Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
9 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
พาเพื่อนสาวชาวเกาหลีเที่ยวแล้วก็นั่งเม้า 2 วันเต็ม ดูซิว่าเราได้อะไรจากเค้าบ้าง ตอนที่ 1

ดีใจจัง เรามีเพื่อนใหม่
หลังจากหลายบล็อคที่แล้ว
เรายังเศร้ากับหนุ่มน้อยลูกครึ่งเมกันเกาหลีที่แต่งงานแล้วอยู่เลย
โชคดีมากที่อาทิตย์ถัดมาเรามีประชุมที่โรงแรมปีละครั้งตลอด 1 อาทิตย์
ทำให้สภาพจิตใจเราดีขึ้นมาก
วัน ๆ ไม่ต้องทำงาน
ไปฟังสัมมนาที่โรงแรม
ฟังมั่ง ไม่ฟังมั่ง นั่งเล่นเน็ทใต้โต๊ะมั่ง
แป๊บ ๆ ก็พักเบรคแล้ว
สบายมาก
กิน ๆ นั่ง ๆ งานก็ไม่ต้องทำ เตรียมตัวตายอาทิตย์หน้าแทน

แผนกเราจะมีสัมมนาทุกปี ๆ ละครั้ง ๆ ละ 1 อาทิตย์
แล้วก็จัดกรุงเทพมันทุกครั้ง
เราไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยกับการสัมมนา
อย่างว่านะ
ประชุมเกี่ยวกับพวกบัญชี การเงิน
คนที่ทำด้านนี้แต่ละประเทศก็มีแต่ผู้หญิง(แก่)
แล้วก็ผู้ชาย(แก่)
อายุโดยเฉลี่ยก็ 40-50 อัพกันทั้งนั้น
เวลาคุยกับไม่กุ๊กกิ๊กเลย คุยแต่เรื่องหาที่ช้อปปิ้ง จะซื้อของฝากลูก ฝากหลาน
ไร้ซึ่งความรื่นรมย์
แล้วเราเด็กสุด
จะรื่นรมย์ก็ตรงที่ไม่ต้องเข้าที่ทำงานไปทำงาน
แล้วก็มีขนม กาแฟทุกชั่วโมงเนี่ยแหละ





แต่ปีนี้
เราได้เพื่อนใหม่
เป็นพี่สาวชาวคนเกาหลีที่เค้าเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือน
แทนคนเก่าที่แต่งงานแล้วตามสามีไปอยู่เมืองนอกแล้วลาออกไป
เค้าเป็นสาวเกาหลีแท้ ๆ เกาหลีแบบก่อนศัลยกรรมน่ะ เข้าใจใช่มะ
เค้าไม่ได้บอกอายุเรานะ แต่เค้าบอกว่าแก่กว่าเรา ก็คง 30 กว่าและยังโสด
ภาษาอังกฤษเค้าดีมากเลย
คุยกันกุ๊กกิ๊กตามประสาสาวโสดแบบถูกคอ
เราก็เลยกินข้าวด้วยกันทุกพักเที่ยงเลย
แล้วหลังเลิกสัมมนา
เราก็พาเค้าไปช้อปปิ้งให้เค้าซื้อของฝากเพื่อนร่วมงานที่เกาหลี
เดินกันไป 3 ห้างแล้วนั่งพักกินกาแฟกันไปร่วม 5-6 ชั่วโมง
แล้วเราก็ได้ขึ้นไปนั่งเล่น นั่งคุยที่ห้องพักบนโรงแรมเค้าด้วย
สนิทกันขนาดไหน คิดดูแล้วกัน






เราก็สอบถามประวัติเค้าเนอะว่าทำไมเป็นคนเกาหลีที่ภาษาอังกฤษดีจัง
เค้าก็บอกว่า
เค้าไปทำงานที่เมกามา 7 ปี
โห
ทำไมถึงได้ไปหว่า
เค้าก็เล่าต่อว่า
เราจบด้านสถิติจากมหาลัยหญิงล้วนที่มีชื่อเสียงของเกาหลี
ระหว่างเรียนก็รับสอนพิเศษไปด้วย
รายได้ดีมากเลย เพราะชื่อเสียงของมหาลัยที่เค้าเรียน
เลยมีผู้ปกครองส่งลูกให้มาเรียนกับเค้าเต็มไปหมดเลย

