|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เราไปอยู่ไหนมาตั้ง 25 ปี กว่าเราจะค้นพบสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่ใกล้ตัวเราแต่ทุกคนมองข้าม
เพิ่งกลับมาจากปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐานหลักสูตรพัฒนาจิตใจให้เกิดปัญญาและสันติสุขของคุณแม่สิริ กรินชัย ตรงยุวพุทธิกสมาคม ตรงข้ามฟิวเจอร์พาร์คบางแค
เพิ่งจะได้รู้สัจธรรมว่า นี่เราไปอยู่ไหนมาตั้ง 25 ปี เรามัวเอาใจของเราไปหลง ไปยึดติดกับอะไรก็ไม่รู้ ที่มันไม่เคยทำให้หลุมในใจของทุกคนให้ตื้นขึ้นมาเลย เราทุกคนต่างหาที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ทั้งไปเที่ยว ซื้อของ กิน ออกกำลังกาย เพื่อพยายามกลบความทุกข์ซึ่งเป็นหลุมในใจเรา แต่เราไม่เคยรู้เลยว่ายิ่งเราเที่ยวเอาใจไปยึดกับของพวกนี้มากเท่าไหร่ มันอาจจะทำให้หลุมในใจเรานั้น ค่อย ๆ กว้างและลึกไปเรื่อย ๆ
ทำไมเราไม่เคยมองลึกลงไปเลยว่า จริง ๆ แล้วเราทำอะไรหายไปชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไปหาจากที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่เคยทำให้หลุมในใจเรานี้มันเต็มขึ้นมาเลย
แต่ตอนนี้ เราสามารถตอบคำถามในใจเราได้แล้วว่า ทำไมทุกครั้งที่เราไปแสวงหา หลุมนั้นไม่เคยจะเต็ม
.
แล้วก็สะท้อนใจอีกอย่างก็คือ ทำไมเรา ซึ่งเกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนไม่เคยรู้เลยว่าจริง ๆ แล้วชาวพุทธเค้าต้องเรียนรู้อะไร ปฏิบัติธรรมกันยังไง หรือจริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนอะไรกับเราบ้าง ที่จะทำให้เราดับทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ มันไม่ใช่การเข้าวัดสวดมนต์แล้วขอพรอันยาวเหยียด มันการรับน้ำมนต์เพื่อให้เราโชคดี มันไม่ใช่การกราบไหว้ของที่มันผิดไปจากธรรมชาติ
มันน่าเศร้านะ ถ้ามีคนมาถามคุณว่า บนนะโม ที่เราท่องกันติดปากเนี่ย มันแปลว่าอะไร (โอย พิมพ์ไปน้ำตาไหลเลย)
ขอเกริ่นก่อนแล้วกันว่าอะไรดลใจให้เราไปปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐานในครั้งนี้
เดือนก่อนเราไปเจอทราย เพื่อนสมัยมอต้นที่ไม่เคยเจอกันมา 10 ปีตอนไปสมัครแอร์ ทรายเปลี่ยนไป นิ่งขึ้น แต่นิสัยพื้นฐานก็ยังเหมือนเดิม ทรายก็เล่าให้ฟังเรื่องการไปปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐานที่มันไปมาแล้วหลายครั้ง มันก็ชวนเราว่าลองไปมั้ย ลางานได้มั้ย 8 วัน เราตกลงทันที เพราะเราไม่อยากรอ ไม่อยากให้กิเลสเรื่องเที่ยวมาทำให้เราหวั่นไหวอีกต่อไปแล้ว เพราะโบว์เคยชวนมาแล้ว แต่ตอนนั้นลานาน ๆ แบบนี้ไม่ได้ แต่พอมีหยุดยาว ๆ ก็ดันไปเที่ยวต่างจังหวัดก่อนซะงั้น นี่ไปแบบใช้เส้นด้วยนะ เพราะหลักสูตรเค้าเต็มไปถึงสิ้นปีแล้ว
