Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
15 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
สิวขึ้นเพราะเอาหน้าผากแนบกับเสื่อโยคะ แต่ครูอินเดียบอกว่าเรากินเป็นสิวเพราะกินหมู -_-"

พอดีช่วงนี้ฟิต (จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากฟิต แต่วัยขึ้นด้วยเลข 3 แล้ว กินเท่าเลข 2 แต่มันเผาผลาญไม่เหมือนตอนเลข 2 น่ะสิ)
ซื้อดีลไปเล่นโยคะแบบ unlimited 2 เดือน
คิดคำนวณดูแล้ว ขอแค่ไปให้ได้ 10-15 วันใน 2 เดือน คุ้มละ
เราแทบไม่เคยเล่นโยคะมาก่อน เคยเล่นที่อื่นมาแค่ 5 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมง
ก็คงถือว่าเป็นมือใหม่ได้
เล่นมา 3-4 ครั้ง
สิวขึ้น!!
คือก่อนหน้าจะเล่นโยคะมาหลายปี สิวไม่เคยขึ้นเลย
ขึ้นเฉพาะก่อนเมนส์มา 1 เม็ดถ้วนเท่านั้น
ตอนนี้
ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบขึ้นตรงหน้าผากกลาง ๆ ตั้งแต่ไรผมไล่ลงมาถึงหว่างคิ้ว
ตอนแรกก็งงว่าทำไมไม่ขึ้นแก้มเลย
แถมขึ้นพรึบแต่หน้าผากตรงกลาง ๆ อย่างเดียว
คิดไป คิดมาถึงบางอ้อ
เพราะโยคะนั่นเอง
เพราะโยคะยังไง?

คือบางท่ามันมาให้เอาหน้าผากแนบลงไปกับเสื่อโยคะ
ซึ่งทางที่เรียนเค้าจะมีเสื่อเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว เราไม่มีเสื่อส่วนตัว
หรือท่า Chile pose






ไม่ว่าจะกางแขนออก หรือ เก็บแขนไปข้าหลัง
หน้าผากเราก็นาบลงไปบนเสื่อโยคะนั่นแหละ
เลยถึงบางอ้อ ว่าทำไมสิวมันถึงขึ้นแต่ตรงนั้น
แต่จริง ๆ แล้วเวลาทำท่านี้ เราก็ไม่ได้เอาหน้าผากแนบเสื่อสนิทเลยนะ
เอาหัวขึ้นนิดนึง ไม่ได้แนบลงไป แต่บางครั้งเหนื่อยมากก็ขึ้เกียจเกรงคอก็แนบลงไปเลย

แล้วมีอยู่วันนึง
เราไปฉีดสิว แล้วก็กดสิวบนหน้าผากออกก่อนจะไปเล่นโยคะ
พอไปถึงที่เรียน ครูอินเดียถามว่าหน้าไปทำอะไรมา
ก็บอกว่าไปฉีด+กดสิวมา
ก็เล่าไปเล่น ๆ ว่าเพราะท่า Chile pose ที่หน้าผากต้องแนบกับเสื่อโยคะนั่นแหละ
เห็นมั้ยว่าสิวมันขึ้นแต่ตรงที่หน้าผากตรงมันแตะกับเสื่อ
ครูฟังดังนั้นบอกว่า
ไม่จริง
คนอื่นไม่เห็นเป็นเลย
เพราะยูกินหมูเยอะไปต่างหาก
ถ้ายูกินเนื้อสัตว์เยอะ สิวมันเลยขึ้น

ก็คันปากเถียงไปว่า
ไม่จริงนะ ก่อนหน้าเรียนที่นี่สิวชั้นไม่เคยขึ้นเลย
ก็แค่เถียงบอกความจริงที่เจอน่ะ ไม่ได้จะเรียกร้องอะไร
ครูเลยไปบอกเจ้าของว่า ดูสิ ชีบอกว่าชีเป็นสิวเพราะเสื่อโยคะของโรงเรียนเรา
เจ้าของที่เป็นอินเดียก็บอกว่า
ไม่จริง เสื่อเราทำความสะอาดทุกอาทิตย์นะ





