Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
31 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
ไปสัมภาษณ์ 3 งานในวันเดียว หลากหลายอารมณ์ม้ากค่ะ ตอนจบ

หลังจากเล่าการสัมภาษณ์ที่แรกไปแล้ว
แล้วก็ไปหาหมอเรื่องที่ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ ที่โรงพยาบาลแล้ว
คราวนี้ก็มาเล่าที่ ๆ เราไปสัมภาษณ์ที่ ๆ 2 กับ 3 นะจ๊ะ

เรามีนัดสัมภาษณ์งานตอนบ่าย 2 กับบริษัทข้ามชาติสัญชาติมะกัน
ที่ตั้งอยู่ตรงตึกแถวช่องนนทรี
เป็นบริษัทที่ recruit หามาให้

พอไปถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
เราเลยดูผังบริษัทของตึกนั้นว่ามีบริษัทอะไรบ้าง
เผื่อเราจะเค้าไปฝาก resume เอาไว้ด้วย เพราะเราก็เตรียมมาเผื่อหลายชุด
แล้วเราก็เจอบริษัท recruit แห่งนึง
เราเลยขึ้นไปฝาก resume เอาไว้
แต่เค้าบอกว่าต้องมีทดสอบข้อเขียนกับสัมภาษณ์ด้วย
พอดีเราไม่ได้นัดไว้
เค้าเลยอยากให้สอบข้อเขียนไว้ก่อน
แต่เรามีนัดสัมภาษณ์งานกับที่อื่น กะแวะมาทิ้ง resume ไว้เฉย ๆ
เลยบอกปฏิเสธเค้าไป
แต่เค้าบอกว่าถึงทิ้ง resume เอาไว้ก็ต้องกลับมาสอบข้อเขียนกับสัมภาษณ์อยู่ดี
เราก็ขอทิ้งเอาไว้
อืม ๆ ไม่เป็นไร

แอบเห็นข้อสอบเค้า
แบบว่า
มันมาอีกแล้ว
ให้เขียน essay เขียนจดหมาย เขียนบ้าบอคอแตกเป็นปึก ๆ ที่เราเกลียด ๆ อีกแล้ว
ให้เราพูดภาษาอังกฤษน้ำไหลไฟดับ เราไม่เกี่ยงเลยนะ
แต่ให้มาเขียนภาษาอังกฤษยาว ๆ เป็นหน้า ๆ ที่เราขอบายเลย
ถ้าบริษัทไหนมีสอบข้อเขียน
ถ้าบริษัทไม่ใหญ่หรืออยากเข้าจริง ๆ เราจะปฏิเสธไป
เราว่าเค้าน่าจะหาคนที่มีทักษะพูดภาษาอังกฤษได้มากกว่าเขียนนะ
เวลาเขียนอะไรยาว ๆ เราก็เพิ่ง google ทุกที
ให้ skill copy and paste แล้วก็บิดคำให้มันตรงกับสถานการณ์ แหะ ๆ
writing skill ระดับ beginner แต่ copying skill ระดับ advance นะจ๊ะ

ตอนบ่าย 2 โมงเราก็เข้าบริษัทในบริษัทที่เรานัดสัมภาษณ์งานไว้
มันก็ใหญ่พอสมควร
ชั้นนั้นทั้งชั้นเป็นของบริษัทนี้เลย
เพราะเค้าเป็น hub ด้วยล่ะมั้ง
แต่บรรยากาศไม่น่าทำงานเลย
เพดานมันต่ำอ่ะ
ไม่ใช่เพดานเงินเดือนนะ
แต่เป็นเพดานตึกอ่ะ
มันอึดอัดอ่ะ
แล้ว partition สีทึม ๆ เค้าก็สูงท่วมหัวเลยอ่ะ
เลยยิ่งทำให้มันดูอึดอัดเข้าไปใหญ่
อย่างว่าแหละ ออฟฟิศที่เรานั่งทำงาน เพดานจะสูง แล้วในออฟฟิศ ฝั่งนึงจะเป็นกระจกบานใหญ่ทั้งแถบเลย
คนที่นั่งกัน 20 กว่าคนตรงนั้นจะเห็นฟ้าใส สดชื่นกันทั้งวัน
แล้วเรานั่งติดกระจกบานใหญ่เลย
โล่ง โปร่ง สบายมาก

