The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

บาร์เทิลบี: เฮอร์แมน เมลวิลล์ (จขบ.บ่นและสปอยล์ตลอดเวลา)

อนึ่ง จขบ. อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะได้อ่านบล็อครีวิวโทรเลขของคุณ LMJ เลยเกิดอยากรู้ว่าคนประหลาดไม่ค่อยจะมีใครเข้าใจนี้เป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากจขบ.มีจุดอ่อนคือชอบคนประหลาดอย่างยิ่ง (ถ้ามันไม่มารบกวนชีวิตของตู)

อนึ่งอีกอนึ่ง คือว่าหลังจากการสำรวจ จขบ.ได้พบร้านหนังสือชื่อ "ร้านเล่า" (ซึ่งแปลว่า to tell) อยู่ใกล้คอนโดมาก เพียงเห็นหนังสือก็รู้ว่า เจ้าของร้านนี่รสนิยมเดียวกับอารมณ์หนึ่งในตัวตูจริง ๆ ว่าอีกทีคือจขบ.เป็นมนุษย์หลากอารมณ์ ซึ่งไม่ประสงค์จะอ่านหนังสือแนวเดียว และไม่ประสงค์จะประกาศตัวว่าเป็นสาวกของใครเพียงคนเดียว หรือมีไอดอลเพียงคนเดียว (แต่ชีเริ่มรักลุงเฮสเสมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวมากทีเดียว) อย่างไรก็ตาม การเห็นหนังสือในร้านนั้นก็ทำให้คาดเดาได้ว่า ยามใดที่จขบ.เกิดจิตตกขึ้นมา ชีจะต้องไปขนซื้อกฤษณะมูรติมาอ่านจนแหวะออกมาเป็นปรัชญาเป็นแน่แท้ (กฤษณะมูรติก็อยากอ่าน แต่ว่าอย่าให้วันนั้นมาถึงเลยได้ไหม - -')

เอาเป็นว่า จขบ.ได้บาร์เทิลบีจากร้านเล่า และความที่เป็นเรื่องสั้น ก็อ่านจบในรวดเดียว

ความรู้สึกหลังจากอ่านจบคือ...โลกอันมืดดำที่เกือบลืมไปแล้วนั่นมันกลับมาอีกแล้ว

คาดว่าต่อไปนี้คงสปอยล์แล้ว

...

ที่จริงแล้ว มันเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่ง ตลกชิบเป๋ง หน้าตายด้วย อ่านแล้วกลุ้มใจ (คำว่ากลุ้มใจของจขบ.ในที่นี้มีความหมายในแง่ดี) ในความตลกไปจนถึงประมาณกลาง ๆ เรื่อง จนสถานการณ์มันไปถึงขั้นกลับมาไม่ได้แล้วอีก จขบ.ถึงได้รู้สึกเลิกตลก และรู้สึกถึงความสามารถในการบ่อนเซาะ (ตามที่ปกหลังมันบอก) ของบาร์เทิลบี ซึ่งปกหลังมันบอกอีกว่าจะทำให้องค์กรทั้งหมดที่เป็นเหตุเป็นผลพังทลายลง ว่าอีกทีคือมันเตือนให้จขบ.นึกถึงตอนที่ตูตกนรกโพสต์โมเดิร์นอันน่าสะพรึงกลัว

ที่จริง จขบ.ไม่เคยเข้าใจเลยว่านักคิดสายโปโหมะนั้นดำรงอยู่ได้อย่างไร ว่าอีกทีหนึ่งก็คือ จขบ.คิดว่ามันเป็นโลกที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง อันนี้ไม่ได้หมายความว่าจขบ.พอใจจะให้กระแสหลักกดขี่บีำฑากระแสรองต่อไปจนชั่วกัลปาวสาน และไม่ได้หมายความว่าจขบ.จำยอมต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพราะจขบ.ก็ไม่ชอบกฎเกณฑ์ด๋อยต่าง ๆ ที่คนเอามายัดเยียดให้จขบ.เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ความคิดของจขบ.เกี่ยวกับโปโหมะนี้ ใกล้เคียงกับที่คิดกับเอกซิสเตนเชียลลิสต์อย่างยิ่ง คือ จขบ.ไม่เข้าใจว่าทนกันอยู่ได้อย่างไร เพราะในความรู้สึกของจขบ. มันเป็นภาวะที่ไร้รักอย่างยิ่ง และจขบ.ทนไม่ได้ คือว่าแม้ว่าจขบ.จะไม่ชอบอะไรต่าง ๆ ในโลก และบางครั้งก็ไม่ยอมตามอะไรต่าง ๆ ในโลก แต่ถ้าถึงวันหนึ่งที่ต้องประนีประนอมเพื่อให้ธำรงบางอย่างที่สำคัญกับจขบ.ไว้ ธำรงความรักของครอบครัวและของเพื่อนไว้ จขบ.ก็คิดว่าตัวคงยอมประนีประนอมโดยง่าย ซึ่งว่าอีกทีอาจจะบอกว่าจขบ.เป็นคนขี้ขลาดก็ได้ แต่จขบ.จะไม่มีวันยอมตายอย่างไร้รักแบบนายบาร์เทิลบี หรือนายอะไรก็ไม่รู้ในเรื่องคนนอกนั่นเด็ดขาด

แต่หลังจากปีนขึ้นมาจากนรกโปโหมะได้แล้ว (เดี๋ยวนี้จขบ.มีช่วงตกนรกค่อนข้างสั้น) ก็อ่านคำตามของปราบดา หยุ่น หลังจากอ่านคำตามแล้ว นั่งไปสักพักหนึ่งก็คิดว่า จริงเหรอ จริงอย่างที่คุณปราบดาแกบอกจริงเหรอ

ว่าอีกที คุณปราบดาอาจจะถูกในแง่ของคุณปราบดา และจขบ.อาจจะถูกในแง่ของจขบ.ก็ได้ (นี่ไง ตูประนีประนอมแล้ว) แต่ตอนนี้ก็คิดว่า จริงเหรอที่เราควรจะมองอย่างนั้นในแง่เดียว

สังคมนี่มันร้ายจริงเหรอ มันเฝ้าแต่ยัดเยียดอะไร ๆ ให้ตาบาร์เทิลบีเพราะสำนึกทางศาสนาและความถูกต้องแบบชนชั้นกลางจริง ๆ เหรอ ที่จริงแล้ว จขบ.เห็นว่าตัวข้าพเจ้าในเรื่องนี่น่าสงสารเป็นบ้า อยู่ ๆ ก็มีอีบาร์เทิลบีมาหลอนเป็นเหลือบอยู่ในสนง.อยู่ได้ และบาร์เทิลบีนี่ก็ใจร้ายใจดำอำมหิตมาก หรือว่าอีกทีคือชืดชาต่ออะไร ๆ ของมนุษย์มาก ที่จริงคืออีบาร์เทิลบีนี่ทำร้ายตัวเอง

ทั้งนี้ มิได้หมายความจขบ.ไม่เข้าบาร์เทิลบี (อย่างน้อยก็เข้าใจในมุมของจขบ.เอง) ในฐานะคนคนหนึ่งที่สัญชาตญาณบัญชามาให้ตั้งคำถามกับระบบ (แม้จะพยายามกลมกลืนกับระบบนั้น) จขบ.เข้าใจเป็นอย่างดีว่าการไม่ประสงค์ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้นี่คือความปรารถนาของอะไร และเพื่ออะไร อย่างไรก็ตาม จขบ.มีความเห็นว่า ถ้าจขบ.เป็นนายของตาบาร์เทิลบี อีตอนที่มันบอกว่ามันไม่ประสงค์จะให้คนอื่นมาอัดอยู่ในอาศรมของมัน จขบ.จะเรียกคนทั้ง สนง.มาอัดอยู่กับมันให้หมด (การแกล้งบาร์เทิลบีเป็นความสุขในโลก) และไม่ให้มันออกไปด้วย เพราะจขบ.ไม่สนับสนุนการใช้ชีวิตอยู่ตามอุดมคติหรือความบัดซบของตัวเอง โดยปราศจากความเข้าใจว่ามนุษย์อื่นเขาก็เจ็บปวดและมีข้อบกพร่องของตัวเองเหมือนกัน จขบ.ไม่สนับสนุนการที่คนคนหนึ่งจะคิดว่าตัววิเศษกว่าชาวบ้าน แล้วเลยเหยียดหยามดูแคลนน้ำใจและความเป็นมนุษย์ของคนอื่น บาร์เทิลบีมันทำตัวเอง โลกในใจของมันมีปัญหาอย่างยิ่ง และโรคนี้รักษาไม่ได้ด้วยใครเลย รักษาด้วยความรักจากคนนอกก็ไม่ได้ (กระมัง) แต่รักษาได้ด้วยตัวเอง เมื่อบาร์เทิลบีไม่ยอมรักษาให้หาย บาร์เทิลบีก็ตายเอง

...

