|
สารคดีชุด "ฉันรักกรุงเทพฯ" : ประทุมพร
เล่มหนึ่ง พระอาทิตย์ขึ้นที่ถนนสีลม
เล่มสอง รื่นรมย์บนถนนสี่ ส.
เล่มสาม เลาะเลียบริมถนนเจริญกรุง
( รูปทั้งหมดปล้นมาจากเว็บนายอินทร์ )
###
ตอนแรกที่เห็นหนังสือชุดนี้ โดยเฉพาะเล่มแรก "พระอาทิตย์ขึ้นที่ถนนสีลม" นั้นเห็นผ่าน ๆ ในร้านนายอินทร์ และเกิดมิจฉาทิฐิขึ้นมาว่าเนี่ย...ชื่อถนนสีลม ชะรอยจะเกี่ยวข้องความเจริญ พระอาทิตย์ขึ้นที่ถนนสีลมนี่สงสัยจะเป็นเรื่องเสียดสีสังคมกระมัง ประกอบกับปรกติก็ไม่ค่อยได้อ่านเรื่องท่องเที่ยวเท่าไหร่อยู่แล้ว จึงไม่ได้หยิบขึ้นมาดู และหลังจากนั้นก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีเล่มสองกับเล่มสามต่อ ๆ มาอีก
แต่อาทิตย์ก่อนนู้น ได้ไปงานสัมมนาแห่งหนึ่ง และได้รับแจกหนังสือเล่มล่าสุด ( แต่ไม่สุดท้าย ) ของชุดมา คือ "เลาะเลียบริมถนนเจริญกรุง" เห็นว่าไหน ๆ ได้มาแล้วก็เลยอ่าน ผลคือคืนนั้นอ่านเรื่องถนนเจริญกรุงยันสว่าง ( เริ่มอ่านตอนดึกแล้ว ) หลับฝันไปก็อุปมาเห็นบราเดอร์ฮีแลร์ ( แห่งโรงเรียนอัสสัมชัญ ) ซี่โครงหมูทอดที่ร้านฟูมุ่ยกี่ "ห้าง" สมัยก่อน ตลอดไปจนถึงเค้กชอคหน้านิ่มที่ถนนประมวญ ( ไม่มีในเรื่องหรอกแต่ชอบกิน )
สรุปคือหลังจากฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ตาลีตาเหลือกไปหาสองเล่มแรกมาอ่านโดยด่วน
ทั้งสามเล่มนี้เป็นหนังสือเชิง local history ผู้เขียนคืออาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร ( หรืออีกนามปากกาหนึ่งคือ "ดวงใจ" ) เราอ่านแค่คำนำก็ได้ใจแล้ว เพราะอาจารย์ประทุมพรบอกว่า ตัวอาจารย์เองนั้นชอบเที่ยวไปรู้เรื่องย่านเก่าถิ่นแก่ในต่างประเทศ ที่นั่นนิดที่นี่หน่อย แต่ย่านเก่าในกรุงเทพกลับไม่รู้จัก จนกระทั่งเร็ว ๆ จึงเริ่มรู้สึกรำคาญตัวเองว่าความรู้เกี่ยวกับบ้านเกิดของตัวเองมันช่างน้อยจนน่าใจหาย อาจารย์ก็เลยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับถิ่นเก่า ๆ ของกทม. เพื่อให้หายจากอาการต่อมความรู้เรื่องกรุงเทพตีบตัน ผลที่ได้ออกมาจึงเป็นสารคดีชุดนี้
จะว่าไปเราก็เป็นแบบเดียวกับอาจารย์เหมือนกัน คือชอบไปรู้เรื่องบ้านเมืองอื่น ( แบบผิวเผิน ) เช่นรู้จักชิบุยะ ฮาราจูกุ รู้จักพิคคาเดลลี หรือไฮด์ปาร์ค อะไรทำนองนั้น แต่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองเกิดของตัวเองกลับน้อยมาก
ประการหนึ่งคงเป็นเพราะว่าเรารู้สึกว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่ใกล้ตัวมากจนรู้สึกชิน ๆ และอีกประการหนึ่งคงเพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่ากรุงเทพนั้นมีการขยายตัวเร็วมากในช่วงสั้น ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดความ "มั่ว" ขึ้นมาไม่น้อย มั่วเสียจนบางทีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นอะไรและจะโตไปแค่ไหนกันแน่
แต่ส่วนตัวเราเองนั้น ต่อให้กรุงเทพ "มั่ว" กว่านี้ เราก็ไม่เคยสามารถสาปส่งกรุงเทพเป็นเมืองปีศาจไปได้ เรื่องของเรื่องคือเราเกิดในกรุงเทพ และชีวิตนี้ก็อาศัยอยู่ในกรุงเทพ พูดกันตรง ๆ คือถึงจะยังไงก็ยังออกจะรักกรุงเทพอยู่มาก ถ้าสามารถเข้าใจความเป็นตัวมันได้มากกว่านี้ หรือสามารถทำอะไรให้มันดีกว่านี้ได้ก็อยากจะทำ ตลอดมาเราคิดเสมอว่าอยากรู้จักกรุงเทพแบบที่อาจารย์ประทุมพรคิด ดังนั้นเราจึงออกจะยกย่องอาจารย์ที่ "ลงมือทำ" เราคิดว่าบางทีแต่ละคนก็มีความสามารถไม่เหมือนกัน สิ่งที่อาจารย์ทำนั้น เราถือว่าเป็นการ "ทำให้มีบางอย่างดีขึ้น" ตามแบบของอาจารย์
ทั้งชุดสามเล่มนี้ เล่มที่ชอบที่สุดคือเจริญกรุง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถนนเจริญกรุงมันเป็นถนนสายการค้า ( ในสมัยนั้น ) เลยมีเรื่องเยอะที่สุดหรือเป็นเพราะอาจารย์เขียนจน "อยู่มือ" แล้ว เลยรู้ว่าจะหยอดอะไรตรงนั้นนิดนี้หน่อยยังไงให้ได้ใจ
เรื่องที่โปรดที่สุดในบรรดาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อาจารย์เล่ามาก็คือเรื่องของบราเดอร์ฮีแลร์ ซึ่งเป็นอาจารย์คนสำคัญของโรงเรียนอัสสัมชัญ บราเดอร์เป็นคนเก่งมาก เมื่อเข้ามาอยู่เมืองสยามก็เรียนหนังสือภาษาไทยเสียแตกฉาน ขนาดแต่งหนังสือภาษาไทยสำหรับสอนเด็กไทยได้ ( คือกลอนชุดดรุณศึกษา ) มีเกร็ดนิดหนึ่งว่าตอนบราเดอร์แก่มากแล้ว นัยน์ตาที่ใช้อย่างตรากตรำนานปี ( เพราะบราเดอร์เป็นหนอน ) ก็บอดมืดไป และบอดอยู่หลายปีจนกระทั่งลูกศิษย์เอาตัวไปผ่าตัดตา เขาเล่ากันว่าหลังจากผ่าตัดเป็นผลสำเร็จ บราเดอร์สามารถมองเห็นได้อีกครั้งแล้ว อัสสัมก็มีฉลองกันใหญ่ทีเดียว
ที่จริงอันนี้มันเป็นเกร็ดเล็กนิดเดียว แต่เราชอบมาก ๆ รู้สึกว่าน่ารักจัง
เรื่องสนุกหลายเป็นเรื่องในครอบครัวเก่า ๆ เพราะแถบถนนสีลม สาทร สี่พระยา และสุรวงศ์นั้นเมื่อก่อนพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นย่านที่อยู่อาศัย เห็นรูปสมัยก่อนแล้วทึ่งมาก ๆ เพราะถนนที่มีแต่ตึกสมัยนี้ สมัยก่อนนั้นเป็นถนนที่มีต้นไม้ใหญ่สองฟากดูร่มรื่นย์มาก ๆ และเต็มไปด้วยบ้านสวย ๆ ถนนเจริญกรุงก็เป็นถนนที่มี "ห้าง" รวมทั้ง "ของกินอร่อย" เยอะ ยิ่งมองผ่านสายตาของคนเขียน ( ซึ่งเป็นเด็กในเวลานั้น ) ยิ่งบรรยายได้เพริศแพร้วเสียจนอยากไปเห็น ( รวมทั้งไปชิม ) เองดูสักครั้ง
สรุปว่าหลังจากอ่านหมดทั้งสามเล่มแล้วก็เกิดอยากกินอาหารแบบร้าน "กุ๊กชอพ" ( ร้านที่มีพ่อครัวจีนทำอาหารแบบฝรั่ง ) ด้วยเหตุนี้วันอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงไปสีลมภัตตาคารสอง ( อยู่ที่เอกมัย ) และซื้อสตูว์หางวัว ซี่โครงหมูทอดราดน้ำเกรวี่ แกงกะหรี่ไก่ กับขนมปังแบบไหหลำมาแถวหนึ่ง กินกันเสียเปรม
ตอนเอาซี่โครงหมูทอดลงใส่จาน แม่ก็เอามีดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในบัดดล ( หมูของเดิมที่เขาหั่นมานั้นชิ้นหนาพอสมควรทีเดียว ) พอถามแม่ว่าหั่นทำไม แม่ก็บอกว่าสมัยก่อนคุณตาชอบซื้อไอ้นี่กลับบ้าน ( คุณตาเราเป็นแฟนสีลมภัตตาคาร มี brand loyalty สูงส่งไม่เคยกินฟูมุ่ยกี่เลย ) คุณตามีลูกห้าคน ดังนั้นวิธีเพิ่มปริมาณไม่ให้ลูกตีกันดีที่สุดจึงได้แก่การหั่นให้มันชิ้นเล็กลง ( แต่ดูประหนึ่งจะมีมากขึ้น )
จะว่าไปเรื่องเก่า ๆ ที่เคยอ่านในหนังสือพวกนี้ บางเรื่องแม่ก็เคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน
Create Date : 18 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:58:13 น. |
Counter : 1536 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
The Road Less Traveled : M. Scott Peck
หาปกเล่มที่ตัวเองมีไม่ได้แฮะ ( ปกเรางามกว่านี้แยะเลย )
นี่ข้อมูลจากอะเมซอน //www.amazon.com/o/ASIN/0743243153/ref=s9_asin_title_1/102-4742692-5632132
#
หมอคะ
ตลอดเวลาเกือบสามสิบปีตั้งแต่เขียนหนังสือเล่มนี้มา
คงมีคนบอกหมอบ่อยอยู่แล้วใช่ไหม
ว่าหนังสือของหมอช่วยได้มากจริง ๆ
แล้วเคยมีคนบอกหมอไหมว่าหมอโหด ( ที่จริงหมอเป็นจิตแพทย์จอมซาดิสม์สินะคะ ) แบบว่าไม่มีจิตแพทย์ที่ไหนหรอกเขาโหดแบบหมอ เปิดหนังสือมาบรรทัดแรกแทนที่จะเจอคำปลอบโยนประมาณให้กำลังใจ โลกนี้สวยงาม หมอก็ขึ้นประโยคแรกว่า
life is difficult
จากนั้นตบอีกหลายผัวะ โหดยังกะอาจารย์เซน จนคนอ่านได้ซาโตริไปเลย - -''
#
The Road Less Traveled เป็นหนังสือแนวจิตวิทยา จะบอกว่าเป็นหนังสือแนว "ให้กำลังใจ/ให้แนวทางสำหรับดำเนินชีวิต" ( แบบโหด ๆ ) ก็ได้ ผู้เขียนคือหมอเปค เขียนหนังสือเล่มนี้มาเกือบสามสิบปีแล้ว ( เอดิชั่นแรกน่าจะปี 1978 ) ผ่านมาหลายสิบปีก็ยังพิมพ์ซ้ำพิมพ์ซาก เล่มที่จขบ.ไปได้เป็นเล่มครบรอบ 25 ปี ได้ลดราคามา แต่ตอนนี้หวงมาก ใครมาขอยืมจะไม่ให้ แต่ถ้าจำเป็นอาจซื้อให้เป็นของขวัญแทน
แนวคิดของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ชีวิตมันเป็นเรื่องยาก ( ดังประโยคแรกของหนังสือ ) กรุณาอย่าคิดแม้แต่นิดเดียวว่าชีวิตเป็นเรื่องง่ายเรื่องดาย ชีวิตเป็นเรื่องยากเสมอ ตลอดกาลและตลอดไป
แต่ปัญหาของมนุษยชาตินั้น หาได้เกิดเพราะชีวิตเป็นเรื่องยากไม่
ปัญหาของมนุษยชาติเกิดเพราะมนุษย์ไม่ยอมรับว่าชีวิตเป็นเรื่องยาก ดังนั้นพอมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจกังวลเจ็บปวด เรื่องที่ต้องเลือก หรือเรื่องที่ต้องต่อสู้มา เราก็จะหนี จะเลื่อน จะผัดวันประกันพรุ่ง จะถีบมันออกไปจากตัวให้แรงที่สุดเท่าที่จะได้ ( อี๊แน่.......................น่ ไปให้พ้นนะเฟ้ย )
แต่หมอโหดแกยืนยันว่าปัญหานั้นไม่มีทางหายไปได้ด้วยการถีบ และบางทีถ้าถีบไปแล้ว มันอาจจะกลับมาในรูปแบบที่โฮกกว่าเดิมก็ได้
The Road Less Traveled มาจากของกลอนโรเบิร์ต ฟรอสต์ ( ชื่อ The Road Not Taken อ่านได้ที่นี่ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=lawit&date=22-02-2005&group=1&blog=1 )
กลอนบทนี้พูดถึงถนนสองสาย ถนนสายหนึ่งคนเดินมาก อีกสายหนึ่งคนเดินน้อย ฟรอสต์บอกว่าถ้าเลือกสายใดสายหนึ่งแล้วก็คงไม่ได้กลับมาที่ทางเลือกตรงนี้อีก ซึ่งก็เหมือนกับชีวิตและทางเลือกของคนเราแต่ละคน
หมอเปคแกบอกว่าถ้าเรายอมรับว่าชีวิตยาก แล้วสู้กับมัน แล้วเลือก แล้วพยายาม จิตวิญญาณของเราก็จะเติบโตขึ้น เราจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเราถอยหนี ถีบทุกอย่างออกไปให้ห่าง หวาดกลัวอันตรายอยู่ตลอดเวลา จิตวิญญาณของเราก็จะหดเล็กลง เราก็จะไม่มีวันเติบโต
อ่านจนจบเล่มนี่ถูกแกตบแล้วตบอีก น็อคไปหลายหน
แต่ก็ดีใจที่ถูกแกตบนะ
ปล.ขอบคุณรุ้งยี้ที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่านเน้อ ^^
ปปล.ไปรื้อ ๆ ดู เพิ่งรู้ว่าหมอเสียเมื่อปีที่แล้ว T T โฮ ๆๆๆ หมอคะ ยังไงก็ขอบคุณที่เขียนหนังสือเล่มนี้นะคะ
Create Date : 31 สิงหาคม 2549 | | |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:34:09 น. |
Counter : 2253 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Dune ภาคอื่น ๆ ( สปอยล์ )
ก่อนอื่นขอบอกว่าทั้งหมดที่พูดนี้ จขบ.ไม่ได้อ่านจากต้นฉบับเลย เป็นการบ่นเนื้อเรื่องที่อ่านจากสปอยล์ในวิกิพีเดียล้วน ๆ ความรู้และไม่รู้อะไรนั้นเป็นความผิดของจขบ.แต่ผู้เดียว
แต่จะเอาอันนี้ให้ดู เพื่อให้เห็นว่าจขบ.ไม่ได้คิดไปเองอยู่คนเดียว
นี่คือการ "ย่อเรื่องให้อ่านได้ในหนึ่งนาที" จากเว็บกวนประสาทชื่อเว็บ Bookaminute ตามไปดูเว็บเต็ม ๆ ได้ที่ลิ้งค์นี้ //rinkworks.com/bookaminute/sff.shtml
Dune Messiah ( ภาคสองของดูน )
Everyone We're absurdly over-intelligent with identical personalities. (The Conspirators do some mysterious conspiracy stuff.)