เราตัดสินใจลางาน 8 วันตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน ถึง 3 ตุลาคม ก่อนเราจะไปวันสุดท้าย เคลียร์งานจนถึง 4 ทุ่ม ถึงบ้านเกือบเที่ยงคืนแล้วยังมีห่วงไปที่นั่นด้วย เพราะนายยังไม่ยอมเซ็นงาน เมื่อไม่เซ็นวันนั้น เงินเดือนก็ออกไม่ได้ ฝากให้พี่เค้าช่วยพูดให้หน่อย เพราะเราเตรียมไว้หมดแล้ว เหลือแค่จดเค้าจรดปากกา เพราะอธิบายให้นายใหม่ฟังทั้งวันจนถึงเกือบ 3 ทุ่มแล้ว (อย่างว่าแหละ ก่อนจะไปทำบุญ มันต้องมีมารมาดึงนิดนึง)
เข้าใจเลยนะว่าถ้าไม่มีบุญจริง ๆ จะเข้ามาทำไม่ได้ เพราะมันตั้ง 8 วันใครจะลางานได้ ฉันไปเที่ยวดีกว่า ติดโน่น ติดนี่ตลอดเวลา บุญไม่ถึงจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้ ต่อให้บังคับมา ถ้าบุญไม่มี หรือ ยังไม่ถึงเวลาของเค้าจริง ๆ เค้าก็ไม่มา ของอย่างนี้บังคับกันไม่ได้ บางครั้งใครมาชวนก็แทบจะเลิกคบกันไปเลย เพราะคนนึงจะคิดว่าไปเซ้าซี้ กดดัน น่าอึดอัด น่ารำคาญ ไม่ชอบ ไม่อยากไป พูดอะไรก็ไม่รู้ แต่คนชวนมีจิตคิดดี อยากช่วนเพื่อนให้พบทางสว่าง ดูสิคนเรา ดังนั้น จะชวนใคร ชวนรอบเดียวพอ ถ้าเค้าจะไม่มาแล้ว ขวนกี่รอบก็ไม่มา แต่ถ้าเป็นบุญของเค้าแล้ว ไม่ว่าเราจะเคยพูดไปนานแค่ไหน มันก็จะแว๊บเข้ามาเอง แล้วบัดนั้นแหละ จากเพื่อนที่เคยเลิกคบ จะกลับมาเป็นกัลยาณมิตรในที่สุด มีหลายคนเลย ที่ในวันเปิดใจ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอยากปฏิบัติธรรม แล้วคำพูดของกัลยาณมิตรของเขาก็แว้ปเข้ามาในหัว ทั้ง ๆ ที่พูดไปหลายปีแล้ว
น้ำน่ะมันไหลลงที่ต่ำ เหมือนกับกิเลสนั่นแหละ การว่ายทวนกระแสน้ำนั้นมันยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
เราจะเปรียบเทียบแบบนี้แล้วกัน อืม.... อะไรดี
คนที่เคยปฏิบัติแล้วเหมือนคนที่ยืนอยู่บนน้ำตกที่มีวิวแสนสวย แล้วกำลังยื่นมามาช่วยฉุดเพื่อนให้ขึ้นไปบนน้ำตกด้วยกัน แต่ทำไมเค้าต้องไปด้วยล่ะ ในเมื่อแอ่งน้ำข้างล่างก็โอเคอยู่แล้ว กว่าจะฝ่าแรงโน้มถ่วงของโลกกับกระแสน้ำขึ้นมันมันลำบากจะตาย แถมวิวข้างบนก็ไม่เคยเห็น วิวตรงนี้ก็ดีอยู่แล้ว บ้ารึเปล่า
วันที่ 26 พุธที่แล้ว ตัดสินใจปิดมือถือ 8 วัน ตัดทุกอย่างจากโลกภายนอก เตรียมใจไม่พูดกัน 8 วัน ตื่นตี 4 กินมังสวิรัติ ตัดกิเลสทั้งปวง เดินเข้าศูนย์ปฏิบัติธรรมด้วยใจที่(พยายาม)สงบ ไปถึงห้องปฏิบัติธรรมครั้งแรก ตะลึงมาก ทำไมมีคนให้ความสนใจกันมากมายขนาดนี้ ในห้องนั้นมีคนที่มาประมาณ 300 คน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มาใหม่ มีผู้ชายน้อยนะ ประมาณ 40 คน ครึ่งนึงเป็นคนแก่ แต่มีน้องคนนึง น่ารักดี เด่นมาก เพราะหน้าเหมือนฟิล์มเลย ลุคนักร้องอาร์เอสมาก ๆ (แน่ะ มาทำอะไรฟระ อ้อ มาส่องหนุ่ม เอ้ย ปฏิบัติธรรม 555)
