พาเพื่อนสาวชาวเกาหลีเที่ยวแล้วก็นั่งเม้า 2 วันเต็ม ดูซิว่าเราได้อะไรจากเค้าบ้าง ตอนที่ 1
ดีใจจัง เรามีเพื่อนใหม่ หลังจากหลายบล็อคที่แล้ว เรายังเศร้ากับหนุ่มน้อยลูกครึ่งเมกันเกาหลีที่แต่งงานแล้วอยู่เลย โชคดีมากที่อาทิตย์ถัดมาเรามีประชุมที่โรงแรมปีละครั้งตลอด 1 อาทิตย์ ทำให้สภาพจิตใจเราดีขึ้นมาก วัน ๆ ไม่ต้องทำงาน ไปฟังสัมมนาที่โรงแรม ฟังมั่ง ไม่ฟังมั่ง นั่งเล่นเน็ทใต้โต๊ะมั่ง แป๊บ ๆ ก็พักเบรคแล้ว สบายมาก กิน ๆ นั่ง ๆ งานก็ไม่ต้องทำ เตรียมตัวตายอาทิตย์หน้าแทน
แผนกเราจะมีสัมมนาทุกปี ๆ ละครั้ง ๆ ละ 1 อาทิตย์ แล้วก็จัดกรุงเทพมันทุกครั้ง เราไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยกับการสัมมนา อย่างว่านะ ประชุมเกี่ยวกับพวกบัญชี การเงิน คนที่ทำด้านนี้แต่ละประเทศก็มีแต่ผู้หญิง(แก่) แล้วก็ผู้ชาย(แก่) อายุโดยเฉลี่ยก็ 40-50 อัพกันทั้งนั้น เวลาคุยกับไม่กุ๊กกิ๊กเลย คุยแต่เรื่องหาที่ช้อปปิ้ง จะซื้อของฝากลูก ฝากหลาน ไร้ซึ่งความรื่นรมย์ แล้วเราเด็กสุด จะรื่นรมย์ก็ตรงที่ไม่ต้องเข้าที่ทำงานไปทำงาน แล้วก็มีขนม กาแฟทุกชั่วโมงเนี่ยแหละ
แต่ปีนี้ เราได้เพื่อนใหม่ เป็นพี่สาวชาวคนเกาหลีที่เค้าเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือน แทนคนเก่าที่แต่งงานแล้วตามสามีไปอยู่เมืองนอกแล้วลาออกไป เค้าเป็นสาวเกาหลีแท้ ๆ เกาหลีแบบก่อนศัลยกรรมน่ะ เข้าใจใช่มะ เค้าไม่ได้บอกอายุเรานะ แต่เค้าบอกว่าแก่กว่าเรา ก็คง 30 กว่าและยังโสด ภาษาอังกฤษเค้าดีมากเลย คุยกันกุ๊กกิ๊กตามประสาสาวโสดแบบถูกคอ เราก็เลยกินข้าวด้วยกันทุกพักเที่ยงเลย แล้วหลังเลิกสัมมนา เราก็พาเค้าไปช้อปปิ้งให้เค้าซื้อของฝากเพื่อนร่วมงานที่เกาหลี เดินกันไป 3 ห้างแล้วนั่งพักกินกาแฟกันไปร่วม 5-6 ชั่วโมง แล้วเราก็ได้ขึ้นไปนั่งเล่น นั่งคุยที่ห้องพักบนโรงแรมเค้าด้วย สนิทกันขนาดไหน คิดดูแล้วกัน
เราก็สอบถามประวัติเค้าเนอะว่าทำไมเป็นคนเกาหลีที่ภาษาอังกฤษดีจัง เค้าก็บอกว่า เค้าไปทำงานที่เมกามา 7 ปี โห ทำไมถึงได้ไปหว่า เค้าก็เล่าต่อว่า เราจบด้านสถิติจากมหาลัยหญิงล้วนที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ระหว่างเรียนก็รับสอนพิเศษไปด้วย รายได้ดีมากเลย เพราะชื่อเสียงของมหาลัยที่เค้าเรียน เลยมีผู้ปกครองส่งลูกให้มาเรียนกับเค้าเต็มไปหมดเลย
ตอนแรก เค้าไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกอยู่ในหัวเลย เค้าเข้ามหาลัยนี้เพราะเค้าอยากมีอนาคตที่ดี คือเรียนจบ แล้วหาสามีที่ดี แล้วได้แต่งงานแล้วออกมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก เหมือนที่สาวเกาหลีทุกคนใฝ่ฝัน