หืม
ยิ่งทำหน้าตกใจเข้าไปใหญ่
คือเรานึกว่าเค้าทำความสะอาดทุกวันน่ะ
เพราะเวลาคลาสก่อนเล่นเสร็จก็เอาเสื่อไปกองไว้ที่นึง
คนใหม่มาก็ไปเอาอันใหม่มาปู
แล้วไอ้อันใหม่ที่ปู มันไม่ได้โดนทำความสะอาดหรอกเร๊อะ
แค่เอาไปม้วนเก็บให้มันดูเหมือนอันใหม่ที่ทำความสะอาดสินะ
เวงกำ
มิน่า สิวมันเลยขึ้นน่ะสิ
วัน ๆ นึงใช้เสื่อกันตั้งกี่คน แล้วแต่ละคลาสเล่นกันเหงื่อโชกกันทั้งนั้น
บางคนมาถึงก็ไม่ได้ล้างเท้า เท้าก็ย่ำมันทั่วเสื่อ แล้วบางท่ามันต้องเอาหน้าผากแนบเสื่อ
สิวมันถึงขึ้นนี่งาย
พลาดและชั้น อยู่บ้านรักษาความสะอาดแทบตาย มาตกม้าตายตรงเสื่อโยคะ
ขนาดไปนวดยังเอาผ้าขนหนูตัวเองไปรองหมอนท่าที่ต้องคว่ำหน้าเลย
แต่มาโยคะดันไม่เอาผ้ามารอง ฮา ๆ
คราวนี้ก็เลยเอาผ้าไปรอง สิวก็ไม่ขึ้นเพิ่มนะ แสดงว่าก่อนหน้านี้ก็เพราะอันนี้นั่นแหละ
คนอินเดียคงมีภูมิต้านทานความสกปรกอยู่เยอะมั้ง
สังเกตดู ครูโยคะทุกคนไม่เห็นมีสิวเลย





วันนี้
กลับจากโยคะไปโลตัส
เจอกลุ่มน้อง ๆ น่าจะจาก UNICEF เรียกให้หยุดฟัง
รอบแรกไม่หยุดฟัง เพราะจะเข้าไปหาไรกิน
แล้วก็เคยฟังแล้วด้วย แต่เค้าให้ตัดบัตรเครดิตแบบต่อเนื่อง ไม่อยากตัดบัตรต่อเนื่องเดือนละหลายร้อยขนาดนั้นติดกันอย่างน้อย 2 ปี
เพราะถ้าบริจาคก้อนเดียวแล้วจบก็จะทำ ไม่อยากผูกมัดน่ะ
เข้าโลตัสกินเสร็จ แวะซื้อขนมที่ S&P แล้วออกมาเจอน้องกลุ่มเดิม
คราวนี้ไม่รอด เพราะมาคนเดียวด้วย
จะปฏิเสธแล้วเดินไปเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่เค้ามายืนแถว ๆ ขึ้นจากใต้ดินทางไปออฟฟิศก็ทำได้
แต่วันนี้ไม่รีบ แล้เห็นว่าน้องผู้ชายตุ้ยนุ้ยยืนเหงื่อโชกเรียกหลายคนก็ไม่มีใครหยุดเลยซักคน
แล้วน้องพูดว่า ไม่ได้เรียกให้บริจาค แค่ขอให้ข้อมูล 2 นาทีเฉย ๆ
ก็เลยลองหยุดฟังน้องเค้า ซึ่งตอนนั้นบ่าย 2 กว่า น้องเค้าเหงื่อท่วมตัวเลย แต่อารมณ์ดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาสุภาพ ไม่กดดันเหมือนหลายคนที่เคยเจอ
แล้วน้องให้ข้อมูล UNICEF แบบคล่องมากใน 2 หน้าดาษที่มีรูปหลายรูป
แล้วก็อธิบายอย่างรวดเร็ว กลัวว่ามันจะเกิน 2 นาทีที่เค้าสัญญากับเราไว้





น้องเค้าพูดดีมากเลย
เค้าก็เล่าให้ฟังว่าเคยประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีอื่นๆมาแล้วหลายปี เช่น ขอความร่วมมือจากบัตรเครดิตต่างๆ ส่งรายละเอียดแนบไปในบิลด้วย ทำแบบนี้มาหลายปี แต่สุดท้ายแล้วก็ได้รับการตอบกลับบริจาคมาแค่ 2%

ผลงานที่เค้าทำให้เป็นประจักษ์ก็เยอะแต่ต้องยอมรับว่าจะให้เค้ามาโฆษณาปาวๆมันก็ไม่ไหว เพราะทุกอย่างก็ต้องใช้งบ และผลงานต่างๆที่ประจักษ์ก็มักจะอยู่ในสถานที่ที่ผู้คนไม่ค่อยมักจะเข้าถึง เช่น ตามเขาตามดอย ตามบ้านเด็กกำพร้าต่างๆ

หลังจากที่เค้าค้นพบแล้วว่า การประชาสัมพันธ์ผ่านบิลบัตรเครดิตต่างๆ ทำให้องค์กรนี้เปลืองงบประมาณมาก เลยได้ลองส่งเจ้าหน้าที่ที่ได้ลงทำงานให้องค์กรจริงๆ เข้ามาประชาสัมพันธ์





