พลังแห่งจิตใต้สำนึก ความคิดมีแรงดึงดูดจริง ๆ เราเจอกับตัวเองมาแล้ว
ตอนนี้กำลังอินเกี่ยวกับเรื่องจิตใต้สำนึกล่ะ หนังสือที่เช่าจาก TK Park มาอ่านทั้งหมด ก็มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึกหมดเลย แต่มีเล่มนึงที่เราอ่านจบแล้วเราอยากซื้อมาเก็บติดบ้านไว้อ่านบ่อย ๆ
คู่มือชีวิต ผู้เขียน ภูเบศร์ ล้ำคุณากร
กับคำโปรยที่ว่า
หลายคนบอกว่า ก็เพราะโชคชะตาถูกกำหนดเอาไว้แล้วตั้งแต่เราเกิด ว่าเราจะโชคดีหรือโชคร้าย จะเจริญก้าวหน้า หรือเป็นคนจนธรรมดา ๆ คนที่บอกและเชื่อแบบนั้นก็เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่า ทุกอย่างในชีวิต เราเป็นผู้กำหนด ก็ในเมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิตนี้แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่โชคชะตาจะเป็นผู้กำหนด?? คำตอบเดียวเท่านั้นก็คือ ตัวคุณ กำหนดชีวิตของคุณเอง แค่เพียงรู้จักชีวิตให้มากขึ้น แล้วทุกอย่างที่ต้องการจะอยู่ในมือคุณ
เราชอบหนังสือเล่มนี้นะ เป็นหนังสือที่เราค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้เข้าใจยาก แต่เราอยากจะซึมซับและพยายามฝึกฝนให้จิตใต้สำนึกเราทำงานแบบเค้าบ้าง
จริง ๆ ทั้งเล่มก็จะสอนให้เราคิดบวก คิดอย่างแน่วแน่ จริงจัง มีจุดมุ่งหมาย พร้อมกับใส่ความรู้สึกลงไปด้วย เพราะความคิดก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ความคิดมีแรงดึงดูด อธิบายเหตุผล เบื้องหลังให้เราเชื่อว่าทำไมถึงต้องคิดแบบนั้น แล้วก็อิงกับศาสนาพุทธไปด้วยในตัว สอนเรื่องการทำสมาธิ การปล่อยวาง การสำนึกรู้คุณ มันแตกต่างจากหนังสือ The secret ของฝรั่ง อธิบายในเชิงพุทธมากกว่า ไม่ใช่สักแต่ว่าขอกับจักรวาล คิดว่าทุกอย่างมีพร้อม สมบูรณ์ เพียงพอกับทุกคน จะว่าไป เราก็อ่าน The secret มาหลายภาคเหมือนกัน
เราก็เพิ่งรู้ตัวเองว่าเราชอบเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกอยู่มากนะ
ตอนเราอ่านหนังสือ The Secret เนี่ย เค้าก็บอกเรื่องความคิดมีแรงดึงดูดใช่มั้ย พออ่านจบ เราอยากไปสวิส เราก็ลองหลับตา นึกถึงภาพในประเทศสวิส แล้วก็เชื่อพร้อมกับรู้สึกว่า ชีวิตนี้ซักวันนึง เราจะได้ไปประเทศนี้ฟรี (คือเราไม่คิดจะทุ่มเงินหลายหมื่นไปละลายกับการเที่ยวต่างประเทศอยู่แล้ว แล้วเราก็มุ่งมั่นเล่นเกมหลาย ๆ อย่างเพื่อจะทำให้ไปไปต่างประเทศได้ โดยจ่ายเงินเยอะที่สุดที่เราจ่ายคือค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากรางวัลเท่านั้น)
อีก 2-3 ปีต่อมา เราได้ไปสวิสจริง ๆ 1 อาทิตย์เต็ม ๆ โดยไม่เสียเงินซักบาทจากการสุ่มรายชื่อ ที่เราไปลงทะเบียนเล่นเกมส์!!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ความคิดมีแรงดึงดูดจริง ๆ ซึ่งกรณีของเราเป็นกรณีศึกษาได้นะ เพราะถ้าเป็นกรณีคนที่เสียเงินไปเอง มันเป็นจริงได้ง่ายอยู่แล้ว เพราะมันขึ้นอยู่กับเราโดยแท้ แต่กรณีเรา หลายคนก็อาจจะคิดว่าขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่สำหรับเรา มันก็ขึ้นอยู่กับเราที่ดึงดูดมันหลังจากอ่านหนังสือ The Secret จบ
