Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
6 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 
8 วันสำหรับความเจ็บปวดอันคุ้มค่า กับการไปปฏิบัติเตโชวิปัสนาของคนรักสบายอย่างเรา แฮ่

บล็อคนี้ เราเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับเตโชวิปัสสนากรรมฐานของอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล แล้วอยากไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ณ เตโชสถาน แก่งคอย สระบุรี

เรารู้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังน้อย
เข้าไป search เกี่ยวกับการไปปฏิบัติ ก็จะเจอแต่คนไม่เคยไปแล้วอาจจะเดากันไปเรื่อยว่าใช่วิปัสสนาหรือ รวมถึงการตั้งคำถามกลับ แล้วก็ไม่มีคำตอบ พร้อมกับคำปรามาสอื่น ๆ จนคนที่อยากไป อยากเข้าถึงธรรม เกิดความเสื่อมศรัทธาและตัดสินใจไม่ไป โดยที่ยังไม่ได้อ่านข้อมูลของคนที่เคยไปมาเลย

เราจึงเขียนบล็อคนี้ขึ้นมาเป็นประสบการณ์ให้ทุกคนที่อยากไปและยังไม่เคยไปได้รู้ล่วงหน้าว่าไปแล้วเราต้องทำอะไรบ้าง
ที่อยู่ ที่กิน รวมถึงควรเตรียมตัว เตรียมใจอย่างไร
จากประสบการณ์"จริง"ของสาวออฟฟิศธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ง้องแง้ง รักสบาย หนักไม่เอา เบาไม่สู้ เรื่องเยอะอย่างเรา

เชื่อเถอะว่า ถ้าคนอย่างเราผ่านมาได้ ทุกคนก็ผ่านมาได้เหมือนกัน
ขอเพียงแต่ให้มีศรัทธาที่ตั้งมั่น เปิดโอกาสให้ตัวเอง 8 วันโดยไม่มีข้ออ้างอันใด
แล้วคุณจะรู้ว่า 8 วันนี้ จะเปลี่ยนชีวิตของคุณไปมากเพียงใด
(พูดเหมือนขายคอร์สแพง ๆ เลยเนอะ แต่ที่นี่คุณไม่ต้องใช้เงินเลยซักบาทเดียว แต่เค้ามีกล่องให้บริจาคตามแต่ศรัทธา)


ขอเกริ่นก่อนเลย
ว่าเราเป็นคนเยอะ
เยอะในที่นี้คือ เรื่องเยอะ
โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา เลือกกิน เลือกอยู่
ไม่ค่อยมีความอดทน
หนักไม่เอา เบาไม่สู้
อยากตื่นกี่โมงก็ตื่น
วันไหนไม่ทำงานก็ตื่นเที่ยงหรือหลังเที่ยงตลอด
รักความสะอาดของห้องน้ำสุด ๆ
ขนาดที่ว่าห้องน้ำแฉะเข้าไม่ได้
ห้องน้ำต้องสะอาด แห้ง
เราทนกับคนเข้าห้องน้ำสกปรกไม่ได้เลย


แล้วเราก็ทำความสะอาดห้องน้ำเราอย่างดี
ห้องน้ำที่เราใช้ทุกห้องจะมีแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อตลอดทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
เราก็จะใช้แอลกอฮอล์เช็ดฝารองนั่ง หัวชำระ หัวก๊อก ลูกบิดประตูทั้งด้านในและด้านนอกที่ต้องสัมผัสมืออยู่บ่อยครั้ง
(แต่ก็ไม่ได้เยอะที่จะทำทุกครั้งที่เข้านะ บ้านเรา เราใช้เอง ทำขนาดนั้นก็โรคจิตเกินไปหน่อย)

อย่างอ่างล้างหน้าและกระจก
หลังจากเราล้างหน้า แปรงฟันเสร็จ
เราก็ล้างให้สะอาดแล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างดีไม่ให้กระจก อ่างและหัวก๊อกเป็นคราบน้ำนะ

ของในห้องน้ำก็จะมีให้น้อยที่สุด
และจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนตะแกรงที่ให้ช่างมาติดไว้
จะไม่มีอะไรมาพาด มากอง ๆ ให้มันรกบนด้านหลังชักโครกเด็ดขาด

แล้วไม่ได้เยอะแค่ห้องน้ำ
เป็นคนเยอะเรื่องอาหารการกินด้วย
เพราะเป็นคนไม่กินเผ็ด(เลย) และไม่(ค่อย)กินผัก
ในชีวิต คิดว่ากินผักได้ไม่เกิน 10 ชนิด รวมต้นหอมกับผักชีแล้วนะ ฮา ๆ





เอาละ
เข้าเรื่อง
พอดีเพื่อนสนิทกับสมัยมอต้นที่เรายังนัดเจอกินข้าวกันเดือนละครั้งสองครั้ง
เค้าไปปฏิบัติเตโชวิปัสนากรรมฐานที่แก่งคอย สระบุรีมา 7 คืน 8 วัน
เค้าก็เอาบุญมาฝาก เราก็อนุโมทนา สาธุกับเค้าไป
เราก็ถามเค้าว่าเป็นยังไงบ้าง
เค้าก็บอกว่า ดีมาก แล้วน้ำตาไหลเลย
แล้วเค้าก็เอาหนังสือของท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกลมาให้อ่าน

ใครที่ยังไม่เข้าใจว่าเตโชวิปัสสนาคืออะไร
ขอคัดลอกถ้อยแถลงของท่านอาจารย์มาให้อ่านดังนี้

เตโชวิปัสสนากรรมฐาน มาจากคำว่า เตโช+วิปัสสนากรรมฐาน คือหลักการปฏิบัติวิปัสสนาด้วยวิธีการจุดธาตุไฟในกายมาเผากิเลส โดยการเพ่งที่ฝ่ามืออย่างถูกต้อง อันเป็นวิธีทางลัดตัดตรงสู่นิพพาน ตามหลักสติปัฏฐานสี่ - พึงมีความเพียรเผากิเลส ซึ่งหลักปฏิบัติไม่เคยมีใครได้รู้วิธีการมาก่อน พระอาจารย์สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ได้สื่อจิตมาสอนอาจารย์อัจฉราวดีในปี 2550 จนได้เข้าถึงมรรคผล ชั้นสูงอย่างรวดเร็ว และได้เปิดสอนภาวนาให้แก่บุคคทั่วไป โดยอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ตามแนวทางการสื่อจิตมาสอนโดย
สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี






หนังสือเล่มแรกที่อ่านคือเตโชวิปัสสนา...เปิดประตูนิพพาน
โอ้โห
ท่านอาจารย์เขียนได้สนุกมาก ได้พลังอยากปฏิบัติมากเลย
ใครไม่เคยอ่าน แนะนำให้หามาอ่านค่ะ
อยากให้อ่านทุกเล่มเลย เพราะดีมากทุกเล่ม
ไม่ว่าจะเป็น รู้แล้วลุย




สิ้นชาติ ขาดภพ (หนังสือเล่มล่าสุดของท่านอาจารย์ ภาคต่อจากรู้แล้วลุย)





ฆราวาสบรรลุธรรม






แล้วก็เล่มล่าสุด ฆราวาสบรรลุธรรม 2



Image Hosted by PicturePush



ถ้อยคำสื่อกระแสจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อันเนื่องมาจาก
'จะมีหนึ่งนารี'
เผยปริศนาว่า ที่สุดปัญญาธรรมดาจะหยั่งรู้ว่า
ทำไมผู้ทรงธรรมแห่งกึ่งพุทธกาลต้องเป็นนารี?
.
คำสื่อกระแสจากพระฤาษีลิงดำ
"กาลแห่งแสงทองผ่องอำไพ พุทธรรมจะเกริกไกรทั่วแดนดิน
กาลนั้นมาถึงแล้วโดยนารี แสงทองแห่งรสอมตธรรม
ผู้ปลุกจิตหมู่ชนโดยผู้ทรงธรรมในร่างสตรี ที่เผยแพร่ขยายความสำนึกที่ถูกต้องและดีงาม
ให้หันกลับมามองและฟื้นคืนธรรมแท้ ที่ถูกบิดเบือนไปสู่ทุกที่ที่มีพื้นดิน"

.
..
คำที่หน้าปก...
"ไม่ใช่ภาคต่อ แต่เป็นภาคเผยความลับของจักรวาล
และจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น"
.
"มิใช่เป็นเพียงหนังสือ หากแต่เป็นคัมภีร์เอกอุ
ที่มาถึงในกึ่งพุทธกาลดั่งพุทธทำนาย เพื่อเผยความจริงว่า...
ฆราวาสหลุดพ้นได้มิติเร้นลับในแดนจิต ถูกไขความลับอย่างกระจ่างแจ้ง
จนไม่อาจพลาดสายตา แม้แต่ตัวอักษรเดียว"

ที่มาของภาพปก เป็นภาพที่ท่านอาจารย์ยกกำลังจิตขึ้นสูงสุดเช่น
ผู้ทรงธรรม แห่งกึ่งพุทธกาล ในมหาภารกิจแผ่เมตตา
ตัวอย่างบทในหนังสือ จาก 42 บท มีดังนี้
..
1. พุทธปาฏิหาริย์ที่ทรงยืนยันศักดานุภาพแห่งสายธรรม
2. เบื้องลึกที่มา ตุ๊กตาลูกเทพ
3. อีกมุมหนึ่งของธรรมะกับพญานาค
4. เมื่อนักวิทยาศาสตร์ปิดอบายภูมิ
5. สนามพลังงานกับการหลุดพ้น
6. ปล้นสติสัมปชัญญะ ด้วยคลื่นแม่เหล็ก
7. กระแสพลังงานที่ถูกแปลงเป็นนิมิต
8. กับดักอภิญญา วิชชา3
9. รอยสัก รับขันธ์ เจอการเอาคืน
10. แก้กรรมหรือเพิ่มกรรม
11. คุณไสย กับทางแก้
12. ภัยที่มากับอภิญญาตาที่สาม และทิพยจักษุ
13. ธรรมะกับการเล่นหุ้น
14.พลังศักดิ์สิทธิ์ พระคาถาชินบัญชร
15. อิทธิพลของตัวเลขและอาถรรพ์ 7 ปี ที่แท้คืออะไร
16. วิธีเชื่อมกระแสพลังพระรัตนตรัย
17. ทำอย่างไรให้เป็นฆราวาสบรรลุธรรม
18. เงื่อนงำ สังโยชน์ 10
19. สภาวะจุดจบในพุทธศักราชที่ 5000
.
ตรวจสอบสาขา และตำแหน่งที่ตั้งร้านหนังสือ ได้ที่
B2S
https://goo.gl/FTjEil

ซีเอ็ดบุ๊กเซ็นเตอร์ https://goo.gl/fYP3OI
ร้านนายอินทร์ https://goo.gl/6Zg5BN

หนังสือขนาด 400 หน้า 42 บท
ราคา 170 บาท


Image Hosted by PicturePush




ไม่เป็นหนังสือธรรมะที่น่าเบื่ออย่างที่หลายคนเค้ากลัวเลย
เลยไปตามมาอ่านทุกเล่ม
เกิดกำลังใจอยากไปปฏิบัติมาก
แต่ติดว่าเป็นเราคนเยอะไง
แล้วถ้าจะไป ขอมีเพื่อนไปด้วย
ถึงแม้ว่าจะรู้แหละว่าเค้าไม่ให้พูดกันตลอด 7 วัน
แต่ถ้าได้เห็นหน้าเพื่อนก็ได้กำลังใจซะหน่อย
ชวนอยู่ไม่กี่คนหรอก (เพราะคนที่สามารถชวนมาทางด้านนี้ได้มีน้อยน่ะ)
แล้วสุดท้าย เราก็ได้พี่ที่ออฟฟิศที่เค้าปฏิบัติมาหลายสายไปด้วยกัน




