เที่ยว อูรุมูฉี มัสยิด ต้าบาซาร์ (ตอนที่ 2)
วันที่ 12 ตุลาคม 59
เช้าวันนี้ตื่นสายกันทุกคน เพราะเมื่อคืน กว่าจะได้นอน ก็น่าจะ ตี 4 เห็นจะได้ ดังนั้น ตอนเช้า เราก็ต้มมาม่า ทานกันตอนเช้า ก่อนที่จะออกจากโรงแรมเพื่อไปเที่ยว ประมาณ 10 โมงได้แล้ว
ที่อุรุมูฉี เรามีเป้าหมายในการเที่ยวแค่สถานที่เดียว ก็คือ มัสยิด
ต่าบาซาร์ เนื่องจาก เย็นนี้เราต้อง โดยสารรถบัสนอนเพื่อเดินทางไปเมือง ปู่เอ้อจิ้น โดยต้องออกจากที่โรงแรมนี้ในเวลา บ่ายสอง
ดังนั้น เมื่อลงมาถึงเคาน์เตอร์ของโรงแรมแล้ว ก่อนอื่น ก็ต้องไปเจรจากับผู้จัดการของโรงแรมนี้ เกี่ยวกับเรื่อง ปัญหาการจ่ายเงินเมื่อคืนนี้ ผลปรากฏว่า ผู้จัดการซึ่งเป็นผู้ชาย คิดว่า เมื่อเช้านี้ เขาคงมาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จึงคืนเงินให้พวกเรา 600 หยวน ตามสัญญา ตาคนนี้ ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เหมือนกัน ได้เงินแล้ว พวกเราก็ออกจากโรงแรมไป เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อหาทางไปเที่ยวที่ มัสยิด ต่า บาซาร์ ตามที่จุกหา สถานที่เที่ยวมา เดินมาถึงป้ายรถเมล์ สอบถามคนที่คอยรถเมล์ด้วยกัน ได้ความว่า ต้องขึ้นรถเมล์ เบอร์ 63 ไป พวกเราก็ไปตามที่เขาบอก
ก่อนจะไปเที่ยวชมสถานที่ดังกล่าว เรามารู้จัก เมือง อูรูมูฉี กันสักเล็กน้อย ค่ะ
เมือง อูรูมูฉี (URUMQI) เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองของ มณฑล ซินเกียง ตั้งอยู่แถบเทือกเขา เทียนซาน มีความสูง 900เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มีประชากร ประมาณ 3.5 ล้านคน เป็นเขตปกครองตนเองที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ที่สุด พลเมืองร้อยละ 70 นับถือศาสนาอิสลาม เป็นชนชาติที่มีภาษา หนังสือท้องถิ่น ใช้เป็นของตนเอง (ภาษาเว่ยอู๋เออร์) ดังนั้น เมืองนี้ ป้ายร้านค้าและป้ายสถานที่ต่าง ๆ จึงมีสองภาษากำกับไว้ คือ ภาษาจีนกลาง และภาษาเว่ยอู๋เออร์ เขียนเหมือนภาษาอาหรับที่เราเคยเห็นนั่นเอง
อุรุมูฉี เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมด้วย ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน มามากกว่า 2,000 ปี เป็นเส้นทางเชื่อมโลกตะวันตกกับโลกตะวันออกเข้าด้วยกัน มีความยาวกว่า 7,000 กิโลเมตรส่วนใหญ่ของเส้นทางสายไหม จะอยู่ที่มณฑลซินเกียง ที่เรียกว่า เขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์ พื้นที่ต่าง ๆ มีทั้งส่วนที่ทุรกันดาร มีทั้งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ มีที่ราบสูง และเทือกเขาที่สูงและกว้างใหญ่ ปกคลุมด้วยหิมะ ประชากร เป็นชาวอุยกูร์ นับถือ ศาสนาอิสลาม จึงมีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากคนจีนในเขตอื่น ๆ