น้องเค้าให้ดูรูปว่า
ตอนนี้มีเด็กที่ไม่มีใบเกิดหลายหมื่นคน
ซึ่งความลำบากของเด็กเหล่านี้ก็คือ จะโดนตัดแขน ตัดขาแล้วเอาไปนั่งขอทานกัน
ทุกปีมีเด็กเกิดใหม่ปีละกว่า 40,000 คนในประเทศไทยที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนเกิด
ทำให้ไม่ได้รับสิทธิทางพื้นฐานที่พึงมี เช่น การศึกษา สวัสดิการทางสังคมต่างๆ





ด.ญ.นาแส จะตีก๋อย ในภาพนี้ คือหนึ่งในนั้น นาแสไม่ได้รับการจดทะเบียนเกิด และไม่เคยได้ไปโรงเรียน

เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กยากจน เด็กกลุ่มชาติพันธุ์ เด็กที่เป็นลูกแรงงานต่างด้าว สาเหตุที่ผู้ปกครองไม่ได้ไปแจ้งเกิด เช่น อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล พ่อแม่ไม่รู้ว่าต้องไปแจ้งเกิดหรือไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสูติบัตรที่มีต่ออนาคตของลูก

การที่ไม่มีเอกสารใดๆ ระบุตัวตนทำให้เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และถูกแสวงประโยชน์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งยากที่ร้องเรียนเมื่อถูกละเมิดสิทธิ






แล้วก็มีรูปคุณแม่ตั้งครรภ์
น้องบอกว่า ตอนนี้มีเด็กที่ติดเชื้อเอดส์อยู่หลายแสนคน
ซึ่งมียาที่สามารถทำให้เด็กในครรภ์ไม่ติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้
แต่ยาที่ได้ฟรีมันแรงมาก ทำให้เด็กที่เกิดมาไม่แข็งแรง ซึ่งเราจะนำไปซื้อยาที่ทำให้เด็กที่เกิดมามีสุขภาพที่ดี

เมื่อสิบปีก่อน เด็กไทยส่วนมากที่ติดเชื้อเอชไอวีต้องเสียชีวิตก่อนอายุ 5 ปี
ซึ่งปัจจุบันไม่มีเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว อายุโดยเฉลี่ยของเด็กที่ค่ายนี้ คือ 13 ปี
เด็ก ๆ ต้องเจ็บป่วยไประยะหนึ่ง เด็กๆ ติดเชื้อเอชไอวีนั้น จะไม่มีวันเติบโตได้รวดเร็วเท่ากับเด็กปกติทั่วไป

แต่เด็กๆ จะไม่มีโอกาสเติบโตได้เลย หากไม่มีโอกาสได้เข้าถึงยาและการดูแลรักษา

เราโชคดีขนาดไหนแล้วที่เกิดมาสมบูรณ์ แข็งแรง มีอวัยวะครบ และไม่มีเชื้อโรคแทรกซ้อนในร่างกาย





แล้วก็มีอีกรูปนึงเกี่ยวกับเด็ก ๆ ชาวเขา ชาวดอย ที่เข้าไม่ถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานและการศึกษาขั้นต่ำ
ซึ่งตรงนี้เราไม่ได้สนใจฟังมาก
เพราะยังอินเกี่ยวกับยารักษาโรคเอดส์ และ ผลกระทบที่เด็ก ๆ บริสุทธิ์เหล่านี้ต้องได้รับจากเชื้อและยาโดยที่เด็กเหล่านี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
แล้วเราก็นึกถึง "กรรม" ที่เด็กเหล่านี้ทำมาในอดีต ต้องเป็นกรรมที่ "หนัก" มากเลย

หลังจากพูดทั้งหมด ทั้งมวลชวนให้สงสารให้คุณภาพชีวิตของน้องเค้าแล้ว
น้องเค้าก็ขอความเห็นใจให้บริจาคร่วมโครงการของ UNICEF วันละ 20 บาท
แล้วน้องเค้าก็เห็นถุง S&P ของเรา น้องเค้าเลยบอกว่า
คิดดูสิครับ ขนม 1 ชิ้นใน S&P มันก็เกิน 20 บาทเข้าไปแล้ว
แต่เงิน 20 บาทต่อวัน สามารถต่อชีวิตน้อง ๆ เหล่านี้ได้ในหลาย ๆ ทาง
ถ้าคนอื่นพูดคงเหมือนกับเค้ากดดันให้เราบริจาค
แต่ประโยคที่ออกจากปากน้องคนนี้ เราไม่รู้สึกถึงความกดดันที่ไม่ดีนะ เพราะน้องพูดเปรียบเปรยแบบสุภาพมาก
น้องเค้าขอตัดบัตร 600 บาทต่อเดือน ตัดบัตรเครดิตเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี
เพราะน้องเล่าให้ฟังว่า ทุก ๆ วัน มีคนเป็นร้อยคนโทรมาขอยกเลิกการบริจาค
อย่างน้อย ได้เรา 1 คนก็ไปช่วยอุดโอกาสของเด็ก ๆ เหล่านี้ให้มีโอกาสต่อไป