คือเราเป็นคนชอบวิวหลังคาสีส้ม ๆ ที่ Prague แบบนี้มาก
แล้วดูเมือง Bern ในสวิสที่เราได้ไปสิ ไม่ได้ต่างกันเลย แถมน้ำในแม่น้ำยังสวยกว่าด้วยเพราะมันเป็นสีเขียว
มีอีกนะ เราจำได้ว่าตอนเราดูซีรี่ย์เกาหลีแรก ๆ เนี่ย เราอินมากกก เราอยากไปตามรอยซีรี่ย์มาก โดยเฉพาะเรื่อง Coffee Prince ที่เราเล่าแล้ว เล่าอีกว่าเราอินกับเรื่องนี้สุด ๆ ดูแบบไม่หลับไม่นอน 2 รอบติดกัน อินจนอยากไปเกาหลีมาก ๆ ไปเป็นเดือน ๆ เลย แต่เราก็ไม่ได้ไป
แล้วจากนั้นอีกประมาณปีครึ่ง เราได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับเกาหลี 2 ที่นั่งจากการสุ่ม (อีกแล้ว) แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ไปนะ เพราะมันไม่ได้มาพร้อมที่พักและอาหาร เลยขายถูก ๆ ไป
แต่ก็ได้ไปจริง ๆ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่เราเดินทางคนเดียว เที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิต ดูสิ บทจะเที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิตก็เที่ยวมันต่างประเทศที่ไม่มีใครใช้ภาษาอังกฤษซะด้วย ตามไปอ่านได้ที่กรุ๊ปบล็อคนี้นะ เอาให้อ่านตั้งแต่บทแรก ไล่ไปเป็นซีรี่ย์ 14 ตอนจบมันไปเลย (จริง ๆ ควรจะเป็น 15 เนอะ เพราะเริ่มอันแรกเป็น 0)
เที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิตที่ "เกาหลี" กับบันทึกร่วม 40 หน้า เราว่า...มันยังน้อยไป
จริง ๆ ก่อนหน้าที่เราอ่านหนังสือพวกนี้ เราลองมาคิดดู มันก็เกิดกับเราเหมือนกันนะ อย่างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เรากำลังจะซื้อมือถือใหม่ แล้วอยากได้รุ่นนึงมาก เห็นโฆษณาบนรถไฟฟ้าก็ยิ่งอยากได้ กะว่าเดี๋ยวภายในเดือน 2 เดือนนี้แหละจะไปถอยมา
แล้วพอดี เราได้มือถือจากการขอเพลงทางวิทยุ รุ่นนี้เป๊ะเลย แต่คนละสีที่เราจะไปถอยมา ไม่น่าเชื่อเลย เพราะเราไม่รู้มาก่อนว่ามันมีเล่นเกมชิงมือถือ!! เราก็เพิ่งรู้ตอนที่ทางทีมงานเค้าโทรมาเนี่ยแหละ เหมือนกับว่าเราโทรไปขอเพลงหน้าไมค์ เค้าก็จะเก็บรายชื่อทุกคนเอาไว้ แล้วสิ้นเดือนก็จับสลาก 1 คนได้มือถือรุ่นนี้ แล้วตอนเค้าประกาศรายชื่อ เราก็ยังนอนปิดมือถืออยู่เลย จำได้ว่าวันนั้นลาพักร้อน แล้วเราเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดเลยลานอนพัก ตื่นเที่ยง แต่พอดีคนที่ออฟฟิศเค้ามาแซวในวันรุ่งขึ้นว่าโชคดีจังเลยได้มือถือด้วย เพราะเค้าประกาศชื่อเราหน้าไมค์ เราก็เอ๋อไปเลย มือถืออะไรเหรอ เค้าก็ตกใจว่าเราไม่รู้เรื่องเลยเหรอ 5555
อันนี้อาจจะเป็นชิงโชคน่ะนะ ก่อนหน้านั้นอีก ตอนเราเป็นเด็กมัธยม คืนนั้น เราอยากกินข้าวมันไก่มาก แต่บ้านเราแทบไม่เคยซื้อมากินเลย เพราะมันไม่มีประโยชน์แล้วก็อ้วนด้วย แล้วมันดึกแล้ว ร้านก็ปิดแล้ว แล้วเราไม่กินข้าวเย็นด้วย (ตอนนี้ก็ไม่กินนะ กินผลไม้หรือน้ำเต้าหู้แทน เพราะเป็นคนนอน 3 ทุ่มไง ไม่ค่อยหิว) ปรากฏว่าเช้าอีกวันเป็นวันเสาร์ ข้างหน้าเค้าซื้อข้าวมันไก่มาฝาก เหลือเชื่อมั้ยล่ะ