Image Hosted by PicturePush




ลงชื่อล่วงหน้านานหลายเดือน เพราะคอร์สใกล้ ๆ เต็มหมด
ลงชื่อตั้งแต่เดือนตุลาได้มั้ง
ได้ไปเดือนมีนาอีกปีนึง
แต่จริง ๆ ใจอยากไปเดือนมกรา เพราะมันเย็น
จุดธาตุไฟมันก็คงจะร้อน ถ้าเจอหน้าร้อนเดือนมีนาเนี่ย
คนที่เยอะและขันติน้อย ล้มเลิกอะไรได้ง่ายคงได้เก็บของกลับบ้านก่อนตั้งแต่วันที่ 2


สุดท้าย
เราก็ได้ไปคอร์สเดือนมกราที่ผ่านมาจริง ๆ
บุญมาถึงแล้ว
ต่อให้มีมารก็จะคว้าบุญนี้ไว้ให้แน่น
เจ้าหน้าที่โทรมาคอนเฟิร์มล่วงหน้าเกือบเดือน
ยิ่งใกล้วัน ยิ่งกลัวการจะไป
เจ้าหน้าที่ดีมาก
ก่อนหน้าวันไป 1 อาทิตย์ก็โทรมาคอนเฟิร์มอีกรอบว่าไปแน่รึเปล่า
เพราะบางคนอยากไปมาก สุดท้ายก็ไปไม่ถึง มีเหตุให้ไปไม่ได้
เพราะมีมารมาขวางไม่ให้เข้าถึงธรรม
ทำให้ป่วยต้องเข้าไปนอน รพ บ้างล่ะ หรือต้องดูแลคนอื่นที่เกิดป่วยกระทันหันบ้างล่ะ
หรืองานเข้าเจ้านายไม่ให้ไปในอาทิตย์สุดท้ายบ้างล่ะ
ดีนะที่มันไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากค่ารถเท่านั้น
มารมันขวางสกัดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงมรรคผลทุกวิถีทาง


แล้วก่อนวันไป 1 วัน
เจ้าหน้าที่ก็โทรมาคอนเฟิร์มให้แน่ใจอีกรอบว่าไปแน่นะอีกครั้ง
นับถือในการทำงานของอาสาสมัครทุกท่านจริง ๆ

เราน่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย
ลาน่ะ ลาได้อยู่แล้ว 5 วัน เพราะไปวันอาทิตย์กลับวันอาทิตย์
แต่ติดอยู่ที่ใจเท่านั้น
ห้องน้ำจะเป็นยังไงหว่า (บอกแล้วว่ายึดมั่นถือมั่นห้องน้ำสะอาดอย่างสุดจิต สุดใจ)
แล้วตารางมีแต่ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ รวมกันตั้ง 8 ชั่วโมง
ตูจะนั่งพื้นไหวเหรอว้า ปวดก้นจากอาการกล้ามเนื้อสะโพกบีบรัดเส้นประสาทยังเรื้อรังรักษาไม่หายอยู่เลย
นั่งนานก็ไม่ได้ ขนาดนั่งเก้าอี้หรือโซฟาสบาย ๆ ยังต้องเปลี่ยนท่านั่งเกือบทุกครึ่งชั่วโมงเลย
เพราะกล้ามเนื้อตรงก้นมันจะค่อย ๆ เกร็งขึ้นเรื่อย ๆ จนหนีบเส้นประสาทให้ปวดจี๊ดขึ้นมา




Image Hosted by PicturePush




ถามเพื่อนที่ไปมาแบบไม่ละเอียดอย่างใจเพราะกลัวเพื่อนหาว่าไปปฏิบัติธรรมยังจะเยอะอีก
เลยถามว่า กลางเขาแบบนั้น
อาหารการกิน ห้องนอน ห้องน้ำเป็นยังไงเหรอ
เพื่อนก็บอกคร่าว ๆ ว่า
ก็คนส่วนใหญ่ถือศีล 8 แต่คนมาปฏิบัติครั้งแรกสามารถถือศีล 5 ได้
ก็กินมังสวิรัติ (เวงละ ผักก็ไม่กิน จะกินอะไรได้เนี่ยช้าน)
แล้วตอนเย็นคนถือศีล 8 ก็มีน้ำปานะให้
ส่วนคนถือศีล 5 เค้าก็มีขนมปังไว้ให้


ส่วนเรื่องการนอน
นอนเดี่ยว (เวงละ กลัวผีอยู่)
แต่ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่นอนคนเดียวในเรือน
เป็นเรือนนอนรวม แต่มีไม้ไผ่กั้นเป็นห้อง
แต่คนข้าง ๆ นอนพลิกตัวเราก็ได้ยินแล้ว
แต่เราไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องที่นอนอยู่แล้ว
เพราะเราจะแบกหมอนไปเอง (เยอะเนอะ)


แล้วห้องน้ำล่ะ (อันนี้ตั้งใจฟังมาก)
เพื่อนบอกว่าเป็นชักโครก กับ ฝักบัว
จริง ๆ อยากถามละเอียดมากกว่านั้นนะเกี่ยวกับห้องน้ำ
แต่เพื่อนพูดขึ้นมาซะก่อนว่าไปปฏิบัติธรรมนะ ไม่ใช่ไปเที่ยว
เราต้องทำตัวกินง่าย อยู่ง่ายเยี่ยงนักบวชเนกขัมมะ
คือว่า
ที่นอนเนี่ย เรายังเอาของ ๆ เราไปได้
แต่ห้องน้ำเนี่ย เราไม่สามารถเอาชักโครก สายชำระ ฝักบัว อ่างล้างหน้าไปด้วยได้นี่นา
เลยได้แต่เตรียมแอลกอฮอล์และทิชชู่ไปเยอะหน่อย
ซึ่งเป็นสิ่งที่แบกไปเอาได้
ก็บอกแล้วว่าเป็นคนเยอะ 555




Image Hosted by PicturePush




อ้าว
ยังไม่ถึงแก่งคอยซะที
รำมา 2 หน้ากระดาษแล้วมั้ง
อ่ะ ๆ
จนสุดท้าย
เราก็ได้จองรถตู้ที่เค้ามีบริการส่งถึงที่คนละ 600 บาทขาดตัวสำหรับการไป-กลับ
คนไปรถตู้ไม่เยอะนะ
ส่วนใหญ่ขับรถไปเองกันมากกว่ามั้ง
เพราะมันใกล้กรุงเทพนิดเดียว
ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว


ไปถึงก็มีการปฐมนิเทศว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
จริง ๆ เป็นกฎก็ว่าได้
แต่หลัก ๆ ก็คือห้ามพูดและเค้าจะยึดมือถือและอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดของเราเอาไว้ตั้งแต่วันแรกและคืนเอาวันสุดท้าย
ซึ่งเราโอเคนะ
เพราะเคยไปปฏิบัติที่ยุวพุทธ 2 รอบ 8 วันกับเพื่อนก็ไม่พูดกันก็อยู่ได้
เพราะการพูดมันทำให้เราไม่อยู่กับกายกับจิตของเรา
ห้ามส่งสายตา (อันนี้ทำไม่ค่อยได้) หรือเขียนกระดาษ
เพราะมันก็เป็นวิธีการสื่อสารที่ทำให้เราฟุ้งซ่านเหมือนกัน
แล้วชีวิตเราไม่ค่อยมีใครโทรมาหาอยู่แล้ว
ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายโทรหาเพื่อนมากกว่าเวลามีเรื่องจะเม้า ฮา ๆ

แล้วก็ห้ามกลับก่อน ต้องอยู่ในครบ
อันนี้ก็คิดว่าทำได้นะ เพราะตอนไปยุวพุทธก็อยู่จนครบทั้ง 2 รอบ




เค้าจะบอกไว้เลยนะว่า

ผู้ปฏิบัติจะต้องรักษากฏระเบียบอย่างเคร่งครัด
เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
ต้องสำรวม โดยเฉพาะกฏของการไม่พูด เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
เป็นการลดการปรุงแต่งเข้าสู่กระแสจิต
การอบรมนี้ไม่ใช่เป็นเพียงให้ผู้แสวงธรรมมาถือศีล สวดมนต์ แล้วมาช่วยปัดกวาดศาลาธรรม
แต่เป็นการมาปฏิบัติภาวนาขั้นสูง เพื่อก้าวสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ที่จองจำชีวิตมาเนิ่นนานนับชาติภพไม่ถ้วน
ผู้ปฏิบัติจำต้องมีความมุ่งมั่น มีความเพียรอย่างแท้จริง เพื่อการเข้าถึงซึ่งมรรคผล

เป็นไงล่ะ
อ่านแล้วหึกเหิมมั้ยล่ะ

แล้วขอโทษ
ดูตารางการปฏิบัติแต่ละวันซะก่อน
ถือว่าโหดนะ สำหรับคนหนักไม่เอา เบาไม่สู้ และรักสบายอย่างเรา

04.10 น. ตื่นนอน
04.30 - 06.30 น. ปฏิบัติรวม และ เดินจงกรม
06.30 - 08.00 น. อาหารเช้า และ ทำกิจส่วนตัว
08.00 - 11.00 น. ปฏิบัติภาคเช้า (พัก 10 นาทีทุกชั่วโมง)
11.00 - 13.00 น. อาหารเที่ยง และ นอนพัก
13.00 - 16.30 น. ปฏิบัติภาคบ่าย (พัก 10 นาทีทุกชั่วโมง)
16.30 - 17.00 น. เดินจงกรม
17.00 - 18.30 น. ดื่มน้ำปานะ และ พักผ่อน
18.30 - 19.30 น. ปฏิบัติรวม
19.30 - 20.45 น. ฟังธรรมบรรยาย และ สวดมนต์
21.00 น. พักผ่อน นอนหลับ


สิ่งที่เราอ่านแล้วก็ชอบก่อนที่จะไปปฏิบัติก็คือ
มีนอนกลางวันด้วย เข้าทางเลย แฮ่
แต่มารู้ทีหลังว่ามันต้องนอนจริง ๆ
เพราะเพ่งจิต จุดธาตุไฟมาเผากิเลสนี่มันใช้พลังเยอะมาก
ทั้งสติ สมาธิให้จิตจดจ่ออยู่ที่เดียว เวลามีสังขารอะไรผุดขึ้นมาก็รู้แล้วก็มาเพ่งที่ฝ่ามือต่อ
แล้วบางคนไม่ได้พักเลยนะ
เค้าสร้างขันติบารมีกัน เพียรนั่งเพ่งกัน 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงต่อเนื่องโดยไม่ลืมตา ไม่แยกมือ และไม่เปลี่ยนท่านั่ง
เราจึงต้องนอนให้จิตมันอิ่มแล้วมาสู้กับกิเลสต่อในภาคบ่ายและค่ำ



หลังจากปฐมนิเทศ เราก็ได้พบท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
แล้วก็เริ่มนั่งปฏิบัติเลย
ที่เบาะนั่งจะมีชื่อไว้แล้วว่าใครนั่งตรงไหน ห้ามเปลี่ยนที่นั่ง
(มารู้ทีหลังว่าท่านอาจารย์ใช้จิตจัดที่นั่งว่าใครควรนั่งตรงไหน)
ที่นี่จะไม่มีพัดลมนะ เป็นลมธรรมชาติล้วน ๆ
เพราะลมเป็นปฏิปักษ์กับไฟ