แล้วมาคุยกับน้องเค้าวันสุดท้ายนะ จริง ๆ ด้วย น้องเค้ามากับแม่ แม่ขอให้มาเป็นเพื่อน น้องเค้าอยู่อาร์เอสจริง ๆ กำลังจะออกเทปสิ้นปีนี้ เคยออกมาแล้วชื่อวงทรีดิฟ โหย ไม่อยากจะบอกว่ามีซีดีพร้อมลายเซ็นน้องเค้าด้วย (แต่ไม่เคยฟังเลย เพราะได้มาฟรี เล่นเกมส์ชนะ 555) ตอนนี้น้องเค้าก็ร้องเพลงตามผับ ขออนุโมทนาบุญนี้ให้น้องดังเป็นพลุแตกนะจ๊ะน้องบาส
พอเอาของไปเก็บก็ตกใจอีก ทำไมห้องนอนมันสะอาดเรียบร้อยแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นห้องนอนรวม นอนกันเป็นร้อยคน แต่ห้องเรียบร้อยมาก มีพัดลมให้ทั่วถึง มีดาดฟ้าให้ตากผ้าด้วย
พอมาดูห้องน้ำยิ่งตกใจ ทำไมสะอาดแบบนี้ เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าทำความสะอาดกันวันละ 3 ครั้ง ยิ่งกว่าโรงแรมอีก
แล้วที่ตกใจสุด ๆ ก็คือโรงอาหาร อาหารอร่อยมาก แม้ว่าจะเป็นมังฯ แต่อร่อยมาก ๆ มีกับข้าว 3 อย่างทุกวัน อร่อยทั้ง 3 อย่างเลย แถมมีขนมหวาน มีเค้ก มีไอติมอีก โอ๊ย อิ่มหนำ ขอขอบคุณเจ้าภาพร่วมที่นำขนมมาบริจาคมา ณ ที่นี้นะคะ หนูช้อบ ชอบ แถมเราไม่ต้องตักเองด้วยนะ เค้าตักมาใส่จานเราพร้อมใส่ถาดหลุมมาให้ทั้ง 300 คน เรามีหน้าที่หยิบมานั่งกินเท่านั้นเอง จานก็ไม่ต้องล้าง เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐาน เดินจงกรมกับนั่งสมาธิ และฟังธรรมบรรยาย
วันแรกการไม่พูดล้มเหลว เพราะเจอกับอุ๊บอิ๊บ เพื่อนมอต้นเหมือนกัน ไม่เจอกันมา 10 ปี คงต้องมีเรื่องอัพเดทถามไถ่กันเป็นธรรมดา จริง ๆ ไม่ใช่วันแรกสิ ทั้ง 8 วันไม่มีวันไหนที่เราไม่มีกับอิ๊บเลย 555 แถมเค้าตื่นตี 4 มาเดินจงกรม นั่งสมาธิ แต่พวกเราก็ไปถึงห้องปฏิบัติตอนตี 5 เค้าทำกันไปแล้ว ไปถึงตอนเค้าไหว้พระสวดมนต์ สมาทานศีลแล้วไปกินข้าวพอดี 555
เอาสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐาน 8 วันนี้ดีกว่า ตอนแรกเรานึกว่าจะมีแต่คนแก่ แต่พอมาสังเกตจริง ๆ คนแก่น้อยมากนะ ประมาณอายุ 50 ขึ้นไปรุ่นแม่เรามีประมาณ 40-50 คนเองจาก 300 คน นอกนั้นก็คละ ๆ กันตั้งแต่ 15 ขึ้นไป
ตอนปฏิบัติธรรมวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 มีอาการประหลาดเกิดขึ้นกับเราด้วย วันที่ 4 ใจเราสั่นตั้งแต่เช้า พอเที่ยง ๆ บ่าย ๆ นั่งสมาธิไม่ได้เลย เพราะเครื่องในทุกอย่างมันสั่นไปหมดเลย เรารู้สึกได้ แต่คนอื่นไม่เห็น ก็ไม่ได้คิดอะไร
