Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
6 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
คุ้มมั้ยเนี่ยที่จะเรียนภาษาเกาหลีเพื่อคุยกับหนุ่มเกาหลีที่ไม่รู้จะได้เจอกันอีกรึเปล่า

โอย
วิ้ง...
วิ้งมาเป็นอาทิตย์แล้ว
ยังอินไม่เลิกกับหนุ่มเกาหลีที่เจอเมื่อวันจันทร์แค่ไม่ถึง 2 นาที
อาการเหมือนจะตกหลุมรัก
ท่าทางจะลึกมาก เอาตัวเองขึ้นมาไม่ได้เป็นอาทิตย์ (อีนี่ก็เว่อร์จริง อะไรจริง)

ไม่มีความรู้สึกนี้มานานมากแล้ว
พอมีขึ้นมาก็ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
เพราะยิ่งอินง่าย ๆ มันเลยอินจัด อินเยอะ
นอนก็น้อย ก่อนนอนก็เพ้อได้อีก

เออ เรื่องนอนไม่หลับเนี่ย
ไม่ได้นอนไม่หลับเฉพาะเรื่องตัวเองตกหลุมรักนะ
เวลาชาวบ้านมาเล่าอะไรให้ฟังก่อนนอนเรื่องเพ้อใครหรือตกหลุมรักใครเนี่ย
อินี่จะนอนไม่หลับแทนชาวบ้านด้วย
ประมาณว่าอินไปด้วย ทำให้นอนไม่หลับไปด้วยว่างั้น
เป็นมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย ยันตอนนี้จะ 30 แล้วก็ยังเป็นอยู่
มันเหมือนมีสารอินโดรฟินด์หลั่ง
มีความสุขรู้สึกกระฉับกระเฉงเหมือนคนเวลาหลังเล่นกีฬาเสร็จ
แสดงว่าทุกครั้งที่เรานอนไม่หลับเหมือนเราได้ออกกำลังกายแล้วใช่มั้ยเนี่ย
อืม เป็นความคิดที่ดีนะเนี่ย แต่โทรมจริง อะไรจริง เพราะเช้าอีกวันต้องตื่นไปทำงานสิเนี่ย


เรื่องมันมีอยู่ว่า (ใครอยากรู้เนื่ย แต่ขอระบายหน่อย โทรเล่าให้เพื่อนฟัง 3 คนแล้วก็ยังไม่หายอิน)
เราดีลงานกับเจ้านายของพ่อหนุ่มเกาหลีคนนี้ที่หน้าเหมือนคนไทยมาก
แต่ไม่ใช่เป็นเชื้อชาติประเทศเพื่อนบ้าน
คนนี้ไม่น่าตื่นเต้นเพราะเคยดีลด้วยแล้วคราวก่อน ขี้เก๊กมาก แต่คราวนั้นมาคนเดียว

แต่คราวนี้
มา 2 คน
แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ก้มหน้าก้มตาทำงานไป
เพราะพี่แกเข้ามาในออฟฟิศก็ไปขอเอกสารกับพี่โต๊ะข้าง ๆ
แว่วว่า project เค้าเสร็จหมดแล้ว
หนุ่มเกาหลีเค้าก็เลยยืนรออยู่ตรงโต๊ะเรา
แล้วคงมองรูปที่เราห้อยโชว์ไว้ข้างโต๊ะ
เค้าเลยถามว่ารูปนี่ถ่ายที่ไหน

เราก็เลยเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อจะตอบคำถามเค้าหลังจากไม่ได้สนใจก้มหน้าก้มตาทำงานเพราะนึกว่าเค้า 2 คนมาหาพี่โต๊ะข้าง ๆ เลยไม่ได้สนใจเงยหน้าขึ้นมามอง