2 วันแรกจะให้ฝึกอานาปานสติ กำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจ
เราฟุ้งซ่านมาก
จิตกลับมาที่บ้าน กลับมาที่ทำงาน กลับมาหาหมอนวดคู่ใจทุกชั่วโมงเลย
บทจะได้สติหน่อยก็ฟุ้งอีกแล้ว
ปวดขาขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับปวดก้นที่ตัวเองมีปัญหา
แต่ดีนะที่มีเบาะรองนั่ง ทำให้ไม่ปวดหลัง
(จริง ๆ เพิ่งมารู้ว่าบางคนก็ปวดหลังมาก ใครที่ปวดหลัง เขาว่าทำกรรมกับพ่อแม่มา)

ด้วยความที่ทุกคนปิดวาจา
เวลาปฏิบัติจะเงียบ สงบมาก
เงียบขนาดที่ว่า
คนข้าง ๆ กลืนน้ำลาย เรายังได้ยินเลย
ใครท้องร้องก็ได้ยิน
เงียบขนาดนั้น
แต่จิตเราก็ไม่สงบอยู่ดีด้วยความที่จิตไม่ได้รับการฝึกมาหลายปี แถมกิเลสยังหนาทึบไม่ให้เราเข้าถึงธรรมนั่นเอง

ท่านอาจารย์จะมีสอบอารมณ์ทุกวัน
ท่านมีเมตตามาก ตั้งใจฟังศิษย์ทุกคนและคอยเพ่งช่วยเหลือตลอด
ขนาดตัวเราผู้เป็นคนที่เยอะ จิตยึดมั่น ถือมั่นกับที่อยู่ ที่กิน กิเลสหนา ยังรับรู้ถึงกระแสเมตตาที่ท่านอาจารย์ส่งให้ตั้งแต่วันแรกที่ปฏิบัติเลย
แล้วก็รู้สึกเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วัน




Image Hosted by PicturePush




คนที่มาปฏิบัติที่นี่ได้ถือว่ามีบุญมากนะ
เพราะไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะมาได้นะ
ต้องเคยสะสมบุญ หรือ เคยปฏิบัติกรรมฐานมาบ้างแล้วในหลาย ๆ ชาติ
ถึงจะได้มาถึงสถานที่ปฏิบัตินี้
ซึ่งเราเชื่อนะ เราได้ยินมาตั้งแต่เราไปปฏิบัติที่ยุวพุทธแล้ว
เพราะมีหลายเคสมาก
ที่ตกลงมีจิตมุ่งมั่นที่จะมา สุดท้ายมาไม่ได้
มีเหตุในล้มป่วย หรือ งานเข้า อะไรก็ตามที่ทำให้มาไม่ได้อย่างที่ได้เล่าไป

เรากลับมาชวนเพื่อนผู้หญิงให้ไปเพราะมันเป็นทางที่ประเสริฐมาก
เพื่อนผู้หญิงก็มักจะมีคำถามว่า อาหารการกิน ที่อยู่ ที่นอน ห้องน้ำ ห้องท่าเป็นยังไง
ก็ขอเล่าให้ฟังตรงนี้เลยแล้วกัน
จะได้ไม่ต้องไปจินตนาการกัน เพราะบางคนเป็นว่าเป็นภูเขากลัวว่ามันจะนอน จะเข้าห้องน้ำลำบากรึเปล่า
ขอบอกว่าไม่เลย
ขนาดคนที่เรื่องเยอะ เรื่องมากอย่างเรายังผ่านมันมาได้เลยทั้ง 7 คืน 8 วัน
คนอื่นก็ต้องผ่านมันไปได้อย่างสบายแน่นอน
ขึ้นอยู่กับว่าใจคุณอยากหรือพร้อมจะมารึเปล่า
ถ้าคุณตั้งใจจะมา แล้วคุณมีบุญถึงจริง ๆ เชื่อเถอะว่าทางจะเปิดให้คุณได้มา




Image Hosted by PicturePush




Image Hosted by PicturePush



อาหารมังสวิรัติที่นี่ก็อร่อย
ขนาดคนกินไม่กินเผ็ด ไม่ค่อยกินผัก เลือกกิน กินยากอย่างเรายังกินได้เลย
กินได้ในที่นี้ก็คือ
กินข้าวกับแกงจืดผักมันเกือบทุกมื้อ
คือแกงจืดก็จะเปลี่ยนไปนะ แต่อร่อยหมดเลย
ไม่ว่าจะเป็นแกงจืดวุ้นเส้นผักกาดขาว ต้มจับฉ่าย ต้มกระหล่ำ ต้มฟัก ฯลฯ
แต่ก็แอบมีอยู่มื้อนึงนะที่เรากินกับข้าวไม่ได้เลย
จำได้ขึ้นใจ 1 มื้อ คือมื้อนั้นมีผัดไชโป้ว เกี้ยมฉ่าย แล้วก็ผักอะไรอีกอย่างที่เรากินไม่เป็น ไม่รู้ว่าเป็นใบปอ หรือ กานาฉ่าย
ซึ่งยัยนี่กินไม่เป็นซักอย่าง
แต่ไม่ต้องกลัวไป
เค้ามีขนมปังแสตนบายให้คนเลือกกินอย่างเรา
พร้อมด้วย topping ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น nutella กับ peanut butter พร้อม







แล้วแต่อยากจะทา ไม่ว่าจะเป็น นมข้นหวาน โอวัลติน เนยถั่ว หรือแม้แต่ช็อคโกแลต
อ้อ ที่นี่กินชา กาแฟ โอวัลตินได้นะ มีน้ำแข็งให้ในบางวันด้วย เพราะบางครั้งมื้อกลางวัน ขนมหวานจะเป็นพวกน้ำแข็งไส
พวกที่ติดกาแฟ ไม่กินแล้วง่วงก็ไม่ต้องกังวลใจไป
เค้ามีเตรียมไว้ให้ไม่ขาด พร้อมนมข้นหวาน คอฟฟี่เมท น้ำตาลพร้อม
ชอบตรงนี้แหละ เพราะเราชงโอวัลตินกับนมข้นหวานกินวันละหลายแก้ว ฟินนน...

มาถึงที่นอนกันบ้าง
เรือนนอนเป็นเรือนนอนรวม แต่มีไม้ไผ่แบ่งซอยเป็นห้อง ๆ ซ้าย ขวา มีทางเดินตรงกลาง
นอนบนแคร่ไม้ไผ่ที่มีที่นอนปูแล้วมาพร้อมผ้าปู ปลอกหมอน หมอน มุ้ง พัด น้ำ แก้วน้ำ แล้วก็ร่มเตรียมไว้ให้พร้อม
เรียกได้ว่าดีกว่าที่จินตนาการไว้อีก












ส่วนห้องน้ำ
ใครที่เค้าไม่เยอะ เรียกได้ว่าดีมากเลย
เพราะอยู่กลางป่า
แต่ห้องน้ำเป็นชักโครกกับฝักบัว แถมมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ตั้งครึ่งนึงของห้องน้ำทั้งหมด 7 ห้องต่อ 1 เรือนนอนที่นอนได้ประมาณ 20 คน
แต่ด้วยความที่เราเป็นคนเยอะ กิเลสหนา ยึดมั่นถือมั่นกับห้องน้ำแห้ง ๆ
เราเลยรู้สึกอึดอัดไม่น้อย (สำหรับเราคนเดียวนะ)
ถามคนอื่น ไม่มีใครรู้สึก รู้สึกว่ามันดีไปด้วยซ้ำ ซึ่งถ้ามองด้วยใจเป็นกลางก็ถือว่าจริงอย่างที่สุด
ก็แหม ถ้าใครอาบน้ำด้านใน เสร็จเดินออกมาตรงชักโครกมันก็ต้องเปียกเป็นธรรมดา
แต่ใจเรามันไม่ยอมรับในความเปียก ความธรรมดาของมัน ใจเราก็เลยเป็นทุกข์
เพราะห้องน้ำบ้านเรา ๆ จะกำแพงกั้นส่วนเปียกกับส่วนแห้งแล้วมีผ้าเช็ดเท้าไม่ให้ความเปียกมาปนเปื้อนกับส่วนที่แห้งไง (แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา)
แต่อยู่ ๆ ไปซักวันท้าย ๆ เราก็จะชินไปเอง
เพราะมนุษย์เรา มีความสามารถในการปรับตัวให้เคยชินกันทุกคน




Image Hosted by PicturePush




อีกอย่างที่เราชอบเกี่ยวกับที่นี่นะ
คือที่นี่สวดมนต์น้อยดี
เน้นปฏิบัติเยอะ
เพราะเราเป็นคนไม่ชอบสวดมนต์
ที่นี่สวดบทเดียวก่อนนอนคือพระคาถาชินบัญชรของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เพื่อคุ้มกันจิตเราตอนนอนเท่านั้น

เราชอบฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ในทุก ๆ คืนด้วย
ทำให้จิตมันสว่าง มองเห็นธรรมมากขึ้น
แล้ว 3 ทุ่มก็ได้แยกย้ายกลับเรือนนอน
เราไม่มีปัญหาเรื่องการนอนอยู่แล้ว
ที่นอนแบบไหน เสียงดังแค่ไหน เราก็นอนหลับ
จิตเราเลยไม่ยึดมั่นกับเรื่องนี้
แต่ก็มีบางคนที่ต่างที่แล้วนอนไม่หลับ
แต่เชื่อเถอะว่าจะเป็นแค่คืน สองคืนแรกเท่านั้นแหละ
เพราะต้องใช้จิตเพ่งรวม 8 ชั่วโมงต่อวัน มันล้านะ
ทำงานออฟฟิศธรรมดา 8 ชั่วโมง จิตเราก็แวปไปแวปมา ซัดส่ายได้ตามใจทุกวินาที
ไม่ต้องใช้สติสัมปชัญญะเพ่งต่อเนื่องที่เดียว 8 ชั่วโมงแบบนี้เลย







มาต่อวันที่สอง
ตื่นตี 4 เป็นครั้งแรก
แอบสัปหงกตอนปฏิบัติด้วย
แต่เป็นเช้าเดียวที่สัปหงกนะ หลังจากนั้นก็ไม่เป็นละ
เพราะยังไม่เคยชิน
แต่พอตอนหลังจากไปอาบน้ำ กินข้าวเช้ามาแล้ว
เริ่มปฏิบัติใหม่ตอน 8 โมง จิตเราเริ่มนิ่งขึ้น
สามารถเอาสติมาจดจ่อที่ลมหายใจได้นานขึ้น
แล้วเวลาฟุ้งซ่านก็ดึงจิตกลับมาได้เร็วขึ้น
แต่จิตก็ยังกลับบ้านไปหาป๊ากับม้าเกือบทุกชั่วโมง

เรื่องปวดขานี่ไม่ต้องพูดถึง
ยังปวดมากขึ้นสะสมตั้งแต่วันแรก
แล้วปวดจนวันสุดท้าย
เราเป็นคนปฏิบัติที่ไม่มีขันติเลยนะ
ท่านอาจารย์กำหนดให้นั่ง 50 นาที พัก 10 นาที
เราก็ทำได้แค่นั้นจริง ๆ นะ
คือขนาดวันท้าย ๆ จิตนิ่งขึ้น เห็นสภาวธรรมมากขึ้น
ก็ไม่สามารถมีความเพียรนั่งได้เกินว่าที่ท่านอาจารย์บังคับ

เพราะจริง ๆ แล้วเนี่ย
เราสามารถสร้างความเพียร สร้างขันติบารมีโดยการนั่งให้มากกว่า 1 ชั่วโมง ไม่ลืมตา ไม่แยกมือ ไม่เปลี่ยนท่านั่งได้นะ
แต่เราทำไม่ได้ แฮ่
ก็บอกแล้วว่าเป็นคนหนักไม่เอา เบาไม่สู้
แค่นั่งให้ครบ 50 นาทีสำหรับเราก็ถือว่าหนักแล้วนะ
เพราะ 15 นาทีสุดท้ายของแต่ละชั่วโมงเนี่ย
ขาและก้นเราไปไม่ไหวแล้ว สติเริ่มขาดเป็นห้วง ๆ รอแต่เสียงระฆัง 555