ตอนเดินผ่านเข้าไปสัมภาษณ์ในห้อง line manager เรา
เราจับกระแสความเครียดได้อย่างรุนแรง
อย่างว่าแหละ ก็เค้าทำงานกับตัวเลขกันหนิเนอะ

พอเข้าไปสัมภาษณ์
พี่ที่เค้าสัมภาษณ์เราเป็นผู้หญิงคนไทยที่เก่ง อายุ 30 ปลาย ๆ
พี่เค้าให้วาดแผนผังองค์กรเลยอ่ะ
แล้วก็ถามคำถามไล่บี้เราเป็นภาษาอังกฤษตลอดเลย
ไล่บี้ซะขนาดว่าข้อดีที่ให้ยกมา 3 อันพร้อมตัวอย่างประกอบของเรากลายเป็นข้อเสียไปได้หมดเลยอ่ะ ก็คิดดูแล้วกัน

แล้วก็ถามว่าเคยทำงานผิดมั้ย
แล้วแก้ยังไง
แล้วทำไมทำอย่างนั้น
แล้วทำไมไม่ทำอย่างนี้
แล้วคิดว่าแบบนี้มันดีที่สุดแล้วเหรอ
แล้วผลออกมาเป็นยังไง
แล้วมีวิธีไม่ให้มันเกิดอีกยังไง
ฯลฯ

กดดันโคด ๆ ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งได้
แล้วพี่เค้าก็เล่าว่าถ้าได้มาทำที่นี่ต้องทำอะไร
แล้วต้องเจอคนประเภทไหนบ้าง
ซึ่งคนที่เราต้องติดต่อประสานงานทั้งในออฟฟิศเองกับต่างประเทศ
เป็นประเภทที่สุด ๆ ทั้งนั้น
พูดไม่รู้เรื่องบ้าง
impolite บ้าง
หรือว่าเค้าจะรู้ทุกอย่างแต่เค้าไม่ยินดีที่จะให้ข้อมูลกับเราบ้าง
หรือจะให้ ก็ให้ข้อมูลช้ามากจนทำให้งานเราไม่เสร็จตาม deadline บ้าง
ขออย่างนึง ให้อีกอย่างนึง
บางคนก็คิดว่างานเค้าก็ยุ่งอยู่แล้ว เราไปขอข้อมูลก็จะหงุดหงิดใส่
หรือไม่ทำให้เลย เพราะเค้าก็ยุ่งอยู่แล้ว

แล้วเค้าก็ถามว่า
แล้วเราจะรับมือกับคนพวกนี้ยังไง

เราก็ตอบไปทุกวิถีทางที่เราคิดว่าจะได้มาซึ่งข้อมูลและความสัมพันธ์ที่ดี
พอตอบไปข้อนึง
เค้าก็จะตอบกลับมาว่าถ้ามันไม่ work จะทำยังไง
อ่ะ
ก็ตอบอีกทางนึง
เค้าก็พูดแบบเดิมอีก
ก็ใช้หลักจิตวิทยาก็แล้ว
หลักเหตุผลก็แล้ว
หลักธรรมะก็แล้ว
เค้าก็ยังไล่บี้เราไม่หยุดหย่อน
เราก็รู้แหละว่าเค้าไม่ได้กวน
แต่การทำงานจริง เค้าคงใช้ทุกกระบวนท่าแล้วกว่าจะได้ตัวเลขมา
เราก็ตอบเท่าที่เราจะคิดได้
แต่ส่วนใหญ่เราจะตอบโดยคำนึงถึงความรู้สึกของคนที่เราขอข้อมูลด้วย
ใจเขาใจเราอ่านะ
ถ้าเรายุ่งอยู่ แล้วมีคนมาขอข้อมูลแบบแรง ๆ เราก็คงไม่ชอบ
แต่เค้าสรุปว่า เราเป็นคนขี้เกรงใจ sensitive จะทำให้เราทำงานนี้ไม่รอดน่ะสิ
แป่ว

เวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่งไว้เหมือนโกหก
เค้ามาจบตรงที่เห็นเรทเงินเดือนที่เราเรียกไป
ซึ่งก็เท่าเดิม + 10%
เค้าก็บอกว่าเค้าให้ไม่ได้หรอกนะ
เค้าไม่มีงบ
คิดว่ารับได้เท่าไหร่ที่จะอยู่ได้สบาย
(อ๋อ ซักเดือนละสองแสนอ่ะค่ะพี่ หนูคิดว่าคงอยู่สบาย)
นี่จะต่อเงินเดือนใช่มะ
จะให้กรูทำงานกดดันแทบบ้าขนาดนี้แล้วให้เงินกรูนิดเดียว
งั้นกรูทำงานสบาย ๆ อยู่ที่เดิมดีกว่า จะมาดิ้นรนเอางานท้าทาย (เกินไป) นี่ทำไม
เราก็ไม่ตอบว่าเอาเท่าไหร่
กลัวตอบไปจะระงับอารมณ์ไม่อยู่


แล้วพี่เค้าก็พาให้เราไปสัมภาษณ์กับพี่อีกคนนึง
แล้วพี่คนก่อนก็ไปทำงานต่อ
ปล่อยให้เราสัมภาษณ์กับพี่คนที่ 2 นี้เพียงลำพัง
ซึ่งพี่ผู้หญิงคนนี้ก็เก่งเหมือนกัน
แรงกว่าอีกคนก่อนอีก
ทั้งสำเนียงภาษาอังกฤษที่ดูท่าทางจบนอก
ทั้งการยิงคำถาม และจ้องตาจะกินเราท่าเดียว
เจอคำถามเดิมอีกแล้ว
ให้บอกข้อดีมา 3 ข้อ
แล้วเคยทำงานผิดพลาด แล้วยังไง ๆ
แล้วก็
why why why
why not
แล้วก็ how + ความกดดัน level 10
ตลอดเวลาอีกเกือบชั่วโมง
เราก็ตอบ ๆ จนคอแห้ง
พี่เค้าก็จด ๆ อย่างเดียวเลย แล้วก็มองจิกมาเมื่อจะถามต่อ

ไม่นานก็มีพี่ผู้หญิงอีกคนเดินมาสมทบจะสัมภาษณ์ต่อ
แต่เราไม่ไหวแล้วไง
2 ชั่วโมงกว่าแล้ว
แล้วเราก็ late แล้วสำหรับที่ ๆ 3 ที่เรานัดไว้ตอน 4 โมงครึ่ง
นี่มัน 4 โมงแล้วด้วย
เราเลยขอตัวไปต่ออีกที่
เพราะเราก็บอกพี่เค้าว่า
เราได้ถาม recruit แล้วว่าใช้เวลาสัมภาษณ์นานแค่ไหน
เค้าก็บอกว่าประมาณชั่วโมงนึง
แต่นี่มัน 2 ชั่วโมงแล้ว

เค้าก็เลยจิกมาให้ว่า
วันหลังน่ะ
เวลามาสัมภาษณ์งานน่ะ
ให้เตรียมไว้เลย 3 ชั่วโมง
ไอ้ชั่วโมงเดียวนั่นน่ะ คือสัมภาษณ์แล้วไม่เอาไง
แต่เนี่ย เราเห็นว่าคุณมีความสามารถ เลยอยากคุยด้วยต่อ
แป่ว
ขนาดไม่เอายังสัมภาษณ์เป็นชั่วโมง
อิชั้นก็เพิ่งเคยเจอเนี่ยแหละค่ะ การสัมภาษณ์งาน 3 ชั่วโมง
แค่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมาอิชั้นก็จะอ้วกออกมาเป็นความเครียด + ความกดดันอยู่แล้ว