ตอนแรก เค้าไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกอยู่ในหัวเลย
เค้าเข้ามหาลัยนี้เพราะเค้าอยากมีอนาคตที่ดี
คือเรียนจบ แล้วหาสามีที่ดี แล้วได้แต่งงานแล้วออกมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก
เหมือนที่สาวเกาหลีทุกคนใฝ่ฝัน





ทำไมการเข้ามหาลัยนี้ถึงจะได้สามีที่ดีรู้มั้ย
คือที่เกาหลีเนี่ย
เวลาอยู่มหาลัยเนี่ย แต่ละปี มันจะมีหนังสือรุ่น
แล้วพวกบริษัทหาคู่เนี่ย
จะเอาอัลบั้มรูปสาว ๆ มหาลัยเหล่านี้ไปให้ผู้ชายและพ่อแม่ผู้ชายดู
แล้วก็จะติดต่อให้มาเดทกัน
คือ blind date มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกาหลีนะ
เห็นในละครก็มีให้เห็นเนือง ๆ ที่พ่อแม่จัดหาคู่มาให้
หรือพวกบริษัทหาคู่แนะนำมาให้ไปเดทกัน





การที่เราอยู่มหาลัยที่ดี
มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการได้คู่ที่ดีสมกัน
เพราะใคร ๆ ก็อยากได้ผู้หญิงจากมหาลัยนี้ไปเป็นภรรยา
เพราะเค้าถือว่าเป็นมหาลัยหญิงล้วน เข้มงวด เข้ายาก
เด็กที่จบจากที่นี่เลยค่อนข้างจะเป็นผู้หญิงที่ดี เก่ง เรียบร้อย มีกริยามารยาทที่ดี ประมาณนั้น







แต่พอเค้าเข้าได้จริง ๆ
ความคิดพี่เค้าก็เปลี่ยนไป
เค้าอยากเรียนต่อ
เค้าก็เลยตั้งหน้า ตั้งตาเรียนแล้วก็เก็บเงิน
แล้วก็บินไปเรียนภาษาต่อที่นิวยอร์ค
เป็นการไปที่โหดมาก
คือไปโดยที่ภาษาอังกฤษง่อยมาก แล้วไม่รู้จักใครที่โน่นเลย

เค้าก็เล่าให้ฟังว่า
ไปถึงที่โน่น เค้าก็เรียนภาษาไปด้วย
และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่คบกับคนเกาหลี
เพราะถ้าเค้าคบกับคนเกาหลี เค้ารู้เลยว่าเค้าจะไม่ได้ภาษาแน่ ๆ
แล้วก็ทำงานเป็นแคชเชียร์ร้านอะไรก็ไม่รู้เล็ก ๆ แถวนั้นไปด้วย
แล้วทุกคนก็บอกเค้าว่า
เค้าจบสถิติ ทำไมมาทำงานที่ได้แค่แรงงานขั้นต่ำแบบนี้ล่ะ
เค้าก็เลยลองสมัครงานตามหน้าหนังสือพิมพ์ดู
ปรากฏว่า
6 เดือนให้หลัง
พี่เค้าได้งานออฟฟิศจริง ๆ
พี่เค้าก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย
เพราะขนาดคนเมกันเอง ยังยากเลยที่จะได้ทำงานออฟฟิศ
แล้วเค้าเป็นกระเหรี่ยงภาษาก็ง่อย ๆ แต่ก็ได้งาน






เค้าเล่าต่อว่า
เป็นงานที่โหดมากแม้จะเป็นออฟฟิศเล็ก ๆ ทำกันแค่ 10 กว่าคน
เกี่ยวกับตัวเลขยาก ๆ
เจ้านายก็โหดและงกมาก
ภาษาเค้าก็พูดไม่ได้ ฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจ
แถมอยู่ต่างบ้าน ต่างเมืองคนเดียวภายใต้วัฒนธรรมที่แตกต่างสุด ๆ
เพื่อนร่วมงานก็เป็นฝรั่งหมด มีทั้งเกย์ ทั้งเลสเบี้ยน และคนที่เหยียดผิว
เค้าต้องปรับตัวสุด ๆ
6 เดือนแรก
เค้าเครียดมาก แล้วก็ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง
ก็กลับมาแล้วก็นอนร้องไห้ทุกคืนเลย
แล้วก็คิดตลอดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปขอลาออก
แต่พอจะเข้าไปลาออกกับเจ้านาย
ก็ดันมีงานเยอะและยากและต้องส่งภายในกำหนด
ทำให้เค้ายุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปทุกครั้ง