แล้วพอได้ยินเสียงระฆังตีให้พักแล้วนะ
ใจเนี่ย อยากรีบลุกไปเดินนะ
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายไม่เอื้อ
แค่ลุกจะที่นั่งยังต้องค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกอย่างช้า ๆ เลย
ลุกเร็วก็ไม่ได้มันเจ็บ เดี๋ยวกล้ามเนื้อจะยึดด้วยทั้ง ๆ ที่อายุเพิ่งจะ 30
แล้วเวลาลงบันไดแค่ 3 ขั้นเนี่ย
งอเข่าไม่ได้เลย มันเจ็บ
เดินไปเข้าห้องน้ำ ยังต้องเดินแบบกางขาเลย ไม่สามารถงอเข่าได้เพราะมันปวด

พักตอนไหนไม่ปวดเข้าห้องน้ำก็รีบลงจากเรือนปฏิบัติเหมือนกันนะ
ไม่ใช่อะไร
รีบไปนอนแผ่ที่เรือน อยากยืดเส้นทั้งตัว 2 นาทีก็ยังดี 555


เฮ้อ เห็นมั้ย ร่างกายเราเนี่ยมันแก่ขึ้นทุกวัน ๆ ตั้งแต่เราเกิด
มันมีแต่จะเสื่อม จะเจ็บ จะปวด แล้วก็ตาย มันไม่มีอะไรเที่ยง
เข้ากฎพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง เราห้ามไม่ให้แก่ได้มั้ย ก็ไม่ได้
เราห้ามไม่ให้มันเจ็บได้มั้ย ก็ไม่ได้ ถ้าเราไปยึดถือว่าความแข็งแรงจะอยู่กับเราตลอด เราทุกข์มั้ย
แล้วเรายังอยากจะกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีกหรือ




Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush



Image Hosted by PicturePush




แต่ถึงแม้จะเจ็บปวด ทรมานร่างกายเรามากแค่ไหน
เราก็ถือว่าความเจ็บปวดพวกนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับธรรมที่เราได้ กับบุญกุศลที่เราพากเพียรปฏิบัติ กับกองกิเลสที่เราได้เผามันออกไป
กับปัญญา และธาตุไฟเตโช อาวุธที่เราได้กลับมาสู้กับกิเลส

ขนาดเราอายุไม่เยอะ เรายังปวดขนาดนี้
ยังเทียบความเพียรไม่ได้เลยกับคนอายุ 50-60 ที่ทุกท่านมีความเพียรมากกว่าเราอีก
ทั้ง ๆ ที่อายุมากกว่าเรา คล่องตัวน้อยกว่าเรา
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านจริง ๆ
คอร์สเรา อายุมากสุดคือ 77 นะ
นับถืออาม่าจริง ๆ
นั่งกับพื้นครบชั่วโมงทุกครั้ง
อาจจะมากกว่าเราด้วยซ้ำ พอดีอาม่าแกนั่งข้างหน้า เรานั่งข้างหลังเลยไม่ได้สังเกตน่ะนะ


ส่วนใครที่คิดว่านั่งพื้นไม่ได้จริง ๆ
ด้านหลังสุด เค้าก็มีเก้าอี้ให้ค่ะ
แต่คนที่นั่งเก้าอี้ก็ใช่ว่าเค้าอยากสบายนะ
แต่ด้วยสุขภาพเป็นโรคต่าง ๆ ที่เค้านั่งพื้นไม่ได้จริง ๆ
แต่ก็มีจิตตั้งมั่นมาปฏิบัติจนได้
นับถือจริง ๆ
จริง ๆ คือนับถือทุกท่านที่ได้มาสร้างบารมีในครั้งนี้และทุก ๆ ครั้งจริง ๆ
บางคนใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตกว่าจะได้เข้าถึงธรรม ได้พบทางที่เหมาะกับตัวเอง
แต่ชื่อเถอะว่า
อย่ารอให้เราแก่หรือทุกข์กาย ทุกข์ใจมาก ๆ แล้วค่อยหันหน้าเข้าหาธรรม
เพราะเมื่อนั้น จิตเราจะยิ่งฟุ้งซ่าน
เราควรจะมาเมื่อร่างกายและจิตใจเราสมบูรณ์ แข็งแรงเพื่อจะได้มีอาวุธต่อกรกับทุกข์ได้ต่อไป

บางคนกว่าจะมาถึงสถานที่ปฏิบัตินี่ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะ
บางคนมาจากต่างจังหวัดไกล ๆ ต่อเรือ ต่อรถมาไม่รู้ตั้งกี่ต่อ เดินทางเป็น 10 กว่าชั่วโมงกว่าจะมาถึง
มากันทุกภาค เหนือ ใต้ ออก ตก
ต้องใช้ใจที่มุ่งมั่นพากเพียรจริง ๆ
แต่ดูเราซิ
เค้ามีรถตู้บริการจากแถวพระโขนงถึงสถานปฏิบัติเลย
เดินทางแค่ชั่วโมงครึ่ง หลับไป 1 ตื่นก็ถึงแล้ว
เราสบายขนาดไหน
เทียบไม่ได้กับบางคนเลย
นับถือใจแต่ละคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดไกล ๆ กันจริง ๆ





วันที่สาม
เป็นวันแรกที่ได้เริ่มเรียนการปฏิบัติแบบเตโชวิปัสนาจริง ๆ
เพราะ 2 วันแรกท่านอาจารย์จะให้เราฝึกดูลมหายใจแบบอานาปานสติก่อนเพื่อฝึกจิตเราให้นิ่ง เป็นสมาธิก่อน
จิตเราก็ยังกลับบ้านหาป๊า หาม้าและหาหมอนวดอยู่เกือบทุกชั่วโมงอยู่ดี
ยิ่งหมอนวดนี่ ทุกชั่วโมงจริง ๆ
เพราะมันปวดขาและก้นมาก
แล้วเส้นที่ขาที่มันปวด มันตึงจากการนั่งปฏิบัตินานรวม 8 ชั่วโมงต่อวันเหมือนทำงานเนี่ย มันก็คือเส้นเดียวกับที่ก้นที่มันลิงค์กันนั่นแหละ
ก็ทำใจมาระดับนึงแล้วนะ แต่มันยังไม่พอไอ้ระดับนั้นเนี่ย
จิตมันเลยวิ่งกลับไปร้านหมอนวดทุ้กกก...ชั่วโมงการนั่ง แฮ่
เหลืออีกตั้ง 5 วันกว่าจะได้กลับบ้าน
ก็บอกในใจ อดทนหนอ พากเพียรหนอ ได้มาถึงที่นี่ ได้ปฏิบัติแล้ว ถือว่าทำบุญมาดีแล้ว เราต้องอยู่ต่อให้จบ ให้คนที่เค้าอยากมาแทนเราเค้าไม่เสียดายที่นั่งที่เค้าไม่ได้มา






วันที่สี่
เมนส์มา
แต่แปลกมาก
ไม่มีอาการและอารมณ์แย่ ๆ ก่อนเมนส์มาเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่อยากจะวัดว่าท้องจะไม่ปวด
เพราะเป็นคนที่ปวดท้องเมนส์หนักมากในวันแรก
เลยไม่อยากวัดว่าจะไม่ปวดรึเปล่า ก็เลยกินยาพอนสแตนกันไว้ก่อนเลยเหมือนทุกเดือน
สภาพจิตใจย่ำแย่มากกกก
อยากกลับบ้านมาก
เพราะขนาดเมนส์ไม่มาก็เป็นคนเข้าห้องน้ำนานอยู่แล้วเพราะมัวแต่ทำความสะอาดสุขภัณฑ์ ฮา ๆ
แล้วถ้าเมนส์มา ยิ่งนานเข้าไปใหญ่ เกรงใจคนที่รอมากมาย
แล้วห้องน้ำใกล้เรือนปฏิบัติก็มีแค่ 2 ห้องยังต้องรอและไม่ทันระฆังพักกันเลย
(คือพัก 10 นาทีเนี่ย กว่าจะเอาตัวเองเหยียดและลุกลงจากเรือนปฏิบัติได้เนี่ย ล่อไป 4-5 นาทีแล้ว รอเข้าห้องน้ำ 2 คิวก็หมดเวลาพักแล้ว)
แถมต้องใส่ชุดขาว เปื้อนทีล่ะเมิงเอ้ยยย
แต่ก็แปลกนะ เมนส์ก็เหมือนจะรู้เลย
เพราะมันมาน้อยกว่าทุกครั้ง
วันนี้เราใช้ความอดทนอย่างมากมาย
การปฏิบัติวันนี้ถือว่าโอเคนะ มือก็มีความร้อนอุ่น ๆ แต่ความฟุ้งซ่านอยากกลับบ้านเนื่องจากเมนส์มามันเยอะกว่า






วันที่ห้า
โอ๊ย
อยากกลับบ้านสุด ๆ
คุยกับใครก็ไม่ได้
มองตาพี่ที่ไปด้วยกัน
เค้าก็ให้กำลังใจ ให้สู้
แอบบอกพี่เค้าว่าอยากกลับบ้านสุด ๆ
พี่เค้าบอกว่า พี่ยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่นาน ๆ
เพราะมันสงบ ธรรมชาติ ห่างไกลเรื่องวุ่นวาย
การนั่งวันนี้ เราเห็นพวกผึ้ง ต่อ แตนผุดขึ้นมาในสังขารด้วย

คือบ้านเก่าเราเนี่ย มันมีผึ้งมาทำรัง
แล้วคงเอาออกมั้ง ตอนนั้นเราก็เด็กน่ะนะ
ไม่รู้คนที่บ้านไปฆ่ามันรึเปล่า
แล้วบ้านปัจจุบันเนี่ย มันมีต่อหรือแตนมาทำรัง
มันยังเล็ก ๆ แต่บ้านเราก็สั่งให้คนมาเอาออกไป เกรงว่ามันจะมาต่อยคนในบ้าน
พวกมันก็คงแค้นแหละนะ
ก็บอกในจิตว่าเดี๋ยววันสุดท้ายจะแบ่งบุญไปให้นะ
เพราะการปฏิบัติวิปัสนาเนี่ย บุญมันใหญ่ เพราะเราต้องใช้ความเพียรอย่างมาก
เจ้ากรรมนายเวรรู้ก็จะผุดขึ้นมาขอส่วนบุญในสังขารของเรา
เพราะบางครั้งเนี่ย
การที่เราทำสังฆทานส่งไปเนี่ย มันไม่พอ
มันไม่สมกัน
อย่างเราเคยไปฆ่าเค้า แล้วเอาข้าวจานนึงไปให้เค้าแล้วบอกว่า ข้าวจานนึงแลกกับชีวิตคุณ หายกันนะ
มันไม่ใช่
เราต้องเอาสติพากเพียรปฏิบัติให้เห็นทุกข์ในกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ให้เกิดปัญญามันถึงจะพอสมน้ำสมเนื้อกับที่เราไปทำเขา