ไม่ไหวแล้ว
เลยชิงลาเค้าออกมาก่อนจะเจอ 2 หรือ 3 รุม 1 ในชั่วโมงสุดท้าย
พอออกมาปุ๊บ
recruit โทรมาเลย
แต่เราไม่รับอ่ะ
เหนื่อยมาก
แล้วก็รีบไปอีกที่นึงด้วย
เครียดมาก กลัวรับแล้วจะปฏิเสธเค้ายังไง
เพราะรู้เลยว่าเค้าจะโทรมานัดให้กลับไปสัมภาษณ์ที่เดิมให้จบในวันถัดไป
แต่เรารู้เลยว่าเราไม่เอางานนี้แน่นอน
แค่เห็นเพดานตึกก็ไม่เอาตั้งแต่ทีแรกแล้ว
ยิ่งมาเจอเจ๊หญิงเหล็ก หญิงเก่งมาเป็นนายเราอีก
ตายแน่ ๆ
เพราะเรารู้ตัวเลยว่าเราไม่เก่งจริง ๆ
เราแค่มี ตอแหล skill สูงก็เท่านั้น
ให้เราไปทำจริง ๆ ก็คงทำได้ แต่คงกดดันมาก
เพราะส่วนใหญ่เจ้านายที่เก่ง ๆ ก็ย่อมหวังให้ลูกน้องเก่งเหมือนตัวเอง
แต่อี่นี่เป็นคนชอบงานสบาย ชอบอู้งาน เดินไปคุยเจ๊าะแจ๊ะกับคนโน้น คนนี้
มาทำงานที่นี่เพื่อนร่วมงานคงตายซากแน่ ๆ

เรารู้ว่าเราตอบคำถามได้ดีทุกครั้งเวลาไปสัมภาษณ์งาน
เพราะเราตอแหลเก่งไง
เค้าไม่รู้จริง ๆ หรอกว่าเราทำอะไร แล้วผิดพลาดเยอะแค่ไหน ยังไง
เวลาตอบคำถาม เราก็ต้องตอบอะไรที่มันดูดีอยู่แล้ว ถูกมะ

เวลาไปสัมภาษณ์งาน
ไม่ค่อยมีบริษัทไหนที่ไม่รับเรานะ
เว้นแต่เราจะไม่เอาเค้าเอง
เนื่องด้วยเงินเดือนบ้างล่ะ
สวัสดิการบ้างล่ะ
เจ้านายบ้างล่ะ
เวลาทำงานบ้างล่ะ (เข็ดเลยเคยทำวันเสาร์เต็มวัน แถมบางครั้งต้องทำโอวันอาทิตย์ เหมือนศพเดินได้เลย)
บรรยากาศในที่ทำงานบ้างล่ะ (โดยเฉพาะเพดานตึกเหมือนที่นี่ไง)
เราค่อนข้างเรื่องมาก เพราะเวลาการทำงานมันคือเวลาครึ่งนึงของวันเลยน่ะ
เราอยู่ที่ทำงานเยอะกว่าที่บ้านอีก
ยังไงก็ขอเลือกมากไว้ก่อน
แต่ถ้าอยู่ในภาวะที่เลือกไม่ได้ก็คงอะไรก็ได้ เดี๋ยวอยู่ไปก็คงชิน

หลังากนั้นเราก็ไปสัมภาษณ์ต่อที่ ๆ 3 ตรงพระรามเก้า ตรงข้ามตึก KPN
ต้องนั่งรถไฟฟ้า ต่อไปใต้ดิน ต่อรถเมล์ เดินไปอีกป้ายเพื่อข้ามสะพานลอย แล้วก็เดินกลับมาอีกป้าย
จริง ๆ ลงรถเมล์ก็ข้ามถนนได้นะ แต่มันเสี่ยงอ่ะ กลัวตาย เพราะถนนมันกว้าง
โทรมเลยชั้น
ต่อรถหลายต่อ ใส่สูทไปด้วย รองเท้าส้นสูงอีก จะบ้าตาย

บริษัทนี้เป็นบริษัทก่อสร้างฮ่องกง
ยังไม่มีออฟฟิศเลย
ไปถึงมันเหมือนออฟฟิศใหม่ห้องนึงน่ะ
มีแต่โต๊ะกะเก้าอี้อยู่ 4-5 ตัว
ยังไม่มีอุปกรณ์สำนักงานอะไรเลย

เค้าประมูลงานของรัฐบาลได้
เลยจะมาหาพนักงานรุ่นก่อตั้งที่เมืองไทย
คนสัมภาษณ์ป็นคนฮ่องกงที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี
สัมภาษณ์ไม่มีอะไรเลย
ไม่เครียดเลย
มีแต่เราถามเค้ามากกว่าว่าเราต้องทำอะไรบ้าง
แล้วก็ถามว่าบรรยากาศออฟฟิศเมืองไทยเป็นยังไง
หยุดกันกี่วัน
สวัสดิการเป็นยังไง