Muad'Dib Now that I have two children which need my support and care, I'll wander off into the desert and die for no particular reason. Everyone Wahh.
THE END
ดูมันสิ - -''
นี่เป็นเรื่องย่อของดูนภาคสองจริง ๆ นะ
นิยายชุด Dune ประกอบด้วย 6 เล่ม ตามรายชื่อนี้ Dune Dune Messiah Children of Dune God Emperor of Dune Heretics of Dune Chapterhouse: Dune
หลังจากที่แต่งเล่มหกจบได้ไม่นาน คุณแฟรงค์ เฮอร์เบิตคนเขียนก็ตาย แต่หลังจากนั้น คุณไบรอัน เฮอร์เบิร์ตซึ่งเป็นลูกก็ได้จับเอาเรื่องชุดนี้มาเขียนต่อ มีทั้งที่เป็นภาคเสริม และเป็นเล่มต่อ โดยยึดเอาเค้าโครงเดิมที่คุณแฟรงค์เขียนไว้ อย่างไรก็ตาม จขบ.เห็นว่าคุณแฟรงค์แกเขียนไว้เท่านี้ก็เท่านี้ ดังนั้นต่อไปจขบ.จะบ่นแต่ที่คุณแฟรงค์เขียน
คือว่า...จขบ.ก็รู้นานแล้วว่าตาพระเอกจะตาย ( เพราะที่บ้านมีเล่มสอง )
แต่จะให้อธิบายยังไงดี กับนิยายชุดหกเล่มจบซึ่ง...
เล่มหนึ่ง พระเอกกลายเป็นโฮลี่แมน
พอเล่มสอง พระเอกก็บอกว่า...ตูไม่ปงไม่เป็นแล้วโฮลี่แมน ตูจะตายให้ดูเดี๋ยวนี้ละ จากนั้นมันก็เดินไปตายในทะเลทรายหน้าตาเฉยมิได้สนใจลูกเล็ก ๆ สองคนที่อยู่ข้างหลัง ( แม้ลูกมันจะไม่ค่อยปรกติก็เถอะ )
เล่มสาม คุณลูกชายพระเอกก็เป็นพระเอก ต่อสู้กับอะไรหลายอย่างกว่าจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้
พอเล่มสี่ พระเอกรุ่นที่สองก็กลายเป็นหนอนยักษ์
ส่วนเล่มห้ากับเล่มหกเกือบจะเป็นอีกเรื่องนึงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงก็ได้ - -''
จขบ.ไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะเริ่มเล่าตรงไหนดี ดังนั้นจะค่อย ๆ เล่าเท่าที่นึกออกก็แล้วกัน
คือพระเอกเล่มหนึ่งนั้นชื่อคุณพอล หลังจากที่คุณพอลเธอเอาชนะจักรพรรดิในเล่มหนึ่งได้แล้ว เธอก็กลายเป็นมหาจักรพรรดิราชปกครองสากลจักรวาลแทน และแต่งงานกับเจ้าหญิง ( ลูกสาวของจักรพรรดิ )
แต่คุณพอลเธอมิได้รักเจ้าหญิง อยู่ด้วยกันก็เพียงแต่ในนาม เพราะแกมีแฟนเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของดาวอาราคิสอยู่แล้ว หลังจากมีเรื่องต่าง ๆ อีกหลายเรื่อง เมียพื้นเมืองคนนี้ก็ตายจากไป โดยมีลูกฝาแฝดชายหญิงทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าคู่นึง แฝดหญิงชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว แต่แฝดชายนั้นชื่อเลโตที่สอง ตามคุณปู่ ( พ่อตาพอล ) ซึ่งชื่อว่าดยุคเลโต
นิยายเรื่องดูนนี้มีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ การถ่ายทอดความรู้โดยการกินน้ำจากตัวอ่อนของหนอนทราย หนอนทรายที่ว่านี่เป็นสัตว์เฉพาะบนดาวอาราคิส เป็นหนอนบิ๊กไซส์ใหญ่มหิมาที่เลื้อยดุ๊ก ๆ ดิ๊ก ๆ อยู่ในทรายแถวนั้นแหละ วันดีคืนดีก็อาจจะโผล่มาอ้ำคนไปสักคำละหลายคนตามแต่อัตภาพ
ทีนี้ บนดาวอาราคิส จะมีการถ่ายทอดความรู้ระหว่าง "แม่หมอ" จากรุ่นสู่รุ่น ด้วยการให้ทั้งคนที่จะส่งและคนที่รับกินน้ำหนอน พอทำอย่างนี้แล้วก็จะสามารถส่งผ่านวิญญาณของคนส่งไปให้คนรับได้ เท่ากับวิญญาณของคนส่งไปอยู่ในร่างคนรับ ยิ่งส่งกันต่อมาหลายทอดเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ากว่าจะมาถึงรุ่นของคุณพอล แม่กับเมียพื้นเมืองของตาพอล ( ซึ่งเป็นคนรับตำแหน่งแม่หมอต่อ ) จึงได้รับถ่ายทอดวิญญาณมาไว้ในตัวคนละหลาย ๆ วิญญาณ
แต่ปัญหาก็คือ ทั้งแม่และเมียของตาพอลนั้นล้วนแต่มีท้องมีไส้อยู่ตอนที่กินน้ำหนอนเข้าไป ด้วยเหตุนี้การถ่ายทอดจึงไปสู่ลูกด้วย น้องสาวของตาพอล ( เกิดเล่มหนึ่งหลังจากที่พ่อตายแล้ว ) กลายเป็นเด็กประหลาดที่เกิดมาก็รู้ทุกอย่างเลย และลูกแฝดของตาพอลก็เป็นแบบเดียวกัน
แต่ปัญหาก็คือ คนที่ได้รับถ่ายทอดวิญญาณตอนที่โตแล้วนั้น personality มันแข็งแล้ว เวลาถูกถ่ายทอดมาจึงไม่มีผลกระทบต่อนิสัย แต่พวกที่ได้รับมาตั้งแต่เกิดมันไม่รู้ว่าอันไหนกันแน่คือ personality ที่แท้จริงของตัวเอง ดังนั้นทั้งน้องสาว และลูกแฝดของพอลจึงถูก "สิง" ด้วยวิญญาณที่อยู่ในตัวได้ง่าย
ทีนี้ จะขอย้อนกลับมาเล่าว่าทั้งพอลและลูกชายคือเลโต ( ที่สอง ) ต่างมี "พลัง" แบบเดียวกัน ทั้งสองคนนั้นมีอำนาจจะ "เห็น" อนาคตได้ และในเล่มท้าย ๆ จะมีการบอกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ทั้งสองคน "เห็น" ก็คือ อนาคตของมนุษยชาติจะมีปัญหา เพราะมนุษย์จะไม่ย่อมแพร่ขยายเผ่าพันธุ์ของตนออกไปอีก มัวแต่ตบตีฆ่าฟันกันเองอยู่ในกลุ่มดาวเดิม ๆ ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้ ในที่สุดมนุษย์ก็จะสูญพันธุ์