พอหลังจาก 6 เดือน
เค้าก็เริ่มปรับตัวเข้ากับงาน กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานได้
ภาษาก็ดีขึ้น ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย
ความคิดเค้าก็เปลี่ยน
เค้าเปลี่ยนความคิดให้ enjoy กับงาน
แล้วเค้าก็ทำงานอยู่ที่นั่นถึง 7 ปี
ก่อนจะมีเรื่องที่บ้านอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ถาม
ทำให้เค้าต้องกลับมาเกาหลี





ก็ถามว่าแล้วอยู่ที่โน่นเนี่ย อยู่ยังไงเหรอ
เค้าก็บอกว่าเค้าขอแชร์ห้องกับผู้หญิงคนนึง
ที่วัน ๆ เธอไม่ได้ทำอะไร ตอนกลางคืนก็ไปกินเหล้าเมากลับมาทุกคืน
คือเค้าคล้าย ๆ ผู้ยากไร้ที่โน่น
แล้วได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเมกันเดือนละไม่เท่าไหร่ แล้วก็ได้บ้านอยู่
แล้วก็เลยแบ่งบ้านให้พี่เกาหลีคนนนี้เช่า
แต่หลัง ๆ เค้าก็ย้ายบ้านไปอยู่ New Jersey แต่ทำงานที่ New York
ก็นั่งรถไฟเข้าเมืองประมาณชั่วโมงนึง
เค้าบอกว่าเค้าไม่ชอบ New York มันวุ่นวาย คนเยอะ แออัด
อยู่ New Jersey มันจะสบายหน่อย ชีวิตไม่เร่งรีบเหมือนคน New York





แล้วหาบ้านใหม่ที่ New Jersey ยังไงล่ะ
(ไปอยากรู้เค้าอีกนะ)
เค้าก็บอกว่า เค้าเป็นคริสเตียน
เค้าก็เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์
มันทำให้เค้ารู้จักเพื่อนใหม่ ๆ มี connection
เค้าก็คุยกับคนในโบสถ์ว่าเค้าอยากหาที่พักใหม่
แล้วพอดีมีผู้หญิงคนนึงที่เค้ามีลูก 2 คนที่ดื้อมาก ไม่ฟังเค้าเลย
แล้วเค้าไปสอนเลขให้ลูกชายเค้า
แล้วลูกชายเค้าทำคะแนนเลขจาก 70% กลายเป็น 90% เลย
คุณแม่คนนี้เลยอยากให้เค้าไปอยู่ด้วย จะได้สอนลูกเค้า แล้วลูกเค้าก็เชื่อฟังเค้ามากกว่าแม่เค้าเอง
เลยทำงานแลกห้องด้วยประการฉะนี้แล






เออ
ขนาดการบินไปเมกาของเค้าก็น่าสนใจนะ
คือที่เกาหลีเนี่ย
ถ้าใครอยากบินแล้วได้ส่วนลด จ่ายครึ่งเดียวหรือไม่ถึงครึ่งเนี่ย
มันมีวิธีนะ
วิธีนั้นก็คือ
เหมือนเรารับจ้างเป็นคนส่งของจากเกาหลีไปเมกา
ซึ่งของที่ว่านั้นก็คือ
เด็กทารกนั่นเอง
คือที่เมกาเนี่ย เค้าก็จะชอบรับเด็กเอเชียเป็นลูกบุญธรรม
แล้วที่เกาหลีก็ทำกันเป็นล่ำเป็นสันเลยนะ
คือพ่อแม่ที่เมกาก็ติดต่อมูลนิธิที่เกาหลีของรับเด็กเกาหลีเป็นลูกบุญธรรม
ก็คงมีการได้ดูหน้าตาอะไรกันแล้วว่าจะเอาคนไหน
แล้วก็ให้พวกที่อยากนั่งเครื่องไปเมการาคาถูกอุ้มเด็กทารกไปส่งที่โน่น
ซึ่งตอนพี่เค้าไปเนี่ย
ก็มีอีก 5-6 คนที่ทำแบบนี้
มันก็ต้องเสี่ยงกับเด็กที่จะร้องตลอดหลายชั่วโมงจากเกาหลีไปเมกาเลยนะ
ต้องอุ้มตลอด ถ้าเด็กคนไหนเงียบ นอนตลอดก็โชคดีไป
แต่ไฟล์เค้า มีทารกคนนึงร้องตลอดเส้นทางเกาหลี-เมกาเลย
น่าเครียดจริง ๆ กับการได้ตั๋วถูกแลกกับประสาทกินแบบนี้
เป็นเรา ๆ ขอตั๋วฟรีนะเนี่ย ต้องอุ้มทารกข้ามประเทศไปหลาย ๆ ชั่วโมงไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แถมเรายังต้อเสียค่าตั๋วส่วนหนึ่งด้วยเนี่ย