คุยไปคุยมา
เค้าบอกว่าเค้ารับเราเลย
เพราะเค้าเห็นว่าเราพูดภาษาอังกฤษเก่ง
สื่อสารกับเค้ารู้เรื่อง จะได้เป็นมือขวาเค้าได้
แล้วเราก็ถามว่าเราต้องทำอะไรบ้าง
เค้าก็บอกว่าทำทุกอย่างก่อน เพราะตอนนี้ต้องฟอร์มทีม
ตั้งแต่ไปซื้ออุปกรณ์สำนักงานยันทำเรื่องสวัสดิการนั่นแหละ

คุยอะไรก็ง่ายไปหมด
เค้าก็มีสัญญามาให้ดูนะ
แล้ก็ดูเรื่องวันลา เค้าก็ถามว่าคนไทยได้กี่วัน
เค้าเขียนไว้ 5 วัน ก็แก้เป็น 7 วัน เค้าบอกว่าคนฮ่องกงได้เท่านี้
แล้วเวลาทำงานล่ะ
ในนั้นเขียนจันทร์ถึงเสาร์
เค้าก็แก้ให้เป็นเสาร์ครึ่งวันไปก่อน

เงินเดือนก็ได้ตามที่ขอเลย ขอเท่าที่มะกี๊เลย
แต่ยูต้องมาทำงานวันเสาร์ครึ่งวันด้วยนะ
ถ้าจะต่อรองเงินเดือนมากกว่านี้เค้าอาจจะให้เพิ่มได้นิดหน่อย
เพราะยูไม่ได้คาดหวังว่าจะมาทำงานวันเสาร์ด้วยใช่มะ
เราเลยขอเอกสารกลับไปคิดดูก่อน

แต่คิดไปคิดมา
เราไม่เอาอ่ะ
ไม่อยากทำงานวันเสาร์ แล้วคาดว่าต่อรองกับเค้าไม่ได้ด้วย
เพราะบริษัทที่ฮ่องกงเค้าก็ทำเสาร์เต็มวันกัน
แถมออฟฟิศอยู่ไกลบ้าน นั่งหลายต่อมาก ไม่ไหว
แล้วอีกอย่างคือ
เราไม่เก่งจริงอ่ะ
(อีกแล้ว)

คือเราเคยทำแต่บริษัทใหญ่ ๆ ที่เข้าไปแล้วรู้เลยว่าต้องทำงานอะไร
มี Job description ที่แน่นอน scope งานมากน้อยแค่ไหนก็ทำตามนั้น
ถ้าจะให้เราไปทำตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ
ไป set ระบบให้เค้า
ติดต่อเรื่องกฏหมายด้วย เราคงไม่แกร่งพอขนาดนั้น
ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่ได้รู้ว่าการตั้งบริษัทต้องทำอะไรบ้าง
แล้วเราก็จะเป็นเจ้าแม่ รุ่นก่อตั้ง
เจ้านายจะต้องเชื่อเราทุกอย่าง
ไม่มีใครกล้าไล่ออกออก (ขนาดน้าน)

พอกลับบ้าน
recruit ก็ยังไม่ละความพยายาม
โทรหาเราทุกชั่วโมง
เปลี่ยนเบอร์โทรไปหลายเบอร์
แต่เราก็รู้ทันไม่รับ
จน 2 ทุ่ม
อารมณ์เริ่มกลับสู่โหมดปกติ
แล้วกำลังเรียบเรียงคำพูดปฏิเสธงานยังไงอยู่
มือถือก็ดัง
เอาวะ รับก็รับ

จริงด้วย
recruit โทรมาบอกว่าลูกค้าเค้า happy กับเรามาก
แล้วขอนัดสัมภาษณ์ต่อกับบริษัทลูกค้าเค้าให้จบ
แต่เราไม่เอาแล้ว
เข็ดแล้วกลัวเลย
ให้เงินเดือนมากกว่าที่เดิม 50% ยังขอคิดดูก่อนเลย
กลัวว่าเงินเดือนที่ได้มาต้องเอาไปซื้อยาแก้เครียด ยานอนหลับ หรือซื้อชั่วโมงคุยกับจิตแพทย์ซะหมดน่ะสิ
เค้าก็ถามว่าทำไมถึงปฎิเสธ
แต่เราก็ไม่ได้บอกความจริงเค้าไปหรอกนะ