แล้วฟังธรรมบรรยายของวันนี้
ท่านอาจารย์จะบอกเลยว่า วันนี้ ท่านจะอยากกลับบ้านอย่างที่สุด ทั้ง ๆ ที่เหลือเวลาปฏิบัติจริง ๆ อีกแค่ 2 วันเต็ม
เพราะกิเลสมันโดนย่างต่อเนื่องมา 3 วันแล้ว
มันเลยอยากให้เราล้มเลิกไป มิเช่นนั้นฐานที่มั่นในจิตอาจจะสั่นคลอนได้
ฟังแล้วสะอึกเลยเพราะมันตรงมาก ๆ
วันนี้เป็นวันที่เราอยากกลับบ้านแบบสุดจิตสุดใจ
แต่ลึก ๆ ก็คิดว่ายังไงก็ไม่กลับหรอก เพราะก็เริ่มชินกับห้องน้ำ ห้องนอน และการปฏิบัติแล้ว




วันที่หก
วันนี้ไม่ค่อยอยากกลับบ้านละ
เพราะเหลืออีกแค่ 1 วันเต็ม กับอีกค่อนวันเพราะ 8 โมงเช้าวันสุดท้ายก็ได้กลับบ้านแล้ว
เริ่มชินกับทุกอย่าง
จิตก็นิ่งขึ้นเป็นลำดับ
วันนี้แหละที่เราได้เห็นสภาวธรรมเป็นความร้อนเต็ม ๆ
คือวันก่อนหน้าก็แค่ฝ่ามืออุ่น ๆ มีหลุดฟุ้งซ่านหลายรอบแต่จิตก็ดึงกลับมาที่ฝ่ามือได้เร็วขึ้น
วันนี้ก็ดึงกลับมาได้เร็วขึ้นกว่ามันก่อน ๆ เยอะ
พอปฏิบัติไปซักพัก
จะที่อุ่นที่มือ ความร้อนมันพุ่งจากฝ่ามือขึ้นมาถึงข้อศอกทั้ง 2 ข้างเลย
ตกใจมาก
แถมในจิตก็สงสัยอีกต่างหากว่า ร้อนได้ไง
พอสงสัยป๊าบ
ความร้อนหยุดเลยนะ หยุดแค่ข้อศอก
แต่ก็เลิกสงสัยแล้วก็ดึงจิตกลับมาเพ่งต่อ
ภาพที่ขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เป็นภาพคนที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันเรา
แต่พอจิตนิ่ง
อยู่ดี ๆ
ก็มีภาพช่องคลอดของผู้หญิงท้องที่กำลังจะคลอดมาอยู่ต่อหน้าเรา
อยู่บนพื้นไม้โบราณหน่อยคลุมด้วยผ้าถุง ซึ่งเราเห็นแต่ตรงนั้น ไม่เห็นหน้านะ
เหมือนเรากำลังจะทำคลอด
แล้วก็มีเด็กคลอดออกมา
แต่เป็นเด็กที่ยังอยู่ในน้ำคร่ำขดอยู่เลยนะ
เหมือนเด็กอายุแค่ 6-7 เดือนที่เค้าอัลตร้าซาวน์กันน่ะ
หัวโต ๆ อยู่ในถุง แล้วมีแขน ขาอย่างนะนิด



Image Hosted by PicturePush




โอย
สาบานได้ว่าชีวิตนี้ไม่เคยคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอะไรพวกนี้เลย
อยู่ดี ๆ ภาพนี้ก็ผุดขึ้นมาเป็นวีดีโอตั้งแต่จะคลอดแล้วก็คลอดหลุดออกมาตรงหน้าเราเลยทั้ง ๆ ที่เรานั่งหลับตาเพ่งปฏิบัติอยู่
ตกใจมาก
ขนลุกซู่ แต่ก็ไม่ลืมตานะเพราะยังไม่หมดชั่วโมงปฏิบัติ
แล้วภาพนี้ก็หายไป
แล้วอีกชั่วโมงปฏิบัติ ในจิตก็เจองูเขียวอ่อนตัวเล็ก ๆ ผุดขึ้นอีก
ภาพในจิตเนี่ย งูตัวนี้อยู่ตรงบันไดเรือนนอนเนี่ยแหละ
ชีวิตนี้ไม่เคยเจองูเป็น ๆ เลยมั้ง
เคยดูแต่สารคดีผ่าน ๆ ไม่เกิน 5 นาที แต่ไม่ใช่งูแบบในจิตเลย
ไม่รู้มันมาจากไหน


ตอนปฏิบัติช่วงค่ำ
ด้านนอกฝนตก ลมแรง อากาศเย็นและมืดสนิท
แต่จิตของเรามีสมาธิและไม่ค่อยฟุ้งซ่าน ดีกว่าวันแรกเยอะมาก
พลังเตโชเริ่มร้อนแรงขึ้น
แทนที่อากาศเย็นและลมแรง เราจะรู้สึกหนาวเย็น
แต่เรากลับรู้สึกร้อน
ร้อนตั้งแต่ที่ฝ่ามือลามขึ้นมายังแขน จนมาถึงหัวไหล่
พอถึงหัวไหล่
เกิดตัณหา อยากให้ร้อนทั้งตัว
แล้วก็สงสัยว่าความร้อนจะขึ้นมาถึงหัวเลยรึเปล่า
ปรากฎว่า
สภาวธรรมหายไปเลย
กลับมาแค่อุ่น ๆ ที่ฝ่ามือนิดหน่อย
ดูสิ
พอตัณหาเกิด สภาวธรรมก็ดับไปเลย
ก็เพ่งต่อไปเรื่อย ๆ
จริง ๆ ต้องอย่าไปคิด อย่าไปอยาก
หน้าที่ของเรามีเพียงอย่างเดียวคือเพ่งจิตไว้ที่ฝ่ามือเท่านั้น
ก็เพ่งต่อไปเรื่อย ๆ
เจองูอีกแล้ว!!
คราวนี้เป็นงูสีน้ำตาล ตัวยาวมาก นอนขดหลายชั้นอยู่ตรงลานหินเซน





เราก็ตกใจนะ
เพราะชีวิตนี้ก็ไม่เคยดูหนังเกี่ยวกับงูเลย
งูเป็น ๆ ก็ไม่เคยเห็นนะจำได้ว่า
สารคดีเกี่ยวกับงูก็ไม่ดู
แล้วงูมาจากไหนเนี่ย

ก็ได้แต่รู้แล้วก็บอกในจิตว่าเดี๋ยวจะแผ่เมตตาและแบ่งบุญไปให้วันแบ่งบุญใหญ่นะ
แล้วก็วาง
แล้วก็เพ่งที่ฝ่ามือต่อ

ธรรมะบรรยายคืนนี้
ท่านอาจารย์จะให้เรากลับไปตั้งจิตเรียกพ่อ แม่ ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
ให้มารับการแบ่งบุญใหญ่ที่เราจะแบ่งบุญกันตอนบ่ายวันพรุ่งนี้คือบ่ายวันที่เจ็ด






พอวันที่เจ็ด
ปฏิบัติวันนี้
เราคันจั๊กกะแร้เรามาก
คันแบบว่าจะปฏิบัติต่อไม่ได้เลย
เราเคยคันแบบนี้มาแล้วตอนปฏิบัติที่ยุวพุทธ
เราก็ใช้แป้งเต่าทาจั๊กกะแร้เราเหมือนเดิมมาหลายปีก็ไม่เคยคัน ไม่เคยมีปัญหาอะไรนะ
แล้วก็เอามาใช้ระหว่างปฏิบัติธรรมด้วย
แบบว่าคันสุด ๆ ไม่มีสมาธิเลย
แล้วคราวที่ปฏิบัติที่ยุวพุทธ 7 คืน 8 วันครั้งแรกเนี่ย
เหมือนแป้งเต่ามันกัดจั๊กกะแร้กินเนื้อถลอกปอกเปิกจนเป็นแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้เลยนะ
แล้วตลกมากคือ
มันคันเฉพาะตอนปฏิบัตินะ
ตอนพักนาน ๆ ก็ไม่คัน กินข้าวหรือเข้านอนก็ไม่คัน
แล้วตอนนั้นปฏิบัติครั้งแรก
ทนความคันไม่ได้ก็เกาจนเป็นแผลอย่างที่บอกไป
แต่พอรู้นะว่าทำไม


คือตอนเด็ก ๆ เนี่ย
เวลาเข้าห้องน้ำแล้วมียุงเนี่ย
เราจะชอบกำมัน แต่ไม่ตบให้มันตาย
แล้วก็เด็ดปีกมันออกแล้วก็ปล่อยมันไป

แล้วก็อยากรู้ต่อว่ายุงจะอยู่ได้มั้ยถ้าไม่มีปีก
แต่ก็ไม่ได้ตามดูมันนะว่ามันอยู่ได้มั้ย
แล้วทำแบบนี้หลายสิบ หรือเป็นร้อยตัวเลยตลอด 2-3 ปีนั้น
มันคงเป็นกรรมที่เราไปเด็ดปีกพวกมันเนี่ยแหละ
เราถึงต้องมาเผชิญความเจ็บปวดแบบเดียวกันนี้

จนมาปฏิบัติครั้งนี้ก็เจออีก
แต่มาเจอเอาวันที่เจ็ด
เลยได้แต่บอกว่ารู้แล้ว เดี๋ยวจะแบ่งบุญไปให้แล้วขออโหสิกรรมนะ
พอออกจากปฏิบัติก็ยังคันต่อเนื่องอีกแป๊บนึงแล้วก็หายไป


วันนี้เราจะปฏิบัติกันถึงแค่ตอนบ่าย
เพราะเรามีการแบ่งบุญใหญ่
หลังจากเพียรกันมา 7 วัน
ที่เรียกว่าบุญใหญ่ก็เพราะว่าการปฏิบัติวิปัสนาจะได้บุญสูงมาก
แรงอัดก็จะเยอะ
สามารถทำให้พ่อแม่ ญาติพี่น้องที่อยู่ภพภูมิต่ำ ๆ สามารถเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาได้เลย
ถ้าพ่อแม่พี่น้องเรายังไม่ตายก็ไม่ต้องกังวล
ได้ทุกคน เพราะท่านอาจารย์จะมีนำแบ่งบุญให้อยู่แล้ว
บางครั้งเราก็เลยอุ่นใจว่า
เอาวะ ถึงช่วนป๊า ม้ามาไม่ได้ อย่างน้อยก็แบ่งบุญให้ก็แล้วกัน
แล้วที่ต้องไม่ลืมแบ่งบุญให้เลยก็คือ
กัลยาณมิตรผู้ชักชวนเราให้มาเข้าวิปัสนา
พร้อมกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่เค้าช่วยทำงานให้เราตอนเรามาปฏิบัติธรรมนี้

คือผู้ที่เค้าเห็นหรือสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสเนี่ย
เค้าบอกเลยว่า
มากันเยอะมากกกกก...
ทั้งพระอรหันต์หลายรูปที่ล่วงลับไปแล้ว
รวมถึงเทวดา พรหม พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ท่านก็มาร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา




Image Hosted by PicturePush





หลังจากนั้น
พวกเราสามารถคุยกันได้
ทุกคนจะอนุโมทนาบุญกันให้ควัก
ขอ 10% จากทุกคน ฮา ๆ
แล้วรุ่นเรามีคนข้ามโครตเป็นพระโสดาบันด้วย 1 ท่าน
ซึ่งพี่เค้ามาปฏิบัติเป็นครั้งที่ 2 เอง
แต่อยู่ในทางธรรมมานานแล้ว
พอมาปฏิบัติสายนี้ที่เป็นทางลัดตัดตรงก็ข้ามเลยแม้มาเพียงแค่ครั้งที่ 2
ก็ขออนุโมทนาบุญกับพี่คนนี้ด้วยค่ะ


