วิธีเลี่ยงอาการจุกเสียดขณะวิ่ง
ให้สังเกตว่าในรายที่วิ่งแล้วเสียด ใช่หรือไม่ครับว่าการเสียดของคุณจะมีความสัมพันธ์กับความเร็ว พูดง่ายๆ ก็คือเสียดเพราะวิ่งเร็ว และถ้าวิ่งให้ช้าลงก็จะเสียดน้อยลง และถ้าหยุดวิ่งหรือเดินได้ก็จะยิ่งเลิกเสียดไปเลย ปัญหาก็คือคุณกำลังทำเวลาอยู่ในสนามแข่ง ที่สถานการณ์ไม่อนุญาตให้คุณหยุดแม้แต่เบาความเร็วลง ขืนแม้เพียงแผ่วลงเท่านั้น คุณก็มีหวังโดนแซงแน่ๆ จากผู้ที่กำลังตามติดมาทางข้างหลัง
ผู้ที่ทราบคนแรกก็คือตัวของเราเอง ที่แม้จะอุตส่าห์เก็บฟอร์มพยายามไม่ทำอาการอะไรให้กระโตกกระตาก โดยพยายามย้ำประคองรักษาความเร็วไม่ให้ตก เพื่อจะค่อยไปว่ากันใหม่ในอีกสักโลสองโลข้างหน้า แต่ก็ยังไม่เคยได้มีใครทำได้มิดชิด ความลับจะแตกภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น และยิ่งผู้เสียดท้องทำใจได้ช้าเท่าไร ก็จะยิ่งทรมานใจมากเท่านั้น ยิ่งดื้อดึงยิ่งไม่ยอมจบ ยิ่งดันทุรังก็ยิ่งพังพาบเร็วขึ้น ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นใครฝืนชะตากรรมได้พ้นสักราย มีทางเดียวให้รีบทำใจ และปล่อยสถานการณ์ให้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดไปตามธรรมชาติ คือยอมช้าลง ยอมโดนแซง เป็นอันว่าวันนี้ไม่ใช่เป็นวันของเรา
และผู้เขียนก็ไม่เคยเห็นนักวิ่งใด ที่เกิดอาการจุกเสียดขณะวิ่งโดยไม่ได้วิ่งเร็ว (ตามฐานของเขา) เช่นกัน อาการเสียดเป็นเสมือนปลายมีดตะขอแหลมจากคู่ต่อสู้ ที่วิ่งตามเรามาทางด้านหลัง เหวี่ยงเสียบติดฉึกเข้าไปที่เนื้ออ่อนๆ ปลายชายโครงติดหนึบ โดยที่เราคลำหาด้ามเพื่อดึงออกไม่พบ ผู้เขียนเคยโดน“มือดี” เหน็บตะขอติดเป็นของฝาก จนต้องยอมยกถ้วยให้เป็นของมันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว และทำนองเดียวกัน วันดีคืนดี เราก็เป็น “มือตะขอ” ที่วิ่งตามแชมเปี้ยนไป กระทั่งแชมป์เหลียวมาพบแบบประหลาดใจ ก็มิรู้กี่ศพต่อกี่ศพแล้วอีกเหมือนกัน เป็นเช่นนี้ทั้งสองแบบ มันดีจังตอนชนะเขา แต่อีตอนเราตัวงอส่ายไปส่ายมากลับสนุกไม่ออก
อาการเสียดเป็นอาการที่เกิดขึ้นแม้ในรายที่อาจจะฝึกมาดีแล้ว ถ้าตราบใด เราเร็วเกินฐานของเรานั่นแหละเป็นเจอดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะพบในราว 1 ใน 3 ของทั้งหมด และ 2 ใน 3 ไม่เกิด และอาจพัฒนาเปลี่ยนรูปไปได้ และที่สำคัญมันอยู่ตรงนี้เอง คือมันเปลี่ยนได้ แต่ต้องริทำที่สนามซ้อม ไม่ใช่สนามจริง
แนวปฏิบัติที่ผู้เขียนให้ไว้กับนักวิ่งที่มาฝึกด้วยเป็นแนวทางก็คือ จงอย่าหนีภาวะจุกเสียดให้มันเข้ามาเลย แต่เราก็จะใช้วิธีหย่อนหน่อยนึงเมื่อมันเข้ามาทักทาย โดยตบความเร็วให้ช้าลงเล็กน้อย ในลักษณะที่ผู้วิ่งยังต้องควบคุมความเร็ว ไม่ให้ตกลงวูบวาบ เป็นการบริหารความจุกประการหนึ่ง ขณะเมื่ออาการกลับค่อยยังชั่วแล้ว (ไม่ใช่หาย) ก็ให้รีบคืนความเร็วที่หายไปเหมือนเดิม และแน่นอนถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็อาจกลับมาเสียดอีกย่อมมีความเป็นไปได้มาก ก็ให้เราพยายามฝืนต่อไปทั้งๆ ที่ยังเสียดนั้น จนกระทั่งทนรู้สึกอีกไม่ไหวก็ให้หย่อนลงมาเหมือนเดิมเล็กน้อย จนกระทั่งมันกลับเข้าที่อีกที อย่างที่เราพยายามก็ให้คืนความเร็วไปอีกครั้ง ทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า มันจะเท่ากับเป็นการสอนให้ร่างกายรับมือกับภาวะเสียดนั้น โดยจำลองสภาพการณ์ที่เหมือนจริง แต่ไม่ใช่เป็นการฝืนตลอดให้ร่างกายบอบช้ำมากเกินไป