อนึ่ง มีการพูดถึงอีเมอร์สันและธอโรในบทความนี้ และบอกว่าพวกก๊กนี้อาจจะเป็นตัวแทนของบาร์เทิลบี จขบ.ไม่ทราบ ไม่เคยรู้เรื่องของอีเมอร์สันมาก่อน แต่เคยอ่านเรื่องวอลเดน (ยังไม่จบ ต้องอพยพมาเชียงใหม่เสียก่อน) จขบ.ว่าถ้าคิดว่าธอโรเป็นบาร์เทิลบี นี่แสดงว่าผิดอย่างยิ่ง เพราะธอโรมิได้มีชีวิตอยู่อย่างบาร์เทิลบี ในความรู้สึกของจขบ. ธอโรมีชีวิตอยู่ในอีกระนาบหนึ่งแล้ว เขาไม่ได้ประท้วงเพราะความเอาแต่ใจตัวเอง หรือความสิ้นหวังเหมือนบาร์เทิลบีแต่ประการใดเลย ธอโรประท้วงเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีวิธีการอื่นอยู่ และเขาก็บอกเองว่านี่คือการแสดงของเขาเพื่อให้คนเห็นว่าเป็นอย่างนั้น ว่ากันจริง ๆ แล้ว จขบ.มีความเห็นว่าธอโรนี่เป็นแมนมาก

และธอโรก็มีความรักมากด้วย ไม่ใช่มีชีวิตอยู่อย่างขาดไร้รักอย่างบาร์เทิลบี แม้ว่าจะไม่ได้แสดงความรักมนุษย์ (บางทีมนุษย์มันอาจจะน่าเบื่อเกินไปในสายตาของพี่แก) แต่ธอโรมีความรักธรรมชาติและสัตว์อย่างยิ่ง มีความรักชีวิตของตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอย่างล้นเหลือ เกินกว่าจะพร่าผลาญชีวิตนั้นไปกับเรื่องไร้สาระที่ตัวเองไม่ได้ต้องการทำ เขาทำแต่สิ่งที่เขาอยากทำ ใช้ชีวิตเข้มข้นทุกหยดตามความต้องการของตัวเอง มีชีวิตเปิดเผย สง่างามเหมือนสิงโต

แต่พูดเรื่องเป็นและตายนี้ จขบ.ก็ไม่ทราบเหมือนกัน อย่างในเรื่องเกมลูกแก้ว เมื่อโยเซฟ คเนชท์ ตายในตอนจบ จขบ.ก็ว่าคเนชท์ได้ใช้ชีวิตของตนถึงแก่นแล้วเหมือนกัน จขบ.จึงอธิบายไม่ได้ชัดว่าการตายของคเนชท์กับการตายของบาร์เทิลบีแตกต่างกันอย่างไร บางทีอาจจะเพราะการตายของบาร์เทิลบีดูเจ็บป่วยขมขื่นอย่างยิ่ง ตัดขาดจากทุกสิ่งทั้งปวงนอกจากความเอาแต่ใจตัวเอง ในขณะที่ความตายของคเนชท์มีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ มีความรู้สึกว่า เอาละ ข้าจะทำให้เต็มที่ ข้าจะไปให้ถึงที่นั่น และถ้าไปไม่ถึง ข้าจะตาย ข้าจะยอมตาย เพราะชีวิตของข้ามีความหมายมากยิ่งกว่าจะมาประนีประนอม ใช้ชีวิตอย่าง mediocre ไปเรื่อย ๆ แล้วก็ตาย

จขบ.ไม่รู้ ก็ไม่ได้หมายความจขบ.จะเห็นว่าความตายเป็นสิ่งประเสริฐหรอก จขบ.แค่พูดถึงว่าเมื่อจขบ.อ่านทั้งสองเรื่องนั้น มีนัยยะอย่างอื่นแฝงอยู่ในความตาย

จขบ.ไม่รู้ว่าคนเขียนเรื่องบาร์เทิลบีเจ็บปวดขนาดไหน ตอนที่เขียนเรื่องนี้ออกมา แกอาจจะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ ก็ได้ แกอาจจะกินอยู่นอนหลับดี เพียงแต่มันมีเงาของความสิ้นหวังบางอย่างอยู่ในใจ แผ่เงาอยู่บนหัว ตลอดเวลา ตลอดเวลา

...

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ จขบ.พูดจากมุมของตัวเอง หากมีมุมอื่น จขบ.ก็ต้องการฟัง เพราะจขบ.ต้องการเข้าใจ มีอยู่ครั้งหนึ่ง จขบ.ได้อ่านวิเคราะห์เอกซิสเตนเชียลลิสต์ ซึ่งดูเหมือนบทความนั้นจะวิเคราะห์ในแง่ที่จขบ.สามารถเข้าใจได้ จขบ.จึงมีความเข้าใจเอกซิสเตนเชียลลิสต์มากขึ้น และเห็นอะไร ๆ มากขึ้น

ว่าไปแล้ว ถ้ามีอะไรอื่นก็อยากฟัง เพราะอย่างนั้นจึงพูดมุมของตัวเองอกมาเต็มที่เหมือนกัน




 

Create Date : 16 เมษายน 2552    
Last Update : 3 มกราคม 2553 21:00:21 น.
Counter : 996 Pageviews.  

ทางไร้ดอกไม้ (๔)

ในเรื่องทางไร้ดอกไม้ มีตัวละครคู่หนึ่งที่น่าสนใจ คือ หลิว (นางเอก) และแหนม (นางอิจฉากระมัง) หลิว (คิดว่า) ตัวเองเป็นคนธรรมดา มีชีวิตอยู่อย่างธรรมดา ๆ และยามที่ต้องเข้ามาในวงการ ก็เข้ามาด้วยความยากลำบาก คือมิได้ดังเปรี้ยงปร้างในบัดดล แต่ต้องลงตะกร้าไปเสียส่วนมาก กว่าจะได้ลงเรื่องยาวสักเรื่องก็เลือดตาแทบกระเด็น ส่วนแหนมเป็นสาวหน้าคม มีอารมณ์อ่อนไหว เจ้าชู้ และมีโลกส่วนตัวสูง แหนมเีขียนหนังสือแล้วก็ "มีชื่อ" ได้ในเวลาอันสั้น แต่ว่าแหนมเป็นคนมีอารมณ์เยอะ มีความรักเยอะ แม้ภายนอกดูปราดเปรียวเฉลียวฉลาด แต่ภายในก็หลงวนเวียนอยู่ในโลกของตัวเอง ทำให้ทีหลังก็กลายเป็นคนมีปัญหาแปลก ๆ ทั้งทำท่าเกือบเหมือนจะมาแย่งสามีของหลิวเสียด้วย

ว่ากันจริง ๆ จขบ.มิได้แปลกใจแม้แต่น้อยที่ในระยะเริ่มต้น แหนมจะมีชื่อเสียงดีกว่า เพราะการเขียนหนังสือนั้นต้องอาศัยความอินของคนอ่านค่อนข้้างมาก แหนมเป็นคนมีอารมณ์มากอย่างยิ่ง อ่อนไหวอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ประสบการณ์ทุกอย่างของแหนมจึง intense มาก และถ่ายทอดออกมาได้อ่านเข้มข้นเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อในเรื่องบอกว่าแหนมสามารถเขียนอารมณ์ "ละเอียดอ่อนละเมียดละไม" ออกมาได้อย่างดี ก็แสดงว่าแหนมมีพรสวรรค์ คือดึงเอาสิ่งที่อยู่ในตัวเองออกมาใช้ได้ เพราะที่จริงแล้ว มีอารมณ์ติสต์อย่างเดียวนั้นไม่พอกับการเขียนหนังสือดี แต่จะต้องถ่ายทอดอารมณ์ติสต์ออกมาได้ด้วย

ธรรมดาคนอ่านนิยาย อารมณ์เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญ เพราะคนอ่านต้องการตกไปอยู่ในโลกนั้นด้วย เมื่อแหนมสร้างโลกของตนเองได้สมบูรณ์ เรื่องมีชื่อก็เป็นเรื่องธรรมดา และเป็นเรื่องธรรมดาอีกที่หลิวจะต้องมีความอิจฉาแหนม เพราะหลิวไม่ใช่คนมีอารมณ์มากเช่นเดียวกับแหนม หรืออีกทีหนึ่ง อาจจะมีอารมณ์มากก็ได้ แต่แสดงออกมาไม่เป็น บางทีคงด้วยไม่รู้ตัว ยังค้นไม่พบ หรือยั้งอารมณ์นั้นเนื่องจากถูกอบรมสั่งสอนมา หรืออะไรอื่น ๆ เมื่อหลิวใช้อารมณ์ของตัวเองไม่เป็น สิ่งที่ออกมาจึงเป็นไปได้ว่า (นิยายไม่ได้พูด จขบ.วิเคราะห์เอง) หลิวเขียนหนังสือเหมือนเด็กขยันทำงาน เขียนไปตามความรู้สึกว่ามีหน้าที่ต้องเขียนเช่นนี้ และใช้วิธีรวบรวมเอา cliche จากเรื่องที่ตนประทับใจมาไว้รวม ๆ กัน เพราะคิดว่านี่คือวิธีการเขียนหนังสือ เมื่อเขียนด้วยลักษณะอย่างนี้ เรื่องที่ออกมาจึงจืด ๆ จาง ๆ ไม่มีลักษณะเด่นชัดทางใดทางหนึ่ง ยายหลิวคงถูกวิจารณ์อย่างนี้มาบ่อย ๆ ก็เลยพลอยนึกว่าชีวิตตัวนี้มันจืด ๆ จาง ๆ พิกล แล้วเลยเกิดน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกด้อยกว่ายายแหนม ซึ่งใช้ชีวิตอย่างเ้ข้มข้นถึงใจ เปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น เศร้าอกหักก็กินเหล้าดูดบุหรี่ ยายหลิวเด็กดีก็เลยรู้สึกว่าตัวด้อยกว่าเหมือนเด็ก ๆ เมื่อเทียบกับแหนมไป