เราประทับใจน้องเค้าที่บอกว่า
น้องเค้าเพิ่งจบ
มาทำงานนี้ก็ไม่ได้เป็นอาสาสมัครเต็มตัว
เพราะคำว่า "อาสาสมัคร" จะไมได้เงิน
แต่น้องเค้าทำแล้วได้เงินเดือนเด็กปริญญาตรีทั่วไป (แต่เราก็ไม่ได้ถามนะว่าเท่าไหร่)
เล่าให้เพื่อนฟัง เค้าบอกว่า แก๊ เงินเดือน UN เยอะจะตาย แต่ถึงเยอะจริง ต้องมายืนเหงื่อโชก แล้วไม่มีใครสนใจจะหยุดฟังแบบนี้ ต่อให้ครึ่งแสน ชั้นก็ไม่ทำนะ เพราะทุกคนจะมีทัศนคติไม่ดีกับพวกที่ยืนเรียกให้คนหยุดฟังแบบนี้อยู่แล้ว

เค้าอยากทำให้ได้ 6 เดือนแล้วไปยื่นทำบัตรเครดิตเพื่อจะมาตัดเงินบริจาคให้ UNICEF เหมือนกัน
เพราะว่ามาทำแบบนี้ แม่เค้าก็ไม่อยากให้ทำเหมือนกัน แต่แม่เค้าก็ช่วยตัดเงินบริจาคเหมือนกัน
น้องเค้าก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในจากช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสในสังคมแบบนี้เหมือนกัน




แล้วน้องเค้าบอกว่า
พี่รู้มั้ยครับ
ผมยืนมาตั้งแต่เช้า พี่เป็นคนที่ 6 ที่หยุดยืนคุยกับผม
แต่เราก็ไม่ได้ถามต่อนะว่าไอ้ 6 คนที่หยุดยืนคุยกับน้องเนี่ย มีกี่คนที่ยินยอมบริจาค
แต่เราก็ตกลงบริจาคโดยการตัดบัตรเครดิต 600 บาทต่อเดือน
ซึ่งเราสามารถโทรขอยกเลิกได้ถ้าเรารู้สึกว่าจ่ายไม่ไหว
ซึ่งเราคิดว่ามันก็น่าจะโอเคนะ
ได้ทำทานทุกเดือนโดยที่เราไม่ต้องเดินทาง
เราอยู่ในสังคมที่ดี สามารถทำงานมีรายได้ มันก็ถึงเวลาที่ต้องควรจะ "แบ่งปัน" คนที่ด้อยโอกาสกว่าเราบ้าง
เราไม่ได้อยู่ในสังคมอันเลวร้าย เราคงไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็กที่โดนล่วงละเมิดทางเพศ หรือ ติดเชื้อ HIV ได้
แต่สิ่งที่เราทำได้ คงจะเป็นเงินที่เราหาได้ และตั้งแต่ต่อความหวังของน้อง ๆ พวกนี้

ตอนกรอกทุกอย่างให้ตัดบัตรเครดิตเสร็จ
น้องเค้าก็ให้ตัว copy ที่มันเป็นคาร์บอนมา
แล้วก็ให้ที่แปะหลังรถเป็นรูปมือ แล้วน้องก็บอกว่า พี่เป็นอีก 1 มือที่ช่วยเหลือน้อง ๆ พวกนี้
แล้วก็มีคล้าย ๆ โปสการ์ดเขียนว่า

"สิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก คือหัวใจแห่งการแบ่งปัน
และคุณ...คือผู้ที่มีหัวใจดวงนั้น"

อ่านแล้วหัวใจพองโตเลย





ชีวิตของ ด.ญ.ธัญญา เด็กกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้า­นท่ามกลางหุบเขาของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ธัญญาไม่เคยไปโรงเรียน เธอพูดภาษาไทยไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ได้และอ่านไม่ออก เธอต้องช่วยทำงานบ้าน ตักน้ำ ซักผ้า และเลี้ยงน้องทุกวันเวลาที่พ่อและแม่ทำงาน­ในไร่