พอวันที่ 5 เครื่องในไม่สั่นแล้ว มันย้ายมาสั่นที่คอกับปาก พูดไม่ได้เลย พูดตอนเดินจงกรมเหมือนมีลูกคอ 7 ชั้นเลย แล้วปากก็กระตุกทุก 3 วินาที กินข้างไม่ได้เลย กินปุ๊บ ปากกระตุก ลิ้นแข็ง ข้าวหรือน้ำกระฉอกออกมาหมดแล้ว ยิ่งตอนนั่งสมาธิยิ่งแล้วใหญ่ พอนั่งเป็นท่านั่งสมาธิปุ๊บ ขาสั่นไม่หยุดเลย ควบคุมไม่ได้เลย แต่นั่งพับเพียบไม่เป็นนะ คราวนี้ในใจเรากลัวมากเลย มันปากกระตุกจนอิ๊บเห็นได้ชัดเลย กระตุกตลอด ควบคุมไม่ได้ ร้องไห้ ร้องห่ม กลัวว่ามันไม่หาย ติดกลับบ้านไป เลยไปปรึกษากับอาจารย์แล้วก็วิทยากร เค้าบอกว่ามันเป็นสภาวะธรรม อย่าไปตกใจ อย่าไปกลัว ถ้ากลัวให้กำหนดว่ากลัวหนอ ตกใจหนอ เอาใจไปรู้แล้วพยายามแผ่เมตตา ที่เป็นแบบนี้เพราะเจ้ากรรมนายเวรเค้าต้องการพิสูจน์ความอดทนของเรา แล้วเค้ายังไม่ยอมอโหสิกรรมให้เรา เราก็พยายามอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลจากการเดินจงกรม นั่งสมาธิให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ แล้วขอให้เค้าอโหสิกรรมให้เรา ท่องแบบนี้ตั้งแต่อาจารย์บอกยันเข้านอน แล้วหวังว่ามันจะหายภายในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 6 มันก็ยังไม่หาย แต่ปากกระตุกน้อยลงแล้ว เราก็พยายามอธิษฐานจิตเหมือนเดิมจนเข้านอน
วันที่ 7 มันเลยหายไป
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ เพราะมันเกิดกับตัวเราเอง เพราะจากคนอื่นบอกว่าบางคนวันที่ 3 วันที่ 4 เดินจงกรมไม่ได้เลยเพราะปวดท้องมาก อีกคนก็ปวดหัวมาก คนที่ปวดหัวหอบของกลับบ้านไปหาหมอรักษาที่โรงพยาบาล แล้วจนบัดนี้อาการของเค้าก็ยังไม่หาย หมอก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม ส่วนคนที่ปวดท้องก็อยู่ปฏิบัติธรรมจนครบ 8 วัน อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เพราะเค้าเคยทำแท้ง แล้วเด็กเค้าแค้นไม่อโหสิกรรมให้ เค้าแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลตลอดเวลาเหมือนกัน ขนลุกเนอะ
เราว่าคนแก่เค้าคงเคยมากันแล้ว ๆ ก็มาใหม่เรื่อย ๆ อึดกันมาก ๆ เรานี่ทึ่งมากเลย วิทยากรก็บอกว่า การปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐานไม่ใช่กิจกรรมของคนแก่ หรือ คนที่มีปัญหาหนัก ๆ แล้วมาหาที่พึ่งทำใจ เหมือนที่เค้าบอกกันว่า อย่าเข้าป่าตอนพลบค่ำ เพราะท่านจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันจะสายไปเสียแล้ว ควรจะมาตอนที่อยากจะมา อยากมาหาวิธีดับทุกข์ เรียนรู้สัจธรรม จะได้มีเครื่องมือและไม่ประมาทในการรับมือกับความทุกข์
โอเค เมื่อเวลาเรามีความสุข เราก็ไม่รู้หรอกว่าความทุกข์มันจะเข้ามาหาเราเมื่อไหร่ แต่เราควรจะเรียนรู้สัจธรรมไว้อย่างนึงว่า ทุก ๆ สิ่งนั้นไม่เที่ยง ความตายนั้นเกิดกับเราได้ทุกขณะจิต ดังนั้น เราจึงควรดำรงสติ แล้วเรียนรู้ว่าทุก ๆ อย่างในโลกนั้น มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (มันคืออะไร? ทำไมต้องมาเป็นภาษาบาลี? ไม่รู้เรื่อง? ไม่อยากอ่านแล้ว?)
