จบมา 2 ปีกว่า เปลี่ยนงานแค่ 5 งาน มันเยอะมากเลยเหรอ??? (งานที่สอง)
งานที่ 2 มันได้มาจากการเซ้วจัดไปหน่อย ออกจากงานแรกโดยไม่ได้มีงานสำรองเอาไว้ แล้วก็มั่นใจสุดริดว่าชั้นน่ะ หางานได้ไม่ยากหรอก แต่ความมั่นใจของเราทั้งหมดก็ต้องพังทลาย เมื่อเราตกงานอยู่ 2 เดือน แต่ 2 เดือนนี้ใช่ว่าเราอยู่เฉย ๆ นะ เราก็ตระเวนสมัครงานทุกวัน ทั้งอินเตอร์เน็ทวันละเป็นสิบ ๆ ที่ ส่งจดหมายสมัครงานเป็นสิบ ๆ ฉบับ แถมยังวอล์คอินทั่วสีลมและสาธร อยากจะบอกว่า วอล์คอินเนี่ย วางใบสมัครเยอะสุด ๆ กรอกจนปวดมือ เพราะไปทีนึงเราขอคุ้มหน่อย คือไปตึกนึง เราจะดูเลยว่าตึกนั้นมีกี่บริษัท เราไปเกือบทุกบริษัทเลย แบบว่าเกือบ ๆ ร้อยบริษัทเลยมั้ง ตรงสี่แยกตึก Empire นี่คุ้นเคยมาก ๆ เพราะเดินเกือบจะทุกชั้น ทุกตึก แต่เราไม่ได้ทิ้งใบสมัครหมดนะ เราก็ถามก่อนว่าต้องการคนมั้ย ไรเงี้ย ตอนนั้นจำได้ว่าซัฟเฟอร์กับการหางานมาก เพราะสมัครไปเป็นร้อยบริษัทเลยนะ เรียกมาไม่ถึง 20 บริษัท แล้วบริษัทที่เรียกเนี่ยมาจากในเน็ททั้งนั้น ที่เสียเวลาไปวอร์คอินนี่เปล่าประโยชน์มาก ๆ จนวันนึงเพื่อนมันโทรมาบอกว่า อาจารย์ที่สอนมันมีโปรเจค ต้องการเด็กไปทำงาน เราก็เลยไปดู ทุกคนจบ Marketing หมด มีเราจบ Finance คนเดียว อ. คนนี้ก็ไม่เคยสอนเรา แต่เค้าบอกว่าจะฝากเรากับบริษัทที่เค้าไปเป็น Consultant ให้ เราก็ดี๊ด๊าใหญ่เลย เพราะอ.เค้าบรรยายไว้ซะดิบดี ว่าบริษัทนี้เค้าเป็นคอนเซ้าเรื่องฝ่ายบุคคลให้ จะให้เราไปทำไฟแนนซ์ เพราะบริษัทเค้ากำลังเข้าตลาดหุ้น มันไม่ง่ายเลยที่เราจะได้มีโอกาสทำการเงินให้กับบริษัทที่กำลังเข้าตลาดหุ้น เราจะได้เห็นว่าการที่บริษัทนึงจะเข้าตลาดหุ้น มันมีวิธีการอย่างไร เราตื่นเต้นมาก ๆ แต่พอเราเข้าไปจริง ๆ มันคนละเรื่องกันเลย เพราะมันเป็นบริษัทคนจีน เก่า ๆ โทรม ๆ ทำงานก็ไม่ค่อยเป็นระบบ พนักงานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จบปริญญาตรี ทำงานแบบลูกทุ่ง ๆ น่ะ เข้าใจมั้ยไม่รู้ เครื่องตอกบัตรก็ตอกบัตรจริง ๆ เอากระดาษแข็งตอกแต๊ก ๆ พิมพ์เวลาออกมา สามารถใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดมาทำงานได้เลย อาหารกลางวันเหรอจ๊ะ ส้มตำซะเป็นส่วนใหญ่ค่า ภาษาพูดเหรอจ๊ะ อีสานจ้า หมวยอย่างเราอึ้งไปเลย ก็อย่างว่าแหละ บริษัทคนจีนก็จะงกหน่อย ก็จ้างแบบถูก ๆ เราก็ได้เงินเดือนถูกสุดในชีวิตก็ที่นี่แหละ ทำงานก็เยอะที่สุดด้วย เพราะเราต้องทำงานวันเสาร์ด้วย เหนื่อยสุด ๆ ทำให้เข็ดกับการทำงานวันเสาร์ไปเลย บางครั้งวันอาทิตย์เราก็ต้องมาทำนะ งานที่ทำน่ะเหรอ นั่งเขียนเช็ค จ่ายเช็ค วางบิล แล้วก็เช็คใบเสร็จ ตอนเช็คนี่ไม่ใช่ง่าย ๆ นะจ๊ะ เพราะงานเค้าไม่เป็นระบบเลย หลักฐานเลยไม่ค่อยจะมี แล้วใช้มือเขียนทั้งนั้น น้อยมากที่จะปริ๊นออกมาจากคอม คอมก็มีไม่กี่ตัว ยิ่งโทรศัพท์นะจ๊ะ โทรออกได้ไม่กี่เครื่องค่ะ ประมาณ 20% ของเครื่องทั้งหมด แบบว่าเราก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์งานกับเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าใช้เรื่องงานก็วุ่นเลย เพราะมี 5 เครื่องได้มั้งที่โทรออกได้ แล้วมาช็อคตรงที่โทรศัพท์ทุกเครื่องที่โทรออกได้ จะมีปริ๊นออกมาว่าเครื่องนี้โทรไปเบอร์อะไร คุยกี่นาที (แต่อันนี้ทุกบริษัทคงมีมั้ง แต่เราไม่เคยเจอเลยช็อค) เมลบริษัทนี่ลืมไปได้เลยจ้า ขนาดคอมยังไม่มีเลย
แต่ก็ใช่ว่ามันไม่ดีซะหมดนะ เรื่องที่ดีก็มีสองอย่างนะ อย่างแรกคือมันใกล้บ้านเรามากเลย (ถ้าขับรถไปน่ะนะ เพราะมันเป็นทางลัด) ขับรถจากบ้านเราไปถึงบริษัทแค่ 10 นาทีเองมั้ง แต่ถ้านั่งรถเมล์มันอ้อมโลกล่อไปครึ่งชั่วโมงกว่าแน่ะ
เรื่องดีอย่างที่สองก็คือ มีอยู่วันนึง พี่คนที่เป็นหัวหน้าเรา เค้าเป็นน้องสาวเจ้าของ เค้าใช้ให้เราไปแบงค์ด่วนมาก แต่ทีนี้เราทำกุญแจรถเราหาย (จริง ๆ มันไม่ได้หายหรอก แต่เราหาไม่ดีเอง แต่เราไม่ได้ตั้งใจนะ) เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปแท็กซี่เอง เค้าก็คงคิดว่าค่าแท็กซี่ที่มาเบิกมันแพงกว่าค่าน้ำมันรถที่จะไปเอง เค้าก็เลยเอากุญแจรถบีเอ็มของพี่สาวเค้ามาให้เราขับไป โอ้วแม่เจ้า เกิดมาเพิ่งเคยมีวาสนาขับบีเอ็มกับเค้าซักที ทุกทีขับแต่รถกระป๋องญี่ปุ่นเก่า ๆ ร่วม 10 ปี แหะ ๆ บอกแล้วว่าบ้านมีฐานะ (ยากจน) แต่ตอนแรกเราก็ไม่เอานะ เพราะเกิดขับไปชนขึ้นมามันจะไม่คุ้มกับเงินเดือนเราทั้งเดือนนะ แต่พี่เค้าบอกว่าไม่เป็นไร รถมีประกัน ให้รีบ ๆ ไป เลยสบายเราเลย บีเอ็ม พวงมาลัยนิ้ม นิ่ม มีเรื่องนี้แหละ จำได้ติดใจเลย (ติดใจบีเอ็มน่ะสิ อิอิ)
Create Date : 16 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 16 สิงหาคม 2549 16:18:51 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1952 Pageviews. |
|
|
|