แล้วเหล่าธรรมบริกรก็จะคืนมือถือให้พวกเรา
เท่านั้นแหละ
ทุกคนเหมือนหลุดอยู่ในโลกส่วนตัว
ต่างคนต่างโทรและเล่นเน็ทกันให้ควัก
ยกเว้นเรา ซึ่งขอเป็นผู้ดู
ไม่ได้มีใครให้โทรหา (เศร้าจริง)
ไม่อยากโทรกลับบ้าน
เพราะก็บอกเค้าไว้แล้วว่ากลับวันไหน
ไว้คุยกันยาว ๆ ทีเดียวตอนกลับไปแล้วดีกว่า

แล้ววันนี้เป็นวันเดียวที่เราจะได้กินข้าวเย็นกัน
ซึ่งเป็นข้าวเย็นที่อร่อยมากกก...
ไม่รู้อร่อยเพราะเราได้กินไป คุยไป สร้างมิตรภาพทางธรรมใหม่ ๆ กันรึเปล่าก็ไม่รู้






แล้วตอนค่ำก็มีการปฏิบัติตามปกติ
แต่จิตใจไม่ปกติเลยหลังจากที่ได้คุยกัน
เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่ให้คุยกัน
เพราะมันฟุ้งซ่านมากกกกก...
จากจิตที่มีกำลังเพ่งเมื่อตอนเช้า
กลับฟุ้งซ่านไอ้เรื่องที่คุยกันชั่วโมงที่แล้วหมดเลย
ทุกเรื่องสารพัด สารเพที่เราได้คุยกันมันผุดขึ้นมาหมดเลย

รวมถึงตอนตี 4 ครึ่งเช้าวันสุดท้ายของเราปฏิบัติก็ยังฟุ้งซ่านอีก
เพราะหลังจากปฏิบัติคืนสุดท้าย
เราก็คุยกันเอง ฟังเรื่องราวสภาวธรรมของเพื่อน ๆ พี่แต่ละคนและเหล่าผู้ที่ข้ามโครตเป็นระดับ โสดาบัน สกทาคามี และอนาคามี
แทบไม่อยากจะนอนกันเลยทีเดียว


ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าเราจะได้เห็นสภาวธรรม ได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่าง ๆ
แต่เป็นการวางอุเบกขาให้ดีที่สุดต่างหาก
ยิ่งวางเฉยกับความดีใจ เสียใจได้มากเท่าไหร่
การที่เราเฝ้าดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนจิตใต้สำนึกเรายอมรับความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนของสรรพสิ่งในธรรมชาติ
นี่แหละ คือความก้าวหน้าของการวิปัสนา


เราเลยรู้สึกว่า
8 วัน 7 คืนเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเรา
แม้จะเป็นความเจ็บปวด ทรมานกาย แต่จิตของเราสามารถตื่นจริง ๆ หลังจากหลับไหลมานาน
ตื่นในที่นี้คือ ตื่นจากกิเลส เครื่องดองสันดานที่ทำให้จิตเรามัวหมอง
ได้เผามันออกไปเรื่อย ๆ และตื่นรู้ว่าจะไม่พยายามสร้างมันขึ้นมาอีก
จิตที่สะอาด สว่าง และสงบขึ้น
เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดทางกาย
ที่เราได้เคยเจ็บ เคยปวดมาแล้วนับภพ นับชาติไม่ถ้วน





การปฏิบัติธรรมครั้งนี้
เราได้สร้างบุญใหญ่
ได้ปฏิบัติธรรมน้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้า
ได้ปฏิบัติธรรมน้อมถวายเป็นอาจาริยบูชาแด่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
ได้ขอถอนภพ ถอนชาติ ถอนคำสาปแช่ง ถอนคำสาบาน ซึ่งทำให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารนี้อีก

ได้กราบขอขมากรรมครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ที่เราได้ลบหลู่ ล่วงเกิน ทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่จงใจหรือประมาทพลาดพลั้ง
เพราะการที่เราได้ล่วงเกินท่านทั้งหลายนั้น
เป็นกรรมหนัก ทำให้เราลงไปในอบาย นับภพ นับชาติไม่ถ้วน
ทำให้เราไม่มีความเจริญก้าวหน้าในธรรม
ซึ่งสมัยนี้ เรามีโอกาสลบหลู่ท่านเหล่านี้ได้ง่าย เพราะมี internet
เราตอบคอมเม้นท์ไปอย่างลบหลู่โดยไม่ได้คิดหน้า คิดหลัง เพราะมันง่าย
คนที่อ่านก็ไม่พิจารณา เห็นผิดแล้วเชื่อตามกัน วิจารณ์กันต่อ ๆ กันไป
คนพวกนี้นี่น่ากลัวนะ


8 วันหลังจากปฏิบัติ ชีวิตและวิธีคิดของคุณจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย
เราสามารถวางอุเบกขาได้ สิ่งต่าง ๆ ก็ล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดดับ ๆ ตลอดเวลา
เราจะสามารถจัดการกับความทุกข์ของร่างกายเราได้มากขึ้นเพราะวิธีคิดเราเปลี่ยนไป
เราสามารถวางใจให้ถูกที่ เราแค่เห็น แต่ไม่ได้เข้าไปเป็น รู้แล้ววาง
เพราะมนุษย์เราทุกข์อยู่ 2 อย่าง
อยากได้แล้วไม่ได้ก็เป็นทุกข์
ได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์
แล้วเราจะจัดการกับความทุกข์ที่เป็นธรรมชาติแบบนี้ยังไง





หลังจากกลับมาวันแรก
รีบไปนวดเลย
เพราะเรามีปัญหาปวดก้นเรื้อรังอยู่แล้ว
คราวนี้มาปวดขาเพิ่ม เพราะนั่งนานในแต่ละวันอ่ะเนอะ
แต่ไม่นานก็หาย
แต่เราร่างกายมีปัญหา นี่เกือบเดือนแล้วยังปวดขาอยู่เลย
เพราะเรากลับมา เราก็มานั่งต่อเกือบทุกคืน
ตอนนั่งรถมอร์ไซด์ไป-กลับจากร้านนวดแถวบ้านเนี่ย
รู้สึกได้เลยว่าทำไมมันวุ่นวายจัง
เสียงดัง จอแจ
ไม่เงียบ สงบเหมือนที่แก่งคอยเลย


ตลกเนอะ
ตอนอยู่โน่นก็อยากกลับมานี่
พออยู่นี่ ดันอยากกลับไปที่โน่น
กลับมาก็ปิติน่ะ น้ำตาไหล

เข้าใจเพื่อนเลยว่าทำไมเวลาเล่าถึงน้ำตาไหล
เพราะเรากลับมาเมื่อวาน ถึงบ้านปุ๊บ
เล่าให้หม่าม้าฟังปั๊บ น้ำตาไหลเลย
แล้วน้ำตาก็ไหลตอนนอนด้วย
เช้าอีกวันไปทำงาน พี่ที่ออฟฟิศถามว่าเป็นยังไงบ้าง
น้ำตาแตกอีกรอบเหมือนเขื่อนแตก
เพราะไม่กล้าร้องต่อหน้าป๊ากับม้า แต่มีเสียงสั่น ๆ
แต่พอไปที่ทำงานมีคนถามเท่านั้นแหละ ร้องไห้ปลื้มปิติมากมาย


อ้อ
อย่าอ่านหนังสือแล้วไปเพ่งจิตเองโดยไม่ได้เข้าคอร์สนะ
เพราะเดี๋ยวจะถูกมารหลอก
วิชานี้ต้องมีครูบาอาจารย์ เป็นวิชาขั้นสูง
ของสูงแบบนี้จะมาฝึกเองไม่ได้



สุดท้ายนี้





เราขอยกคำพูดของพี่เอ๋ นิ้วกลม ที่เค้าไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางของท่านโกเอนกาที่ธรรมสีมันตะ จังหวัดลำพูนประมาณว่า

"การอ่านหนังสือธรรมะ เปรียบเสมือนการที่เราป่วย ไปหาหมอ ได้ใบสั่งยามา เอาใบสั่งยาไว้บนหิ้ง แต่ไม่มีใครกินยา แล้วเราจะหายป่วยมั้ย??"





กับคำพูดของนุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่เค้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าโสมพนัส จ.สกลนคร

"มีคำหนึ่งที่หลวงตาสอนตอนอยู่ในวัดแล้วนุ่นชอบ
ท่านบอกว่าอย่างพวกที่อ่านหนังสือธรรมะ เรารู้สึกว่าเราเข้าใจท่านเปรียบเทียบเหมือนกับความหวานของอ้อย
คนที่ปฏิบัติเหมือนการเคี้ยวอ้อย ได้รับความหวานของอ้อยเต็มๆจากการเคี้ยวของเราในปากของเราเอง
แล้วเราก็ได้ดื่มด่ำรสชาติของอ้อยเอง แล้วพอเราเคี้ยวเสร็จเราก็คาย มันก็จะมีแค่กากอ้อย

หนังสือก็เหมือนกากอ้อย เราซึ่งป็นผู้อ่านคนอ่านเนี้ยะ เหมือนเอากากอ้อยชิ้นนั้นมาเคี้ยว
แล้วเราก็รู้สึกว่าโอ๋ๆ ความหวานของอ้อยเป็นแบบนี้ การปฏิบัติธรรมะก็เหมือนกัน
ถ้าเรานำพาตนเองไปเคี้ยวเอง เอาตัวเองไปเดินเอง เอาตัวเองมานั่งเอง เอาตัวเองไปอยู่กับเขาจริงๆ นะคะ เรียนรู้ธรรมชาติของตัวเอง ธรรมชาติของโลกความเป็นจริง
ก็จะได้รับความหวานอีกแบบหนึ่ง "

คุณหล่ะ นำพาตัวเองไปสู่ การสัมผัสความหวานอีกแบบหรือยัง....

ลองดูคลิปนี้ บทสรุปที่ทั้ง 3 คน นิ้วกลม นุ่น สิงห์ โดนบังคับให้ไปปฏิบัติธรรม
ว่าเค้าได้อะไรจากปฏิบัติธรรมบ้าง




ขนาดสิงห์ที่คิดว่าตัวเองจะไม่มีศาสนาแล้วโดนบังคับให้ปฏิบัติยังบอกว่า

ธรรมะ เป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น แล้วเค้าก็อยากชวนคนอื่นมาปฏิบัติ
เค้าก็เคยตั้งแง่กับคนที่ชวนไปปฏิบัติธรรม แต่เค้าก็มาเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยเค้าได้
เค้าก็อยากส่งต่อสิ่งดี ๆ เหล่านี้ให้คนอื่นรับรู้ต่อกันไป



การปฏิบัติธรรมคือเอาตัวเองออกมาจากโลกรึเปล่า
แต่จริง ๆ แล้ว คือการเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในโลก แล้วมองว่าโลกคือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง
ไปเรียนรู้วิธีแล้วก็มาปฏิบัติกับชีวิตจริงได้ในทุก ๆ วินาทีในชีวิตจริงอันโหดร้ายของเรา


กว่า 50 ชม.ของการนั่งปฏิบัติเตโชวิปัสสนากรรมฐานตลอด 7 คืน 8 วัน ณ เตโชสถาน จ.สระบุรี ปวดจนขาแทบจะหลุด หลังแทบจะขาดจากกัน แต่เทียบไม่ได้เลยกับความทุกข์ที่ทำให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดนับภพนับชาติไม่ถ้วน

แม้ว่าจะเจ็บปวด ได้รับทุกขเวทนาขนาดไหน ก็รู้สึกอิ่มเอิบใจ ที่เราได้เดินอยู่บน "ทาง" ทางแห่งการหลุดพ้น เพียรให้พ้นไปจาก "คุก" คุกแห่งวัฏสงสาร เพียรชำระจิตให้ "ตื่น" ตื่นจากกองกิเลส เชื้อไฟที่ทำให้เราต้องกลับมาเกิดอีก