ในเรื่องนี้ได้ assume ว่า คนที่ "เห็น" อนาคตนั้น ควรจะรับผิดชอบด้วยการแก้ไขอนาคตให้มันดีขึ้นด้วย ปัญญาก็คือตาพอลแกเห็นอนาคตแล้ว แต่แกไม่อยากจะเข้าไปเอี่ยวไปแก้อะไรทั้งนั้น เพราะอย่างนี้แกจึงออกไปตายในทะเลทรายเอาดื้อ ๆ ประมาณว่าข้อยไม่รับผิดชอบแล้ว บ๊ายบาย ด้วยเหตุนี้ ตอนจบของเล่มสองจึงเป็นอย่างที่เห็น
ส่วนลูกชายของพอลคือ เลโต นั้น มีความพยายามมากกว่าพ่อ มันก็พยายามจะควบคุมวิญญาณในตัวให้เสถียร แล้วก็พยายามคิดหาหนทางที่จะให้มนุษยชาติไม่สูญพันธุ์ หลังจากที่คิดแล้วคิดอีกอยู่เป็นเวลานาน เลโตจังก็ปิ๊งไอเดียออกมาว่า วิธีการที่พี่แกจะรักษามนุษยชาติไว้ได้มีดังนี้
"แกต้องทำให้มนุษย์มีสันดานที่จะต้องแสวงหาและแพร่ขยายพันธุ์ออกไปเรื่อย ๆ"
โอเค แกจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่วิธีการที่แกจัดการเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนี่ มันช่างเป็นวิธีการที่...เหลือเกิน - -''
คือว่าเลโตแกคิดว่าเพื่อให้แกสามารถ shape อนาคตของมนุษยชาติได้ แกก็ต้องเป็นคนที่สามารถควบคุมมนุษย์ได้ทั้งหมด และเพื่อให้แกควบคุมมนุษย์ทั้งหมด แกก็ต้องไม่ตาย และเพื่อให้แกไม่ตาย แกจึงเสด็จไปชุบตัวในบ่อของสัตว์ที่จะเป็นพื้นฐานของหนอนทราย หลังจากที่ชุบตัวเสร็จเรียบร้อย แกก็รวมร่างกับหนอนพวกนั้น
และผ่านไปหลายปีแกก็กลายเป็น...หนอนยักษ์...
ใครอยากเห็นว่าเลโตกลายเป็นหนอนยักษ์จริงหรือเปล่า ให้เสิร์ช google image คำว่า Leto II แต่จขบ.ขอบอกว่าจขบ.ดูหนเดียวเป็นเลิกกัน - -''
หลังจากเลโตเป็นหนอนยักษ์แล้ว ก็ได้ปกครองจักรวาลด้วยพฤติกรรมของทรราช บังคับให้คนทั้งจักรวาลกราบไหว้บูชามัน
ที่ทำอย่างนี้ คนเขียนบอกว่าเป็นการเสียสละตัวเอง เพราะจุดประสงค์ของเลโตคือการทำให้มนุษย์กดดันมาก ๆ เลโตมีความเห็นว่ามันจะปกครองมนุษย์ให้อยู่ใน "ความสงบสุข" แบบนี้แหละ จนในที่สุดมนุษย์ทนไม่ไหว "ระเบิด" ออกมาเอง และพอมนุษย์ระเบิดจากความอึดอัดภายใต้การปกครองของมันแล้ว ลูกหลานของมนุษย์ก็จะได้จดจำฝังแน่นไปในจิตวิญญาณว่าต่อไปจะต้องแพร่ขยายตัวเองไปเยอะ ๆ ไม่ให้ใครปกครองได้อีก
ด้วยเหตุดังกล่าว คุณเลโตจึงปกครองมนุษย์อยู่สามพันปี
เนื้อเรื่องก็บรรยายว่า เลโตจังน่าสงสารจริง ๆ ใช้ชีวิตเป็นพระเจ้า จะตายก็ไม่ได้ เพราะถ้ายังไม่ถึงเวลา มนุษยชาติยังไม่เกลียดแกได้ที่ขนาดจะกบฏเองจริง ๆ แกที่เป็นพระเจ้าตายไป มนุษย์จะไม่มีที่ยึดเหนี่ยว
เลโตก็เลยต้องใช้ชีวิตเป็นหนอนยักษ์ยื้อมาเรื่อย ๆ รอว่าเมื่อไหร่คนอื่นจะเกลียดแกสักที ระหว่างนั้น แกก็ใช้มาตรการโหดฆ่าคนที่ต่อต้านเรียบราบ สร้างกลุ่มนักบวชหญิงดุร้ายประมาณอเมซอนที่เคารพแกแบบถวายหัว และใช้วิชาผสมสายพันธุ์ที่เบเน เจสซาริทเคยใช้ มาผสมสายพันธุ์อาไทรเดสใหม่ เตรียมให้กลายเป็นหัวหน้ากบฏที่จะมากบฏแก
คือ...จะให้ว่ายังไงดี
ถ้าจะให้รู้สึกสงสารเลโต ก็คงจะสงสารได้ เพราะในแง่หนึ่ง แกก็อุทิศตัวเพื่อความ "อยู่รอด" ของมนุษยชาติจริง ๆ
แต่อีกทีหนึ่ง แม้กระทั่งตอนอ่านเรื่องย่อ ก็ยังอยากตบกบาลนังเลโตและบอกมันว่า "ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ (โว้ย)"
มันให้อารมณ์เหมือนกรีกแทรจิดี้แปลก ๆ คือไม่ต้องรันทดก็ได้ แต่ตัวละครก็ทำตัวเองให้รันทดเข้าไว้ ไม่มีใครเข้าใจหนูเลย หนูช่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง หนูต้องขมขื่นฆ่าฟันผู้คนมากมาย ดูสิ ๆ วีรบุรุษที่แท้จริงคือหนูตะหาก
สุดท้ายหนูก็ตายไปโดยมีคนที่รู้เห็นความจริงไม่กี่คน หนูช่างเท่อะไรอย่างนี้ วิ้ง ๆ
#
เราไม่รู้ว่าที่เราไม่อยากอ่านเรื่องนี้ต่อ ( หลังจากอ่านเรื่องย่อแล้ว ) เป็นเพราะเราติดภาพเดิม ๆ ว่าอยากจะให้พระเอกก็เป็น "พระเอก" ตลอดไปหรือเปล่า แต่สิ่งที่เรารู้สึกได้ก็คือ ในขณะที่คนเขียนเหมือนกับแสวงหา "โฮลี่แมน" อยู่ แกก็กระเทาะเปลือกความเป็นโฮลี่แมนไปด้วย ซึ่งหมายความว่าทั้ง พอล มอลดีป และเลโตที่สองต่างก็ทำผิดพลาด ( ให้อารมณ์โศกนาฏกรรมกรีกจริง ๆ แหละ )
แต่ในขณะเดียวกัน เวลาที่นึกถึง "โฮลี่แมน" เราจะไม่นึกเห็นภาพเป็นอย่างพอลหรือเลโต เราคิดว่าการกระทำของทั้งสองคนมีความ "ฝืน" หลาย ๆ อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ต้องเป็น "อย่างนั้น" ก็ได้ สรุปว่ามันก็เป็นความฝืนของคนที่บอกว่าเสียสละ แต่จริง ๆ แล้วความรู้สึกว่าได้ shape จักรวาลทั้งจักรวาลด้วยตัวเองมันก็ให้อารมณ์ thrill อยู่นั่นเอง
ได้ยินว่าตอนนี้คุณไบรอัน เฮอร์เบิร์ต ( ร่วมกับใครอีกคน จำไม่ได้ ) กำลังเขียนภาคปิดจบของดูนอยู่ มีแนวโน้มหลายอย่างว่าจะมีการปลุกผีตัวละครเก่า ๆ ตั้งแต่ภาคแรกขึ้นมาในรูปแบบของการโคลนนิ่ง ( มีตัวละครตัวนึงเก็บตัวอย่างยีนของตัวละครเอกตั้งแต่ภาคแรกไว้เกือบทุกตัว )
