ความทรงจำจากคุลิงแดนบ้านป่า ที่เรื่องหมูๆทำให้มุสลิมกับการ์เฟตอยุ่ร่วมกันได้
สมัยก่อน ต.คุลิง แถวจังหวัดชุมพรยังเป็นป่า อย่าว่าแต่ีมุสลิมเลย คนยังหาได้น้อยกว่าหมูป่าโข ชุมพรเมื่อก่อนมีมุสลิมน้อยมากๆ แต่ความอุดมก็เหลือหลาย เพื่อนผมเด็กพุทธพื้นเดิมก็ขยายไปบุกร้างถางพงทำสวนอยู่ที่นั่น พอเกิดสถานะการณ์ทางใต้ คนมุสลิมจากแถวนั้นก็ย้ายขึ้นมา แรกๆก็เข้่ากันไม่ไ่ด้หรอกครับ ธรรมดาของเจ้าถิ่นกับผู้มาใหม่ ยิ่งต่างศาสนาต่างความเชื่อกันด้วย แทบจะต่างคนต่างอยู่ จนดึกวันนึงมีเสียง... "เปรี้ยงงงงง...." หลังเสียงปืนลั่น ชาวบ้านก็รีบขับรถบึ่งออกไป เสียงเอะอะโวยวายตะโกนหากันให้ลั่น ไม่รู้ว่าเป็นน้ำใจคนไทย รึนิสัยสอดรู้ พอถึงที่ บังเจ้าของที่ทำหน้าประเจ๋อเหรอ "...มู่เถื้อนๆ... " ครับหมูป่า ที่คนมุสลิมถือเป็นนายิสของสกปรกจับต้องไม่ไ่ด้ หมูพวกนี้ลงกินตรงไหนมันก็จะพาฝูงตามมาลงที่นั่นเป็นประจำ แต่เมื่อมันเข้ามาทำลายพืชไร่ก็ต้องยิง แต่ยิงแล้วไงต่อก็มันโสโครกน่ะ บังก็ไม่อยากแตะ แต่ไทยพุทธยิ้มเผ่ลเลียปากแผ่ลบๆ อร่อย ขอเหอะ....โดยที่บังแกแทบจะประเคนให้ด้วยความขยะแขยงหมู หลังจากนั้น สวนแกกลายเป็นที่ชุมนุมชาวบ้านไปดักยิงหมูเถื่อนอยู่พักนึง บังก็นอนกอดเด๊ะอยู่บ้านลูกคลานดุ๊กดุ๊ยตามๆกันมา สบายไปไม่ต้องเฝ้าสวน จากหมูตัวเดียวก็เริ่มเป็นแกง เป็นขับรถผ่านก็ฝากกันซื้อของ ไมตรีดีๆ ระหว่าง กลุ่มมุสลิมกับการ์แฟต เริ่มมาได้ด้วยหมูตัวเดียว...ใครจะคิด
หากแถวนั้นมีแต่มุสลิม หมูเหล่านั้นก็คงไม่มีใครจัดการ หากแถวนั้นมีแต่บ้านคนพุทธ ก็คงไม่เกิดการแบ่งปันหมู หากไม่เกิดความลำบาก ก็คงไม่เกิดไมตรี นั่นแหละครับมุมนึงที่ชี้ใ้ห้เห็นได้ว่า ทำไม อัลลอฮ ถึงไม่สร้างทุกสิ่งมาเหมือนๆกัน ในความสกปรกเป็นนายิสของหมู ในความแตกต่างของการ์เฟต ต่างก็มีตำแหน่งหน้าที่ๆเหมาะสมของแต่ละอย่าง หมูต้องจัดการ มุสลิมว่าหมุสกปรก แต่คนพุทธสอยซะ เป็นแตกต่างอย่างพึ่งพาและเกี่ยวโยงกันเป็นสายใย และเมื่อไหร่ที่ความต่างนั้นแตกแยกออกไปจากสายใยไม่สอดประสาน แม้ว่าความแตกต่างนั้นๆจะดีเลิศเพียงไร แต่ก็ได้แค่แตกต่างอย่างโดดเดี่ยว
ผ่านมาหลายปี ผมกลับไป พบว่ามีคนมุสลิมอพยบเข้ามามากขึ้น มีชุมชน มีโรงเรียนศาสนา มีผู้รู้ และมีความแยกแตก?
ไม่แปลกเพราะคนเรามักเอาตาเราไปจ้องความผิดคนอื่นเพื่อประนามเขา แทนที่จะนำมาปกป้องตนเอง.... การ์เฟตกินหมูก็เรื่องของเขา แต่นั่นแนวทางทางของเขา เราไม่ทำก็แค่นั้น เราัมักจ้องแต่จุดดีของเรา แต่ไม่เคยยอมรับความดีของคนอื่น... ฉันมุสลิมโดยกำเนิดอย่างไรต้องได้สวรรค์ การ์เฟร์ซิตกนรกแน่นอน ลืมไปรึเปล่าว่า ไม้ฟืนย่อมโดนเผาให้สูญสลายไม่ต้องวนมาเกิด อันอาจจะเป็นทางดับทุกข์ที่คนพุทธต้องการก็ได้ ทั้งหมดเพื่อคิดให้ได้ว่า ตนเหนือกว่า ต่างจากแต่ก่อนที่ไม่มีอะไรมาก ไม่รู้มาก ต่างก็ลำบาก ต่างก็ช่วยๆกันไป ก็ให้ไมตรีกันได้พอนั่นหละ ความสบายเข้ามา ผู้รู้ตามมา อันความรู้ดีก็เหมือนมีม้าดี คนเราจึงมักเลือก ที่จะตามคนที่ขี่ม้าแข่งดีๆก่อนม้าแกลบเสมอ โดยไม่ได้คิดซะด้วยซ้ำว่า ฟิร์อูร์มีรถม้าศึกเสียด้วยซ้ำ แต่นบีขี่แค่ฬ่อก็ยังออกนำทัพได้ ผมไม่ได้หมายความว่านบีโง่กว่าคนทั้่งหลาย แต่กรุอ่านก็ชี้นำและกล่าวท้าแล้วว่า นบีเป็นผู้ไม่รู้หนังสือ แต่กรุอ่านกลับลึกซึ้งและไพเราะชนิดหาที่เปรียบมิได้ ชนิดที่ปราชที่รู้หนังสือมากกว่านบียังเลียนแบบไม่ไ่ด้ นั่นหละสิ่งที่ควบขี่นั้นแท้จริงสำคัญน้อยกว่าจิตใจของคนที่ขี่ เต่เราก็มักเลือกตามเปลือกเหล่านั้น ม้าดีอาจจะพาท่านไปได้ไกล แต่แค่พริบตาก็อาจจะหลงทางไปสุดกู่ ฬ่ออาจจะดูเชื่องช้า แต่ก็มาตรงตามแนวทางไม่ผิด หลงก็ไม่ไกลนัก มันอยู่ที่ใครเป็นคนขี่
เคยมีมุสลิมได้ถามตนเองมั๊ยว่า "ผู้นำของเราคนนี้ เรากำลังตามม้าศึกฟิร์อูร์ รึตามฬ่อของนบี กันแน่?" และสิ่งหนึ่้งที่ผมสงสัยจนคาใจเสมอๆ "นี่เราเรียกว่าการพัฒณาจริงหรือ เรามากันถูกทางรึเปล่าเีนี่ย?"
Create Date : 13 เมษายน 2553 |
Last Update : 15 เมษายน 2553 14:18:48 น. |
|
5 comments
|
Counter : 696 Pageviews. |
|
|
|
|