แต่เรื่องกินพวกนี้เกิดกับเราบ่อยนะ คือบ้านเราเนี่ย หม่าม้าจะทำข้าวเช้าให้กินทุกเช้าตั้งแต่อนุบาลยันตอนนี้ 30 ก็ยังตื่นมาทำ ลูกเปลี่ยนที่ทำงานทีนึง ก็เปลี่ยนเวลากินข้าวเช้าทีนึง ก่อนหน้านี้เราทำงานสาย ออกจากบ้าน 9 โมง หม่าม้าก็ตื่นมาทำได้สาย ตอนนี้ ออกจากบ้าน 6 โมงครึ่ง เค้าก็ตื่นมาทำตี 5 ครึ่ง ไม่รู้ล่ะ ลูกบ้านนี้ต้องได้กินข้าวเช้าก่อนก้าวออกจากบ้านเสมอ สมัยเรียนก็จะบอกว่าพรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไร แต่พอทำงานก็ไม่ได้บอกว่าอีกวันอยากกินอะไร กินอะไรก็ได้ ยังไงก็ต้องมีผักอยู่แล้ว (เพราะหม่าม้ารู้ว่ามื้อกลางวันเราจะไม่ค่อยได้กินผักหรอก เพราะเรากินผักได้แค่ไม่กี่อย่าง เผ็ดก็ไม่กิน เลยคงกินได้แค่ก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ผักแล้วก็ไม่ปรุง 555)
แล้วบ่อยครั้งมาก ที่เราคิดก่อนนอนว่าเราจะอยากกินอะไร แล้วเราก็ไม่ได้บอกหม่าม้า ปรากฏว่า สิ่งที่เราคิด มันคือข้าวเช้าของอีกวันจริง ๆ
หนังสือของบัณฑิต อึ้งรังษีทุกเล่ม เราอ่านแล้วเราชอบมากเลยนะ อ่านแล้วฮึกเหิม มุ่งมั่น มั่นใจ มีความพยายามในการคิดและทำให้ไปถึงสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้ เรามีหนังสือของเค้าหลายเล่มเลยทีเดียว สั้น กระชับ ได้ใจความ ซึ่งเป็นหัวใจของหนังสือบัณฑิตทุกเล่ม อย่างเล่มล่าสุดที่เราอ่าน
เชื่อมั่นในตน 2 ตอน ประกาศความเป็นตัวตน
ก็จะสอนให้คิดบวก แถมคิดให้เป็นรูปเป็นร่าง เขียนออกมาเลยว่าอยากทำอะไร อยากได้อะไร แล้วก็ลงรายละเอียดและกำหนดระยะเวลาไปเลย เวลามีใครมาถามว่าอนาคนอยากทำหรืออยากเป็นอะไร เราจะไม่มีการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ คิดคำตอบ เราจะสามารถตอบออกมาได้ทันทีเหมือนกับที่เราถามว่าเมื่อเช้ากินอะไรมาอย่างนั้น
ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน คิดถึงมันตลอดเวลาอย่างไม่มีความคลางแคลงใจ แล้วพยายามทำทุกวิธีทางให้ไปถึงเป้าหมายนั้น มันจะมีแรงดึงดูด คนหรือสถานการณ์ที่ร่วมเปิดทางให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นในที่สุด
เวลาเรามีเป้าหมายที่เกินฝัน อย่าไปบอกคนอื่น เพราะคนอื่นจะเยาะเย้ยและทำให้เราหมดกำลังใจและล้มเลิกกับความคิดนั้น ๆ ในที่สุด (อีเรื่องทำให้คนอื่นหมดกำลังใจเนี่ย คนเราชอบนักล่ะ พวกสัญชาตญาณแมลงวันเนี่ย เป็นยังไง อยู่ในย่อหน้าถัดไป)
ความคิดก็มีระยะเวลา ไม่ใช่ว่าคิดว่าจะถูกรางวัลที่ 1 ก่อนวันหวยออก มันก็คงจะยากซักหน่อย แล้วความคิดเราต้องชัดเจน ไม่แปรปรวนไปตามกระแสสังคม เราเคยอ่านหนังสือเล่มแรก ๆ 30 วิธีเอาชนะโชคชะตา
เค้าบอกให้เราคิดบวกและชัดเจนทุก ๆ วัน ถ้าเราคิดแบบนั้นได้ในทุก ๆ นาที ทุก ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน 21 วัน ทัศนคติเราจะเปลี่ยนได้