แต่พออุ้มไปถึงเมกาก็เสร็จสิ้นภารกิจ
เพราะจะมีเจ้าหน้าที่หรือพ่อแม่ที่โน่นมารอรับ
แล้วเราก็สามารถไปเที่ยวหรือไปอยู่อะไรของเราได้
กำลังคิดว่า
เอ๊ะ ของไทยไม่มีเหรอ
ทำไมมันถึงเป็นที่นิยมที่เกาหลี
หรือเอกสารที่โน่นเค้าทำง่ายหรือยุ่งยากน้อยกว่าประเทศเรา
หรือประเทศเรามันผิดกฎหมาย หรืออะไรหว่า
แต่ทำให้รู้ว่า
อ๋อ
มิน่าล่ะ
เวลาเราดู youtube beauty guru หน้าเอเชียทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวเกาหลี
แล้วเวลาเราเจอคนเมกันที่มาดีลงานหน้าเอเชีย ๆ เนี่ย
ก็เกาหลีทั้งนั้น
แล้วได้ข่าวว่า
ไอ้ที่ปิ๊งเนี่ย ก็มีแต่เอเชีย แล้วก็เป็นเกาหลี ไม่ก็ครึ่งเกาหลีทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ ฮา ๆ




เรื่องเม้ายังมีอีกเยอะ ไว้มาเม้าต่อคราวหน้านะ
ยังไม่ได้เล่าเรื่องความรักของคนก่อนหน้าเค้าที่เค้าลาออกแล้วเค้ามาแทนเลย
เป็นการแต่งงานครั้งแรกของสาวโสดซึ่งได้พบรักกับหนุ่มเมกันเมื่อตอนอายุ 47
ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจกับสาวโสดอายุ 30 อย่างอิชั้นอย่างมากมาย
ไหนจะเรื่องวัฒนธรรมการหาคู่ของหนุ่มสาวเกาหลี
เรื่องการแต่งแล้วหย่าร้าง
การที่เราพาเค้าเที่ยว มันก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ เพราะเค้าก็เคยทำกับคนที่ไม่รู้จักเหมือนกัน
เหมือนเป็นการ pay it forward เลย
แล้วก็ประโยคเกาหลีที่พี่เค้าสอนเราให้ไปพูดกับอุปป้า หนุ่มเกาหลีที่เราไปเวียนเทียนด้วย อย่างน้อยประโยคที่ว่าก็น่าจะทำให้เราได้เห็นรอยยิ้มก่อนกลับประเทศไปอาทิตย์หน้า (ได้ข่าวว่าไม่ได้ปิ๊งคนนี้ แต่คนนี้โสดอยู่ว่างั้น เพราะไอ้ที่ปิ๊งก็ดันแต่งงานแล้ว แถมกลับประเทศไปถึงไหนแล้ว ฮ่วย)
เกริ่นมาซะเยอะหลายเรื่อง ไม่ใช่อะไร จะเกริ่นไว้เตือนตัวเองให้เขียนด้วย เดี๋ยวลืม
เรื่องเป็นยังไง ติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ ไม่นานเกินรอ เพราะอิชั้นก็คันปาก คันไม้คันมืออยากเม้าเหมือนกัน
นั่งพิมพ์นานและ ปวดก้นไปหมดเลย



Create Date : 09 มีนาคม 2556
Last Update : 9 มีนาคม 2556 13:28:42 น. 3 comments
Counter : 6083 Pageviews.

 
ติดตามแน่นอนค่ะ อ่านแล้วสนุกดีได้ความรู้เพิ่มด้วย


โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 9 มีนาคม 2556 เวลา:13:39:17 น.  

 
รออ่านๆๆๆ น่าสนใจมาก 5555


โดย: davidchung IP: 125.27.174.89 วันที่: 9 มีนาคม 2556 เวลา:21:40:51 น.  

 
มาต่อด้วยนะลีลี เรารออ่านอยู่


โดย: copo de nieve วันที่: 14 มีนาคม 2556 เวลา:20:05:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.