อันที่จริง จขบ.มีความเห็นว่ายายแหนมก็อิจฉายายหลิว มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ไปกินข้าวด้วยกัน หลิวชมแหนมว่าประสบความสำเร็จ แหนมก็ตอบกลับทันทีว่าหลิวต่างหากเป็นคนโชคดี มีครอบครัวอบอุ่น และในทีหลัง แหนมก็มีการมาทับถมหลิวว่าตัวได้ลงเรื่องในนิตยสารไฮโซ และทำท่าเหมือนจะมาแ่ย่งสามีของหลิวเสียด้วย คือในเรื่องบอกว่าแหนมไม่ได้อยากแย่งจริง ๆ หรอก เพียงอยากหาประสบการณ์และ "อารมณ์" มาเขียนนิยาย (คาดว่าคงเขียนเรื่องแอบรักคนมีเจ้าของอยู่แล้ว) สรุปสุดท้าย ยายหลิวก็เหมือนจะ "ชนะ" ยายแหนมได้ ด้วยการมีครอบครัวลูกผัวอบอุ่น ส่วนยายแหนมนั้นยังคงเคว้งคว้างกับชีวิตมากอารมณ์ หาที่ลงหลักปักฐานไม่เจอ สุดท้ายทำท่าเหมือนจะเลิกเขียนนิยายด้วย

ว่ากันจริง ๆ แล้ว จขบ.รู้สึกว่าแหนมนี่น่าสงสารมาก คือมีพรสวรรค์เป็นประสาทสัมผัสอันละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง แต่แมเนจพรสวรรค์ที่ได้มาไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตเหมือนนกที่ไม่มีรังตลอดเวลา แม้เมื่อเด็กจะภูมิใจว่าตัวเองเป็นคนกล้ากร้านโลก แต่พอโตแล้วก็พบว่าการไร้รังนั้นเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง ไม่เหมือนหลิวที่ถึงแม้ตัวจะดูถูกว่าเขาอ่อนเชิง แต่ก็มีรังของตัวเอง มีความอบอุ่นสบายใจ แหนมนี้อิจฉาหลิวมาก ๆ หรอก ถึงได้พยายามอยากจะเข้าไปสวมแทนชีวิตของหลิว ถึงพูดจาทับถมหลิว เพื่อตัวเองจะได้รู้สึกว่ามีอะไรให้ยึดเกาะ ให้มั่นใจในตัวเองได้

ส่วนยายหลิว จขบ.ยังถือว่าน่าสงสารน้อยกว่า คนอื่นคงด่าที่จขบ.คิดอย่างนี้ เพราะหลิวเป็นคนที่เกือบถูกแย่งแฟน แต่ที่จริง แฟนหลิวก็ไม่เห็นว่าจะมีความเอนเอียงไปอย่างไรได้ ว่าไปแล้ว การที่ยายหลิวถูกแย่งแฟนนี้ ที่จริงเป็นตัวเสริมอีโก้ให้ชีต่างหาก ให้ชี (และคนอ่าน) เกิดเข้าใจไปว่าตัวชนะแหนมแล้ว เพราะมีลูกผัวครอบครัวอยู่ ส่วนแหนมก็ต้องมีชีวิตอย่างนกปีกหักต่อไป แต่ถ้าหากเป็นอย่างนี้ หลิวก็จะไปไม่ถึงไหนเหมือนกัน เพราะชีเข้าใจผิดไปแล้วว่าครอบครัวลูกผัวกับการเขียนหนังสือดีนี้เอาไว้ด้วยกันไม่ได้ จำจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วพอเกิดติดบล็อคขึ้นมา ยายหลิวเลยบอกตัวเองว่าบรรณโลกไม่จำเป็นต้องมีตัวก็ได้ แต่ครอบครัวจำเป็นต้องมี แล้วก็เลยเลิกเขียนหนังสือไปดื้อ ๆ อย่างนั้นเอง

ว่ากันตรง ๆ หลิวกับแหนมนี้เหมือนนาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ ในเรื่องของเฮอร์มานน์ เฮสเสอย่างยิ่ง คนหนึ่งใช้ชีวิตกับการคิด (หลิว/นาร์ซิสซัส) และคนหนึ่งใช้ชีวิตกับอารมณ์ (แหนม/โกลด์มุนด์) ที่จริง ถ้าหากมีโอกาสและอยากประสบความสำเร็จจริง ๆ ต่างฝ่ายต่างควรจะทำความรู้จักอีกฝ่ายให้มากไว้ เพราะต่างฝ่ายต่างขาดสิ่งที่อีกฝ่ายมี หลิวต้องการอารมณ์ของแหนม และแหนมต้องการวินัยและการคิดอย่างมีระบบของหลิว อย่างไรก็ตาม เมื่อต่างคนต่างอิจฉาอีกคนมากมายอย่างนั้น ก็เลยพาลพยายามคิดว่า ตัวดีกว่าอีกคน พยายามหาปมเด่นมาทับกันไปทับกันมา สุดท้ายแล้วก็เดี้ยงไปทั้งคู่โดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยสักอย่างเดียว

###

เมื่อเขียนว่า ต่างฝ่ายต่างมีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการนั้น จขบ.มิได้หมายความว่าต้องเลียนแบบกัน แต่หมายความว่าต้องเรียนรู้กัน เพราะธรรมดาแล้ว คนเราจะมีข้อเด่นและมีความถนัดกันคนละอย่าง เช่น ยายแหนมนี้มีความสามารถในการเข้าถึงอารมณ์ของตัวเอง ความสามารถชนิดนี้เป็นของสำคัญสำหรับการเขียนหนังสือ จขบ.ไม่ทราบอดีตของยายแหนม แต่เข้าใจว่าถ้าหากไม่ได้เป็นสิ่งที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด (เมื่อเล็ก ๆ ชีคงเป็นเด็กอ่อนไหวอารมณ์แรง เลี้ยงยากเอาการ) ก็เป็นสิ่งที่ชีพัฒนาขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับอะไรบางอย่างในชีวิต เช่นว่าที่บ้านอาจจะมีปัญหา ดังนั้นจึงเข้าไปใช้ชีวิตในโลกส่วนตัวของตัวเองมากหน่อย แล้วเลยพัฒนาความคมชัดของโลกส่วนตัวนั้นขึ้นมา จนสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ส่วนหลิวนี้เติบโตมาในบ้านที่พ่อแม่ ตลอดจนพ่อบุญธรรมแม่บุญธรรมคนจีนข้างบ้านล้วนเป็นคนค่อนข้างสุจริต ทำมาหากิน โดยเฉพาะพ่อแท้ ๆ นั้นเป็นนายทหารที่ตงฉิน square head ไม่รู้จักไต่เต้า และหลิวต้องรบกับลูกชายของพ่อแม่บุญธรรมถึงสามคนตั้งแต่เด็ก หล่อหลอมใช้ชีเป็นคนมีเหตุมีผล ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน และรับมือกับสังคมได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าสภาพแวดล้อมอย่างนี้ไม่เอื้อให้หลิวพัฒนาหรือค้นพบขุมอารมณ์ภายในตัว และทำให้ชีเข้าใจไปว่า การทำงานอย่างขยันเป็นทางออกของทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป (แม้ในการงานปรกติที่ไม่อาชีพทางศิลปะก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป เหมือนพ่อที่พอคิดว่าต้องตงฉิน ก็เลยไม่ "ไต่เต้า" ด้วยวิธีอื่นถึงแม้จะเป็นวิธีสุจริตเสียเลย...หรือบางทีในระบบราชการอาจจะไม่เอื้อให้ทำอย่างนั้นก็ได้ จขบ.ไม่ทราบ) ว่าอีกอย่างคือหลิวนี้เป็นคน square head ไม่รู้จักยืดหยุ่น ดังนั้นแม้จะมีสายตาเฉียบคม วิเคราะห์เก่ง ฉลาดและมีอีคิวดี จขบ.ก็เดาว่าเรื่องที่เขียนออกมามันคง square เช่นเดียวกับตัวตนของหลิวนั่นเอง