ทำไมการเข้ามหาลัยนี้ถึงจะได้สามีที่ดีรู้มั้ย คือที่เกาหลีเนี่ย เวลาอยู่มหาลัยเนี่ย แต่ละปี มันจะมีหนังสือรุ่น แล้วพวกบริษัทหาคู่เนี่ย จะเอาอัลบั้มรูปสาว ๆ มหาลัยเหล่านี้ไปให้ผู้ชายและพ่อแม่ผู้ชายดู แล้วก็จะติดต่อให้มาเดทกัน คือ blind date มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกาหลีนะ เห็นในละครก็มีให้เห็นเนือง ๆ ที่พ่อแม่จัดหาคู่มาให้ หรือพวกบริษัทหาคู่แนะนำมาให้ไปเดทกัน
การที่เราอยู่มหาลัยที่ดี มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการได้คู่ที่ดีสมกัน เพราะใคร ๆ ก็อยากได้ผู้หญิงจากมหาลัยนี้ไปเป็นภรรยา เพราะเค้าถือว่าเป็นมหาลัยหญิงล้วน เข้มงวด เข้ายาก เด็กที่จบจากที่นี่เลยค่อนข้างจะเป็นผู้หญิงที่ดี เก่ง เรียบร้อย มีกริยามารยาทที่ดี ประมาณนั้น
แต่พอเค้าเข้าได้จริง ๆ ความคิดพี่เค้าก็เปลี่ยนไป เค้าอยากเรียนต่อ เค้าก็เลยตั้งหน้า ตั้งตาเรียนแล้วก็เก็บเงิน แล้วก็บินไปเรียนภาษาต่อที่นิวยอร์ค เป็นการไปที่โหดมาก คือไปโดยที่ภาษาอังกฤษง่อยมาก แล้วไม่รู้จักใครที่โน่นเลย
เค้าก็เล่าให้ฟังว่า ไปถึงที่โน่น เค้าก็เรียนภาษาไปด้วย และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่คบกับคนเกาหลี เพราะถ้าเค้าคบกับคนเกาหลี เค้ารู้เลยว่าเค้าจะไม่ได้ภาษาแน่ ๆ แล้วก็ทำงานเป็นแคชเชียร์ร้านอะไรก็ไม่รู้เล็ก ๆ แถวนั้นไปด้วย แล้วทุกคนก็บอกเค้าว่า เค้าจบสถิติ ทำไมมาทำงานที่ได้แค่แรงงานขั้นต่ำแบบนี้ล่ะ เค้าก็เลยลองสมัครงานตามหน้าหนังสือพิมพ์ดู ปรากฏว่า 6 เดือนให้หลัง พี่เค้าได้งานออฟฟิศจริง ๆ พี่เค้าก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย เพราะขนาดคนเมกันเอง ยังยากเลยที่จะได้ทำงานออฟฟิศ แล้วเค้าเป็นกระเหรี่ยงภาษาก็ง่อย ๆ แต่ก็ได้งาน
เค้าเล่าต่อว่า เป็นงานที่โหดมากแม้จะเป็นออฟฟิศเล็ก ๆ ทำกันแค่ 10 กว่าคน เกี่ยวกับตัวเลขยาก ๆ เจ้านายก็โหดและงกมาก ภาษาเค้าก็พูดไม่ได้ ฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจ แถมอยู่ต่างบ้าน ต่างเมืองคนเดียวภายใต้วัฒนธรรมที่แตกต่างสุด ๆ เพื่อนร่วมงานก็เป็นฝรั่งหมด มีทั้งเกย์ ทั้งเลสเบี้ยน และคนที่เหยียดผิว เค้าต้องปรับตัวสุด ๆ 6 เดือนแรก เค้าเครียดมาก แล้วก็ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง ก็กลับมาแล้วก็นอนร้องไห้ทุกคืนเลย แล้วก็คิดตลอดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปขอลาออก แต่พอจะเข้าไปลาออกกับเจ้านาย ก็ดันมีงานเยอะและยากและต้องส่งภายในกำหนด ทำให้เค้ายุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปทุกครั้ง