รถประจำทาง พาเราไปถึงป้ายที่จะต้องลง ตามที่เราถามข้อมูลมาแล้ว พวกเราก็ลงจากรถ (บนรถโดยสาร จะมีตัวหนังสือวิ่งบอกไว้ว่าถึงสถานีอะไรด้วย ซึ่งเราถามมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ลงจากรถโดยสาร แล้วก็เดินคลำหาทางเพื่อไปยังมัสยิด แห่งนี้ โดยการถามคนเดินทางที่เราผ่าน บางครั้งมีตำรวจอยู่ตามทางที่เราเดินไป ก็ถามอีก ใช้ปากให้เป็นประโยชน์ จริง ๆ และในที่สุดพวกเราก็สามารถ มาถึงที่นี่ได้ ห้าห้า
มัสยิด นี้ ภายใน มีร้านค้ามากมายให้ช้อปปิ้งด้วย มีสถานที่ที่จัดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปด้วย ของที่ขาย มีมากมาย โดยเฉพาะลูกเกด ขนมปังแผ่น ๆ ท่านผู้อ่านมาชมจากภาพที่ฉันนำมาให้ชม ค่ะ
เดินเที่ยวอยู่ใน มัสยิด ประมาณเกือบสองชั่วโมงได้ หลังจากถ่ายรูปกันตามจุดต่าง ๆ ที่เราเห็นว่างามแล้ว ก็แวะไปชมร้านค้า ซึ่งส่วนใหญ่ขายผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด ลูกวอลนัส ลูกพรุน พุทราจีน ลูกอัลม่อน เป็นต้น ฉันก็ซื้อลูกเกดสีดำ ลูกใหญ่มาก ราคาชั่งละ 60 หยวน จาก 70 หยวน ต่อได้แค่นั้น น้องหมัย ก็ซื้อพร้อมฉัน คนละ 1 ชั่ง เขาตักบรรจุใส่ถุงซีนให้ เรียบร้อบ แต่ต่อมา เรามาซื้อ ที่คาร์สือ ถูกกว่าด้วย ได้ของเยอะกว่าด้วย สงสัยโกงตาชั่ง แน่นอน ทุกคนลงความเห็นเช่นนั้น
ได้ช้อบปิ้งและซื้ออาหารมื้อกลางวัน รวมไปถึงมื้อเย็นด้วย ก็ขนมปังแผ่น ๆ และขนมอื่น ๆ นั่นแหละที่เห็นในภาพ โดยใช้เงินกองกลางในการซื้อของกินครั้งนี้ (เก็บครั้งที่ 1 คนละ 1,000 หยวน) จากนั้น พวกเราก็เดินหาป้ายรถเบอร์เดิม (63 ) เพื่อเดินทางกลับที่พัก
มาถึงที่พัก ฉันถามผู้จัดการโรงแรม คนนั้นว่า เรียกแท็กซี่ให้ได้ไหม เขาบอกว่า เรียกมาไม่ได้ เพราะที่นี่ แท็กซี่จอดไม่ได้ ต้องข้ามฝั่งไปโบกแท็กซี่ แล้งน้ำใจจัง แล้วจะข้ามไปได้อย่างไร กระเป๋า ก็เยอะแยะ ก็พอดี มียามที่หน้าประตูโรงแรม บอกว่า อยู่ฝั่งนี้ ก็โบกเรียกรถแท็กซี่ได้ พวกเราก็ลากกระเป๋าโบกรถแท็กซี่ทางฝั่งโรงแรม ซึ่งตาผู้จัดการบอกว่า ค่ารถที่จะไปสถานีรถบัสไปปู่เออร์จิ้น ราคาประมาณ 10 หยวน แต่ปรากฎว่า ได้แต่รถส่วนบุคคล เอาคันละ 50 หยวน แต่ต่อได้ 40 หยวนต่อคัน เราจำเป็นต้องไป เพราะเรียกหลายคันแล้ว เขาไม่ไป รถข้างหลัง ก็บีบแตรไล่ จึงจำเป็นต้องให้โขกราคา คันละ 40 หยวนไปส่งท่ารถบัส ที่อูรูมูฉี
เมื่อแท็กซี่ไปส่งพวกเราที่ท่ารถแล้ว ก็เข้าไปถึงข้างในไม่ได้ เพราะกระเป๋าทุกใบต้องเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ก่อน พวกเราก็ต้องลากกระเป๋าไปเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ โดยมี จุก นุ่น และ เอก ช่วยคนสูงอายุอย่างฉันและวัชร์ด้วย อิอิ มาครั้งนี้ ทุกคนน่ารักมาก สมัครสามัคคีกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