ที่เขียนว่าหลิวกับแหนมควรเรียนรู้กันนี้ มิได้หมายความว่ายายหลิวต้องทิ้งลูกและสามีไปติงต๊องเหมือนยายแหนม และไม่ได้หมายความว่ายายแหนมจะต้องเกิดเรียบร้อยใช้ชีวิตเป็นผู้เป็นคนแต่อย่างไร (แต่ทำอย่างนั้นได้ก็จะดีกับสุขภาพจิตของชีเอง) แต่หมายความว่า การที่ได้สังเกตผู้คนอย่างใกล้ชิดนั้น ก็เหมือนกับการอยู่กับครู การได้ดูว่าเขาทำอย่างไรกับชีวิต จะทำให้เราทราบว่ามีวิธีการอื่น ๆ ให้เลือกได้อยู่ นอกจากวิธีการของเราเอง เมื่อเราเข้าใจวิธีการเหล่านั้นแล้ว บางทีเราอาจจะเข้าใจวิธีการปรับตัวของเราเอง ซึ่งไม่ได้แปลว่าเลียนแบบเขา แต่หมายความว่าเราสามารถค้นพบสิ่งที่เราลืมไปในตัวเรา เช่นหลิวนี้ไม่ได้ฝึกอารมณ์มา ก็หาไม่เจอ แต่ดูวิธีของแหนมบ้าง อาจจะได้เจอ (ว่าไปก็เหมือนสเตปเปนวูล์ฟ...จขบ.นี่ก็บ้าลุงเฮสเสไม่เลิก) เมื่อเจอแล้ว ก็จะเป็นความดีกับหลิวเอง คือเขียนหนังสือได้ดีขึ้น มีความอิจฉาริษยาน้อยลง และบางทีอาจจะใช้ชีวิตโดยรวมได้ดีขึ้น เพราะไม่ต้องสะกดจิตตัวเองว่าตูจืดอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว




 

Create Date : 12 เมษายน 2552    
Last Update : 3 มกราคม 2553 20:59:53 น.
Counter : 534 Pageviews.  

ทางไร้ดอกไม้ (๓)

เมื่อตอนเขียนจบบล็อคที่แล้ว ตอนแรกตั้งใจจะเขียนต่ออีกเรื่องหนึ่ง แต่เอาเข้าจริง ปรากฏว่าความคิดมันกลับแตกยอดแขนงไปอีกทาง ซึ่งแปลกดี แต่ที่จริงอาจจะไม่แปลกก็ได้ เพราะจขบ.อาจจะคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ความคิดของคนเราไม่ได้เป็นหนึ่งต่อสองต่อสาม แต่มีลักษณะเป็นเครือข่าย เชื่อมโยงหากันอย่างซับซ้อน น่าจะเป็นแบบนี้กระมัง

เมื่อเขียนจบบล็อคที่แล้ว ไปนั่ง ๆ ต่ออีกหน่อยหนึ่ง ก็บังเกิดความเข้าใจขึ้นมาว่า ที่จริงแล้ว บล็อคทั้งปวงที่ปรากฏนั้นเป็น blessing ต่างหาก อาจจะฟังดูประหลาดหน่อย หรือบางทีอาจจะไม่ประหลาดก็ได้ เพราะคงมีคนหลายคนพูดแบบนี้มาก่อนจขบ. และคงมีคนอีกหลายคนพูดเรื่องนี้หลังจากที่จขบ.ตายไปแล้วหลายพันปี อย่างไรก็ตาม การเคยได้ฟังนั้นไม่เหมือนความเข้าใจ เมื่อจขบ.อ่านเรื่อง mastery (เช็คที่หัวข้อ "วิชาการ (aka มีสาระกระมัง)") เขาก็พูดอะไรทำนองนี้ แต่ตอนนั้น จขบ.ไม่เข้าใจหรอก ในใจจขบ.คิดแต่ว่าตูจะหลุดบล็อค ตูจะหลุดบล็อค เพราะบล็อคนี่มันทารุณสติของจขบ.มากและทำให้ชีวิตของจขบ.เน่า (มองภายนอกไม่เห็นหรอก มันอยู่ข้างใน) อย่างไรก็ตาม หลังจากบ่มมันดีแล้วในจิตใต้สำนึกเป็นเวลาหลายเดือน จขบ.ก็เกิดเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า how a block becomes a blessing ได้ยังไง

เมื่อเราเจอบล็อค ไม่ว่าเป็นบล็อคอะไรก็ตาม ไม่ว่าด้วยวัย ด้วยเงินทองชื่อเสียง ด้วยอารมณ์ของเราเอง ด้วยความสุดโต่งของเราเอง หรือด้วยอะไรต่าง ๆ อีกล้านอย่างซึ่งจขบ.ไม่ทราบและไม่รู้ นั่นคือสัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังจะเติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเราไปพ้นจากสถานะเดิมแล้ว ไม่อาจทนทานมีชีวิตอยู่ในคราบเก่า ๆ ของเราได้ ในจังหวะที่สูญเสียแบบเก่าและหาแบบใหม่ไม่เจอ มันก็คือการติดบล็อค มันก็การเป็นวัยรุ่น มันก็คือการเปลี่ยนผ่านนั่นเอง

ชีวิตจะบังคับโดยอัตโนมัติให้เราเปลี่ยนแปลง อย่างที่คุณยาคูลท์ว่าเด็กจะเป็นผู้ใหญ่ หรือในความเป็นจริง เรื่องชื่อเสียงเงินทองจะเข้ามา และเรียกร้องให้เราปรับสภาพความคิดจิตใจของเรา เรียกร้องให้เราเข้าใจ ถ้าหากเราปฏิเสธที่จะเข้าใจตรงนั้น เราย่อมติดอยู่ตรงจุดเดิม แต่หากเมื่อไรที่เราก้าวข้ามไปได้ ก็จะเห็นว่าเราหลงจากถนนสายยาวไปอย่างไรบ้าง ก็จะกลับไปได้

เมื่อก่อนจขบ.เคยเชื่อจริง ๆ ว่าตัวเองตกอยู่ในทางตันแล้ว เคยรู้สึกอย่างยิ่งว่าตัวเองเหมือนคนแก่ที่ไม่มีความหวังในชีวิต ควรจะตายไปได้ (บอกแล้วว่าฉันเคยเน่า) ทั้งหมดนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่ที่จขบ.รู้สึกอย่างนี้ ก็เพราะจขบ.ไม่เข้าใจว่า purpose ในชีวิตของตัวเองคืออะไร จขบ.รู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าตัวเป็นมนุษย์ประหลาด ว่าตัวไม่เคยยอมอยู่ในจุดที่ตัวไม่ต้องการ หากว่าจำเป็นต้องไปอยู่ในจุดนั้น จขบ.จะมีชีวิตอยู่เหมือนแมวแรคดอลถูกอุ้ม คือตัวนิ่มตัวอ่อนไม่มีกระดูก แกจะอุ้มก็อุ้มฉันไป ฉันไม่สนใจ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าหากสูญเสีย purpose ในชีวิตไป จขบ.ย่อมรู้สึกหลงทางอย่างยิ่ง นี่เป็นความจริงปรกติธรรมดา

ที่จริงตอนนี้ จขบ.ก็ตอบทุกคนไม่ได้ว่า เป้าหมายในชีวิตของจขบ.คือการเขียนหนังสือหรือ เพราะตอนนี้จขบ.มิได้เห็นเป้าหมายเป็นเป้าหมายแล้ว แต่เห็นชีวิตเป็นถนนสายยาวที่ไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหน และที่จริง จขบ.ปราศจากความเสียใจที่ถนนนั้นไม่มีเป้าหมาย เพราะจขบ.เกิดเห็นว่าถนนนี้น่าสนุกอย่างยิ่ง น่าเดินไปอย่างยิ่ง แน่นอนว่าต้องมีจระเข้ มีงู แน่นอนว่าจะมีเรื่องอันตรายและเรื่องเสียใจ แต่แน่นอนว่าจะต้องมีดอกไม้ จขบ.แน่ใจถึงร้อยส่วนว่าจะมีดอกไม้ แต่บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงแน่ใจอย่างนั้น

หลังจากนี้ก็คงติดบล็อคอีก คงมีตอนที่สับสนหลงทางอีก คงมีตอนที่เสียใจ จิตตก พูดจาไม่รู้เรื่อง ซื้อหนังสือมายัดไว้เต็มบ้าน กินอาหารญี่ปุ่นทุกมื้อ โละของทุกอย่างในห้องที่ไม่ใช้ทิ้งหมดจนห้องตูเกือบจะเป็นวิหารแห่งความเซน บ่นมากบ่นมายกับเพื่อนรอบตัวจนทุกคนเบื่อเต็มที และอาการอื่น ๆ อีกมากที่มนุษย์หลงทางติดบล็อคเขาเป็นกัน อย่างไรก็ตาม บางทีในอนาคต จขบ.อาจจะปลอบใจตัวเองได้ด้วยว่า นี่แล บล็อคมาแล้ว ถ้าข้าผ่านบล็อคนี้ได้ รับรองว่าข้าจะโตขึ้น ขยายร่างยี่สิบเท่า กลายจากงูเป็นมังกร (เว่อร์ขึ้นเรื่อย ๆ) บางทีตอนที่ยากลำบากมันก็อาจจะไม่ใช่ความยากลำบากจริง ๆ อีกต่อไป แต่เป็นแค่...ว่าอย่างไรดี...การสู้กับบอสเพื่อให้ไปถึงด่านต่อไป

สู้กับบอสในชีวิตจริงก็ต้องเจ็บตัวจริง แต่ที่ได้ในชีวิตจริงก็เป็นของจริงเหมือนกัน แบบนั้นละมัง




 

Create Date : 09 เมษายน 2552    
Last Update : 3 มกราคม 2553 20:59:27 น.
Counter : 585 Pageviews.  