เราว่ามันยากเลยนะ เพราะเคยทำอยู่ แต่ว่าให้คิดแบบนั้นทุก ๆ นาทีมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเคยอ่านมาว่า ใน 1 วัน คนเราจะคิดเรื่องประมาณ 6 หมื่นเรื่อง จริง ไม่จริงไม่รู้ แต่รู้ว่าเกิน 1 พันเรื่องแน่นอน เพราะจิตเราไวกว่าแสง วินาทีนี้คิดถึงเพื่อนอีกฝั่งของโลก อีกวินาทีนึงมาบ่นเพื่อนร่วมงานก็เป็นได้
แถมสมัยนี้มี internet เข้ามาทำให้คนเราฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม ยิ่งเราอ่านข่าวและอยู่หน้า facebook เยอะเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งฟุ้นซ่านเรื่องชาวบ้านที่เรารู้จักและไม่รู้จักมากขึ้นเท่านั้น เราไม่เคยอยู่กับตัวเองเลยเวลาเราอยู่หน้าคอม แล้วส่วนใหญ่เรื่องที่เรา ๆ ท่าน ๆ คิดก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น หมั่นไส้ อิจฉา โกรธ เศร้า หดหู่ แค้น เครียดโดยไม่รู้ตัว พยายามกลับมาคิดบวกก็เผลอลืมตัวไปครึ่งวันแล้ว แฮ่
กลับมาที่หนังสือคู่มือชีวิต เราชอบเรื่องนึง (ในหลายเรื่อง) ของหนังสือนะ เค้าบอกให้เรามีสัญชาตญาณของผึ้ง อย่าไปมีสัญชาตญาณเหมือนแมลงวัน
เราจะรู้กันว่า ผึ้งนั้น เสาะแสวงหาแต่สิ่งสวยงาม พวกดอกไม้นานาพรรณ แล้วพวกมันยังช่วยผสมเกสร สร้างสิ่งสวยงามเพิ่มให้กับโลกนี้ ให้โลกนี้สวยงามน่าอยู่ขึ้น
ส่วนแมลงวันนั้น เสาะแสวงหาแต่สิ่งโสมม ไม่ว่าจะเป็นกองอึ กองขยะ ของเน่าเหม็น แถมพวกมันยังเอาเชื้อโรคต่าง ๆ แพร่ให้กับคนและสัตว์ในทุกที่ ๆ มันไปอีกต่างหาก
การทำตัวเหมือนผึ้งก็คือ ให้ความสำคัญกับสิ่งดี ๆ ในคน ๆ นั้น เพราะทุกคนอยู่ได้ด้วยความภูมิใจในตนเอง ทำให้เค้าเรับรู้ว่าเค้าป็นคนมีคุณค่า มีความสำคัญ ฝึกมองข้อดีของผู้อื่น จะทำให้จิตเราสูงขึ้น ได้บุญด้วยเพราะทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกดีกับตัวเอง
อย่าทำตัวเหมือนแมลงวัน ที่จะจ้องแต่จับผิด นินทา วิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ ซึ่งการทำอย่างนั้น ทำให้จิตเราลงต่ำ มีแต่ความรุ่มร้อน สกปรก ไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย
พอเราอ่านถึงตรงนี้ เราก็คิดถึงน้องคนนึงที่ไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน เค้าเพิ่งเรียนจบ ได้ทำงานบริษัทอันดับ 1 ในสายงานของเค้า มีการเลี้ยงตอนเย็นเป็นระยะ ซึ่งเค้าไม่อยากไปเลย แต่ก็ต้องไปบ้างเพื่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน แต่เค้าบอกว่า ไปแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาไปนินทา เม้าถึงคนโน้น คนนี้ แถมจิตเรายังดูดซับเรื่องพวกนี้ไว้ในจิตใต้สำนึก ขนาดตื่นมาเช้าอีกวัน บางเรื่องในวงสนทนาเมื่อคืนยังแว้ปขึ้นมาตามหลอกหลอนเราอยู่เลย ทำให้เราเสียสมาธิ ฟุ้งซ่าน ทำให้จิตเราขุ่นมัว
