|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เตะลูกโทษอย่างฉลาด วิทยาศาสตร์กีฬาแนะ “บิดสะโพก-ใช้ลูกแป”
แนะเทคนิคเตะลูกโทษจากผลงานวิจัยวิทยาศาสตร์ การกีฬา ยิงให้แม่น “ใช้ลูกแป-บิดสะโพก” เผยทีมฟุตบอลเยาวชนคว้าชัยจากบรูไนโดยอาศัยการฝึกซ้อมตามผลงานวิจัย ดร.สุวัตร สิทธิหล่อ ผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา เผยถึง งานวิจัยเรื่องการวิเคราะห์ทางชีวกลศาสตร์ของการเตะลูกโทษ ณ จุดโทษในกีฬาฟุตบอลว่า ได้ทดลองเก็บข้อมูล การเตะลูกโทษของนักกีฬาฟุตบอลชายระดับเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 20 คน โดยใช้กล้องดิจิทัล 6 ตัวบันทึกภาพการเตะลูกโทษ ซึ่งนักเตะแต่ละคนจะติดตัวระบุตำแหน่ง (Reflexive marker) ไว้ที่หัวไหล่ ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท่าและเท้าซ้าย-ขวา ทั้งนี้กล้องจะบันทึกการเคลื่อนไหว โดยจับแสงสะท้อนจากตัวระบุตำแหน่ง ภาพที่บันทึกได้นำไปวิเคราะห์โดยโปรแกรมวิเคราะห์ผลสำเร็จรูป ซึ่ง ดร.สุวัตรเผยถึงผลการวิจัยว่า ตำแหน่งมุมล่างสุดของประตูเป็นพื้นที่ ซึ่งมีโอกาสเตะลูกเข้าประตูได้สูง ทั้งการเตะลูกออกมาด้วยความเร็วสูงก็มีแนวโน้ม ที่ลูกจะเข้าประตูมากขึ้นเช่นกัน
นอกจากยังพบอีกว่า หากนักเตะบิดสะโพกหรือข้อไหล่เพิ่มขึ้นประมาณ 4 องศาจะช่วยให้ความเร็วของลูกบอลเพิ่มขึ้น 1 เมตร/วินาที หรือประมาณ 3.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งตำแหน่งของเท้าที่ใช้เตะยังมีผลต่อความแม่นยำในการยิง โดย ดร.สุวัตรอธิบายหากเตะด้วยหลังเท้า (in step) จะให้ความเร็วสูงเพราะใช้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าเท้า แต่มีพื้นที่กระทบลูกบอลน้อยจึงมีความผิดพลาดสูง แต่หากเตะด้วยหน้าเท้าด้านใน (in foot) หรือลูกแปจะมีความเร็วน้อยกว่าการเตะแบบแรก แต่มีความแม่นยำกว่าเพราะมีพื้นที่กระทบลูกมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากต้องการเพิ่มความเร็วในการเตะลูกแบบหลังนี้ ให้บิดสะโพกและหัวไหล่เล็กน้อย จะช่วยเพิ่มความเร็วในการเตะได้ สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ใช้เวลาทดลอง 3 เดือน โดยปัญหาและอุปสรรคที่พบนั้น ดร.สุวัตรเผยว่า เป็นเรื่องความเข้มแสงในสนามกลางแจ้งที่ไม่สามารถควบคุมได้ หากแสงมีความไม่สม่ำเสมอก็จะทำให้ข้อมูล ที่เก็บนั้นมีสัญญาณรบกวนมาก ซึ่งเก็บข้อมูลได้ดีที่สุดช่วงเวลา 6.00 น.ที่แสงมีความสม่ำเสมอ อย่างไรก็ดียังมีอีกหลายปัจจัยที่มีผลต่อการยิงลูกโทษ โดย ผอ.วิทยาศาสตร์การกีฬาเผยว่า ถ้าผู้รักษาประตูพุ่งตัวก่อนที่นักเตะจะยิงลูก ก็มีโอกาสป้องกันประตูได้สูง หากพุ่งตรงไปยังมุมที่นักเตะเล็งไว้ ทั้งนี้หากต้องการความแม่นยำให้เล็งตำแหน่งที่ห่างผู้รักษาประตู 1 ช่วงไหล่ เพราะการยิงใช้เวลาไม่กี่วินาที แต่การพุ่งตัวรวมกับการใช้เวลาประมวลผลเลือกซ้าย-ขวาของผู้รักษาประตูนั้น ใช้เวลามากกว่า ทางด้าน นายกวิน คเชนทร์ ศึกษานิเทศก์กองส่งเสริมวิชาการสถาบันการพลศึกษา และที่ปรึกษาทีมฟุตบอลเยาวชนทีมชาติไทย อายุไม่เกิน 19 ปี กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นแนวทางสำคัญของการยิงลูกโทษให้สำเร็จ โดยทีมเยาวชนได้ที่ได้ชัยชนะจากการแข่งขันฟุตบอล ที่บรูไนเมื่ออาทิตย์ที่ ผ่านมานั้น สามารถเอาชนะคู่แข่งด้วยประตู 5 ต่อ 4 โดยอาศัยการฝึกซ้อมตามคำแนะนำของการวิจัย ส่วน ดร.เสกสรร นาควงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กล่าวว่า นอกจากวิทยาศาสตร์การกีฬา จะมีความสำคัญต่อการพัฒนาความเป็นเลิศทางด้านกีฬาแล้ว ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้กับกิจกรรมของประชาชนทั่วไป โดยได้ยกตัวอย่างงานวิจัยเรื่องการลงจากรถประจำทาง ณ ป้ายจอดโดยใช้แรงช่วยป้องกันการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นอีกงานวิจัยของ ดร.สุวัตร ก็เป็นงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่ประยุกต์ใช้กับกิจกรรมของมวลชน ได้ด้วย
ที่มา : //www.manager.co.th ภาพจาก : //plus.maths.org
Create Date : 05 เมษายน 2553 |
Last Update : 5 เมษายน 2553 19:41:25 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2769 Pageviews. |
|
|
|
โดย: อร IP: 124.120.111.99 วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:8:59:45 น. |
|
|
|
|
|
|
|