ทางไร้ดอกไม้ (๒)

ตอนที่จบบล็อคที่แล้ว ก็กลัวนิดหน่อยว่าคนอ่านแล้วจะเข้าใจผิด (บล็อคที่แล้วต่อไว้อีกหน่อย ถ้าใครยังไม่ได้อ่านไปอ่านด้วย) จึงเห็นว่าควรจะอธิบายเพิ่มเติม การลงจบว่าเงินกับชื่อเสียงไม่ใช่ "ดอกไม้ประเภทเดียวบนทางสายนี้" แลดูเหมือนจู่ ๆ จขบ.ก็เกิดปลงตก ตูจะเข้าวัดไม่หวังอะไรอีกแล้ว หรืออีกทีหนึ่ง อาจฟังเหมือนจขบ.เป็นหมาหางด้วน คือไม่ทัดหน้าเทียมตาเขาเลยมีความอิจฉาริษยา มาพูดจาประหนึ่งองุ่นเปรี้ยว

ที่จริง ควรบอกว่าจขบ.ไม่ได้ปลงตก ในความเป็นจริง หากเป็นไปได้ ในฐานะมนุษย์ยังมีกิเลสคนหนึ่ง จขบ.ต้องการดอกไม้ทุกประเภทบนทางสายนี้ ทั้งไม่สนับสนุนให้ใคร "ปลงตก" แบบโง่ ๆ โดยไม่ได้สู้อะไรเลยด้วย เพราะจขบ.ไม่ชอบคนที่ไม่ได้สู้ หากว่านอนงอมืองอเท้าบอกว่าโลกก็เป็นอย่างนี้เอง จขบ.เรียกว่าคนขี้ขลาด อย่างไรก็ตาม ในประสบการณ์อันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าหลายปีพอสมควรของจขบ. เรื่องเงินเรื่องชื่อเสียงนี้ทำลายคนมาไม่น้อยแล้ว เพราะความเข้าใจผิดว่านี่เป็นทางด่วนที่จะนำไปสู่การบำรุงอีโก้ชั้นเลิศ จะทำให้ชื่อเสียงของตัวปรากฏในโลก มีความสำคัญ ผู้คนจดจำได้ ครั้นไม่ได้ตามนั้นก็มีความเจ็บใจเสียใจ มีความแค้นเคืองโลกและระบบทั้งหลายว่าไม่สนับสนุนตัว ครั้นแล้วก็พาลเหยียดหยามดูแคลนคนอื่น (ซึ่งเท่ากับเหยียดหยามดูแคลนตัวเอง) และในที่สุดเมื่อผิดหวังหนัก ๆ เข้า ก็เลิกเดินไปเสียเลย ทั้งที่ในความเป็นจริง ยังเดินไปไม่ถึงไหนเลย

ความโกรธ ความอิจฉาและความกลัวทั้งหลายของมนุษย์นั้น จขบ.ก็มี เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน แต่ในท่ามกลางกระแสต่าง ๆ มากมายรอบตัว จขบ.ก็ยังคงเห็นว่ามีอะไรบางอย่างสำคัญยิ่งกว่่านั้น และเป็นสิ่งสำคัญมากซึ่งไม่ต้องการสูญเสียไป ในจังหวะที่มีความริษยา จขบ.ก็ริษยาเท่า ๆ กับมนุษย์มนาปรกติอื่น ๆ ในโลก (แต่ว่าไป จะไปรู้ได้ยังไงว่าคนอื่นเขาอิจฉากันอย่างไร เราไม่ใช่เขาสักหน่อย) และที่เขียนอย่างนี้ไม่ใช่ว่าต้องการทำตัวน่าสงสาร เพราะจขบ.ไม่ได้น่าสงสาร ถึงแม้จะชอบอ้อนคนอ่าน แต่ที่จริงก็ไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้นสักนิด เพียงแต่เป็นพวกชอบความอบอุ่นเท่านั้นเอง ( -_-' พูดแล้วอายว่ะ)

เมื่อมีความอะไร ๆ ทั้งหลายเหมือนมนุษย์อื่น จขบ.จึงบอกไม่ได้ว่าตัวเป็นองุ่นเปรี้ยวหรือเปล่า แต่เท่าที่รู้สึกตอนนี้ จขบ.ว่าตัวไม่ได้องุ่นเปรี้ยว คือต่อให้มีความอิจฉาหรือไม่อิจฉา จขบ.ก็พยายามบอกตัวเองเสมอว่าให้ยุติธรรม คนเขียนหนังสือดีก็คือคนเขียนหนังสือดี หากว่าไม่ดีก็คือไม่ดี แต่จขบ.มีความเห็นโดยสัตยธรรมจริง ๆ ว่าการเอาการเขียนหนังสือดี ไปปะปนกับการมีชื่อเสียงเงินทองนั้น เป็นบล็อคใหญ่สำคัญของการเขียนหนังสือ (บางทีต่อไปข้างหน้าคงเป็นบล็อคอื่นอีก แต่จขบ.ยังไม่รู้)

ประการแรก คือที่ไม่ได้รับของนั้นก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่าตัวเองไม่ดีพอหรือ คิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจตัวหรือ เกิดคิดว่าควรเปลี่ยนแปลงตัวเองไปโดยไม่คำนึงถึงธาตุแท้ของตัว เหมือนเกิดเป็นมะม่วงแล้วเกิดอยากเป็นส้ม ครั้นเป็นส้มก็เป็นส้มไม่ได้สุด สุดท้ายก็ทำให้หลงทางไป

ประการที่สอง คนที่ได้รับชื่อเสียงเงินทองมาก ก็เข้าใจไปเองว่าตัวดีอยู่แล้ว เลยไม่ต้องทำอะไรต่อ หรือไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นคนระแวงชาวบ้านอื่นว่าจะมาอิจฉาตัว ทั้งยังกลัวว่าถ้าเขียนแบบอื่น คนอ่านจะทิ้งตัวเอง (คือเสพติดการได้รับความรักเสียแล้วจนไม่กล้าลองอะไรใหม่ หรือไม่คิดจะขัดเกลาให้มากกว่านี้) สรุปว่าก็หลงทางเหมือนกัน

สรุปว่าคนทั้งสองประเภท (เท่าที่นึกออก บางทีคงมีคนอีกล้านประเภท ซึ่งมีบล็อคอีกล้านประเภทที่จขบ.ไม่รู้) ก็ล้วนแต่หลงทางเหมือนกัน เข้าใจผิดอย่างยิ่งว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เปรียบแ้ล้วเหมือนเดิน ๆ ไปตามทาง บังเอิญแวะข้างทาง แล้วก็เลยหลงวนเวียนอยู่ในที่ข้างทางนั้น หาทางเดินต่อไปไม่ได้ อยู่ไปนาน ๆ เข้าก็ลืมไปแล้วว่าเคยมีทางอยู่ เกิดเข้าใจเอาเองว่าที่ข้างทางคือโลกทั้งโลก คือความเป็นจริงทั้งหมดที่มี

ว่ากันจริง ๆ ไม่ใช่ว่าจขบ.ไม่เข้าใจมิติของการ "ทำมาหากิน" ในโลกของการเขียนหนังสือ ไม่เข้าใจว่าเราทำงานแลกเงินเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตของเราเอง แต่ในความเป็นจริง จขบ.คิดว่าหากเราไม่หลงทาง เราเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร เรื่องอื่น ๆ ก็จะ "ง่ายขึ้น" เช่นถ้าไม่หมกมุ่นอยู่กับความอิจฉาริษยาแล้ว ทำงานก็คือทำงาน ถ้าเลี้ยงตัวทางนี้ไม่ได้ ก็ทำงานอื่น แต่ไม่จำเป็นต้องเลิกเขียนหนังสือไปเลย (ที่จริงจขบ.ไม่เข้าใจนางเอกทางไร้ดอกไม้ที่เลิกเขียนโดยสิ้นเชิงไปเลี้ยงลูก โดยอ้างว่าถ้าเคยทำเต็มร้อยแล้วลดลงเหลือยี่สิบ มันจะไม่ได้อย่างใจ จขบ.ว่าชีบริหารตัวเองไม่ได้ และที่จริงก็ติดบล็อคแล้ว ไม่รู้จะเขียนอะไรใหม่ ๆ ดี เลยเกิดไม่เห็นคุณค่าของการเขียน และต้องการพักจากมันชั่วคราวเท่านั้นเอง)