เราเชื่ออย่างนึงว่า
ถ้าเราหาจุดเด่นของเราให้เจอแล้วขายตัวเองให้ได้
คิดว่าตัวเองเป็นสินค้า
แล้วทำยังไงให้คนเค้าอยากมาซื้อเรา
คิดแทนคนขายเลยว่าเค้าอยากได้สินค้าแบบไหนแล้วเสนอเค้าไปให้ตรงจุด
แม้ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน
เราจะไม่ตกงาน
ทั้งนี้
เราอาจจะต้องมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีมาก่อน
(อย่างว่าแหละนะ อยู่เมืองไทย เค้าดูที่สถาบันกับเกรดเป็นหลัก)


เฮ้อ
วันนี้เป็นวันที่พูดเยอะที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
พูดสัมภาษณ์งานหลายชั่วโมง
ไหนจะโทรเม้ากับเพื่อนอีก 5 คนซะละเอียดยิบว่าไอ้ที่ ๆ 2 มันถามคำถามกดดันชั้นยังไงบ้าง
เรียกได้ว่าใครโทรมาคุยด้วยวันนี้เป็นเหยื่อระบายอารมณ์อีนี่หมด
แล้วก็ตบท้ายก่อนนอนด้วยการระบายให้ป๊ากะม้าฟัง
เฮ้อ
วันนี้เผชิญเหตุการณ์หลากหลายตั้งแต่สัมภาษณ์ที่แรก ไปโรงพยาบาล สัมภาษณ์ที่ ๆ 2 และ 3
หมดแรงเลย



Create Date : 31 มกราคม 2552
Last Update : 31 มกราคม 2552 20:56:43 น. 5 comments
Counter : 4844 Pageviews.

 
อาฮ้า...อ่านสนุกมักมายที่สุด
การสัมภาษณ์แล้วคนไปหางาน
ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่า "ไม่เอาเคอะ"
(กรูไม่ง้อหมืงเว๊ ย)
ผมอ่านแล้วพลอยมีความสุขไปด้วยจริงๆ
เหมือนกับ ๆ สะใจบางอย่าง (:
ใช่ว่าทุกคนที่หางานมาสัมภาษณ์แล้วก็หงอเป็น
ลูกไก่ในกำมือ
THX alot (:


โดย: ซ่อนรอยยิ้ม วันที่: 31 มกราคม 2552 เวลา:20:35:32 น.  

 
อ่านแล้วเครียดแทนเลยอ่ะค่ะ
ในชีวิตเคยสัมภาษณ์งานแค่ 2 ที่เอง

แต่อ่านแล้วชอบตรง copy and paste อ่ะ เพราะเราก็ประเภทตัดต่อยอดเยี่ยมเหมือนกัน 555+


โดย: MaRiMeKKo วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:51:05 น.  

 
เคยสัมภาษณ์กับว่าที่คู่แข่งบริษัทนาน 4 ชม. กดทั้งตำแหน่งกดทั้งเงินเดือน ฟังๆแผนการตลาดของเค้าแล้ว ไม่ไหวฝันเกิ้นน.....

แต่ก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่า ได้ข้อมูลมาทำ competitor survey report ให้บริษัทเดิมด้วย 555+


โดย: maydaysayHi วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:51:54 น.  

 
แล้วตกลงไปทำงานที่ไหนอะคะ รู้สึกจะไม่เอาเลยทั้ง 3 ที่ 555

ช่วงนี้อยู่ในช่วง กำลังหางานใหม่อยู่เหมือนกันเลยค่ะ

ได้ผลยังไงมาแจ้งบ้างนะคะ คนอ่านเอาใจช่วย




โดย: poyko IP: 203.155.100.134 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:58:43 น.  

 
อ่านแล้วมีความสุข สนุกไปด้วยกับน้องเลยค่ะ


โดย: นี่แหล่ะตัวฉาน IP: 61.90.38.242 วันที่: 9 ธันวาคม 2557 เวลา:14:20:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.