ไม่รู้สินะ แต่ทำไมจู่ ๆ เราถึงเห็นความแตกต่างระหว่างความเชื่อแบบตะวันตกกับตะวันออกขึ้นมาก็ไม่รู้
Create Date : 29 สิงหาคม 2549 | | |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:34:47 น. |
Counter : 15237 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Dune : Frank Herbert ( สปอยล์ และจขบ.เอาแต่รำลึกอดีตที่ไม่ค่อยมีสาระ )
Dune แปลตามศัพท์หมายถึงกองทราย เป็นนิยายวิทยาศาตร์ ( เอสเอฟ หรือ ไซไฟ แต่ต่อจากนี้จะมีแต่คำว่าไซไฟ เพราะจขบ.พูดเอสเอฟแล้วนึกถึงโรงหนังชอบกล ) เขียนโดยคุณแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ในช่วงราว ๆ ทศวรรษหกศูนย์ ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญเล่มหนึ่งในวงการ
แต่จขบ.รู้จักเรื่องดูนครั้งแรก ไม่ได้รู้จักในฐานะนิยาย แต่รู้จักในฐานะเกม จำได้ว่าสมัยนั้นอยู่ม.ต้น ไปเรียนเสริมภาษาอังกฤษกับน้องชาย ไม่รู้ว่ามันสองตัวได้ภาษาอังกฤษมาหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ คือได้รู้จักเกมดูนจากครู และทั้งโรงเรียนพากันติดดูนงอมแงม ดูนเวอร์ชั่นแรกน่ารักดี ( จขบ.ชอบรถขนแร่ ) แบบว่าแบ่งเป็นสามเผ่าแล้วตบตีกันเอง ไอ้สีแดงก็ชั่วช้าสารเลว ไอ้สีเขียวก็เขี้ยวลากดิน ส่วนไอ้สีฟ้าก็เป็นคนดีใสปิ๊ง ไป ๆ มา ๆ รู้สึกเหมือนสมาชิกชมรมคนบ้าดูนจะชอบเล่นเป็นสีแดงสีเขียว สีฟ้าเล่นหนเดียวพอให้นึกว่าเป็นพระเอกเฉย ๆ
หลายปีหลังจากนั้น สรวงสวรรค์จึงอำนวยพร ให้จขบ.มาพบนิยายเรื่องดูนในเอเชียบุ๊ค ( พิมพ์เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ) แต่ตอนนั้นยังอุตส่าห์เอ๋อ นึกว่าเป็นนิยายเขียนจากเกมอยู่ เพิ่งมารู้ทีหลังว่าดูนเป็นชุดนิยายที่ดังมาก และเกมนั้นทำมาจากนิยาย ( เอาเค้ามาแค่คร่าว ๆ )
อีกหลายปีต่อมา ก็มีคนแนะนำให้จขบ.รู้จักกับดูนในฐานะนิยาย และสนับสนุนให้อ่านแบบสุดใจ บอกว่าเจ๋งมาก ถึงอย่างนั้น คุณคนแนะนำก็ยังต๊ะต่อไว้ว่า "อ่านแต่เล่มหนึ่งก็พอ" ( ดูนเป็นเล่มแรกของนิยายชุด มีทั้งหมดหกเล่ม ) จากนั้นเป็นต้นมา จขบ.ก็ได้ยินชื่อดูนอีกหลายครั้งหลายหน และเกือบทุกครั้ง ก็มักจะตามมาด้วยคำว่าศักดิ์สิทธิ์ว่า "อ่านแต่เล่มหนึ่งก็พอ"
จขบ.ก็อยาก "อ่านแต่เล่มหนึ่งก็พอ" เหมือนกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหาซื้อไม่ได้ และที่บ้านมีแต่เล่มสอง ( มารดาซื้อลดราคามาเก็บไว้ ) และเล่มสองนั้น พลิกไปถึงตอนจบ พระเอกก็ตาย ซึ่งจขบ.รับไม่ได้ ( สมัยเด็ก ๆ จะไม่อ่านเรื่องที่ตัวเอกตาย สามก๊กอ่านถึงกวนอูตายก็เลิกอ่าน ส่วนถ้าเป็นเรื่องตายแล้วไปสวรรค์ให้เห็นคาตาจะไม่ว่าอะไร )
ด้วยเหตุนี้ จขบ.จึงไม่ได้อ่านดูน ( ไม่ว่าเล่มหนึ่งหรือเล่มไหน ๆ ) และการได้รู้เรื่องว่า "ดูน" จริง ๆ เป็นอย่างไรนั้น ก็มาจากการดูหนังชุดสามตอนจบ ที่ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะฉายใน HBO
จขบ.คาดว่าคงมีคนอื่นได้ดูหนังชุดพระเอกตาเรืองแสงชุดนั้นเหมือนกัน บอกกันตรง ๆ เลย คิดว่าเป็นหนังที่โอเคดีในระดับหนึ่ง ทั้งในแง่เอฟเฟคและแง่การรักษาเนื้อเรื่องเดิม ที่จริงคือจขบ.มักจะไม่หวังอะไรกับหนังไซไฟหรือแฟนตาซีมากอยู่แล้ว ( ยกเว้นที่เป็นซีรีย์บางชุด ) เพราะมีความรู้สึกว่ามันไม่เคยเหมือนภาพในใจเลย ถึงอย่างนั้นก็ยังชอบดูอยู่เหมือนเดิม ถ้าเปิดมาเจอหนังแต่งตัวโบราณนี่ตั้งใจดูเลย แต่ถ้าดูไปดูมามันชักจะด๋อย เราก็จะเปลี่ยนช่องหนีไป
ถ้าถามว่าดูหนังดูนเวอร์ชั่นสามตอนจบแล้วรู้สึกอย่างไร ( รู้สึกจะมีอีกเวอร์ชั่น คือเวอร์ชั่นปี 80 ซึ่งน้องชายบอกว่าดูแล้วเมามาก ) ก็มีคำบรรยายดังนี้
"สติลการ์"
สติลการ์น่ารัก สติลการ์เท่ สติลการ์กรี๊ดสลบ วัฒนธรรมเจ๋งดีนะ อืมม mystic ยังไงชอบกลแฮะ พระเอกโฮลี่ไปแล้ว แต่ยังไงสติลการ์ก็น่ารักอยู่ดีไม่เป็นไร ให้บทสติลการ์มากกว่านี้อีกสิ
สติลการ์เป็นหัวหน้าเผ่าทะลทรายวัยกลางคน ( ส่วนจขบ.เป็นโอจิค่อนอย่างเปิดเผย ชอบลุงและปู่เท่ ๆ โดยเฉพาะ ฌอน คอนเนอรี่ )
ที่จริงก็คิดเหมือนกันว่าถ้าได้อ่านหนังสือก่อนดูหนังจะดีกว่านี้ไหม เนื่องจากหนังฉบับนี้ค่อนข้างเคารพต้นฉบับพอสมควร จึงทำให้เก็บรายละเอียดหลาย ๆ ส่วนได้ และทำให้เรา fascinate กับหนังไปก่อนแล้ว พอมาอ่านหนังสือเข้าจริงเลยไม่ได้รู้สึก "ขนาดนั้น"