บางทีการที่เราหมกมุ่นกับความขมขื่น ความน้อยใจ การกลัวความคาดหวัง ความหวาดระแวงมากเกินไปนั่นเอง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรา "ทำมาหากิน" ไม่ได้ดีเท่าที่ควร คือเขียนหนังสือไม่ได้ เพราะในใจนึกไปล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่ได้รับสิ่งที่อยากได้ จะไม่เป็นไปตามที่คนอื่นคาดหวัง จะได้รับความเจ็บปวดเสียใจต่าง ๆ สรุปแล้วก็คือเราไม่ได้กำลังเดินไปตามทางของการเขียนหนังสือ แต่เดินไปตามทางของการเป็นทาสความอะไรต่าง ๆ ในใจของเราเอง ซึ่งจะทำให้เราเป็นอัมพาต

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จขบ.เขียนอะไรอย่างนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการหลงทางเป็นสิ่งที่ผิด เพราะจขบ.เชื่ออย่างยิ่งว่าการติดบล็อค และการฟัดกับตัวเองจนหลุดจากบล็อคมาได้นั้นเป็นเรื่องดีวิเศษอย่างยิ่ง เป็นหนทางเดียวที่เราจะสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นชนิดที่ใคร ๆ สอนก็ไม่ได้ และที่จริงแล้ว บางทีคงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเดิม เป็นคนเขียนหนังสือที่ดีกว่าเดิม แต่ข้อหลังนี้จขบ.ไม่ทราบ เพราะยังมองไม่เห็นอนาคตและการันตีอะไรให้ใครไม่ได้ เพียงแต่พยายามจะเขียนแผนที่ขึ้น แต่สุดท้ายแม้มีหรือไม่มีแผนที่ คนจะเดินทางก็ต้องไปเจออุปสรรคอยู่ดี อุปสรรคก็มีให้ข้าม ไม่ใช่มีให้เลี่ยงอยู่ดี ในความรู้สึกของจขบ. คนที่เจ็บเท่านั้นถึงจะกลายเป็นสิ่งที่งดงามได้ ส่วนคนที่เลี่ยงหนีไม่ยอมเจ็บตัว ก็จะอยู่อย่าง mediocre ซึ่งบางทีคงไม่ใช่ความผิดอะไร เว้นแต่คนที่ mediocre นั้นจะดูถูกตัวเองว่าตูไม่เคยไปที่ไหนได้เลย ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ดี

ไว้จะเขียนอีกบล็อค มีประเด็นอย่างพูดเยอะไปหมดเลยแฮะ




 

Create Date : 08 เมษายน 2552    
Last Update : 3 มกราคม 2553 20:59:00 น.
Counter : 542 Pageviews.  

ทางไร้ดอกไม้

ก่อนนี้ได้ยินคนบอกและอ่านจากบล็อคอื่นว่าทางไร้ดอกไม้ ของ ว.วินิจฉัยกุล เป็นเรื่องนักเขียน จึงหมายไว้ในใจว่าจะหามาอ่านให้ได้สักครั้ง เมื่อวานคนว่าง ๆ (ที่จริงก็ไม่ว่างเท่าไรนัก) เลยไปซื้อมาจากบูธอักษรโสภณ ที่จริงงานหนังสือคราวนี้จัดว่าซื้อหนังสือค่อนข้างน้อยมากถึงน้อยที่สุด และไม่ใช่เพราะจขบ.ต้องเฝ้าบูธ ที่จริงการเฝ้าบูธควรหมายถึงการได้เห็นหนังสือมากและซื้อมาก แต่บางทีงานนี้อาจจะไม่อยากอ่านอะไรเป็นพิเศษ (ยกเว้นเกมลูกแก้ว) และเหนื่อยกับบรรยากาศของงานหนังสือ เลยไม่ได้ซื้ออะไร

ทางไร้ดอกไม้เป็นหนังสือแบบที่อ่านแล้วก็อ่านต่อไปจนจบ หมายความว่า pleasant to read สำหรับ จขบ. แต่ถ้าถามว่าเป็นเรื่องนักเขียนไหม ที่จริงแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ คือจะว่าใช่ก็ได้ เพราะเป็นเรื่องใน "วงการ" และสภาพคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในวงการนี้ ซึ่งเนื่องจากหนังสือเขียนมาเกือบจะเท่าอายุจขบ. "วงการ" จึงมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างพอสมควร แต่อะไรหลาย ๆ อย่างที่ยังเหมือนเดิมก็เหมือนเดิม บางทีควรว่าต่อให้อะไรรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนแปลงไป "ความเป็นคน" ก็ยังเหมือนเดิมกระมัง

อ่านเรื่องในวงการนั้นสนุกดี ได้เห็นคนแบบต่าง ๆ และพัฒนาการแบบต่าง ๆ คนที่จขบ.ชอบคือคุณนาถมณี ซึ่งโผล่ไม่มาก แต่ร้ายแสนร้าย จขบ.คิดว่าว.วินิจฉัยกุลเป็นนักเขียนที่เขียนตัวร้ายได้แสบไส้และเห็นภาพมาก คือเป็นจริง มีคนอย่างนี้จริง ๆ และมันฟาดลงไปถึงใจจริง ๆ

แต่ถ้าถามว่าจริง ๆ ได้อ่านสิ่งที่อยากอ่านไหม ก็บอกไม่ได้เต็มปาก เพราะจขบ.เป็นคนเขียนหนังสือ อยากอ่านเรื่องของคนเขียนหนังสือ ว่าอีกทีคือจขบ.อยากเข้าใจเส้นทางของคนที่เดินไปข้างหน้า คาดว่าคงเหมือนหาแผนที่ แต่บอกอยากนั้น ไม่ได้หมายความว่าแผนที่เช่นว่า เป็นพนักงานแล้วสักวันจะเป็นหัวหน้าแผนก จบลงตรงที่ได้ตำแหน่งสูง ๆ ก่อนจะเกษียณ เพราะนักเขียนเป็นอาชีพที่ไต่เต้าไม่ได้ หรือแม้ไต่เต้าได้ ก็ด้วยสิ่งอื่น ในความหมายอื่น

###

พูดอย่างนี้ บางทีอาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าไม่คิดว่าเป็นคนเขียนหนังสือ แต่เป็นคนเล่นไอกิโ้ด้ (หรือยูโด) หรืออะไรอย่างอื่น จะเข้าใจง่ายกว่าไหม

การศึกษาศิลปะและศาสตร์ทุกอย่าง จะมีขั้นตอนเส้นทางของมันเอง จะมีอุปสรรคในแต่ละช่วง จะมีปัญหา จะมีสิ่งที่ต้องผ่าน เพื่อให้ไปถึงขั้นต่อไปได้ แน่นอนว่าอุปสรรคพวกนี้ในมนุษย์แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน และไม่มีแพทเทิร์นที่ชัดเจนพอจะบอกได้ว่า หนึ่ง สอง สาม สี่ แต่นี่คือความจริงของชีวิต และเป็นความจริงของการเขียนหนังสือด้วย แต่บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัว เพราะมนุษย์มักเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นคือความเป็นจริง ส่วนสิ่งที่ไม่เห็นนั้นไม่จริง ดังนั้นเมื่อพูดถึงการประสบความสำเร็จในการเขียน จึงคิดเอาว่าอยู่ที่มีคนอ่านมาก อยู่ที่มีเงินมาก เทียบกับการทำงานออฟฟิศซึ่งมีระดับขั้นชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่เทียบไม่ได้ และรังแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดเสียใจ รวมทั้งดูถูกคนอื่น

ให้ยกตัวอย่างว่าเป็นไปได้อย่างไร ก็เช่นในหนังสือเรื่องทางไร้ดอกไม้ มักพูดเรื่องอุดมการณ์กับเรื่องตลาด เรื่องอุดมการณ์กินไม่ได้ และในที่สุดทุกคนต้องปรับตัวเข้ากับ "ตลาด" ต้องไปเขียนเรื่อง "น้ำเน่า" เพื่อให้เกิดความสุขความเจริญขึ้นมาในชีวิต ในนิยายพูดเป็นนัย ๆ ว่าก็ล้วนแล้วแต่พวกกลืนน้ำลายตัวเอง

จขบ.ไม่ได้คิดอย่างนั้น

ที่จริง จขบ.คิดว่าคนทุกคนในเรื่องล้วนแต่กำลังอยู่ในช่วง torment of soul อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นช่วง "ติดบล็อค" รวมทั้งตัวนางเอกด้วย และทุกคนก็ไม่มีใครผ่านบล็อคของตัวเองได้เลยสักคนเดียว เป็นต้นว่า นางเอกนั้นมาถึงจุดที่เขียนเรื่องป้อนนิตยสารมากมาย จนไม่มีเวลาให้กับที่บ้าน และเขียนมากจนล้า เรื่องไม่ดีไม่ฟิตเท่าเก่าแล้ว เขียนเพื่อเอาใจคนอ่านเท่านั้นแล้ว ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจเลิกเขียน หันไปสนใจลูกกับสามีแทน อย่างน้อยจนกว่าลูกจะโต