พอเงยหน้าขึ้นมามองเท่านั้นแหละ


ลมหายใจ......
เหมือนหยุดไปในห้วงนาทีนี้
เช่นหัวใจ.......
ลอยหลุดไปทันทีที่สบตา



เพลงนั้นมันบรรเลงอยู่ในหัวเราจริง ๆ นะ
แล้วเหมือน MV เลยอ่ะ
คือเราไม่ได้ยินเสียงผู้คนรอบตัวเลย ทุกคนเหมือนจะถูกแช่แข็งในห้วงนาทีนั้น
เหมือนไฟรอบตัวมันดับมืดไปหมดแล้วมีแสงไฟมาส่องที่เค้าคนเดียว


เธอหยุดยั้งวันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้ แค่พบเจอกับเธอ....


คือมันช่วงเวลาแป๊บเดียวจริง ๆ
เราก็ตอบเค้าไปว่าไปประเทศอะไร
(แต่เสียใจตรงที่ไม่ได้ทริปเกาหลีเนี่ยสิ เพราะเราไปคนเดียวเลยไม่ได้ถ่ายตัวเองไว้เลย ไอ้รูปที่ถ่ายมาก็ประมาณว่าเอื้อยสุดแขนถ่ายเองมันก็จะหน้าบาน ๆ น่าเกลียดเลยไม่คิดจะอัดรูปอะไรจากทริปเกาหลีออกมาเลย)

แล้วลูกพี่ก็มาขอเอกสารจากเราแล้วบอกให้ลูกน้องจด
เราก็มองแว้บ ๆ ตอนเค้ากดหน้าก้มตาจด
ใจละลายมาก พ่อหนุ่มเกาหลีถนัดซ้าย (แต่ดันลืมมองว่าใส่แหวนรึเปล่า เพราะส่วนใหญ่วัฒนธรรมคนสัญชาตินี้ถ้าแต่งงานแล้วก็จะใส่แหวนกันหมด)

คิดอยู่ในหัวว่าอยากถามเป็นภาษาเกาหลีว่าเป็นคนเกาหลีรึเปล่า
แต่ก็มัวแต่อึ้ง แต่เขินอยู่นั่นแหละ
คิดอยู่ว่าจะถามดีหรือไม่ถามดี
เพราะรู้อยู่แล้วว่าทุกคนที่มาอยู่ที่นี่สัญชาติอะไร เพราะสัญชาติเดียวกันหมด
แต่ไม่รู้ว่าการไปถามเค้าว่าเชื้อชาติอะไรเนี่ยมันเป็นการ discriminate รึเปล่า

เพราะเคยถามหนุ่มเกาหลีในออฟฟิศซึ่งมีอยู่คนนึงว่าอะไรจำไม่ได้แล้วเกี่ยวกับสถานที่ในเกาหลีเนี่ยแหละก่อนที่เราจะไปเที่ยวคนเดียวในโซล
แต่เค้าก็ไม่ค่อยภูมิใจในความเป็นเกาหลีเท่าไหร่เลยนะ
แล้วเค้าก็บอกว่าจะไปรู้ได้ยังไง เพราะเค้า move จากเกาหลีไปตั้งแต่ยังเล็ก
แล้วหลายคนก็บอกว่าเค้าคิดว่าเค้าเป็นคนสัญชาติใน passport ที่เค้าถืออยู่ไปแล้ว
เค้าไม่ได้คิดว่าเค้าเป็นคนเกาหลี ทั้ง ๆ ที่หน้าเค้าเกาหลีเป๊ะมาก (แบบก่อนทำศัลยกรรมอ่านะ)
เคยคุยกับเค้าเป็นภาษาเกาหลีงู ๆ ปลา ๆ กับเค้าด้วยนะ
ก็เหมือนเค้าจะเข้าใจนะ
แต่ก็ตอบเรากลับมาเป็นภาษาอังกฤษ เลยเลิกถามไป

เราก็เลยคิดแล้วคิดอีกว่าจะถามพ่อหนุ่มคนนี้ดีมั้ย
คิดไป คิดมา คิดอยู่นั่น จนเค้าจดเสร็จก็พากันเดินออกไป แป่ว