หนังสือนี่เพิ่งได้มาเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง รู้สึกเหมือนคิโนะ ( เอ็มโพเรี่ยม ) จะสั่งดูนมาทั้งชุด ( รวมของไบรอันด้วย ) แต่ไปดูอีกทีเมื่อวานหายเกือบเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่เล่มสี่ กับพวกภาคเสริมนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเพราะมีคนซื้อหรือเพราะอะไรอย่างอื่น แต่อาจจะมีคนใจตรงกับเราหลายคน
สรุปว่าก็ซื้อมาเฉพาะเล่มหนึ่ง และอ่านเล่มหนึ่งไปจนจบ ที่จริงก็รู้ว่าก่อนหน้านี้มีสนพ.ไทยเอาดูนมาแปลแล้ว แต่ได้ยินมาเหมือนกันแปลค่อนข้างจะเลวร้าย ( ไม่ใช่เสียงเดียวด้วย ) จึงไม่ได้ซื้อ
ความเห็นโดยรวม ๆ หลังจากอ่านจบคือมัน "น่าทึ่ง" ดีในหลาย ๆ ส่วน
เรื่องย่อ ๆ ก็คือ จักรวาลในเวลานั้นปกครองโดยจักรพรรดิ แต่ที่จริงแล้ว สิ่งที่เป็นคีย์สำคัญของการปกครองคือ "แร่" ( melange หรือ spice เราเรียกแร่เพราะตอนเล่นเกมดูนครั้งแรกทุกคนเรียกว่าแร่ ) ที่ "แร่" สำคัญก็เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถเดินทางระหว่างดาวได้ ( ในเรื่องนี้การเดินทางระหว่างดาวผูกขาดโดยสมาคมอวกาศ ซึ่งจะผลิตผู้ควบคุมยานด้วยพลังจิต โดยใช้แร่เป็นตัวกระตุ้นพลัง ) นอกจากนั้น "แร่" ยังเป็นสารสำคัญในการทำเรื่องหลายเรื่องเกี่ยวข้องจิต ทำให้สามารถมองเห็น "ความจริง" และ "อนาคต" ได้
แต่ "แร่" มีเฉพาะบนดาวดวงหนึ่งชื่อดาวอาราคิส ซึ่งเป็นดาวที่เป็นทะเลทรายทั้งดวง ด้วยเหตุนี้จึงรู้จักกันในนาม Dune ( กองทราย )
เมื่อก่อนนี้ คนที่ปกครองดาวอาราคิสคือขุนนางตระกูลฮากอนเนน แต่ต่อมา ป๊ะป๋าของพระเอก ซึ่งเป็นขุนนางตระกูลอาไทรเดสได้เข้ามาครอบครองดาวแทน โดยหารู้ไม่ว่าที่จริงทั้งหมดนี้เป็นแผนการทำลายอาไทรเดสของพวกฮากอนเนน โดยจงใจถอนรากพวกอาไทรเดสออกมาจากดาวฐานเดิม ให้มาตกอยู่ในสภาพที่ alien มาก ๆ และไม่คุ้นเคย หลังจากนั้นก็มีการหักเหลี่ยม หักหลังและอื่น ๆ แต่ผลที่ออกมาคืออาไทรเดสพ่ายแพ้ ( ชั่วคราว ) พระเอกกับแม่ต้องหนีไปในทะเลทราย
แม่ของพระเอกเป็นคนของลัทธิชื่อ เบเน เจสซาริท ซึ่งจะฝึกสอนสมาชิกหญิงล้วนให้มีพลัง mystic หลาย ๆ อย่าง ความต้องการของพวกเบเน เจสซาริท คือการ breeding คนของตัวเองกับคนนอกไปเรื่อย ๆ ตามแผนพันธุ์กรรมที่จัดสรรไว้แล้ว เพื่อสร้างมนุษย์สุดยอดในตำนาน เรียกว่าคีวาร์ซ ฮาเดเรท ( ผู้อยู่หลายที่ในเวลาเดียว ) ที่จริงแล้วพวกเบเน เจสซาริทจะมีแต่ลูกผู้หญิง แต่แม่ของพระเอกรักสามี ก็เลยตามใจมีลูกชายออกมา ซึ่งทำให้เกิดความผิดพลาดในแผนตาราง breeding ของลัทธิ
ปรากฏว่าพระเอกนั่นเองกลายเป็นคีวาร์ซ ฮาเดเรท ขณะเดียวกัน ในโลกของดูนก็มีเผ่าพื้นเมืองของดาวที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเลทราย เรียกว่าพวกฟรีแมน พวกนี้ก็มีตำนานว่าจะมีวีรบุรุษผู้ปลดปล่อยมาจากนอกโลกเหมือนกัน ( เรียกว่ามอลดีป ) ไป ๆ มา ๆ พระเอกเลยกลายเป็นทั้งคีวาร์ซ ฮาเดเรท และ มอลดีป และมันก็วิเศษมากมาย ( มันเป็นตัวละครที่น่าหมั่นไส้ ) เอาเป็นว่าในที่สุดคุณพระเอกแกก็ตบพวกฮากอนเนน ตบจักรพรรดิ แล้วตั้งตัวเป็นจักรพรรดิปกครองทั้งจักรวรรดิก็แล้วกัน
เราต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง "และแล้วเขาก็ครองโลกอย่างมีฟามสุข" ( พระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ) ถ้าพิจารณาจากเนื้อหาของทั้งหกเล่ม ( ที่จขบ.ไปไล่อ่านสปอยล์มาอย่างหนุกหนาน ) มันมีความลึกมากกว่านั้นมาก แต่เพราะจขบ.อยากบ่น จึงเล่ามาแค่นี้ก่อน และที่จริงโครงเรื่องเล่มหนึ่งมันก็ทำนองนี้จริง ๆ - -''
#
ต่อไปนี้เป็นการบ่น
เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ "ดี" สิ่งที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับเรื่องคือวัฒนธรรมทะเลทราย การอธิบายถึงชีวิตทะเลทรายที่มันมีแต่ทรายจริง ๆ และน้ำเป็นสิ่งมีค่าที่สุด เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมที่ก่อร่างขึ้นมาบนพื้นฐานของ "น้ำ" กับ "ทราย" เลยก็ได้ นอกจากนั้น รายละเอียดหลายอย่างในเรื่องก็น่าสนใจมาก ๆ อย่างเช่นเรื่องของพวกเบเน เจสซาริท หรือเรื่องพลังอำนาจต่าง ๆ ที่เกิดจากพันธุกรรม ( ผสมกับการกินแร่ )
แต่เนื่องจากเราชอบวัฒนธรรมตรงนี้มาก ๆ เราจึงรู้สึกว่า "ยังไม่พอ" เลย ที่จริงเรารู้สึกเหมือนว่ามีหลาย ๆ เรื่องที่เราอยากรู้ แต่คนเขียนแกพูดลอย ๆ พอผ่านไป อย่างเช่นมีตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องเป็นหมอ และได้รับการนับถือมาก เพราะจบมาจาก Suk School ( จขบ.ขอโทษคนแต่ง แต่อ่านชื่อนี้ทีไรก็ได้อารมณ์โรงเรียนแม่ทองสุข - -'' ) จากนั้น ก็มีการบอกเรื่อย ๆ ว่า โอ เฮียเจ๋งมากเพราะจบจากสุกสคูล โอ เฮียไม่มีวันทรยศได้หรอก เพราะเฮียจบจากสุกสคูล จากนั้นวันดีคืนดีเฮียก็ตายจากไปโดยไม่มีใครบอกตูเลยว่าสุกสคูลมันคือยังไงเป็นยังไง และทำไมจบจากสุกสคูลแล้วถึงได้วิเศษลึกล้ำขนาดนั้น