หลังจากที่เข้าไปในที่ซื้อตั๋วโดยสารแล้ว ฉันกับน้องหมัย ก็ไปเข้าแถวที่ช่องซื้อตั๋ว เพื่อที่จะเดินทางไปที่ เมือง ปู่เออ จิ้น และต่อรถไปยังอุทยาน คานาสือ เป้าหมายหลักของการมาเที่ยวครั้งนี้ โดยหมัย เป็นผู้เตรียมเงินที่จะจ่าย ฉันเป็นคนเจรจาซื้อตั๋ว จ้ะ ราคาตั๋วรถบัสนอน คนละ 185 หยวน สำหรับเตียงล่าง จ้ะ เพราะเราบอกเขาว่า เราต้องการเตียงล่าง ราคาเตียงบนน่าจะถูกกว่าเตียงล่าง แต่เราไม่ได้สนใจว่า ราคาเท่าไร เอาความสะดวกสบายไว้ก่อน
หลังจากได้ซื้อตั๋วรถไฟแล้ว ซึ่งเวลารถบัสออก คือ 20.30 น. เรามีเวลาอยู่ที่สถานีรถบัสน่าจะ 6 ชั่วโมงได้ ฉันและเพื่อน ๆ จึงมีโอกาสออกไปชื่นชม และดูสภาพชีวิตของ ชาว อูรูมูฉี รอบ ๆ สถานีรถบัส โดยต้องเอาตั๋วและพาสปอร์ตติดตัวไปด้วย เพื่อแสดงให้ทหารที่ตรวจคนเข้าออก ของที่เราซื้อก็ต้องผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ตอนขาเข้าไปในสถานีอีกเหมือนกัน การตรวจเข้มงวดมากเลย
นุ่น จับคู่กับจุกไปเดินเที่ยวและซื้อของกิน ฉันกับวัชร อีกคู่ หลังจากเดินอยู่ในสถานี ซึ่งก็มีร้านค้าอยู่เหมือนกัน แต่น้อย พวกเราก็อุดหนุนร้านค้า ซึ่งเป็น อาตี๋ หนุ่มใจดี คุ
ยกับฉันถูกคอดี พวกเราซื้อขนมร้านเขาหลายคน ทั้งใช้เงินกองกลางและเงินส่วนตัวซื้อด้วย
มาชมรูปที่ฉันรวบรวมมาให้ชม ค่ะ
เมื่อถึงเวลาประมาณ 19.30 น. ทางสถานี ก็เริ่มให้ผู้โดยสารออกไปขึ้นรถบัสนอนได้ พวกเราก็ลากกระเป๋ากันออกจากช่องทางออก แล้วก็ต้องเดินหารถที่เขาจะไป เมืองปู่เอ้อจิ้นด้วย ฉันใช้วิธีถามคนขับที่เจอคนแรก เขาเลยชี้ให้และบอกว่าคันที่เท่าไหร่ จะได้ไม่ต้องถามมันทุกคันไงล่ะ ห้าห้า พวกเรานำกระเป๋าไปให้เด็กรถ ยกเข้าใต้ท้องรถ เหลือแต่ของกินและของสำคัญเท่านั้นที่เอาติดตัวขึ้นรถไป ขึ้นไปแล้ว คนขับรถก็แจกถุงดำคนละใบให้ใส่รองเท้าที่เราสวม เดินขาเปล่าไปยังเตียงนอนของเรา ฉันกะด้วยสายตา รถบัสคันหนึ่งมีเตียงนอนทั้งบนและล่างน่าจะประมาณ 20 กว่าเตียงนิด ๆ เท่านั้น
ความไม่สะดวกของรถบัสนอน คือ ไม่มีห้องน้ำ จ้ะ เวลาปวดฉี่ ต้องอดทนไว้ รถมีการหยุดพักรถนานเป็นชั่วโมงอยู่หนึ่งครั้ง ผู้โดยสาร ก็ลงจากรถ ไปหาที่เหมาะ ๆ แล้วถ่ายทุกข์ พวกเรารวมทั้งฉันด้วย ก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ห้าห้า
โปรดติดตามตอนที่ 3 ต่อไปนะคะ
มีสาวน้อยอยู่คนเดียวที่พาผู้สูงวัยไปเที่ยวนะเนี่ยะ..
วาว..ได้ขึ้นรถเมล์ นอนบนรถบัส...น่าสบายแฮ่ะ..
จะแวะมาอ่านต่อนะคะ..