พอเค้าออกไปก็เก็บอาการไม่เคยอยู่เล้ย
ถามพี่โต๊ะข้าง ๆ ที่ห่างออกไปหน่อยว่าเห็นพ่อหนุ่มหน้าเอเชียไม่ระบุเชื้อชาติแต่คาดว่าน่าจะเป็นเกาหลีรึเปล่า
พี่เค้าดันบอกว่า เห็นลาง ๆ แต่ไม่ได้เห็นหน้าชัดเพราะไม่ได้ใส่แว่น
อืม
ลืมไป พี่แกสายตาสั้นนิดหน่อย แต่เวลาทำงานไม่ค่อยยอมใส่แว่นทำให้มองเห็นหน้าชาวบ้านไกล ๆ หน่อยไม่ชัด

นึกเสียดายว่าเมื่อกี๊น่าจะถามไปว่าเป็นคนเกาหลีรึเปล่า
แต่ก็คิดอีกที
แหม เจ้านายเค้าก็ยืนอยู่ตรงนั้นจะให้ถามประเจิดประเจ้อก็กระไรอยู่
เดี๋ยวเจ้านายเค้าจับไต๋ได้ไม่พามาออฟฟิศนี้อีกทำไง
แต่ก็อาจจะไม่ได้เจอกันแล้วเพราะ project ฝึกในไทยเค้าจบไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเค้าต้อง move ไปที่ไหนต่อ
หรือถ้าไม่ move เค้าก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องมาออฟฟิศเราแล้ว
คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ฯลฯ คิดได้เยอะและเวิ่นเว้อมากอยู่ในหัว

หลังจากเป็นผีบ้าฟุ้งซ่านไปซักพัก
เค้า 2 คนกลับมาใหม่!!!!!

สิ่งแรกที่ทำหลังจากเห็นเค้า 2 คนเปิดประตูมาก็คือ
แอบตะโกนเบา ๆ บอกพี่ในออฟฟิศให้ใส่แว่นด่วน
ทั้ง ๆ ที่เจ้านายคนไทยอิชั้นก็นั่งทำงานอยู่ตรงข้าม
พอเจอผู้ชายทีนึง อีนี่สติหลุด พูดข้ามหัวนายไปเลยซะงั้น

คือเค้าเข้ามาประชุมกับเจ้านายฝรั่งเรา
แต่ก็แอบมองได้นะ เพราะโต๊ะประชุมมันไม่มี partition กั้น
ประชุมกันต้องส่วนโล่ง ๆ ที่มีโต๊ะประชุม
พี่ในออฟฟิศที่หลังจากน้องให้ใส่แว่นส่องหนุ่มก็แอบมาส่งสัญญาณยกนิ้วโป้งให้ 2 นิ้ว
กรี๊ด
แสดงว่าแบบนี้น่ารัก standard ใช่มั้ยคะ หุหุ
ก็จะตี๋ ๆ ผิวแทน ๆ หน้าไม่เหลี่ยมนะ ล่ำ ๆ หน่อย ไม่ได้ผอมแห้งเหมือนพวก Boy Band เกาหลี

แต่น่ารัก standard ไม่ดีเลยอ่ะ
พวกน่ารัก standard เนี่ย
เพราะถ้าเรามองเค้าว่าน่ารักในสายตาเรา
คนอื่นก็มองเค้าน่ารักเหมือนกัน
งานนี้อาจจะต้องเหนื่อยหน่อย
นี่กรูคิดอะไรของกรูไปถึงไหนแล้วเนี่ย
ผู้ชายเค้ารู้มั้ย
โน่น
นั่งเจี๋ยมเจี้ยมประชุมอยู่ตรงโน้น ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกะกรูเล้ย 555