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์...เป็นของยาก การได้เกิดมาใต้ร่มพระพุทธศาสนา...เป็นของยาก การได้มาปฏิบัติธรรม...เป็นของยาก ขอบคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ในทุกภพ ทุกชาติ ขอบคุณตัวเองที่ได้เคยปฏิบัติธรรมมาในอดีตชาติ จึงพาให้ได้พบธรรม ได้ปฏิบัติต่อเนื่องในชาตินี้


Image Hosted by PicturePush



Image Hosted by PicturePush





รูปทั้งหมด เราไม่ได้ถ่ายเอง แล้วก็ไม่ใช่รูปรุ่นเรานะ
เราเอามาจาก facebook ข้ามห้วงมหรรณพกับเตโชวิปัสสนา

และ


นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ กับอ.อัจฉราวดี วงศ์สกล


ใครที่สนใจ ลองเข้าไปดูรูป ดูกิจกรรมและอ่านประสบการณ์ของท่านผู้ปฏิบัติอื่น ๆ กันได้นะคะ
บอกได้เลยว่า
ประสบการณ์อันกิ๊กก๊อกของเรา
เทียบไม่ได้เลยกับของท่านอื่นที่ปฏิบัติมานานกว่าหรือสูงกว่า
หรือแม้กระทั่งครั้งแรกเหมือนกัน แต่ได้สะสมบุญมามากกว่าเรา
แซบเว่อร์กันทุกคนค่า

ใครสนใจไปปฏิบัติ
สามารถเข้าไปดูกฎระเบียบ ตารางการอบรม ใบสมัคร แผนที่ แฟ้มภาพ ได้ที่

ตารางคอร์สอบรมเตโชวิปัสสนากรรมฐาน



ตารางคอร์สอบรมเตโชวิปัสสนากรรมฐาน


https://techovipassana.org/web/timetable.php



และสามารถเข้าไปอ่านบทความประสบการณ์ของคนที่ปฏิบัติสายนี้ได้ที่


exp.techovipassana.org




สำหรับใครที่ลงทะเบียนเข้าคอร์สเตโชวิปัสสนาที่สระบุรีไม่ได้หรือไม่ทัน
ยังมีอีก 1 สาขาของเตโชวิปัสสนาที่ สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์
ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
ที่มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อสัญชัย จิตตภโล อริยสงฆ์รูปแรก แห่งสายวิชาเตโชวิปัสสนา
พระอริยสงฆ์ผู้ทำกิจจบสิ้นแล้วหลังจากเพียรและบวชจำพรรษาได้เพียง 3 ปี
จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยทางสายเอกอุ
ดังที่ท่านสามารถอ่านประสบการณ์ของพระคุณเจ้าสัญชัย จิตตภโล ได้ที่บล็อคนี้


เมื่อโลกธาตุคว่ำ ด้วยเตโชวิปัสสนากรรมฐาน

ใครเข้าไม่ได้ให้ลอง copy url ด้านล่างนี้ไปนะคะ หรือตัด s ตรง http: ค่ะ


techovipassana.org/web/blogsingle.php?blogId=1433908891



สามารถเข้าไปดูสถานที่และข้อมูลของสถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ได้ที่ facebook
สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์




เราชอบประโยคในหนังสือ 7 เดือนบรรลุธรรมของดังตฤณ ที่บอกไว้ว่า
ทางรอดจากวังวนวัฏสงสารนั้นแคบ เดินยาก และมีแสงสว่างฉายให้เห็นทางนั้นได้วูบเดียว
ชาตินี้เผอิญมาเห็นก็นับว่าโชคดีอย่างไม่อาจมีชาติไหนเทียบแล้ว
ฉันจะต้องตะเกียกตะกายเดินให้ทันทางก่อนแสงหายให้จงได้ เพราะถึงลำบากแค่ไหนก็คงดีกว่าการตะเกียกตะกายอยู่ในนรกแห่งความไม่รู้ไปอีก ชั่วกัปชั่วกัลป์แน่นอน





เพื่อนชาวพุทธคะ...เราไม่ได้เขียนสิ่งนี้ขึ้นมาให้ดูดี
แต่เราอยากชวนทุกคน มาเร่งชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
มาเรียนรู้แก่นของพระพทธศาสนา ตามหลักสติปัฏฐานสี่

อย่าคิดว่าเราอายุยังน้อยหรือไว้ว่างค่อยไปก็ได้ เพราะยังมีเวลาอีกเยอะ
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า "พรุ่งนี้" กับ "ชาติหน้า" อะไรจะมาถึงก่อนกัน

ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรมค่ะ สาธุ




Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 19 เมษายน 2561 14:44:51 น. 29 comments
Counter : 35888 Pageviews.

 
น่าสนใจมากค่ะ
เขียนได้ดีมากด้วย จะคอยอ่านนะค่ะ
อยากทราบสภาวธรรมที่เกิด และวิธีปฎิบัติ

แค่เห็นก็ทำให้นึกอยากไปแล้วค่ะ ^^


โดย: นุ่ม ณดา IP: 14.207.196.143 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:20:11:53 น.  

 
รออ่านตอนต่อไปครับจนจบเลย


โดย: สมาชิกหมายเลข 714634 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:21:53:32 น.  

 
สวัสดีจ้า
ขอชื่นชมลีลีมากๆเลยค่ะ^^

วันนี้โนบุแวะเอาหัวใจมาแปะให้นะคะ
ขอให้ลีลีมีความรักที่สดใส
และมีพลังงานความรักที่ดีเพื่อส่งต่อให้กับคนรอบข้างในทุกๆวันจ้า



โดย: nobuta wo produce วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:17:38:20 น.  

 
หัวใจโตขึ้นมั้ย^^
แปะอีกหนึ่งดวงจ้า
อิอิ (สนุกดีนะคะ)


โดย: nobuta wo produce วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:17:43:59 น.  

 
ขอบคุณมากที่เขียนมาให้อ่านจนจบเขียนได้ดีมากครับทำให้อยากไปลองปฏิบัติดูสักครั้งครับ แล้วการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้คุณลีลีสามารถลดความเยอะลงได้มั้ยครับแต่ขออนุโมทนาสาธุกับคุณลีลีด้วยครับเก่งมากจริงๆที่เอาชนะได้ทั้งใจและร่างกายตลอด8วันเอาหัวใจไปแปะให้แล้วครับ


โดย: สมาชิกหมายเลข 714634 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:18:58:31 น.  

 
สวัสดีครับ
ขอบคุณๆลีลีมากๆครับที่เขียนมาให้อ่านแล้วเขียนบรรยาย
มาอย่างละเอียดได้ดีมากครับแล้วก็ต้องชมคุณลีลีด้วยว่าเก่ง
และอดทนมากสามารถเอาชนะใจและร่างกายของตัวเองได้
ทั้งๆที่คุณลีลีมีความเยอะในเรื่องต่างๆมากเก่งมากๆครับ
รวมทั้งที่คุณลีลีได้บอกถึงวิธีการปฏิบัติในเรื่องต่างๆที่เตโช
ธรรมสถานว่าต้องทำอย่างไรบ้างปฏิบัติอย่างไรบ้างแล้วได้ผล
เป็นประการใดบ้างทำให้ผมซึ่งได้รู้เรื่องเตโชวิปัสสนาธรรม
สถานมาบ้างพอควรแล้วจากเพื่อนที่ได้ไปเข้าคอร์สที่เตโช
มาแล้วเลยกรอกใบสมัครเพื่อจะได้เข้าคอร์สที่เตโช
ในวันนี้เลยครับซึ่งก็จะได้เข้าคอรส์ในเดือนกันยายนครับ
ขออนุโมทนาสาธุกับคุณลีลีขอให้คุณลีลีมีความสุขสดใส
ตลอดไปครับ


โดย: thongchai IP: 14.207.133.206 วันที่: 1 เมษายน 2556 เวลา:16:23:55 น.  

 
คุณ thongchai คะ
ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้าเลยนะคะ

ส่วนนึงที่เราเขียนบล็อคนี้ขึ้นมา
เราหวังว่า
แค่มีซัก 1 คนที่อ่านบล็อคเราแล้วได้ไปปฏิบัติ
มันก็คุ้มเกินคุ้มแล้วค่ะ

เหมือนเราได้รับการต่อเทียนแห่งธรรมมา
เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อแสงเทียนเล็ก ๆ นี้ให้กับคนอื่นบ้าง บนโลกที่ค่อนข้างมืดมนใบนี้
ขอแค่เพียงคนเดียวที่ได้อ่านแล้วจิตเป็นกุศล อยากไปปฏิบัติบ้าง
มันก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ๆ แล้วในชีวิตเราค่ะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ
ขอให้เทียนของคุณ thongchai สว่างไสวในศรัทธาแห่งการหลุดพ้นนี้นะคะ
วันนี้เรามีความสุขมากเลยที่ได้อ่านคอมเม้นท์ของคุณค่ะ


โดย: หนูลีลี วันที่: 2 เมษายน 2556 เวลา:20:05:25 น.  

 
ขอบคณคะที่แบ่งปัปตะสบการณ์คะ กำบังสนใจอยู่พอดีคะ


โดย: mafiadoy IP: 110.169.179.12 วันที่: 6 เมษายน 2556 เวลา:10:57:17 น.  

 
อนุโมทนาสาธุกับคุณหนูลีลีด้วยครับ ที่นำประสบการณ์ทางธรรมมาสู่ทุกท่าน

ในส่วนคุณหนูลีลีเองก็ขอให้พากเพียรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในช่วงที่อยู่ที่บ้านนะครับ จะได้เผากิเลสใหม่ๆที่เข้ามาในจิตอย่างต่อเนื่อง จิตจะได้คงสภาวะเดิมหรือใกล้เคียงกับตอนออกจากคอร์สปฏิบัติ แล้วเวลาไปปฏิบัติที่แก่งคอยความก้าวหน้าในธรรมจะบังเกิดขึ้น พยายามละไปในที่อโคจร ลดเรื่องนันทิให้น้อยลง (การดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น) เนื่องจากเป็นโมหะกิเลสที่ฝังลึกในจิตและเอาออกยากมาก

เข้ามาคุยกันเพิ่มเติมในเฟสบุ๊ค "คุยกับศิษย์เตโช" ได้นะครับ

เจริญในธรรม
ศิษย์พี่รุ่นไฟฟ้าดับ


โดย: ศิษย์พี่รุ่นไฟฟ้าดับ IP: 58.137.9.194 วันที่: 20 เมษายน 2556 เวลา:16:49:48 น.  

 
อนุโมทนาสาธุกับคุณหนูลีลีด้วยนะคะ
....เขียนบทความนี้ได้ดีมากๆๆๆๆๆๆค่ะ ...ถ้าสมมุติว่ายังไม่เคยรู้จักเตโชวิปัสสนากรรมฐานมาก่อน คิดว่าเมื่ออ่านจบแล้วจะสร้างกำลังใจและกระตุ้นที่จะพาตัวเองไปปฏิบัติธรรมที่เตโชวิปัสสนาสถาน นี้แน่นอนค่ะ
.....ขอบคุณมาก ๆค่ะ.....
ศิษย์เตโช รุ่น 461


โดย: ไพรินทร์ IP: 27.55.6.138 วันที่: 29 พฤษภาคม 2556 เวลา:19:15:05 น.  

 
อนุโมทนาครับ ....อ่านแล้วชื่นชมครับ....
แต่จิตยังมีวิจิกิจฉา....อินทรีย์พละผมคง..
ยังไม่แก่่กล้า...ยังมีมานะ..อัตตาตัวตน...
แต่อย่างไรก็ตาม..จิตอนุโมทนาด้วย จริงๆ ครับ


โดย: phurin IP: 118.174.146.226 วันที่: 11 มิถุนายน 2556 เวลา:16:55:49 น.  