และการฝึกเสียดเช่นนี้ ก็จะไม่หายไปในระยะเวลาการฝึกครั้งเดียวหรือแม้แต่หลายครั้งก็เถอะ แต่ร่างกายจะค่อยๆ ผลักไสให้ภาวะทนที่ต้องทุกข์นั้นห่างออกไปและออกไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ร่างกายเราแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อยนั่นเอง จนกระทั่งคุณจะไปเริ่มรู้สึกจุกเสียดอีกที เอาตอนหลังเส้นชัย ถึงตอนนั้นเราไม่มีความจำเป็นจะต้องไปวอรี่มันอีกต่อไป ด้วยไอ้ตับไตม้ามหรือกระเพาะ มันไม่ใช่อวัยวะที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในช่องท้องเฉยๆ หากแต่มันถูกเชื่อม, ยึด, โยงและแขวนอยู่ด้วยผังผืด และเส้นเอ็นกระบังลมแล้วไปติดกับกระดูกซี่โครงเราอีกที ซึ่งเราก็จะรู้สึกเมื่อยเส้นเอ็นพังผืดและกระบังลมเหล่านี้ ที่ยังต้องรับแรงเครียดที่ต้องยึดโยงน้ำหนักเหล่านี้ ครั้งแล้วครั้งเล่ากับการกระแทก มันจึงเกิดการจุกเสียดขึ้น หรือพูดอีอย่างให้เข้าใจขึ้นก็คือ ภาวะความจุกเสียดเป็นภาวะเกร็งตัวที่ก่อกำเนิดอย่างสะสม ไม่ใช่เกิดครั้งเดียว
Owen Anderson Phd. เจ้าเก่าได้ให้เราทดลองพยายามเลี่ยงมันด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้ คือถ้าคุณรู้สึกเสียดในช่องท้องด้านขวา(ดังที่เรามักเป็นกันเสมอๆ) ให้ลองกำหนดหายใจออก เมื่อเท้าซ้ายกระทบพื้น และกลับกันในอีกด้านคือ ถ้าเสียดท้องทางด้านซ้าย ก็ให้ลองกำหนดหายใจออกเมื่อเท้าขวากระทบพื้น
อีกวิธีหนึ่งคือ พยายามฝึกหายใจด้วยช่องท้อง ด้วยการกำหนดเองอย่าปล่อยให้ธรรมชาติกำหนด ด้วยการนอนหงายและใช้หนังสือโทรศัพท์หนักๆ วางบนช่องท้อง ณ ตำแหน่งที่มักรู้สึกเสียดเป็นประจำ และพยายามยกหนังสือขึ้นด้วยการหายใจเข้า และผ่อนหนังสือลงด้วยการหายใจออก
Anderson ให้เหตุผลกระทำเช่นนี้ว่า เท่ากับเป็นการฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อช่องท้อง ซึ่งเมื่อมันแข็งแกร่งขึ้น ก็เท่ากับเป็นการช่วยให้อวัยวะภายในถูกจัดวางอย่างมั่นคงมากขึ้น ซึ่งเท่ากับมันจะถูกโยก, ดึง, รั้งให้น้อยลงกว่าเดิมนั่นเอง
อีกประการหนึ่ง ผู้วิ่งจะลองฝึกทั้งสองประการนี้ ก็ต่อเมื่อเขารู้จักการกินการรับอาหาร และน้ำดื่มให้เหมาะสมด้วยเสียก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่กินเสียแน่นไปหมดแล้วไปวิ่ง อย่างนี้ยังไงๆ ก็เอาไม่อยู่หรอกครับ
จาก A Stitch in Time….Hurts, Porter Shimer แปลโดย กฤตย์ ทองคง ที่มา : //www.thairunning.com
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 1:59:42 น. |
|
1 comments
|
Counter : 5335 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณคะ IP: 125.26.36.158 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:19:39:23 น. |
|
|
|
|
|