หลังจากที่เค้าประชุมเสร็จ
ไอ้คนพี่ประเทศเพื่อนบ้านขี้เก๊กก็มาขอเอกสารจากเรา
ลูกน้องเลยเดินตามมาด้วย
เอาล่ะเว้ย
คราวนี้เป็นไงเป็นกัน
กรูไม่มีอะไรจะเสีย
ขอถามไอ้สิ่งที่คาใจหน่อยแล้วกัน
หลังจากที่ให้เอกสารกับเจ้านายเค้าไปแล้ว

ก็รีบหันไปทางเป้าหมายแล้วก็ถามเป็นภาษาเกาหลีที่คิดว่าน่าจะรู้กันแค่ 2 คน กรี๊ด ><
ว่าเป็นคนเกาหลีเหรอ
เค้าก็ตอบว่า เด
กรี๊ด
จริงด้วย
เลยพูดไปอีก 2-3 ประโยคแนะนำตัวเอง
เค้าก็ฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
อะไรวะ
ไมมันไม่แนะนำตัวเองกับตูมั่งอ่า
ชื่ออะไรตูยังไม่รู้เลย T-T
แล้วเค้าก็พากันออกไป

ไป ๆ มา ๆ
จากที่นับแล้วเนี่ย
ได้คุยกับพ่อหนุ่มเกาหลีคนนี้แค่ 2 ประโยคเองนะ
แต่เวิ่นเว้อ detail ได้ยาวขนาดนี้
คือเค้าถามว่ารูปนี่ไปถ่ายที่ไหน
กับที่เค้าตอบเราว่าเป็นคนเกาหลี
อะไรจะเป็นบทสนทนาที่สั้นขนาดนี้วะ

แต่ทำให้อีนี่เพ้อจนมาถึงวันนี้ คิดดูแล้วกัน
หลังจากที่เค้าพากันออกไปจากออฟฟิศตอน 11 โมงครึ่ง
เหมือนเวลาหยุดหมุน
เพราะอีนี่ทำงานไม่ได้เลยฮับ
แถมยิ้มสิ้นเปลืองมากอยู่คนเดียว
ไอ้งานที่ถืออยู่ว่าจะต้องทำอะไรกับมันก็ถืออยู่อย่างนั้นแหละเป็นชั่วโมง
แล้วก็คิดไม่ออกว่าตูจะทำอะไรกับมันวะ
มัวแต่คิดเรื่องพ่อหนุ่มคนนั้นอยู่ซ้ำไปซ้ำมา
แล้วก็คิดว่าจะได้เจอกันอีกมั้ยเนี่ย
เสียดายจังไม่มีอะไรที่จะติดต่อเค้าได้เลย
มีแต่อีเมลพ่อหัวหน้าขี้เก๊กของฮีที่เราต้องดีลงานด้วย
แต่ไม่มีอีเมลฮีเลย ชื่อก็ยังไม่รู้จัก โอ๊ย คิดฟุ้งซ่าน เวิ่นเว้อบ้าบอจนเลิกงานก็คิดดูแล้วกัน

จริง ๆ เราเป็นคน friendly มากนะ
แต่พอเจอหนุ่มถูกใจทีไร คำพูดมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
ไอ้คำพูดเนี่ยมีเยอะมาก วนอยู่ในหัว แต่ก็คิดแล้วคิดอีกว่าควรจะพูดมั้ย
พูดไปมันจะดีรึเปล่า ร่าเริงมากไปเดี๋ยวเค้ารู้อีกว่าแอบชอบเพราะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่
พ่อหนุ่มคนนี้เลยได้ภาพจำเป็นอีกลุคนึงของเราที่นั่งนิ่ง ๆ ยิ้ม ๆ เขิน ๆ ไปแทนตัวตนที่แท้จริงไปซะงั้น