ตัวละครคนหนึ่งที่ทำหนังสือกินอุดมการณ์ ก็ติดบล็อคสุดโต่งระหว่างขั้วอุดมการณ์กับขั้วตลาด (บางทีคงติดบล็อคนายทุนด้วยกระมัง) เพื่อนนางเอกที่เป็นนักเขียนแบบอารมณ์อ่อนไหว ก็ติดบล็อคระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนของตัวเอง นักเขียนใหญ่นิสัยไม่ดีที่นางเอกต้องไปทวงต้นฉบับ ก็ติดบล้อคอีโก้ และที่สุดแล้ว คนอื่น ๆ ที่ถูกเอ่ยถึงแบบผ่าน ๆ ในเรื่องก็ติดบล็อคเรื่องตลาดกับไม่ตลาด เรื่องน้ำเน่ากับเรื่องเพื่อชีวิต ในเรื่องเต็มไปด้วยสองขั้วสองข้างมากมาย

(หมายเหตุ: เรื่องติดบล็อคนี้ บางคนอาจไม่เห็นว่าเป็นบล็อค แค่เห็นว่า "มันก็หมดไฟแค่นั้นนี่หว่า" หรือ "ชีวิตก็ต้องเคลื่อนต่อไปนี่หว่า" แต่ตัวจขบ.เห็นว่ามันเป็นบล็อค เพราะมันทำให้หยุดเดินหรือเปลี่ยนทาง แน่นอนว่าทางนี้อาจจะไม่ได้สำคัญเท่ากันสำหรับทุกคน เหมือนไม่ใช่ทุกคนอยากจะวาดรูปสวย แต่การเลิกก็คือการเลิกอยู่ดี)

สิ่งที่จขบ.เสียใจก็คือ ไม่มีใครในเรื่องพ้นบล็อคออกมาได้แม้แต่คนเดียว ทุกคนก็ยังคงอยู่ใน torment of soul ของตัวเอง คนที่ไม่เลิกก็ทนทุกข์ ส่วนคนที่เลิกไปเพราะไม่เห็นทางแล้ว ก็เลิก

น่าเสียดาย เพราะที่จริงคนหลายคนในเรื่องนี้ ทนไปต่ออีกสักหน่อย ก็อาจจะพบจุดบาลานซ์ของตัวเองได้ คนที่ดูเหมือนจะเจอจุดบาลานซ์ได้เร็วกว่าคนอื่น น่าจะเป็นตาคนกินอุดมการณ์ แต่จขบ.ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคนกินอุดมการณ์นั้นบทจะหลุดจากบล็อคมักจะหลุดได้เร็ว แต่บทจะไม่หลุด ก็อาจจะติดแต่หนุ่มจนแก่ไปจนตายอย่างขม ๆ ขื่น ๆ จขบ.หวังว่าแกจะไม่เป็นอย่างนั้น

ส่วนนางเอก จขบ.เดาไม่ถูกว่าเธอหลุดจากบล็อคหรือยัง เพราะความที่เธอนึกเอาเองว่าชีวิตฉันจืดชืดสิ้นดี และสะกิดจิตตัวเองอยู่นั่นแล้วว่าจืดว่าจืด ทั้งที่จริง จขบ.คิดว่าเธอเป็นคนน่าสนใจ จขบ.คิดว่ามนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งน่าสนใจ จขบ.อยากรู้ว่า revelation ของนางเอกตอนที่เขียนเรื่องแรกที่ได้ตีพิมพ์นั้นคือคิดอะไรได้ อยากรู้ว่าเธอเขียนเรื่องอะไร เรื่องที่ว่าเธอรู้ดีที่สุดนั้นคือเรื่องอะไร จขบ.อยากจะเห็น revelation ขั้นต่อไปของเธอ ว่าการที่เธอไปเขียนเรื่องผีสางนั้น เธอเข้าใจไหมว่าทำไมเธอจึงเขียนเรื่องอย่างนั้น เธอเห็นความจริงในใจของตัวเองไหม เธอรู้ไหมว่าเธอรู้สึกว่าตัวเองจืด เธอจึงเขียนเรื่องพลิกเสียให้เป็นอีกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองจืด เรื่องของเธอจึงเป็นไปในทางคิดมากกว่าทางแอคชั่น เธอเข้าใจไหม รู้ไหม เธอรู้ไหมว่าการเขียนหนังสือนั้น คนแรกที่ตัวเองจะได้พบก็คือตัวเอง

ที่จริง จขบ.อยากรู้เรื่องเหล่านี้เสียยิ่งกว่าอยากรู้ว่านางเอกถูกโกงค่าเรื่องที่หลังอย่างไร อยากรู้ยิ่งกว่านางเอกจะรักกับพระเอกหรือไม่ จะมีหึงสากันอย่างไรบ้าง บางทีจขบ.อาจจะต้องการเห็นแผนที่มากเกินไป แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเขียนหนังสือ ก็หวังจริง ๆ ว่าจะได้อ่านเรื่องคนเขียนหนังสือ และคนเขียนหนังสือในฐานะคนเขียนหนังสือจริง ๆ บล็อคและความปรารถนา สิ่งที่คิดและสิ่งที่เห็นตอนทำงาน ตอนที่เขียนไม่ออก ตอนที่นอนไม่หลับ ตอนที่เขียนซ้ำเขียนซากฉีกต้นฉบับแล้วฉีกต้นฉบับอีก จขบ.อยากเห็นสิ่งเหล่านั้นเหลือเกิน

จขบ.รู้ว่าการเขียนหนังสือมันบรรยายออกมายาก ปราศจากแอคชั่น แต่ที่จริง มันน่าเสียดาย คนอย่างเพื่อนนางเอกซึ่งแยกโลกความจริงกับโลกเสมือนไม่ออกนั้น เขาจะเป็นอย่างไรต่อไปหรือ จขบ.อยากรู้ เขาจะเจอตัวเองไหม จะมีใครเหลือบนเส้นทางนี้บ้าง จะมีใครไปต่อ จะมีใครหวนกลับมา จะมีใครไม่กลับมา

จขบ.ไม่เคยคิดเลยว่าทางนี้ไม่มีดอกไม้ ที่จริง บางที่จขบ.ไม่ได้หวังดอกไม้คือเกียรติยศและคำชมเชยอย่างเดียว (แต่ในฐานะมนุษย์ยังมีกิเลสคนหนึ่งก็ย่อมหวังเหมือนกัน) สิ่งที่จขบ.ได้ คงเท่ากับความชื่นชมยินดีที่คนทำงานศิลปะอื่น ๆ ทำ บางที อาจจะเท่ากับที่โชตะทำซูชิได้ดีสักชิ้น หรือโจนาธาน ลิฟวิงสตัน บินได้ดี มันเป็น way มันเป็นทางที่เราเดินอยู่ มันเป็นทางที่เรารู้ว่าเราจะไป

###

มีอีกประเด็นที่น่าพูด คือเรื่องอุดมการณ์กับเรื่องตลาด

แต่แรกมา จขบ.ไม่ได้อ่านนิยายไทยมากมายนัก ส่วนใหญ่อ่านเรื่องแปลและเรื่องเด็ก ไม่อย่างนั้นก็หนังสือเก่า ๆ ไปเลย จขบ.จึงไม่มีความรู้สึกอะไรกับเรื่องที่คนเขาเรียกว่า "น้ำเน่า" เป็นพิเศษ ต่อมาจนโตแล้ว เข้ามาอยู่ใน "วงการ" นี้ จขบ.จึงมักได้ฟังเรื่องน้ำเน่าและน้ำดี ตลอดจนเรื่องอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งสรุปเอาแล้วก็คือตั้งแต่คุณหญิงเขียนเรื่องทางไร้ดอกไม้มาจนถึงเดี๋ยวนี้ และบางทีคงก่อนหน้านั้นสักหลายพันปี และล่วงไปในอนาคตจากนี้สักหลายพันปี ก็คงจะยังมีการปะทะสังสรรค์ระหว่างน้ำเน่ากับน้ำดี อุดมการณ์อันเจ็บปวด และน้ำเน่าซึ่งแลดูไม่สร้างสิ่งใดให้บังเกิดไปจนตลอดกาลนาน คนที่สุดโต่งทั้งสองด้าน และคนที่ร้องไห้เสียใจอยู่ตรงกลางนั้นก็คงจะยังมีอยู่

ตอนนี้ จขบ.ไม่เห็นความสุดโต่งนั้นแล้ว จขบ.ไม่เห็นมาตั้งแต่แรกว่าเขียนเรื่องสลดรันทดใจ พ่อตายแม่ตายเมียถูกขมขื่นลูกพิการไปแล้วจะช่วยให้อะไรในโลกดีขึ้น อันนี้จขบ.มิได้ว่าคนที่มีความปรารถนาดี อยากจะแก้ไขอะไรบางอย่าง แต่จขบ.มีความเห็นว่าเขียนไปอย่างนั้นแล้วก็คืออีโก้ ชอบแต่จะบงการให้โลกเป็นอย่างใจตน เช่นเดียวกับที่เขียนให้โลกดีวิเศษเลิศเลอนั่นเอง ถ้าหากเป็นอย่างนี้ จขบ.ไม่เข้าใจ จขบ.เข้าใจคนอย่างมุราคามิ ซึ่งซื่อสัตย์กับโลกประหลาดพิกลที่ตัวแกเองเห็นเองมากกว่า จขบ.คิดว่าเพราะมุราคามิซื่อสัตย์กับความเพี้ยนของตัวเองขนาดนั้น คนอื่นถึงต้องยอมแก ถึงต้องชอบแก