รูปแบบเดียวกันนี้ปรากฏกับรายละเอียดหลาย ๆ อย่างในเรื่อง ซึ่งทำให้เราหงุดหงิดนิดหน่อย ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นเพราะมันมีตั้งหกเล่มจบ รายละเอียดอาจจะไปใส่เอาในเล่มอื่น แต่พอไปอ่านสปอยแล้วก็ชักไม่แน่ใจว่าจะได้อ่านรายละเอียดที่อยากอ่านในเล่มอื่น ๆ หรือเปล่า เพราะเนื้อเรื่องมันจะ...เอ่อ...เรื่องนี้ไว้พูดทีหลังดีกว่า
มีสิ่งที่จขบ.รำคาญอีกอย่างหนึ่งในเล่มนี้ แต่ก่อนจะบอกว่ารำคาญอะไร ขออธิบายก่อนว่าหนังสือเล่มนี้เขียนโดยการวางรูปแบบให้ต้นบททุกบทเริ่มด้วยข้อความ ซึ่งยกมาจากหนังสือ ซึ่งเป็นหนังสือเขียนเกี่ยวกับเรื่องของพระเอก ( ส่วนใหญ่ ) โดยเจ้าหญิงไอรูลาน ( เมียพระเอก แต่ไม่ใช่นางเอก )
การขึ้นต้นบทแบบนี้ แล้วดำเนินเรื่องต่อไปนั้น เราเข้าใจว่ามันเป็นการสร้างอารมณ์ให้เห็นถึงว่าภายหลังพระเอกจะกลายเป็นตำนานของจักรวาล นอกจากนั้นมันยังมีข้อดีในการวิเคราะห์สถานการณ์ด้วย และจขบ.ก็ชอบการเขียนแบบนี้มาก ๆ
แต่ปัญหาคือ การเขียนแบบนี้ทำให้มีการรีพีทประเด็นบางอย่างซ้ำ ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในส่วนที่หนึ่งของเรื่อง ( เรื่องนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน ) ซึ่งป๊ะป๋าพระเอกจะต้องตายเพราะการทรยศหักหลัง ไอ้ excerpt ที่อยู่ต้นบท ในส่วนที่หนึ่งของหนังสือนั้น มีประมาณหกเจ็ดอันได้ที่พูดอยู่นั่นแหละว่าตาพ่อแกจะตาย ช่างน่าเศร้าใจเสียจริง บลาบลา ( นี่ยังไม่นับเนื้อหาข้างในซึ่งทั้งพระเอก มารดาแก และยัยป้าเจ้าคณะเบเนเจสซาริทพากันวุ่นวายกับคำทำนายว่าคุณบิดาเธอจะตาย )
สถานการณ์สมมุติ
หนังสือ : พ่อพระเอกจะตาย จขบ. : ว้า...( จขบ.ชอบพ่อพระเอก อยากรู้จักแกมากกว่านี้ ) หนังสือ : พ่อพระเอกจะตาย จขบ. : น่าเสียดายเนอะ แกเป็นคนดี หนังสือ : พ่อพระเอกจะตาย จขบ. : เออ รู้แล้ววุ้ย ( ชักรำคาญ ) หลังจากรีพีทไปอีกสามหมื่นครั้ง หนังสือ : เห็นมั้ย ๆ พ่อพระเอกตายจริง ๆ ด้วย เศร้าสิ ๆ เค้าทำนายแม่นมั้ย กิ๊ ๆๆๆ จขบ. : เหรอ ( เฉยไปแล้ว )
( ขอโทษนะพ่อพระเอก เราชอบคุณมากจริง ๆ นะ )
เรื่องน่ารำคาญอีกอย่างของเรื่องนี้ก็คือ พระเอกมันช่างมีพลานุภาพมากเกินบรรยาย แต่คนเขียนกลับไม่ได้บรรยายความเป็นมันมากเท่าที่ควร ซึ่งทำให้เราไม่รู้สึกอยากเชียร์มันสักนิด ความรู้สึกที่อยู่ในใจตลอดเวลาคือ ไอ้นี่มันวิเศษขึ้นอีกแล้ววุ้ย - -'' ตลอดทั้งเรื่องมันวิเศษเอาวิเศษเอา แล้วก็มานั่งคร่ำครวญพร่ำเพ้ออะไรบ้า ๆ บอ ๆ เช่นหม่ามี๊จะต้องเป็นศัตรูของข้าแน่ ๆ ( ไป ๆ มา ๆ ก็ไม่เห็นเข้าใจว่าแม่เอ็งจะเป็นศัตรูของเอ็งตรงไหนเลย ไอ้บ้า ) จะต้องเกิดจิฮาด ( สงครามแห่งความเชื่อ ) เพราะข้าแน่ ๆ ( ก็เอ็งก็ไม่เห็นห้ามคนเขานี่ มันก็ต้องเกิดสิ - -'' )
สุดท้าย ๆ ( บ่นมากไปแล้ว ) สิ่งที่จขบ.รำคาญก็คือ ตัวร้ายเรื่องนี้มันช่างด๋อยสิ้นดี คือคุณคนเขียนแกก็พยายามจะบอกแหละนะว่าตัวร้ายแกช่างยิ่งใหญ่อลังการ เจ้าเล่ห์เพทุบาย ในกบาลมีแต่ความชั่วร้ายและโหดเหี้ยมฝังแน่นทั้งลุงทั้งหลาน ( ลุงหนึ่ง หลานสอง ) แถมยังอุตส่าห์มีฉากแสดงความฉลาดเจ้าเล่ห์และโหดของอีลุงหลานพวกนี้อีกสองสามฉาก
แต่หลังจากบรรดาตัวร้ายได้โชว์พาวสุดยอดกันแล้ว ทั้งสองคนก็พากันตายง่าย ๆ แบบนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ อีตาลุงก็ถูกน้องสาวพระเอกจิ้มฉึกเดียวจอด ส่วนหลานดวลกับพระเอกไม่กี่หน้า ก็ไปสวรรค์เหมือนกัน
- -'' ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่อุตส่าห์ปูแล้ว เราก็อยากเห็นอะไรมากกว่านี้นี่นา
ที่จริงคนเขียนอาจจะรู้สึกถึงเรื่องนี้เหมือนกัน แกเลยรีไซเคิลตัวร้ายเรื่องนี้ไปใช้อีกในอนาคต แต่เรื่องภาคต่อจากนี้ ( ซึ่งจขบ.อ่านแต่สปอย และแอบอยากบ่นอีก ) จะมาเล่าให้ฟังวันหลัง
Create Date : 21 สิงหาคม 2549 | | |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:35:23 น. |
Counter : 6600 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ความซวยของเฮีย
เอกซ์เมนสามจะเข้าแล้ว ( หรือเข้าแล้วหว่า ไม่ได้ตามข่าวใกล้ชิดปานนั้น )
เราชอบเอกซ์เมน ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้แบบรู้จักตัวละครทุกตัวทะลุปรุโปร่งทุกซอกทุกมุม แต่เราก็ชอบเอกซ์เมน มีอยู่สมัยหนึ่งเราเคยหวังว่าจะสะสมหนังสือการ์ตูนชุดนี้ แต่ปรากฏว่ามันมีปัญหาคือ ๑.แพงโว้ย ๒.อ่านไม่รู้เรื่องเลยโว้ย ( ทั้งเพราะภาษาแสลงอเมริกัน และเพราะการลำดับเนื้อเรื่อง ) ด้วยเหตุนี้ โครงการดังกล่าวจึงเป็นพับพังเค้เก้ระเนระนาดไป