เอิ่ม
ถ้าวันที่หนุ่มเกาหลีมาแล้วเจ้านายตูไม่อยู่เนี่ย และเจ้านายฮีไม่ยืนขวางอยู่เนี่ย
ตูก็คงรวบรวมความกล้าชวนฮีคุยไปแล้วแหละ
(แต่ไม่รู้ว่ารวบรวมพอมั้ยนะ เพราะแค่มองหน้าก็เขินจะแย่แล้ว จะพูดอะไรออกมาแทบจะไม่เป็นคำ)


แล้วมีอยู่วันนึง
นั่งรถพี่ฝรั่งขี้เล่นไปทำธุระแถวบ้านพี่แก
ก็ชวนคุยเรื่องโน้น เรื่องนี้
แต่พยายามจะโยงเข้าข้อมูลหนุ่มเกาหลีคนนี้ซะหน่อย
พอกำลังจะถึงเป้าหมาย
เราดันต้องลงพอดี
เวงกำ

แต่ถามไปฮีก็คงไม่รู้อะไรหรอก
เพราะตอนประชุมก็แอบเห็นว่าพี่เกาหลีไม่ได้พูดอะไรซักคำ
นั่งฟังแล้วก็จดอย่างเดียว

แต่แค่รู้มาว่าเค้าไม่ได้เรียนภาษาไทยเลย
แล้วจริง ๆ เค้าไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย เพราะเวลาทำงานจะมีจ้างล่ามมาแปลให้ทุกประโยคอยู่แล้ว
แต่เค้าสามารถเรียนรู้ได้เองเพราะเวลาล่ามกลับไป เค้าก็ต้องอยู่ให้ได้เพราะฝึกต่างจังหวัดด้วย

แทนที่เค้าจะเรียนภาษาเรา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอยากเรียนรึเปล่า
เราควรจะฝึกเรียนภาษาเค้าดีกว่ามั้ย
จริง ๆ ก็พอรู้แค่บางคำ บางประโยคที่สั่งสมมาจากการดูซีรี่ย์และหนังเกาหลีมาร่วม 5 ปีของเรา
แล้วก็ไปผจญภัยเที่ยวคนเดียวมาแล้วที่เกาหลีก็พอได้บางประโยคเพิ่มขึ้น
แต่มันก็ยังไม่พอที่จะพูดคุยกับเค้าหรอก
มันต้องมากกว่านี้
แล้วเวลาคุยก็ไม่อยากให้เจ้านายขี้เก๊กเค้ารู้ด้วยว่าเราคุยอะไรกัน

รู้สึกมีแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาเกาหลีขึ้นมาทันที
ซึ่งอารมณ์นี้เคยเกิดขึ้นตอนดู Coffee Prince จบใหม่ ๆ แล้วบ้าเกาหลีมาก
แล้วพอนาน ๆ ไปความรู้สึกนี้ก็หายไปเอง
แต่พ่อหนุ่มคนนี้ทำให้พลังนั้นกลับมาใหม่ (โดยที่เค้าไม่เห็นทำอะไรเล้ย กรูคิดเอง เออเอง มีแรงบันดาลใจเองหมดเลย บ้าจริง)

ตอนนี้ถึงกับจะอัดรูปที่ไปเที่ยวเกาหลีมาห้อยไว้แทนรูปเดิมที่เค้าเห็นเลยนะ
แล้วจะฝึกเขียนภาษาเกาหลีมาแปะเอาไว้ข้างรูปด้วย
เน้นกลุ่มเป้าหมายเต็ม ๆ
คนอื่นอ่านไม่ออกช่างเมิง
ให้เป้าหมายกรูอ่านออกเป็นพอ 555

เพื่อนบอกว่าให้ทำนามบัตรเล่น ๆ กิ๊กก๊อกของเราเตรียมไว้เลย
เพราะพวกเราไม่มีนามบัตรกันอยู่แล้วยกเว้นนาย ๆ
ทำเผื่อไว้ เผื่อเจอกันคราวหน้าก็ให้นามบัตรน่ารัก ๆ ของเราไว้เลย
ทำเป็นภาษาเกาหลีไปเลยก็ดีนะ ให้รู้กันไปเลยว่าตั้งใจทำให้คนเดียว 555