พอหลังจาก 6 เดือน เค้าก็เริ่มปรับตัวเข้ากับงาน กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานได้ ภาษาก็ดีขึ้น ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ความคิดเค้าก็เปลี่ยน เค้าเปลี่ยนความคิดให้ enjoy กับงาน แล้วเค้าก็ทำงานอยู่ที่นั่นถึง 7 ปี ก่อนจะมีเรื่องที่บ้านอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ถาม ทำให้เค้าต้องกลับมาเกาหลี
ก็ถามว่าแล้วอยู่ที่โน่นเนี่ย อยู่ยังไงเหรอ เค้าก็บอกว่าเค้าขอแชร์ห้องกับผู้หญิงคนนึง ที่วัน ๆ เธอไม่ได้ทำอะไร ตอนกลางคืนก็ไปกินเหล้าเมากลับมาทุกคืน คือเค้าคล้าย ๆ ผู้ยากไร้ที่โน่น แล้วได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเมกันเดือนละไม่เท่าไหร่ แล้วก็ได้บ้านอยู่ แล้วก็เลยแบ่งบ้านให้พี่เกาหลีคนนนี้เช่า แต่หลัง ๆ เค้าก็ย้ายบ้านไปอยู่ New Jersey แต่ทำงานที่ New York ก็นั่งรถไฟเข้าเมืองประมาณชั่วโมงนึง เค้าบอกว่าเค้าไม่ชอบ New York มันวุ่นวาย คนเยอะ แออัด อยู่ New Jersey มันจะสบายหน่อย ชีวิตไม่เร่งรีบเหมือนคน New York
แล้วหาบ้านใหม่ที่ New Jersey ยังไงล่ะ (ไปอยากรู้เค้าอีกนะ) เค้าก็บอกว่า เค้าเป็นคริสเตียน เค้าก็เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ มันทำให้เค้ารู้จักเพื่อนใหม่ ๆ มี connection เค้าก็คุยกับคนในโบสถ์ว่าเค้าอยากหาที่พักใหม่ แล้วพอดีมีผู้หญิงคนนึงที่เค้ามีลูก 2 คนที่ดื้อมาก ไม่ฟังเค้าเลย แล้วเค้าไปสอนเลขให้ลูกชายเค้า แล้วลูกชายเค้าทำคะแนนเลขจาก 70% กลายเป็น 90% เลย คุณแม่คนนี้เลยอยากให้เค้าไปอยู่ด้วย จะได้สอนลูกเค้า แล้วลูกเค้าก็เชื่อฟังเค้ามากกว่าแม่เค้าเอง เลยทำงานแลกห้องด้วยประการฉะนี้แล
เออ ขนาดการบินไปเมกาของเค้าก็น่าสนใจนะ คือที่เกาหลีเนี่ย ถ้าใครอยากบินแล้วได้ส่วนลด จ่ายครึ่งเดียวหรือไม่ถึงครึ่งเนี่ย มันมีวิธีนะ วิธีนั้นก็คือ เหมือนเรารับจ้างเป็นคนส่งของจากเกาหลีไปเมกา ซึ่งของที่ว่านั้นก็คือ เด็กทารกนั่นเอง คือที่เมกาเนี่ย เค้าก็จะชอบรับเด็กเอเชียเป็นลูกบุญธรรม แล้วที่เกาหลีก็ทำกันเป็นล่ำเป็นสันเลยนะ คือพ่อแม่ที่เมกาก็ติดต่อมูลนิธิที่เกาหลีของรับเด็กเกาหลีเป็นลูกบุญธรรม ก็คงมีการได้ดูหน้าตาอะไรกันแล้วว่าจะเอาคนไหน แล้วก็ให้พวกที่อยากนั่งเครื่องไปเมการาคาถูกอุ้มเด็กทารกไปส่งที่โน่น ซึ่งตอนพี่เค้าไปเนี่ย ก็มีอีก 5-6 คนที่ทำแบบนี้ มันก็ต้องเสี่ยงกับเด็กที่จะร้องตลอดหลายชั่วโมงจากเกาหลีไปเมกาเลยนะ ต้องอุ้มตลอด ถ้าเด็กคนไหนเงียบ นอนตลอดก็โชคดีไป แต่ไฟล์เค้า มีทารกคนนึงร้องตลอดเส้นทางเกาหลี-เมกาเลย น่าเครียดจริง ๆ กับการได้ตั๋วถูกแลกกับประสาทกินแบบนี้ เป็นเรา ๆ ขอตั๋วฟรีนะเนี่ย ต้องอุ้มทารกข้ามประเทศไปหลาย ๆ ชั่วโมงไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แถมเรายังต้อเสียค่าตั๋วส่วนหนึ่งด้วยเนี่ย
