หลานฝากถาม.. เมื่อไหร่อาจะรับอิสลาม..
ครอบครัวชาวมุสลิมครอบครัวหนึ่งที่ผมสนิทมาก เคยผลัดกันช่วยเหลือกันในหลายๆด้าน แม้กระทั้งเรื่องศาสนาอิสลามในตอนที่ผมมีปัญหากับแฟนเก่า ด้วยปัญหาหลักก็คือคนมุสลิมด้วยกันมาขอแต่งงานและถูกใจเธอ ตอนนั้น คนนอกอย่างผม พูดอะไรกับเธอก็ผิดไปหมด ไม่ว่าอะไรแฟนเธอคนรอบข้างเธอที่เป็นมุสลิมก็ถูกเสมอๆ แม้กระทั่งคำพูดผมที่ได้มาจากครู (ที่ครอบครัวนี้แหละพาไปเรียนด้วย) ก็ยังผิด ตอนนั้นแม้แต่ซูเราะห์กรุอ่านที่ผมบอกมี 114 เธอก็หัวเราะเย้ยผมว่าไปเอาจากไหนมาต่อเติมศาสนาเธอ เธอว่า"เธอเป็นลูกคนเขียนหนังสือศาสนาแฟนเธอเป็นลูกโต๊ะอิม่าม สาบานก็ได้ว่ามีแค่ 60 ซูเราะห์" แถมด้วยประมาณว่าไปไหนก็ไป อย่าได้มาข้องแวะกับศาสนาเธออีก พวกมุอัลลัฟและการ์เฟตเนี่ยชอบทำศาสนาเธอเสื่อม ผมจำได้เธอบอกว่า พวกมุอัลลัฟต้อยต่ำขนาดไหน ในมุมมองมุสลิมโดยกำเนิดผู้ได้รับพรจากบรรพบุรุษ อย่างเธอและครอบครัวของแฟนใหม่ ซึ่งมันต่างกับตอนแรกที่เธอเคยพูดหว่านล้อมว่ามุอัลลัฟดีแค่ไหนโดยสิ้นเชิง แถมมุสลิมหลายๆคนก็ยังรุมด่าผมเสียอีก ผมถึงซึ้งคำว่า "คนเรามักเชื่อตามที่ตนอยากเชื่อเท่านั้น และความเชื่อถือในคนต้องไตร่ตรอง"
ตอนนั้นก็ได้ครอบครัวนี้แหละช่วยเหลือในแนวทางที่ดี ช่วงทีแฟนผมทิ้งไปก็เป็นช่วงที่ผมกำลังเจอปัีญหาอย่างหนัก ไหนจะเพิ่งตัดสินใจขอแม่ว่าจะเปลี่ยนศาสนาซึ่งแม่ก็พูดแค่ว่า "ถ้าไปต้องไปให้ดีอย่าให้เค้าว่าได้" ความต้องการเป็นมุสลิมของผมแรงถึงขนาดที่จังหวะนั้นพ่อผมเสียพอดี มันเป้นเรื่องน่าอึดอัดใจแทบน้ำตาร่วงที่ พิธีทางพุทธย่อมขัดต่อศาสนาอิสลาม แล้วผมก็มีหน้าที่ต้องทำ...ตอนนั้นคำถามมากมายเช่น ฉันจะป็นมุสลิม ฉันนับถืออัลเลาะห์ฉันจะกราบพระัได้อย่างไร แต่นี่งานศพพ่อนะ ฉันจะไม่ทำได้หรือ เป็นต้น หลังจากนั้นมาผมก็ยังทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเอง ยังศึกษากรุอ่านจนครบทั้งหมด ในเวลาหนึ่งปี ซึ่งในหนึ่งปีนั้นผมพยายามทดลองปรับชีวิตในแบบผู้ศรัทธา เช่นไม่กินหมูเลย ไม่แตะต้องเหล้าเลย หัดล้างหะดัส อะไรเป็นต้น (ซึ่งไม่ได้ง่ายเลยในเมื่อในสังคมรอบตัวผมเป็นอีกแบบ) จากนั้นแถมด้วยอีกหนึ่งปี... และเรื่อยๆตามจังหวะ หลังจากเวลาที่กำหนด สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจและตั้งปฏนิฐานไว้ สิ่งเคยเกิดในงานศพพ่อ ผมจะไม่ให้มันเกิดอีก เ้พราะผมก็ยังมีหน้าที่ของผม ต่อแม่และน้องๆ เช่นกัน นั่นเป็นสิ่งที่ผมเริ่มเทียบสังคมพุทธเดิมของผม กับสังคมมุสลิม และแน่นอนเมื่อผมตัดสินใจไปแล้ว.. ฉันเลือกพุทธ ครอบครัวนี้ก็ยังยอมรับการตัดสินใจของผม แม้แต่ครูผู้สอนอิสลามแก่ผมท่านก็ยังบอกว่า "ก่อนลมหายใจสุดท้าย แล้วคุณเฮือก รับอิสลามขึ้นมา คุณก็ดีกว่าผมแล้ว" และคนกลุ่มนี้ก็ยังอ้าแขนรับผมเป็นอย่างดี นั่นทำให้ผมซึ้งอีกข้อหนึ่งว่า ... คนดี คนที่มองคนเป็นคนเท่ากัน มีน้ำใจต่อกัน มีคุณลักษณะว่าผู้ดีนั้น เอาศาสนารึกรอบที่ตาเราวัดเราเชื่อมาตัดสินไม่ได้้เลย
ผมกลับมามีชีวิตปรกติสุขขึ้นเยอะ และก็ได้มิตรดีๆเพิ่มอีกมาก ยังมีนิสัยเดิมๆ ยังแยกร่างส่วนปรกติในชีวิตประจำวัน และอีกตัวตนที่ไม่มีใครมีทางได้รู้จักผมในโลกออนไลน์ ยังใช้ความรู้อิสลามหางอึ่งที่มีในแบบของผม เช่นตอนหลานผมโดนคนที่สุเหร่าพูดหว่านล้อมเรื่อง กินเหล้าบาป แต่ยาบ้านั้นไม่ผิดศาสนา ผมก็ให้เขากลับไปอ่านซูเราะห์อัน-นิซาอฺ อายะ 43 ซึ่งเป็นอันปิดข้ออ้างเรื่องน้ำกะทอ่มรึยาบ้าไปโดยปริยาย หรือป๋าๆเค้าเิริ่มละหมาด แต่พวกนี้กำลังติดเมาซ์ผมก็ไล่ไป เขาก็ว่า "ป๋าละหมาดแล้ว" ผมก็บอกว่า "ตามได้นิ" จนเจ้าหลานชายตัวเล็กแอบไปกระซิบกับเพื่อนผมว่า "อาๆ ถามจริงๆเหอะ ความรู้ศาสนาก็มี หลายๆทีผมยังอาย เมื่อไหร่จะรับอิสลาม" ผมได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่า "วันใดเขาเ้ข้าใจโลกกว้างพอ เขาจะเข้าใจว่าทำไม"
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2553 20:29:48 น. |
|
1 comments
|
Counter : 716 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ผ่านมา IP: 203.144.144.164 วันที่: 23 มีนาคม 2553 เวลา:22:25:08 น. |
|
| |