กำลังคิดว่าถ้ามาอีกตอนกวน มึน โฮยังไม่ออกโรง
จะแอบเนียนชวนไปดูด้วยกันนะเนี่ย เพราะมันถ่ายที่เกาหลีทั้งเรื่อง
เค้าก็คงคิดถึงบ้านเกิดเค้ามั้งแหละ
เอ๊ะ แล้วถ้าไม่ได้เกิดเกาหลีล่ะ เพราะไม่ได้สัญชาติเกาหลีนี่
เอาน่า แต่อย่างน้อยก็เป็นคนเกาหลี
อาจจะไม่ได้กลับไปเกาหลีนานแล้ว หรือกลับบ่อยก็ช่างมันเหอะ
แต่ยังไงก็จะชวนมาดูเกาหลีในสายตาคนไทยผ่านหนังเรื่องนี้ซะหน่อย

ทำไมตูต้องมี strategy ขนาดนี้วะเนี่ย เพื่อจะได้สานต่อกับหนุ่มคนเดียวเนี่ย

ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่รู้นะว่าจะได้เจอเค้าอีกรึเปล่าหลังจากบทสนทนาไม่ถึง 1 นาทีในตอนนั้น
เพราะอย่างที่บอกว่า project เค้าจบไปแล้ว
เค้ามาหาเราเพื่อจะเคลียร์เอกสารขั้นสุดท้ายที่จบ project แล้วเท่านั้น
แล้วก็มาประชุมสรุปกับนายเราแล้วก็จบเท่านั้น (มั้ง)

แต่คนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง
ไม่แน่ว่าถ้าเค้ามาอีก อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรบ้างที่จะมีเรื่องให้ถามต่อ หรือคุยต่อยอดกันบ้าง
อย่างน้อยถ้าได้เจอก็จะได้ไม่มานั่งเสียดายว่าทำไมไม่ทำอะไรซักอย่าง
เพราะการเสียดายสิ่งที่ตัดสินใจไม่ทำมันเจ็บปวดว่าเสียดายสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำมากมายนัก
ถ้าไม่ทำโอกาสเป็น 0
เราไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว (เฮ้อ เหนื่อยจริง ๆ กับการผู้หญิงไม่สวยสมัยนี้)

ถึงไม่ได้เจอก็ไม่เป็นไร
เพราะคาดว่าไม่นาน
ความรู้สึกนี้มันก็คงจางลงไปเองถ้ารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

ถ้าได้คุยแล้วมันพัฒนาไม่ได้
ก็ถือว่าได้เพื่อนมา 1 คน ไม่เห็นเสียหายอะไรเล้ย

โอ๊ย
ดูสิ
เขียนเวิ่นเว้อตั้งแต่ 4 ทุ่มยันจะตี 2 แล้วก็ยังเพ้อ ไม่หลับไม่นอน
เวลาเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังทีไรตาจะเป็นประกาย ดูมีพลังที่ไม่รู้มันมาจากไหน

เอาไปเขียน status ใน facebook
มีพี่ที่ทำงานคนละแผนกบอกว่า
เอามั้ย ชั้นมีชื่อ นามสกุล อีเมล เบอร์โทรด้วย
เพราะเค้าต้องให้ชั้นจองตั๋วให้
เค้าก็เป็นอย่างนี้แหละ ดูเงียบ ๆ ขี้อาย ๆ เรียบร้อย ๆ ไม่รู้เพราะมากับเจ้านายรึเปล่านะ
เดี๋ยวชั้นจดให้เอามะ
เอิ่ม
พี่คะ
ก่อนจะได้ตรงนั้นเนี่ย
หนูขอรู้ได้ได้มั้ยคะว่าเค้าแต่งงานหรือยัง?
เหอะ ๆ



Create Date : 06 กันยายน 2553
Last Update : 14 กันยายน 2553 19:33:32 น. 10 comments
Counter : 2097 Pageviews.