แต่พออุ้มไปถึงเมกาก็เสร็จสิ้นภารกิจ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่หรือพ่อแม่ที่โน่นมารอรับ แล้วเราก็สามารถไปเที่ยวหรือไปอยู่อะไรของเราได้ กำลังคิดว่า เอ๊ะ ของไทยไม่มีเหรอ ทำไมมันถึงเป็นที่นิยมที่เกาหลี หรือเอกสารที่โน่นเค้าทำง่ายหรือยุ่งยากน้อยกว่าประเทศเรา หรือประเทศเรามันผิดกฎหมาย หรืออะไรหว่า แต่ทำให้รู้ว่า อ๋อ มิน่าล่ะ เวลาเราดู youtube beauty guru หน้าเอเชียทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวเกาหลี แล้วเวลาเราเจอคนเมกันที่มาดีลงานหน้าเอเชีย ๆ เนี่ย ก็เกาหลีทั้งนั้น แล้วได้ข่าวว่า ไอ้ที่ปิ๊งเนี่ย ก็มีแต่เอเชีย แล้วก็เป็นเกาหลี ไม่ก็ครึ่งเกาหลีทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ ฮา ๆ
เรื่องเม้ายังมีอีกเยอะ ไว้มาเม้าต่อคราวหน้านะ ยังไม่ได้เล่าเรื่องความรักของคนก่อนหน้าเค้าที่เค้าลาออกแล้วเค้ามาแทนเลย เป็นการแต่งงานครั้งแรกของสาวโสดซึ่งได้พบรักกับหนุ่มเมกันเมื่อตอนอายุ 47 ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจกับสาวโสดอายุ 30 อย่างอิชั้นอย่างมากมาย ไหนจะเรื่องวัฒนธรรมการหาคู่ของหนุ่มสาวเกาหลี เรื่องการแต่งแล้วหย่าร้าง การที่เราพาเค้าเที่ยว มันก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ เพราะเค้าก็เคยทำกับคนที่ไม่รู้จักเหมือนกัน เหมือนเป็นการ pay it forward เลย แล้วก็ประโยคเกาหลีที่พี่เค้าสอนเราให้ไปพูดกับอุปป้า หนุ่มเกาหลีที่เราไปเวียนเทียนด้วย อย่างน้อยประโยคที่ว่าก็น่าจะทำให้เราได้เห็นรอยยิ้มก่อนกลับประเทศไปอาทิตย์หน้า (ได้ข่าวว่าไม่ได้ปิ๊งคนนี้ แต่คนนี้โสดอยู่ว่างั้น เพราะไอ้ที่ปิ๊งก็ดันแต่งงานแล้ว แถมกลับประเทศไปถึงไหนแล้ว ฮ่วย) เกริ่นมาซะเยอะหลายเรื่อง ไม่ใช่อะไร จะเกริ่นไว้เตือนตัวเองให้เขียนด้วย เดี๋ยวลืม เรื่องเป็นยังไง ติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ ไม่นานเกินรอ เพราะอิชั้นก็คันปาก คันไม้คันมืออยากเม้าเหมือนกัน นั่งพิมพ์นานและ ปวดก้นไปหมดเลย
Create Date : 09 มีนาคม 2556 |
Last Update : 9 มีนาคม 2556 13:28:42 น. |
|
3 comments
|
Counter : 6083 Pageviews. |
|
|
|