ธันวาคม 2562

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Marriage Story (2019) : เมื่อชีวิตคู่ต่อกันไม่ติด

เพิ่งดูจบหมาดๆเลยสำหรับหนัง Marriage Story หนังที่ว่าด้วยชีวิตคู่คู่หนึ่งที่กำลังจะจบลง

หนังเล่าถึง 'ชาร์ลี' กับ 'นิโคล' คู่รักที่วันหนึ่งทนอยู่กันไม่ได้ต้องหย่ากัน และต้องแย่งสิทธิเลี้ยงดูลูกของตน

1
''ความ(หมด)รัก''

มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดเหมือนกันนะ ที่เราต้องมานั่งดูเรื่องราวของความรักที่กำลังจะแยกจากกัน จากคนรักต้องเปลี่ยนมาเป็นบางอย่างที่ดูคล้ายๆว่าจะเป็นศัตรู เมื่อพวกเขาทั้งสองต้องขึ้นศาลแย่งสิทธิเลี้ยงดูลูกกันและกัน

เมื่อชีวิตของคู่รักคู่หนึ่งจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็น ''ความไม่รัก'' จนถึงจุดที่ทนอยู่ด้วยกันไม่ได้มันไม่ใช่อะไรที่จะเกิดขึ้นง่ายๆเลยนะ มันเป็นสิ่งที่ค่อยๆสะสมขึ้นมาทีละนิดๆ เหมือนเราเป็นโรคร้ายนั่นล่ะครับ มันค่อยสะสมโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่พอถึงจุดที่เรารู้ตัวโรคร้ายนั้นก็ยากที่จะรักษาให้หายดีดังเดิมได้ ความรักก็เช่นกัน

มันมีจุดนึงที่ 'นิโคล' เริ่มทนกับชีวิตตรงนี้ไม่ไหวเเล้ว เธอตัดสินใจเดินทางไปพบทนาย เล่าเรื่องราวต่างๆที่อัดอั้นระหว่างเธอกับสามีที่เกิดขึ้นมาให้ทนายฟัง และยืนยันว่าจะฟ้องหย่ากับตัวสามีของเธอ

---------------------------------------------------

2
''ความไม่เข้าใจในสถานการณ์''

ตัดภาพมาที่ชาร์ลีเขาได้รับรางวัลเกี่ยวกับงานกำกับที่เขาทุ่มเวลามากมายไปกับมัน เขากลับมาบ้านเพื่อมาบอกข่าวดีกับภรรยา แต่ต้องมาเจอใบฟ้องหย่าซึ่งตัวเขาเองไม่ทันตั้งตัว เป็นตัวเขาที่ไม่เข้าใจว่าเขาผิดพลาดอะไร มันควรเป็นวันที่เขาต้องมีความสุขมิใช่หรือ?

ก่อนหน้านี้มันแทบไม่มีสัญญาณเลยว่าภรรยาของเขาจะตัดสินใจแบบนี้ (หรือมันเค้าลางมาตั้งนานแล้วแต่ตัวเขาเองไม่รู้ตัว) ถ้าเปรียบเป็นโรคร้าย กว่าจะเข้าใจ กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น มะเร็งก็ลามจนเกินรักษาแล้ว

แต่เขาก็พยายามจะรักษามันโดยการพูดคุย ไม่ต้องถึงทนาย ไม่ต้องขึ้นศาล เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงแค่ความไม่เข้าใจกันทั่วไปของสามีภรรยา แค่พูดคุยกันนิดหน่อยก็อาจจะพอเคลียร์กันได้ แต่อีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นว่าเธอตัดสินใจดีแล้ว เพราะที่ผ่านมามันสุดๆแล้วจริงๆ

''ผมควรจะทำยังไง''

''คุณควรจะหาทนายของคุณ''

-----------------------------------------------------------

3
''สุดท้ายก็ต้องปล่อย.....''

แม้ฝั่ง ''นิโคล'' จะยืนยันว่าจะฟ้องหย่า แต่ฝั่ง ''ชาร์ลี'' ยังมีความคิดจะคุยกัน เขายังไม่ตัดสินใจจ้างทนาย จนสุดท้ายฝ่ายทนายของนิโคลต้องบีบให้เตรียมทนายมาสู้ความได้แล้ว ชาร์ลีจึงไม่มีทางเลือกไปติดต่อให้ทนายเก่งๆมาสู้ความเรื่องสิทธิเรื่องดูลูกและเรื่องต่างๆ แต่เขายังเลือกทนายที่มีความปราณีประนอมอีกฝ่าย เพราะไม่อยากให้เรื่องราวต่างๆมีความกระทบกับอีกฝ่าย (ยังหวังอยากคุยอยู่) แต่สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดมันเกินที่จะเยียวยา เขาจึงต้องจ้างทนายที่มีเขี้ยวกว่ามาสู้ในชั้นศาล