 
ลุ้นไปด้วย แบบนี้ต้องเรียกว่ารักแรกพบสิเนอะ


โดย: Sugar lip วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:1:57:07 น.  

 
น่าร้ากกก มากกกก
แอบมาให้กำลังใจ
ให้สำเร็จนะคะ ...เพี๊ยงงง..


โดย: BARAM-MEE-SO IP: 61.19.219.191 วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:13:53:47 น.  

 
เพิ่งรู้ว่าเค้ากลับประเทศไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว T-T

เอาวะ

อยู่ไกลกันหมื่นลี้ ถ้ามีวาสนาต่อกันก็ต้องได้เจอกัน (อีก)
อยู่ใกล้กันซึ่งหน้า ถ้าไม่มีวาสนาต่อกัน ก็ไม่รู้จักกัน

ว่าจะเขียนเรื่องเที่ยวเกาหลีต่อ ไฟในตัวดับวูบ

สงสัยคงต้องรอมันบิ้วใหม่ก่อนถึงจะมีกำลังใจและอารมณ์เขียนใหม่


โดย: ยัยลีลี วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:14:06:40 น.  

 
สวัสดีนะ

.

ก๊อกๆๆ สวัสดี ยัยลีลี
ตามมานี่ ตามที่เจอ ตามที่เห็น
จึงขอ อนุญาต ลงคอมเมนต์
ตามความเห็น ที่เป็นไป ของใจเอง

จากที่ฟลุ๊ค คลุกคลีคน ชาติเกาหลี
พวกมาดดี ไฮดีกรี การศึกษา
อีกพร้อมด้วย ทุนทรัพย์ รับหน้าตา
มักไม่มา คู่ความโสด ให้โดดครอง

หนุ่มเกาหลี ตี๋สูงโปร่ง โครงร่างเนี๊ยบ
มาดคมเฉียบ เพียบพร้อมเลิศ ส่วนสมอง
สาวที่เห็น เป็นธรรมดา จะต้องมอง
น่าใฝ่ปอง ลองใจฝัน ช่างสวยงาม

ในความจริง มีบางสิ่ง อิงซ่อนเร้น
ไม่ได้เป็น เช่นที่พบ เห็นเสมอ
พวกดูได้ วัยกลางคน เท่าที่เจอ
ไม่ได้เผลอ ตกถึงท้อง กะเหรี่ยงใด

ที่ยังว่าง ส่วนมาก คือเหลือเลือก
แล้วกระเสือก กระสน หาเมียหลวง
มักเป็นพวก ใช้แรงงาน ฐานะกลวง
แสวงหาบ่วง ชนชาติเซาท์ อีสเอเชีย

เคยมีเพื่อน คล้ายละเมอ และเพ้อหา
ถึงแม้ว่า ไม่ได้โสด แต่อยู่เหงา
ระวังเจอ ที่เอาเปรียบ แบบเพื่อนเรา
รายนั้นเศร้า เกินคาดเดา สงสารจริง

.

แวะมาทักทายค่ะ
หนุ่มเกาหลีกลับไปแล้วหรือคะ

อ่านเนื้อหา แล้วชวนต่อกลอน
หวังว่าคำตอบคงไม่ทำให้ผิดหวัง

เรื่องภาษา คิดว่าแรงจูงใจอาจต้องใส่เพิ่ม
ถ้าคิดจะเรียนจริงๆ

ตามอ่านพาเที่ยวเกาหลี น่าสนใจจริงๆ ค่ะ
ขอชมว่า ถ่ายรูปได้น่าเที่ยวตามมาก
บรรยาย เห็นภาพ ราวกับได้ไปด้วยเลย

ขอบคุณด้วยนะคะ คงได้ตะลอนไปหลายที่
ที่ยังไม่ได้แวะด้วยเลย thank you ka ;)

ปล. จดคอมเมนต์ตามตอนนำเที่ยวแต่ละตอน
เอาไว้เป็น bullet เลย ยาวพอประมาณ
ถ้าคิดว่าอาจเป็นประโยชน์บอกไว้ละกันนะคะ
จะเอามาแชร์ด้วย...

thank you for let me share ;)


โดย: เลื้อย วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:19:10:28 น.  