ตัวละครโปรดของเรา ( ตั้งแต่สมัยนั้น ) คือวูฟเวอรีนกับแมกนีโต้ ( ซึ่งถูกเรียกอย่างรักใคร่ว่า "วูฟวี่" และ "แมกจัง" แอะ... ) เมื่อตอนเวอร์ชั่นหนังมาครั้งแรก เราออกจะปลื้ม ๆ วูฟเวอรีนมาก รู้สึกได้อย่างใจจังเลย
แต่พอเห็นแมกนีโต้แล้วก็อึ้ง ๆ
คือเราก็รู้ว่าแกเป็นผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันยิว สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะอย่างนั้นแกจะแก่ก็หาแปลกประหลาดประการใดไม่ แต่เราก็เคยชินกับความเท่ดิบกล้ามเนื้อแบบมาร์เวล ซึ่งผสมผสานกับความรู้สึกอย่างผู้นำและผู้ปลดปล่อยของเฮียแกในรูปแบบการ์ตูน จนภาพของคุณคนที่เล่นเป็นแมกนีโต้ในหนังทำให้เรา...ง่า...นี่มันไม่ใช่แมกจัง เอาแมกจังของช้านคืนมา (T0T) อะไรทำนองนั้น
ภาคหนึ่งภาคสองผ่านไป พออารมณ์ชักซา ๆ ภาคสามก็มา แมกจังมันก็เหมือนเดิมเลย ( แน่สิ คนเล่นคนเดิม ) เราก็รู้สึกอยู่เลือน ๆ ลาง ๆ ว่าคนไม่เคยสนใจเอกซ์เมนฉบับการ์ตูนจะรู้สึกยังไงกับแมกนีโต้ล่ะนี่ ด้วยเหตุนี้เมื่อวานเราจึงนั่งค้นประวัติของแกเผื่อจะเอามาเขียนบล็อค และเปิดเผยความเป็นตัวแกให้โลกรู้
แต่เมื่อวานเราอ่านประวัติแกในวิกิพีเดีย ก็ถึงแก่อึ้งไป
แกโชคร้าย...ไม่...แกซวย...ไม่ใช่...แกซวยโคตรอภิมหาซวยหาที่เปรียบไม่ได้ ( ก็พอ ๆ กับตัวละครเก่า ๆ ตัวอื่นนั่นแหละนะ ) ประวัติของแกรวมตั้งแต่เป็นโฮโลคอสต์เซอร์ไวเวอร์ ไปจนกระทั่งถูก de-age ( ลดอายุกลับไปเป็นเด็ก ) ถูกโคลน ถูกลูกทรยศ ( และทรยศลูก ) พยายามเป็นคนดีแต่ก็ถูกคนเขียนแกล้งจนเป็นไม่ได้ หนีไปอยู่ดาวเคราะห์น้อยแต่ดาวนั่นก็บึ้ม ล่าสุดถูกขังอยู่ในโลกเสมือนที่ลูกสาวสร้าง พอหลุดมาได้ก็เสียพลังไปหมด
อ่านจบแล้วก็เลยเลิกคิดจะเขียนถึงประวัติของแก
แต่นึกถึงปัญหาของการ์ตูนแบบ neverending ของฝรั่ง
ไอ้การที่เขียนเรื่องวนอยู่แต่กับธีมและโมถีบฮีโร่ ( ที่จริงมันต้องเป็น โมถีฟ แหละนะ แต่เรารู้สึกว่าเขียนโมถีบแล้วมันครึ้มใจแปลก ๆ ) มันทำให้เรื่องแบบคอมิคของฝรั่งคับแคบ ไปไม่พ้นกรอบ และนำพาความซวยมาให้ตัวละครอย่างประหลาด กล่าวคือเนื่องจากมันวนเวียนอยู่กับการที่ตัวละครมีความสามารถ และตัวละครที่มีความสามารถต้องใช้ชีวิตอยู่ ( ท่ามกลางมนุษย์หรือในโลกเสมือน ) แต่ในขณะเดียวกัน คนเขียนคนใหม่ ๆ ก็อยากจะให้มันฉีกแนวไปจากเดิม คือตัวละครมีความสามารถตบตัวร้ายเดี้ยง ( หรือถูกตัวร้ายตบจนเดี้ยง ) แนวทางของมันจึงขยายไปในทางดราม่า แต่ดราม่ามันไม่ได้แปลว่า "เศร้า" ( โว้ย ) ไม่ได้แปลว่าคิดจะใส่อะไรก็ใส่ ไม่ได้แปลว่าตัวละครทุกตัวจะถูกใช้ปู้ยี่ปู้ยำครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่ามันจะหมดความนิยมไปเอง
ไอ้ความไร้สามารถที่จะสร้างเรื่องที่ลงตัว และไร้ความสามารถที่จะสร้างโครงใหม่ ๆ ( แทนที่จะเอาแต่คิดถึงแค่ฮีโร่รูปแบบใหม่ ๆ ) มันทำให้อุตสาหกรรมคอมิคของอเมริกาคับแคบ น่าเบื่อหน่าย ตัวละครแต่ละตัวก็รันทดแล้วรันทดอีกจนคนอ่านเริ่มรู้สึกอยากให้ตัวละครฆ่าคนเขียน ด้วยปัญหาทั้งหมดพวกนี้ ทำให้มังงะเข้าไปตีตลาดคอมิคได้อย่างรวดเร็ว เพราะมังงะนั้นมีลักษณะเรื่องสมบูรณ์ในเชิงนิยายมากกว่า มีเสรีในการวางโครง และส่วนใหญ่สมบูรณ์แบบในตัวเองโดยไม่ยาวเยิ่นเย้อ ( และไม่ยืดเรื่องด้วยการแกล้งตัวละครแบบหนัก ๆ ) มากกว่า
เราก็ยังชอบเอกซ์เมนเหมือนเดิม ตัวละครมันช่างมี potential ความสับสนที่ต้องหาทางออก และการต่อสู้ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะกับ "ตัวร้าย" แต่รวมถึงกับ prejudice และจิตใจของตัวเอง ความสามารถที่ไม่แน่ใจว่าเป็นความสามารถหรือคำสาป การล้มเหลวและชัยชนะในการใช้ชีวิต
แต่บางทีเราก็คิดว่าการที่คนเขียน ( ซึ่งมีอยู่หลายคน ) ไม่สามารถหาทางออกที่เหมาะสมให้กับตัวละครได้ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเรื่องซึ่ง "อเมริกัน" มาก และเกิดขึ้นในบริบทของความเป็น "อเมริกัน" อย่างที่สุด
ปัญหาของตัวละครในเรื่องนี้ บางครั้งมันก็เหมือนภาพสะท้อนสังคมอเมริกันซึ่งยังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องผิวสีและความแตกต่างเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง
และแทนที่มันจะแก้ไขที่พื้นฐานที่สุด มันก็ดันไปบ้าพลังอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้
Create Date : 18 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:47:09 น. |
Counter : 616 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|