เราก็ได้แต่อนุโมทนาบุญกับน้องเค้าไปที่น้องเค้าคิดได้แบบนี้ เพราะกว่าเราจะคิดได้(บ้าง ไม่ได้บ้าง) เราก็ต้องทำงานมาตั้งหลายปี กว่าเราจะมีสติคิดได้ถึงความสกปรกของการนั่งเม้า นั่งนินทาเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ดารา นักการเมือง ฯลฯ
ตอนนี้ ขนาดนั่งกินข้าวกลางวันในกลุ่มสาว ๆ ก็หนีไม่พ้นเม้าเรื่องพวกนี้ ซึ่งหลัง ๆ เราก็พยายามไม่เออ ออ ไม่เข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ต่อความยาว สาวความยืด แต่ก็ยังต้องนั่งกินในกลุ่ม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะทำตัวแปลกแยกก็ใช่ที่ แต่เราก็รู้แหละ ถ้าเรานั่ง ๆ อยู่ในวงสนทนาแล้วลุกไปทำธุระ เค้าก็จะมานั่งนินทาเราอยู่ดี ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด รังแต่จะทำให้จิตเราดิ่งลงต่ำและสกปรกกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเราเลยแม้แต่น้อย
เราอ่านหนังสือเข็มทิศจิตใต้สำนึก หนังสือเล่าล่าสุดของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง
ที่ตอนแรกเราไม่คิดจะซื้อ เพราะเห็นว่าเนื้อหามันน้อยมาก แต่เราก็มีเข็มทิศทุกเล่มเลยนะ แต่สุดท้ายก็ตรงดิ่งไปซื้อจนได้ หลังจากดูการให้สัมภาษณ์ของคุณอ้อยในเจาะใจ 2 คลิปนี้
เป็นสิ่งที่เราอยากรู้อยู่แล้ว แล้วเป็นคุณอ้อยที่ปฏิบัติธรรมเพราะหนังสือเข็มทิศชีวิตเล่มแรก เราก็เลยไปซื้อหนังสือเล่มนี้จากการดูคลิปไปแล้ว
เราชอบเรื่องพรมเช็ดเท้าที่ครูอ้อยพูดนะ ตรงนาทีที่ 19-20 ในคลิปที่ 2 เราว่ามันตรงกับเราตอนเป็นวัยรุ่นนิดนึง ตรงที่ทั้งพ่อและลูกเห็นแม่เป็นพรมเช็ดเท้า เหยียบย่ำแม่ พอใครเครียดมาจากที่ทำงานหรือโรงเรียน ตัวเองไม่มีค่าที่ข้างนอก ก็มาเหยียบย่ำแม่ในบ้านให้รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน ยิ่งใหญ่ เราควรเปลี่ยนจากการเป็นเหยื่ออารมณ์และวงจรพวกนี้ เราควรจะลุกขึ้นมารับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง เคารพตัวเอง จากที่คิดว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำ รู้สึกไม่ดีแล้วไประบายกับคนในบ้าน เราต้องมาดูแลระบบในจิตใจเรา มีสติยั้งคิด แล้วเราจะรู้สึกเคารพคนในครอบครัวและคนอื่นในที่สุด
ทดสอบว่า หลังจากอ่านบล็อคเราจบ สิ่งที่คุณกำลังคิด เป็นบวกรึเปล่า?
แล้วระหว่างที่อ่าน คุณคิดเรื่องต่าง ๆ ไปทั้งหมดกี่เรื่อง?
Create Date : 08 กันยายน 2555 |
|
14 comments |
Last Update : 22 มิถุนายน 2557 20:35:57 น. |
Counter : 24192 Pageviews. |
|
|
|
เป็นทฤษฏีที่สอนให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง :)
เรามีหนังสือคุณบัณฑิต อึ้งรังษี 1 เล่ม คือ "คำคมกำลังใจ" มันอ่านง่ายดี ชอบแนวคิดของเขา
เดี๋ยวจะลองหาหนังสือตามที่คุณหนูลีลีแนะนำมาอ่านนะคะ
ส่วนเข็มทิศชีวิตและเข็มทิศจิตใต้สำนัก ของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เราก็อ่านแล้วเหมือนกัน
เป็นผู้หญิงที่แกร่งและน่านับถือมากๆ อ่านแล้วรู้สึกสงบ
ปล.ชอบที่คุณหนูลีลีบอกเกี่ยวกับเฟสบุ๊คและอินเตอร์เน็ต
ไปแล้วค่ะ ^^