นี่เป็นแค่ 1 ในหลายแสน หลายล้านชีวิตของเด็กที่ "ด้อย" ทุกอย่างในชีวิต
ถ้าเราทำงาน พอจะมีเงินเดือน
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราได้เป็นผู้ "ให้"
แค่กาแฟแก้วเดียว หรือ เสื้อ 1 ตัว ให้ความสุขทางจิตใจเทียบไม่ได้เลยกับการได้ช่วยเหลือเด็กเหล่านี้





ธรรมชาติของจิต คือการ "เอาเข้าตัว"
แต่จิตที่ได้รับการฝึกมาแล้ว เราควรจะ "สละออก"

ขอคัดลอกหัวข้อ รู้ทันกิเลส ของ พระไพศาล วิสาโล มาดังนี้

พระพุทธศาสนาสอนเรื่องการให้ทาน เพื่อทำให้กิเลส ส่วนที่เป็นความตระหนี่บรรเทาเบาบาง
เป็นการทวนกระแสกิเลส
อยากย้ำว่า เราไม่ได้ให้ทานเพียงเพราะว่าเรามีจิตเมตตาเท่านั้น
แม้จะไม่มีจิตเมตตาเลย แต่รู้อยู่ว่ามีกิเลส มีความโลภ มีความเห็นแก่ตัวอยู่
ผู้ฉลาดย่อมพยายามสละออกไป ด้วยการให้ทาน
การให้ทานคือการต้านกิเลสฝ่ายโลภะโดยตรง

แต่ว่าระยะหลังเราให้ทานกันไม่ถูกต้อง
คือให้ทานแล้วกลับเพิ่มพูนกิเลส
เช่น บริจาคหรือทำบุญ ๑๐ บาท ก็ขอให้ถูกล็อตเตอรี่เป็นล้าน
ให้ทานแต่ละอย่าง ทำบุญแต่ละอย่างก็หวังรวย หวังมั่งมี
อันนี้ไม่ใช่เป็นการต้านกิเลสแต่กลายเป็นตามกิเลส





การทำบุญอย่างนี้จะได้ผลน้อย
การให้ทานแบบนี้จะไม่ช่วยทำให้จิตใจโปร่งเบา
เพราะว่าเป็นการพอกพูนกิเลส
แต่ถ้าทำอย่างถูกต้องแล้ว คือให้เพื่อช่วยเหลือเขาจริง ๆ ไม่หวังประโยชน์เข้าตัว
ก็จะช่วยบรรเทาอำนาจของกิเลสทีละน้อย ๆ

ใครอ่านแล้วอยากช่วยเหลือเด็ก ๆ
มีหลายวิธีให้เลือกค่ะ
ลองเข้าไปอ่านลิงค์ของ UNICEF โดยตรงด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

//www.unicef.org/thailand/tha/support_11992.html

หรือใน Facebook ที่

www.facebook.com/unicefthailand


ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้ากับทุกท่านที่มีกระแสจิตเมตตา อยากช่วยเหลือทุกคนนะคะ สาธุค่ะ

"สิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก คือหัวใจแห่งการแบ่งปัน
และคุณ...คือผู้ที่มีหัวใจดวงนั้น"



Create Date : 15 มิถุนายน 2556
Last Update : 15 มิถุนายน 2556 21:35:24 น. 4 comments
Counter : 3625 Pageviews.

 
นับถือในหัวใจของคุณลีลีเลย เคยอ่านเจอบทความของคุณหมอท่านนึงเค้าบอกว่า ถ้าคนเราคิดดี ก็จะมีแต่เรื่องดีๆ คนดีๆเข้ามาในชีวิต :)


โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 16 มิถุนายน 2556 เวลา:1:05:26 น.  

 
ดีเยี่ยมเลยครับ


โดย: naray14 วันที่: 17 มิถุนายน 2556 เวลา:16:58:39 น.  

 
อนุโมทนาค่ะ :)


โดย: ข้าวเหนียวมะม่วง (สุขใจพริ้ว ) วันที่: 18 มิถุนายน 2556 เวลา:4:36:37 น.  

 
อนุโมทนาด้วยค่ะ ซึ้งค่ะ น้องสาวเราก็เคยมาเล่าค่ะว่าได้พบอาสาสมัครและได้บริจาคโดยการตัดบัตรเครดิตเหมือนคุณ Lee Leeเลยค่ะ


โดย: Snovy IP: 110.169.139.56 วันที่: 7 มกราคม 2557 เวลา:19:58:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.