ที่เราเพียรเดินจงกรม นั่งสมาธิวันนึงเกือบสิบรอบก็เพื่อจะได้เข้าถึงสิ่งนี้ จะได้รู้ว่าทุกสิ่งมันเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไปทุก ๆ อย่าง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนไปตลอดกาล ให้เราเตรียมใจรับมือกับความทุกข์ที่มากระทบใจเรา ให้ใจเรามันนิ่งที่สุด แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นตัวรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ พวกนี้ คำตอบนั้นง่ายมาก แต่กว่าจะรู้สิ่ง ๆ นั้นต้องเพียร พยายามอยู่ถึง 8 วัน ปวดหลังเหมือนมันจะหัก ปวดขาจนเหมือนมันจะหลุดออกจากกัน เหนื่อยกายจนแอบท้อจะกลับบ้านกันหลายรอบ ท่องไปสิ เพียรหนอ อดทนหนอ
สิ่ง ๆ นั้นก็คือ สติ นั่นเอง แล้วเมื่อมีสติรู้หนอ เราจะปล่อยวางเป็น
บางครั้งการอ่านอย่างเดียวมันก็ไม่ได้เข้าถึงธรรมได้ลึกซึ้งนะ เหมือนกับคนที่ไม่เคยคลอดลูกหรือมีลูกน่ะ ก็จะไม่รู้หรอกว่าแม่รักเราแค่ไหน จะรู้ก็ต่อเมื่อมีลูกเป็นของตัวเอง
ฉันใดก็ฉันนั้น
เราอ่านเรื่องเข็มทิศชีวิตของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุงไป 1 รอบก่อนเข้ามาที่นี่ แต่พอได้ฟังธรรมบรรยายเรื่องเดียวกันในนั้น ความรู้สึกมันคนละเรื่องเลยนะ ปัญญาเกิดขึ้นมาเลยนะ (ถึงมาจะเกิดน้อยนิดกว่าคนอื่นก็ตาม)
เรารู้สึกเลยว่าถ้าคนจะมาทำบุญ ทำกุศล หรือ ตัดกรรม มันต้องมาปฏิบัติเอง ต้องพากเพียรให้เจ้ากรรมนายเวรเห็นสิว่าเราตั้งใจที่จะขอให้เค้าอโหสิกรรมให้เรา ไม่ใช่เอะอะก็เสียเงินซื้อของไปปล่อย หรือ แค่ทำทานบริจาคเงินหรือสิ่งของ อย่างนั้นก็ได้บุญเหมือนกันนะ แต่จะน้อยกว่าการมาปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐาน เชื่อมั้ยว่าการที่เราเดินจงกรมอย่างมีสติในทุกขณะนั้น เพียงแค่มีสติใน 1 ขณะจิต เราสามารถตัดภพตัดชาติได้ 7 ชาติเลยนะ จริงหรือไม่ เราไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เราได้สติที่คอยตามรู้สภาวะของใจที่มันทุกข์ หรือ สุข เข้าใจว่าของทุกอย่างมันมีเกิด มีดับเป็นธรรมดา ให้เราปล่อยวางได้ในขณะนั้นก็เพียงพอแล้ว
Create Date : 03 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 4 ตุลาคม 2550 10:03:47 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2642 Pageviews. |
|
|
|
โดย: K_chang IP: 125.24.68.188 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:11:59:51 น. |
|
|
|
โดย: พัดลม IP: 134.155.8.239 วันที่: 9 ตุลาคม 2550 เวลา:2:14:50 น. |
|
|
|
โดย: เข้ IP: 124.120.41.211 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:08:42 น. |
|
|
|
โดย: Num IP: 124.121.45.190 วันที่: 13 เมษายน 2551 เวลา:9:18:23 น. |
|
|
|
โดย: Noon IP: 58.8.64.81 วันที่: 24 เมษายน 2552 เวลา:17:56:45 น. |
|
|
|
โดย: coo IP: 203.144.144.164 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:39:28 น. |
|
|
|
|
|
|
|