 
อยากจะกรี๊ดมากที่คุณเลื้อยมาเยี่ยมถึงที่นี่ค่ะ
ชอบกลอนที่ตั้งใจแต่งให้มากเลยค่ะ
มีอะไรแชร์ ก็แชร์ได้เลยค่ะ
จะตามไปอ่านทุกบน ทุกตอนเลยค่ะ

โอ๊ย... ซึ้ง


โดย: ยัยลีลี วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:20:28:37 น.  

 
ขำอ่ะค่ะ หนุ่มคนนั้นกลับประเทศแล้วถึงกับไฟในตัวดับวูบเลยเหรอคะ แล้วตกลงเค้าแต่งงานยังอ่ะคะ (ยังลุ้นตามอยู่)

ตอนนี้ที่เมกาสิบโมงเช้าค่ะ


โดย: Sugar lip วันที่: 8 กันยายน 2553 เวลา:0:14:58 น.  

 
อ้าวๆๆๆ ถามเค้าไปเลยว่ามีแฟนยังคะตัวเอง ยอจาชินกุอิซซอโย ฮ่าๆๆๆ (ถ้าประโยคนี้ผิดครูจะตีหนูไหมคะ)

Lilac อ่านไปก็ลุ้นตัวโก่ง เดี๋ยวนี้เพื่อนๆ บล๊อกชอบเป็นสาวสองสัณชาติกันหลายราย นึกว่าลีลีจะตามไปติดๆ เอิ๊กกกก

แต่คบคนต่างชาติก็ต้องปรับตัวหลายๆ อย่างนะคะ ยิ่งหนุ่มเกาหลีด้วยแล้ว วัฒนธรรมเราต่างกันน่ะค่ะ แต่หลายๆ คู่ก็ลงเอยแฮปปี้นะ

ปล. ชอบหนุ่มล่ำๆ เหมือนกัน กรี๊ดดดด


โดย: copo de nieve วันที่: 10 กันยายน 2553 เวลา:20:49:01 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่ลีีลี ~

อ่านของพี่แล้ว นึกถึงตัวเองเลย 555

คิดถึงคนนั้นมากๆ แต่คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ TT

จะติดตามบล็อคพี่ไปเรื่อยๆนะคะ ^^


โดย: 지은 IP: 183.89.57.76 วันที่: 10 กันยายน 2553 เวลา:23:02:33 น.  

 
อยากข่มตานอนทั้งคืนแล้วฝันถึงกัน
ไม่อยากตื่นพบใครอยากนอนอยู่ร่ำไปอย่างนี้ทั้งคืน
จะหยุดเวลาไว้ฝันได้ไหมหรือเออ จิตใจเราต้องกัน
ผูกพันแต่แรกเจอ ต่างคนต่างรู้ดี

แต่ฝันลำเอียงไม่เหมือนความจริง
ทิ้งเราให้หลงในภวังค์ (ร่ำไป)
เจอะกันเพียงเพียงครั้งเดียว (เรื่องจริง)
พูดกันเพียงแป็บเดียว(แอบอิง)
ยังมิพอ



โดย: ยัยลีลี วันที่: 5 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:34:24 น.  

 
มาอินด้วยคนค่ะ

อ่านไปก็เขินไป


โดย: piGipo วันที่: 31 ธันวาคม 2553 เวลา:2:49:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.