องลากกระเป๋าไปยังโรงแรมที่จะพักประมาณอีก 200 เมตร มาถึงโรงแรม ก็ค่ำแล้ว พวกเราก็กิน มาม่า แทน อาหารจีนที่เราเบื่อมากแล้ว

11 ก.ค. 57 วันนี้ เราต้องอำลาเมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อไปเที่ยว ฮอกไกโด อีก 11 วัน เช้านี้ พอมีเวลาช่วงเช้า พวกเรา 5 คน ก็ออกไปเดินเที่ยวถนนคนเดิน เพื่อเก็บภาพสวย ๆ ของถนนคนเดิน ไปเป็นที่ระลึก ค่ะ



เรากลับมาถึงโรงแรมที่พัก เตรียมกระเป๋าเดินทางไปสนามบิน โดยต้องไปซื้อตั๋วรถไฟเหมือนตอนขามา ประมาณ 9.30 น. ก็เริ่มลากกระเป๋ากันไป ถึงตอนที่บันได ติ่ง โก ก็ต้องช่วยพวกผู้หญิงยกขึ้นบันไดไป

ฉันขอจบเรื่องการท่องเที่ยวในเมืองเซี่ยงไฮ้ ไว้เพียงแค่นี้ นะคะ ทริปเซี่ยงไฮ้ เมืองโบราณ โดยเฉพาะหวงซาน คงจะจารึกอยู่ในความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือนอย่างแน่นอน เพราะเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายฉันว่า เริ่มชราภาพลงไปมากน้อยเพียงใด ห้าห้า อยากจะขอแนะนำว่า ถ้าจะไปเที่ยว หวงซาน ไปเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม ยังสาว จะได้ไม่เหนื่อยมาก และสามารถชื่นชมกับความงามของธรรมชาติที่สร้างสรรค์หวงซาน มาให้เราชม อย่างน่ามหัศจรรย์ไปกับขุนเขาใหญ่น้อยอันสลับซับซ้อน ลึกลับ เมฆหมอกที่ปกคลุมยอดขุนเขาแต่ละลูก และอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ความสวยงามที่แอบแฝงไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง แล้วพบกันใหม่ที่ฮอกไกโด ค่ะ




Create Date : 23 สิงหาคม 2557
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2558 15:46:05 น. 8 comments
Counter : 2114 Pageviews.

 
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
อาจารย์สุวิมล Travel Blog

ชอบ...คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตความสุขในโลกกว้าง

ถ้าน้องซี คงบอกว่า คืนความสุขประชาชน...ร้องเพลงได้ด้วย 555


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 1 กันยายน 2557 เวลา:8:56:25 น.  

 
ขอบคุณนะคะที่โหวตให้น้องซีค่ะ ^^ กิจกรรมน้องซีเยอะมากๆ เลยค่ะ อิอิ


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 1 กันยายน 2557 เวลา:16:18:05 น.  

 

อุ้มแวะมาเกะล้อเที่ยวด้วยคนค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 9 ธันวาคม 2557 เวลา:22:20:40 น.  

 
ตามอาจารย์มาเที่ยวด้วยคนค่ะ รอไปเที่ยวฮอกไกโดอยู่นะคะ ^^


โดย: a whispering star วันที่: 28 เมษายน 2558 เวลา:9:46:26 น.  

 
สวัสดีค่ะ อาจารย์
บุ๊งดีใจมาก ๆ ค่ะที่ได้เจอและได้ถ่ายรูปร่วมกับอาจารย์ในงาน
สนุกสนานมากมายค่ะ ปีหน้าเราเจอกันใหม่นะคะ :)


โดย: Close To Heaven วันที่: 28 เมษายน 2558 เวลา:15:06:04 น.  

 
แวะมาเที่ยวค่ะอาจารย์
ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันค่ะ




โดย: ดาริกามณี วันที่: 28 เมษายน 2558 เวลา:18:01:21 น.  

 
น่าอิจฉา เที่ยวกระจายเลยนะคะ อ.


โดย: ดา ดา วันที่: 2 มิถุนายน 2558 เวลา:11:34:17 น.  

 
เป็นทริปเซี่ยงไฮ้ที่ประทับใจอุ้มมากเลยค่ะ
อาจารย์บันทึกได้น่าสนใจ
ได้น่าตามไปมั่งจังค่ะ
เทคแคร์นะคะ...หลับฝันดีค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 8 มิถุนายน 2558 เวลา:21:04:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space