 
เขียนเก่งมากๆเลยค่ะแจ่มแจ้งมากเลยค่ะดิชั้นก็เป็นศิษเตโชเหมือนกันค่ะเรื่องที่เล่ามาเหมือนเป็นเพื่อนของเพื่อนที่เราเคยรู้จักมาเลยอนุโมทนาสาธุนะค่ะ


โดย: Mooky IP: 124.120.229.69 วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:20:00:42 น.  

 
เขียนได้ระเอียดแจ่มแจ้งดีมาก แสดงว่ามีความเข้าใจในการปฎิบัติอย่างดียิ่ง ถ่ายทอดได้ดีทำให้คนที่ไม่รู้จักได้รู้จักและเข้าใจในเตโชวิปัสสนาได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนคนที่เป็นศิษย์เตโชอยู่แล้วก็ได้ทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ตนได้ผ่านการฝึกอบรมฯ มาได้อีกหลายแง่มุมนะ ขอให้พากเพียรปฎิบัติที่บ้านอย่าละทิ้ง คุณจะพบความก้าวหน้ามยิ่งๆ ขึ้นไปอีกอย่างน่าอัศจรรย์ ขอให้เจริญในธรรมนะ
นักเผามือเพลิง... (ศิษย์เตโช)


โดย: นักเผามือเพลิง... IP: 202.122.130.32 วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:16:12:51 น.  

 
ขอชมว่าคุณเขียนบทความนี้ได้ดีมากๆ ดิฉันอ่านไปน้ำตาไหลไป งงตัวเอง แต่รู้ว่าสถานที่นี้คือที่ที่ดิฉันต้องไปปฏิบัติธรรมให้ได้ ดิฉันสวดมนต์คาถาชินบัญชรก่อนนอนทุกคืน ภาวนาขอให้ตัวเองใจเย็น มีความอดทน สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ และค้นพบหนทางช่วยลูกชายเพื่ออนาคตของเขาที่สักวันจะไม่มีเราบนโลกใบนี้ ให้เขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง.....
วันนี้ 20 ก.ย.2556 ดิฉันแค่ต้องการค้นในอินเตอร์เน็ทเกี่ยวกับเจ็บสะโพก เพราะดิฉันเจ็บสะโพกซ้าย ตอนแรกว่าจะกลับไปหาหมอ เพราะหาไปแล้วเมื่อ 4 ก.ย.2556 ที่เดินแทบไม่ได้ ฉีดยาและกินยา ดีขึ้นแต่ไม่หาย และกลับมาเจ็บอีก นอนตะแคงซ้ายเจ็บจนนอนไม่ได้ นอนตะแคงขวาก็เจ็บ ตอนนี้คิดว่าจะลองทำกายบริหารอย่างที่คุณเขียนดู
คุณคงจะเป็นกัลยาณมิตรของดิฉัน ขอบคุณน่ะคะ น่าจะเป็นบุญของดิฉันที่ได้อ่านเจอบทความของคุณ ขอให้คุณหายเจ็บป่วย และสมหวังทุกอย่างนะคะ


โดย: สิริกาญจน์ IP: 124.121.240.248 วันที่: 20 กันยายน 2556 เวลา:12:03:02 น.  

 
คุณสิริกาญจน์คะ

ยินดีมากเลยค่ะที่คุณรู้สึกดีที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับเตโ่ชวิปัสานานี้
ขอให้คุณหายจากโรคที่เป็นอยู่โดยไวนะคะ
ระหว่างนี้ลองไปปฏิบัติธรรม แล้วอุทิศบุญใหญ่นี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเรา
จะได้หายได้เร็วขึ้นค่ะ


โดย: หนูลีลี วันที่: 21 กันยายน 2556 เวลา:19:33:00 น.  

 
เป็นบทความที่ดีมากเลยครับ อนุโมทนาสาธุด้วยครับ ตอนนี้ผมกำลังฝึกนั่งสมาธิอยู่ พยายามให้ได้อย่างน้อยทุกวัน วันละ1 ชั่วโมง(1 ชั่วโมงชางยาวนานเหลือเกิด) ปวดก็ปวดโดยเฉพาะหัวเข่าเหมือนมันจะฉีกจากกัน แต่ก็ต้องทน บางทีก็บิดตัวไปมาเลยทีเดียว ผมพึ่งสมัครคอร์ต เตโชวิปัสสนาไปครับ(เดือน1 ปี57) ถ้ามีวาสนา ผมคงได้ไปเพียรเผากิเลส และกราบอาจารย์อัจจฉราวดี
สวัสดีครับ pakkanat


โดย: pakkanat IP: 110.169.226.94 วันที่: 26 กันยายน 2556 เวลา:12:01:24 น.  

 
อนุโมทนากับบทความดัวยนะครับ
อ่านแล้วก็เกิดปิติตามเลยครับ


โดย: benzo IP: 210.1.11.22 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา:13:09:17 น.  

 
บทความนี้ช่างน่ารักและดีมากทีเดียว เหมือนมานั่งฟังเพื่อนสนิทของเรา เล่าเรื่องไปปฏิบัติธรรมที่หลายคนกลัวที่จะต้องไปกัน อ่านไปในหลายๆ ตอน ก็อดน้ำตาไหลไปพร้อมกับเธอไม่ได้ เพราะทุกคนที่ไป ต่างก็ต้องต่อสู้ความเจ็บปวดภายในกายของตนเช่นเดียวกัน แต่ปวดกายมันไม่เท่าไหร่ แต่มันเจ็บจนปวดใจนี่สิ ... เกินจะทน ... แต่ก็ต้องทนครับ ...

อ่านบทความของ "หนูลีลี" เสร็จ น้ำตาผมก็ไหลพราก ซาบซึ้งใจและอนุโมทนาสาธุกับเธอด้วยจริงๆ ครับ บทส่งท้าย หนูลีลีเธอสรุปได้ดี ชัดเจน เรียบง่าย และตรงประเด็น

ทั้งบทความนี้ ยังเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คน เริ่มวางหนังสือธรรมะ แล้วออกเดินสูการปฏิบัติจริงๆ จังเสียที

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุกับ หนูลีลี ด้วยครับ
มงคล เวทสรางกูร


โดย: มงคล เวทสรางกูร IP: 180.180.124.98 วันที่: 30 ธันวาคม 2556 เวลา:17:25:16 น.  

 
บทความของ หนูลีลี ทำให้นึกย้อนกลับไปสู่ course แรก เดือน 1 ปี 2557 ที่เคยปฏิบัติต่างก็ต้องต่อสู้ความเจ็บปวดภายในกายของตนเช่นเดียวกัน เพราะจิตอยู่กับกาย ต้องเร่งชำระกิเลสด้วยความเพียรตามาที่ท่านอารจารย์สอน อาตาปี สัมปัชชาโน สติมา

กรรมของคนเราขึ้นอยู่กับกายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม ของเราทั้งสิ้น เมื่อปฏิบัติจะเกิดเวทนาให้เราทุกข์ทรมาน ให้เราชดใช้เจ้ากรรมให้สิ้นไป เมื่อปฏิบัติด้วยการรู้เท่าทันกรรมต่างๆ ของเราแล้วและยอมรับในกรรมานั้นๆ ให้วางอุเบกขาให้มากขึ้น แยกจิตออกจากกายได้ กายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา จะทำให้เราสามารถทนกับความเวทนาเหล่านั้นได้มากขึ้นโดยไม่กระวนกระวาย จนจิตเอาชนะกับเวทนานั้นได้ ทำให้เรานั่งภาวนาได้นานขึ้นด้วยความเพียร และมีอุเบกขาของตนเอง

เมื่อเราได้รับการสอนวิธีปฏิบัติธรรมจากท่านอาจาย์แล้วขอให้น้อมปฏิบัติต่อไป ตนเองโชคดีที่มีกลุ่มปฏิบัติธรรมในสายนี้ ภาวนาเป็นในช่วงกลางวันทุกวันขอให้มีกลุ่มในการภาวนาจะเป็นแรงเกื้อหนุนกันในการภาวนาให้ก้าวหน้า

บทความของ หนูลีลี เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้คนเริ่มหันมาปฏิบัติจริงๆ จังกันเสียที

ขอน้อมบอนุโมทนาสาธุกับ หนูลีลี ด้วย
แอร์


โดย: แอร์ IP: 180.183.133.88 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:8:28:44 น.  

 
้ต้องขออนุญาติลางานให้ได้ สาธุ



โดย: ภคภาส วริศฐาภักดี IP: 124.122.252.236 วันที่: 19 มีนาคม 2558 เวลา:19:10:13 น.  

 
สาธุ แล้วจะไปอีกเมื่อไหร่ครับ
และพระอรหันต์กลับมาอนุโมทนาได้หรือครับ


โดย: Arak IP: 27.55.80.39 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2558 เวลา:10:38:59 น.  

 
ดีมาก ๆ เลยค่ะ อ่านแล้วเกิดความศรัทธา และเกิดความอยากไปปฏิบัติด้วยจัง จะลองสมัครดู เห็นว่าสมัครยากอยู่ เพราะคนเข้าเยอะ

ขอบคุณมากๆ ค่ะ


โดย: หนุ่ย IP: 171.96.181.169 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา:15:57:03 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทความ ได้แรงบันดาลใจอยากปฏิบัติธรรมเลยค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับคุณลีลี และท่านอาจารย์ด้วยค่ะ


โดย: หน่อย IP: 49.228.161.73 วันที่: 20 เมษายน 2559 เวลา:10:07:47 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน ครับ อนุโมทนาสาธุครับ


โดย: บี IP: 1.47.93.123 วันที่: 9 กรกฎาคม 2559 เวลา:16:37:10 น.  

 
ขอบคุณที่มาบอกบุญค่ะ


โดย: แก้ว IP: 223.24.60.206 วันที่: 31 สิงหาคม 2559 เวลา:15:56:22 น.  

 
อนุโมทนาสาธุ สำหรับการแบ่งปันในครั้งนี้คะ


โดย: ธีรกานต์ IP: 202.183.207.81 วันที่: 17 ธันวาคม 2559 เวลา:12:23:23 น.  

 
ดีมากค่ะอยากไปมากค่ะ ครั้งแรกที่อ่าน ทำยังไงจะได้ไป โทรศัพท์ก็ช้าทำไรไม่ได้เลย หากบุญมีคงมีคนช่วยแจ้ง


โดย: บรรจง สวัสดี IP: 49.229.111.46 วันที่: 30 ธันวาคม 2559 เวลา:17:23:48 น.  

 
ขอสอบถามค่ะ นานไหมค่ะ กว่าเราจะทราบว่าคอร์สที่เราส่งใบสมัครไป เราได้ผ่านคัดเลือกไหม ส่งใบสมัครไปตั้งแต่เดือนมกรา สมัครคอร์สเดือนมิถุนาค่ะ นี่นั่งภาวนาลุ้นรอโทรศัพท์ทุกวันเลย หน้าเวปก็ขึ้นว่าปิดรับสมัครแล้วคนสมัครเต็มค่ะ เจ้าหน้าที่เค้าจะโทรมาให้ทราบเมื่อไหร่กันค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: จิตภา IP: 202.28.250.97 วันที่: 27 เมษายน 2560 เวลา:14:41:31 น.  

 
คุณจิตภาคะ

ลองโทรหรืออีเมลไปสอบถามเจ้าหน้าที่ดูนะคะ

Phone: 02-634-7461 ถึง 3
Fax: 02-634-7423
ติดต่อเจ้าหน้าที่
Email: info@techovipassana.org


โดย: หนูลีลี วันที่: 30 เมษายน 2560 เวลา:17:50:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.