แต่การสู้กันครั้งนี้ทำให้ทั้งคู่ย้อนกลับมาทบทวนเรื่องเก่าและมันเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าพวกเขาทั้งคู่ได้จบกันจริงๆแล้ว

------------------------------------------------------------

4
''แม้เรื่องชีวิตคู่จะสิ้นสุดลง แต่ความเข้าใจและความผูกพันยังคงอยู่''

จะมีฉากที่ ''ชาร์ลี'' ต้องเอาลูกมาคืน ''นิโคล'' แต่ไฟบ้านของเธอเกิดขัดข้องเข้า ทำให้ประตูรั้วบ้านมีปัญหา เขาจึงอาสามาช่วยดูไฟบ้านของเธอ และเธอสังเกตเห็นผมของเขาเริ่มยาว (แต่ก่อนเธอเคยดูเเลการตัดผมให้เขาเป็นประจำ)

''ผมของคุณมันเริ่มยาวแล้วนะ'' เธอเอ่ยปากขึ้น

''ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาน่ะ แต่ผมกำลังหาเวลาไปตัดอยู่'' เขาตอบกลับ

''บางทีฉันอาจจะพอช่วยคุณเรื่องนี้ได้นะ''

บทสนทนานี้บ่งบอกถึงความใส่ใจที่ยังมีให้กันเหมือนเดิม แม้สถานะจะเปลี่ยนไป แต่ความใส่ใจบางอย่างมันยังไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ

-------------------------------------------------------------

มาว่ากันด้วยตัวหนังดีกว่า (เรื่องบทสรุปแนะนำให้ไปดูหนังเองเลยนะครับ)

คือหนังเดินเรื่องค่อนข้างจะอึดอัดมาก อึดอัดในที่นี้มันหมายถึงอึดอัดด้านความสัมพันธ์ที่มันกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของทั้งคู่ ทั้งยังรักแต่อีกมุมมันก็ไปกันไม่ได้เเล้ว

มันเป็นความสัมพันธ์ที่จบไปแล้ว ถ้าเริ่มใหม่คงกลับมาเจ็บแบบเดิม แต่ทั้งคู่ก็ยังคงแคร์คงใส่ใจอีกฝ่าย มันไม่ใช่การจบที่ไม่รักหรือหมดรัก แต่เป็นการจบที่การไม่เข้าใจกันและมันไปกันไม่ได้แล้วจริงๆ

สิ่งที่เด่นมากๆคือเรื่องบทและความสัมพันธ์ของเรื่อง การเล่นมุมกล้อง และมีลองเทคอีกหลายๆฉาก

แต่ที่เด่นที่สุดเห็นทีจะเป็นด้านการแสดง ทั้ง Scarlett Johansson, Adam Driver, Laura Dern รวมถึง Ray Liotta ที่บทไม่ค่อยเยอะก็ตาม ทุกคนปล่อยพลังการแสดงจนสุด เรียกว่าไม่มีใครเป็นรองใครจริงๆ หลายๆฉากผู้กำกับปล่อยเป็นฉากลองเทคให้นักแสดงปล่อยของกันสุดๆเลยก็มี (ฉากในอพาร์ทเม้นท์นี้ยอมรับฝีมือเลย)

คือผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าเหล่านักแสดงในเรื่องจะพาเลสกันชิงออสการ์ คือต่างคนต่างเล่นสุดๆจริงๆ

และตัวหนังโดยรวมก็ดูมีลุ้นรางวัล Best Picture ได้เลยเหมือนกัน (ส่วนตัวถ้าเทียบกับ The Irishman แล้ว ผมชอบ Marriage Story มากกว่า) แต่ไม่ว่ายังไงผมว่าปีนี้ Netflix ภาษีดีในเวทีออสการ์จริงๆ เล่นปล่อยสองเรื่องแบบหวังกวาดรางวัลได้เลย

คะแนนความชอบส่วนตัว 9/10 (ตัวหนังค่อนข้างน่าสะเทือนใจในหลายๆฉาก บอกได้สั้นๆแค่ว่า ไม่ควรพลาดครับ)



 



Create Date : 12 ธันวาคม 2562
Last Update : 12 ธันวาคม 2562 8:40:40 น.
Counter : 1501 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไมเคิล คอร์เลโอเน
Location :
กำแพงเพชร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



สวัสดีชาวบล็อคทุกคนนะครับ

''ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อตโกแล็ต เราไม่รู้ว่าเปิดจะเจออะไร''