อาจจะฟังดูแปลก ๆ สักหน่อย แต่จขบ.เริ่มมีความเชื่อว่า บางที เราอาจจะไม่ได้ทำสิ่งที่เราคิดว่าเราควรจะทำ เช่นมนุษย์เบอร์หนึ่งอยากกระทำความดีแก่โลก ดังนั้นจึงเขียนเรื่องเพื่อชีวิต เพราะเชื่อว่าเพื่อชีวิตคือความดีกับโลก (หรือมนุษย์เบอร์หนึ่งอาจคิดว่าเขียนเพื่อชีวิตแล้วเท่ เลยเขียน) แต่ที่จริง มนุษย์เบอร์หนึ่งอาจจะไม่ได้อินกับเรื่องเพื่อชีวิต สิ่งที่ออกมามันก็ยังไม่ใช่ และวัตถุที่ยังไม่ใช่ ก็ไม่มีวันทำอะไรให้ดีกับโลกได้

วัตถุที่ใช่เท่านั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ถึงจะมีผลจริง ๆ ได้ วัตถุที่ยังไม่ใช่อาจจะขายได้ แต่มันจะไม่ได้ผลจริง ๆ

ที่จริง เวลาที่จขบ.อ่านเรื่องทางไร้ดอกไม้แล้วมีนักเขียนที่เปลี่ยนจากเพื่อชีวิตมาเขียนเรื่อง "น้ำเน่า" (ขอออกตัวว่าจขบ.มีความเชื่อเรื่องน้ำเน่าต่างจากชาวบ้าน ดังนั้นที่เขียนนี่คือเขียนตามหนังสือ) จขบ.จะมีความตระหนกเป็นอันมาก เพราะจขบ.เป็นมนุษย์ที่เปลี่ยนแนวไม่ได้ คือจขบ.รู้ว่าตัวเองมีความสามารถกินพื้นที่อยู่ในบริเวณไหน และรู้ว่าถ้าข้ามเลยจากบริเวณนี้ไปแล้ว จะแทบทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่พัฒนาตัวเองในจุดที่ตัวเองอยู่ ดังนั้นพอได้ยินว่าไอ้คนนั้นในเรื่องเปลี่ยนได้แบบฉีก ๆ จขบ.มีความทึ่งเป็นอันมาก ไม่ได้นึกเลยว่าอีนี่เลวทิ้งอุดมการณ์ แต่คิดว่าเก่งจังเลยค่ะพี่ ทำได้ไง แถมเขียนแล้วฮิตอีกต่างหาก ว่าอีกทีหนึ่ง จขบ.แอบคิดว่าตานี่แกคงเจอแนวทางที่แท้จริงของแกแล้วกระมัง ส่วนที่ทำก่อนนี้ คงทำเพราะคิดว่าเท่เฉย ๆ เท่านั้นเอง

บางทีคงด้วยเหตุนี้ จขบ.จึงไม่คิดว่าเขียนเรื่องเพื่อชีวิตจึงควรเป็นปมเขื่อง และในทางเดียวกัน จขบ.ก็ไม่คิดด้วยว่าเขียนเรื่องตลาดเป็นปมด้อย ว่าไปแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ จขบ.พยายามเข้าใจเรื่องตลาดเป็นอย่างมาก เพราะมีอะไรหลายอย่างที่จขบ.ไม่เข้าใจ เช่นว่าทำไมคนจึงชอบเรื่องตบจูบ ทั้งที่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่ได้ชอบให้คนตบจูบกันจริง ๆ (อาจจะมีคนซาดิสม์ชอบก็ได้มั้ง) คือที่จริงแล้ว ตบจูบนั้นเป็นแฟนตาซี (ในความหมายว่าเป็นการคิดคำนึง) ใช่ไหม แล้วแฟนตาซีนี้สะท้อนอะไรในใจมนุษย์หรือ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว จขบ.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความหมาย เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ความหมายที่เราจะเข้าใจได้โดยตรง เพราะใจคนเป็นเรื่องซับซ้อนและมีลักษณะปัจเจกสูง อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ถูกใจคนหมู่มาก (= สิ่งที่ถูกเรียกว่าเรื่อง "ตลาด") แสดงว่าต้องสะท้อนอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ในใจคนหมู่มากด้วย หรือพูดอีกอย่างคือมันเป็น archetype

เช่น ตัวนางอิจฉา ช่วงหลัง ๆ นี้ บางทีจขบ.ก็คิดว่านางอิจฉาคือเหยื่อทางอารมณ์อย่างหนึ่งทั้งของคนเขียนและคนอ่าน บางที เธอคงเป็นบางสิ่งที่เรากลัวหรือเคยกลัว ดังนั้นเราจึงมีความสุขที่จะ debase เธอ หรือให้เธอปรากฏในเรื่องเพื่อจะได้ควบคุมเธอไว้ได้ เมื่อคิดอย่างนี้ จขบ.จึงเห็นว่าการที่ตัวอิจฉาจะจริงหรือไม่จริงนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว แ่ต่จขบ.ประสงค์จะรู้ว่ามันสะท้อนอะไร มันก็เป็นแต่เพียงกระจกเงา มันสะท้อนอะไรในตัวพวกเราทุกคน จขบ.เห็นด้วยกับคำของเฮสเสที่จขบ.เขียนไว้หัวบล็อค คือเราเข้าใจผิดว่าโลกจริงคือโลกที่เราเห็นได้จับต้องได้ แต่เราใส่ใจกับโลกในตัวเราเองน้อยเต็มที ดีแต่ตอบสนองมันอย่างเปะปะเท่านั้นเอง

เพราะอย่างนั้น จขบ.จึงเริ่มมีความรู้สึกว่าเรื่องซึ่งคนเห็นว่า "น้ำเน่า" นั้นมีความหมายเพิ่มมากขึ้นอย่างยิ่ง และมีอะไรให้อ่านระหว่างบรรทัดเยอะไม่น้อยไปกว่าเรื่องแบบอื่น ๆ แต่แน่นอนว่าหนังสือก็มีเขียนดีเขียนไม่ดีเป็นเรื่องธรรมดาโลก ดังนั้นจึงเอาเป็นว่า จขบ.เลิกเห็นว่าน้ำเน่ามีอะไรสู้เรื่องเพื่อชีวิตไม่ได้ ว่าไป ก็เหมือนกับที่จขบ.ไม่เห็นว่าการ์ตูนสู้นิยายไม่ได้ เรื่องเด็กสู้วรรณคดีไม่ได้ จขบ.สูญเสียมิเตอร์วัดคุณค่าวรรณกรรมมานานมากแล้ว มิเตอร์เดียวที่ใช้การได้อยู่คือเรื่องนี้ "เขียนดี" ไหม เขียนดีก็คือเขียนดี ไม่ว่าเขียนอะไร ก็คือเขียนดีเหมือนกัน และหากว่าเขียนไม่ดี ไม่ว่าคืออะไรเป็นมาอย่างไร จขบ.ก็ยังว่าไม่ดี

แต่บางทีสิ่งที่ทำให้โลกของการเขียนหนังสือซับซ้อนมากขึ้น คงจะเป็นเรื่องเงินทองชื่อเสียงกระมัง บางทีถ้าเราสามารถทำได้อย่างฝึกไอกิโด้ ฝึกก็เพียงเพื่อแค่ฝึก เรื่องอาจจะง่ายกว่านี้

ดังนั้นด้วยสติปัญญาในตอนนี้ของจขบ. จขบ.คิดว่าขั้วตรงข้ามระหว่างอุดมการณ์กับน้ำเน่านั้นเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด เอาเรื่องที่เป็นคนละเรื่อง คือ ชื่อเสียงเงินทอง กับการเขียนหนังสือดี มาปะปนกัน แต่จะว่าไป ในความคิดของพวกเราซึ่งอยู่ในระบบทุนนิยมแบบนี้มาตั้งแต่แรก ในโลกที่คิดว่าการไต่เต้าทางอาชีพล้วนมีลักษณะคล้ายกับออฟฟิศ ทุกคนควรได้เงินเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา โลกที่การได้เงินจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางอาชีพ (มันบอกได้หลายอย่าง แต่บอกไม่ได้ทุกอย่าง) มันก็แยกจากกันยากจริง ๆ

แต่เงินทองกับคำชมเชยไม่ใช่ดอกไม้ประเภทเดียวบนทางนี้หรอก

###

ที่จริงควรจะเขียนอีกบล็อค แต่มันยาวเต็มทีแล้ว ไว้จะขึ้นบล็อคใหม่แล้วกัน




 

Create Date : 07 เมษายน 2552    
Last Update : 3 มกราคม 2553 20:58:30 น.
Counter : 676 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.